57. หัวหน้าโถงโคมเขียว
ฉินมู่จึงถอยศีรษะที่ชะโงกเข้าไปดูอาการหัวหน้าโถงกระบี่ออก แล้วเดินไปยังห้องถัดไป ในห้องนั้นมีหญิงงามเย้ายวนที่กำลังก้มลงมองหัวหน้าโถงกระบี่ตรงชั้นล่าง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของฉินมู่ นางรีบหันกลับมาแล้วกล่าวอย่างยั่วยวน “ฝีมือกระบี่ของคุณชายช่างล้ำเลิศเสียจริง ถึงกับเรียกเลือดจากคนคลั่งกระบี่แห่งโถงกระบี่ได้ ข้าประทับใจอย่างยิ่ง ทว่าตัวข้านี้มีร่างกายบอบบางมิได้หยาบกร้านเหมือนคนคลั่งกระบี่ วอนคุณชายรักหยกถยอมบุปผาอย่ารุนแรงกับข้านักจะได้หรือไม่”
ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างไร้เดียงสาแล้วกล่าว “ข้าเพิ่งสิบเอ็ดขวบเอง และจะสิบสองในฤดูใบไม้ร่วงนี้ ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดอะไร”
สีหน้าของหญิงนางนั้นชะงักค้าง จากนั้นจึงระเบิดหัวร่อ “ฮ่าๆ ข้านึกว่าเจ้าก็เหมือนกับพวกผู้ชายตัวเหม็นพวกนั้น เลยลองยั่วยวนเจ้าดู แต่ลืมไปว่าเจ้ายังเยาว์อยู่และไม่รู้ประสาฉันท์ชายหญิง ข้าคือหัวหน้าโถงโคมเขียวของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา ในเวลาปกติพวกเราก็จะอยู่กินที่สถานเริงรมณ์และเก่งเรื่องเป็นเพื่อนสนทนากับแขก ตอนแรกข้าว่าจะลองใช้วิชายั่วยวน แต่กลายเป็นขายขี้หน้าไปเสียนี่ ข้าประทับใจมากที่คุณชายสามารถเอาชนะหัวหน้าโถงตั้งมากมายได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม ข้าคงไม่ประลองกระบี่หรือหมัด เรามาประลองวิชาท่าร่างกันเถอะ”
นางนำกล่องผงชาดประทินโฉมออกมาและเปิดออก เผยกลิ่นหอมจรุงใจ “นี่คือผงชาดทำจากกระวานของรักของโปรดของข้า ท่านและข้าเอานิ้วของพวกเราแตะผงชาดให้แดง จากนั้นแข่งขันวิชาท่าร่างกันในห้องนี้ โดยให้เอามือป้ายใส่หน้าอีกฝ่ายได้เท่านั้น หากว่าใครมีรอยนิ้วมือบนใบหน้ามากกว่า ผู้นั้นถือเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ คุณชายว่าอย่างไรล่ะ”
ฉินมู่พยักหน้า และยิ้มหวานจนตาหยี “ไม่มีปัญหา ออมมือให้ข้าด้วย พี่สาว”
“ปากหวาน!”
