Skip to content

Tales of Herding Gods 139

ตอนที่ 139 วัวเขียวในสวนผัก

ตันหยางจื่อและเต๋าจื่อหลินเสียงเดินเรียงกันและก้าวออกไป จากเมืองหลวงด้วยฝีเท้ามั่นคง เมื่อพวกเขาออกจากเมืองหลวงได้ 100 ลี้ พวกเขาก็เห็นแม่นํ้าเชี่ยวกรากเช่นเดียวกับหลวงจีนหนุ่มและหลวงจีนเฒ่าผู้ซึ่งเดินทางมาตามแม่นํ้า

ตันหยางจื่อและเต๋าจื่อหลินเสวียนยั้งเท้าและยืนที่ฝั่งโค้งคารวะหลวงจีนทั้งสอง “ศิษย์พี่”

หลวงจีนสองรูปก็หยุดอยู่บนผิวแม่นํ้าเช่นกันและประนมมือกลางหน้าอกเพื่อทักทายตอบ “ศิษย์พี่”

คิ้วขาวยาวของหลวงจีนเฒ่าหรุบหรู่ลงเมื่อเขากล่าว “ศิษย์พี่ทั้งสองกลับมาจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแล้วหรือ พวกท่านได้อยู่ที่นั่นจนครบ 3 วันหรือไม่”

ตันหยางจื่อส่ายหน้า “พวกเรามิได้อยู่จนครบ 3 วัน”

คิ้วของหลวงจีนกระตุกซึ่งแสดงว่าจิตใจของเขากําลังหวั่นไหว

“มหาวิทยาลัยจักรวรรดิมีความสามารถขนาดที่ต่อกรกับเต๋าจื่อได้ด้วยหรือ ข้ากําลังไปที่นั่นกับโฝจื่อ และข้าสงสัยว่าสถานการณ์ของพวกเราจะเป็นอย่างไร”

ตันหยางจื่อโค้งรํ่าลา หลวงจีนเฒ่าก็ค้อมกายรับจากนั้นทั้งคู่ก็แยกทางไป

การจากไปของตันหยางจื่อและเต๋าจื่อหลินเสวียนทําให้ตั้งแต่คณบดีตลอดจนกระทั่งบัณฑิตขั้นตํ่าสุดของมหาวิทยาลัยจักวรรดิถอนหายใจโล่งอก และสําหรับผู้ที่เอาชนะเต๋าจื่อหลินเสวียนได้นั้นก็ยังไม่มีใครรู้แน่ชัด

เอาชนะเต๋าจื่อหลินเสวียนได้รับว่าเป็นความดีความชอบใหญ่หลวง จึงน่าแปลกใจว่ายอดฝีมือผู้นั้นไม่เห็นจะโผล่ออกมารับเครดิตว่าเป็นเขาหรือเธอที่เอาชนะเต๋าจื่อหลินเสวียนได้

ทุกคนเดากันไปต่างๆ นานา และบางคนก็พูดว่ามีองค์ชายคนหนึ่งที่แอบลงมือลับๆ และทําให้เต๋าจื่อหลินเสวียนต้องล่าถอยไปหลังจากพ่ายแพ้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากการต่อสู้ชิงดีกันในกลุ่มองค์ชาย องค์ชายผู้นี้จึงกังวลกับการเผยความสามารถโดดเด่นของตน จึงงําประกายตนไว้มิให้องค์ชายคนอื่นๆ ส่งคนมาลอบสังหาร

และยังมีบางคนที่กล่าวว่าเป็นคนคลั่งกระบี่เสี้ยวอิ๋นซึ่งเป็นผู้ลงมือ เสี้ยวอิ๋นเป็นคนคลั่งกระบี่ที่อุทิศชีวิตและจิตใจให้กับมรรคากระบี่ และไม่มีสิ่งอื่นในความคิด ไม่สนใจชื่อเสียง

และมีกระทั่งคนที่กล่าวว่าเป็นฝีมือของศิษย์พี่ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิไปแล้ว เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ก็รีบรุดกลับมาจากแนวหน้าสนามรบหลายๆ คนที่จบไปจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดินั้นได้ไปเป็นแม่ทัพนํากําลังต่อสู้ในสมรภูมิ

