Skip to content

Tales of Herding Gods 132

ตอนที่ 132 วิชาเซียนเถียนสุดยอดปริศนา

การก้าวลํ้าไปจากพรมแดนของท่วงท่ากระบี่พื้นฐานนั้นมิใช่เรื่องเล็กๆ มันแทบจะเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้

ฉินมู่รู้กระจ่างใจว่าการทําเช่นนี้ยากเย็นเพียงไหน ไม่ว่าจะซับซ้อน ร้อยเปลี่ยนพันแปลง หรือพิสดารแปลกใหม่เพียงใด เพลงกระบี่ทุกวิชาในโลกหล้าก็ล้วนสามารถวิเคราะห์แยกแยะออกมาเป็นท่วงท่ากระบี่พื้นฐานที่สุดได้เสมอ อันมิใช่ใดอื่นนอกจากท่วงท่ากระบี่แทง ท่วงท่ากระบี่พลิก ท่วงท่ากระบี่สะบัด ท่วงท่ากระบี่ผ่า ท่วงท่ากระบี่ฟัน ท่วงท่ากระบี่จิ้ม ท่วงท่ากระบี่แย็บ ท่วงท่ากระบี่ป้อง ท่วงท่ากระบี่โค้ง ท่วงท่ากระบี่เฉียด ท่วงท่ากระบี่กวาด ท่วงท่ากระบี่เสย ท่วงท่ากระบี่ขัด และท่วงท่ากระบี่โกน

ไม่ว่าเพลงกระบี่นั้นจะน่าแตกตื่นสะท้านโลกาขนาดไหน มันก็ล้วนแต่เป็นการประกอบกันขึ้นมาของท่วงท่ากระบี่พื้นฐานเหล่านั้น

แต่ทว่าสําหรับราชครูสันตินิรันดร์นั้นแตกต่างออกไป เขาถึงกับเพิ่มท่วงท่ากระบี่พื้นฐานเข้าไปท่ามกลางระหว่างบรรดาท่วงท่ากระบี่พื้นฐานเดิม!

น่าตื่นตระหนกอย่างร้ายเหลือ!

ฉินมู่ไม่รู้ว่าราชครูเพิ่มท่วงท่ากระบี่พื้นฐานเข้าไปมากแค่ไหน

แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นท่วงท่าเดียว เพลงกระบี่ทั้งหมดก็จะต้องถูกสอบทาน รื้อสร้าง และร้อยเรียงขึ้นมาใหม่ มิเช่นนั้นมันก็จะกลายเป็นช่องโหว่ในสายตาของราชครู!

“เรียกได้เลยว่าเทพ…” ฉินมู่ข่มความแตกตื่นในหัวใจพลางพึมพํา

เพลงกระบี่มหาหกทิศที่ฉูปิ่งร่ายรําอยู่นั้นทั้งน่าประทับใจและยิ่งใหญ่ มันมีพลานุภาพอันเกรี้ยวกราดรุนแรงและฤทธิ์เดชอันเกินจินตนาการ!

ผู้ฝึกวิชาเทวะที่เขาเคยพบเจอไม่กี่คนในแดนโบราณวินาศนั้น ไม่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเท่ากับฉูปิ่ง

ก็ล้วนแต่เป็นบัณฑิตในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิด้วยกันแต่เมื่อเทียบกับขั้นห้าธาตุ ขั้นหกทิศนี้คือการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ กําลังฝีมือที่เพิ่มพูนขึ้นนั้นเกินอัศจรรย์!

แม้ว่าบัณฑิตในขั้นห้าธาตุนั้นจะแข็งแกร่ง แต่กําลังฝีมือพวกเขาก็ยังดูสมเหตุสมผล ในสายตาของฉินมู่ ไม่มีบัณฑิตขั้นห้าธาตุคนไหนในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิที่สามารถเป็นคู่มือของฉูปิ่งได้

แต่ทว่าสําหรับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแล้ว แม้พวกเขาจะเพิ่งบรรลุวรยุทธ์ขั้นนี้ได้ไม่นานแต่ก็ยังแข็งแกร่งเกินคิดฝัน!

