Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 607

ตอนที่ 607

ทุกคนมาอยู่ที่นี่แล้ว

ด้วยการใช้คำว่า ‘งดงามจนน่าตะลึงอย่างที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้’ เพื่อมาบรรยายจื่อเซียง สามารถใช้พรรณนาได้แค่ส่วนหนึ่งของนางเท่านั้น เมิ่งฮ่าวไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับว่าในชั่วชีวิตที่ผ่านมา…เขาไม่เคยเห็นหญิงสาวที่มีความงดงามมากไปกว่านี้อีกแล้ว

ถ้านางไม่ใช่หญิงสาวที่งดงามมากที่สุด หญิงสาวคนอื่นๆ ก็คงไม่อาจจะรับคำนี้ได้ ถ้านำมาเปรียบเทียบกับนาง

นางสวมใส่ชุดยาวสีแดงอ่อน พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ทุกอิริยาบทของนางช่างน่าดูเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายกระจายกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกมา เกิดเป็นบรรยากาศที่คล้ายคลึงกันของทั้งอสูรและวิญญาณ

เมิ่งฮ่าวเกิดความรู้สึกว่า ร่างของนางได้กลายเป็นสิ่งที่คล้ายกับเป็นวัตถุอันล้ำค่า เป็นสิ่งที่โดดเด่นออกมาจากกลุ่มคนโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง กลิ่นอายที่กระจายออกมาจากร่างนาง ดูเหมือนจะเต็มไปทั่วในบริเวณนั้นร่างของนางในตอนนี้ไม่ได้เป็นของใคร ยกเว้นตัวของนางเอง…นี่ก็คือจื่อเซียงที่แท้จริง

เนื่องจากพื้นฐานฝึกตนที่ตกต่ำลงมาก่อนหน้านี้ของนาง และแผนการต่างๆ ที่นางได้กระทำมา ในนามของสำนักเซียนอสูร ทำให้พื้นฐานฝึกตนในอาณาจักรเซียนของนาง ได้เสื่อมถอยกลับไปยังขั้นตัดวิญญาณ อันที่จริง เวลาเกือบทั้งหมดที่ผ่านมา นางแค่เผยให้เห็นพลังของขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งเท่านั้น ตอนนี้ ก็เห็นได้ชัดว่านางได้ครอบครองร่างเซียนอสูรแล้ว

เนื่องจากความสำเร็จนี้ ทำให้พื้นฐานฝึกตนของนางในตอนนี้ เริ่มฟื้นกลับคืนมาด้วยตัวเอง ในช่วงเวลาสั้นๆ นางก็จะมี…พลังความแข็งแกร่งของเซียนขึ้นอีกครั้ง!

เมื่อเวลานั้นมาถึง คนอื่นๆ ก็จะกลับไปยังดินแดนแห่งดาวหนานเทียน แต่นาง…จะจากไปยังเส้นทางที่แตกต่างกัน นางจะกลับไปยังสำนักเซียนอสูร แห่งขุนเขาทะเลที่เก้า

มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ฝึกตนแห่งสำนักเซียนอสูร กำลังรวมตัวกันอยู่ในสถานที่ไหนสักแห่ง เพื่อเตรียมตัวต้อนรับนางกลับไป

เมื่อได้ยินคำร้องขอของจื่อเซียง สีหน้าเมิ่งฮ่าวก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เขาพยักหน้าอย่างช้าๆ

นางกัดริมฝีปากเบาๆ และยิ้มให้ จากนั้นก็กำแรกก่อตั้งศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์ฮูเหยียน ที่กำลังจางหายไปอย่างรวดเร็วและบดขยี้มัน เสียงปะทุได้ยินออกมา ปรมาจารย์ฮูเหยียน, ปรมาจารย์ขั้นตัดวิญญาณ, แรกก่อตั้งศักดิ์สิทธิ์ของมันถูกบดขยี้จนแหลกลาญ กลายเป็นจุดแสงอันเจิดจ้า ซึ่งจื่อเซียงค่อยๆ ดูดซับเข้าไปผ่านทางหน้าผากของนางอย่างช้าๆ

โฉมหน้าจื่อเซียงเริ่มมีความงดงามเพิ่มมากขึ้น เพียงพอที่จะทำให้ใครก็ตาม ที่มองมายังนางต้องตกตะลึง และใจเต้นรัวด้วยความปรารถนา

“ขอบคุณท่าน” นางกล่าว ยกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้า ปกปิดรูปโฉมที่ทำให้ใครๆ ต้องหลงรักนาง เพียงมองมาแค่แวบแรก ดวงตาส่งประกายด้วยแสงแปลกๆ ขณะที่มองมายังเมิ่งฮ่าว