บางคนก็ยังคาดเดาไปอีกว่าเป็นฝีมือของเหล่าศิษย์ราชครูผู้ซึ่งเข้ามายังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิตามคําสั่งอาจารย์ตนเพื่อเปลี่ยนสถานะเป็นบัณฑิตจักรวรรดิและเอาชนะหลินเสวียน จากนั้นพวกเขาจึงออกจากมหาวิทยาลัยไป

มีคําอธิบายหลายหลากมากมาย

ในบัณฑิตนิเวศน์ บัณฑิตหลายคนกําลังคึกคักเป็นพิเศษ พวกเขามารวมตัวกันในลานบ้านของเฉินหว่านอวิ๋นและกําลังสนทนาถึงทอล์คออฟเดอะทาวน์ที่กําลังแพร่หลายอยู่ในขณะนี้

“พี่ใหญ่ ตอนนี้ทั้งภูเขาก็เดาไปต่างๆ ว่าใครกันที่ยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้เต๋าจื่อของสํานักเต๋าได้ ใช่ท่านหรือเปล่า”

เฉินหว่านอวิ๋นอ้าปากหาวและพยายามข่มระงับความง่วงงุน “ไม่ใช่ข้าหรอก แม้ว่าข้ามีจิตคิดอยากจะรับใช้มหาวิทยาลัยจักรวรรดิเรา แต่ทว่าข้าฝึกหนักไปหน่อยจึงผล็อยหลับอยู่กลางลานบ้านโดยไม่รู้ตัว หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าเสียงดังอึกทึก ข้าก็คงยังไม่ตื่น ข้าเองก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนไปปราบเต๋าจื่อหลิน เสวียน”

ทุกคนดูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และฉูถิงแย้มยิ้ม “หรือว่าพี่ใหญ่กะจะถ่อมตัวไม่รับชื่อเสียงสรรเสริญ”

เฉินหว่านอวิ๋นจะหัวเราะก็เปล่าร้องไห้ก็ไม่เชิง เมื่อเขากล่าว “ข้าไม่ได้หลับเลยสักนิด และใช้เวลาตลอด 2 วันตรึกตรองทําความเข้าใจ 3 ท่วงท่ากระบี่ที่ท่านราชครูสอนพวกเรา ดังนั้นข้าจึงเค้นสมองคิดมากเกินไปและทําให้พลังชีวิตตนบาดเจ็บ ข้าในตอนนี้แม้แต่จะปลดปล่อยพละกําลัง 80% ของตนเองออกมาก็ยังทําไม่ได้ จะเป็นข้าไปได้อย่างไร หากว่าเป็นข้าจริงที่เอาชนะเจ๋าจื่อหลินเสวียนได้ ข้าจะปิดบังพวกเจ้าไปทําไม”

ทันทีนั้นหลวงจีนอวิ๋นฉื้อก็ฉุกคิดขึ้นมาและถาม “หรือว่าจะเป็นผู้คนที่ถูกละทิ้งนั่น”

เยว่ชิงหงเองก็สะท้านใจเล็กน้อย แม้ว่านางจะอับอายขายขี้หน้าจากการที่ถูกฉินมู่กระแทกจนจมเสาทองแดง นางก็ยังคงนับถือกําลังฝีมือของฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง “ผู้คนที่ถูกละทิ้งนั่นมีทักษะความสามารถครบครัน ไม่ว่าจะเป็นวิชาบู๊ เวทมนตร์ หรือเพลงกระบี่ ก็ล้วนแต่ไม่อ่อนด้อย หรือว่าจะเป็นเขา”

