Skip to content

Tales of Herding Gods 86

86. แดนยมโลก

ฉินมู่นั่งอยู่ใต้ตะเกียง จี้หยกที่อกเขาเปล่งแสงริบหรี่ มันยังคงลอยขึ้นไปบนอากาศและหมายจะลอยเลื่อนไปยังที่ไกลๆ

นี่เหมือนไม่ใช่หมู่บ้านไร้กังวล? หากว่าไม่ใช่ แล้วหมู่บ้านไร้กังวลอยู่ที่ไหนกันแน่

เรือน้อยแล่นไปเบื้องหน้าอย่างไม่เร่งร้อน มันแล่นอย่างไม่เร็วไม่ช้า ตั้งแต่เมื่อเขาขึ้นมาบนเรือ ฉินมู่ก็พบว่ากระดูกผีมากมายในดินแดนแห่งนี้ก็ไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไป ราวกับว่าพวกมันมองไม่เห็นพวกเขา

ภูเขาโครงกระดูกก็กลับสู่สภาพปกติ และกระดูกผีเหล่านั้นก็นอนสุมแน่นิ่งเหมือนกับว่าตายลงไปอีกครั้ง ทำให้ทั้งโลกเงียบงัน

ฉินมู่สลัดศีรษะเบาๆ หวนระลึกถึงปรากฏการณ์เหนือจินตนาการที่เขาพบพานระหว่างการเดินทางมาที่นี่ ทุกสิ่งที่เขาไม่เคยคิดเคยฝันต่างเรียงรายกันเผยตัวออกมา และยิ่งมาก็ยิ่งพิลึกพิกล

ปีศาจร้ายในความมืด ผู้นำทางความตายในหมู่บ้านริมแม่น้ำ โลกในดงหมอก จนกระทั่งถึงเรือน้อยที่พวกเขากำลังนั่งอยู่ในขณะนี้ เช่นเดียวกับชาวเรือโครงกระดูก ทั้งหมดนี่ดูยากที่เชื่อ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ

ยิ่งไปกว่านั้น โลกในความมืดของแดนโบราณวินาศก็มิได้เรียบง่ายดังที่ผู้ใหญ่บ้านเคยคิด แต่เดิมเขาคิดว่ามีเพียงแต่แดนมืดที่ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืด ทว่าจากที่เห็นๆ เพียงแดนมืดอย่างเดียวไม่อาจอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพบเห็นมาตลอดทาง

แดนมืดน่าจะมีตัวตนอยู่ แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีโลกมิติอื่นๆ ในความมืด นอกจากแดนมืด

“ผู้ใหญ่บ้าน คนที่ให้เหรียญเฝิงตู่กับพวกเราเขาเป็นใครหรือ” ฉินมู่ชำเลืองมองไปทางชาวเรือแล้วถามผู้ใหญ่บ้านด้วยเสียงเบา

“สหายเก่าคนหนึ่ง”

ผู้ใหญ่บ้านมีสีหน้านิ่งเฉย “ข้าไม่เห็นเขานานมากแล้ว และไม่ได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับเขา ข้าคิดว่าเขาคงตายไปแล้วแต่ไม่นึกเลยว่าจะยังมีชีวิตอยู่ ค่อนข้างน่าทึ่งที่ผู้คนจากยุคของข้ายังมีชีวิตมาจนปูนนี้ได้”

ความคิดของฉินมู่ลอยล่องไปไกล ยุคสมัยของผู้ใหญ่บ้านคงเต็มไปด้วยยอดคนวีรบุรุษมากมายประดุจดาวรายเต็มฟ้า ยอดฝีมือสะเทือนโลกหลายต่อหลายคนคงผุดโผล่ขึ้นมาอันล้วนแต่เก่งกาจตราตรึงใจพอๆ กับผู้ใหญ่บ้าน

แต่น่าเศร้าใจ ที่เวลาและวารีไม่เคยคอยใคร แม้ว่าพวกเขาจะเป็นยอดคนยากหาผู้เปรียบในยุคสมัยของตนเอง พวกเขาก็ยังคงต้องชราภาพในบั้นปลายของชีวิต เหลือเวลาดูโลกอีกเพียงไม่นาน

