บทที่ 8 ไป้ฉ่าว
หลังกลับมาถึงบ้านตัวเอง หนังตาของเฉินผิงอันก็กระตุกอยู่ตลอดเวลา ขวาร้าย ซ้ายดี
เฉินผิงอันจึงมานั่งอยู่บนธรณีประตูบ้านของตัวเอง เริ่มจินตนาการว่าตัวเองกำลังปั้นดินขึ้นรูป มือทั้งคู่ลอยอยู่กลางอากาศ และเพียงไม่นานเด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็เข้าสู่สภาวะหลงลืมตน ด้านหนึ่งก็เพราะเด็กหนุ่มเป็นคนขยัน แต่การทำเช่นนี้แล้วช่วยให้ทนหิวได้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงฝึกจนติดเป็นนิสัย ว่าหากมีเรื่องในใจเมื่อไหร่จะเริ่มปั้นดินขึ้นรูปทันที การเผาเครื่องปั้นต้องอาศัยบัญชาสวรรค์มากที่สุด เพราะก่อนจะเปิดเตา ใครก็ไม่อาจรู้ได้ว่าสุดท้ายแล้วสีสันและรูปร่างของเครื่องปั้นชิ้นหนึ่งจะสมดังที่ตั้งใจไว้หรือไม่ จึงได้แต่ฟังบัญชาจากสวรรค์เท่านั้น แต่ก่อนหน้าที่จะเริ่มเผา ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการปั้นดินขึ้นรูปคือสิ่งสำคัญของ สิ่งสำคัญอีกที เพียงแต่เฉินผิงอันถูกผู้เฒ่าเหยามองว่าเป็นคนฝีมือย่ำแย่ อย่างมากสุดก็ได้แค่ทำงานใช้แรงงานอย่างฝึกปั้นดินเท่านั้น เฉินผิงอันจึงได้แต่คอยสังเกตคนอื่นอย่างใกล้ชิด จากนั้นตัวเองก็ฝึกปั้นดิน ฝึกขึ้นรูปเพื่อหาความเคยชินให้กับมือตัวเอง
ลานบ้านข้างๆ มีเสียงประตูไม้ถูกผลักเปิด ที่แท้ซ่งจี๋ซินก็พาสาวใช้จื้อกุยกลับมาจากโรงเรียนแล้ว เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามาถึงก็กระโดดขึ้นบนกำแพงเตี้ยได้อย่างสบายๆ แล้วนั่งยองลง พอเขาแบมือออกจึงเห็นว่ากลางฝ่ามือเต็มไปด้วยหินขนาด เท่าเล็บมือหลากสีหลายรูปแบบ มีทั้งสีเหลืองเหมือนไขมันแพะ เขียวเหมือน เม็ดถั่ว ขาวเหมือนรากบัว ฯลฯ หินที่ไม่มีค่าเหล่านี้มีขนาดไม่เท่ากัน สามารถพบเห็นได้ทุกที่ในแม่น้ำของเมือง ซึ่งในบรรดานี้มีหินสีแดงสดดั่งสีเลือดไก่ที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมากที่สุด และอาจารย์ฉีของโรงเรียนก็ได้นำมันมาสลักเป็นตราประทับให้แก่ จ้าวเหยาลูกศิษย์ของเขา ซ่งจี๋ซินถูกใจมันมาก พยายามจะเอาของไปแลกกับ เจ้าหมอนั่นอยู่หลายครั้ง แต่ให้ตายยังไงอีกฝ่ายก็ไม่ยอมแลก
ซ่งจี๋ซินโยนหินออกไปก้อนหนึ่งไม่แรงนัก มันกระทบลงบนหน้าอกของเฉินผิงอันพอดี ฝ่ายหลังนิ่งเฉยไม่สนใจ
โยนไปอีกครั้ง คราวนี้กระแทกหน้าผากของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ เฉินผิงอันยังคงไม่ขยับกาย
ซ่งจี๋ซินไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เลยถือโอกาสขว้างออกไปอีกเจ็ดแปดก้อน แม้ซ่งจี๋ซินจะตั้งใจทำให้เฉินผิงอันเจ็บเพื่อที่จะได้เสียสมาธิ กระนั้นเขาก็ไม่ได้ขว้างไปโดนแขนและนิ้วทั้งสิบของเฉินผิงอัน เพราะซ่งจี๋ซินรู้สึกว่าการทำเช่นนี้เป็นชัยชนะที่ไม่สมเกียรติ
พอโยนหินหมด ซ่งจี๋ซินก็ปัดมือไปมา เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมายาวๆ สะบัดข้อมือ ไม่คิดจะสนใจซ่งจี๋ซินแม้แต่น้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ก้มหน้าลง ใช้นิ้วทั้งห้าของมือซ้ายทำเป็นรูปมีดแกะสลัก
เคล็ดลับยก-มีดนี้ ในบรรดาช่างปั้นของเมืองไม่ถือว่าเป็นวิชาลับสุดยอดของใคร แต่ฝีมือยก-มีดของผู้เฒ่าเหยา ไม่ว่าใครที่ได้เห็นต่างก็ต้องยกนิ้วโป้งให้ทั้งนั้น