เฉินหว่านอวิ๋นลังเลอยู่ครู่ก่อนจะส่ายหน้า “อันที่จริงแล้ว เพราะข้าไปเห็นเขาพากเพียรฝึกวิชาอย่างหนักโดยไม่หลับไม่นอน จึงทําให้ข้าเอาอย่างเขาและฝึกหนักเพื่อจะเอาชนะเต๋าจื่อหลินเสวียนเช่นเดียวกัน ระยะเวลาการฝึกของเขาไม่น้อยไปกว่าข้า ดังนั้นตอนนี้เขาก็คงจะยังหลับสนิทอยู่และพลาดโอกาสต่อสู้กับเต๋าจื่อหลินเสวียน”

บัณฑิตคนหนึ่งร้องด้วยความโกรธ “เจ้าหมอนี่ ทําให้พี่ใหญ่หลงผิดไปด้วย! ตอนที่ราชครูถ่ายทอดวิชา เขาก็โหวกเหวกโวยวายเรื่องที่เขาฟั่นเฟ้นเส้นด้ายปราณชีวิตสําเร็จ ในเมื่อเขาเพิ่งฟั่นเส้นด้ายปราณชีวิตได้ เขาจะเอาชนะเต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋าได้อย่างไร”

บัณฑิตทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยและหัวเราะร่า “เขาทําตัวน่าขายหน้าอยู่ที่หน้าโถงบรมสิกขา พวกข้าเห็นแล้วก็สาแก่ใจนัก ถึงกับว่าอาการปวดเจ็บที่ถูกเขาทุบตีก็ไม่ได้เจ็บอย่างที่คิด!”

ในตอนนั้นเองก็มีความวุ่นวายดังมาจากตีนเขา และได้ยินเสียงคนตะโกนมาแว่วๆ “มีหลวงจีนเฒ่ามาที่ตีนเขา และเขาพาหลวงจีนหนุ่มมาด้วย พวกเขานั่งอยู่ที่หน้าประตูภูเขา!”

บัณฑิต ทุกคนมองหน้ากันไปมา และสายตาของเฉินหว่านอวิ๋นไหววูบก่อนจะกล่าว “ยอดฝีมือจากสํานักเต๋าเพิ่งจะไป พวกหลวงจีนจากวัดใหญ่ฟ้าคํารามก็มาแทน! หลวงจีนน้อยในหลวงจีนทั้งสองนี้จะต้องเป็นโฝจื่อแห่งวัดใหญ่ฟ้าคํารามอย่างแน่นอน! ข้าไม่ได้ต่อสู้กับเต๋าจื่อหลินเสวียน ดังนั้นข้าจะไม่พลาดโอกาสที่จะประมือกับโฝจื่อแห่งวัดใหญ่ฟ้าคําราม! ศิษย์น้องทั้งหลาย ข้าจะพักก่อนครึ่งวันเพื่อถนอมและฟื้นฟูจิตวิญญาณ”

บัณฑิตทุกคนจึงกล่าวลาแล้วเดินจากไป เฉินหว่านอวิ๋นเอนตัวลงนอนทั้งเสื้อผ้าของตนและหลับไปใน

เวลาไม่นานนัก

เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง เฉินหว่านอวิ๋นก็ตื่นขึ้นมาอย่างสดใส เขาอาบนํ้าแต่งตัว เติมท้องด้วยอาหาร และรีบลงไปยังตีนเขา เมื่อเขาลงไปถึงตีนเขานั้นถึงได้รู้ว่าโฝจื่อแห่งวัดใหญ่ฟ้าคํารามได้กําราบยอดฝีมือมากมายจากมหวิทยาลัยจักรวรรดิ

โฝจื่อผู้นี้มีพระสูตรมหายานยูไล มีร่างวัชระ และยังเชี่ยวชาญในวิชาชัยชนะขัดแย้งของลัทธิพุทธ เมื่อเขาร่ายเวทมนตร์ ร่างของเขาก็จะขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าและมีพละกําลังมหาศาล มีรัศมีพุทธองค์แผ่ออกมาจากรอบร่างของเขาซึ่งบางครั้งมันก็แปรเปลี่ยนเป็นระฆังยักษ์ และบางครั้งก็แปรเปลี่ยนเป็นเจดีย์สยบมาร เขาถือบาตรทองคําด้วยมือข้างหนึ่ง บาตรนี้สามารถดูดผู้คนเข้าไปข้างใน

