บทที่ 61 ขุนข้ามแม่น้ำ
พอตัวก่อปัญหาอย่างหญิงแต่งงานแล้วจากไป ไม่มีทัศนียภาพงดงามให้ชม กลุ่มคนของร้านตระกูลหยางจึงแยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว
เจิ้งต้าเฟิงหดหัววิ่งไปถึงใต้ชายคาห้องหลักแล้วไปนั่งยองอยู่ไกลๆ ไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้หยางเหล่าโถวมากนัก
เป็นลูกศิษย์เหมือนกัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์ผู้นี้ สิ่งที่เขากับหลี่เอ้อได้รับการปฏิบัติกลับแตกต่างกันราวก้อนเมฆกับก้อนโคลน
เจิ้งต้าเฟิงเองก็เคยตำหนิที่อาจารย์ลำเอียง เพียงแต่ว่าเรื่องบางเรื่องจะไม่ยอมรับชะตารรมก็ไม่ได้
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยถามขลาดๆ “อาจารย์ หากฉีจิ้งชุนยืนกรานว่าจะไม่ทำตามกฎ ถึงเวลานั้นพวกเราควรจะไปที่ไหน ไปทำอะไร?”
ผู้เฒ่าไม่เอ่ยคำใด ยังคงสูบยาเส้นต่อไป แมวดำตัวหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนและมาถึงเมื่อไหร่นั่งอยู่ไม่ห่างจากเท้าของผู้เฒ่านัก มัดสลัดขนจนน้ำฝนมากมายสาดกระเซ็น
เจิ้งต้าเฟิงพูดเป็นกังวล “เจ้าคนของเขาเจินอู่ถึงขนาดเชิญเทพลงจากภูเขา แบบนี้จะมีปัญหาหรือไม่? เพราะอย่างไรซะตอนนี้ก็มีคนนับไม่ถ้วนที่จับตามองที่นี่”
ผู้เฒ่ายังคงไม่ร่วมบทสนทนา
เคยชินกับนิสัยพูดน้อยของอาจารย์ตัวเองแล้ว เจิ้งต้าเฟิงจึงไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน เขาคิดโน่นคิดนี่ปนกันมั่วไปหมด แล้วก็นึกถึงฉีจิ้งชุนขึ้นมาอีกครั้งจึงสบถด่า “ไอ้ห่าฉีจิ้งชุน ยอมเป็นหลาน (เป็นหลานคือหมายถึงคนที่ไม่มีความสามารถจึงจำเป็นต้องก้มหัวยอมให้คนอื่น) คนอื่นมาได้ตั้งห้าสิบเก้าปี เหลือเวลาแค่อีกไม่กี่วันเสือกทนไม่ได้? คนเรียนหนังสือสมองตายกันหมด ไม่มีเหตุผล!”
ในที่สุดผู้เฒ่าก็เปิดปากพูด “เจ้าไม่เรียนหนังสือก็สมองตายเหมือนกัน”
เจิ้งต้าเฟิงไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าละอาย ยังหันมาเอ่ยประจบว่า “ท่านอาจารย์อยากให้ข้านวดไหล่ทุบขาให้บ้างไหม?”
ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ข้าไม่มีเงินทุนซื้อโลงศพ (เปรียบเปรยถึงเงินเลี้ยงชีพในยามแก่) เจ้าจงตัดใจซะเถอะ”
เจิ้งต้าเฟิงหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย “อาจารย์ คำพูดนี้ของท่านช่างทำร้ายจิตใจคนยิ่งนัก ลูกศิษย์อย่างข้าความสามารถมีไม่มาก แต่กลับมีใจกตัญญูมากพอ มีหรือจะมัวพะวงอยู่กับเรื่องพวกนี้ ข้าไม่ใช่เมียของหลี่เอ้อสักหน่อย”
ผู้เฒ่าอืมรับหนึ่งที ก่อนพูดว่า “เจ้ายังสู้นางไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
เจิ้งต้าเฟิงหน้าดำทันที ไหล่ลู่คอตก แห้งเหี่ยวไม่มีความกระปรี้กระเหมือนมะเขือเผา
แต่แล้วทันใดนั้นสีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนมาเป็นตกตะลึงระคนยินดี เพิ่งจะค้นพบว่าคำพูดของอาจารย์ในวันนี้ แม้จะฟังไม่ค่อยเข้าหูนัก แต่ก็ยอมพูดมากกว่าปกติ หาได้ยากยิ่งนัก เดี๋ยวกลับไปถึงกระท่อมทางฝั่งตะวันออกของตนเมื่อไหร่ คงต้องดื่มเหล้าสักกาเพื่อฉลองหน่อยแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงอารมณ์ดีขึ้นมาหลายส่วน จึงเอ่ยถามเหมือนชวนคุย “ศิษย์พี่รั้งตัวไอ้หมอนั่นไว้ได้หรือไม่?”
คราวนี้ไม่รอให้ผู้เฒ่าใช้คำพูดทิ่มแทง เจิ้งต้าเฟิงก็ตบบ้องหูตัวเองเสียก่อน “ศิษย์พี่รั้งไม่ได้สิถึงจะสนุก หากขวางได้จริงๆ วันหน้าก็คงต้องกินลมแทนข้าวแล้ว”
จู่ๆ ผู้เฒ่าก็ถามขึ้นว่า “เจิ้งต้าเฟิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมตัวเองถึงไม่มีอนาคตเหมือนคนอื่นเขา?”