ขั้นหกทิศคือการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน ห้วงคิดของฉินมู่หยุดชะงักเมื่อทันทีนั้นที่แส้หางม้าบนบ่าของเต๋าจื่อหลินเสวียนจะลอยขึ้นมา เส้นขนแส้เหล่านั้นพลันยืดขยายและพวกมันรวมตัวเข้าด้วยกันทิ่มแทงเข้าใส่กระบี่มหาหกทิศของฉูปิ่ง!

กระบี่มหาหกทิศของฉูปิ่งนั้นมิได้รวมอยู่ในท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน เต๋าจื่อหลินเสวียนใช้แส้ปัดหางม้าแทนกระบี่ กระบวนท่าเพลงกระบี่ของเขานั้นชัดเจนกระจ่างและล้วนแต่อยู่ในท่วงท่ากระบี่พื้นฐานดั้งเดิม

เพลงกระบี่ของเขามิได้น่าตะลึงลานและโอ่อ่าอลังการเหมือนเพลงกระบี่มหาหกทิศ แต่ในสายตาของฉินมู่ เขาสามารถเห็นจุดอันแตกต่างไปจากปกติ

ฉูปิ่งจะแพ้อย่างแน่นอน เต๋าจื่อหลินเสวียนจะใช้เพียงแค่หนึ่งกระบวนท่าก็เอาชัยเขาได้

เรียนกระบี่จากผู้ใหญ่บ้านแม้ว่าเขาจะรู้กระบวนท่าเดียวคือ กระบี่ท่องไปในทิวทัศน์ และอื่นๆ ที่เขารู้ก็มีแต่ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน สายตาของเขานั้นก็เหนือชั้นกว่ายอดฝีมือเชิงกระบี่ทั้งหลายทั้งปวง

กระบวนท่ากระบี่ของเต๋าจื่อหลินเสวียนดูเหมือนเรียบง่าย คล้ายกับว่าเพียงแค่แทงไปตรงๆ ใส่เพลงกระบี่มหาหกทิศของฉูปิ่ง ทว่าเส้นแส้อันละเอียดยิบเล่านั้นก็เหมือนกระบี่เล็กละเอียดอันแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดยั้ง!

การแปรผันเปลี่ยนแปลงในกระบวนท่านั้นมากมายเหลือเกิน! ฉินมู่ปลุกเนตรสวรรค์เขียวและสะท้านใจอย่างรุนแรง ในขนแส้หลายร้อยเส้นของเต๋าจื่อหลิวเสวียนนั้นแต่ละเส้นมีการเปลี่ยนแปรในชั่ววินาที ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าในวินาทีหนึ่ง หนึ่งกระบวนท่าเขามีแปลงแปลงมากกว่าพันครั้ง!

จะเป็นไปได้หรือที่จะป้องกันการโจมตีจากกระบวนท่าอันแปรเปลี่ยนไปมามากมายขนาดนี้!

แต่กับฉูปิ่ง เพลงกระบี่มหาหกทิศของเขามีการเปลี่ยนแปลงไม่มาก ท่ากระบี่เขาอาจจะมีจํานวนแสงกระบี่มากกว่า แต่ทุกๆ แสงกระบี่ใช้ท่วงท่ากระบี่บิด อันหมุนวนไปรอบๆ จุดศูนย์กลางและเคลื่อนตัวไปข้างหน้าทีละชั้นทีละชั้น

เมื่อพวกมันเข้าปะทะกับเส้นแส้ที่เต๋าจื่อหลินเสวียนใช้แทนกระบี่ มันก็จะถูกทําลายไปอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินมู่ยังพบว่าพื้นฐานของเต๋าจื่อหลินเสวียนนั้นหนาแน่นมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง แทบจะเทียบเท่ากับเขา ความเชี่ยวชาญของเต๋าจื่อหลินเสวียนใช้ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานนับว่ากล้าแข็งที่สุดในบรรดาผู้ฝึกวิชาเทวะที่ฉินมู่เคยพบเห็นแม้ว่าเต๋าจื่อหลินเสวียนจะด้อยกว่าเขาบ้าง แต่ก็มิได้ห่างไกล