มืออีกข้างเขาถือเขาพระสุเมรุอันสามารถใช้กดทับบี้แบนใส่ผู้คนได้

เฉินหว่านอวิ๋นก้าวออกไปสู้ และสู้ได้ 12 ระบวนท่า ทําลายร่างวัชระด้วยท่วงท่ากระบี่เจาะเรียกเลือดจากโฝจื่อโฝซิ่นได้ แต่ทว่ากําลังฝีมือของโฝซิ่นนั้นแข็งแกร่งนักจึงเอาชนะเฉินหว่านอวิ๋นได้อยู่ดี

บัณฑิตหลายคนจากทักษะเทวะนิเวศน์และอุทยานราชวงศ์ที่นั่งอยู่บริเวณนั้นต่างก็สังเกตจับตาเขา บัณฑิตจากบัณฑิตนิเวศน์เกือบทั้งหมดแล้วมีวรยุทธ์ขั้นห้าธาตุอันตํ่าที่สุดในมหาวิทยาลัย สําหรับเฉินหว่านอวิ๋นที่สามารถปะทะต่อกรกับโฝจื่อแห่งวัดใหญ่ฟ้าคํารามได้มากกว่า 10 กระบวนท่าก่อนจะพ่ายแพ้ไปนั้น นับว่าเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง และหากเขาไปอยู่ในทักษะเทวะนิเวศน์และอุทยานราชวงศ์ก็อาจจะนับได้ว่าแข็งแกร่งติดหนึ่งในสิบ

มีพวกองค์หญิงองค์ชายจากอุทยานราชวงศ์เดินเข้ามาหมายจะดึงเขาให้มาเป็นพวก เฉินหว่านอวิ๋นไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธใคร เพื่อมิให้เป็นล่วงเกินผู้ใดมากไปนักเขาคิดในใจ ดูเหมือนว่าความสำเร็จของข้านั้นค่อนข้างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ไม่เช่นนั้นคงไม่มีผู้คนเข้ามาหมายจะเชิญข้าเข้าร่วมกลุ่ม ข้าสงสัยจริงว่าถ้าศิษย์น้องฉินประมือกบัหลวงจีนผู้นี้จะเป็นอย่างไร เขาจะต้านทานโฝจื่อได้กี่กระบวนท่านะ”

“ข้าเคยเห็นวัวเขียวที่คุณชายพูดถึงอยู่สองสามครั้ง”

ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ฮู่หลิงเอ๋อนําฉินมู่ไปยังหลังภูเขาแล้วกล่าว “ที่หลังภูเขานี้มีสวนผักอยู่ ข้าเคยไปเดินหาเห็ดวิเศษ ดอกไม้เซียนและเมื่อข้าเดินผ่านสถานที่นั้น ข้าก็พบสมุนไพรวิญญาณในสวนผักและพบกับวัวตัวนี้ ซึ่งตะโกนใส่ข้าสองสามที ข้าเห็นว่ามันกําลังคุ้มกันสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นอยู่ ข้าก็เลยหงุดหงิดและอยากจะกินมันด้วยเหมือนกัน”

ฉินมู่ตกตะลึง “ในสวนผัก? งั้นมันต้องเป็นวัวป่าไร้เจ้าของเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นใครกันจะเอาวัวที่ชอบกินผักไปเฝ้าสวนผัก”

“ใช่แล้ว คุณชาย ว่าแต่ทําไมกิเลนมังกรที่หน้าประตูนั่นถึงอยากกินวัวตัวนี้ล่ะ”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันแต่เดาว่าวัวนี่คงล่วงเกินกิเลนมังกรในสักเรื่อง บางทีอาจจะเพราะมันขโมยผักออกมาจากสวน เลยทําให้กิเลนมังกรรู้สึกไม่สบอารมณ์” ฉินมู่คะเน

ฮู่หลิงเอ๋อพาเขาไปยังหลังภูเขา และที่หลังภูเขานี้ผู้คนบางตา บัณฑิตสองสามคนเดินผ่านมาแถวนี้ และบางคู่ก็มาเกี้ยวพาราสีกัน

