Skip to content

Tales of Herding Gods 34

34. วัดยายเฒ่า

ใจเฒ่าเป๋ตกวูบ

ราชครูและจักรวรรดิสันตินิรันดร์จะกล้าย่างเท้าเข้ามาในสถานที่แปลกประหลาดและอันตรายอย่างแดนโบราณวินาศจริงๆ น่ะหรือ

แต่ที่เฒ่าหม่าพูดก็มีส่วนถูก จักรวรรดิสันตินิรันดร์นั้นคือสำนักมหึมาที่สวมคราบจักรวรรดิ!

จักรวรรดิสันตินิรันดร์ก่อตั้งจักรวรรดิแห่งวิทยายุทธ และปกครองด้วยวิทยายุทธ ขุนนางจักวรรดิมีเก้าขั้นสิบแปดระดับ นับแต่ขุนนางขั้นสูงขั้นแรกคือราชครูจนถึงขั้นต่ำขั้นเก้าที่ได้แก่พวกบัณฑิตนักวิชาการ ล้วนแล้วแต่กำเนิดจากแวดวงยุทธจักร ขุนนางบางพวกก็เป็นเจ้าสำนัก เป็นผู้นำตระกูล หรือเป็นเจ้าลัทธิ

และสำหรับทหารหาญของจักรวรรดิ พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ฝึกวิทยายุทธที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ ข้างนอกพวกเขาสามารถตีเมืองชิงดินแดน และข้างในเขาก็มีวิชามีฝีมือที่จะสยบกบฏผู้ต่อต้าน พวกเขาเป็นกองกำลังอันไม่ควรมีใครกล้าแหยม

เมื่อสำนักใหญ่แปรรูปสวมคราบจักรวรรดิ และใช้ระบบราชการในการจัดการดินแดนอาณาเขต ทรัพยากรทั้งหมดก็จะถูกรวบไว้รวมศูนย์ ขณะที่สำนักอื่นๆ เหล่าผู้ฝึกวิชาบู๊และผู้ฝึกทักษะเทวะในจักรวรรดิที่ยอมศิโรราบ ก็จะถูกปกครองและถูกกะเกณฑ์ใช้สอยเพื่อประโยชน์ของจักรวรรดิ ด้วยจุดเด่นของจักรวรรดินี้ มันจะไม่แข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวหรืออย่างไร

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้ขยายอาณาเขตจนมาประชิดกับแดนโบราณวินาศ และเป็นแดนโบราณวินาศที่หยุดการขยายตัวของจักรวรรดิในทิศทางนี้

สิ่งที่หยุดยั้งการรุกรานของจักรวรรดิคือความมืดแปลกประหลาดที่ซุ่มซ่อนอยู่ในแดนโบราณวินาศ ทุกค่ำคืนที่ยามราตรีมาถึง ความมืดอันแปลกประหลาดก็จะแผ่ขยายคลี่คลุมแดนโบราณวินาศ และใครก็ตามที่หลงหลุดเข้าไปในความมืดนั้น จะต้องตายอย่างแน่แท้ ทำให้จักรวรรดิสันตินิรันดร์ยังไม่กล้าเข้ายึดครองแดนโบราณวินาศ

และไม่ใช่แค่ความมืดประหลาดนั้นที่เป็นภยันตรายเพียงหนึ่งเดียว แดนโบราณวินาศยังเต็มไปด้วยสัตว์พิสดาร และสิ่งลี้ลับอาถรรพ์จำนวนมาก ทำให้ยิ่งยากที่จักรวรรดิสันตินิรันดร์จะส่งกองกำลังเข้ามา

อย่างไรก็ดี ภยันตรายในแดนโบราณวินาศคงไม่เพียงพอที่ทำลายขวัญกำลังใจของราชครู เฒ่าเป๋รู้จักนิสัยใจคอและกึ๋นของชายผู้นี้ดี ก็เป็นหมอนี่แหละที่หั่นขาเขาออกไป

ไม่มีสิ่งใดทำให้เขากลัว และไม่มีภยันตรายใดทำให้เขาท้อถอย!

