Skip to content

Sword of Coming 63

บทที่ 63 ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

ตอนนั้นบนถนนเส้นเล็กฝนเริ่มซาลง หนิงเหยาหันไปมองเฉินผิงอันที่ลมหายใจมั่นคง สีหน้าผ่อนคลายเป็นปกติ แม้ในใจนางจะไม่ชอบหยางเหล่าโถว แต่ก็จำต้องยอมรับว่าผู้เฒ่าคนนั้นมีฝีมือล้ำเลิศอย่างแท้จริง

“หยางเหล่าโถวไม่ใช่คนที่เรียบง่ายเลย”

หนิงเหยาหยุดชะงักไปครู่ ก่อนหันหน้าไปมองร้านตระกูลหยางที่ไม่สะดุดตา ฝนเม็ดเล็กพร่างพรมให้ถนนชุ่มชื้น เค้าโครงของร้านยาหลังฝนตกที่ถูกปกคลุมด้วยไอน้ำขมุกขมัวดูอ่อนโยน เด็กสาวแก้ไขประโยคเล็กน้อยเหมือนพึมพำกับตัวเอง “หยางเหล่าโถว ไม่ธรรมดาอย่างมาก”

เฉินผิงอันฟังไม่ออกถึงความต่างระหว่างสองประโยคนี้ของนาง จึงแค่อืมรับหนึ่งทีแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ก่อนหน้านี้แค่รู้สึกว่าท่านปู่หยางเป็นคนดี ยุติธรรมมาก ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้ท่านปู่หยางเก็บซ่อนตัวไว้อย่างลึกล้ำ แม่นางหนิง เขาน่าจะถือเป็นคนหนึ่งในผู้ฝึกตนกระมัง?”

หนิงเหยาพูดประโยคหนึ่งที่เฉินผิงอันฟังไม่เข้าใจ “ค่อนข้างเหมือน แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เหมือน ทว่าสำหรับเจ้าแล้วคงไม่มีอะไรแตกต่าง”

ตอนนี้เดินมาถึงฝั่งทิศใต้ของสะพานแล้ว เฉินผิงอันที่รอดตายจากหายนะครั้งใหญ่มาได้ พอหันกลับไปมองเด็กสาวชุดเขียวอีกครั้ง สภาพจิตใจของเด็กหนุ่มก็ต่างออกไปจากเดิมเช่นกัน

เมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้าจึงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มเขินอาย พอเห็นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะเดินเคียงไหล่มากับเด็กสาวกระโปรงเขียว เด็กสาวที่มัดผมหางม้าก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เฉินผิงอันไม่กล้าปฏิบัติต่อแม่นางหร่วนซิ่วที่อยู่ตรงหน้าเหมือนเด็กสาวทั่วๆ ไปอีก แต่แน่นอนว่าภาพความทรงจำลึกล้ำที่สุดที่เด็กสาวมอบให้เขาก็ยังคงเป็นคำว่านั่งกินจนเกลี้ยงภูเขาอยู่นั่นเอง

หร่วนซิ่วเห็นหนิงเหยาที่สีหน้าเย็นชา ท่วงท่าองอาจห้าวหาญก็ไม่กล้าที่จะทักทาย

หนิงเหยาปรายตามองเด็กสาวหน้าตางามพิสุทธิ์ที่แม้รูปร่างจะเล็กอ้อนแอ้น แต่กลับอวบอิ่มสมบูรณ์ ไม่เต็มใจจะเอ่ยทักทาย

คนทั้งสามเดินลงบันไดสะพานไปด้วยกัน เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าได้ยินท่านฉีบอกว่า หลิวเสี้ยนหยางปลอดภัยแล้ว”

หร่วนซิ่วพยักหน้ารับอย่างแรง “ฟื้นมาแล้วๆ พอเถ้าแก่ร้านตระกูลหยางเห็นเข้าก็บอกว่าท่านพญายมเมตตา ยอมปล่อยตัวหลิวเสี้ยนหยางหนึ่งครั้ง เขาถึงได้เก็บชีวิตนี้กลับคืนมาได้ เถ้าแก่หยางบอกว่าขอแค่ฟื้นขึ้นมาได้ก็ปลอดภัยหายห่วงได้แล้ว ข้ากลัวว่าเจ้าจะร้อนใจเลยอยากจะเอาข่าวมาบอกให้เจ้ารู้ทันที แต่ท่านพ่อไม่ให้ข้าเดินข้ามสะพานไป…”