“ข้าไม่นึกว่าเขายังคงคึกคักเที่ยวท่องไปทั่ว คราวนี้ถึงกับมาถึงที่นี่”

ผู้ใหญ่บ้านเผยยิ้มกล่าว “เขาเก่งเรื่องหาความรู้มากกว่าข้า และพบพานประสบการณ์ลึกลับมากกว่าเช่นกัน อันที่จริงแล้วข้าค่อนข้างอิจฉาชีวิตสบายๆ ไร้สิ่งผูกมัดของเขา เขาผ่อนคลายมากกว่าข้า มู่เอ๋อ เพราะเขาเป็นคนที่อยู่ไม่ติดที่และชอบร่วมชมดูเรื่องสนุกไปทุกทิศ เจ้าอาจพบเขาอีกในอนาคต ชื่อของเขาคือหลิงจิ่ง เขามีไฝใต้ดวงตาซ้าย และนิ้วนางข้างขวาเขาขาดหายไป อันถูกข้าใช้กระบี่ฟันออก”

“ผู้ใหญ่บ้าน แล้วเรือนี้จะพาเราไปที่ไหนหรือ”

ฉินมู่มองไปรอบๆ และพวกเขาก็มาค่อนข้างไกลจากทางเข้าโลกมิตินี้ เขามองไม่เห็นทางที่พวกเขาเข้ามาและก็ไม่รู้ว่าตนกำลังมุ่งหน้าไปไหนหากว่ายังลอยเรือไปอย่างนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ใครจะรู้ว่าที่นี่คือแดนโบราณวินาศหรือเปล่า

ที่นี้อาจจะไม่ใช่โลกที่แดนโบราณวินาศตั้งอยู่เลยด้วยซ้ำ!

ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้ว จี้หยกของฉินมู่นำทางพวกเขามาที่นี่ และแม้จะอาศัยอยู่ในแดนโบราณวินาศมาตั้งนานนม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับเหตุการณ์พิลึกพิลั่นและสถานที่อันแปลกพิกลเช่นนี้ แต่ในเมื่อจี้หยกของฉินมู่นำทางพวกเขามาที่นี่ ก็แปลว่าสถานที่แห่งนี้เกี่ยวข้องกับที่มาของจี้หยก

และในเมื่อพวกเขาไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน และไม่สามารถลงไปจากเรือได้ ก็เลยได้แต่ปล่อยให้เรือและชาวเรือประหลาดตนนี้พาพวกเขาไปยังจุดหมายปริศนา

“มู่เอ๋อ หากว่าข้าไม่ได้พาเจ้าออกมา ข้าอาจจะไม่สามารถค้นพบสถานที่นี้ด้วยซ้ำ”

เมื่อเขากล่าว หมอกเบื้องหน้าพวกเขาก็จางลงและเผยให้เห็นดินแดนกว้างใหญ่ ภูเขาที่นี่มิใช่ภูเขากระดูกผี และริมชายฝั่งของทะเลหมอกก็มีท่าเรืออันสร้างจากไม้อยู่ ซึ่งเรือเล็กนี้สามารถเข้าเทียบท่าได้

เรือน้อยใบไม้จอดลงอย่างนิ่มนวลเมื่อมันแล่นมาถึงท่า

ฉินมู่หยิบเหรียญเฝิงตู่ออกมาหนึ่งเหรียญตระเตรียมจะจ่ายค่าโดยสารแก่ชาวเรือ แต่ชาวเรือชูสองนิ้วกระดูกของเขา

ฉินมู่จึงนำเหรียญเฝิงตู่ออกมาเพิ่มอีกเหรียญ ชาวเรือรับไปแล้วพยักหน้า ฉินมู่และผู้ใหญ่บ้านขึ้นจากเรือและเดินไปยังดินแดนแห่งนั้น เมื่อเด็กหนุ่มเหลียวหลังไปดู เขาก็เห็นเรือน้อยและชาวเรือโครงกระดูกหายลับไปในหมอก มีเพียงแสงริบหรี่ของตะเกียงบนกราบเรือที่ยังพอเห็นได้เลือนลาง

