บทที่ 39 ด่าต้นไหว
เฉินผิงอันคิดว่าถ้าหลังจากนี้ได้งมก้อนหินตอนกลางวันก็จะสามารถเริ่มงมจากตรงเพิงตีเหล็กที่หลิวเสี้ยนหยางไปอยู่อาศัยไปจนถึงธารน้ำตอนบน ซึ่งก็คือตรงสะพานแห่งนั้น ดังนั้นตำแหน่งแรกที่เขาเลือกในคืนนี้จึงเป็นตำแหน่งที่อยู่สูงขึ้นมาอีกหน่อย เลยออกห่างจากสะพานรวมไปถึงชะง่อนหินสีเขียวที่เรียกภาษาบ้านๆ ว่าหินหลังควาย หรือก็คือสถานที่แรกที่เฉินผิงอันได้พบกับเด็กสาวชุดเขียว แล้วก็ด้วยเหตุนี้เขาจึงพลาดโอกาสที่จะได้เจอกับซ่งจี๋ซินและผู้ตรวจการไป
ตรงสะพาน ใต้กรอบป้ายคำว่า “เฟิงเซิงสุ่ยฉี่” (ลมโชยน้ำขึ้น) ที่แขวนไว้สูง
ภายใต้การนำพาของชายหนุ่มชุดขาวเข็มขัดหยกซึ่งเป็นผู้ตรวจการเตาเผามังกรในนาม แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นถึงอ๋องผู้ครองแคว้นหัวเมืองที่กุมอำนาจอันดับหนึ่งของต้าหลี ซ่งจี๋ซินเดินมาถึงตีนบันไดของสะพาน ก่อนจะมาที่นี่ เขาไม่เพียงแต่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจากในจวนผู้ว่าการ ยังต้องแขวนถุงหอมและห้อยหยกพกรูปมังกรที่ทำจากวัสดุธรรมดา สีสันหม่นหมอง ไม่สะดุดตาอีกชิ้นหนึ่งไว้ตรงเอว กลับเป็นหยกพกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ รูปร่างหรือความหมายก็ล้วนเหนือกว่าที่ถูกชายหนุ่มบังคับดึงออก ไม่อนุญาตให้เขาห้อยอีกเด็ดขาด
ในมือของซ่งจี๋ซินถือธูปไว้สามดอก เด็กหนุ่มยืนอยู่ล่างบันได ทำอะไรไม่ถูก
ซ่งจ่างจิ้งอ๋องผู้ครองแคว้นของต้าหลีหมุนตัวกลับมา ยื่นสองนิ้วแตะเบาๆ ลงบนปลายธูปทั้งสามดอก ธูปก็ติดไฟทันที
จากนั้นชายหนุ่มก็กล่าวว่า “คุกเข่าลง หันหน้าหากรอบป้าย โขกหัวคำนับสามครั้ง แล้วเอาธูปปักบนพื้น เป็นอันเสร็จสิ้น”
แม้ซ่งจี๋ซินจะเต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมาย แต่ก็ยังคงทำตามที่ “ท่านอา” ซึ่งหล่นลงมาจากฟ้าผู้นี้สั่งโดยการยกธูปขึ้นไหว้ คุกเข่าโขกหัวคำนับสามครั้ง
แม้ชายหนุ่มจะพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่หลังจากที่เด็กหนุ่มคุกเข่า สีหน้าของเขากลับเคร่งเครียดและซับซ้อนอย่างยิ่ง เมื่อสายตามองพื้นดินจุดที่เด็กหนุ่มคำนับลงไป ดวงตาก็เผยความรังเกียจที่ถูกซ่อนไว้อย่างลึกล้ำออกมา
หลังจากปักธูปสามดอกลงบนพื้นและลุกขึ้นยืน ซ่งจี๋ซินก็ถามว่า “ปักธูปไว้ที่นี่จะไม่เป็นอะไรหรือ?”
