บทที่ 5 พูดแฉ
ซ่งจี๋ซินพาจื้อกุยสาวใช้มาหยุดยืนอยู่ใต้ต้นไหว จึงพบว่าใต้ร่มไม้มีคนเต็มไปหมด น่าจะเกือบครึ่งร้อย พวกเขาต่างก็ลากเอาม้านั่งที่บ้านมา และยังมีเด็กเล็กที่ทยอยกันฉุดดึงผู้ใหญ่ในบ้านให้มาดูเรื่องสนุก
ซ่งจี๋ซินยืนเคียงไหล่นางอยู่ริมร่มไม้ มองเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ มือหนึ่งถือถ้วยสีขาวใบใหญ่ อีกมือไพล่หลัง กำลังพูดเสียงดังด้วยสีหน้าตื่นเต้น “เมื่อครู่พูดถึงทิศทางของเส้นทางมังกรไปคร่าวๆ แล้ว คราวนี้ข้าจะมาเล่าเรื่องเจินหลง[1] กันบ้าง จุ๊ๆ เรื่องนี้สุดยอดจริงๆ เมื่อประมาณสามพันปีก่อน ใต้หล้ามีเทพเซียนที่ร้ายกาจ คนหนึ่งถือกำเนิด เดิมทีเขาซ่อนตัวฝึกตนอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่ง เพื่อบรรลุมหามรรคา จากนั้นจึงเดินทางพเนจรไปทั่วหล้าพร้อมกระบี่ข้างกาย สามฉื่อทระนงในมือคมกริบ แต่ไม่รู้ว่าทำไมคนผู้นี้ถึงไม่ถูกกับเจียวหลง เวลาผ่านไปสามร้อยปีเต็ม เขาเจอเจียวหลงที่ไหนก็สังหารที่นั่น จนบนโลกไม่มีเจินหลงอีกต่อไป เขาถึงได้ยอมเลิกรา สุดท้ายไม่รู้ว่าเขาหายตัวไปไหน บางคนบอกว่าเขาไปยังดินแดนแห่งธรรมะที่อยู่สูงมาก เพื่อพูดคุยสนทนากับบรรพบุรุษแห่งเต๋า แล้วก็มีบางคน บอกว่าเขาไปยังดินแดนสุขาวดีทิศประจิมที่อยู่ห่างไกล เพื่อถกเถียงหลักพระธรรมกับพระพุทธเจ้า แล้วก็มีคนบอกว่าเขาไปเฝ้าประตูของแดนยมบาลด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณร้ายขึ้นมาสร้างวิบัติภัยบนโลกมนุษย์…”
ผู้เฒ่าพูดจนน้ำลายแตกฟองกระเด็นไปทั่ว พวกชาวบ้านที่นั่งฟังไม่รู้สึกรู้สา แต่ละคนฟังด้วยสีหน้ามึนงง
สาวใช้เอ่ยถามเบาๆ อย่างสงสัย “สามฉื่อทระนงคืออะไรหรือ?”
ซ่งจี๋ซินตอบด้วยรอยยิ้ม “ก็คือกระบี่”
สาวใช้ได้ฟังคำตอบก็กล่าวอย่างหงุดหงิด “คุณชาย ตาแก่คนนี้อวดรู้เกินไปแล้ว จะพูดให้เข้าใจง่ายๆ หน่อยก็ไม่ได้”
ซ่งจี๋ซินเหลือบมองผู้เฒ่าพลางกล่าวเยาะเย้ย “คนที่รู้หนังสือในเมืองเรามีอยู่แค่ไม่กี่คน นักเล่านิทานคนนี้ก็เหมือนกำลังชม้อยชะม้ายชายตาให้คนตาบอดนั่นแหละ”
สาวใช้ถามอีกว่า “แล้วถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลล่ะคืออะไร? บนโลกจะมีคนที่อยู่ได้ถึงอายุสามร้อยปีจริงหรือ? แล้วยังมีแดนยมบาลนั่นอีก นั่นไม่ใช่สถานที่ที่มีเพียง คนตายเท่านั้นถึงจะไปเยือนได้หรอกหรือ?”