หัวหน้าโถงโคมเขียวร้องด้วยสีหน้าอมยิ้ม ขณะที่สองตาก็แกล้งค้อนใส่ นางแตะนิ้วทั้งสิบให้ติดผงชาดในกล่อง และส่งกล่องให้ฉินมู่ซึ่งแต้มผงชาดบนสิบนิ้วของเขาเช่นกัน
หัวหน้าโถงโคมเขียวพลันเคลื่อนไหว และท่าร่างของนางเหมือนงูเลื้อยบิดไปมา ปราณชีวิตของนางพลันแปรเปลี่ยนเป็นหางงู แล้วกระหวัดพันขาของฉินมู่
ฉินมู่จ้องประหลาดใจ เขาเคยเห็นท่าร่างแบบนี้มาก่อน ก็ตอนที่เขาสู้กับเด็กสาวที่มีท่าร่างแบบเดียวกันบนเวทีประลองที่วัดยายเฒ่า ปราณชีวิตของเด็กสาวคนนั้นก็ก่อรูปกลายร่างเป็นงูใหญ่และไล่รัดพันรอบๆ ร่างของเขา เด็กผู้หญิงคนนั้นเลื้อยขึ้นๆ ลงๆ บนร่างเขาจนกระทั่งถูกพุทธองค์พันกรทุบตีจนฟกช้ำไปหมด
หรือว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นศิษย์ของหัวหน้าโถงนี้
เท้าของฉินมู่ย่างไปข้างหน้า หลบหลีกไปไม่ปล่อยให้หัวหน้าโถงโคมเขียวกระหวัดพันขาเขาทัน หญิงสาวหัวเราะคิกๆ แล้วเลื้อยขึ้นไปบนผนัง หางงูของนางม้วนพันเสาในห้องให้เป็นหลัก เพื่อส่งนิ้วอันเรียวยาวของนางโจมตีฉินมู่
แขนของนางก็เหมือนงูวิเศษอันว่องไวและสามารถม้วนบิดเลื้อยไปมาได้อย่างอิสระ นิ้วของนางก็เหมือนงูวิเศษเช่นกัน นิ้วขาวปานหยกและแขนของนางสามารถยืดหดได้ดังใจอย่างน่าอัศจรรย์!
แต่ฉินมู่ยังเห็นสิ่งประหลาดกว่านั้น องค์เอวของหัวหน้าโถงโคมเขียวยังสามารถยืดบางเรียวลงได้ ทั้งยังคล่องแคล่วอ่อนไหวราวกับว่าไม่มีกระดูก นางห้อยร่างลงมาจากเพดานห้องราวกับงูเหลือมตัวเมียนางหนึ่ง!
ท่าเท้าของฉินมู่เปลี่ยนแปรไร้สิ้นสุด เมื่อเขาเองก็เลื้อยวกเวียนไปมาบนพื้นราวกับมังกรตัวหนึ่ง ขณะที่หัวหน้าโถงโคมเขียวเลื้อยอย่างคล่องแคล่วบนเพดาน ห้อยหัวลงมาโจมตีใส่ฉินมู่ไม่หยุดยั้ง
ทันใดนั้น ปราณชีวิตของฉินมู่ก็แผ่พุ่ง มังกรเขียวพลันกระหวัดพันรอบกายเขา กรงเล็บมังกรเขียวกางออก จิกปักเข้าไปในผนังไม้ เมื่อเขาใช้ท่าร่าง เขาก็สามารถเคลื่อนไหวไปมาระหว่างผนังกับเพดานได้อย่างเสรี ฉินมู่เลิกป้องกันและหันมาโจมตีแทน ใช้พุทธองค์พันกรโจมตีใส่หัวหน้าโถงโคมเขียวอย่างรัวเร็ว
สองคนนี้เคลื่อนที่รุกไล่ภายในห้องที่ไม่ได้กว้างขวางมากมายนี้อย่างรวดเร็วราวสายลมและสายฟ้า แต่ไม่ว่าพวกเขาจะปีนป่ายไปที่ผนังหรือกำแพง การเคลื่อนไหวก็ลื่นไหลราวกับเดินเล่นบนพื้นราบ การประชันขันแข่งของทั้งคู่ดูเหมือนมังกรดุงูร้ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด เมื่อพวกเขาต่างก็ขดเลื้อยโลดเต้นไปมาไม่หยุดพัก
ทันใดนั้น ใบหน้าของหัวหน้าโถงโคมเขียวก็ถูกฉินมู่แตะให้เกิดรอยนิ้วสี่รอยบนใบหน้า ทำให้นางว้าวุ่น และทันใดมือของฉินมู่ก็หงายอ้า เผยเสียงสายฟ้าฟาดในฝ่ามือที่กัมปนาทลั่น ทำให้นางทั้งสับสนและตระหนกใจ
เมื่อนางหายสะดุ้ง ก็พบว่าใบหน้านางเต็มไปด้วยรอยนิ้วมือไปหมดแล้ว
“พอแล้ว เลิกๆ!”