ผู้เฒ่าเหยารับลูกศิษย์ไว้หลายคน แต่ก็ไม่เคยมีใครทำให้ผู้เฒ่าเหยาพึงพอใจได้ จนมาถึงหลิวเสี้ยนหยางที่ทำให้เขารู้สึกว่าพบคนที่จะมาสืบทอดความรู้ของตัวเอง ได้แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่หลิวเสี้ยนหยางฝึกฝน ขอแค่เฉินผิงอันไม่มีงานก็มักจะไป นั่งยองอยู่ข้างกายอีกฝ่ายแล้วตั้งใจเพ่งมองเสมอ
หลิวเสี้ยนหยางเป็นคนรักหน้าตาของตัวเองที่สุด แล้วก็รู้ด้วยว่าเฉินผิงอันไม่มีทางปากโป้งไปบอกใคร เขาจึงมักจะเอาเคล็ดลับที่ผู้เฒ่าเหยาถ่ายทอดให้ตัวเองมาสร้างความสะท้านสะเทือนใจแก่ฝ่ายหลัง ยกตัวอย่างเช่น “หากคิดจะทำให้ลายเส้นของมีดมั่นคง มือจะมั่นคงจนแข็งทื่อไม่ได้ สืบสาวกันถึงแก่นแล้ว ก็คือใจต้องมั่นคงนั่นเอง”
แต่พอเฉินผิงอันซักถามว่าอะไรคือใจมั่นคง หลิวเสี้ยนหยางกลับตอบไม่ถูก
ซ่งจี๋ซินมองอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกเบื่อ จึงกระโดดลงจากกำแพงแล้วเข้าห้องไป
จื้อกุยสาวใช้ยืนอยู่ข้างกำแพง หากนางไม่เขย่งเท้าใบหน้าก็จะเลยกำแพงมาครึ่งหนึ่งพอดี แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังคงเห็นได้ว่านางคือ สาวงามคนหนึ่ง
นางคิดอยู่ชั่วครู่ก็เขย่งปลายเท้าเบาๆ สายตากวาดมองไปรอบกายเด็กหนุ่ม ผู้ยากจน สุดท้ายเจอหินสองก้อนบนพื้นที่ถูกใจตัวเอง ก้อนหนึ่งเป็นสีแดงสด ทั้งยังโปร่งใส ส่วนอีกก้อนเป็นสีขาวราวหิมะ ส่องประกายแวววาว ทั้งสองก้อนต่างก็เป็นสิ่งที่คุณชายของนางไม่ต้องการจึงทิ้งไปเมื่อครู่นี้
นางลังเลอยู่เล็กน้อยก็เอ่ยเสียงเบาอย่างขลาดๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าช่วยข้าเก็บหินสองก้อนนั่นมาได้หรือไม่ ข้าชอบมันมาก”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นช้าๆ แต่มือก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว และยังมั่นคงมากดังเดิม เขาใช้สายตาบอกเป็นนัยให้นางรอสักครู่
จื้อกุยยิ้มหวาน ประหนึ่งหน่ออ่อนสีเขียวหน่อแรกที่แตกขึ้นมาบนกิ่งไม้หลังเข้าฤดูใบไม้ผลิ งดงามอย่างถึงที่สุด
เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มก้มหน้าลงไปแล้ว จึงพลาดที่จะได้เห็นภาพอันน่าประทับใจนี้
มุมปากของนางตวัดโค้งขึ้น ดวงตาทั้งคู่มีประกายแสงเปล่งวูบวาบคล้ายมีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กมากกำลังว่ายวนอยู่ในดวงตาของนางอย่างสบายอุรา
รอจนเฉินผิงอันหยุดการกระทำในมือตัวเองลงแล้วถามว่านางต้องการหิน สองก้อนไหน สายตาของจื้อกุยสาวใช้ถึงกลับคืนมาเป็นปกติ นุ่มนวลดั่งดินโคลนหลังฝนตกอย่างที่เคยเป็นมา
เฉินผิงอันเก็บหินสองก้อนตามตำแหน่งที่นางชี้ แล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างกำแพง นางเพิ่งเตรียมจะยกมือขึ้นรับ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะกลับเอาหินวางไว้บนกำแพงก่อนแล้ว
นางหยิบหินทั้งสองก้อนมาแล้วกำไว้ในมือแน่น
ของที่คนตั้งใจตามหา มักเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร สิบปีก็ยากจะพานพบ
แต่คนที่มีวาสนาต่อให้ไม่มีใจ กลับพบเจอได้ตามท้องตลาดทั่วไป แค่เอื้อมมือคว้าก็ถึง อยู่ที่ว่าต้องการจะเก็บมาหรือไม่
เฉินผิงอันถามยิ้มๆ ว่า “ไม่กลัวว่าเจ้าเด็กขี้มูกยืดจะมายืนด่าอยู่หน้าบ้านพวกเจ้าเป็นครึ่งๆ วันอีกหรือ?”