เขาจะต้องเข้ามาในแดนโบราณวินาศอย่างแน่นอน!

ไม่แน่ว่าชายผู้นี้อาจจะจับตาหมายเข้ามาในแดนโบราณวินาศอันลี้ลับและอันตรายนี้มาตั้งนานแล้ว!

ไม่นานนักหมู่บ้านก็กลับคืนสู่ความสงบ น้ำท่าที่เกิดจากแม่น้ำหลี่ขนาดย่อมถูกผืนดินดูดซึมไปอย่างรวดเร็ว และในวันถัดมาแสงแดดร้อนแรงก็แผดเผาพื้นทำให้ผืนดินกลับมาแห้งและแข็งอีกครา

คราวนี้ฉินมู่ได้รับถุงกระบี่ที่เคยอยู่ในครอบครองของศิษย์สำนักแม่น้ำหลี่ เฉียนชิ่ว ถุงกระบี่ยาวประมาณหนึ่งวาและไม่ได้ใหญ่โตอะไร มันถูกผลิตจากหนังจระเข้ตัวเล็กๆ และเย็บเข็มขัดติดเอาไว้สำหรับห้อยที่เอว ทั้งยังมีหูสะพายสองข้าง สำหรับสวมสะพายไว้ที่หลัง

เมื่อโคจรปราณชีวิตเข้าไปในถุงกระบี่ ปากจระเข้ก็จะอ้าออกพร้อมกับปล่อยให้ฝักและด้ามกระบี่ยื่นออกมา

และเมื่อผู้ฝึกยุทธฟั่นปราณชีวิตให้เป็นเส้นด้ายและใช้มันรัดพันรอบๆ ด้ามกระบี่ เขาก็จะสามารถดึงกระบี่ออกจากฝักและใช้ปราณคุมกระบี่บินได้

หลังจากที่ชักกระบี่แรกออกไป ด้ามกระบี่เล่มต่อไปก็จะโผล่ขึ้นมาแทนทันที และเมื่อชักกระบี่เล่มที่สอง เล่มที่สามก็จะปรากฏ มิน่ามันถึงถูกเรียกว่าถุงกระบี่

สำนักแม่น้ำหลี่เป็นสำนักฝึกกระบี่ในแดนใต้ พวกเขามีวิธีการเคล็ดลับเฉพาะในการหลอมตีกระบี่ ถุงกระบี่นี้มีกระบี่แม่ซ่อนอยู่ และผู้ใช้ไม่อาจเรียกกระบี่แม่ออกมาได้ เนื่องจากว่ามันถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหนังจระเข้

กระบี่ทุกเล่มที่สามารถดึงออกมาจากถุงกระบี่เป็นกระบี่ลูก ฉินมู่ทดลองดึงมันออกมาจนหมดและพบว่ามีกระบี่ลูกเหลืออยู่ยี่สิบแปดเล่ม ถ้ารวมกับที่เขาฟันหักพังไปเจ็ดเล่มก็แปลว่ามันเคยมีกระบี่ลูกสามสิบห้าเล่ม

ส่วนสำหรับเทคนิควิธีที่สำนักแม่น้ำหลี่ใช้ในการซ่อนกระบี่ตั้งสามสิบห้าเล่มไว้ในถุงกระบี่นั้น ฉินมู่ไม่สามารถมองเห็นเบาะแสได้เลย

น้ำหนักของกระบี่ยี่สิบแปดเล่มไม่นับว่าหนักหนาสำหรับฉินมู่ บนร่างกายของเขามีเหล็กถ่วงมากมาย มีทั้งที่ผูกรอบๆ หน้าอกและเอว เมื่อรวมกับรองเท้าเหล็กที่สวมใส่ พวกมันก็หนักกว่าร้อยชั่ง ซึ่งพอๆ กับน้ำหนักของถุงกระบี่

