42. เงาราตรี
ในจังหวะที่งูเลื้อยไปนั่นเอง ฉินมู่ก็กระโจนไปข้างหน้าเช่นกัน มีดเชือดหมูในมือเขาสะบัดแกว่งราวพายุคลั่ง เขาระดมมีดฟาดฟันใส่จุดอ่อนระหว่างศีรษะและลำตัวของงู!
เพลงมีดเชือดหมู…ตะวันทะเลบูรพา คลื่นซัดพันระลอก!
กระบวนท่าของคนแล่เนื้อนี้ ต้องมีความอลังการของตะวันดวงยักษ์อันโผล่พ้นผืนน้ำพร้อมกับคลื่นซัดซ้ำซ้อนทับกันพันระลอก ใช้เพลงมีดไร้ต่อต้านนี้เฉือนตัด ฟาดฟัน ทุกพลานุภาพที่บังอาจขวางทางมัน!
ในห้วงคิดฉินมู่มีเพียงความคิดเดียว สับ! สับ! สับ! สับ! สับ!
ข้าต้องสับหัวของมันให้ขาด!
ฉัวะ
โลหิตของงูยักษ์พุ่งกระฉูด ศีรษะสามเหลี่ยมใหญ่เท่าโต๊ะของมันหลุดขาดออกจากลำตัว แต่ก็ยังคงพุ่งฉกใส่ครอบครัวเล็กๆ นั่นราวกับไม่รู้ตัวว่ามันตายไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าส่วนหัวของงูยังพุ่งเข้าใส่สามคนนั้น ฉินมู่รีบกระโดดขึ้นไปเหนือหัวของมัน แล้วง้างเท้าเตะฟาดมันจากท้องฟ้าปิดปากที่อ้ากว้างของมันให้หุบลง
เด็กชายร่วงลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับศีรษะงูยักษ์อันหล่นโครมลงเบื้องหน้าพ่อแม่ลูกครอบครัวนั้นที่ตกใจกลัวอกสั่นขวัญหาย
ฉินมู่โน้มตัวลงส่งยิ้มให้เด็กหญิงตัวเล็ก เผยฟันขาวของเขา “ทุกอย่างจบลงแล้ว สาวน้อย”
ทันใดนั้นเสียงของทารกแรกคลอดก็ร้องดังขึ้นมา และหญิงนางหนึ่งก็รีบรุดออกมาจากบ้านที่พังทลายไปครึ่งจากการอาละวาดของงูยักษ์ พร้อมกับยิ้มร่า “ยินดีด้วย! แม่และเด็กปลอดภัยทั้งคู่!”
ฉินมู่รีบเก็บมีดเชือดหมูกลับเข้าฝักหนัง แล้ววิ่งกลับเข้าไปในเขตลานบ้านนั้น ชายหนุ่มผู้พ่อวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างตื่นเต้น ส่วนท่านยายซีออกมาล้างไม้ล้างมือข้างนอก และเหลียวมองดูครอบครัวรักใคร่ที่กำเนิดใหม่เบื้องหลังนาง
“เจ้าพึงพอใจไหมล่ะมู่เอ๋อ”
ฉินมู่ก็เหลียวไปมองครอบครัวที่กำลังซาบซึ้งตื้นตันกับการถือกำเนิดของสมาชิกใหม่ แล้วผงกศีรษะเขาเบาๆ มือของเขายกขึ้นแตะจี้หยกที่หน้าอกตนโดยไม่รู้ตัว
ท่านยายซีมองมือที่แตะหยกของฉินมู่ และลอบถอนใจ
เฒ่าบอดก้าวเข้ามาและอ้าปากหาว “ธุระที่นี่ก็เสร็จดีแล้ว น่าจะได้เวลาพวกเราเข้านอน ยายเฒ่าดูเหมือนพวกเขามีห้องไม่พอ อย่างนั้นพวกเรามานอนร่วม…”
