ตอนที่ 134 เชื้อเชิญราชครู
ที่ยอดภูเขาหยก โถงบรมสิกขา
ครูผู้สอนประจําโถงทุกคน คณบดีทั้งหลาย เหล่าบรรณารักษ์ลับแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิล้วนประชุมกันอยู่ที่นี่และทุกคนมีสีหน้ามืดครึ้ม ตลอดเวลานั้นเดี๋ยวก็มีคนรีบวิ่งมาและรายงานข่าวแต่ละข่าวที่พวกเขาได้ยินก็ทําให้สีหน้าพวกเขาบิดเบี้ยวเข้าไปใหญ่ มีแต่ปรมาจารย์เยาว์ที่นั่งอยู่บนอาสนะศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นมีสีหน้านิ่งสงบ ไม่แตกตื่นหวั่นไหวกับชัยชนะและพ่ายแพ้
ในตอนนั้นเอง ข่าวจากภายนอกก็ส่งเข้ามา
“รายงานท่านอธิการบดี เต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋าเอาชนะองค์ชายรอง!”
“เต๋าจื่อเอาชนะทายาทอ๋องสันติทักษิณ เจี่ยวอวิ๋น!”
“เต๋าจื่อเอาชนะทายาทอ๋องสันติประจิม เจ้าหญิงตั๋วตั่ว!”
“หลิงฉี่จี้แห่งจวนสวรรค์พ่ายแพ้แล้ว!”
“หลิงชิ่วเหอได้รับบาดเจ็บจากเต๋าจื่อ!”
สักพักหนึ่ง ก็ไม่มีคนมารายงานข่าวอีกต่อไป แต่สีหน้าของทุกคนยิ่งบิดเบี้ยวเข้าไปใหญ่ ไม่มีใครก้าวเข้ามารายงาน นั่นหมายความว่าไม่มีบัณฑิตจักรวรรดิเข้าไปท้าสู้เต๋าจื่อหลินเสวียนต่อ บรรยากาศแห่งความผยองและจิตวิญญาณเหี้ยมหาญของบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิถูกสลายมลายไปโดยเต๋าจื่อวัยเยาว์ผู้นี้ และพวกเขาคณาจารย์ทั้งหลายก็ได้แต่มองดู 2 นักพรตขวางประตูต่อ
คณบดีจักรวรรดิผู้หนึ่งขมวดคิ้วแล้วถาม “ตั้งหลายปีมานี้ มหาวิทยาลัยจักรวรรดิเราผลิตยอดฝีมือออกไปตั้งมากมาย และพวกเขาเหล่านั้นก็ล้วนแต่เป็นกระดูกสันหลังของจักรวรรดิแห่งนี้ นี่เราจะไม่สามารถหาใครสักคนมากําราบเต๋าจื่อได้เลยหรือ”
ครูผู้สอนหนึ่งส่ายหน้าแล้วกล่าว “หลายปีมานี้มียอดอัจฉริยะสี่ห้าคนอันไม่ด้อยไปกว่าเต๋าจื่อของสํานักเต๋า ทว่าคนเหล่านั้นพ้นสถานะบัณฑิตแล้วและได้ออกจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิไปทําหน้าที่ขุนนางในราชสํานัก มหาวิทยาลัยจักรวรรดิเรานั้นแตกต่างจากสํานักในยุทธภพ มันไม่มีการออกจากสํานักแบบในยุทธภพ แต่เมื่อบัณฑิตออกจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ พวกเขาก็ไม่ใช่บัณฑิตอีกต่อไป”
ทุกคนปล่อยลมหายใจขุ่นมัว นักพรตหลิงอวิ๋นจึงกล่าว “นี่เราจะปล่อยให้เต๋าจื่อขวางประตูไว้อย่างนี้จริงน่ะหรือ แบบนี้ไม่เรียกหดหัวในกระดองหรือ”
ทุกคนเงียบกริบ ทันใดนั้นหลวงจีนฝ่าชิงแห่งโถงหยางเขียวครามก็กล่าว “รีบรายงานเรื่องนี้ไปยังท่านราชครูและขอให้เขาส่งศิษย์ของตนมาศิษย์ของเขาน่าจะเอาชนะเต๋าจื่อได้”
“หลวงจีน เหล่าศิษย์ของท่านราชครูมิใช่บัณฑิตมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเรา แม้พวกเขาเอาชนะเต๋าจื่อได้ แต่คิดหรือว่าสํานักเต๋าจะยอมรับผลแพ้ชนะ”
ในตอนนั้นเอง ก็มีเรือเหาะลอยมาจากข้างนอก และจอดลงที่ยอดภูเขาหยก