เจิ้งต้าเฟิงอึ้งงันอยู่ตรงนั้น
ในใจคิดว่าคำถามนี้ของอาจารย์มีความลี้ลับซุกซ่อนอยู่ ตนต้องใคร่ครวญอย่างระมัดระวังก่อนตอบ
แต่คาดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะให้คำตอบเสียเอง “หน้าตาขี้เหร่”
เจิ้งต้าเฟิงยกสองมือกุมศีรษะ มองน้ำฝนในลานที่กระจายเป็นฝอย ชายฉกรรจ์ที่อายุมากแล้วอย่างเขาอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก
……
พ่อบ้านแห่งจวนผู้ตรวจการไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดหรือดูสีหน้าอะไรก็รู้ว่าตัวเองไม่ควรอยู่ต่อ จึงหาข้ออ้างออกไปจากห้อง
เฉินซงเฟิงก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารต่อไป เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอาการตัวสั่นงันงกตอนที่เฉินตุ้ยอยู่ด้วย เขาในเวลานี้ถือว่ากลับคืนสู่ความสง่างามอย่างที่ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์พึงมีบ้างแล้ว แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ หลิวป้าเฉียวที่มองดูอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดกลับยิ่งหงุดหงิด ความไม่สบอารมณ์อัดแน่นอยู่เต็มอก เพียงแต่ว่านิสัยตรงไปตรงมาเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนปากไม่มีหูรูดก็อีกเรื่องหนึ่ง หลิวป้าเฉียวจึงอยากจะออกไปเดินเล่น เพราะเมื่อตาไม่เห็น ใจก็คงไม่ขุ่นเคือง
เฉินซงเฟิงพลันเงยหน้าขึ้นเอ่ยยิ้มๆ “ป้าเฉียว ในที่สุดเจ้าก็นั่งไม่ติดแล้วหรือ?”
หลิวป้าเฉียวเพิ่งจะยกก้นขึ้นจากเก้าอี้ พอได้ยินเขาพูดจึงนั่งแปะกลับไป โกรธจนกลายเป็นขำ “โอ๊ะโอ ยังมีอารมณ์มาหยอกเย้าข้าอีกหรือ น้ำใจกว้างขวางจริงนะเจ้า”
เฉินซงเฟิงวางตำราเก่าแก่เล่มที่อยู่ในมือลง กล่าวเสียงขื่น “ให้เจ้าเห็นเรื่องตลกแล้ว เมื่อครู่ที่เจ้าทวงความยุติธรรมให้ข้า ใช่ว่าข้าจะไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่น เพียงแต่…”
หลิวป้าเฉียวทนการคร่ำครวญร้องทุกข์และการปลุกปั่นอารมณ์ของคนอื่นไม่ได้มากที่สุดจึงรีบโบกมือ “อย่าๆๆ ข้าก็แค่ทนเห็นญาติห่างๆ ของเจ้ารังแกคนที่อ่อนแอกว่าไม่ได้ เลยตำหนินางไปสองสามคำ ทั้งหมดเป็นเพราะยั้งปากตัวเองไม่อยู่ เจ้าเฉินซงเฟิงไม่จำเป็นต้องรู้สึกเป็นบุญคุณ”
เฉินซงเฟิงหงายศีรษะไปด้านหลัง เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
หากอยู่ในตระกูลเฉินของเมืองหลงเว่ย ลำพังแค่ท่านั่งที่แสดงความเกียจคร้านเช่นนี้ หากผู้อาวุโสในตระกูลมาเห็นเข้า ไม่ว่าจะเป็นบุตรภรรยาเอกหรือบุตรอนุภรรยา หากเป็นเด็กก็ล้วนต้องโดนตี เป็นผู้ใหญ่ก็ต้องโดนตำหนิสั่งสอน
แม้ว่าบัณฑิตในตระกูลผู้มีชื่อเสียงมักจะถูกนักสู้ฝ่ายบู๊เสียดสีอยู่เสมอว่าดีแต่วางท่าภูมิฐาน เจ้ามารยาสาไถย
ทว่ากฎระเบียบก็คือกฎระเบียบ นับตั้งแต่ที่คลอดออกมาจากท้องแม่ก็ต้องเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกกำหนดมาไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ล้วนได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เห็นและได้ยินอยู่เป็นประจำโดยไม่มีข้อยกเว้น
แน่นอนว่าก็มีพวกคนซึ่งชอบคุยเฟื่องและคนยโสที่หาสาระใดไม่ได้ซึ่งถือกำเนิดในแคว้นหนันเจี้ยนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกว่าทั้งคำพูดและการกระทำล้วนไม่ถือเคร่งกับมารยาทและประเพณี
หลิวป้าเฉียวเอ่ยถาม “เจ้ากับเฉินตุ้ยมีความสัมพันธ์ใดต่อกันกันแน่ เจ้าถึงได้หวาดกลัวนางขนาดนั้น? หากเกี่ยวข้องกับความลับของตระกูล ก็ถือซะว่าข้าไม่เคยถามแล้วกัน”
เฉินซงเฟิงลุกขึ้นยืน เดินไปปิดประตูห้อง แล้วจึงเดินกลับมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมที่พ่อบ้านเคยนั่ง ย้อนถามกลับเบาๆ ว่า “ชื่อคนซื้อเครื่องปั้นของเด็กหนุ่มแซ่หลิวถูกเปลี่ยนมือไปหลายครั้ง สุดท้ายมาอยู่ในมือสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยของข้า เจ้าไม่แปลกใจหรือว่าทำไม?”
หลิวป้าเฉียวพยักหน้ารับ
เกรงว่าต่อให้วานรย้ายภูเขาทุบหัวตัวเองจนแตกก็คงคิดไม่ถึงว่า คู่ต่อสู้ที่เข้าร่วมการช่วงชิงเพราะได้รับข่าวของคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นกลับไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาตอย่างสวนลมฟ้า แต่เป็นคนสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยที่โดดเด่นเหนือฝูงชน
สีหน้าของเฉินซงเฟิงเหนื่อยล้า น่าจะเป็นเพราะความกลัดกลุ้มตลอดระยะเวลาที่เดินทางมา คนคิดมากย่อมเหนื่อยใจ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจำต้องหาคนมาระบายความทุกข์ บวกกับที่เขาเชื่อมั่นในนิสัยและคุณธรรมของหลิวป้าเฉียวจึงกล่าวเนิบช้าว่า
“แม้จะบอกว่าความสัมพันธ์ของพวกเราสกุลเฉินใกล้ชิดกับสวนลมฟ้าของพวกเจ้ามากกว่า แต่ลูกหลานสกุลเฉินยึดถือคำสั่งสอนของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด จึงไม่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้นของทั้งบนเขาและล่างเขา ซึ่งเราได้ยึดหลักการข้อนี้มานานหลายปี
คัมภีร์กระบี่เพียงเล่มเดียวที่ไม่ต่างจากซี่โครงไก่ในสายตาของลูกหลานสกุลเฉินจะสามารถทำให้พวกเราแหกกฎได้งั้นหรือ? สกุลเฉินคือตระกูลที่สืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ไม่ใช่ตระกูลของผู้ฝึกตน น้ำขุ่นบ่อนี้จะมีความหมายอะไร?”