“สถานที่ประหลาด…”

จี้หยกที่อกเขาลอยขึ้นอย่างแช่มช้าและชี้ไปเบื้องหน้า

ฉินมู่เดินตามผู้ใหญ่บ้านไป พวกเขาเดินไปไม่ไกลนักก็เห็นหินหลักปักปันเขตแดนที่มีข้อความจารึกไว้

“แดนยมโลก คนเป็นห้ามเข้า คนตายให้เดินต่อไป”

ฉินมู่อ่านข้อความบนหินหลักปักปันเขต ทั้งคู่อึ้งไป ฉินมู่จึงถามอย่างลังเล “ผู้ใหญ่บ้าน เช่นนั้นเราจะไปข้างหน้าต่อไหม”

ผู้ใหญ่บ้านมองไปเบื้องหน้าและเห็นหมู่บ้านมากมายอยู่ไกลๆ เขายิ้มแล้วกล่าว “ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว เหตุใดเราจะไม่ไปต่อเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่อีกข้างหน้าล่ะ ลุยกันเถอะ”

ฉินมู่ตามเขาข้ามเขตอันมีหินหลักบ่งบอกไว้ไป และทันใดนั้นฉินมู่ก็ร้องด้วยตวามแตกตื่น ยกมือของเขาขึ้นมาดู มือทั้งสองข้างของเขากลายเป็นกระดูกผีตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้!

เขารีบดึงเสื้อตนเองออกมาดู และพบว่าเลือดเนื้อทั้งหมดของเขาหายวับไปโดยสิ้นเชิง หลงเหลือแต่โครงกระดูกขาวโพลน!

มองมองไปยังผู้ใหย่บ้าน เขาก็ได้กลายเป็นกระดูกผีลอยล่องอยู่ในอากาศเช่นกัน ที่น่าแปลกคือกลับงอกเงยแขนและขาขึ้นมา!

ช่วงอกและศีรษะของเขาเป็นกระดูกขาวโพลน แต่แขนและขาของเขากลับมีเลือดเนื้อ!

แต่ว่า ผู้ใหญ่บ้านไม่มีแขนขานี่นา ทำไมจู่ๆ ก็งอกขึ้นมาได้

“แดนยมโลก แดนยมโลก…มู่เอ๋อ พวกเรากลับกันเถอะ” ผู้ใหญ่บ้านโพล่งขึ้นมาทันที

ฉินมู่ถอยกลับมาที่หินหลักปักปันเขตและก้มมองเนื้อตัว พบว่าเลือดเนื้อของเขาคืนกลับมาเป็นปกติ ขณะที่แขนและขาของผู้ใหญ่บ้านหายวับไป ส่วนอกและศีรษะกลับเป็นเลือดเนื้อตามปกติ

“ข้าเข้าใจล่ะ มีโลกมหัศจรรย์เหลือเชื่อแบบนี้ด้วยแฮะ…”

ผู้ใหญ่บ้านแย้มยิ้ม จากนั้นเดินกลับเข้าไปในแดนยมโลก “พวกเราเข้าไปดูข้างในกันเถอะ”

ฉินมู่ระงับความแตกตื่นในใจ และตามเขาเข้าไปในดินแดนอัศจรรย์นี้ เท้าของผู้ใหญ่บ้านแตะลงกับพื้นและเขาก็เริ่มเดิน เขาหยุดชะงักและมองดูแขนของเขาพลางถอนหายใจ ราวกับว่าเขากำลังรำลึกถึงอวัยวะที่หายไป

ข้างหน้านั้น มีวัดอยู่บนเทือกเขาสูงใหญ่ และหลังจากวัด มีหมู่บ้านขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ต่อสายตาพวกเขา