เด็กสาวพูดจ้อไม่หยุดคล้ายนกขมิ้นบนกิ่งไม้ที่ส่งเสียงร้องจิ๊บๆ กล่าวมาถึงท้ายที่สุดยังรู้สึกผิดเล็กน้อย

อันที่จริงมีเรื่องบางอย่างที่เด็กสาวไม่ได้เล่า หลังจากที่หลิวเสี้ยนหยางฟื้นขึ้นมา นางก็พุ่งออกจากบ้านมารอที่สะพานทันที ใจคิดแต่อยากจะแจ้งข่าวแก่เด็กหนุ่มโดยลืมไปว่าบิดาไม่อนุญาตให้นางเข้าไปในเมือง เพียงแต่ว่าตอนที่นางเพิ่งจะวิ่งมาถึงขั้นบันไดฝั่งทิศเหนือของสะพานกลับถูกบิดาที่ปรากฎตัวอย่างลึกลับของนางดึงหูลากกลับไป เด็กสาวต้องอ้อนวอนปะเหลาะอยู่เป็นนานถึงทำให้บิดารับปากยอมให้นางรอคนที่ขั้นบันไดทิศใต้ได้

นี่ไม่ใช่ความรักของสาวแรกแย้มหรือความรู้สึกลึกซึ้งเชิงชู้สาวอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดล้วนเกิดจากใจที่หวังดีอย่างแท้จริง

แน่นอนว่าก่อนจะเกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้ต้องเป็นเพราะเฉินผิงอันไม่ทำให้เด็กสาวรู้สึกรังเกียจ กลับกันยังเกิดความรู้สึกอันดี หรือจะพูดอีกอย่างก็คือนางรู้สึกยอมรับในตัวของเฉินผิงอัน

ทั้งหมดนี้มาจากการพบกันครั้งแรกบนหินหลังควายของคนทั้งสองแล้วเด็กหนุ่มยินดีลงน้ำไปจับปลาเพื่อคนอื่น ต่อให้หลังจบเรื่องบาดแผลบนมือซ้ายจะปวดแปลบจนเหงื่อแตกพลั่ก กระนั้นก็ยังไม่รู้สึกเสียใจทีหลัง ภายหลังเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่หลิวเสี้ยนหยางต้องเผชิญ เด็กหนุ่มยังยินดียืดอกเผชิญอันตรายอย่างอาจหาญ แบกรับในเรื่องที่ควรแบกรับ ตัวของเฉินผิงอันเองจึงสั่งสมผลบุญไว้ทีละนิด

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เด็กหนุ่มเฉินผิงอันยืนหยัดมาเนิ่นนาน แค่ว่าเด็กสาวหร่วนซิ่วมาพบเห็นเข้าพอดีเท่านั้น อันที่จริงสิ่งที่เฉินผิงอันพลาดไปมีมากยิ่งกว่า ยกตัวอย่างเช่นปลาหลีสีทองที่อยู่ในข้องจับปลา ปลาหนีชิวตัวที่ยกให้กู้ช่าน และยังมีงูสี่ขาตัวนั้น ใบไหวหลายใบที่เคยหลุดปลิวลงมาต่อหน้าเด็กหนุ่ม เป็นต้น โชควาสนาทั้งหมดที่พลาดไปเหล่านี้ ย่อมไม่ได้หล่นมาอยู่ในมือของเฉินผิงอันเพียงเพราะเขาเป็นคนรู้จักถนอมความโชคดีแน่นอน

เฉินผิงอัน หนิงเหยาและหร่วนซิ่วสามคนเดินลงจากบันไดมาพร้อมกัน ทั้งเด็กหนุ่มและเด็กสาวต่างก็ไม่ทันสังเกตเห็นว่าหยดน้ำหลายหยดที่อยู่ต่ำสูงไม่เท่ากันได้ไหลลงธารน้ำอย่างเงียบเชียบ

หยดน้ำเหล่านั้นบ้างก็เกาะอยู่ใต้ชายคาสะพาน บ้างก็รวมตัวกันอยู่บนราวสะพาน บ้างก็อยู่ในแอ่งน้ำที่ขังอออยู่ริมขอบทางสะพาน

ทว่าสุดท้ายพวกมันต่างก็หล่นลงไปในธารน้ำ ผสานรวมเข้ากับสายน้ำพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