นางไม่ได้ยอมรับว่าคุณชายตัวเองขโมยของของคนอื่น แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่ หน้าหนาพอที่จะปฏิเสธ จึงได้แต่ยิ้มรับ ไม่เอ่ยอะไร
ในตรอกหนีผิงมีแม่ลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ ฝีปากการด่าคนของคนทั้งสองเรียกได้ว่า ไร้เทียมทานในเมืองแห่งนี้ แล้วก็มีแค่ซ่งจี๋ซินเท่านั้นที่พอจะปะทะฝีปากกับพวกเขาได้ ฝ่ายลูกชายนั้นเกเรเป็นพิเศษ น้ำมูกมักจะไหลย้อยออกจากจมูกทั้งปี ชอบไปจับปลา เก็บหินในแม่น้ำ ปลาที่จับมาได้จะเอามาเลี้ยงในอ่างใหญ่ ส่วนก้อนหินจะกองกันไว้ข้างอ่างน้ำ ซ่งจี๋ซินชอบยั่วให้เจ้าตัวแสบโมโห ทุกๆ สามวันห้าวันจะต้องฉวยหยิบหินสองสามก้อนติดมือไปด้วยเสมอ วันสองวันคงมองไม่ออก แต่ซ่งจี๋ซินกลับฉวยเอาไปบ่อยๆ หากเด็กชายแน่ใจเมื่อไหร่ว่าของรักของตัวเองหายไปก็จะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ราวกับแมวป่าตัวน้อยที่ถูกเหยียบหางอย่างไรอย่างนั้น เขาสามารถยืนด่าอยู่ นอกประตูบ้านซ่งจี๋ซินได้เป็นชั่วยาม และแม่เขาก็ไม่เคยห้ามปราม กลับยังกระพือลมให้ไฟลุกแรงกว่าเดิมโดยการจงใจเอาเรื่องที่ซ่งจี๋ซินคือลูกนอกสมรสของขุนนางผู้ตรวจการคนก่อนมาพูดยั่วโมโห หลายครั้งที่ซ่งจี๋ซินโกรธจนกัดฟันกรอด เกือบจะหยิบม้านั่งในบ้านออกไปตีกับอีกฝ่าย แต่ยังดีที่จื้อกุยสาวใช้หาสารพัดเหตุผลมาขอร้องจึงหยุดเขาไว้ได้
แล้วทันใดนั้นเสียงแหลมเล็กก็ดังขึ้นมา “ซ่งจี๋ซิน ซ่งจี๋ซิน รีบมาจับชู้เร็วเข้า สาวใช้บ้านเจ้ากำลังเล่นหูเล่นตาอยู่กับเฉินผิงอัน เห็นได้ชัดว่าอ่อยเหยื่อติดแล้ว! ถ้าเจ้ายังไม่มาจัดการกับสาวใช้ร่วมห้องนอนของเจ้า ไม่แน่ว่าคืนนี้นางอาจปีนข้ามกำแพงไปเคาะประตูห้องของเฉินผิงอันก็ได้!
รีบโผล่หัวออกมาเร็วเข้า จุ๊ๆๆ มือของเฉินผิงอันใกล้จะลูบใบหน้าของนางแล้ว เจ้าไม่เห็นหรอกว่ารอยยิ้มของเฉินผิงอันชั่วร้ายแค่ไหน…”
ซ่งจี๋ซินไม่คิดจะโผล่หน้าออกมา เขาเพียงแค่ตะโกนจากในห้อง “นี่จะนับเป็นอะไรได้ เมื่อคืนวานข้ายังเห็นเฉินผิงอันดึงๆ รั้งๆ อยู่กับแม่ของเจ้า พอถูกข้าจับได้ เฉินผิงอันถึงได้พยายาม ‘ชัก’ มือออกจากคอเสื้อของนาง เรื่องนี้ก็ต้องโทษที่แม่เจ้า นางน่ะอวบอิ่มเต็มไม้เต็มมือเกินไป น่าสงสารเฉินผิงอันที่เหนื่อยจนเหงื่อแตกท่วมตัว…”
ในซอยมีคนเตะประตูหน้าบ้านของซ่งจี๋ซินอย่างแรง ตามมาด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “ซ่งจี๋ซิน ออกมาสิ สู้กันตัวต่อตัว! หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องยกจื้อกุยให้มาเป็นสาวใช้ของข้า ต้องมาป้อนข้าว ปูเตียง ล้างเท้าให้ข้าทุกวัน! ถ้าข้าแพ้ เจ้าก็เอาเฉินผิงอันไปเป็น คนใช้เจ้า ว่าไง? เจ้ากล้าหรือไม่กล้า คนที่ไม่กล้าก็คือเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง!”