ท่านยายซีหันไปส่งสายตาเยือกเย็น เฒ่าบอดตัวสั่นรีบหุบปาก เขาแตะไม้เท้าไผ่ลงบนพื้น แล้วหันไปทางอื่น “เฮ้อ โลกเดี๋ยวนี้ ขนาดคนตาบอดยังถูกจิกตาจ้อง ผู้คนเป็นอะไรกันหมดแล้ว ข้าคงต้องนอนอย่างกับหมาข้างถนน…”
“ท่านยาย ทำไมไม่มีใครในหมู่บ้านสังเกตเห็นงูยักษ์ตัวนี้เลยล่ะ” ฉินมู่พิศวง เมื่อมองดูพวกชาวบ้านลากหางงูออกจากลำต้นไม้
เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านพิการชรามาตั้งแต่เล็กๆ และชาวบ้านทุกคนที่นั่นล้วนแต่พิการไม่สมประกอบ แม้แต่ยายเฒ่าซีก็พิการหลังค่อม แต่ถึงกระนั้น ผู้เฒ่าทุกคนในหมู่บ้านก็เหมือนกับว่าจะเก่งกาจทำได้ทุกเรื่อง
ชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาสามัญ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธ แต่พลังวัตรและพละกำลังของพวกเขานั้นไม่ค่อยสูงเท่าไร ดังนั้นจึงทำให้ฉินมู่เกิดสงสัยขึ้นมา
“ในแดนโบราณวินาศนี้ มีหมู่บ้านพิการชราเพียงหนึ่งเดียว”
ท่านยายซีกล่าวด้วยสายตาสงบ “ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่ล้วนแต่เป็นคนธรรมดาตกค้างที่ไม่อาจอพยพหนีมหาภัยพิบัติในแดนโบราณวินาศได้ทัน ยังมีบรรดาผู้คนที่ไม่สามารถทำอยู่ทำกินในโลกภายนอกได้อีกต่อไป พวกเขาหนีจากการรีดนาทาเร้นของพวกเจ้าของที่ดิน และแสวงหาหนทางมีชีวิตรอดต่อที่นี่”
“โลกภายนอก?” ฉินมู่ตาเป็นประกาย
“โลกภายนอกอันตรายยิ่งกว่าแดนโบราณวินาศ!”
ท่านยายซีแค่นเสียงในคอ “เฮอะ ไม่อย่างนั้นทำไมยายและคนอื่นๆ ถึงต้องหนีมาหลบในแดนโบราณวินาศด้วยล่ะ! อย่ามัวแต่คิดที่จะออกไปโลกภายนอกสิ!”
ฉินมู่เกาศีรษะ ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านยายที่ดูใจดีตลอด กลับมีอารมณ์ดุเดือดเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
ท่านยายซีลดเสียงลงและกระซิบ “เรื่องงูนี่มีอะไรแปลกๆ ปกติแล้วสัตว์พิสดารจะไม่สามารถเข้ามาในหมู่บ้านได้ แต่งูยักษ์นี่กลับซ่อนตัวในบ้านหลังนี้มาตั้งหลายปีดีดัก ข้าเกรงว่าคงมีใครสักคนที่จงใจปล่อยงูนี่เข้ามา…วิธีการเลี้ยงสัตว์แบบนี้ดูเหมือนจะเป็นวิธีของลัทธิมาร ฮี่ๆ คืนนี้ต้องมีอะไรน่าชมดูอีกแน่ๆ…”
“มีคนจงใจปล่อยงูยักษ์นี้มาทำร้ายคนในหมู่บ้าน?”