“ข้าขอแนะนำตัวเองอีกครั้ง ข้ามีนามว่า โจวจื่อเซียง (周芷香) ตัวอักษร ‘芷’ (จื่อ) มาจากคำว่า ‘สูงส่งสง่างาม’ ตัวอักษร ‘香’ (เซียง) มาจากคำว่า ‘งดงามอย่างโดดเด่น หรือ กลิ่นหอมแห่งสวรรค์’ ข้าคือจื่อเซียง, เซิ่งหนี่ว์ (สตรีศักดิ์สิทธิ์) แห่งสำนักเซียนอสูร แต่ข้าพอใจที่จะให้ผู้คนเรียกข้าว่าเยาหนี่ว์ (ภูติสาวหรือหญิงสาวที่งดงาม)” พร้อมกับรอยยิ้ม นางโค้งตัวลงให้กับเมิ่งฮ่าวอย่างสุภาพ

คำพูดของนางเรียบง่าย เหมือนกับท่าทางของนาง แต่ก็มีพลังอย่างที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้พุ่งขึ้นมา ก่อตัวเข้าด้วยกันจนกลายเป็นแรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อ กดทับลงไปบนพื้นที่บริเวณนั้นทั้งหมด

“ท่านเป็นหนี้ข้า” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ “และไม่ใช่หนี้เล็กน้อย”

“สหายเต๋าเมิ่งวางใจได้ เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ข้าเท่านั้นที่ตระหนักดี แม้แต่สำนักเซียนอสูรใหม่แห่งขุนเขาทะเลที่เก้าก็รับรู้ด้วยเช่นกัน พวกเราจะไม่มีทางลืมมันอย่างแน่นอน” จื่อเซียงเอียงหน้าที่งดงามของนางมองมายังเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็โบกสะบัดมือที่สวยงามราวหยกขาว ทำให้แผ่นหยกลอยออกมา

แผ่นหยกนั้นดูหยาบและโบราณ ที่ด้านหนึ่งมองเห็นตัวอักษร ‘อสูร’ และอีกด้านเป็นตัวอักษร ‘เซียน’

“นี่คือเหรียญคำสั่งของผู้อาวุโสแห่งสำนักเซียนอสูร ใครก็ตามที่ถือเหรียญคำสั่งนี้ ก็จะมีศักดิ์ฐานะเทียบเท่ากับผู้อาวุโส สหายเต๋าเมิ่ง ถ้าท่านต้องการความช่วยเหลือในวันข้างหน้า ท่านสามารถมายังสำนักเซียนอสูรได้ทุกเมื่อ”

เมิ่งฮ่าวรับเหรียญคำสั่งมามองดู และจากนั้นก็เก็บไว้ในถุงสมบัติ เขาพยักหน้าให้กับจื่อเซียง จากนั้นโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก หันหลังและเดินจากไป

“ข้าอยากจะขอบคุณท่านเป็นการส่วนตัว, สหายเต๋าเมิ่ง” จื่อเซียงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม “ดังนั้น ข้าจะให้ข้อมูลกับท่านอีกเล็กน้อย หลุมที่อยู่ระหว่างยอดเขาสามและยอดเขาสี่ เป็นจุดสำคัญที่จะผ่านเข้าไปในอาณาจักรที่สี่”

เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักลง และหันหน้ามองกลับไปยังนาง

“โดยส่วนมากแล้ว สำนักและตระกูลอื่นๆ ต่างก็รู้ข้อมูลนี้อยู่แล้ว อันที่จริง อาณาจักรที่สี่ไม่เคยปิดลงมาก่อน ใครก็ตามที่อยู่ในอาณาจักรที่สาม ซึ่งมีทักษะตามที่ต้องการ ก็สามารถผ่านเข้าไปได้”

“ถ้าไร้ทักษะเช่นนั้น ก็ได้แต่มองดูโดยไม่อาจจะทำอะไรได้” จื่อเซียงหัวเราะออกมาเบาๆ โค้งตัวลงให้กับเมิ่งฮ่าวอีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังและหายลับตาไป

ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบขึ้น เขารับรู้ได้ถึงพลังของจื่อเซียง และรู้ว่านางแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง แววตาครุ่นคิดปรากฏขึ้นขณะที่มองลงไปยังถุงสมบัติ และคิดย้อนกลับไปยังเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับจื่อเซียงก่อนหน้านี้