หัวหน้าโถงโคมเขียวเลื้อยไต่ลงมาจากเพดาน และโบกมือยุติศึกไปมา “พอแค่นี้แหละ ข้าแพ้แล้ว ดูสิเจ้าทำเครื่องสำอางบนหน้าข้าเลอะหมดเลย ท่าร่างของเจ้าแปลกประหลาด ท่าเท้าก็พิสดาร ข้าไม่สามารถไล่ตามเจ้าทันได้ อย่าว่าแต่จะกระหวัดรัด”
ฉินมู่ก็ไต่ลงมาจากผนังและแย้มยิ้มกล่าว “พี่สาว ขอบคุณที่ออมมือให้”
เมื่อหัวหน้าโถงโคมเขียวเห็นปากแดงๆ และฟันขาวๆ ของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะหอมแก้มเขาหนึ่งที แล้วเผยยิ้ม “ให้พี่สาวทิ้งรอยจุมพิตไว้บนหน้าเจ้าหน่อย จะได้ไม่นับว่าแพ้อย่างย่อยยับนัก”
แก้มของฉินมู่พลันแดงฉาน หัวใจเขาก็เต้นตึกตักไม่หยุด เขาเดินตุปัดตุเป๋ออกจากห้องอย่างไม่รู้เหนือใต้
หัวหน้าโถงโคมเขียวหัวเราะคิกคัก “ถ้าข้ารู้ว่าข้าจะเอาชนะเจ้าได้ด้วยวิธีนี้ ข้าคงหอมแก้มเจ้าไปตั้งแต่แรก! ในภายภาคหน้า ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลืออะไร แวะไปหอโคมเขียวแห่งไหนก็ได้ แล้วบอกพวกสาวๆ ว่าเจ้าต้องการพบฝูชิงอวิ๋น เจ้าก็จะได้พบกับข้า!”
ฉินมู่ยั้งเท้าอยู่ที่หน้าห้องถัดไปเพื่อสงบใจให้นิ่งลงก่อน หนุ่มน้อยปาดมือลบรอยลิปสติกชาดบนใบหน้าของเขา และเดินไปในห้องถัดไปขณะที่คิดในใจ มิน่าล่ะ ท่านปู่บอดถึงบอกว่าสตรีทุกคนล้วนแต่เป็นปีศาจสาวแปลงร่างมา ก้อนหัวใจข้าเกือบถูกนางดูดออกไปเพียงแค่จุมพิตเดียว…
ในห้องถัดไป เป็นคนแล่เนื้อหญิงด้วยใบหน้าที่ดูดุร้ายยิ่งกว่าคนแล่เนื้อชาย นางกำลังลับมีดเชือดหมูของนาง และในปากก็เคี้ยวเศษกระดูกอยู่
เมื่อฉินมู่เข้าไปในห้อง คนแล่เนื้อหญิงก็วาดมีดฟาดฟันใส่ฉินมู่โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง สร้างลมกระหึ่มพัดในห้องเล็กๆ นั้น ทุกมีดที่ฟาดฟันดุเดือดไร้ปรานีพร้อมที่จะเฉือนท้องเขาออกเป็นสองแล่ง!
ฉินมู่รีบชักมีดของเขาออกมาป้องกัน ติง ติง ติง ติง! เสียงติงตังเหมือนลูกแก้วหล่นใส่จานหยกดังสะท้อนมา!
ทั้งคู่พุ่งปราดผ่านกันในพริบตาที่ประเพลงมีด มีดคู่ในมือสองของคนแล่เนื้อหญิงพลันพลิกร้อยแปดสิบองศา นางเปลี่ยนไปจับมีดในแบบจับย้อนให้ปลายมีดชี้ลงพื้น ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น พร้อมกับอุทานด้วยความทึ่ง “วิเศษอะไรอย่างนี้ วิชามีดของเจ้า!”
ฉินมู่ก็จับมีดย้อนเช่นกัน แล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง “พี่สาว ข้าและท่านต่างก็จับมีดย้อน ซึ่งแปลว่ากระบวนท่าถัดไปนั้นเป็นท่าไม้ตายหมายชีวิต มีดดาบไร้ใจ เอาอย่างนี้เป็นไร พวกเราลองใช้แขนต่างมีดเพื่อมิให้การต่อสู้รุนแรงเกินไป”
คนแล่เนื้อหญิงโยนมีดของนางทิ้งไปปักผนังข้างๆ แล้วฉีกยิ้ม “เจ้าพูดถูก ถือมีดจับย้อนแปลว่าเราหมายจะเข่นฆ่า หากว่าข้าสังหารเจ้าไป ฮูหยินลัทธิต้องบ้าดีเดือดและตามมาฆ่าข้าแน่ เช่นนั้นเจ้ากับข้ามาสู้กันด้วยมือเปล่า!”