หัวใจของฉินมู่เย็นเยือกทันที คนผู้นั้นชั่วร้ายขนาดไหนกันนะ
งูนี่สูบกินวิญญาณทารกไปตั้งหลายคน! เขาได้ประโยชน์อะไรจากการเลี้ยงงูด้วยวิญญาณทารก
“มู่เอ๋อ คืนนี้คงมีเรื่องประหลาดพิสดาร เจ้าอย่าขยับหรือส่งเสียงใดๆ แม้ว่าจะเห็นอะไรแปลกๆ รุ่งเช้าก็จะรู้เรื่องทั้งหมดเอง”
ท่านยายซีหัวเราะคิกคัก เผยฟันเหยเกที่เหลือไม่กี่ซี่ในปาก
“มันผู้นั้นช่วงใช้งูสูบกินแก่นปราณและวิญญาณทารก ก่อนที่จะสูบแก่นปราณจากงูอีกทีเพื่อฟื้นฟูปราณเซียนเถียนของตน มันผู้นั้นคงจะฝึกปรือพลังวัตรมานานปีและมีกำลังภายในสูงยิ่ง วิธีการฝึกปรือแบบนี้ต้องทำให้ผู้คนเดือดแค้นและไล่ล่าจนมันได้แต่หนีเร้นเข้ามาก่อเภทภัยในแดนโบราณวินาศ เจ้ายังต่อกรกับมันไม่ได้หรอก มู่เอ๋อ ดูอย่างเดียวก็พอนะ”
ฉินมู่ผงกหัว ความรู้สึกกระส่ายกระสับท่วมท้นใจเขา
ครอบครัวนี้ตื่นเต้นตื้นตันอยู่พักใหญ่ ทั้งหัวเราะทั้งร่ำไห้ ก่อนที่จะเพิ่งนึกได้และตระเตรียมห้องพักให้ท่านยายซีและฉินมู่ ผัวเมียคู่นั้นยกห้องกลางใหญ่และห้องด้านในให้กับท่านยายซีและฉินมู่ ฉินมู่รู้สึกว่าเป็นการรบกวนพวกเขาจนเกินไป แต่ท่านยายซีไม่คัดค้าน และให้ฉินมู่นอนหลับในห้องกลาง ส่วนนางนอนในห้องใน
ไม่นานนัก พวกเขาก็ผล็อยหลับไป ฉินมู่พยายามบังคับตัวเองไม่ให้หลับ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหนังตาเขาก็หนักอึ้งขึ้นทุกที แล้วค่อยปิดลง ในดึกดื่นเที่ยงคืนอันเงียบสงัด ฉินมู่ก็ตัวสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เขาลืมตาขึ้นทันใด ก่อนจะพบว่าไม่สามารถกระดิกกระเดี้ยร่างกายได้แม้แต่น้อย!
ประตูที่นำสู่ห้องกลางแง้มเปิด และแสงขมุกขมัวส่องจากรอยแยกประตูนั้น เงายืดยาวปรากฏทาบทับอยู่บนพื้น
ฉินมู่อ้าปากพะงาบ ทว่าไม่อาจส่งเสียงร้องเตือนท่านยายซีออกมาได้!
เงาบนพื้นวูบไหว ก่อนจะเริ่มขยับ มันปีนขึ้นไปบนผนัง เงาบนผนังบิดเบี้ยวแปรเปลี่ยน แสดงให้เห็นเขี้ยวเล็บแหลมคม ส่งให้เงานั้นดูสยดสยองยิ่งขึ้น
เหงื่อเย็นเยียบหลั่งซึมหน้าผากฉินมู่ เงานั้นปีนขึ้นไปจนถึงเพดาน ก่อนที่จะห้อยลงมาจากเพดานจ้องมองเขา
ฉินมู่เบิกตากว้างจ้องกลับ เหนือหัวเขาคือก้อนเงาที่ห้อยลงมา มันดูแบนทว่าก็คล่องแคล่วอย่างร้ายกาจราวกับผู้ฝึกยุทธที่ชำนาญในการบิดแปรร่างกาย!