ซ่งจี๋ซินเองก็ตอบคำถามเหล่านี้ของนางไม่ถูก แต่ก็ไม่อยากแสดงความเขลา จึงตอบรับส่งเดช “เขาก็พูดเหลวไหลทั้งนั้นแหละ คงไปอ่านตำราประวัติศาสตร์ไม่เข้าพวกเล่มไหนมา แล้วเอามาเล่าหลอกให้ชาวบ้านเข้าใจผิด”
และตอนนี้เองที่ซ่งจี๋ซินสัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่าผู้เฒ่าคนนั้นเหลือบมองมา ทางตนเหมือนไม่ตั้งใจแต่ก็ตั้งใจ แม้ว่าอีกฝ่ายจะกวาดสายตามามองแล้วตวัดผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนกบกระโดดบนผิวน้ำ แต่ซ่งจี๋ซินก็ยังคงจับได้ เพียงแต่เด็กหนุ่มไม่ได้เก็บมาใส่ใจ คิดว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น
สาวใช้เงยหน้าขึ้นมองต้นไหวโบราณ แสงแดดเส้นเล็กๆ ส่องลอดร่องใบไม้ลงมา นางจึงหรี่ตาลงโดยอัตโนมัติ
ซ่งจี๋ซินหันหน้ากลับมามองนางแล้วพลันอึ้งตะลึง
มองจากใบหน้าด้านข้าง แก้มกลมแบบเด็กน้อยของสาวใช้ตนในเวลานี้เริ่มหายไปแล้ว คล้ายว่านางจะแตกต่างไปจากสาวใช้ตัวน้อยร่างเล็กผอมแห้งในความทรงจำของตนอยู่มาก
ตามประเพณีดั้งเดิมของเมือง เวลาที่หญิงสาวแต่งงานจะต้องเชิญให้คนผู้หนึ่งที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าอย่างมีความสุขมาโกนขนอ่อนบนใบหน้า ตัดผมหน้าผากและจอนผมของเจ้าสาวออกเพื่อเปิดหน้า หรือไม่ก็กันคิ้ว
ซ่งจี๋ซินยังเคยอ่านเจอประเพณีอีกอย่างหนึ่งที่ไม่มีในเมืองแห่งนี้ ดังนั้น ตอนที่จื้อกุยอายุได้สิบสองปี เขาจึงไปซื้อเหล้าหมักใหม่ที่ดีที่สุดของเมือง หยิบเอาแจกันกระเบื้องงดงามสีเขียวสดดั่งสีลูกบ๊วยที่ยังไม่สุกซึ่งแอบเก็บไว้ออกมา แล้วเทเหล้าลงไป ใช้ผนึกดินเหนียวปิดอย่างระมัดระวัง ก่อนจะนำมันไปฝังไว้ใต้ดิน
จู่ๆ ซ่งจี๋ซินก็เอ่ยขึ้นว่า “จื้อกุย แม้ว่าหากฟังตามคำพูดของบรรพบุรุษเราที่เป็นบัณฑิตแล้ว เจ้าคนแซ่เฉินผู้นั้นจะถือเป็น ‘ไม้ผุเลวไม่อาจแกะสลัก กำแพงดินมูลไม่อาจปาดปูน’ แต่ไม่ว่าอย่างไร ชีวิตนี้ของเขาก็ยังเคยทำเรื่องที่มีความหมายเรื่องหนึ่ง”
สาวใช้ไม่ตอบ นางเพียงหลุบตาลงต่ำจนเห็นขนตาที่ส่ายไหวเบาๆ
ซ่งจี๋ซินพูดกับตัวเองต่อไปว่า “เฉินผิงอันไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เพียงแต่นิสัย แข็งทื่อไปหน่อย ไม่ว่าทำอะไรก็เอาแต่ทำอยู่อย่างนั้นไม่รู้จักพลิกแพลง พอไปเป็น ช่างเผาเครื่องปั้นก็หมายความว่าต่อให้เขาจะพยายามฝึกฝนมากแค่ไหน ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีทางสร้างอะไรที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ ดังนั้นอาจารย์ของหลิวเสี้ยนหยาง ตาเฒ่าเหยาคนนั้นถึงได้ไม่เคยเห็นเฉินผิงอันอยู่ในสายตา เพราะเขามองคนออก นี่แหละที่เรียกว่าไม้ผุเลวไม่อาจแกะสลัก ส่วนกำแพงดินมูลไม่อาจปาดปูน ความหมายคร่าวๆ ก็คือ คนยากจนอย่างเฉินผิงอัน ต่อให้เจ้าจะเอาชุดคลุมมังกร ให้เขาสวม เขาก็ยังคงเป็นเจ้าบ้านนอกที่ล้าสมัยอยู่ดี…”