ซ่งจี๋ซินที่อยู่ในห้องตอบรับน้ำเสียงเกียจคร้าน “ไปเล่นที่อื่นไป๊! บิดาเจ้าอย่างข้าลองเปิดปฏิทินดูแล้ว วันนี้ไม่เหมาะให้ต่อยตีกับใคร กู้ช่าน ถือว่าเจ้าโชคดีไป!”
เด็กชายที่อยู่นอกบ้านทุบประตูโดยแรง “จื้อกุย เจ้ามาอยู่กับคุณชายเลวคนนี้ช่างน่าเวทนาเสียนี่กระไร ไม่สู้เจ้าหนีไปกับหลิวเสี้ยนหยางยังจะดีซะกว่า จะอย่างไรซะสายตาเวลาที่เจ้าโง่นั่นมองเจ้าก็เหมือนจะกลืนกินเจ้าเข้าไป”
จื้อกุยหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน
ในบ้าน ซ่งจี๋ซินกำลังเช็ดถูน้ำเต้าสีเขียวมรกตลูกหนึ่งอย่างตั้งใจ นี่คือของเก่าที่ไม่ทราบว่ามาจากยุคสมัยไหน แล้วก็เป็นหนึ่งใน ‘ทรัพย์สมบัติ’ ที่ใต้เท้าซ่งผู้นั้นทิ้งไว้ให้ เดิมทีซ่งจี๋ซินไม่ได้ใส่ใจมันเท่าใดนัก ภายหลังค้นพบว่าทุกครั้งที่ฝนตกฟ้าร้อง ในน้ำเต้าจะต้องมีเสียงดังหวึ่งๆ ทว่าพอซ่งจี๋ซินแกะจุกด้านบนออกดู ไม่ว่าเขย่าแรงแค่ไหนก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรกลิ้งออกมา หากกรอกน้ำกรอกทรายเข้าไปแล้วเทออกมาก็ยังคงเป็นน้ำและทรายอยู่เหมือนเดิม ไม่เพิ่มและไม่ขาดหายไป
ซ่งจี๋ซินอับจนหนทางแล้วจริงๆ บวกกับที่คราวก่อนถูกแม่ผู้เผ็ดร้อนของกู้ช่าน ด่าย้ำอยู่หน้าบ้านว่าตนเป็นลูกที่มีแม่คลอด แต่ไม่มีพ่อเลี้ยง ทำเอาเขาหงุดหงิดงุ่นง่านจึงถือมีดมาฟันน้ำเต้าระบายแค้น แต่ผลลัพธ์กลับทำให้เด็กหนุ่มต้องอ้าปากค้าง เพราะมีดกระเด็นหลุดจากมือเขาไป แต่น้ำเต้ากลับยังคงสมบูรณ์แบบไร้ความเสียหาย ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้แม้แต่เสี้ยวเดียว
ในจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกซ่งจี๋ซินเผาทิ้งไปนานแล้วเขียนไว้ว่า ‘เงินทองของมีค่าที่ทางการส่งมาให้ จะช่วยรับรองว่าพวกเจ้านายบ่าวไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องปากท้อง ยามว่างสามารถเอาของเก่าบางชิ้นที่ถูกใจออกมาดูเพื่อกล่อมเกลานิสัยของตัวเอง แม้เมืองแห่งนี้จะเล็ก แต่ธัญญาหารก็พอให้เลี้ยงปากท้อง ตำราพอให้เลี้ยงปัญญา ทิวทัศน์พอให้เลี้ยงสายตา ความเงียบสงบสามารถชโลมจิตใจ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ชะตาชีวิตคนอยู่ที่บัญชาจากสวรรค์ มังกรซ่อนลาย วันหน้าย่อมต้องได้รับโชค ตอบแทน’
แม้ซ่งจี๋ซินจะเกลียดแค้นชายคนนั้น แต่หากมีเงินแล้วไม่ใช้คงต้องโดนฟ้าผ่า เมื่ออยู่ในเมืองเล็กที่ผู้คนใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย คิดจะใช้เงินมือเติบจึงถือเป็น เรื่องยาก หลายปีที่ผ่านมานี้ ซ่งจี๋ซินจึงชื่นชอบการเก็บสะสมของประหลาดเข้าจริงๆ ในกล่องใบใหญ่สีแดงล้วนเต็มแน่นไปด้วยของแปลกๆ อย่างน้ำเต้าเขียวมรกตลูกนี้ทั้งสิ้น เพียงแต่ซ่งจี๋ซินมีลางสังหรณ์ที่ยากจะอธิบายอย่างหนึ่งว่า ในกล่องใบใหญ่ที่มีของสามสิบกว่าชนิดสารพัดรูปแบบ น้ำเต้าลูกนี้ล้ำค่ามากที่สุด จากนั้นก็ตามมาด้วยกระดิ่งสีม่วงอมแดงที่พอเขย่า ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ว่าลูกกลิ้งเล็กๆ ซึ่งแขวนอยู่ข้างในกระทบกับผนังด้านใน เดิมจึงควรส่งเสียงดังกังวาน แต่มันกลับไม่มีเสียง นี่จึงทำให้ ซ่งจี๋ซินทั้งขนลุกขนชัน ทั้งเกิดความใคร่รู้ขึ้นในคราวเดียวกัน สุดท้ายคือ กาน้ำชาโบราณเรียบง่ายที่ถูกเรียกว่า ‘ซานเซียว’ ส่วนของชิ้นอื่นๆ ซ่งจี๋ซินชื่นชอบเพียงเล็กน้อย ไม่อาจเรียกได้ว่าถูกใจตั้งแต่แรกเห็น