ที่หลังภูเขา มีเรือนพักสามสี่แห่งอันว่ากันว่าเป็นเรือนพักของครูผู้สอนที่ชอบเงาไม้เงาภูเขา นอกจากเรือนพักของครูผู้สอนเหล่านี้แล้ว เรือนหลังที่เหลือก็เป็นของผู้อาวุโสพิทักษ์ขุนเขา

และยังมีสวนผักสองสามแห่งเพาะปลูกไว้ที่บริเวณหลังภูเขา ฉินมู่และฮู่หลิงเอ๋อเดินตามทางขรุขระลงจากภูเขา และหลังจากที่เดินไปได้สักพักเขาก็เห็นเรือนอันปูหลังคาด้วยกระเบื้องแดง และบริเวณทางซ้ายด้านหน้าของเรือนนั้นถูกปรับพื้นให้ราบเรียบอันกว้างราวๆ 1 ไร่ รอบๆ บริเวณปักรั้วล้อมและมีผักหญ้ามากมายปลูกไว้ในนั้น

ในตอนนั้นเองก็มีวัวเขียวหนึ่งตัวยืนอยู่กลางสวนผัก และกําลังเคี้ยวเอื้องผักและสมุนไพรในนั้นระหว่างที่หางก็ปัดไล่ยุงไปมาอย่างสบายอารมณ์

ฉินมู่มองมันปราดหนึ่งและตัวสั่นเสียวสันหลัง วัวตัวนี้เป็นสีเขียวจริงๆ และฉินมู่ก็แน่ใจด้วยว่ามีวัวเขียวเช่นนี้เพียงตัวเดียวทั้งภูเขา แต่ทว่า เขาอาจจะเอาชนะวัวตัวนี้ไม่ได้!

วัวเขียวตัวนี้มีร่างกายอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามและเส้นเอ็นปูดโปน อันดูกํายํายิ่งใหญ่ มันยืนอยู่ด้วยสองขาเหมือนมนุษย์และกําลังเอนพิงเสา กีบหน้าของมันซึ่งกลายเป็นอุ้งมือกีบไปแล้วกําลังกําผักหญ้าเขียวชอุ่มเต็มมือ ปากมันก็เคี้ยวผักเหล่านั้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน

ฉินมู่กะประมาณด้วยสายตาและพบว่าวัวเขียวตัวนี้น่าจะสูงใหญ่กว่าเขาถึงสองหรือสามเท่า ร่างของมันแทบไม่มีเนื้อส่วนเกิน ทั้งหมดเป็นกล้ามเนื้อกํายํา และสีเขียวหยกของวัวตัวนี้ถึงกับสามารถสะท้อนแสงได้ ส่องประกายวาบวามเหมือนหยกงามอันถูกขัดเจียรไนมากว่า 10 ปี

ที่น่าขนหัวลุกสุดๆ ก็เมื่อวัวตัวนี้หายใจเข้าและออกลมหายใจ ของมันก็เหมือนกับแสงขาว 2 เส้นไหลเวียนเข้าออกจมูกของมันแถมยังมีเกล็ดมังกรงอกเงยอยู่บนคอของมันด้วย ฉินมู่มั่นใจว่าวัวนี้จะต้องฝึกปรืออยู่ในภูเขานี้เป็นเวลาหลายปี ดูดซับเอาปราณเก้ามังกร ทําให้วัวเริ่มกลายร่างเป็นมังกรและมีเกล็ดมังกรงอกเงยขึ้นมา

“ใครแอบดูข้า”

ทันใดนั้นวัวเขียวก็เปล่งเสียงมนุษย์ออกมา และรีบยัดต้นโบตั๋นในมือเข้าไปในปาก มันสูดแสงขาวที่จมูกกลับเข้าไปในร่าง และสายตาของมันก็เจิดจ้าราวคบเพลิงยามคํ่าคืน เมื่อมันมองไปยังฉินมู่และเดินอาดๆ เข้ามา เมื่อมันเดินมาถึง กล้ามเนื้อบึกบึนของมันก็เด้งดึ๋งๆ อย่างมีชีวิตชีวา

