52. ขายได้ราคาดี
ผู้ใหญ่บ้านเลิกคิ้วแล้วกล่าว “หากว่าเราจบลงด้วยการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเอาจริงๆ ข้าเกรงว่าลัทธิมารฟ้าเองก็คงย่อยยับไปไม่น้อย จริงไหม เช่นนั้นทำไมเราต้องกดดันและใช้ไม้แข็งใส่กันด้วย หากว่ากำลังของสำนักเจ้าต้องมาทิ้งทำลายในน้ำมือของผู้ชราและพิการอย่างพวกเรา ข้าพนันได้เลยว่า ราชครูคงดีใจจนเนื้อเต้น และฉวยโอกาสนี้ในการฮุบรวบลัทธิมารฟ้ามาไว้ในกำมือ เจ้าว่าอย่างไรล่ะ”
“จริงอยู่ที่ราชครูจักรวรรดิสันตินิรันดร์เล็งหาโอกาสสยบลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราให้ศิโรราบถวายตนต่อราชสำนัก แต่ว่าด้วยคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สูญหาย จ้าวลัทธิก็ตกตาย พวกเราก็ไม่ต่างอะไรกับสำนักที่ถูกทำลายล้างไปแล้ว หากว่าสหายยังคงดื้อดึง ข้าเกรงว่าหมู่บ้านเล็กๆ ที่สหายพยายามปกป้องอยู่คงต้องปะทะกันกับลัทธิของเรา คลี่ธง!”
ผู้อาวุโสคุมกฎที่ยืนข้างๆ โค้งคารวะแล้วกล่าวตอบ “รับคำสั่งปรมาจารย์ คลี่ธง!”
หัวหน้าโถงทั้งสามร้อยหกสิบคนนำธงเสาใหญ่มหึมาออกมา และคลี่ผืนธงออกในวูบเดียว ปล่อยให้ผืนธงปลิวไสวไปกับลม
ฉินมู่เหลือบแลดูและพบว่าธงทั้งสามร้อยหกสิบผืนยิ่งคลี่ก็ยิ่งกว้างขึ้นกว้างขึ้น แต่ละธงกินพื้นที่ใหญ่ครึ่งไร่
“เก็บธง” ผู้เยาว์กล่าว
ผู้อาวุโสคุมกฎกล่าวด้วยเสียงอันดัง “เก็บธง!”
ธงถูกม้วนเก็บ และเมื่อผืนธงหายไป ฉินมู่ก็เห็นผู้ฝึกวิชาเทวะหลายหมื่นคนยืนอยู่เบื้องหลังธง แต่คนท่าทางเหี้ยมหาญ และยืนตรงแหน็วประดุจคันทวน พวกเขาไม่เปล่งเสียงออกมาเลยแม้แต่น้อย ให้ความรู้สึกเคร่งครัดขึงขัง!
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจ “ธงเคลื่อนย้ายระยะไกลของลัทธิมารฟ้านับว่าสมชื่อลือชา เพียงแค่คลี่ออกและม้วนเก็บธงใหญ่เหล่านี้ ก็ขนพาผู้ฝึกวิชาเทวะหลายหมื่นคนเข้ามาในแดนโบราณวินาศได้ มิน่าล่ะราชครูจักวรรดิสันตินิรันดร์ถึงกระเหี้ยนกระหือที่อยากจะสยบลัทธินี้ไว้ใช้สอยเองนัก หากว่าเขาได้วิชาเทวะเหล่านี้ของลัทธิมารฟ้าไว้ในมือ กองทัพจักรวรรดิสันตินิรันดร์คงรุกรานกวาดล้างได้ทั้งแดนดินและครอบครองทุกอาณาจักร!”