ชายหนุ่มยิ้มตอบ “ก็แค่ทำตามพิธีการเท่านั้น ไม่ต้องใส่ใจ นับแต่ตอนนี้เป็นต้นไป จงเรียนรู้ที่จะเล่นตามน้ำไปก่อน เพราะวันหน้าเจ้าอาจจะต้องยุ่งจนหัวหมุน”
ชายหนุ่มเก็บรอยยิ้มกลับคืน “เพียงแต่อย่าลืมล่ะว่า สะพานแห่งนี้คือสถานที่ที่…มังกรทะยานขึ้นฟ้าของเจ้า”
ริมฝีปากของซ่งจี๋ซินซีดเขียว ไม่รู้ตัวว่าอาการหนาวหลังฤดูใบไม้ผลิเล่นงานเข้าให้แล้ว เด็กหนุ่มยังแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า “สี่คำนี้ไม่ควรเอามาใช้มั่วๆ กระมัง?”
ชายหนุ่มเอามือหนึ่งตบหน้าท้อง อีกมือหนึ่งประคองเข็มขัดหยกสีขาวตรงเอว หัวเราะร่า “เมื่อไปถึงเมืองหลวงย่อมต้องเป็นเช่นนี้ แต่อยู่ที่นี่ไม่เป็นไร ไม่มีทั้งสุนัขเฝ้าศาล ไม่มีทั้งหมาจรจัดในยุทธภพ ไม่มีใครมาแว้งกัดข้าผู้เป็นอ๋องได้ตามใจชอบหรอก”
ซ่งจี๋ซินถามอย่างแปลกใจ “ท่านเองก็กลัวคนว่าร้ายเหมือนกันหรือ?”
ชายหนุ่มถามกลับ “ข้าผู้เป็นอ๋องตีกับคนทั่วทั้งราชวงศ์ต้าหลีจนไม่มีคู่ต่อสู้แล้ว หากยังไม่มีอะไรให้กลัว นั่นไม่เท่ากับว่าชีวิตข้าสุขสบายยิ่งกว่าคนที่นั่งเก้าอี้มังกรผู้นั้นหรอกหรือ? เจ้าหนู เจ้าคิดว่าแบบนี้มันสมควรแล้วหรือไง?”
ซ่งจี๋ซินครุ่นคิดเล็กน้อย แม้จะลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ยังตัดสินใจเปิดปากถาม “ท่านกำลังซ่อนประกายในราตรี? หรือกำลังเก็บศัตรูเพื่อเพิ่มฐานะให้สูงส่ง?”
ชายหนุ่มหลุดหัวเราะพรืด ชี้หน้าเด็กหนุ่มผู้เฉียบคม ส่ายหัวกล่าวว่า “คำพูดโอหังพวกนี้ เจ้าก็ยังกล้าพูด ช่างไม่รู้จักหนักเบาเอาเสียเลย วันหน้าไปถึงเมืองหลวงก็ดี หรือไปถึงจวนตระกูลเซียนบางแห่งบนเขาก็ช่าง จงหลีกเลี่ยงพฤติกรรมแบบนี้ซะ ข้าผู้เป็นอ๋องขอแนะนำเจ้าคำหนึ่ง อย่าพูดจาไร้ความยำเกรงแบบนี้อีก หาไม่แล้วจะพาความซวยมาสู่ตัว”
ซ่งจี๋ซินพยักหน้ารับ “ข้าจำไว้แล้ว”
ชายหนุ่มชี้ไปยังกรอบป้ายตัวอักษรสีทอง “เฟิงเซิงสุ่ยฉี่ เฟิงเซิงสุ่ยฉี่ ข้าผู้เป็นอ๋องถามเจ้า สุ่ยฉี่ที่แปลว่าน้ำขึ้นนี้ มันขึ้นยังไง?”
ซ่งจี๋ซินตอบรับฉับไว “ไม่รู้”
ชายหนุ่มพึมพำ “รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ ถึงเรียกว่าผู้รู้ นี่มันคำพูดผายลมสุนัขแท้ๆ พวกบัณฑิตก็คือพวกไส้หลายขด (เปรียบเปรยว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์มากแผนการ) จะผายลมทั้งทีก็ยังต้องอ้อมไปอ้อมมา”
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มผู้นี้ ชายหนุ่มก็จำต้องวางตัวให้สูงสง่า “หากข้าผู้เป็นอ๋องจำไม่ผิด สามพันปีมานี้ เมืองของพวกเจ้าไม่ว่าจะเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่แค่ไหน ระดับน้ำที่สูงที่สุดของธารน้ำเส้นนี้ก็ไม่เคยสูงเกินปลายกระบี่ของกระบี่ขึ้นสนิทเล่มนั้น”
ซ่งจี๋ซินถามอย่างไม่เข้าใจ “ผู้เฒ่าที่อยู่ข้างบ่อโซ่เหล็กของตรอกซิ่งฮวาเคยพูดแบบนี้กับพวกเราเวลาที่อยู่ใต้ต้นไหวโบราณเป็นประจำ เรื่องนี้ มีลับลมคมนัยจริงๆ หรือ?”