เมิ่งฮ่าวมั่นใจถึงแปดในสิบส่วนว่า ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ที่เขากระทำในที่แห่งนี้ จะได้รับการตอบแทนจากจื่อเซียง และสำนักเซียนอสูรในภายหลัง ถึงแม้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาได้ว่า การตอบแทนนั้นจะมีประโยชน์เป็นอย่างมากหรือไม่ก็ตามที

รอยยิ้มอันผ่อนคลายปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขาได้ตระหนักมานานแล้วว่าในโลกแห่งการฝึกตนนี้ จำเป็นต้องพึ่งพาเพียงตนเอง ต้องไม่คาดหวังต่อความช่วยเหลือจากคนอื่นมากเกินไป ดังนั้นไม่ว่าสำนักเซียนอสูรใหม่จะให้ความช่วยเหลือเขามากแค่ไหนหรือน้อยเพียงไร จริงๆ แล้วก็ไม่ได้สำคัญกับเขามากเท่าใดนัก

ความต้องการเบื้องต้นของเมิ่งฮ่าวในเรื่องนี้ ไม่ใช่คำสัญญาจากจื่อเซียงและสำนักเซียนอสูรใหม่ แต่เป็นวิญญาณแรกก่อตั้งดวงที่แปด และกายเนื้ออันแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อของเขา

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่ทำการตรวจสอบร่างกาย รวมถึงอายุขัยที่ถูกทำลายไปอย่างน่ากลัว ขณะที่อยู่ในวิญญาณดวงที่แปด สำหรับพลังของการขับไล่ที่รับรู้ได้ เขาไม่แน่ใจว่ามันได้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จึงทำให้ดวงตาเขาสาดประกายเจิดจ้า ขณะที่มองไปยังยอดเขาสี่

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เมิ่งฮ่าวก็ละสายตากลับมา ร่างกายแวบขึ้นขณะที่ออกมาจากวิญญาณดวงที่แปด กลับเข้าไปในวิญญาณดวงแรก

จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้า ก่อนที่จะพุ่งจากไป เขาได้เก็บแส้วิญญาณขึ้นมา เมิ่งฮ่าวสามารถบอกได้ว่าแส้นี้เป็นส่วนหนึ่งของแส้อีกเส้นของปรมาจารย์ฮูเหยียน

ในตอนนี้ ถึงแม้เขาไม่ได้นำพวกมันมารวมเข้าด้วยกัน แต่หลังจากที่ออกไปจากสถานที่แห่งนี้ เขาก็จะใช้เวลาเพื่อศึกษาแส้ทั้งสองเส้นนี้

ตอนนี้ เขาต้องการจะดูว่า สามารถจะค้นหาโชควาสนาในอาณาจักรที่สามนี้ได้เพิ่มอีกหรือไม่ เมิ่งฮ่าวพุ่งฝ่าอากาศเป็นเสียงแหลมเล็ก ขณะที่ผ่านยอดเขาเจ็ด และจากนั้นก็เป็นยอดเขาหก

ขณะที่เข้าไปใกล้ยอดเขาห้า ทันใดนั้นดวงตาเขาก็แวบขึ้น และมุมปากก็ยกขึ้นไปกลายเป็นรอยยิ้ม เขาเปลี่ยนทิศทางเพื่อพุ่งตรงไปยังยอดเขาห้า เวลาผ่านไปไม่นานนักก่อนที่แสงอันน่าตกใจของเวทป้องกัน ได้ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า

เวทป้องกันนี้มีสามชั้น ชั้นนอกสุดดูสลัวเลือนลาง แสงของชั้นกลางเปล่งประกายราบเรียบ และชั้นในสุดเป็นของแข็ง

เวทป้องกันสามชั้นนี้ ปกคลุมพื้นที่ประมาณหนึ่งร้อยจ้าง เห็นได้ชัดว่าภายในเวทป้องกันนี้เป็นบ้านหลังหนึ่ง ที่กำลังพิงอยู่ที่ผนังบ้านเป็นซากศพหนึ่งซาก

ซากศพนี้แตกต่างเป็นอย่างมากกับซากศพที่อยู่ด้านนอก มันยังไม่ได้เหี่ยวแห้งไปจนหมดสิ้น แต่ยังคงมีบางส่วนที่ดูคล้ายกับยังมีชีวิตอยู่

เป็นชายชราซึ่งกำลังมองไปยังที่ห่างไกลด้วยความเสียใจ ขณะที่มันตายไป แต่ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ ในมือมันกุมขลุ่ยไม้ไผ่ ขลุ่ยนั้นไม่ใช่สิ่งของเวท แต่เป็นแค่ขลุ่ยธรรมดาทั่วไป ดูเก่าแก่โบราณเล็กน้อย