หลิวป้าเฉียวลองคิดตามแนวความคิดนี้ “เป็นตระกูลของเฉินตุ้ยที่คิดจะเก็บคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นไว้เอง? หรือว่าตระกูลของนางคือตระกูลผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่มีชื่อเสียง?”
เฉินซงเฟิงส่ายหน้า “ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้เจ้าเองก็คงได้ยินเรื่องที่พ่อบ้านเซวียพูดถึง ตระกูลเฉินในเมืองเล็กมีสองสาย เฉินตุ้ยคือคนของตระกูลสายที่ย้ายออกไปอย่างเด็ดขาดนั่น เพราะแม้แต่ในแจกันสมบัติทวีปบูรพาก็ไม่มีคนของพวกเขาอยู่ ย้ายไปอยู่ที่ทวีปอื่นแทน และเมื่อมีการสืบทอดแพร่พันธ์แตกกิ่งก้านสาขารุ่นแล้วรุ่นเล่า ตระกูลของเฉินตุ้ยทุกวันนี้จึงถูกขนานนามให้เป็น ‘ผู้ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ด้านสำนักการศึกษาของโลก’ แน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้ยังไม่แพร่มาถึงแจกันสมบัติทวีปบูรพา สกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยของพวกเรารู้เรื่องภายในได้ก็เพราะมีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาเล็กน้อย”
หลิวป้าเฉียวหลุดหัวเราะพรืด “เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นคือวัวขี้โม้ยังไม่ทันได้กินหญ้า หรือคิดว่าข้าหลิวป้าเฉียวไม่มีความรู้เลยนึกอยากรังแก? บ้านนางจะมีสำนักศึกษาเลยหรือไง?”
เฉินซงเฟิงยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว
หลิวป้าเฉียวเหลือกตาขาวใส่ “ฟังให้ดีล่ะ ข้าพูดว่าสำนักศึกษา (กงเต๋อฟาง) ไม่ใช่ชื่อเสียงในการเป็นขุนนาง! (กงหมิงฟาง)”
เฉินซงฟงยังไม่หุบนิ้วลง
หลิวป้าเฉียวสะอึกอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะถามต่ออย่างไม่ยอมแพ้ “บ้านนางมีโรงเรียนมีสำนักการศึกษาได้ด้วยงั้นรึ?!”
โรงเรียนและสำนักการศึกษาที่หลิวป้าเฉียวพูดถึง แน่นอนว่าต้องเป็นสามโรงเรียนเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อ ไม่ใช่โรงเรียนทั่วไปในราชวงศ์ของโลกมนุษย์
แจกันสมบัติทวีปบูรพาที่กว้างใหญ่ไพศาลยังมีสำนักศึกษาซานหยา และสำนักศึกษากวานหูแค่สองแห่งเท่านั้น
หลิวป้าเฉียวแสร้งทำเป็นลุกขึ้นยืน มือทั้งสองข้างยันที่วางแขนบนเก้าอี้ แกล้งพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ “ข้าจะรีบไปขอโทษแม่นางผู้นั้นสักหน่อย ข้าจะยอมเชื่อฟังนางแต่โดยดี คนที่มีชาติกำเนิดเผด็จการไร้เหตุผลเช่นนี้ อย่าว่าแต่ให้เจ้าเฉินซงเฟิงเปิดหนังสือหลายเล่มเลย ต่อให้เจ้าเป็นวัวเป็นม้าก็ไม่มีปัญหาแม้แต่นิดเดียว”
เฉินซงเฟิงยิ้มเฉย
นี่น่าจะเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของหลิวป้าเฉียว สามารถพูดให้เรื่องที่เดิมทีน่าอัดอั้นตันใจกลายเป็นเรื่องที่คนในเหตุการณ์ลืมความขุ่นข้องหมองใจได้
หลิวป้าเฉียวขยับก้น ยกแขนสองข้างขึ้นกอดอก กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “เอาล่ะ รู้ความเป็นมาที่น่ากลัวของแม่ย่าผู้นั้นแล้ว เจ้าก็พูดเข้าประเด็นต่อเลย”
เฉินซงเฟิงกล่าวยิ้มๆ “อันที่จริงพ่อบ้านเซวียได้พูดคำตอบไปแล้ว”
สมองของหลิวป้าเฉียวเปล่งประกายวาบ “บรรพบุรุษของเด็กหนุ่มแซ่หลิวผู้นั้นก็คือคนเฝ้าสุสานที่ตระกูลเฉินสายนั้นทิ้งไว้ให้เฝ้าเมือง?”
เฉินซงเฟิงพยักหน้ารับ “เป็นบุรุษที่น่าอบรม”
หลิวป้าเฉียวร้องเอ๊ะ “ไม่ถูกสิ คัมภีร์กระบี่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเด็กหนุ่มแซ่หลิวมาจากศิษย์ทรยศของเขาตะวันเที่ยงไม่ใช่หรือ? แน่นอนว่าคนผู้นั้นก็ถือเป็นหนึ่งในบรรพจารย์ของสวนลมฟ้าเรา ไม่ว่าอย่างไร เวลาก็ไม่สอดคล้องกัน เขาจะกลายไปเป็นคนเฝ้าสุสานของตระกูลเฉินตุ้ยได้อย่างไร?”