ชายหนุ่มชี้ไปยังจุดที่ห่างไปไกล ซึ่งก็คือทางออกที่ธารน้ำไหลพ้นไปจากกลุ่มภูเขา เขากล่าวกลั้วหัวเราะ “ในป่าในเขา งูมีทางของงู ในบ้านในเรือน หนูมีทางของหนู ส่วนในแม่น้ำในลำธาร มังกรก็มีทางของมังกร”
ชายหนุ่มหดนิ้วกลับมา อธิบายอย่างใจเย็น “อันที่จริงสถานที่หลายแห่งของราชวงศ์ต้าหลีก็มีธรรมเนียมแขวนกระบี่ไว้ใต้สะพาน เพียงแต่ว่ากระบี่เหรียญทองแดง กระบี่ไม้ท้อหรือกระบี่ยันต์เหล่านั้นมักจะขัดขวางไม่ให้งูหรือมังกรในป่าเขากระโจนลงสู่แม่น้ำได้ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่อาจสกัดขวางได้เป็นครั้งที่สอง ซ้ำหากคนที่ทำพิธีแขวนกระบี่มีวิชาตื้นเขิน หากแค่ครั้งเดียวก็ต้านทานอานุภาพไว้ไม่ไหว กลับยิ่งจะเป็นการทำให้มังกรที่อยู่ท่ามกลางกระแสน้ำไหลหลากเกรี้ยวกราด เป็นเหตุให้เมื่อน้ำท่วมผ่านพ้นไป สะพานที่เดิมทีไม่ควรจะพังถล่มก็ถล่มลงมา กระบี่ก็ยิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงกระบี่เล่มนี้ของที่นี่…”
ชายหนุ่มพูดได้แค่ครึ่งเดียวก็เงียบเสียงลง
ซ่งจี๋ซิอดทนที่จะไม่ซักถาม
ชายหนุ่มถอนหายใจ “มีเพียงกระบี่เล่มนี้ที่นับตั้งแต่วันแรกที่แขวนไว้ใต้สะพาน ก็ไม่เพียงขัดขวางไม่ให้มังกรกระโจนลงสู่แม่น้ำ ยังถูกเซิ่งเหรินใช้สยบทางออกของบ่อขังมังกรแห่งนั้น คำว่าทางออกก็คือบ่อลึกที่อยู่ใต้สะพานแห่งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ปราณมังกรไหลหายไปเร็วเกิน หลีกเลี่ยงไม่ให้ฟ้าดินเล็กๆ แห่งนี้ต้องถูกทำลายลง”
ซ่งจี๋ซินถามเข้าประเด็น “สรุปว่ามังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายของใต้หล้าตายไปจริงหรือไม่?”
ซ่งจ่างจิ้งยิ้ม “สงครามสังหารมังกรของเมื่อสามพันปีก่อน มีผู้ฝึกลมปราณตายไปนับไม่ถ้วน แม้แต่เซิ่งเหรินสามลัทธิและเหล่าบุรพาจารย์ของร้อยสำนักก็ยังตายกันไปมาก เจ้านึกว่าสมองของพวกเขาทุกคนกลวงโบ๋กันหรือไง หรือนึกว่าเซิ่งเหรินที่อายุมากแล้วใช้ชีวิตมาเสียเปล่า? จงใจทิ้งมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายไว้เพื่อเลี้ยงดูมันเหมือนเลี้ยงไก่เลี้ยงปลา?”
ซ่งจี๋ซินตอกกลับ “ไม่แน่ว่าอาจจะไม่สามารถสังหารมังกรที่แท้จริงตัวนั้นได้อย่างสิ้นซากก็ได้? ทำได้แค่ใช้กลยุทธิ์ชะลอการจู่โจมหรือกลยุทธิ์ตอดกินทีละน้อยเหมือนหนอนไหม แม้ข้าจะไม่รู้ความตั้งใจแรกและแผนการของเซิ่งเหรินเมื่อหลายพันปีก่อน แต่ข้าก็เดาออกว่ามังกรที่แท้จริงตัวนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ!”