ฉินมู่ระบายลมหายใจขุ่นมัว และกล่าวกับฮู่หลิงเอ๋อ “นี่มันก็แค่วัวไม่ใช่หรือ ข้าเคยต้อนวัวไปเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กๆ แค่วัวตัวเดียว ทําไมข้าจะจัดการไม่ได้ หลิงเอ๋อ เจ้าถอยไปก่อน หากว่าข้าบอกให้เจ้าวิ่ง เจ้าก็วิ่งหนีทันทีเลยนะ เข้าใจไหม”

ฮู่หลิงเอ๋อผงกหัวแล้วถอยออกไป ฉินมู่สูดลมหายใจลึกแล้วเดินตรงไปที่วัวเขียวพลางแย้มยิ้ม

“พี่วัวท่านนี้…”

วัวเขียวมีอารมณ์ร้ายและพุ่งเข้ามาทุบตีเขาโดยไม่พูดพรํ่าทําเพลง ระหว่างที่ยิ้มหยันไปด้วย “เด็กผีที่มีรอยยิ้มกลอกกลิ้ง เจ้าต้องไม่ใช่คนดีแน่ๆ! อย่าริมานับญาติข้าว่าพี่วัว!”

ฮู่หลิงเอ๋อซึ่งรีบล่าถอยขึ้นไปบนภูเขา ก็พลันได้ยินเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังมาจากสวน ตามมาด้วยแผ่นดินไหวไปมาไม่หยุดหย่อน

ผ่านไปสักพัก ฉินมู่ก็โกยแน่บมาอย่างไม่คิดชีวิตราวกับหมอกควันและตะโกน “หลิงเอ๋อ หนีเร็วเข้า!”

ฮู่หลิงเอ๋อรีบยกเท้านางแล้ววิ่งไปหนีด้วยความเร็ว แอบเหลียวหลังไปมอง นางก็พบว่าเบ้าตาฉินมู่บวมเป่ง และจมูกเขาก็ฟกชํ้าอย่างแรง เห็นได้ชัดว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เมื่อครู่ เด็กเลี้ยงวัวแห่งหมู่บ้านพิการชราผู้นี้ถูกวัวเขียวต่อยอัดเสียจนไม่เป็นสารรูป

ฮู่หลิงเอ๋อลอบเดาะปากด้วยความอัศจรรย์ใจ ขณะที่ครุ่นคิด คุณชายนี้เก่งกาจมาตลอด หลังจากที่เข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิมาก็ทุบตีคนนั้น ต่อยอัดคนโน้น ทำไมเขาถึงมาโดนวัวเขียวอัดจนน่วมแทนล่ะ

เสียงกุบกับของกีบที่วิ่งตะบึงมาดังมาจากข้างหลัง เห็นได้ชัดว่าวัวเขียวนั้นกําลังไล่ตามพวกเขามาอย่างดุร้ายและไม่ยอมลดราวาศอก

ฉินมู่รีบคว้าตัวฮู่หลิงเอ๋อ วางนางไว้ที่ไหล่ของตน จากนั้นตะบึงอย่างไม่คิดชีวิตขึ้นไปบนภูเขา

สักพัก วัวเขียวซึ่งไล่ตามพวกเขาไม่ทันก็หันหลังกลับพลางก่นด่าไปด้วย

เมื่อวัวเขียวกลับเข้าไปในสวนผักเสียงงัวเงียของคณบดีป้าซานก็ดังมาจากเรือนหลังคาแดง “ทําไมข้างนอกเอะอะนักล่ะ”

“นายผู้เฒ่า มีคนมารังแกมูมู่ผู้นี้ของท่าน”

วัวเขียวรีบโค้งตัวลงแล้วส่งยิ้มไปทางเรือนพัก “เขายังหมายจะขโมยผักและสมุนไพรของนายผู้เฒ่า และถูกข้าขับไล่ไปแล้ว”

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเรอะ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!