เฉินซงเฟิงอธิบาย “ข้ายืนยันได้ว่า ต้นตระกูลของตระกูลหลิวคือคนเฝ้าสุสานตระกูลเฉินตุ้ยจริงๆ ส่วนผู้ฝึกกระบี่ที่ภายหลังไปหลบอยู่ในสวนลมฟ้าของพวกเจ้า และสุดท้ายมาอยู่ในเมืองเล็ก กลายมาเป็นคนตระกูลหลิว ซ้ำยังทิ้งคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นไว้ให้คนรุ่นหลังได้ยังไง เกรงว่าน่าจะเป็นเรื่องราวภายในที่ถูกอำพรางไว้ สุดท้ายสมบัติตระกูลที่สืบทอดกันมาจึงกลายมาเป็นของสองอย่าง นั่นคือคัมภีร์กระบี่บวกกับเสื้อเกราะโหวจื่อ ส่วนเฉินตุ้ย อันที่จริงนางไม่ได้มาเพราะหวังในสมบัติ แต่มาเพราะต้องการกราบไหว้บรรพบุรุษเท่านั้น นอกจากนี้หากคนตระกูลหลิวยังมีลูกหลานทิ้งเอาไว้ ไม่ว่าพรสวรรค์จะเป็นอย่างไร นางก็จะต้องพากลับบ้านเพื่อพยายามปลูกฝังอบรมให้เต็มที่ ถือเป็นการตอบแทนความดีที่บรรพบุรุษตระกูลหลิวช่วยเฝ้าสุสานให้ในปีนั้น”
สีหน้าหลิวป้าเฉียวเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “ตระกูลใหญ่โตขนาดนั้นจะยอมปล่อยให้สตรีสาวคนหนึ่งมากราบไหว้บรรพบุรุษ? ตอนหลังยังเกือบถูกอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีต่อยตาย? เฉินซงเฟิง ข้าอ่านหนังสือมาไม่น้อย แม้ส่วนใหญ่จะเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอ่านก่อนนอนอย่างเรื่องเทพกับเซียนตีกัน แต่ข้าก็กระจ่างแจ้งถึงหลักครองตัวในสังคมหลายข้อจากเรื่องเล่าพวกนี้ ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นตัวปลอมที่มาสวมรอยแน่!”
เฉินซงเฟิงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เพราะเจ้าไม่เคยเห็นน่ะสิว่าตอนที่ท่านปู่ของข้าเห็นนาง มีท่าทาง…เกรงใจแค่ไหน”
เพราะมีข้อห้ามไม่ให้กล่าวถึงชื่อของผู้สูงศักดิ์ ดังนั้นเฉินซงเฟิงจึงไม่อาจพูดความจริงออกมาได้ เลยได้แต่ใช้คำว่า “เกรงใจ” มาอธิบายอย่างคลุมเครือเท่านั้น
ตระกูลเปิดประตูจวนบานกลางให้นาง ประมุขตระกูลนอบน้อมต่อนางอย่างถึงที่สุด คนในตระกูลตั้งแต่เหนือสุดยันล่างสุดต่างก็ปฏิบัติต่อนางดุจแขกผู้ทรงเกียรติ ในงานเลี้ยงฉลองยังให้นางนั่งตำแหน่งประธาน
ทั้งหมดนี้เป็นการโจมตีที่รุนแรงแค่ไหนสำหรับเฉินซงเฟิง แค่คิดก็พอจะจินตนาการได้
หลิวป้าเฉียวกล่าวอย่างกังขา “เด็กหนุ่มแซ่หลิวคนนั้น ไม่ใช่ว่าเกือบจะถูกวานรเฒ่าต่อยตายในหมัดเดียวหรอกหรือ?”
เฉินซงเฟิงถอนหายใจ “เจ้าก็พูดเองว่าเกือบ”
เฉินซงเฟิงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่หน้าต่าง นอกหน้าต่างยังคงเป็นฝนเม็ดเล็กที่มาพร้อมกับลมโชยบางเบา แต่ดูจากสีท้องฟ้าแล้ว เหมือนว่าจะมีฝนห่าใหญ่ตกลงมา
เฉินซงเฟิงเอ่ยเสียงเบา “ดูเหมือนว่าอาจารย์หร่วนผู้นั้นจะรู้จักกับผู้อาวุโสท่านหนึ่งของเฉินตุ้ย เพราะเคยเดินทางไปทั่วใต้หล้าด้วยกัน นับเป็นสหายสนิท”
หลิวป้าเฉียวถามหยั่งเชิง “เจ้าจะบอกว่าการที่หร่วนฉงสามารถเข้ามาบัญชาการณ์ที่แห่งนี้แทนฉีจิ้งชุนได้ เพราะตระกูลของเฉินตุ้ยเป็นคนออกแรง?”
เฉินซงเฟิงตอบเสียงเรียบเฉย “ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น”
หลิวป้าเฉียวจุ๊ปากไม่หยุด
มิน่าเล่าตอนที่เผชิญหน้ากับซ่งจ่างจิ้ง ผู้หญิงคนนั้นถึงได้แข็งข้อขนาดนั้น
ห่างไกลสุดขอบฟ้ามีพลานุภาพของตระกูล ใกล้เพียงตรงหน้ามีอริยะให้การปกป้อง นางจะไม่ยโสโอหังได้หรือ?
หลิวป้าเฉียวถามขึ้นกะทันหัน “ไหนลองเล่าเรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตและคนซื้อเครื่องปั้นให้ฟังหน่อยสิ ข้าสนใจเรื่องนี้มาโดยตลอด เสียดายก็แต่สวนลมฟ้าของพวกเราไม่สนใจเรื่องนี้ จนกระทั่งครั้งนี้ถูกอาจารย์บังคับลากมารับงานนี้ ถึงพอจะได้ยินมาคร่าวๆ ดูเหมือนว่าแจกันสมบัติทวีปบูรพาของพวกเราในเวลานี้มีบุคคลบนยอดเขาที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่หลายคน ซึ่งช่วงแรกเริ่มสุดก็คือคนที่ออกไปจากเมืองเล็กแห่งนี้?”
เฉินซงเฟิงลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์โดยไม่มีกั๊กไว้ “เรื่องนี้คล้ายคลึงกับหินเดิมพัน (ศัพท์ในทางอัญมณี หินเดิมพัน 赌石 หมายถึงเวลาที่ขุดเจอมรกตจะมีผิวชั้นนอกที่ผ่านการกัดกร่อนจากลมห่อหุ้มอยู่ จึงไม่สามารถรู้ได้ว่ามรกตที่อยู่ด้านในจะดีหรือร้าย จำเป็นต้องขูดเอาหินที่หุ้มอยู่ออกไปก่อนถึงจะรู้คุณภาพมรกต จึงเรียกว่าหินเดิมพัน) ในโลกมนุษย์ ทุกปีในเมืองเล็กจะมีเด็กทารกถือกำเนิดประมาณสามสิบกว่าคน เตาเผามังกรสามสิบแห่งจะแบ่งตามตำแหน่งฐานะทยอยกันเลือกเด็กบางคนเพื่อมาเป็น ‘เครื่องปั้น’ ในเตาเผามังกรของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ปีนี้ในเมืองมีเด็กเกิดสามสิบสองคน ถ้าอย่างนั้นเตาเผามังกรสองแห่งที่อยู่ในอันดับแรกสุดก็จะได้เครื่องปั้นไปสองชิ้น หากปีหน้ามีเด็กเกิดใหม่แค่ยี่สิบเก้าคน ก็หมายความว่าเตาเผามังกรที่อยู่ลำดับล่างสุดจะไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวเลยตลอดทั้งปี”
“ดังนั้นคนที่เติบโตขึ้นมาในเมืองนี้ล้วนมีเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง ตอนนี้ในทวีปมีเฉาซีและเซี่ยสือที่โดดเด่นไม่เป็นรองใคร คนหนึ่งมีความหวังว่าจะได้เป็นเจินจวินเทพเจ้าสวรรค์ของลัทธิเต๋า ส่วนอีกคนหนึ่งหากจะได้เป็นเซียนกระบี่ที่มีพลังการทำลายล้างอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลย แม้ว่าเมื่อเทียบกับข้างนอกแล้ว บ่อปลาอย่างเมืองเล็กแห่งนี้จะถือว่าเป็นสถานที่ที่มีเจียวหลงปรากฎตัวได้ง่ายที่สุด แต่ราคาที่ต้องจ่ายในการกลายเป็นมังกรกลับมหาศาล หากหลังจาก ‘เครื่องปั้น’ เหล่านี้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางได้สำเร็จ แต่ตอนมีชีวิตอยู่ไม่อาจเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้ ก็จะถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจกลับมาเกิดได้อีก จิตวิญญาณจะแหลกสลายทุกชาติทุกภพ หมื่นสรรพสิ่งล้วนหยุดนิ่ง เกรงว่าแม้แต่บรรพจารย์เต๋าหรือศาสดาพุทธก็ไม่อาจทำอะไรได้ และในช่วงเวลานี้จะถูกคนซื้อเครื่องปั้นกุมจุดอ่อนที่ร้ายแรงถึงชีวิต ความเป็นความตายถูกควบคุมอยู่ในกำมือของผู้อื่น ต่อให้เจ้าจะเป็นบุคคลอย่างเฉาซีหรือเซี่ยสือก็ล้วนเป็นเหมือนกันหมด”
“แต่จะว่าไปแล้ว รอจนกลายเป็นบุคคลเลิศล้ำค้ำฟ้าอย่างเฉาซีและเซี่ยสือเมื่อไหร่ ตัวคนซื้อเครื่องปั้นก็แทบจะยกขึ้นหิ้งบูชา มีหรือจะกล้ายกตัวตนเจ้าของเครื่องปั้นมาข่ม เพราะอย่างไรซะเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ ไม่ว่าตระกูลไหนที่มีพลังการต่อสู้อย่างเฉาซีและเซี่ยสือนี้ ยามนอนย่อมหลับสนิทกว่า เหตุผลนั้นง่ายมาก หากเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อยในเวลาปกติ อาจจะอัญเชิญพวกเขามาไม่ได้ แต่หากเกี่ยวพันกับความเป็นอยู่ของบ้านเมือง พวกเขาต้องออกแรงช่วยเหลือแน่นอน ไม่เต็มใจรบเพื่อตระกูลข้า ได้สิ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะทุบเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตเจ้าให้แตก ให้ทุกคนตายตกไปตามกันก็สิ้นเรื่อง”
หลิวป้าเฉียวรับฟังด้วยความทึ่ง มิน่าเล่าในเวลาสั้นๆ เพียงสองสามร้อยปี ราชวงศ์ต้าหลีถึงได้เจริญก้าวหน้าอย่างพรวดพราด กลายมาเป็นกองกำลังยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สามารถฮุบกลืนที่ดินทางทิศเหนือของทวีปไปได้ หลิวป้าเฉียวฟังอย่างเข้าถึงอารมณ์ เลยถือโอกาสยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ เอาฝ่ามือเท้าคาง เอ่ยถาม
“ข้ารู้ว่าในเมืองแห่งนี้หกขวบของเด็กหญิงกับเก้าขวบของเด็กชายก็คือธรณีประตูขนาดใหญ่ หลักการเดียวกับการฝึกตนของพวกเรา ในช่วงเวลานั้นจะสามารถรู้ระดับความสูงต่ำในการประสบความสำเร็จของการฝึกตนวันหน้าได้แล้ว หากในเวลานั้นคนซื้อเครื่องปั้นมาพาเด็กที่มีหวังว่าจะเดินไปบนมหามรรคได้สำเร็จออกไปจากเมือง แล้วพวกเครื่องปั้นที่ยังไม่ก่อรูปสำเร็จล่ะ? เด็กในเมืองที่คนเดิมพันพ่ายแพ้ เตาเผามังกรแต่ละแห่งจะจัดการเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่ไม่มีค่าของพวกเขาอย่างไร?”