ตอนที่ซ่งจี๋ซินพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็พลันเอ่ยเยาะตัวเอง “แต่แท้จริงแล้วข้าน่ะ น่าเวทนายิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก”
นางไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจคุณชายของตัวเองอย่างไร
ในเมืองเล็กแห่งนี้ ซ่งจี๋ซินและสาวใช้ของเขามักจะกลายมาเป็นหัวข้อสนทนาหลักหลังจบมื้ออาหารของพวกคนรวยบนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่เสมอ เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ ใต้เท้าซ่ง ‘พ่อผู้ได้กำไร’ ของซ่งจี๋ซิน
ในเมืองเล็กแห่งนี้ไม่มีคนใหญ่คนโตที่ไหน แล้วก็ไม่มีปัญหาความวุ่นวายอะไร จึงเป็นเหตุให้ราชสำนักส่งขุนนางผู้ตรวจสอบดูแลงานเตาเผามาประจำการ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในบรรดาขุนนางผู้ตรวจการหลายสิบคนในประวัติศาสตร์ ใต้เท้าซ่งอดีตผู้ตรวจการคนก่อนซึ่งเป็นดั่งเปาบุ้นจิ้นในบทละครผู้นั้นได้ใจราษฎร ไปมากที่สุด ใต้เท้าซ่งไม่เหมือนขุนนางคนก่อนๆ ที่วางตัวอยู่เหนือผู้อื่น เขาไม่เพียงแต่ไม่หลบเลี่ยงงานในหน้าที่ ไม่เอาแต่เก็บตัวพักผ่อน ปิดประตูไม่รับแขก หรือหมกตัวศึกษาตำราการปกครองอยู่แต่ในบ้าน ตรงกันข้ามสำหรับงานเผาเครื่องปั้นแล้ว เขาถึงขั้นลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง สภาพของเขาเหมือนชาวบ้านในชนบทยิ่งกว่าพวกช่างคุมเตาเผาเสียอีก เวลาสิบกว่าปี ผิวหนังของใต้เท้าซ่งที่เดิมทีเป็นปัญญาชนเต็มตัวถูกแดดเผาจนดำเมี่ยม เวลาปกติเขาก็แต่งตัวไม่ต่างอะไรจากชาวไร่ชาวนา เข้าได้กับทุกคน ไม่เคยวางโตโอหัง น่าเสียดายก็แต่เครื่องปั้นสำหรับใช้ในวังที่ผลิตจากเตามังกรของเมืองเล็ก ไม่ว่าจะเป็นสีสันหรือรูปร่างก็ล้วนไม่ได้ดั่งใจผู้ใช้ หรือจะพูด ให้ถูกก็คือ หากเทียบกับมาตรฐานในอดีตแล้ว ยังถือว่าเป็นรองระดับหนึ่ง นี่ทำให้พวกช่างเผาเครื่องปั้นคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ
สุดท้ายคงเป็นเพราะทางราชสำนักรู้สึกว่า แม้ใต้เท้าซ่งผู้รอบคอบและมีใจรับผิดชอบสูงจะไม่มีคุณความชอบ แต่ก็ทำงานหนัก ในหนังสือเรียกตัวกลับ เมืองหลวงจากกรมขุนนางจึงประเมินเขาไว้เป็นอย่างดี ก่อนหน้าที่ใต้เท้าซ่งจะกลับเมืองหลวง เขาได้แจกจ่ายเงินทอง สนับสนุนให้สร้างสะพานแบบคานแห่งหนึ่งขึ้นมา ภายหลังถึงพบว่ากลุ่มรถม้าที่ใต้เท้าซ่งใช้เดินทางจากไปไม่ได้เอาเด็กคนหนึ่งไปด้วย เหล่าตระกูลแซ่ใหญ่ของเมืองจึงกระจ่างแจ้งในฉับพลัน สามารถพูดได้ว่าใต้เท้าซ่ง