แม้แต่หัวหน้าโถงกระบี่ที่ฉินมู่ถ่ายทอดรากฐานกระบี่ให้ เขาก็ยังด้อยกว่าเต๋าจื่อหลินเสวียน

ประเด็นสําคัญที่สุดคือแม้ว่าเพลงกระบี่ของฉูปิ่งจะเจือปนท่วงท่ากระบี่ใหม่ที่ราชครูสันตินิรันดร์คิดค้นแต่รากฐานของเขายังไม่บรรลุขั้นบน ไม่ว่าเพลงกระบี่เขาจะเพริศแพร้วเพียงใด แต่ก็มิอาจปลดปล่อยฤทธานุภาพออกมาเต็มพิกัดได้โดยปราศจากรากฐานที่แน่นหนาพอ

ติง ติง ติง

เสียงปะทะกันถี่ยิบดังออกมา แวบแรกทุกคนเห็นก็แต่ขนแส้ปัดปะทะกับเสากระบี่ ในชั่วพริบตาต่อมา พวกเขาเห็นเสากระบี่แหลกสลายบนท้องฟ้าและหายวับไป มีไม่กี่คนที่สามารถเห็นการเปลี่ยน

แปรนับพันอันเกิดขึ้นระหว่างเพลงกระบี่ของทั้งคู่ในชั่วพริบตานั้น

ฉูปิ่งโดนแส้หางม้าแทงเข้าไปที่อก และซัดร่างเขาไปปะทะกับประตูภูเขาดังตึ้ม ประตูภูเขาโยกเยกโอนเอน ผงคลีร่วงกราวลงมา

เต๋าจื่อหลินเสวียนเขย่าแส้หางม้าเบาๆ ขนแส้ปัดก็หดสั้นลง…สั้นลง ด้วยแส้ปัดพาดที่บ่าเขานั่งลงตามเดิมและดวงตามองหรุบตํ่าอย่างสํารวมและสงบนิ่ง

ที่ประตูภูเขา ฉูปิ่งร่วงลงมาและมีรูแผลเหวอะหวะที่หน้าอกอันถูกแทงด้วยขนแส้ เต๋าจื่อหลินเสวียนมิได้ลงมือโดยอํามหิต เนื่องจากแส้ของเขาหลบหลีกอวัยวะสําคัญและไม่ทําอันตรายแก่ชีวิต

หมอหลวงจํานวนหนึ่งจากกระทรวงหมอหลวงรีบรี่เข้าไปและป้อนยาวิญญาณสามสี่เม็ดให้ฉูปิ่ง จากนั้นพวกเขาก็ฉีกเสื้อออกและทาขี้ผึ้งยาที่หน้าอกและแผ่นหลังของเขาผสานปิดรูแผล

“แข็งแกร่งสุดๆ!”

ที่หน้าประตูภูเขา บัณฑิตมหาวิทยาลัยจักรวรรดิหลายคนใจตกวูบ ชื่อเสียงของฉูปิ่งท่ามกลางหมู่บัณฑิตระดับผู้ฝึกวิชาเทวะนั้นไม่ได้ตํ่าต้อยเลย ในทางตรงกันข้ามเขาเป็นหนึ่งในยอดฝีมือลําดับต้นๆ ในทักษะเทวะนิเวศน์

มหาวิทยาลัยจักรวรรดิมิได้มีแต่การสอบเข้าครั้งใหญ่เท่านั้นแต่ยังมีการสอบไล่ประจําปีเพื่อจัดลําดับฝีมือของเหล่าบัณฑิตอันจะกระตุ้นให้บัณฑิตทั้งหลายแสวงหาความก้าวหน้าในวิชาฝีมือ ฉูปิ่งนั้นอยู่ใน ร้อยลําดับแรกของบรรดาผู้ฝึกวิชาเทวะในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ

สําหรับร้อยลําดับแรกเหล่านั้น มิได้มีกําลังฝีมือแตกต่างกันมากมาย ฉูปิ่งพ่ายแพ้ในหนึ่งกระบวนท่านั้นแปลว่ามีความถ่างห่างชั้นระหว่างความสามารถของฉูปิ่งและของเต๋าจื่อหลินเสวียน