ปรมาจารย์เยาว์ถอนหายใจ “ทุกวันนี้ไม่มีจ้าวลัทธิเป็นผู้นำ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของเราก็ไม่ต่างอะไรกับแผ่นทรายหลวมๆ ตลอดสี่สิบปีมานี้ สถานการณ์ลัทธิเราแย่ลงทุกทีๆ ข้าเกรงว่าไม่นานราชครูสันตินิรันดร์คงอดรนทนไม่ได้ และยื่นมือเข้ามายุ่มย่ามกับลัทธิเรา เจ้ากับข้าไม่ต่างกัน มีแต่จะแก่เฒ่าลงไปนับวันรอตาย ตอนนี้ข้าแค่หวังว่าพวกเราจะสามารถเลือกสรรค์จ้าวลัทธิใหม่ที่มากความสามารถ”
ผู้ใหญ่บ้านสายตาไหววูบแล้วกล่าว “งั้นฮูหยินลัทธิที่สังหารจ้าวลัทธิคนก่อนในคืนวิวาห์ ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเจ้างั้นหรือ”
ปรมาจารย์เยาว์ผงกศีรษะด้วยรอยยิ้มขื่น “สหาย เจ้าคงรู้ดีว่ายากเย็นแค่ไหนที่จะเลือกเฟ้นผู้นำลัทธิมากความสามารถและทรงปัญญา ลัทธิเราอาจจะมีสาวกจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่กี่คนที่พอจะแบกรับตำแหน่งจ้าวลัทธิได้ ยิ่งไปกว่านั้น จะหาผู้ที่คุณสมบัติทัดเทียมกับฮูหยินลัทธิยิ่งเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เราก็ได้แต่เสาะหาร่องรอยของฮูหยินลัทธิ เพื่อเชื้อเชิญนางกลับมาเป็นจ้าวลัทธิคนใหม่”
ผู้ใหญ่บ้านเหลือบมองท่ายายซีไป ก็ปวดหัวไป “ข้าได้ยินว่าฮูหยินลัทธินางนี้ได้สังหารหลี่เทียนซิ่ง จ้าวลัทธิของเจ้า ทำไมเจ้ายังอยากให้นางกลับมาเป็นจ้าวลัทธิคนใหม่แทนที่จะล้างแค้นให้จ้าวลัทธิคนเก่า มันไม่ใช่เรื่องอื้อฉาวเสียหน้าหรอกหรือที่จ้าวลัทธิของพวกเจ้าถูกฆ่าน่ะ”
ดวงตาของปรมารจารย์เยาว์เป็นประกาย เขายิ้มร่า “สหาย เจ้าอย่าลืมว่าพวกข้าเป็นลัทธิมาร และไม่อาจประเมินได้ด้วยความคิดธรรมดาสามัญ ในเมื่อจ้าวลัทธิคนใหม่เป็นผู้สังหารจ้าวลัทธิเก่า แสดงว่านางเหนือล้ำกว่า ดังนั้นพวกเราย่อมต้องสนับสนุนนาง!”
ผู้ใหญ่บ้าน ฉินมู่ และนักปรุงยาที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็มีสีหน้าประหลาดพิลึก มีกฎเช่นนั้นในลัทธิมารฟ้าด้วย?
“ยายเฒ่า มีกฎแบบนี้ด้วยหรือ” นักปรุงยาถาม
ท่านยายซีพยักหน้าเหม่อๆ
นักปรุงยาจึงอดสงสัยไม่ได้ “ในเมื่อมีกฎแบบนี้ แล้วทำไมเจ้าไม่อยู่ที่ลัทธิมารฟ้าต่อเพื่อเป็นจ้าวลัทธิ หลังจากสังหารจ้าวลัทธิคนเก่านั่น”
ท่านยายซีกล่าวอย่างขื่นขม “หลังจากที่ข้าสังหารเขา ข้าก็ไม่มีหน้าอยู่ในลัทธิมารฟ้าอีกต่อไป หากว่าข้ายังฝืนอยู่ต่อ มารในใจของข้าก็จะร้ายกาจมากขึ้น”
นักปรุงยาฟังแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่ดี จากมุมมองของเขา พฤติการณ์ของลัทธิมารฟ้าที่ตามเสาะหาศัตรูผู้สังหารจ้าวลัทธิเก่าเพื่อเชื้อเชิญคนผู้นั้นเป็นจ้าวลัทธิใหม่ นับว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่การที่ยายเฒ่าซีคอยหลบหลีกซ่อนตัวจากพวกเขานั้นยิ่งเข้าใจได้ยากกว่า
ผู้ใหญ่บ้านยิ้มเล็กน้อย แล้วบอกแก่ปรมาจารย์เยาว์ “หากว่ายายเฒ่าไม่อยากไปกับเจ้า เจ้าก็พานางไปไม่ได้”
ปรมาจารย์เยาว์ขมวดคิ้ว “ข้าจะนำกลับไปให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นฮูหยินลัทธิหรือคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต”
ทั้งคู่จ้องตากัน
ผู้ใหญ่บ้านยกถ้วยชาส่งแขก “หากว่าอาคันตุกะไม่ยอมไป ข้าคงต้องกำจัดกวางล้างพวกเขา สาวกลัทธิมารฟ้ามีเยอะเกินไปข้าคงทำโลงให้ได้ไม่หมด ผู้คนรุ่นเดียวกับเรายิ่งมาก็ยิ่งน้อยลงทุกวัน ข้าเองก็ไม่อยากจะลงมือ”
ปรมาจารย์เยาว์ยกถ้วยชาของเขาดื่มจนหมดถ้วย วางถ้วยลงแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ข้าก็เช่นกัน แต่ว่าหมู่บ้านเจ้ามีคนไม่มาก ข้าคงเตรียมโลงศพไว้ให้ได้”
“ช้าก่อน!”