หลังจากที่ส่ายหัวไปก่อน ชายหนุ่มก็พยักหน้ารับ “เจ้าพูดถูกครึ่งหนึ่ง มังกรที่แท้จริงตายแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนสถานะที่แท้จริงและความหมายทางสัญลักษณ์ของมันนั้น คำว่า ‘ไม่ธรรมดา’ ไม่มีทางแบกรับได้ไหวแน่นอน”
ซ่งจี๋ซินทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด
“สรุปก็คือ แผนการทั้งหมดและแรงกายแรงใจนับไม่ถ้วนที่ต้าหลีทุ่มเทไปก็เพียงแค่เพื่อ ‘ให้ลมโชย ให้น้ำขึ้น’ เพื่อความยิ่งใหญ่ในอนาคต”
ชายหนุ่มเดินนำขึ้นบันไดไปก่อน พลางพูดเนิบช้า “หากเจ้าจะถามข้าผู้เป็นอ๋องว่า เหตุใดเมื่อสามพันปีก่อน พวกเซิ่งเหรินถึงต้องสังหารมังกร ข้าผู้เป็นอ๋องไม่รู้จะตอบเจ้าอย่างไร แต่หากเจ้าต้องการถามว่าทำไมถึงทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ ทำไมเจ้าถึงเป็นองค์ชายใหญ่ผู้สูงศักดิ์ของต้าหลี ข้าผู้เป็นอ๋องกลับสามารถบอกความจริงทุกอย่างแก่เจ้าได้”
ซ่งจี๋ซินก้มหน้าจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา
เด็กหนุ่มไม่ถาม แน่นอนว่าชายหนุ่มย่อมไม่คิดจะทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น เมื่อเขาเดินมาถึงบันไดขึ้นที่สูงที่สุดก็หันหน้าเข้าหาเมืองเล็ก “วันหน้าหัดใจกว้างให้มากหน่อย เอาแต่คิดเล็กคิดน้อยกับคนอย่างหลิวเสี้ยนหยาง ซ้ำยังถึงขั้นมีใจอยากจะฆ่าพวกเขา เจ้าไม่รู้สึกว่าลดค่าของตัวเองหรอกหรือ?”
ซ่งจี๋ซินนั่งลงบนบันไดขั้นที่สูงที่สุด หันไปมองทางทิศเหนือเหมือนกับชายหนุ่ม ถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่อีกฝ่ายพูดเลยแม้แต่น้อย “ต้าหลีของพวกเราอยู่ทางทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปบูรพาใช่ไหม?”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “อืม ถูกมองเป็นพวกป่าเถื่อนทางเหนือมาเกือบพันปีแล้ว ตอนนี้ก็แค่หมัดแข็งพอ ถึงช่วงชิงศักดิ์ศรีกลับคืนมาได้บ้าง”
ซ่งจี๋ซินยังคงก้มหน้า เพียงแต่ดวงตากลับฉายประกายร้อนแรง
ชายที่ชื่อว่าซ่งจ่างจิ้งคนนี้กล่าวเสียงเรียบว่า “เมื่อไปถึงเมืองหลวง ต้องระวังคนที่มีสมญานามว่า” ซิ่วหู่ “ให้ดี”
ซ่งจี๋ซินไม่เข้าใจ
ซ่งจ่างจิ้งจึงคลี่ยิ้ม “ตอนนี้เขาก็คือราชครูของต้าหลีเรา ซ้ำยังเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณที่อบรมสั่งสอนน้องชายร่วมอุทรของเจ้าด้วย ที่ในเวลาเกือบห้าสิบปีมานี้ต้าหลีของพวกเราสามารถขยายประเทศจากเจ็ดสิบเขต แปดร้อยเมืองมาเป็นหนึ่งร้อยสี่สิบเขต หนึ่งพันห้าร้อยเมือง ขยับขยายดินแดนจนกว้างใหญ่ได้อย่างในทุกวันนี้ คนผู้นี้ถือว่ามีคุณความชอบครึ่งหนึ่ง”
ซ่งจี๋ซินพลันเงยหน้าขึ้น
ชายหนุ่มหัวเราะ “ไอ้หนู เจ้าเดาถูกแล้ว”
ชายหนุ่มเองก็นั่งลงบนขั้นบันได วางมือทั้งคู่บนหัวเข่า ทอดสายตามองไปไกล