คนหนุ่มสาวสามสี่คนลงมาจากเรือนั้นและเข้ามาในโถงบรมสิกขาโดยไม่รีรอขออนุญาต คนที่เดินนํามานั้นโค้งคารวะแล้วกล่าว “ครูอาจารย์ทั้งหลาย พวกเราเป็นศิษย์ภายใต้การสอนสั่งของท่านราชครูและท่านราชครูได้ยินว่าเต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋าออกมาก่อความวุ่นวายที่นี่ ดังนั้นท่านจึงสั่งให้พวกเราออกหน้ามา”
คณบดี ครูผู้สอนและบรรณารักษ์ลับทั้งหลายหันมามองหน้ากันไปมา จากนั้นพวกเขาจึงหันไปมองปรมาจารย์เยาว์ และบรรณารักษ์ลับผู้หนึ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม “อธิการบดี เหล่าศิษย์ของราชครูมิใช่ บัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเรา ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับอธิการบดีว่าจะตัดสินใจให้พวกเขาเป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยจักรวรรดิในการต่อสู้หรือไม่”
ทันใดนั้นคณบดีป้าซานผู้มีใบหน้ารกครึ้มด้วยหนวดเคราทุบโต๊ะดังปัง “เหลวไหล! แล้วอย่างไรถ้าศิษย์ของราชครูเอาชนะเต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋าได้ เหล่าศิษย์ของราชครูถูกฝึกปรือสั่งสอนมาด้วยวิธีการเก่า และได้รับการสอนสั่งจากราชครูด้วยตนเอง ไม่มีความแตกต่างระหว่างพวกเขากับลูกศิษย์ที่ถูกฝึกปรือสั่งสอนโดยสํานักพวกนั้น! หากเรื่องนี้แพร่หลายออกไปรู้ถึงหูสํานักเต๋า สํานักเต๋าก็จะก่อกบฏอย่างแน่นอน! เมื่อสํานักเต๋าก่อกบฏ สํานักเที่ยงธรรมอื่นทุกสํานักในโลกหล้าก็จะเข้าร่วมก่อการ! ใครในที่นี้ล่ะที่จะกล้ารับผิดชอบอาชญาโทษดังกล่าว ใครกันที่จะกล้าแบกรับมัน”
เลขาธิการคนเมื่อกี้สวนกลับอย่างโมโหโกรธา “เจ้าเป็นคณบดีจะพูดอะไรก็ถูกไปหมด แต่เจ้าจะทําอย่างไรล่ะ”
“ข้าจะทํายังไงน่ะหรือ”
คณบดีป้าซานหัวร่อด้วยเสียงอันดัง จากนั้นตวาดอย่างเฉียบขาด “ไม่ว่าข้าจะทํายังไงก็ดีเด่กว่าบรรณารักษ์ลับอย่างพวกเจ้าก็แล้วกัน! บรรณารักษ์ลับอย่างพวกเจ้าทุกคนวันๆ ก็เอาแต่ดูกองหนังสือหงําเหงือกอ้างว่าเพื่อวิจัยคิดค้นวิชาและทักษะเทวะ แต่พวกเจ้าวิจัยอะไรออกมาได้บ้างตลอดหลายปีนี้ห้ะ! หากว่าพวกเจ้าแน่จริงก็โน่น ไปวิจัยหาวิธีต่อต้านวิชาเซียนเถียนสุดยอดปริศนาโน่นไป๊ บัณฑิตของพวกเราจะได้ไม่หงอยหมดทางสู้ขนาดนี้เวลาที่เจอคนอื่นมาขวางประตู!”
ในโถงบรมสิกขา บรรณารักษ์ลับทุกคนเดือดดาลและตะโกนกลับ “พวกข้าก็ส่งทุกวิชาและทักษะเทวะที่วิจัยคิดค้นได้ให้พวกเจ้าหมดแล้วไม่ใช่เรอะ เพราะว่าครูผู้สอนและคณะบดีอย่างพวกเจ้าต่างหากที่ไร้ความสามารถและไม่สามารถฝึกสอนบัณฑิตดีๆ ออกมาได้!”
“พูดได้ดี! อย่างเช่นโถงบรมเยียวยาทําอะไรบ้าง วันๆ เอาแต่สอนบัณฑิตให้หลอมปรุงยาและเก็บสมุนไพร แต่ไม่รู้จักทําหน้าที่ตัวให้ดี บ่อยครั้งมีบัณฑิตที่อาเจียนเป็นเลือดไม่ก็หน้าดําสนิทจากการต้องพิษ! พวกเขายังมีหน้ารับเงินเดือนกันอีกเรอะ!”