เฉินซงเฟิงเอ่ยเบาๆ “ก็จะต้องถูกเอาออกไปจากเตาเผามังกร ทุบให้แตกแล้วโยนทิ้งไป นอกเมืองมีภูเขาเครื่องปั้นอยู่ลูกหนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุนี้”
ในใจหลิวป้าเฉียวเริ่มไม่สบอารมณ์ “จุดจบของเด็กพวกนั้นจะเป็นอย่างไร?”
เฉินซงเฟิงส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่คาดว่าก็คงไม่ดีสักเท่าไหร่”
หลิวป้าเฉียวถอนหายใจ ยกมือขยี้ข้างแก้มตัวเองอย่างแรง
ความลับของกฎเกณฑ์ที่อริยะแต่ละฝ่ายร่วมใจกันสร้างขึ้นมาย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้าตัวเล็กๆ อย่างเขาจะไปชี้ไม้ชี้มือใส่ได้เด็ดขาด
ทว่าชายหนุ่มก็ยังรู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไหร่
เงียบงันไปนาน สุดท้ายหลิวป้าเฉียวจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่ออกไปจากที่นี่ทุกคนก็ล้วนเป็นเหมือนขุนพลที่ข้ามแม่น้ำ” (ขุนพลข้ามแม่น้ำเป็นคำศัพท์ที่ใช้ในวงการหมากรุกของจีน เปรียบเปรยว่าหมดทางถอย)
เฉินซงเฟิงเอ่ยคล้อยตาม “บนเส้นทางการฝึกตน ใครเล่าที่ไม่ได้เป็นเช่นนี้?”
หลิวป้าเฉียวเห็นด้วยอย่างลึกซึ้งจึงพยักหน้ารับ “ก็จริง”
……
เสียงประตูห้องเปิดดังแอดเบาๆ หนึ่งที เด็กหนุ่มรองเท้าแตะสีหน้าซีดขาวเขย่งปลายเท้าเดินข้ามธรณีประตู ก่อนหมุนตัวหันไปปิดประตูไม้ลงเบาๆ
แล้วก็เลียนแบบหยางเหล่าโถวด้วยการยกเก้าอี้ไม้ตัวเล็กออกมานั่งลงบนขั้นบันได ฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลือง สีท้องฟ้ามืดสลัวดุจราตรีมืด เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆ ที่ฝนฟ้ากระหน่ำขนาดนี้ แต่เม็ดฝนที่ตกกระทบลงบนชายคากลับมีไม่มาก ผู้เฒ่านั่งอยู่ตรงนี้มานานมากแล้ว ทว่าเสื้อผ้ากลับแค่ชื้นเล็กน้อยเท่านั้น เฉินผิงอันประสานสิบนิ้วเข้าด้วยกัน มองไปยังบ่อน้ำขังขนาดเล็กในลานบ้านเงียบๆ
ผู้เฒ่าสูบยา พ่นควันกลุ่มใหญ่ลอยโขมงไปทั่วสี่ทิศ เพียงแต่ว่าควันใต้ชายคากับม่านฝนนอกชายคาต่างก็ไม่ข้องเกี่ยวซึ่งกันและกัน
ราวกับว่าท่ามกลางฟ้าดินมีเส้นกั้นที่มองไม่เห็นอยู่เส้นหนึ่ง
เหตุผลใหญ่สุดที่ผู้เฒ่าไม่รู้สึกรังเกียจเด็กคนนี้ก็เพราะว่า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร เด็กคนนี้จะไม่มีทางโวยวายไร้สาระ ไม่สร้างความรำคาญให้แก่ตน หากเป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดก็จะไม่มีทางเปิดปากเด็ดขาด
ลักษณะข้อนี้ของเด็กหนุ่มคล้ายคลึงกับหลี่เอ้อลูกศิษย์ของเขาอย่างมาก
ซึ่งเจิ้งต้าเฟิงยังห่างชั้นไกลนัก
เฉินผิงอันเอ่ยขึ้นเบาๆ “ท่านปู่หยาง ตลอดหลายปีมานี้ ขอบคุณท่านมาก”
ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “ขอบคุณข้า? หากจำไม่ผิด ข้าไม่เคยช่วยเจ้าเปล่าๆ มีครั้งไหนบ้างที่เจ้าไม่จ่ายค่าตอบแทน?”
เฉินผิงอันยกยิ้ม
ก็เหมือนในปีนั้นที่หยางเหล่าโถวรับปากว่าเมื่อตนขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรให้ร้านตระกูลหยาง จะรับซื้อไว้ในราคาต่ำ ขณะเดียวกันก็ขายตัวยาหลายอย่างในร้านให้แก่เฉินผิงอันราคาถูก มองดูเหมือนทำไปเพื่อความยุติธรรม แต่แท้จริงแล้วเฉินผิงอันรู้ดีอยู่แก่ใจว่า นี่คือการช่วยเหลือเขาอย่างแท้จริงที่สุด
แล้วยังมีกระบอกยาสูบไม้ไผ่ที่เขาทำขึ้นเองแค่กระบอกเดียวอีก มันจะมีราคาค่างวดสักเท่าไหร่กันเชียว?