ฉินมู่ใช้ปราณชีวิตม้วนพันมีดเชือดหมูของเขาเก็บกลับเข้าฝัก มือเขากระตุกเล็กน้อยก็เรียกเพลิงไฟลุกไหม้บนฝ่ามือต่างคมมีด
มือของคนแล่เนื้อหญิงก็สั่นสะเทือน และคมมีดพลันปรากฏที่มือของนาง มันเป็นปราณชีวิตพยัคฆ์ขาวอันคมกล้าไร้ต่อต้าน นางกระโจนใส่ฉินมู่พลางกล่าว “นายน้อย มีดไฟของเจ้าเสียเปรียบข้า มันไม่คมกล้าเท่ากับปราณชีวิตพยัคฆ์ขาว!”
สายตาของฉินมู่ไหววูบ เปลวไฟพลันไหลก่อรูปเป็นคมมีดที่ชี้ลงข้างล่าง ราวกับว่าเขากำลังจับย้อนมีดไฟ
เพลงมีดเชือดหมู กระบวนท่าที่สาม…เสยมีดจากจุดต้องห้าม!
ร่างของทั้งคู่เข้าประชิดแทบจะนาบติดกัน เมื่อฝีเท้าพวกเขาต่างก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มีดต่อมีดประชิด พวกเขาแทบไม่ต้องใช้ดวงตามองกระบวนท่าของอีกฝ่าย เพียงสัมผัสพลังที่แผ่พุ่งออกมาจากร่างกายของคู่ต่อสู้ พวกเขาก็สามารถทำนายการเคลื่อนไหวและตอบสนองสนองรับมือได้ทันที ไม่ว่าจะรุกไล่หรือป้องกัน
หัวใจของการจับมีดย้อนคือการเข้าประชิด ลดระยะวงควงมีด เพิ่มความเร็วมีดอย่างมโหฬาร ทั้งยังให้มีดเฉือนฟันได้จากแง่มุมอันคาดเดาได้ยากอีก!
นี่คือเทคนิคขั้นสุดยอดในบรรดาเทคนิคของสำนักวิชาบู๊ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะ หรือผู้ฝึกวิชาเวทมนตร์ ถ้าปล่อยให้ยอดฝีมือวิชาบู๊เข้าใกล้แล้วล่ะก็ เตรียมโลงไว้ได้เลย!
มัดกล้ามเนื้อทั้งหกร้อยสี่สิบมัดของฉินมู่สั่นไหวภายใต้ผิวหนังเขาไม่หยุดเพื่อรีดเค้นระเบิดกำลังออกมาในระยะประชิด!
ภายในไม่กี่พริบตา ทั้งเขาและคนแล่เนื้อหญิงต่างก็เหงื่อไหลโซมกาย พวกเขาต้องควบคุมมัดกล้ามเนื้อจำนวนมากพร้อมๆ กันในระยะเวลาอันสั้นพร้อมทั้งคะเนคำนวณการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้จากมัดกล้ามเนื้อของอีกฝ่ายเพื่อคอยระวังการโจมตีอันร้ายกาจเผ็ดร้อน และขณะเดียวกันก็หาจังหวะที่จะเฉือนฟันศัตรู จึงกลืนกินพละกำลังไปมหาศาล!
ทันใดนั้น ด้วยมีดฝ่ามือ มือของฉินมู่ฝ่าเข้าไปในช่องโหว่ของคนแล่เนื้อหญิง เสยฝ่ามือกรีดขึ้นบน เขาเฉือนผ้ากันเปื้อนกรังน้ำมันที่นางสวมอยู่ตรงหน้าอกขาดเป็นสองแล่ง!