หมอหลวงทุกคนในโถงบรมเยียวยาก็ล้วนแต่เป็นครูผู้สอน เมื่อพวกเขาได้ยินที่บรรณารักษ์ลับกล่าวหา ก็โลดเต้นด้วยความโกรธกริ้ว หมอหลวงหยูโกรธจนตัวสั่นเทิ้มขณะที่เขาตะโกนกลับไป “หากว่าไม่ใช่เพราะพวกข้าโถงบรมเยียวยาช่วยคนปางตายและรักษาคนบาดเจ็บ บัณฑิตมากกว่าครึ่งก็คงตายไปจากพิษร้ายและธาตุไฟแตกซ่านไปแล้ว พวกบรรณารักษ์ลับต่างหากที่ไร้ประโยชน์ พวกเราส่งคําขอไปให้พวกเจ้าจัดระเบียบตํารับขนานยาจากทุกสํานักมาตั้งนานนม แต่พวกเจ้าก็ยังไม่ทําให้สักที ขนาดอาการ ประชวรของพระพันปีหลวงก็ยังต้องพึ่งหนุ่มน้อยมารักษาให้ ทําไมพวกเจ้าทุกคนไม่รีบไสหัวไปตายซะ”
“ไอ้แก่หนังเหนียว เจ้าต่างหากที่ควรไสหัวไปตายก่อน โถงบรมเยียวยาของพวกเจ้าแม้แต่อาการประชวรของพระพันปีหลวงที่เด็กน้อยรักษาได้ พวกเจ้าก็ดันรักษาไม่ได้ ทําไมพวกเจ้าไม่กระชากขนตาเจ้าออกมาแล้วใช้แขวนคอตัวเองบนขื่อซะล่ะห้ะ”
โถงบรมสิกขาพลันอึกทึกวุ่นวาย และการทะเลาะวิวาทก็ใหญ่โตขึ้นทุกที ทําให้ศิษย์สามสี่คนของราชครูได้แต่มองหน้าไปมาด้วยความหดหู่
สักพักหนึ่ง คณบดีป้าซานจึงระเบิดหัวเราะขึ้นมาแล้วกล่าว “เอาเถอะ เอาเถอะ หยุดเถียงกันได้แล้ว ถึงพวกเราจะตัดสินใจไม่ได้ แต่ก็ยังมีผู้ที่ตัดสินใจได้อยู่ที่นี่นี่นา อธิการบดี ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ”
ทุกสายตาหันไปจับจ้องปรมาจารย์เยาว์บนอาสนะศักดิ์สิทธิ์ ปรมาจารย์เยาว์ลูบหน้าผากของตนไปมาแสดงว่าเขาเองก็ปวดขมับจากการทะเลาะวิวาทของพวกเขา เขากล่าว “ถึงอย่างไรลูกศิษย์ของราชครูก็มิใช่บัณฑิตจักรวรรดิ ถึงแม้ว่าจะไปท้าสู้และเอาชนะเต๋าจื่อได้ สํานักเต๋าก็จะฉวยโอกาสก่อกบฏอยู่ดี และใน กรณีนั้น พวกเขาก็จะมีเหตุผลที่ชอบธรรมในการต่อต้านราชครู และทําให้จักรวรรดิของเราตกลงไปยังที่นั่งลําบาก ดังนั้นเชื้อเชิญราชครูมาที่นี่”
ทุกคนตะลึงไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจความหมายนี้ แม้แต่เหล่าศิษย์ของราชครูก็แสดงสีหน้าพิศวง
“พวกในสํานักเต๋ามีแต่สมองหมู” ปรมาจารย์เยาว์ลุกขึ้นและแย้มยิ้ม “พวกเขารู้จักยอมรับแต่อะไรแบบทื่อตรงโผงผาง และหากว่าเราคดโกงเล่นแง่กับพวกเขา คงจะไม่สําเร็จ ดังนั้นเราก็จะใช้หอกแท้กระบี่จริง ก็นานแล้วที่ราชครูไม่ได้มาเปิดชั้นเรียนสอนสั่งที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิจริงไหม แต่ก่อนนั้นเขาก็มาอยู่บ่อยๆ และถ่ายทอดเต๋า เพลงกระบี่ และทักษะเทวะของตนและก็มีบัณฑิตหลายคนที่นับได้ว่าเป็นศิษย์ ครึ่งหนึ่งของเขา พวกเจ้าจงกลับไปและเชื้อเชิญราชครูมาที่นี่เพื่อสอนสั่งบัณฑิตจักรวรรดิ”
ศิษย์ราชครูเหล่านั้นอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนโค้งคารวะรับคํา จากนั้นพวกเขาจึงออกไปจากโถงขึ้นเรือเหาะจากไป
คณบดีป้าซานมีสีหน้าครุ่นคิดก่อน จะเผยยิ้มออกมา “อธิการบดี เจ้าหมายถึงว่าให้ราชครูมาที่นี่เพื่อสอนสั่งวิชากระบี่ และทักษะเทวะของเขา เพื่อให้บัณฑิตของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเราได้เรียนรู้และใช้ในการเอาชนะเต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋าอย่างนั้นหรือ”
ปรมาจารย์เยาว์พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม คณบดีป้าซานชูสามนิ้วแล้วกล่าว “3 วัน มีเวลาแค่ 3 วัน!