ที่เบื้องหน้าชายชรามีสิ่งของอื่นอีก เป็นกลองสีม่วงที่มีขนาดเท่าศีรษะคน และกระจายแสงจางๆ ออกมา ได้ยินเสียงเบาๆ ออกมาจากกลองที่กำลังสั่นกระเพื่อม ดังก้องออกไปทั่วทั้งบริเวณนั้น

ด้านนอกของเวทป้องกัน มีผู้ฝึกตนจากดินแดนแห่งดาวหนานเทียน แปดคนหรือมากกว่านั้นกำลังขมวดคิ้วอยู่ พวกมันสองสามคนกำลังพยายามจะทะลวงผ่านเข้าไปในเกราะป้องกันอยู่ตอนนี้

ท่ามกลางพวกมันมีอยู่สี่คนเป็นสมาชิกตระกูลจี้ รวมถึงจี้เซี่ยวเซี่ยว และยังมีหลิวจื่อช้วนจากตระกูลสายโลหิตจักรพรรดิ แห่งดินแดนทางเหนือ ผู้ซึ่งหวาดกลัวต่อเมิ่งฮ่าวเมื่อก่อนหน้านี้

คนอื่นๆ มาจากดินแดนตะวันออก หรือดินแดนทางเหนือ และพวกมันทั้งหมดต่างก็ขมวดคิ้ว ขณะที่มองไปยังกลองสีม่วงภายในเวทป้องกัน ด้วยสีหน้าอยากได้

ลำแสงหลากสีที่มาถึงของเมิ่งฮ่าว ฉับพลันนั้นก็ได้ทำลายความเงียบในบริเวณนั้นไป กลุ่มคนเหล่านั้นเริ่มมองไปรอบๆ ด้าน ด้วยความระมัดระวังตัวในทันที แต่เมื่อพวกมันมองเห็นว่าเป็นเมิ่งฮ่าว ใบหน้าพวกมันก็เต็มไปด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้

วิธีการที่เมิ่งฮ่าวขู่กรรโชกรีดไถพวกมันในอาณาจักรที่สอง ทำให้คนทั้งหมดต้องกัดฟันแน่น หลิวจื่อช้วนเป็นเพียงคนเดียวที่ถอยไปด้านหลังสองสามก้าว ร่างสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที

“ทุกคนมาอยู่ที่นี่แล้ว” เมิ่งฮ่าวกล่าว หัวเราะเสียงดังออกมาขณะที่เข้าไปใกล้ “ไม่พบเห็นเพียงไม่กี่วัน แต่ข้าก็คิดถึงพวกท่านนัก! หวังว่าพวกท่านทั้งหมดจะได้ครอบครองสิ่งของมากมาย ในอาณาจักรที่สามแห่งนี้!” เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าจริงใจ อันที่จริง เขาจะยินดีอย่างแท้จริงถ้าทุกคนได้สิ่งของมามากมาย

แต่ยิ่งเขาแสดงสีหน้าเช่นนั้นมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นมีสีหน้าดูไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น พวกมันจ้องมายังเมิ่งฮ่าว สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ บางคนยังดูเหมือนจะกำลังครุ่นคิดว่า จะโจมตีและสังหารเขาดีหรือไม่ เพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหมดในคราเดียว

ดูเหมือนเมิ่งฮ่าวจะไม่ได้สังเกตเห็น เขายิ้มกว้าง ขณะที่ถอนหายใจและกล่าวว่า “หือ? พวกท่านไม่สนใจข้าได้อย่างไรกัน? แต่ก็ไม่เป็นไร สหายเต๋าทั้งหลาย ข้า, เมิ่งฮ่าว ปรารถนาจากใจจริง ที่จะให้พวกท่านทั้งหมด ได้ครอบครองสิ่งของอันยิ่งใหญ่อยู่ในที่แห่งนี้ ด้วยเช่นนั้น ข้าก็จะได้ผลประโยชน์มากขึ้นอีกเล็กน้อยด้วยเช่นกัน”

ตอนนี้ รังสีสังหารกำลังแวบขึ้นมาในดวงตาของคนเหล่านั้น บางคนยังได้ก้าวเท้ามาข้างหน้าอีกด้วย ดูเหมือนว่าอารมณ์ของพวกมันใกล้จะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ

เมิ่งฮ่าวยังคงดูเหมือนว่าจะไม่ได้สังเกตเห็นถึงเรื่องนี้ มีรอยยิ้มเขินอายอยู่บนใบหน้า และดูท่าทางเสียใจอยู่เล็กน้อย แต่จากมุมมองของคนเหล่านั้น ต่างก็คิดว่าเขากำลังเสแสร้งแกล้งทำ และกำลังจะหาเรื่องเจ็บตัว มีสีหน้าที่ดูเหมือนกำลังรนหาที่ตาย