คนแล่เนื้อหญิงก้าวถอยหลัง สลายปราณพยัคฆ์ขาวที่ฝ่ามือ และกระชากผ้ากันเปื้อนขาดสองเสี่ยงของนางออกโยนไปข้างๆ จากนั้นหัวร่ออย่างสาสมใจ “ฮ่าๆ ข้าแพ้เสียแล้ว และเจ้าชนะไปได้ เพลงมีดของเจ้าไม่เลวเลย หากว่าเจ้าไม่สามารถฝ่าด่านทั้งสามร้อยหกสิบห้องนี้ไปได้ เจ้าจะมากับข้า เพื่อแล่เนื้อขายหาเลี้ยงชีพก็ได้นะ”
ฉินมู่มีจิตชื่นชมพี่สาวร่างใหญ่ผู้นี้ เขายิ้มแล้วกล่าว “ข้ายังสามารถหลอมปรุงยาได้นะ ไม่จำเป็นต้องฆ่าหมูแล่เนื้อขายอย่างเดียว ข้ายังสามารถเป็นหมอรักษาผู้คนได้ด้วย”
คนแล่เนื้อหญิงถ่มไม้จิ้มฟันกระดูกออกจากปาก แล้วยิ้มเยาะ “เฮอะ หมอยา? หากว่าคนไข้เจ้าตายระหว่างรักษา ระวังครอบครัวเขาจะฟ้องเจ้าหมดตัว! เจ้ามาเชือดหมูขายดีกว่าเยอะ งานนี้มั่นคงไม่เสี่ยง ถ้าเจ้ามาเชือดหมูกับข้า ข้ารับรองเจ้าจะมีอยู่มีกินไปทั้งชีวิต!”
ฉินมู่ฟังแล้วก็เริ่มปวดหัวตึ้บ เขากระเถิบถอยออกจากห้อง พลางพึมพำ “ไว้ค่อยดูอีกที ไว้ค่อยดูอีกที ข้ายังเด็กอยู่เลย ยังไม่ได้คิดเรื่องหากิน…”
“นายน้อย!”
คนแล่เนื้อหญิงยกมือนางหยิบมีดเชือดหมู่ที่ปักบนผนังแล้วร้องเรียกเขาไว้ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เมื่อเจ้ากลับไปพบกับฮูหยินลัทธิ ช่วยบอกนางด้วยว่า ข้าปี้เหยา คิดถึงนางสุดๆ และยังคงเฝ้ารอแล่เนื้อเชือดสัตว์ที่นางหามาเสมอ”
ฉินมู่พยักหน้า
คนแล่เนื้อหญิงเดินลงมาจากชั้นบนของเรือน และกำลังจะออกไปที่หมู่บ้าน ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงโครมคราม เมื่อนางเงยหน้ามองดูก็เห็นเรือนไม้อีกหลังพังทลายเมื่อหัวหน้าโถงจับงูกระเด็นร่วงลงมาจากบนนั้น แบบหัวปักพื้น ทำเอาหินปูทางแตกเป็นเสี่ยงๆ
ขณะที่ปี้เหยาเข้าไปหมายฉุดดึงหัวหน้าโถงจับงูขึ้นมานั่นเอง เสียงตูมตามก็ดังสนั่นมาอีกหน และชายคนหนึ่งก็ลอยละลิ่วออกมาจากเรือนที่พังพินาศ หวือไปแปะทาบทั้งแขนขาหน้าตากับตึกฝั่งตรงข้าม
ตูม!
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นอีกรอบ เมื่อหัวหน้าโถงทำนายชะตากระเด็นทะลุกำแพงห้องของเขา และไม่ทันที่เขาจะตกถึงพื้น เสียงมารก็ดังลอยมาจากเรือนชั้นบน “บอเร บอเร ซาโมเยว่!”
แรงสะเทือนราวแผ่นดินไหวเลื่อนลั่นไปหมด หัวหน้าโถงพ่อค้าเร่ถูกพลังนั้นถีบมาติดๆ
ปี้เหยาช่วยดึงหัวหน้าโถงจับงูขึ้นมาจากพื้นที่เขาเอาหัวไปฝัง จากนั้นเงยหน้ามองความวุ่นวายรอบๆ พึมพำ “ดูเหมือนนายน้อยมู่จะเลิกวอร์มอัพแล้ว เขากำลังเอาจริง…”