ฉินมู่ถือถุงกระบี่ติดตัวเพื่อฝึกความแข็งแกร่งของร่างกายวิธีหนึ่ง เขาจะได้ไม่ต้องใส่เหล็กเพิ่มให้เทอะทะ และเคลื่อนไหวได้คล่องตัว แต่อย่างไรก็ดี เขาก็ยังมิอาจใช้ปราณคุมกระบี่บินจากถุงนั้นได้ เนื่องจากวิชากระบี่ของสำนักแม่น้ำหลี่นั้นละเอียดพิสดาร และทักษะการคุมกระบี่ของเขายังฝึกไม่ถึงขั้น

หากว่าข้าได้เรียนวิชาคุมกระบี่แม่น้ำหลี่นะ

ฉินมู่ถอนหายใจโดยไร้เสียง วิชาคุมกระบี่แม่น้ำหลี่ทั้งสลับซับซ้อนและสูงส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคร้อยโซ่กระบี่บินที่เฉียนชิ่วใช้ นั้นพิสดารมหัศจรรย์จนน่าตื่นตะลึง เฒ่าหม่า คนแล่เนื้อ เฒ่าเป๋ นักปรุงยา และเฒ่าบอด ล้วนแต่ไม่ถนัดวิชาคุมกระบี่บิน เฒ่าใบ้มีหีบที่เต็มไปด้วยลูกเงินกลมๆ และท่านยายซีก็มีของคล้ายๆ กัน หากว่าลูกเงินกลมเหล่านี้คือไจกระบี่ล่ะก็ ทั้งคู่ต้องคล่องแคล่วเชี่ยวชาญในวิชาคุมกระบี่แน่ๆ

แต่ทว่าเมื่อฉินมู่เอ่ยปากถามท่านยายซี นางไม่ยอมสอนเขา เฒ่าใบ้เองก็โบกไม้โบกมือราวกับว่ากริ่งเกรงอะไรสักอย่าง เฒ่าใบ้แอบบอกเขาผ่านภาษามือว่า อย่าไปขอให้ใครสอนวิชาคุมกระบี่บินให้เด็ดขาด เพราะมีสุดยอดปรมาจารย์รอสอนเขาอยู่ในอนาคต หากว่าเขาไปเรียนวิชากระบี่สำนักอื่นในตอนนี้ บุคคลผู้นั้นคงจะไม่สอนเขาอีกต่อไป

ฉินมู่นึกไม่ออกว่าบุคคลที่เฒ่าใบ้กล่าวถึงนั้นคือใคร เขาจึงได้แต่ปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อน

ตอนนี้เขายังขัดเกลาการโคจรปราณได้ไม่สมบูรณ์แบบ อย่างเช่นวิชาหมัดของเฒ่าหม่า เขายังไม่อาจโคจรปราณตามแนวทางวิชาตลอดทั่วร่างกายยามที่ลงมือจู่โจม

การโคจรปราณให้ตลอดทั่วร่างกายนั้น จะสามารถเพิ่มศักยภาพของร่างกายเหนือกว่าขีดจำกัดเดิม เพิ่มพลังกาย ความว่องไว ความเร็วในการตอบสนองจนถึงขีดสุด!

เมื่อฝึกฟ้าคำรามแปดจู่โจมถึงขั้นลึกซึ้ง ทุกการจู่โจมของหมัดและฝ่ามือจะสร้างเสียงฟ้าผ่าและแฝงฤทธานุภาพสายฟ้า เขาต้องอาศัยมุทรามารมหาอานุภาพ เพื่อเรียกพลังสายฟ้ามาในกำมือ แต่ยังมิอาจบรรลุขั้นนั้นได้ผ่านการใช้ฟ้าคำรามแปดจู่โจม

หากว่าเขาสามารถบรรลุถึงขั้นนั้นจริงๆ การรับกระบี่ด้วยมือเปล่าโดยไม่บาดเจ็บเป็นแผล ก็จะเป็นเรื่องจิ๊บๆ ทำให้ง่ายต่อการต่อกรกับผู้ฝึกยุทธกระบี่บินอย่างเฉียนชิ่วในอนาคต