ท่านยายซีพลันเอ่ยปาก และแย้มยิ้ม “ผู้ใหญ่บ้าน นักปรุงยา เข้าหมู่บ้านไปก่อนเถอะ ข้าจะคุยกะปรมาจารย์เอง! หากว่าคุยกันไม่รู้เรื่อง เราค่อยลงมือต่อยตีกันก็ไม่สาย แต่ถ้าเรื่องเป็นไปได้ด้วยดี ทุกคนก็มีสุขอยู่สบาย ไม่ดีกว่าหรือ”
ผู้ใหญ่บ้านปรายตามองท่านยายซี และนางก็ยิ้มกลับ “กังวลอะไร อย่างมากข้าก็ถูกลักพาตัวกลับเท่านั้น”
ผู้ใหญ่บ้านจึงผงกศีรษะ “นักปรุงยา มู่เอ๋อ พวกเรากลับเข้าไปข้างในก่อน”
ยายเฒ่าซีรอจนกระทั่งพวกเขากลับเข้าไปในหมู่บ้าน จึงนั่งลงเบื้องหน้าปรมาจารย์เยาว์ แล้วออกคำสั่ง “เจ้าถอยไปได้ ผู้คุมกฎ”
“รับคำสั่งฮูหยิน”
ผู้อาวุโสคุมกฎโค้งคำนับ แล้วค่อยๆ ถอยไป
ยายเฒ่าซีจ้องมองปรมาจารย์เยาว์ด้วยสองตาสดใส เขาถอนหายใจ “แต่เดิมเจ้าคือธิดาเทพของลัทธิเรา พรสวรรค์ปฏิภาณของเจ้านับว่าไม่มีใครเทียบในรุ่นเดียวกัน ตอนนั้นข้าเองก็คัดค้านหลี่เทียนซิ่งที่จะแต่งงานกับเจ้า”
“แต่ท่านก็ไม่หยุดเขา”
ท่านยายซีแค่นหัวเราะ “หลี่เทียนซิ่งเป็นอาจารย์ของข้า และมันผิดจารีตศีลธรรมที่เขาจะแต่งงานกับศิษย์ตน ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของเราอ้างตนว่าเป็นวิถีทางอันเที่ยงแท้ศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับโยนศีลธรรมจารีตให้สุนัขกินงั้นหรือ”
ปรมาจารย์เยาว์ขมวดคิ้ว “ข้ารู้ว่าต้องมีอะไรผิดปกติตอนที่หลี่เทียนซิ่งต้องการรับเจ้าเป็นศิษย์ ข้าเกรงว่ายิ่งเขาใช้เวลาอยู่กับเจ้ามากเท่าไร เขาก็จะยิ่งหลงงมงายในตัวเจ้าและสูญเสียปัญญาไป และข้าก็เดาไม่ผิด เขางมงายในตัวเจ้าถึงกับละทิ้งภรรยาเก่าที่แต่งงานอยู่กินกับเขามาหลายร้อยปีเพียงเพื่อจะได้แต่งกับเจ้า”
ยายเฒ่าซีกัดฟันที่เหลืออยู่ไม่กี่ซี่ของนาง แล้วพูดกลั้วหัวเราะ “หากท่านรู้ว่าเขาจะหลงงมงายในตัวข้า แล้วทำไมท่านปล่อยให้เขารับข้าเป็นศิษย์ ท่านต่างหากที่ควรรับข้าเป็นศิษย์ ปรมาจารย์! หากว่าข้าเป็นศิษย์ของท่าน คงไม่เกิดเรื่องพวกนี้!”