ได้สั่งสมความดีกับคนในเมืองแห่งนี้เอาไว้ บวกกับที่ขุนนางผู้ตรวจการคนปัจจุบัน จงใจป่าวประกาศ ตลอดหลายปีมานี้ชีวิตของเด็กหนุ่มซ่งจี๋ซินจึงไม่เคยต้องกังวล เรื่องกินเรื่องอยู่ มีอิสระเสรีเต็มที่ ส่วนที่มาของชาติกำเนิดสาวใช้ที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นจื้อกุยนั้น มีคำเล่าลือหลากหลาย คนท้องถิ่นที่อยู่ในตรอกหนีผิงบอกว่า ฤดูหนาวที่หิมะขาวโพลนตกหนัก มีเด็กหญิงต่างถิ่นเดินขอทานมาถึงที่นี่ แล้วมาเป็นลมอยู่ หน้าประตูบ้านของซ่งจี๋ซิน หากไม่เป็นเพราะมีคนมาพบทันเวลา
นางคงต้องไปพบพญายมเพื่อขอเกิดใหม่แล้ว ส่วนทางฝ่ายของผู้เฒ่าที่ทำงานจุกจิกอยู่ในหน่วยงานราชการกลับพูดไปอีกอย่างหนึ่ง เขาเอ่ยสาบานอย่างน่าเชื่อถือว่าใต้เท้าซ่งซื้อเด็กกำพร้าจากที่อื่นมาไว้นานแล้ว เพื่อให้มาเป็นคนรู้ใจสอนให้ ซ่งจี๋ซินลูกชายนอกสมรสรู้จักความอบอุ่น ชดเชยส่วนขาดที่บิดาไม่ยอมรับเป็นลูก
ไม่ว่าอย่างไร หลังจากที่สาวใช้ถูกเด็กหนุ่มตั้งชื่อให้ว่าจื้อกุย ก็ถือเป็นการยืนยันความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างคนทั้งสอง เพราะตระกูลใหญ่ในเมืองล้วนรู้ดีว่า แท่นฝนหมึกอันหนึ่งที่ใต้เท้าซ่งชื่นชอบมากที่สุดสลักอักษรสองคำว่า ‘จื้อกุย’ เอาไว้
ซ่งจี๋ซินหลุดจากภวังค์ พลันคลี่ยิ้มสดใส “ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงได้นึกถึงงูสี่ขาขี้ตื๊อตัวนั้นขึ้นมา จื้อกุยเจ้าคิดดูสิ ขนาดข้าโยนมันเข้าไปในลานบ้านของเฉินผิงอันแล้ว มันก็ยังจะเลื้อยกลับมาที่บ้านพวกเราอีก เจ้าว่ารังสุนัขของเฉินผิงอันจะต้องทุเรศลูกตา ขนาดไหน งูสี่ขาสักตัวถึงได้ไม่ยอมเข้าไป?”
สาวใช้คิดตามอย่างตั้งใจแล้วตอบว่า “เรื่องบางเรื่องคงอยู่ที่โชควาสนากระมัง?”
ซ่งจี๋ซินยกนิ้วโป้งให้นาง กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “หลักการนี้แหละ! เขาเฉินผิงอันเป็นคนด้อยโชคไร้วาสนา มีชีวิตอยู่มาได้ก็ควรจะพอใจแล้ว”
นางไม่ได้ต่อคำ
ซ่งจี๋ซินจึงพึมพำกับตัวเองต่อไปว่า “หลังจากที่พวกเราไปจากเมืองแล้ว ของในบ้านก็มอบให้เฉินผิงอันดูแล ไอ้หมอนี่คงไม่ดูเองขโมยเองหรอกนะ”
สาวใช้เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “คุณชาย คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง?”
ซ่งจี๋ซินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โอ้ จื้อกุย คำว่าดูเองขโมยเอง เจ้าก็เข้าใจด้วยหรือ?”
สาวใช้กะพริบดวงตากลมโตปริบๆ “ความหมายไม่ได้ตรงตัวหรอกหรือ?”
ซ่งจี๋ซินหัวเราะ มองไปทางทิศใต้ด้วยสีหน้าคาดหวัง “ข้าได้ยินมาว่าหนังสือที่เมืองหลวงสะสมไว้มีเยอะละลานตายิ่งกว่าในเมืองพวกเรามากนัก!”