“เจ้าขาดประสบการณ์การต่อสู้จริง”

เฒ่าหม่าเดินมาข้างๆ ฉินมู่แล้วกล่าว “ระดับพลังวัตรของเจ้าสูงล้ำกว่าศิษย์แม่น้ำหลี่นั่น วิชาหมัด วิชาขา วิชามีด วิชาตะบองเขาเจ้าก็ล้วนสูงส่งเหนือระดับวิชากระบี่แม่น้ำหลี่ หากแต่ว่าการเคลื่อนไหวของแขนขาเจ้ายังจำกัดอยู่มากเมื่อต่อสู้กับเขา ทำให้เจ้าไม่อาจใช้วิชาเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม”

ฉินมู่ผงกหัวประหลกๆ เห็นด้วยกับคำติงของเฒ่าหม่า ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าวิชากระบี่ของเฉียนชิ่วจะซับซ้อนสูงส่งเกินจินตนาการของเขา แต่ในอีกทางหนึ่งนั่นก็เป็นเพราะปฏิกิริยาตอบสนองเขานั้นยังเร็วไม่พอ

เมื่อหวนคิดดู เฉียนชิ่วไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมายอย่างที่เขาคิดในหะแรก ฟันกระบี่เจ็ดเล่มของเขาหักครึ่งในดาบเดียว และการดึงวิญญาณเขามาไว้ในฝ่ามือด้วยมุทรามารมหาอิสระได้สำเร็จนั้นแสดงว่าพลังวัตรของฉินมู่เหนือล้ำกว่าเฉียนชิ่วไปหลายขั้น!

เฒ่าหม่ากล่าวต่อ “ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้จริง ก็ยากที่เจ้าจะปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มพิกัด นี่คือเหตุผลว่าทำไมห้าอาวุโสแม่น้ำหลี่จึงนำพาลูกศิษย์ของพวกเขามาฝึกฝนแสวงประสบการณ์ในแดนโบราณวินาศ ไม่มีใครสามารถเป็นยอดยุทธในแดนดินได้ด้วยการปิดประตูฝึกวิชาเพียงอย่างเดียว ดังนั้น…”

ฉินมู่เงี่ยหูฟังอย่างใจจดใจจ่อ เขารอให้เฒ่าหม่าและท่านยายซีอนุญาตให้เขาออกไปล่าสัตว์ด้วยตัวเองมานานแล้ว และตอนนี้โอกาสก็เข้ามาใกล้มะรอมมะร่อ

“ดังนั้นข้า ยายซี เฒ่าบอด และคนอื่นๆ ได้ปรึกษาหารือกันและได้ข้อสรุปว่า”

เฒ่าหม่าพูดอย่างเคร่งขรึม “เจ้าสามารถไปตลาดนัดงานวัดร่วมกับพวกเรา”

“ไปตลาดนัดงานวัด?”

ฉินมู่แสดงสีหน้าผิดหวัง พึมพำ “ไม่ให้ข้าไปล่าสัตว์หรอกหรือ”

เฒ่าหม่าเผยรอยยิ้ม และตบบ่าเล็กๆ ของเขา “ไปตลาดนัดก็นับว่าเป็นบททดสอบหนึ่ง หากว่าเจ้าผ่านบททดสอบนี้ได้ พวกเราจะอนุญาตให้เจ้าออกไปล่าสัตว์ตามลำพัง ดังนั้นตั้งใจเข้าล่ะ!”

ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ ตลาดนัดงานวัดเป็นเพียงแค่การรวมตัวของผู้คนจำนวนมากจากหมู่บ้านข้างเคียง เขาเคยได้ยินท่านยายซีเล่าถึงมันมาก่อน ตลาดนัดงานวัดจะมีขึ้นในวันขึ้นหนึ่งค่ำและวันขึ้นสิบห้าค่ำของทุกเดือน หมู่บ้านข้างเคียงในระยะร้อยถึงสองร้อยลี้จะไปรวมตัวกันที่ตลาดนัด และนำสินค้าข้าวของของตนออกมาแลกเปลี่ยนกัน

วันไหนที่มีตลาดนัดงานวัด เฒ่าหม่า คนแล่เนื้อ เฒ่าบอด เฒ่าใบ้ ท่านยายซี เฒ่าหนวก และนักปรุงยาก็จะไปที่ ‘วัดยายเฒ่า’ ซึ่งอยุ่ห่างจากหมู่บ้านไปราวๆ ยี่สิบลี้ แต่พวกเขาจะไม่ยอมให้ฉินมู่ติดสอยห้อยตามไปด้วย ให้เฝ้าหมู่บ้านกับผู้ใหญ่บ้านและเฒ่าเป๋

เฒ่าเป๋ยังโดนสำทับหนักกว่าเขา ท่านยายซีบอกว่าเฒ่าเป๋มือไวมือโจร และห้ามไม่ให้เขาไปร่วมตลาดนัดงานวัด ด้วยเกรงว่าสินค้าทั้งตลาดจะโดนเฒ่าเป๋ยกเค้าไปจนเรียบวุธ

เทียบกับการไปตลาดนัด ฉินมู่อยากออกป่าล่าสัตว์มากกว่า

ตอนนี้ยังเหลืออีกสองวันก่อนที่จะถึงตลาดนัดงานวัด ดังนั้นฉินมู่จึงฝึกปรือพลังฝีมือต่อ และบางทีก็แวะไปที่วังสะกดเภทภัยเพื่อต่อสู้ประลองกับลิงยักษ์อสูร เมื่อเขาว่างไม่มีอะไรทำ เขาก็จะช่วยเป็นลูกมือให้นักปรุงยาในห้องหลอมยา และเรียนรู้วิธีการหลอมปรุงยาเซียนเสริมชีวา

นักปรุงยายังเลี้ยงนกที่ห่อหุ้มไปด้วยเปลวไฟ พวกมันมักจะบินเข้ามาทางหน้าต่างเพื่อช่วยเร่งไฟหม้อยา

หลังจากทำยาไหม้เสียไปสิบกว่าหม้อ นักปรุงยาก็เสียดายสมุนไพรจนหน้าเขียวหน้าดำ เคราะห์ยังดีที่ฉินมู่หลอมยาสำเร็จหนึ่งหม้อ ค่อยคลายสีหน้าของนักปรุงยาลงหน่อย

ฉินมู่รีบแบกหม้อยาเซียนเสริมชีวาหม้อนี้ไปยังวังสะกดเภทภัยด้วยความตื่นเต้น ยาเซียนเสริมชีวาตำรับนี้สามารถเสริมสร้างปราณมังกรเขียว นักปรุงยากะว่าจะเตือนให้เขาตรวจสอบดูให้ดีก่อนว่ายาเซียนเสริมชีวาที่เขาปรุงนั้นปลอดภัยกินได้หรือไม่ แต่คิดอีกทีก็ไม่ได้เตือนอะไร

ข้าเองก็ลืมตรวจสอบว่าที่ยาข้าหลอมปลอดภัยกินได้หรือไม่เหมือนกัน เหมือนที่เคยให้เขากินคราวก่อน…

นักปรุงยาคิดอยู่ในใจ ในเมื่อลิงยักษ์อสูรนั่นเป็นสัตว์พิสดารตัวใหญ่ยักษ์ มันคงไม่ตายหรอกถ้ากินยาผิด…ต้องไม่เป็นไรสิ…ช่างเถอะน่า แต่ว่านะ ยาแต่ละเม็ดที่ฉินมู่หลอมออกมา ใหญ่เกือบเท่ากำปั้น ลิงยักษ์อสูรนั่นกินเข้าไปแล้วจะไม่ตายแน่หรือเปล่านะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!