เด็กชายที่ชื่อว่ากู้ช่านยืนตะโกนด่าอยู่หน้าบ้านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ เสียงด่ากลับหายไปกลางคัน
จากนั้นเฉินผิงอันก็เห็นว่าไอ้หมอนั่นผลักประตูหน้าบ้านของตนเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก พอปิดประตูลงแล้วก็นั่งยองอยู่ข้างประตู คอยหันมาส่งสายตาให้ตนอย่างต่อเนื่อง หวังให้ตนไปนั่งอยู่ข้างๆ เขา
เฉินผิงอันไม่เข้าใจ แต่ก็ยังก้มตัวต่ำวิ่งไปอยู่ข้างกายเด็กชาย พอนั่งลงแล้วจึงถามเบาๆ ว่า “กู้ช่าน เจ้าทำอะไรน่ะ? ไปยั่วโมโหแม่เจ้าอีกแล้วหรือ?”
เด็กชายสูดน้ำมูกแรงๆ ก่อนตอบเสียงแผ่วเบาว่า “เฉินผิงอัน ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ เมื่อครู่นี้ข้าเจอกับคนประหลาดคนหนึ่ง ถ้วยขาวในมือเขาสามารถเทน้ำออกมาได้ ไม่หยุด เจ้าดูนะ ถ้วยใหญ่แค่นี้ แต่ข้าเห็นเองกับตาว่าเขาเทน้ำลงมานานถึง หนึ่งชั่วยาม! ไอ้หมอนั่นเพิ่งจะเดินผ่านหน้าปากซอยของเราไป แล้วดูเหมือนว่าเขาจะหยุดชะงัก คงไม่ใช่ว่าเขาเห็นข้าแล้วกระมัง? แย่แล้วๆ…”
เด็กชายใช้มือทั้งสองข้างทำท่าประกอบบอกขนาดของถ้วยสีขาว จากนั้นก็ตบอกตัวเอง กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ข้าตกใจจนพ่อซ่งจี๋ซินเกือบตายแน่ะ”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าหมายถึงนักเล่านิทานที่อยู่ใต้ต้นไหวนั่นน่ะหรือ?”
เด็กชายพยักหน้ารับอย่างแรง “ก็ใช่น่ะสิ ตาแก่นั่นไม่ได้มีแรงมากสักเท่าไหร่ ขนาดข้า เขาก็ยังอุ้มไม่ขึ้น แต่ไอ้ถ้วยบ้านั่นน่าสยองจริงๆ น่ากลัวยิ่งนัก!”
จู่ๆ เด็กชายก็คว้าแขนเฉินผิงอัน “เฉินผิงอัน คราวนี้ข้าไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ นะ! ข้าสาบานเลยก็ได้ ถ้าข้าโกหกก็ขอให้ซ่งจี๋ซินไม่ตายดี!”
เฉินผิงอันยกนิ้วข้างหนึ่งขึ้นมาทำท่าให้เงียบเสียง
เด็กชายหุบปากฉับทันใด
ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังขึ้น แล้วค่อยๆ เงียบหายไป
สิ่งหนึ่งมักจะข่มอีกสิ่งหนึ่งได้เสมอ
เด็กชายที่เดิมทีไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินนั่งแปะลงไปกับพื้น ยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่ ซีดขาวแรงๆ เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กขี้มูกยืดที่ชื่อว่ากู้ช่านผู้นี้ตกใจกลัวจนเกือบตายจริงๆ
แล้วจู่ๆ เด็กชายก็ถามว่า “เฉินผิงอัน ไอ้หมอนั่นคงไม่ได้ไปที่บ้านข้าหรอกกระมัง? จะทำยังไงดีล่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจำใจ “จะให้ข้ากลับบ้านเป็นเพื่อนเจ้า?”