ตาเฒ่า ให้ราชครูสอนสั่งจนได้อัจฉริยะออกมาเอาชนะเต๋าจื่อแห่ง สํานักเต๋าได้ใน 3 วันเช่นนั้นหรือ เจ้าเชื่อด้วยหรือว่าจะทําได้”
“ข้าเชื่อ”
ปรมาจารย์เยาว์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ป้าซานอย่าดูเบาปาฏิหาริย์ที่ราชครูทําได้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอันดับหนึ่งใต้เทวะ และความสามารถของเขานั้นเหนือลํ้าก้าวไกลเกินจินตนาการของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น…”
เขาก้าวไปที่ห้าโถงบรมสิกขาและทอดสายตาลงไปยังประตูภูเขาข้างล่าง ยกยิ้มหยันกับตนเอง
เจ้าเด็กร้ายกาจนี่ไม่ลุกขึ้นมาหรอกถ้าไม่มีผลประโยชน์! ข้าคิดว่าเขาคงห้ามใจตัวเองไม่อยู่และเร่เข้าไปประชันขันแข่งกับเต๋าจื่อแห่งสำนักเต๋าแล้วเสียอีก ไม่นึกเลยว่าจะยังสงบนิ่งได้อีก! เฮอะ ก็ได้ คราวนี้เขาได้กำไรไปเยอะจากการที่เชื้อเชิญราชครูมา!
จวนราชครู
“อธิการบดีเชิญข้าไปสั่งสอนบัณฑิตอย่างนั้นหรือ” ราชครูสันตินิรันดร์ฟังข่าวของลูกศิษย์สามสี่คนนี้แล้วก็อึ้งไปเล็กน้อย “จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้กําลังวางแผนอะไรอยู่ จริงๆ แล้วเขาก็แค่ประทับตรารับรองไปเพื่อรับพวกเจ้าเป็นบัณฑิตในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ มีความจําเป็นอะไรที่ข้าต้องไปด้วยตนเอง”
ศิษย์คนหนึ่งอธิบาย “อธิการบดีหมายความว่าสํานักเต๋าไม่ยอมรับลูกเล่นพลิกแพลง และหากพวกเขารู้ว่าพวกเราเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ พวกเขาย่อมไม่ยอมรับผลการประลองและฉวยโอกาสในการก่อกบฏอยู่ดี”
ราชครูยิ้มกริ่ม “สํานักเต๋านี้มีแต่พวกสมองหมูจริงๆ นั่นแหละ ข้าเคยพบเจ้าสํานักเต๋าครั้งหนึ่งในสมัยแรกเริ่มของข้า และเขาก็มีอารมณ์บูดบึ้งยอมรับแต่ตรรกะอันแข็งทื่อโผงผางเท่านั้น ก็ได้ ข้าจะไป พวกเจ้าไปเชิญราชาพิษน้อยเข้ามา”
ฝูหยวนชิงเข้ามา และราชครูก็ยื่นมีดให้แก่เขา “เจ้าเห็นบาดแผลข้ามาก่อนแล้ว ดังนั้นตอนนี้เลียนแบบบาดแผลเดิมบนร่างกายของข้า ทําให้มันดูสมจริงยิ่งกว่าเดิม”
ฝูหยวนชิงสะดุ้งโหยง แต่เขาก็ถือมีดเข้าไปแล้วเฉือนแหวะหน้าอกของราชครู ทําให้ราชครูสันตินิรันดร์โซมเลือดไปหมด จากนั้นเขาก็ใช้เลือดแทนหมึกสีมาวาดบาดแผลให้ดูน่ากลัวสมจริงยิ่งขึ้น
“ทําให้แผลส่งกลิ่นเน่าเปื่อยมากกว่านี้” ราชครูส่ายวูบไหวนิดหนึ่งแล้วกล่าว
ฝูหยวนชิงโรยผงบางอย่างลงไปบนบาดแผลของเขาอันทําให้เกิดกลิ่นเน่าเปื่อยแต่ไม่หนักหนานัก
ราชครูสันตินิรันดร์ก์ล่าวต่อ “ทีนี้เหยาะนํ้าหอมลงไป”