เวลาเดียวกันนั้นลานด้านหลังของร้านตระกูลหยางที่สั่งสมน้ำฝนจำนวนมากจนกลายมาเป็นเหมือนบ่อน้ำน้อยๆ ก็มีริ้วคลื่นกระเพื่อมแผ่จนพอจะมองเห็นโฉมหน้าของดินโคลนขุ่นคลั่กด้านใต้ซึ่งคล้ายลานหลังบ้านของบ้านเรือนผู้คนทั่วไปบนโลกมนุษย์ได้รำไร ก่อนที่บนผิวน้ำจะมีเงาพร่าเลือนซึ่งทั่วร่างอบอวลไปด้วยกลุ่มควันยืนตระหง่าน พอจะมองเห็นได้รางๆ ว่านั่นคือหญิงชราหลังค่อมเห็นหน้าค่าตาไม่ชัดคนหนึ่ง

หยางเหล่าโถวไม่มีท่าทีแปลกใจใดๆ เพียงหยิบกระบอกยาขึ้นสูบอีกครั้งถึงถามว่า “เจ้ามองอะไรออกบ้าง?”

เงาร่างที่เหมือนพืชน้ำต้นหนึ่งซึ่งส่ายสะบัด “ตามน้ำ” อย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นังหนูนั่นจะดีจะชั่วอย่างไรก็เป็นบุตรสาวโทนของอริยะคนถัดไปของพวกเรา ฐานะของนางสูงส่งถึงเพียงนั้น เหตุใดดันมาปักใจอยู่กับเด็กหนุ่มยากจนผู้นั้น?”

หยางเหล่าโถวหลุดหัวเราะพรืด “แค่เรื่องนี้น่ะรึ?”

หญิงชราบนผิวน้ำตัวสั่นงันงก ไม่กล้าเปิดปากพูดอีก

ผู้เฒ่าจึงเอ่ยเนิบนาบ “ในเมื่อตอนนี้เจ้าเดินมาถึงก้าวนี้แล้ว มีกฎเกณฑ์บางอย่างที่ควรจะพูดกับเจ้าให้ชัดเจน หลีกเลี่ยงไม่ให้วันเจ้าหน้าตายไปโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แถมยังรู้สึกว่าตัวเองได้รับความไม่เป็นธรรม”

ดูเหมือนว่าผู้เฒ่ากำลังรวบรวมความลับสวรรค์จึงไม่รีบร้อนเปิดปากพูด

หลังฝนหยุดตก น้ำที่สั่งสมอยู่ในลานเริ่มค่อยๆ ลดระดับลง เรือนร่างของหญิงชราจึงยิ่งพร่าเลือน นางกล่าวอย่างน่าสงสารว่า “ท่านเซียนใหญ่ ข้าแค่อยากจะเห็นหลายชายของข้านานอีกหน่อย”

หยางเหล่าโถวที่ถูกขัดจังหวะความคิดเริ่มหงุดหงิด “เจ้าจะคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องของเจ้า ข้าคร้านจะสนใจ”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็เริ่มพึมพำด้วยสายตาเลื่อนลอยเล็กน้อย “ถือว่าเจ้าโชคดี หากไปตกอยู่ในมือสามลัทธิ เจ้าจะมีโอกาสได้กลับมาเกิดใหม่หรือไม่ก็ยังไม่แน่ ไฉนเลยจะมีสภาพอย่างในตอนนี้ได้ คำพูดของสำนักพุทธที่บอกว่ากำราบจิตใจที่เตลิดฟุ้งซ่าน ความคิดบังเกิดและการตั้งจิตอธิษฐานเป็นสองอย่างที่สำคัญอย่างยิ่ง สำนักขงจื๊อดีขึ้นมาหน่อย ไม่ได้สนใจอะไรที่กว้างขวางนัก แค่อบรมสั่งสอน ตักเตือนเหล่าศิษยานุศิษย์ไม่หยุดว่า ยิ่งยามอยู่คนเดียวก็ยิ่งต้องสำรวมระมัดระวังตัว ความหมายก็คืออย่าเป็นคนปากอย่างใจอย่าง ส่วนสำนักเต๋าก็ยิ่งเพิ่มระดับความสำคัญของการ ‘คิดอย่างไร’ มองจิตมารเป็นศัตรูตัวฉกาจของการฝึกตน เข้มงวดยิ่งกว่าสำนักพุทธเสียอีก ด้วยเหตุนี้พอคนหลายคนเดินแยกไปทางอื่นจึงมีพวกนอกรีตปรากฎขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เพราะสำนักเต๋าแสวงหาความสะอาดบริสุทธิ์ ให้ความสำคัญกับการตรึกตรองถามใจตัวเอง หากหาคำตอบให้กับคำถามทั้งหลายที่เหล่าบุรพาจารย์ลัทธิเต๋าทิ้งไว้ไม่ได้ จิตใจก็จะยุ่งวุ่นวายอลหม่าน…”