มีแต่หลิวจื่อช้วนเท่านั้น ที่รู้สึกว่าจิตใจมันกำลังเต้นรัวด้วยความกระวนกระวายใจ และกำลังแผดร้องตะโกนอยู่ในใจ

“น่ารังเกียจนัก! ไร้ยางอายจริงๆ! เจ้าบัดซบนี้…เจ้าบัดซบนี้เป็นคนที่ข้าไม่อาจจะไปตอแยด้วยได้ เห็นได้ชัดว่ามันมีความแข็งแกร่งจนถึงขั้นตัดวิญญาณ แต่ก็ยังแสดงออกถึงระดับพลังแค่นี้…”

“เห็นได้ชัดว่ามัน…มันกำลังยั่วให้คนอื่นๆ โจมตีไป!! ช่างไร้ยางอายนัก!!” ในตอนนี้หลิวจื่อช้วนได้แต่คิดย้อนกลับไป ยังเหตุการณ์อันเจ็บปวดใจของตัวเองจากก่อนหน้านี้ มันได้แต่คิดไปว่า ถ้ามีใครบางคนในกลุ่มนี้โจมตีไปยังเมิ่งฮ่าวตอนนี้ พวกมันก็คงจะตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าสังเวชเช่นเดียวกันอย่างรวดเร็ว

ขณะที่มันมองไปยังรอยยิ้มของเมิ่งฮ่าว ก็พบว่ายิ่งมีความน่ากลัวเพิ่มมากขึ้น แต่ในเวลาเดียวกันนั้น มันก็เฝ้ารอที่จะได้เห็นกลุ่มคนเหล่านี้ ต้องมาพบเจอกับชะตากรรมเช่นเดียวกับมัน…

“พี่น้องทั้งหลาย” เมิ่งฮ่าวกล่าวต่อ “ข้ารู้ว่าได้ทำให้พวกท่านไม่พอใจ ตอนที่อยู่ในอาณาจักรที่สอง แต่อย่าได้นำมันมาใส่ใจเลย ตอนนี้พวกเราก็อยู่ในอาณาจักรที่สามกันแล้ว ข้าหวังว่าพวกเราจะสามารถร่วมมือกันได้ เพื่อให้บรรลุถึงจุดประสงค์ร่วมกัน พี่น้องทั้งหลาย ข้าจะได้พบกับโชควาสนาอย่างเพียงพอหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพวกท่านทั้งหมดนี้”

หลังจากที่กล่าวจบ เมิ่งฮ่าวมีท่าทางพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง และยังได้ประสานมือโค้งตัวลงให้กับพวกมัน

การโค้งตัวลงนี้ ทำให้ทุกคนรวมทั้งจี้เซี่ยวเซี่ยวต้องกัดฟันแน่น สำหรับหลิวจื่อช้วน ใบหน้ามันบิดเบี้ยวขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกคนใกล้จะระเบิดเพลิงโทสะออกมาได้ทุกเมื่อ

“นอกจากนี้…” เมิ่งฮ่าวยืดตัวตรง และกำลังยิ้มต่อไป แต่หนึ่งในผู้ฝึกตนจากดินแดนทางเหนือ ไม่อาจจะทนได้อีก อารมณ์มันลุกเป็นไฟ พร้อมกับเสียงแผดร้องคำราม มันพุ่งตรงมา

“หุบปากให้กับบิดา, เจ้าก็รู้ตัวว่าทำให้พวกข้าไม่พอใจ ตอนอยู่ในอาณาจักรที่สอง?”

ทันที่ที่ผู้ฝึกตนจากดินแดนทางเหนือ กำลังจะตรงเข้าไปโจมตี ดวงตาหลิวจื่อช้วนก็เบิกกว้าง และเต็มไปด้วยท่าทางมุ่งหวัง

“จัดการมัน! สังหารมันเลย!” หลิวจื่อช้วนคิดด้วยความตื่นเต้น

ผู้ฝึกตนจากดินแดนทางเหนือเข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าว ใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างดุร้าย ยกมือขวาขึ้นขยับร่ายเวท และจากนั้นก็กระแทกตรงไปยังเมิ่งฮ่าว

ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนจากดินแดนทางเหนืออีกคน ก็พุ่งตรงมาด้วยเช่นกัน รวมทั้งสมาชิกจากตระกูลจี้อีกคน ดวงตาพวกมันแวบขึ้นขณะที่พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว

ท่าทางเขินอายปรากฏขึ้นใบหน้าเมิ่งฮ่าวอีกครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!