ทั้งคู่เข้าไปในหมู่บ้านนั้นและพบว่าที่นี่เต็มไปด้วยเสียงนกร้องและดอกไม้หอมหวน สถานที่นี้สงบเงียบร่มรื่น ชาวบ้านดำรงชีวิตอย่างสงบสุขและทำงานของตนด้วยใจรื่นรมย์ เมื่อพวกเขามาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน ก็ยังเห็นหมูอ้วนท้วนเดินหายใจฟืดฟาดผ่านพวกเขาไป

ฉินมู่และผู้ใหญ่บ้านยืนนิ่งอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านไม่ย่างเท้าเข้าไป ทำให้ชาวบ้านสี่ห้าคนเหลียวมองดูพวกเขาด้วยสายตาประหลาด ไม่นานนัก ก็มีผู้เฒ่าเดินกระย่องกระแย่งมา ใบหน้าเขาเหี่ยวย่นด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา เขาแย้มยิ้มแล้วถาม “ผู้มาเยือนจากโลกภายนอก มีอะไรให้ข้าช่วยไหม”

ฉินมู่และผู้ใหญ่บ้านโค้งคารวะ จากนั้นฉินมู่จึงถาม “ท่านผู้เฒ่า ไม่ทราบว่าจะบอกทางไปหมู่บ้านไร้กังวลให้พวกเราหน่อยได้ไหม”

ผู้เฒ่าผู้นั้นยกมือขึ้นและชี้ไปด้านหลังภูเขา “หลังจากพวกเจ้าข้ามเขาลูกนี้และผ่านประตูไป พวกเจ้าจะเห็นหมู่บ้านไร้กังวล”

“ขอบคุณท่านมาก”

“ไม่เป็นไร ยินดี”

ฉินมู่และผู้ใหญ่บ้านจึงเดินขึ้นไปบนภูเขา ฉินมู่เหลียวหลังกลับและเห็นชาวบ้านในหมู่บ้านยังจับจ้องมองตามพวกเขาด้วยสายตาประหลาด

ผู้ใหญ่บ้านอธิบาย “ในสายตาของพวกเขา พวกเราคือคนตาย ดังนั้นพวกเขาจึงมองพวกเราแบบนี้”

ฉินมู่จึงหันกลับมาคืนแล้วกล่าว “ผู้ใหญ่บ้าน มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล…ท่านปู่บอดช่วยข้าเปิดเนตรเทวะทั้งเก้าสวรรค์ และแม้ตอนนี้ข้าจะไม่มีลูกตา แต่ข้าก็สามารถมองเห็นบางอย่างได้ลางๆ…”

ผู้ใหญ่บ้านชะงัก “เจ้าเห็นอะไร”

ฉินมู่ตอบ “รังสีมารปีศาจบนตัวของพวกเขา”

ผู้ใหญ่บ้านครุ่นคิดอย่างหนักแล้วจึงอธิบาย “แดนยมโลกน่าจะมีพลังกฎที่สลับเป็นตาย นี่คือพลังของมารและเทพ เมื่อเราเข้ามาที่นี่ พวกเราดูเหมือนจะไม่มีเลือดเนื้อ แต่เมื่อเราออกจากเขตแดนยมโลก เลือดเนื้อเราก็กลับมาทันที นั่นแปลว่าบัดนี้เลือดเนื้อของเราก็ยังมีอยู่ เพียงแต่พวกมันถูกห่อหุ้มบังตาด้วยพลังกฎดังกล่าว ดังนั้นเราจึงไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัสเลือดเนื้อตนเองได้ มู่เอ๋อ ในเมื่อทั้งเก้าสวรรค์ของเนตรเทวะของเจ้ายังคงทำงานได้อยู่ เจ้าลองดูใช้ปราณชีวิตขับเคลื่อนเก้าสวรรค์ของเจ้าดูซิว่าทำได้ไหม”

เขาทดลองดู เมื่อสัมผัสได้ถึงดวงตาของตน เขาจึงโคจรปราณชีวิตเข้าไปในดวงตาและขับเคลื่อนรูปรอยพยุหะเนตรเทวะสวรรค์เก้าในดวงตาทันที และทันใดนั้นเขาก็พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้าเขาชัดเจนแจ่มใส

เขาเบือนศีรษะกลับไปดูทุกคนในหมู่บ้านซึ่งรูปลักษณ์เปลี่ยนแปลงไป พวกเขามิใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่เหลือเพียงโครงกระดูก แม้แต่วัวควายในหมู่บ้านและหมูอ้วนตัวนั้นก็กลับกลายเป็นกระดูกผี!