นี่มันน่าขนลุกสุดๆ ทันใดนั้นเสียงขององค์ชายรองก็ดังขึ้นมาในหูของทุกผู้คนที่อยู่ที่นั่น “ผู้ที่ไม่สามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปรในกระบวนท่ากระบี่เมื่อครู่นี้ อย่าออกไปจะดีกว่า”

ประโยคนี้เหมือนกับตะลุมพุกทุบเข้าไปในหัวของเหล่าบัณฑิตจักรวรรดิ พวกเขาหลายคนที่อยู่ที่นี่ไม่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปรในกระบวนท่าของฉูปิ่งและเต๋าจื่อหลินเสวียนได้

โดยเฉพาะสําหรับเพลงกระบี่ของหลินเสวียน ในฐานะเต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋า เพลงกระบี่ของเขาซ่อนเร้นไว้อย่างลึกสุดกู่ภายใต้ร้อยเปลี่ยนพันแปลงของแส้หางม้า หากว่าพวกเขาไม่เห็นแม้แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น เข้าไปท้าสู้ก็มีแต่รนหาที่อายเปล่าๆ

ข้างๆ เฉินหว่านอวิ๋น อวิ๋นฉื้อถามด้วยเสียงเบา “พี่ใหญ่ เจ้าเห็นการเปลี่ยนแปลงในเพลงกระบี่ของเต๋าจื่อไหม”

เยว่ชิงหงก็รีบก้าวเข้ามา และอยากจะถามความคิดเห็นของเฉินหว่านอวิ๋นเช่นกัน เฉินหว่านอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ข้าใช้เนตรนภาของข้าดูความเปลี่ยนแปลงในกระบวนท่าของเขา แต่ข้าไม่สามารถแก้ทางกระบวนท่านั้นได้…”

เยว่ชิงหงระเบิดหัวเราะ “พี่ใหญ่ หากว่าเจ้าออกไปสู้ นักพรตน้อยนั่นก็จะปิดผนึกสมบัติเทวะหกทิศเพื่อสู้กับเจ้าแน่ๆ พลังวัตรของเขาส่วนใหญ่นั้นอยู่ในสมบัติเทวะหกทิศ โดยปราศจากสมบัติเทวะหกทิศแล้ว เขาไม่มีทางร่ายรําเพลงกระบี่อันเพริศแพร้วเช่นนั้นได้!”

เฉินหว่านอวิ๋นหวั่นไหวลังเล แต่ครู่หนึ่งเขาก็ส่ายศีรษะ “ข้าต้องรอดูต่ออีกหน่อย ดูว่าจะสามารถจับจุดอ่อนเขาได้หรือไม่ เจ้าฉินมู่นั่นอยู่ไม่ไกล พวกเราไปถามความคิดเห็นเขาดีกว่า”

ทั้งสามคนจึงไปยังจุดที่ฉินมู่อยู่และเฉินหว่านอวิ๋นถาม “ศิษย์น้องฉิน เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเอาชนะเต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋าได้หรือไม่”

ฉินมู่ครุ่นคิดแล้วจึงตอบ “หากว่าเราสู้กับที่หน้าประตูภูเขาและเขาปิดผนึกสมบัติเทวะหกทิศ โอกาสชนะคงอยู่ที่ 50 : 50”

“ขี้โม้!”

เยว่ชิงหงยิ้มหยัน “คุยคําใหญ่คําโต! หากว่าโอกาสชนะของเจ้าต่อเขาอยู่ที่ 50 : 50 ก็แปลว่าเจ้ากําลังโม้ว่าแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นหกทิศหลายขุมอย่างงั้นหรือ”

ฮู่หลิงเอ๋อชี้นิ้วไปยังหญิงผู้นี้ด้วยสีหน้าแตกตื่นพลางร้องออกมา “คุณชาย เด็กสาวผู้นี้คือคนที่เต้นหลังติดกับท่านและโดนซัดฟาดหน้าจมเสาทองแดงนี่นา ข้าเคยเห็นหน้านางมาก่อน!”