เห็นได้ชัดว่าผู้มีคุณูปการในการช่วยต้าหลีขยับขยายดินแดนอีกท่านหนึ่งอยู่ไกลจนสุดขอบฟ้า อยู่ใกล้เพียงเบื้องหน้า
บัดนี้ซ่งจี๋ซินสั่นสะท้านไปทั้งตัว หนังศีรษะชาหนึบ
คนทั้งสองเงียบงันกันไปนาน ก่อนที่ซ่งจี๋ซินจะพูดขึ้นว่า “ท่านอา แม้ว่าข้าจะมีใจสังหารต่อหลิวเสี้ยนหยาง ซ้ำก่อนหน้านี้ยังเคยคิดจะทำการค้ากับฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า ให้เขาหาวิธีฆ่าหลิวเสี้ยนหยางทิ้ง แต่ลึกๆ ในใจข้าไม่เคยคิดว่าหลิวเสี้ยนหยางจะมีคุณสมบัติมานั่งในระดับที่เท่าเทียมกับข้า ต่อให้เขามีสมบัติสืบทอดของตระกูลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานชิ้นหนึ่ง ที่ข้าคิดจะฆ่าเขา ก็แค่รู้สึกว่าการฆ่าเขา ข้าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรมากมาย ก็เท่านั้น”
ซ่งจ่างจิ้งเริ่มรู้สึกสนใจ “พูดอย่างนี้แสดงว่าเจ้ามีปมในใจอย่างอื่น?”
เด็กหนุ่มลูบคลำลำคอแล้วเงียบเสียงไป
—-
กลางดึกสงัด รอบทิศเงียบสนิท
ทว่าในเมืองกลับยังมีคนเดินอยู่บนถนน เรือนกายของนางเล็กบาง สวมอาภรณ์เนื้อบางเบา เมื่อนางเดินมาถึงบ่อโซ่เหล็กของตรอกซิ่งฮวาก็ทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อนางเดินผ่านซุ้มประตูหินยังแตะไปยังเสาหินแรงๆ หนึ่งที สุดท้ายนางมาอยู่ใต้ต้นไหวโบราณที่มีใบขึ้นเป็นพุ่มหนา ตามคำบอกของผู้เฒ่าผู้แก่ ต้นไหวต้นนี้ไม่รู้ว่าอยู่มานานกี่ปีแล้ว อีกทั้งไม่ว่าใบไม้ที่แห้งเหี่ยวจะร่วงลงมาเวลาใดก็ไม่มีทางร่วงลงมาโดนคน นับว่ามันมีสติปัญญาสูงอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าเด็กสาวที่เดินอาดๆ มาถึงใต้ต้นไม้ไม่คิดจะเชื่อคำพูดพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย
นางเปิดตำราโบราณที่ยืมมาจากคุณชายของตัวเองแล้วเริ่ม “ค้นหาตามรูปภาพ”
นางไล่อ่านไปทีละชื่อคล้ายแม่ทัพที่กำลังขานชื่อทหารไปลงสมรภูมิรบ
รอจนนางเริ่มคอแห้ง นางถึงหยุดเรียกชื่อ มือข้างหนึ่งถืออักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่นเล่มที่ซ่งจี๋ซินเรียกว่า “ตำรานอกกำแพง” มืออีกข้างชี้ไปที่ต้นไหว้แล้วเงยหน้าขึ้นด่า “หน้าไม่อายนักใช่ไหม?!”
เงียบกริบ ไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมา
เด็กสาวกระทืบเท้าแล้วด่ากราดทันที “สี่แซ่สิบตระกูล เริ่มจากสี่แซ่ก่อน หลู หลี่ จ้าว ซ่ง สี่แซ่ใหญ่ของพวกเจ้าหัดรู้อะไรควรไม่ควรซะบ้าง เร็วเข้า ทุกแซ่สกุลต้องทิ้งใบไหวลงมาอย่างน้อยสามใบ หากขาดไปใบหนึ่ง ชีวิตนี้ของข้าหวังจูจะไม่ยอมจบเรื่องกับพวกเจ้าง่ายๆ! พอออกไปจากเมือง ข้าจะไล่จัดการกับคนของพวกเจ้าทีละคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหนุ่มชายฉกรรจ์ ผู้หญิง คนแก่หรือลูกเด็กเล็กแดง จะอย่างไรซะก็มีแต่พวกเลี้ยงไม่เชื่อง เนรคุณคนแล้วยังมีหน้ามาวางตัวสูงส่งอีกรึ?!”