ฝูหยวนชิงทําตามที่เขาสั่ง และโรยนํ้าหอมจํานวนหนึ่งลงไป เพื่อกลบกลิ่นเหม็นของบาดแผล
ราชครูสันตินิรันดร์จึงเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนสั่งให้คนนําผงชาดและแป้งประทินผิวมา จากนั้นเขาให้บ่าวรับใช้หญิงมาแต่งหน้าเขาให้ดูแดงกํ่าจากการป่วยไข้
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น ราชครูสันตินิรันดร์ก็แย้มยิ้มจากนั้นเอ่ยถาม “ทีนี้เราจะตบตาพวกกบฏทรยศได้หรือยัง”
ฝูหยวนชิงเผยยิ้มเช่นกัน “ท่านหมายความว่ามีพวกกบฏทรยศแฝงตัวอยู่ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ? ถ้าอย่างนั้นท่านราชครูควรพายอดฝีมือไปอารักขาด้วย วิธีนี้จะทําให้ท่านดูเหมือนมีความมั่นใจตํ่าดี”
“มหาวิทยาลัยจักรวรรดิใหญ่โตปานนี้ ย่อมต้องมีกบฏทรยศปะปนอยู่”
ราชครูสันตินิรันดร์เข้าใจความหมายของเขา จากนั้นกล่าว “แต่ทว่า ที่นี่คือใจกลางเมืองหลวง ใครจะกล้าสังหารข้าที่นี่ และมหาวิทยาลัยจักรวรรดิก็มียอดฝีมือมืดฟ้ามัวดินยิ่งกว่าในวังหลวง ดังนั้นไม่มีความจําเป็นที่จะต้องพายอดฝีมือไปเพิ่ม เจ้าก็ตามข้าไปด้วย พระพันปีหลวงจะได้ไม่ฉวยโอกาสบุกเข้ามาสังหารเจ้า”
ฝูหยวนชิงถอนหายใจโล่งอก ความตั้งใจเดิมของเขานั้นคืออยากให้ราชครูสันตินิรันดร์พ์าเขาไปด้วยเพื่อป้องกันมิให้พระพันปีหลวงมีโอกาสสังหารเขา
…
ทันใดนั้น มีเสียงระฆังดังสนั่นใจกลางมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ กึกก้องไปทั่วภูเขา
บัณฑิตมหาวิทยาลัยเกือบทุกคนที่มาออชมดูตรงประตูภูเขานั้น เมื่อได้ยินเสียงระฆังพวกเขาก็ขึ้นภูเขาไปกันหมด หลิงอวี้จิวอธิบายแก่ฉินมู่ที่ดูงงงวย “นี่คือระฆังสัญญาณที่เรียกบัณฑิตทุกคนไปรวมตัวกัน เมื่อได้ยินเสียงระฆังแล้ว บัณฑิตจักรวรรดิทั้งหมดจะต้องไปรวมกันที่หน้าโถงบรมสิกขา ดูเหมือนว่าอธิการบดีจะกล่าวอะไรสักอย่างต่อเหล่าบัณฑิต”
เว่ยหยงถามอย่างกังวล “หรือว่าเพราะพวกเราไม่สามารถเอาชนะเต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋าได้ มหาวิทยาลัยจักรวรรดิเลยจะประกาศปิดกิจการ”
บัณฑิตที่ได้ยินคําพูดของเขาเหลียวมาจิกจ้องเขาอย่างโกรธเกรี้ยว เว่ยหยงรีบย่นคอทันที
เมื่อฉินมู่ขึ้นมาบนภูเขา เขาเห็นผู้คนเนืองแน่นหน้าโถงบรมสิกขา ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์หรือสามัญชน พวกเขาก็มารวมตัวกันที่นี่ทั้งหมด
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้า ปรมาจารย์เยาว์ก็แย้มยิ้มแล้วกล่าว “เชิญท่านราชครู”