“ข้าเกรงว่าถ้าข้าอยู่ใกล้เจ้านาน ข้าก็จะหลงงมงายเช่นกัน”
ปรมาจารย์เยาว์ยิ้มขื่นๆ “เมื่อครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้า อายุเจ้ายังเพียงสิบสามขวบปี ทว่าหัวใจข้าเต้นตึกตักตั้งหลายครา ตั้งแต่ตอนนั้นข้าก็รู้ว่าข้ามิอาจรับเจ้าเป็นศิษย์ ข้าน่ะแก่แล้ว ข้าไม่ต้องการให้ชื่อเสียงที่ข้าสั่งสมมาต้องย่อยยับในมือของเจ้า ข้าคงถูกเย้ยหยันไยไพจากทุกสารทิศหากว่าอาจารย์ไปตกหลุมรักศิษย์ของตน”
เขาถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ “ยากนักที่ผู้คนจะไม่หลงงมงายเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเจ้า ยิ่งพวกเขาอยู่ใกล้เจ้านานเท่าไหร่ ก็จะยิ่งหลงหัวปักหัวปำมากขึ้นเท่านั้น”
ยายเฒ่าซียังคงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเผือดจาง “ถ้าอย่างงั้น ทำไมท่านยังอยากให้ข้าเป็นจ้าวลัทธิอีกล่ะ ท่านไม่กลัวลัทธิศักดิสิทธิ์จะย่อยยับทำลายในน้ำมือข้าหรอกหรือ”
ปรมาจารย์เยาว์กล่าวตอบ “เพราะเจ้าคือตัวเลือกที่ดีที่สุด ข้าก็คิดเหมือนกันล่ะว่า หญิงงามล่มเมืองอย่างเจ้า คงทำลัทธิปั่นป่วนอย่างรุนแรงเมื่อขึ้นเป็นจ้าวลัทธิ ตลอดช่วงเวลาสี่สิบปีที่ผ่านมา พวกเราก็ได้ค้นพบคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ปัญญาเป็นเลิศ แต่ถึงยังไง พวกเขาก็ไม่เลิศล้ำเท่ากับเจ้า พวกเขาทั้งหมดนับว่ายังขาดพร่องหากจะให้สวมตำแหน่งจ้าวลัทธิ”
เขาถอนหายใจซ้ำอีก แล้วกล่าวอย่างหดหู่ใจ “เมื่อได้เห็นของที่ดีที่สุดแล้ว เจ้าก็จะรู้สึกเหมือนมีอะไรขาดหายเมื่อเห็นของดีๆ ชิ้นอื่น”
“ข้าไม่กลับไป”
ยายเฒ่าซีฉีกยิ้ม “แต่ข้าสามารถคืนจ้าวลัทธิให้พวกท่านพร้อมกับคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สืบทอด คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต”
ปรมาจารย์หนุ่มมีสีหน้าหวั่นไหว ก่อนจะเอ่ยถาม “คืนจ้าวลัทธิให้พวกเรา? เจ้าหมายความว่ายังไงกัน?”