เด็กสาวด่าจนหอบหายใจดังฮักๆ มือข้างหนึ่งเท้าเอว ปากก็ยังด่าต่อไป “คนแซ่ซ่ง ราชวงศ์ต้าหลีมีแซ่เดียวกับพวกเจ้า ขุนนางที่มีคุณความชอบสูงสุดคือใคร? ในใจพวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือ? แกล้งทำเป็นโง่กับข้าใช่ไหม? เชื่อหรือไม่ว่าพอข้าออกไปจะทำให้ราชวงศ์ต้าหลีเปลี่ยนมาเป็นแซ่หลู แซ่จ้าว แซ่อะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่แซ่ซ่ง?!”
“สิบตระกูลใหญ่ ทุกตระกูลต้องให้ใบไหวสองใบ ตระกูลธรรมดาตระกูลอื่นอย่างน้อยหนึ่งใบ แน่นอนว่าหากใครมีแรงจะเดิมพันก็จงลงมาเยอะๆ กลับไปข้าจะต้องทำให้คนคนนั้นหอบเงินหอบทองกลับบ้าน!”
“ตระกูลเฉาหนึ่งในสิบตระกูล ใช่ ตระกูลเฉาที่มีเจ้าสารเลวชื่อว่าเฉาซี! เจ้าลูกหมาผู้นี้ปีนั้นไม่ว่าเรื่องน่าขยะแขยงอะไรก็ทำได้หมด ตอนที่ยังสวมผ้าอ้อมก็มีแต่ความชั่วร้ายเต็มหัวแล้ว! นอกจากใบไหวสองใบ พวกเจ้ายังต้องให้ข้าเพิ่มอีกหนึ่งใบเพื่อเป็นการชดเชย หาไม่แล้วข้าหวังจูก็สาบานว่าเมื่อออกไปจากที่นี่ จะต้องทำให้เจ้าเฉาซีหมดสิ้นทายาท! บังอาจฉี่ลงไปในบ่อ ผีไร้คุณธรรมแบบเขาจะเป็นเจินจวินแห่งแคว้นได้อย่างไร?!”
“ยังมีตระกูลเซี่ยนั่นอีก ตระกูลพวกเจ้ามีคนชื่อว่าเซี่ยสือ ใช่ไหม? อืม เขาติดค้างน้ำใจของข้ามาก่อน ตอนนั้นหากไม่เป็นเพราะข้า เขาคงถูกน้ำป่าพัดตัวไปนานแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจะไม่ให้ใบไหวกับข้าเพิ่มอีกใบได้อย่างไร?”
ห่างออกไปไกล ฉีจิ้งชุนมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดใต้ต้นไหวเงียบๆ
ประหนึ่งบิดาผู้เข้มงวดที่รู้จักแต่จะสั่งสอนบุตรด้วยวิธีการคร่ำครึ พอเห็นบุตรที่ยิ่งโตก็ยิ่งดื้อรั้น จึงรู้สึกจนใจไม่น้อย
เพียงแต่ว่าเมื่อเขาเห็นเด็กสาวคนนั้นพลิกหน้าหนังสืออย่างต่อเนื่อง แล้วใบไหวหลายใบก็ทยอยหลุดออกจากกิ่งลงมาบนหน้าหนังสือ ฉีจิ้งชุนกลับรู้สึกชื่นชม
มีคำเป็นพันเป็นหมื่นถ้อยคำ สุดท้ายฉีจิ้งชุนได้แต่พึมพำออกมาว่า “ไปจากบ้านแล้ว ต้องทำตัวดีๆ นะ”
ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะสัมผัสได้จึงหันขวับกลับมา
แต่กลับมองไม่เห็นใคร
เด็กสาวส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่คิดลึกอีก เพียงหันกลับมาด่าต้นไหวต่ออีกครั้ง