ผู้เฒ่าที่พ่นยาสูบควันโขมงประดุจมังกรที่อำพรางตัวอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ ส่วนหญิงชราที่เป็นผู้ฟังก็ยิ่งเหมือนจมสู่เมฆหมอกมองไม่เห็นหนทาง (เปรียบเปรยถึงความสับสน ไม่เข้าใจสถานการณ์) จะอย่างไรซะนางก็เป็นคนที่เกิดและโตขึ้นมาในฟ้าดินแห่งนี้ ซ้ำยังไม่เคยเล่าเรียนมาก่อน ย่อมไม่อาจเข้าใจหลักการความรู้ที่ลี้ลับเหล่านี้ จึงได้แต่แข็งใจท่องจำมันไว้

จู่ๆ หยางเหล่าโถวก็หัวเราะขึ้นมา “เจ้าไม่จำเป็นต้องจำเรื่องพวกนี้ เพราะพวกเราไม่สนใจมัน”

หญิงชราอึ้งงัน

หยางเหล่าโถวเอ่ยซ้ำอีกหนึ่งรอบ “พวกเราไม่สนใจว่าพวกเจ้าคิดอย่างไร สนแค่ว่าพวกเจ้าทำอย่างไรเท่านั้น”

หญิงชรากล่าวอย่างกระวนกระวาย “ท่านเซียนใหญ่ ข้าจำไว้แล้ว”

หยางเหล่าโถวกระตุกมุมปาก กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นแม่ย่าลำธารก็ต้องรับผิดชอบกิจธุระทั้งหมดในธารน้ำ ทั้งเพื่อสั่งสมบุญกุศลให้แก่ตัวเอง แล้วก็เพื่อให้ตนได้รับควันธูปจากชาวประชาที่อยู่ในพื้นที่ หากเจ้าสามารถทำให้คนตั้งศาลบรรพชน สร้างร่างทองให้แก่เจ้า มีร่างแยกร่างหนึ่งประทับอยู่ในนั้น นั่นก็ถือเป็นความสามารถของตัวเจ้าเอง หลังจากนี้ ขอแค่ทำให้ราชสำนักยอมรับเจ้า เบียดเข้าไปอยู่ในลำดับศักดิ์วงศ์ตระกูลดั้งเดิมของแคว้น ได้รับสถานะที่ทางการให้การยอมรับ หากทำไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องถูกบันทึกลงในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น ถ้าหากสุดท้ายแล้วศาลบรรพชนที่กราบไหว้เจ้าถูกมองเป็นศาลที่ผู้คนหลงงมงาย ถูกทางการออกคำสั่งให้กำจัดทิ้ง ร่างทองคำถูกโค่นล้ม ถ้าอย่างนั้นชีวิตของเจ้าก็ลำบากยิ่ง อเนจอนาถเสียยิ่งกว่าผีเร่ร่อนซะอีก”

หญิงชราปลุกความกล้าเอ่ยถาม “ท่านเซียนใหญ่ อย่างที่ท่านกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ สถานที่แห่งนี้ของพวกเรามีกฎข้อห้าม แล้วแม่ย่าลำธารตัวเล็กๆ อย่างข้า นอกจากจะพึ่งพาใบบุญของผู้อื่นมาต่อชีวิตแล้ว จะยังทำอะไรได้อีก? ศาลบรรพชน ควันธูป ลำดับศักดิ์วงศ์ตระกูลแห่งแคว้นอะไรที่ท่านเซียนใหญ่กล่าวถึง แล้วยังมีอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น…”