และเวลานี้นักเล่านิทานก็กำลังพูดว่า “แม้ว่าบนโลกจะไม่มีเจินหลง (มังกรที่แท้จริง) อีกแล้ว แต่สัตว์ที่เป็นลูกน้องของมังกรอย่างงู ฉิว (虬 มังกรตัวเล็กมีเขาที่กล่าวถึงในหนังสือโบราณ) ชือ (螭 มังกรที่ไม่มีเขาในเทพนิยายของจีน) ฯลฯ กลับยังคงอยู่อาศัยบนโลกมนุษย์อย่างแท้จริง ไม่แน่ว่า…”
ผู้เฒ่าแสร้งยั่วให้คนฟังอยากรู้ แต่พอเห็นว่าพวกชาวบ้านยังคงนั่งเฉย ไม่รู้จักรับมุข ก็ได้แต่พูดต่อไปว่า “ไม่แน่ว่าอาจจะมาซ่อนตัวอยู่ข้างกายพวกเรา ซึ่งเทพเซียนแห่งลัทธิเต๋าเรียกว่ามังกรซ่อนลาย!”
ซ่งจี๋ซินหาวหวอด
จู่ๆ ใบไหวใบหนึ่งก็ร่วงลงมาจากเหนือศีรษะเขา ใบของมันที่เป็นสีเขียวชอุ่ม หล่นลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่มพอดี
ซ่งจี๋ซินยื่นมือออกไปจับใบของมัน ใช้สองนิ้วบิดก้านใบเล่น
—-
ตอนที่เด็กหนุ่มซึ่งคิดว่าควรจะไปทวงหนี้ที่ประตูตะวันออกของเมืองสักหน่อยเดินมาใกล้ต้นไหวโบราณ ก็มองเห็นว่าด้านหน้ามีใบไหวใบหนึ่งร่วงลงมา เขาจึงสาวเท้าเร็วๆ หมายจะยื่นมือไปรับมันมาไว้
เพียงแต่ว่าพอลมเย็นๆ ระลอกหนึ่งพัดมา ใบไม้ก็ปลิวผ่านมือของเขาไป
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะตัวเตี้ยจึงก้าวเท้าตามไปเร็วๆ หวังจะรั้งใบไม้ใบนั้น ทว่าใบไม้ใบนี้กลับหมุนคว้างกลางอากาศอีกหนึ่งรอบ เด็กหนุ่มไม่ยอมแพ้ พยายามไล่จับมันอยู่หลายที สุดท้ายก็ยังไม่อาจคว้าใบไหวไว้ได้
เด็กหนุ่มเฉินผิงอันจนใจ
เด็กหนุ่มสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งซึ่งหนีเรียนมาเดินสวนไหล่เฉินผิงอันไป
ชนาดเด็กหนุ่มชุดเขียวเองก็ยังไม่รู้ว่าบนไหล่มีใบไหวใบหนึ่งหล่นติดอยู่
เฉินผิงอันมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศตะวันออกต่อไป ต่อให้จะไม่ได้เงินมา แต่อย่างน้อยไปทวงสักหน่อยก็ยังดี
แผงดูดวงที่อยู่ห่างออกไป นักพรตหนุ่มที่กำลังหลับตาพักผ่อนพึมพำกับตัวเองว่า “ใครเล่าที่บอกว่าวงโคจรชะตาฟ้า ไม่มีลำเอียง?”
…………….
[1] ตามตำนานความเชื่อของชาวจีน มังกรแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งในนิยายเรื่องนี้หลักๆ จะมีการกล่าวถึงเจินหลงและเจียวหลง ทั้งสองคำนี้ต่างก็มีคำว่าหลงที่แปลว่ามังกร แต่ทั้งสองฝ่ายจะมีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้ : เจินหลง (มังกรที่แท้จริง) โดยทั่วไปแล้วมีระดับสูงกว่าเจียวหลง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเทพเซียน เป็นจิตวิญญาณของเทพเซียน หรือมนุษย์ที่ฝึกตนจนกลายเป็นเทพเซียน ยกตัวอย่างเช่นคำเรียกที่บอกว่าโอรสสวรรค์คือมังกรที่แท้จริง เจินหลงจะอาศัยอยู่บนสวรรค์ บินได้ เป็นตัวแทนของความดี ส่วนเจียวหลงหรือเรียกอีกอย่างว่าเจียว คือ สัตว์ทั่วไป สามารถเข้าใจว่าเป็นสัตว์น้ำที่มีสายเลือดของมังกร อาศัยอยู่ในน้ำ (บางตำราเรียกว่ามังกรคะนองน้ำ) เมื่อฝึกตนและมีการผ่านด่านเคราะห์ไปได้จะสามารถเลื่อนขั้นกลายเป็นเจินหลง หรือบางตำราก็บอกว่าเจียวหลงคือมังกรที่ยังโตไม่เต็มวัย เมื่อโตเต็มวัยจึงจะกลายเป็นเจินหลง