และที่เฉินผิงอันยืนหยัดมาได้ตลอดระยะเวลาหลายปี ไม่พบเจอโรคภัยไข้เจ็บตลอดหัวปียันท้ายปี ส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนเป็นเพราะอาศัยวิธีการหายใจที่หยางเหล่าโถวมอบให้ในปีนั้นทั้งสิ้น
ผู้เฒ่าเงยหน้ามองท้องฟ้า กล่าวเสียดสี “คนอื่นทำทานให้เพียงเล็กน้อยก็แทบจะมองเขาเป็นดั่งพระโพธิสัตว์ไว้ขอพรให้ช่วยปัดเป่าความทุกข์ โดยเฉพาะเศษอาหารที่แคะออกมาจากร่องฟันของบุคคลยิ่งใหญ่ที่ยิ่งได้รับความซาบซึ้งใจเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ตัวเองยังซาบซึ้งใจไปกับหัวใจที่บริสุทธิ์ของตัวเอง รู้สึกว่าตนคือคนกตัญญูรู้คุณ ดังนั้นจึงเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ที่มีความรู้ของลัทธิขงจื๊อ เป็นลูกศิษย์อันเป็นที่ภาคภูมิใจของใครบางคน ยกย่องตัวเองให้เป็นนักรบที่ยอมตายได้เพื่อสหายรู้ใจ ไอ้พวกระยำลืมกำพืดตัวเอง ไม่สมควรจะคลานออกมาท้องแม่ของพวกมันเลยด้วยซ้ำ…”
เฉินผิงอันเกาหัว รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าหยางเหล่าโถวกำลังด่าตัวเองอยู่หรือไม่
หลังจากถอนสายตากลับคืนมา ผู้เฒ่าก็เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ไม่ได้พูดถึงเจ้า”
เฉินผิงอันพลันมองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่ง จึงอึ้งค้างไปเล็กน้อย
ใต้ชายคาระเบียงทางเดินวงกลมที่อยู่ตรงประตูหลังของห้องหลักมีปัญญาชนสำนักขงจื๊อวัยกลางคนเคราสองข้างเป็นสีขาวโพลนคนหนึ่งยืนอยู่ มือหนึ่งกางร่ม อีกมือหนึ่งถือม้านั่งตัวยาว หลังจากเดินผ่านประตูด้านข้างมาแล้วก็เอาม้านั่งวางไว้กลางระเบียงทางเดิน พอนั่งลงก็เอาร่มกระดาษน้ำมันวางพิงไว้ด้านข้างม้านั่ง จากนั้นวางมือสองข้างลงบนหัวเข่า นั่งตัวตรง สุดท้ายถึงมองมายังผู้เฒ่าและเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ชายคาของห้องหลักลานด้านหลัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉีจิ้งชุนแห่งสำนักศึกษาซานหยาคารวะท่านผู้เฒ่าหยาง”
รองเท้าหุ้มข้อของปัญญาชนสำนักขงจื๊อเปียกชื้นด้วยถูกน้ำฝนแทรกซึม ทั้งยังเปรอะเลอะคราบดินโคลน ชายอาภรณ์ด้านล่างก็เป็นเช่นเดียวกัน
ผู้เฒ่าใช้กระบอกยาสูบชี้ไปยังอริยะของพื้นที่แห่งนี้ด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย “วันแรกที่เจ้ามาถึง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่หลายปีที่อยู่ที่นี่กลับไม่เคยได้ยินคำบ่นจากเจ้าแม้แต่ครึ่งคำ ซึ่งนี่ก็ถือเป็นเรื่องแปลก เจ้าฉีจิ้งชุนดูไม่เหมือนคนที่เมื่อถ่มถูกน้ำลายรดหน้าแล้วจะปล่อยให้มันแห้งเอง ดังนั้นครั้งนี้การที่เจ้าสติหลุด คาดว่าข้างนอกคงตะลึงกันไปไม่น้อย แต่ข้ากลับไม่รู้สึกแปลกใจเลย”
ฉีจิ้งชุนใช้มือตบหน้าท้อง กล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “คำบ่นย่อมต้องมี มีอยู่เต็มหัวเลยล่ะ แค่ไม่เคยพูดออกมาเท่านั้น”
หยางเหล่าโถวครุ่นคิด “ข้าไม่แน่ใจในความสามารถของเจ้า แต่อาจารย์ของเจ้า แค่การที่เขากล้าพูดสี่คำนั้น สำหรับข้าแล้วก็ถือว่าเขาเป็นเช่นนี้”
กล่าวจบผู้เฒ่าก็ชูนิ้วโป้งขึ้นมา
ฉีจิ้งชุนยิ้มเฝื่อน “อันที่จริงแล้วท่านอาจารย์มีความรู้ความสามารถมากยิ่งกว่านั้น”
ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยหยัน “ข้าไม่ใช่คนที่เคยเรียนหนังสือเสียหน่อย ต่อให้ความรู้ความสามารถของอาจารย์เจ้ามีเหนือกว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ ข้าก็ไม่มีทางเอ่ยชมเขาแม้เพียงครึ่งคำ”
ฉีจิ้งชุนเอ่ยถามสีหน้าจริงจัง “ท่านผู้เฒ่าหยาง ท่านรู้สึกว่าสี่คำที่อาจารย์ของข้าพูด ถึงจะถูกต้อง?”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่า “ข้าไม่ได้รู้สึกว่ามันถูก เพียงแต่ว่าเหล่าผู้สูงศักดิ์บนโลกทุกคนในอดีตล้วนนับถือสี่คำก่อนหน้านี้ ข้าเห็นแล้วหงุดหงิดใจ ฉะนั้นพอมีคนเสนอความเห็นที่แตกต่าง ข้าจึงรู้สึกเหมือนได้ปลดแอกก็เท่านั้น บัณฑิตอย่างพวกเจ้าตีกันเอง ตกต่ำเอง โกลาหลวุ่นวายกันไปหมด ข้าล่ะดีใจนัก!”