เยว่ชิงหงหน้าแดงฉานด้วยความอับอาย จิ้งจอกนี้ร้ายกาจจริงๆ

เฉินหว่านอวิ๋นแววตาวูบไหวก่อนถาม “หากว่ามิใช่การต่อสู้ซึ่งหน้าที่หน้าประตูภูเขา โอกาสชนะของศิษย์น้องอยู่ที่เท่าไร”

ฉินมู่ตอบอย่างสงบ “100 % ในการต่อสู้เอาเป็นเอาตายข้าจะใช้ทุกวิธีสกปรก ดังนั้นเขาไม่มีทางเอาชนะข้าได้ จริงๆ แล้วข้านั้นแข็งแกร่งมากๆ เลยล่ะ”

เฉินหว่านอวิ๋นใจเต้นขึ้นมาและเลิกคิ้วของเขา พลางคํานวณถึงโอกาสชนะของตนหากต้องประจันหน้ากับฉินมู่ในศึกเป็นตาย

อวิ๋นฉื้อยิ้ม “ศิษย์น้องฉิน ไม่ใช่ว่าที่เจ้าพูดนั้นจะโอหังไปหน่อยหรือ..”

“คุณชาย หลวงจีนนี่คือคนที่ถูกท่านซัดหมัดเดียวจอดนี่!” ฮู่หลิงเอ๋อชี้ไปยังอวิ๋นฉื้อและร้องออกมาอย่างประหลาดใจ “นี่มันเจ้าโล้น ข้าจําหัวโล้นๆ นี่ได้! หลวงจีน เสื้อผ้าเจ้ายังอยู่กับคุณชายนะ เจ้าคิดจะเอาเงินมาไถ่มันเท่าไรล่ะ”

รอยยิ้มของอวิ๋นฉื้อแข็งทื่อทันที และเขาตอบอย่างแค้นเคือง “เงินทองเป็นแค่ของนอกกายสําหรับนักบวช ข้าไม่มีของพวกนั้นเลยในตอนนี้ เมื่อข้ามีเงินแล้วข้าจะไถ่ถอน…”

“พูดเฉไฉตั้งมากมาย ที่แท้ก็เป็นหลวงจีนจนๆ”

ฮู่หลิงเอ๋อหมดความสนใจต่อเขา และกล่าว “เจ้ารีบเก็บเงินเร็วๆ เข้าล่ะ ไม่งั้นคุณชายจะเอาเสื้อผ้าเจ้าไปจํานํา”

ระหว่างที่นางกล่าวเช่นนั้น ผู้ฝึกวิชาเทวะอีกคนก็ออกมาจากประตูภูเขา บุคคลผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาน่าเกรงขามและดูน่าประทับใจ เขาก้าวไปข้างหน้าและทักทายนักพรตทั้งสองที่ขวางประตูอยู่แล้วกล่าว “นายพันบันดาลกําลังกุนจื่ออวี้ ขอเรียนเชิญเต๋าจื่อประทานการสั่งสอน ข้านี้อยู่ในขั้นเจ็ดดาว ดังนั้นข้าจะปิดผนึกสมบัติเทวะขั้นเจ็ดดาว”

เต๋าจื่อลุกขึ้นและคารวะกลับ “ศิษย์พี่กุน เชิญ”

เฉินหว่านอวิ๋นตาเป็นประกายและกล่าว “นายพันบันดาลกําลังกุนจื่ออวี้! เขากลับมาจากชายแดนแล้ว!”

เว่ยหยงถามทันที “พี่ใหญ่ กุนจื่ออวี้ผู้นี้ฝีมือเป็นอย่างไร”

เฉินหว่านอวิ๋นมิได้ตอบ แต่เป็นเยว่ชิงหงที่อยู่ข้างๆ เขากล่าว “พวกเราบัณฑิตจักรวรรดิเป็นขุนนางชั้นแปด ขณะที่นายพันบันดาลกําลังนั้นเป็นขุนนางชั้นหก ตําแหน่งขุนนางชั้นหกที่ศิษย์พี่กุนได้มานั้นมาจากการต่อสู้ที่ชายแดน ดังนั้นเจ้าก็คงนึกออกว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน! ในการสอบใหญ่ของผู้ฝึกวิชาเทวะที่ผ่านมา เขาติดอันดับหนึ่งในสิบของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ!”