ในหมู่บ้านพิการชรา ฉินมู่ ผู้ใหญ่บ้าน นักปรุงยา และคนอื่นๆ จ้องมองทุกกิริยาของยายเฒ่าซีและปรมาจารย์ลัทธิมารฟ้า แต่ปรากฏว่ามันน่าแปลกประหลาด เมื่อบทสนทนาของทั้งดูจะเป็นไปด้วยความรื่นรมย์ยินดี มีเสียงหัวเราะร่าตลอดเวลา
คุยได้สักพัก ยายเฒ่าซีก็เหลียวกลับไปมองคนใหม่หมู่บ้าน ปรมาจารย์ลัทธิมารก็มองตามไปด้วย เขาเผยรอยยิ้มก่อนหันไปคุยกับยายเฒ่าซีอีกสองสามคำ
ไม่นานนัก ยายเฒ่าซีก็เดินกระย่องกระแย่งกลับเข้าไปในหมู่บ้าน ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เรียบร้อยแล้ว”
“เรียบร้อยแล้วงั้นหรือ”
ทุกคนมีสีหน้าพิกล เฒ่าเป๋ที่ไม่ค่อยเชื่อคำก็ถามนางด้วยรอยยิ้มแช่มชื่น “พวกเราจะสู้กันเมื่อไหร่ล่ะ”
“ไม่ต้องสู้แล้ว”
ท่านยายซีกะพริบตาปริบสองสามที “แต่ว่าพวกเขาจะอยู่แถวนี้ต่อสักพัก ก่อนจะกลับไปภายในสองสามวัน”
ทุกคนชะงักทันที ลัทธิมารฟ้าจะยอมจากไปภายในสองสามวัน พวกเขาวางแผนอะไรกันอยู่นะ
ยายเฒ่าซีอมยิ้มแล้วกล่าวต่อ “เฒ่าหม่า มู่เอ๋อบอกว่าปราณชีวิตกายาจ้าวแดนดินของเขามีคุณสมบัติธาตุมังกรเขียว เจ้าลองตรวจดูซิว่าเขาก้าวหน้าแค่ไหน”
“ปราณชีวิตกายาจ้าวแดนดิน สามารถเลียนแบบปราณชีวิตมังกรเขียวได้อีกด้วยหรือ” เฒ่าหม่าฟังแล้วก็แตกตื่น “มู่เอ๋อ มานี่เร็วเข้า มาลองประมือกับข้า!”
ฉินมู่รีบเดินเข้าไปหา
นักปรุงยามองไปยังสองคนนั้นที่กำลังต่อสู้ทดลองกำลัง เขาเข้าไปหายายเฒ่าซีแล้วกระซิบ “ยายเฒ่า เจ้าเอามู่เอ๋อไปขายใช่ไหม”
ยายเฒ่าซีกะพริบตาปริบอย่างไร้เดียงสา แล้วตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “พูดอะไรอย่างนั้น ข้าจะเอามู่เอ๋อไปขายได้อย่างไร”
“เจ้าขายเขาไปเท่าไรนี่” เฒ่าเป๋กระเถิบมาใกล้ๆ แล้วถามอย่างคันหัวใจ
“จ้าวลัทธิเยาว์ลัทธิมารฟ้า”
ยายเฒ่าซีดูเพลียใจเมื่อนางถอนหายใจ ให้พวกเขาปะตำแหน่งลงบนหน้ามู่เอ๋อก่อน และข้าจะคืนคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สืบทอดของลัทธิ คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ให้พวกเขา พวกเขาจะคอยดูว่ามู่เอ๋อจะเติบโตได้มากแค่ไหนในอนาคต หากว่าเป็นที่น่าพอใจ เขาก็จะได้รับแต่งตั้งเป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการ ราคานี้เป็นอย่างไร“
เฒ่าเป๋ตาลุกวาว หายใจกระฟืดกระฟาด “ขายได้ราคาดีขนาดนี้? ทำไมเจ้าไม่มาหาข้าก่อน ยายเฒ่า ขายข้าแทนก็ได้!”
ท่านยายซีฉีกยิ้ม “จะยากอะไร ถ้าเจ้าอยากเป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิมารฟ้า เจ้าก็แค่เดินไปหมู่บ้านข้างๆ แล้วเดินไปเยี่ยมคารวะหัวหน้าโถงทั้งสามร้อยหกสิบ และยังมีสิบสองผู้อาวุโสพิทักษ์ลัทธิ ทูตซ้าย ทูตขวา สี่จตุรเทพลัทธิ แปดผู้ตรวจการใหญ่ และปรมาจารย์ลัทธิมาร”
หน้าของเฒ่าเป๋พลันซีดเผือดเหมือนขี้เถ้าขาว “นี่ถ้ามู่เอ๋อจะเป็นจ้าวลัทธิเยาว์ เขาต้องไปทรมาทรกรรมรอบหนึ่งที่หมู่บ้านข้างๆ นั่นน่ะหรือ”
ยายเฒ่าซีถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เขาอยากดูสินค้าก่อน ถ้าไม่ได้ตรวจเช็คสินค้า พวกเขาจะวางใจให้มู่เอ๋อเป็นจ้าวลัทธิเยาว์ของลัทธิมารฟ้าได้อย่างไร”