ดูท่าเด็กชายคงรอประโยคนี้จากเฉิงผิงอันอยู่แล้ว เขาจึงลุกพรวดขึ้นยืน แต่ก็นั่งแปะลงไปอีกครั้ง พูดหน้าม่อยคอตก “เฉินผิงอัน ข้าขาอ่อน เดินไม่ไหวแล้ว”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ก้มตัวลงไปคว้าคอเสื้อด้านหลังของเด็กชายขึ้นมา มือหนึ่งหิ้วเด็กชาย อีกมือหนึ่งเปิดประตู เดินออกไปจากลานบ้าน
บ้านของเด็กชายอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก เดินแค่ประมาณร้อยก้าวเท่านั้น แล้วก็เป็นดังคาด กู้ช่านเห็นว่าผู้เฒ่าคนนั้นอยู่ในลานบ้านตัวเอง และแม่ของเขาก็ยกเก้าอี้ออกมาให้ผู้เฒ่านั่ง
นาทีนั้นเด็กชายรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมา เขาจึงเลือกที่จะหลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน ให้คนที่ตัวสูงกว่าเดินไปเผชิญหน้า
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ทำให้เด็กคนนี้ผิดหวัง เขาเอาตัวปกป้องอีกฝ่ายไว้เหมือน ไม่ตั้งใจแต่ก็ตั้งใจ
เมื่อเด็กชายขยุ้มชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเอาไว้ ความมั่นใจเต็มเปี่ยมก็ผุดขึ้นอย่างไม่มีที่มา
ผู้เฒ่าไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย เพียงนั่งลงไปบนม้านั่งทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย บนมือไม่มีถ้วยขาวแล้ว
กู้ช่านเข่าอ่อนอีกครั้ง เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน เนื้อตัวของเขาสั่นสะท้านไปหมด
ผู้เฒ่ามองหญิงบ้านนอกออกเรือนแล้วที่มีสีหน้าราบเรียบผิดปกติ ก่อนจะหันมามองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ขมวดคิ้วแน่น สุดท้ายจึงพูดกับเด็กชายที่หลบอยู่ด้านหลังว่า “เด็กน้อย รู้หรือไม่ว่าในอ่างน้ำบ้านเจ้าเลี้ยงอะไรเอาไว้?”
เด็กชายตะโกนมาจากด้านหลังของเฉินผิงอัน “ยังจะมีอะไรได้ ก็ปู ปลา กุ้งที่ข้าจับมาจากในแม่น้ำน่ะสิ แล้วก็มีปลาไหล ปลาหนีชิวที่ตกมาได้จากในนา! หากเจ้าชอบก็เอาไปได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ…”
เสียงของเด็กชายยิ่งแผ่วลงเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าความมั่นใจไม่มากพอ
สตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นลูบเส้นผมข้างแก้มของตัวเอง หันมามองเฉินผิงอันแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผิงอัน”
เฉินผิงอันเข้าใจความหมายของนางจึงลูบศีรษะกู้ช่านแล้วหมุนกายจากไป
จุดลึกในดวงตาของสตรีผู้นั้นซุกซ่อนความละอายใจที่มีต่อเด็กหนุ่มรองเท้าแตะเอาไว้
นางสลัดความคิดวุ่นวายในหัวทิ้ง แล้วหันมาถามผู้เฒ่า “ท่านเซียนผู้เดินทางมาไกล สำหรับโชควาสนาในครั้งนี้ จะซื้อ หรือจะแย่ง?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้าคลี่ยิ้ม “ซื้อ? ข้าซื้อไม่ไหว แย่ง? ข้าก็แย่งไปไม่ได้เช่นกัน”
สตรีแต่งงานแล้วก็ส่ายหน้าเหมือนกัน “ก่อนหน้านี้เป็นเช่นนี้จริง แต่ภายหลังไม่ใช่แล้ว”
ผู้เฒ่าที่เดิมทียังมีท่าทางสบายๆ พอได้ยินประโยคนี้ของนางก็เหมือนถูกฟ้าผ่า เขาสะบัดชายแขนเสื้อ นิ้วทั้งห้าแตะสลับกันไปมาอย่างรวดเร็วราวกับบิน
ผู้เฒ่าพลันถอนหายใจยาว “เป็นถึงขั้นนี้ไปได้อย่างไร!”