เว่ยหยงฟังแล้วก็รู้สึกนับถือเป็นอย่างยิ่ง “ผู้คนที่สามารถออกไปสู้ในสนามรบและยังได้ความดีความชอบเพียงพอที่จะปูนตําแหน่งขุนนางชั้นหกล้วนแต่เก่งกาจนัก!”

ฉินมู่ไม่เข้าใจเท่าไรจึงถามเพิ่มเติม เฉินหว่านอวิ๋นกล่าว “ทุกๆ ปีบัณฑิตจักรวรรดิจะต้องลงจากภูเขาเพื่อออกไปฝึกฝนแสวงประสบการณ์ โดยจะมีครูผู้สอนติดตามไปด้วยเกือบทั้งหมด จะเลือกไปที่ชายแดนขณะที่บางคนจะไปแดนโบราณวินาศหรือไปที่กระทรวงวิศวกรรมสวรรค์ หากพวกเขาสร้างความดีความชอบ ก็จะได้รับการปูนตําแหน่งอวยยศ มีบัณฑิตหลายคนในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิที่ได้เป็นขุนนางชั้นหก และบางคนถึงกับเป็นขุนนางชั้นห้า!”

ฉินมู่ถอนใจด้วยความทึ่ง จักรวรรดิสันตินิรันดร์นี่ช่างรู้จักวิธีฝึกฝนขุนนางของตน!

หลังจากที่บัณฑิตจักรวรรดิจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ พวกเขาก็จะถูกแต่งตั้งไปยังหน่วยปกครองท้องถิ่นหรือแม้แต่ตําแหน่งในกองทัพ

กุนจื่ออวี้มีพละกําลังอันน่าตระหนกและแม้ว่าเขาจะปิดผนึกสมบัติเทวะเจ็ดดาว พละกําลังของเขาก็ยังเหนือลํ้ากว่าฉูปิ่ง เทียบกับฉูปิ่งแล้วทักษะของเขานั้นเหมาะแก่การต่อสู้เมื่อเขาสามารถร่ายเวทมนตร์ไปพร้อมๆ กับการคุมกระบี่บิน กระบี่ของเขาก็มิได้จํากัดตายตัวอยู่ในกระบวนท่า แต่แปรผันเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะสถานการณ์

เขาและเต๋าจื่อหลินเสวียนต่อสู้รุกรับกันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ปะทะกันเปรี้ยงปร้างกลางอากาศ แสงกระบี่ในฟากฟ้าพุ่งแปลบปลาบราวกับฟ้าแลบฟ้าร้อง เมื่อสายฟ้าฟาดใส่เต๋าจื่อหลินเสวียน กุนจื่ออวี้ก็พลันพุ่งเข้าไปต่อสู้ประชิดตัว ศักดานุภาพของเขานั้นประหนึ่งอสุนีบาต ดูท่าว่าเขาก็คงจะฝึกปรือทักษะวิชาบู๊อันแข็งแกร่งเช่นกัน!

การต่อสู้นี้มหัศจรรย์ผันแปร ตระการตาผู้ชมดูเบื้องล่าง และทําให้พวกเขาได้แต่อุทานด้วยความชื่นชม

ฉินมู่ขมวดคิ้วและถามเฉินหว่านอวิ๋น “พี่ใหญ่ วิชาของสํานักเต๋าไม่ธรรมดาเลย พวกเขามีที่มาจากไหนกัน”

เฉินหว่านอวิ๋นส่ายหน้า และพลันได้ยินเสียงหนักอึ้งจากข้างหลัง “คัมภีร์สํานักเต๋า วิชาเซียนเถียนสุดยอดปริศนา วิชาลึกลํ้าแห่งสํานักเที่ยงธรรมอันเลื่องชื่อลือชาพอๆ กับคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตของลัทธิมารฟ้า! กุนจื่ออวี้คงจะพ่ายแพ้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!