ฉีจิ้งชุนหลุดหัวเราะอย่างเสียมาด
ขณะที่เขาเตรียมจะพูด ผู้เฒ่ากลับโบกมืออย่างเข้าใจเสียก่อน “คำพูดเกรงอกเกรงใจไม่ต้องพูด ข้าไม่ชอบฟัง พวกเราไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน เป็นมาเช่นนี้ทุกยุคทุกสมัย อย่าได้ทำผิดกฎ อีกอย่าง ตอนนี้เจ้าฉีจิ้งชุนไม่ต่างจากหนูสกปรกที่วิ่งผ่านที่ใดผู้คนก็ร้องจะตี ข้าไม่กล้าผูกมิตรสนิทสนมด้วยหรอก”
ฉีจิ้งชุนพยักหน้ารับ ครั้นจึงลุกขึ้นยืนโบกมือกล่าวทักทายเฉินผิงอัน “เพราะว่างงานไม่มีอะไรทำ ถึงได้เอาหินดีงูที่เจ้ามอบให้มาสลักเป็นตราประทับส่วนตัวสองชิ้น ชิ้นหนึ่งอักษรลี่ซู อีกชิ้นอักษรเสี่ยวจ้วน”
เฉินผิงอันวิ่งฝ่าสายฝนผ่านลานกว้างที่เหมือนกลายเป็นบ่อน้ำมาหยุดยืนอยู่หน้าฉีจิ้งชุน รับเอาถุงผ้าสีขาวใบหนึ่งมา
ฉีจิ้งชุนยิ้มบางๆ “จงเก็บรักษาไว้ให้ดี วันหน้าเมื่อเห็นภาพอักษรที่ทำให้จิตใจเลื่อมใสศรัทธา ยกตัวอย่างเช่นภาพแม่น้ำภูเขาที่ให้ความรู้สึกถึงพลังอำนาจไม่ธรรมดาก็สามารถนาบตราประทับลงไปได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างมึนงง “ขอรับ”
หยางเหล่าโถวเหลือบตามองถุงที่อยู่ในมือของเด็กหนุ่มพลางเอ่ยถาม “อักษรตัวชุนล่ะ?”
ฉีจิ้งชุนเอ่ยยิ้มๆ “สลักลงบนตราประทับอีกชิ้นหนึ่งและมอบให้เด็กคนหนึ่งของตระกูลจ้าวไปแล้ว”
ผู้เฒ่ายิ้ม “เจ้าฉีจิ้งชุนคือเด็กแดงหรือไง?” (ตัวละครจากนวนิยายคลาสสิกของจีนเรื่อง ไซอิ๋ว เป็นบุตรขององค์หญิงพัดเหล็กกับราชาปีศาจกระทิง เนื่องจากบำเพ็ญพรตมากว่าสามร้อยปี จึงมีพละกำลังวิเศษ บิดาจึงให้ไปคอยรักษาภูเขาเพลิงไว้ เด็กแดงจึงมี “เพลิงสมาธิ” ซึ่งทำให้เขาสามารถปล่อยกระแสไฟจากดวงตา รูจมูก และปาก ซึ่งเป็นไฟที่มิอาจดับด้วยน้ำได้ ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสุธนกุมาร อัครสาวกเบื้องซ้ายของพระโพธิสัตว์กวนอิม)
ฉีจิ้งชุนไม่ถือสาไม่ถือสาคำล้อเลียนของผู้เฒ่า เพียงบอกลาจากไป
เห็นเด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่กับที่เหมือนท่อนไม้ หยางเหล่าโถวก็โกรธจนกลายเป็นขำ “เอาของคนอื่นเขามาเปล่าๆ ยังคิดจะกระโดดโลดเต้นกลับไปนอนห่มผ้าเป็นสุขอยู่ที่บ้านคนเดียว? ไม่รู้จักมอบของตอบแทนท่านฉีบ้างรึ?”
เด็กหนุ่มรีบวิ่งกลับไปยังประตูหลังของห้องโถงหลัง ผู้เฒ่าด่ายิ้มๆ “พกร่มไปด้วย! สภาพร่างกายเจ้าตอนนี้ทนลมทนฝนได้หรือไง?”
เฉินผิงอันไปขอยืมร่มคันหนึ่งมาจากลูกจ้างร้านยา จนกระทั่งเดินไปทันท่านฉีจึงเดินไปบนถนนใหญ่พร้อมกัน
ผู้เฒ่ายังคงนั่งสูบยาเส้น พ่นควันลอยโขมงอยู่ใต้ชายคา
นึกถึงตราประทับสองชิ้นที่แม้ว่าจะยังอยู่ในถุง แต่หยางเหล่าโถวกลับรู้สายสนกลใน ถึงได้ถามถึงตัวอักษรคำว่า “ชุน” (春 คำเดียวกับชุน ชื่อของฉีจิ้งชุน)
พื้นที่คับแคบ แต่มีปณิธานยิ่งใหญ่
ผ่านไปไม่นานนัก เด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็กลับเข้ามาในลาน หยางเหล่าโถวจึงถามว่า “สุดท้ายพูดอะไร?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ นั่งลงบนม้านั่งตัวเล็ก “ท่านฉีพูดประโยคหนึ่งบอกว่า วิญญูชนประพฤติดีมีคุณธรรม ผู้อื่นจึงใช้วิธีมีเหตุผลมาหลอกลวง”
หยางเหล่าโถวกล่าวขุ่นเคือง “พวกตาแก่ที่อยู่ในศาลเจ้าบุ๋นสมองมีปัญหากันหมดแล้วหรือไง เห็นๆ กันอยู่ว่ามีคนพุ่งเป้าเล่นงานสำนึกศึกษาซานหยากับฉีจิ้งชุน ยังเอาแต่นิ่งดูดาย นึกจริงๆ หรือว่าตัวเองเป็นเพียงรูปปั้นดินเหนียว รูปปั้นไม้แกะสลักที่ไม่มีชีวิต?”
เฉินผิงอันได้ยินไม่ชัดจึงถาม “ท่านปู่หยาง ท่านพูดอะไรน่ะ?”
ผู้เฒ่าไม่ตอบ
ดีนัก ไม่เป็นอริยะบุคคล แต่เป็นวิญญูชน