สีหน้าของสตรีแต่งงานแล้วเฉยเมย เอ่ยหยัน “ท่านเซียนคิดว่าในเมืองเล็กแห่งนี้จะมีคนดีอยู่สักกี่คนเล่า?”
ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน จ้องมองเด็กชายที่กำลังงุนงงด้วยสายตาลึกล้ำ แล้วก็ดูเหมือนว่าจะตัดสินใจเรื่องยิ่งใหญ่บางอย่างได้ เขาจึงสะบัดข้อมือหนึ่งที ถ้วยขาวลอยมาปรากฏอีกครั้ง
ผู้เฒ่าเดินไปหยุดอยู่ข้างอ่างน้ำที่สูงครึ่งตัวคน แล้วเอาถ้วยตักน้ำในอ่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
แม้สตรีแต่งงานแล้วจะแสร้งทำเป็นวางท่าสงบเสงี่ยม แต่ฝ่ามือของนางกลับเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
ผู้เฒ่ากลับมานั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง กวักมือเรียกกู้ช่าน “เด็กน้อย มาดูอะไรนี่”
เด็กชายหันไปมองแม่ตัวเอง นางพยักหน้าให้ สายตาเต็มไปด้วยแววให้กำลังใจ
พอเด็กชายเดินมาใกล้ ผู้เฒ่าก็เป่าลมใส่ผิวน้ำในถ้วยเบาๆ จนเกิดริ้วกระเพื่อม
ผู้เฒ่ากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อ้าปาก”
ขณะเดียวกันผู้เฒ่าก็ใช้มือข้างหนึ่งลูบไปบนร่างของเด็กชาย จึงเห็นว่ามีใบไหวใบหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าซ่อนอยู่ตรงไหนปรากฏออกมาจากร่างของกู้ช่าน
สองนิ้วของผู้เฒ่าคลึงเบาๆ โดยที่นิ้วไม่ได้สัมผัสกับใบไหวนั้น
เด็กชายร้อง “ห๊า” โดยไม่รู้ตัว
ผู้เฒ่าดีดนิ้วหนึ่งที ใบไหวที่เขียวชอุ่มใบนี้ก็ผลุบหายเข้าไปในปากของเด็กชาย
เด็กชายยืนอึ้ง จากนั้นจึงพบว่าในปากของตัวเองเหมือนจะไม่มีอะไรแปลกๆ อยู่
ผู้เฒ่าไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ถาม เพียงชี้นิ้วไปยังถ้วยขาวที่ประคองไว้กลางฝ่ามือ “ลองดูให้ดีว่าเห็นอะไร”
กู้ช่านเบิกตากว้างจ้องมองไป ทีแรกเขาเห็นเป็นจุดสีดำที่เล็กมากจุดหนึ่ง จากนั้นจุดนี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นเส้นสีดำที่ค่อนข้างสะดุดตา สุดท้ายถึงค่อยๆ ขยายใหญ่เหมือนจะกลายมาเป็นปลาหนีชิวตัวเล็กสีเหลืองที่ว่ายอยู่กลางริ้วน้ำในถ้วยขาว อย่างร่าเริง
หัวสมองที่เต็มไปด้วยข้อสงสัยของเด็กชายพลันมีประกายแสงเปล่งวาบ เขาร้องอุทานตกใจ “ข้าจำมันได้! ข้าเอามาจากเฉินผิงอัน…”
หญิงแต่งงานแล้วยกมือตบหน้าลูกชายตัวเอง ตวาดอย่างโมโหว่า “หุบปาก!”
ผู้เฒ่าไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ผู้ฝึกตนอย่างข้า แสวงหาความเป็นอมตะ ถือเป็นการละเมิดกฎสวรรค์อย่าง ใหญ่หลวง การแย่งชิงเพียงเท่านี้ไม่อาจนับเป็นอะไรได้ ไม่ต้องตื่นเต้นไป อะไรที่ควรเป็นของลูกชายเจ้า อย่างไรก็หนีไม่พ้น อะไรที่ไม่ควรเป็นของเด็กหนุ่มผู้นั้น รักษาอย่างไรก็รักษาไว้ไม่อยู่”
เด็กชายที่ชื่อกู้ช่านผู้นี้มีน้ำหนักไม่ถึงสี่สิบจิน (ประมาณยี่สิบกิโล)
ทว่าความหนักของ ‘ฐานกระดูก[1]’ เขากลับมากจนน่าเหลือเชื่อ
ดังนั้นเมื่อผู้เฒ่าถือถ้วยที่มีวิชาอภินิหารติดตัวผู้นี้ยอมแหกกฎตัวเองใช้เวทลับที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเพื่อชั่งน้ำหนักของกระดูกอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ ถึงไม่สามารถอุ้มกู้ช่านขึ้นได้
นี่ก็คือสิ่งที่เขาต้องทำก่อนจะรับใครเป็นลูกศิษย์
หาไม่แล้วหากปล่อยให้เด็กสามขวบถือทองคำไปตลาด (คำเปรียบเปรย หมายถึงการกระทำที่อันตรายซึ่งอาจนำภัยมาสู่ตัว) ก็ไม่เท่ากับรนหาที่ตายเองหรอกหรือ?