โครงกระดูกของผู้คนในหมู่บ้านมีรูปร่างแปลกประหลาดเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่โครงกระดูกมนุษย์

ฉินมู่บรรยายลักษณะแปลกพิกลของโครงกระดูกที่เขาเห็น ผู้ใหญ่บ้านฟังแล้วครุ่นคิดก่อนจะตอบ “พวกเขาคือฝูงมารฟ้า”

“ฝูงมารฟ้า?” ฉินมู่อ้าปากค้าง

“ฝูงมารฟ้าเป็นเผ่ามารเผ่าหนึ่ง ลัทธิมารฟ้าของเจ้าอาจจะมีคำว่ามารฟ้า แต่ทุกคนในลัทธิยังเป็นมนุษย์ แต่ฝูงมารฟ้านั้นแตกต่างออกไป ตำนานกล่าวไว้ว่าฝูงมารฟ้าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มาจากโลกอื่น พวกมันมีนิสัยชอบรุกรานดินแดนอื่น ส่วนว่ามันจะมาจากที่ไหนนั้น ไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่อย่างไรก็ดี บางตำนานกล่าวว่า…”

ผู้ใหญ่บ้านหยุดพูดไม่กล่าวต่อ เขามองไปข้างหน้าแล้วรำพึง “หรือว่าที่นี่คือโลกดินแดนของมารฟ้า? ก็ไม่คล้ายนะ พวกเราลองไปดูต่อกัน หากว่านี่คือโลกดินแดนมารฟ้าจริงๆ พวกเราต้องรีบออกไปโดยเร็วที่สุด!”

หลังจากข้ามภูเขามาหลายลูก พวกเขาก็มาถึงประตูที่ผู้เฒ่าคนนั้นกล่าวถึง ประตูดังกล่าวใช้ภูเขาสองลูกแทนต้นเสา มีบันไดพาดระหว่างยอดเขาสองลูกแทนคานประตู เขียนไว้บนผนังภูเขาสองตัวอักษรว่า‘เฝิงตู่’

ฉินมู่ใจเต้นตึกตัก และสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี ตำนานกล่าวไว้ว่าเฝิงตู่คือประตูทางเข้านรก หรือที่นี่คือนรก?

แต่ผู้ใหญ่บ้านไม่ใส่ใจสองคำนั้น เขาเดินผ่านไปเฉยๆ ฉินมู่รีบรุดตามไป และเมื่อทั้งสองคนเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาก็ใจตะลึงลาน

ข้างหน้านั่น ในใจกลางของเมืองจำนวนมากอันเรียงรายกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีวิหารยิ่งใหญ่อลังการสูงเทียมเมฆตั้งอยู่ บรรดาเมืองต่างๆ ที่รายล้อมวิหารมีจำนวนนับไม่ถ้วน ราชวังก็มากมายเหลือคณา บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างก็หนาแน่นกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มองไปไม่อาจเห็นจุดสิ้นสุดของเมือง!

นี่คือโลกดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลละลานตาเบื้องหลังประตูเฝิงตู่!

“นี่น่าจะเป็นเมืองหลวงเฝิงตู่”

ขณะที่ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่นั้น เขาก็เหลือบไปเห็นซากเรือปรักหักพัง เป็นเรืออันก่อรูปขึ้นมาจากภูเขา และบนเรือนั้นมีโซ่อันลอยอยู่ในอากาศราวกับสายป่านของว่าว ที่ปลายโซ่นั้นผูกไว้กับวัตถุกลมสีเทา

วัตถุกลมขนาดใหญ่ยักษ์ ซึ่งพังยุบไปครึ่งหนึ่ง

มันคือดวงจันทร์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!