แต่ว่าที่เขาเห็นก็เพียงแต่เงา แล้วเงาเคลื่อนไหวโดยอิสระได้อย่างไร เจ้าของเงาอยู่ที่ไหน
ฟิ้ว
ลมหอบหนึ่งพัดเข้ามาในรอยแยกของประตู พาเอาธงสามเหลี่ยมสีขาวเล็กๆ เข้ามาด้วย มือของเงาดำนั้นคว้าจับธงแล้วกวัดแกว่งเบื้องหน้าฉินมู่
ในชั่ววินาทีนั้นเองประตูห้องที่ท่านยายซีหลับอยู่ก็แง้มเปิดออก และมีลูกปัดสีเงินเล็กๆ ลอยออกมา มันเหมือนกับพวกลูกกลมเงินที่ฉินมู่เคยเห็นอยู่เยอะแยะทั่วห้องท่านยายซี ลูกปัดเงินนั้นหยุดยั้งอยู่ที่กลางหน้าผากฉินมู่ และหมุนติ้วอยู่ตรงนั้นโดยไม่สร้างเสียงเลยแม้แต่น้อย กระบี่ขนาดเล็กเท่าเส้นผมอันแทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าโบยบินออกมาจากลูกปัดเงินอย่างไม่หยุดยั้ง
เงาดำบนเพดานกวัดแกว่งธงสามเหลี่ยมในมือขณะที่มันลอยว่อนไปทั่วห้อง ธงขาวนั้นจู่โจมใส่ฉินมู่ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงซ้ำๆ ด้วยความเร็วปานสายฟ้า แต่ลูกปัดเงินก็ไม่ยอม มันปล่อยกระบี่เส้นผมเข้าปะทะกับธงขาวโดยไร้สุ้มเสียง ป้องกันการโจมตีทั้งหมดของมัน
ไม่ว่าวัตถุประหลาดทั้งสองจะปะทะกันกี่หน ก็ไม่สร้างเสียงใดๆ ให้กระโตกกระตาก ทั้งข้าวของเครื่องเรือนในห้องก็ปลอดภัยไร้ริ้วรอยตลอดช่วงการต่อตีแสนเงียบงันอันน่าขนลุกนั้น
เมื่อสู้ไปสักพัก เงานั้นก็สั่นเทิ้ม แล้วกระอักเลือดออกมาจากปาก ธงขาวสะบัดปลิวหนีออกไป ทั้งเงาดำก็ลอยละล่องหนีไปจากบ้านคล้ายกับน้ำไหลแล้วหายไปในที่สุด
ลูกปัดเงินหยุดการหมุนติ้วของมัน แล้วบินกลับเข้าห้องท่านยายซีไปโดยไร้ร่องรอย
ตอนนั้นเองฉินมู่ถึงค่อยพบว่าตนสามารถขยับตัวได้อีกครั้ง เขาสูดลมหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่ เขาไม่เข้าใจดีนักว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แต่รอยเลือดบนพื้นเป็นประจักษ์พยานว่าสิ่งที่เขาเห็นในราตรีนี้มิใช่ความฝัน
นอกบ้านหลังนั้น เงียบสงัดไม่มีสรรพสำเนียงใดนอกจากเสียงตีฆ้องบอกเวลาของเวรยามราตรี เพื่อป้องกันมิให้ชาวบ้านตื่นเร็วเกินไปและถูกกลืนกินโดยความมืดข้างนอกหมู่บ้านนั่น
เวรยามราตรีตีฆ้องสามครั้ง จากนั้นเก็บฆ้องสำริดตระเตรียมกลับบ้าน เมื่อเขามาถึงหน้าบ้านตนเองก็เห็นชายตาบอดเดินถือไม้เท้าไผ่ต๊อกแต๊กมา
“พี่ชายสูงอายุท่านนี้ หาที่พักหลับนอนเถอะ!” เวรยามราตรีรีบเข้าไปกล่าวกับเฒ่าบอด แล้วแย้มยิ้ม “นี่ก็ดึกมากแล้ว ระวังอย่าเผลอเดินออกไปนอกหมู่บ้านและถูกพวกปีศาจจับกิน!”
เฒ่าบอดส่งยิ้มกลับ พลางเคาะไม้เท้าไผ่ลงบนเงาของเวรยามราตรี “ขอบใจที่เตือน” หลังจากกล่าวขอบคุณ เฒ่าบอดก็เดินต๊อกแต๊กจากไปอย่างไม่เร่งรีบ
ฉึก ฉึก!
บนอกของเวรยามราตรีพลันมีสองรูโบ๋เลือดทะลัก ร่างของเขาส่ายโงนเงนก่อนจะล้มลงกับพื้น
“ทวนเร็วอะไรอย่างงี้ ถึงกับทำลายคาถาข้าได้! เคะๆ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร ถึงเจ้าจะตาบอด แต่ทวนเจ้ากลับแข็งแกร่งกว่าเดิม…”
เวรยามราตรีสูดลมหายใจเฮือกสุดท้าย ก่อนสิ้นชีวิตไป
จากเบื้องบนอากาศ ธงสามเหลี่ยมสีขาวค่อยลอยร่วงลงคลี่คลุมใบหน้าของเขา