ผู้เฒ่ายิ้มแช่มชื่น แต่สายตากลับเย็นชา เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “แน่นอนว่า ต่อให้เดิมที มันเป็นของเด็กหนุ่มคนนั้น แล้วจะอย่างไร? ตอนนี้มีข้ามาจัดการให้ด้วยตัวเอง มันก็ไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว”
เด็กชายตัวสั่นฟันกระทบกันเหมือนจั๊กจั่นในหน้าหนาว
สตรีแต่งงานแล้วโล่งอกโดยพลัน
ผู้เฒ่าเปลี่ยนสีหน้ากลับมามีเมตตาอีกครั้ง “เด็กน้อย ถ้วยใบนี้บรรจุน้ำทั้งแม่น้ำเอาไว้ ตอนนี้ยังเลี้ยงเจียวตัวเล็กไว้อีกหนึ่งตัว นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือลูกศิษย์ ผู้สืบทอดวิชาของข้าแล้ว”
“ข้าผู้อาวุโสคือ ‘เจินจวิน’ ท่านหนึ่ง ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็จะเป็นบรรพบุรุษ ‘บุกเบิกสำนัก’ ได้แล้ว แม้จะเป็นแค่สำนักระดับล่าง…เอาเป็นว่า วันหน้าเจ้าจะเข้าใจเองว่าน้ำหนักของเจินจวินกับบุกเบิกสำนักสี่คำนี้…”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่า “มีแต่จะหนักยิ่งกว่าน้ำในแม่น้ำที่อยู่ในถ้วยนี้”
เด็กชายพลันร้องไห้ “ทำแบบนี้ไม่ถูก! มันเป็นของเฉินผิงอัน!”
แม่ของเด็กชายอับอายจนพานมาเป็นความโกรธ นางจึงยกมือขึ้นสูงเตรียมจะ สั่งสอนลูกชายที่โง่เง่าสมองหมูของตัวเองอีกครั้ง
ผู้เฒ่าโบกมือ อมยิ้ม กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “มีจิตใจเช่นนี้ ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายเสมอไป”
เด็กชายก้มหน้าใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำตาและน้ำมูก
สตรีวัยกลางคนแอบมองไปยังผู้เฒ่า
ผู้เฒ่ายิ้มอย่างเข้าใจความนัย พยักหน้าให้
คนที่เดินบนเส้นทางเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องพูดก็เข้าใจได้
พอเด็กชายเงยหน้าขึ้นก็พบว่าแม่ของเขากำลังพูดคุยยิ้มแย้มอยู่กับอาจารย์ที่จู่ๆ ก็หล่นลงมาจากฟ้าโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว
เด็กชายหันกลับไปมองประตูหน้าบ้านที่เฉินผิงอันลืมปิดตอนจากไป
เมืองเล็กแห่งนี้เหมือนพื้นที่ปลูกพืชแห่งหนึ่งที่รอเวลาของฤดูเก็บเกี่ยว
แต่คนบางคนก็เป็นเพียงแค่ไป้ฉ่าว[2] ต้นหนึ่งที่ขึ้นท่ามกลางต้นข้าวซึ่งถูกคนมองเพียงครั้งเดียว ไม่มีครั้งที่สอง
ยกตัวอย่างเช่นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่กำลังเดินอยู่ในตรอกหนีผิงเพียงลำพัง
………………..
[1] ฐานกระดูก 根骨 ฐานกระดูกของลัทธิเต๋าหมายถึงคุณสมบัติดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่เกิด ซึ่งคุณสมบัติดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่เกิดของมนุษย์ครอบคลุมถึง ประสาทสัมผัส อวัยวะในการเคลื่อนไหว ระบบประสาท โครงสร้างของสมองและสมรรถนะของเซลล์หรืออวัยวะ เป็นต้น
[2] ไป้ฉ่าว 稗草 พืชชนิดหนึ่ง ใบคล้ายใบข้าว ผลเหมือนข้าวโพด มักจะเกิดแทรกกับข้าวในนาขัดขวางการเจริญเติบโตของต้นข้าว แต่ผลเอามากลั่นเป็นเหล้าหรือใช้ทำอาหารเลี้ยงสัตว์ได้ บางครั้งก็นำมาเพาะเลี้ยงเป็นพืชเกษตร