หยางเหล่าโถวเอ่ยว่า “นั่นมันเมื่อก่อน หลังจากนี้ก็พูดยากแล้ว ในอนาคตที่แห่งนี้จะลดระดับจากถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กกลายมาเป็นพื้นที่วิเศษแห่งหนึ่งที่ไม่มีธรณีประตู ใครก็ล้วนเข้ามาที่นี่ได้ ไม่จำเป็นต้องเก็บเงินเหรียญทองแดงสามถุงอีกต่อไป นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมฮ่องเต้ต้าหลีถึงไม่เลือกวิธีการขนาดนี้ เรื่องบางเรื่องทำเร็วหกสิบปีหรือช้าไปหกสิบปีค่อยทำ ผลลัพธ์กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”

หญิงชรากัดฟันถาม “ท่านเซียนใหญ่ ที่ท่านยินดีปกป้องข้า เป็นเพราะหลานชายคนนั้นของข้าใช่หรือไม่?”

หยางเหล่าโถวพยักหน้ารับ ไม่ได้คิดจะปิดบังเจตนาเดิมของตัวเอง

หญิงชราจึงถามอีก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านเซียนใหญ่ถึงได้ปล่อยให้สำนักการทหารของเขาเจินอู่พาหม่าขู่เสวียนของข้าไป? ทำไมถึงไม่นำเขามาอบรมปลูกฝังด้วยตัวเอง?”

ที่แท้หญิงชราที่กลายร่างมาเป็นแม่ย่าลำธารผู้นี้ก็คือแม่เฒ่าหม่าตรอกซิ่งฮวาที่ถูกคนตบตายด้วยฝ่ามือเดียว

หยางเหล่าโถวเคาะกระบอกสูบยาเบาๆ หนึ่งที เงาบนผิวน้ำที่รวบรวมขึ้นจากวิญญาณของหญิงชราก็พลันบิดเบือนไม่หยุดนิ่ง เสียงโหยหวนดังระงม

ความเจ็บปวดที่มาเยือนอย่างไม่มีลางบอกเหตุนี้เหมือนมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่จู่ๆ ได้รับความเจ็บปวดทรมานดุจหัวถูกฉีก กระดูถูกหัก อวัยวะภายในถูกกวนปั่นป่วน แล้วหญิงชราจะทนไหวได้อย่างไร?

หยางเหล่าโถวเอ่ยเสียงเฉยชา “แม้ว่าในสายตาของข้าจะไม่มีการแบ่งแยกดีเลว ไม่มีความต่างระหว่างถูกผิด ไม่ใช้สิ่งนี้มาวัดคุณธรรมและความต่ำทราม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าจะชื่นชอบการกระทำของเจ้า เมื่อก่อนไม่สะดวกจะคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า แต่วันหน้าหากอยากให้เจ้าแหลกสลายเป็นเถ้าธุลีก็อยู่ที่ความคิดเดียวของข้า จงอย่าได้คืบจะเอาศอก”

หญิงชราคุกเข่าหมอบตัวต่ำลงบนพื้นพลางร้องวิงวอน “ท่านเซียนใหญ่ ข้าไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าอีกแล้ว!”

ผู้ฝึกกระบี่ของเจ้าเจินอู่ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลถึงจะเชิญองค์เทพแซ่อินองค์นั้นลงมาได้ เมื่อเผชิญหน้ากับการซักถามอย่างไร้มารยาทจากหม่าขู่เสวียน ตอนนั้นแม้แต่ผู้ฝึกกระบี่สำนักการทหารก็ยังหวาดเกรง กังวลว่าจะนำมาซึ่งความเดือดดาลปานฟ้าพิโรธจากองค์เทพ แต่เหตุใดท้ายที่สุดแล้วองค์เทพแซ่อินถึงตอบคำถามของเด็กหนุ่มด้วยท่าทางจริงจังมีเหตุผล? ซ้ำยังถึงขั้นตอบคำถามด้วยภาษามนุษย์อย่าง “ใช่ว่าไม่ทำ แต่ทำไม่ได้” เจ็ดคำนี้?

นี่ไม่ใช่คำตอบที่เหล่าองค์เทพควรใช้เลยแม้แต่น้อย

เพียงแต่ว่าความประหลาดนี้ แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ที่ตำแหน่งสูงส่งเลิศล้ำคนนั้นก็คงยังไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ ได้แต่มองว่าองค์เทพท่านนั้นมีกฎเกณฑ์และการพิจารณาของตัวเองที่คนอื่นไม่อาจล่วงรู้ ทว่าผู้เฒ่าที่อยู่ในลานเล็กแห่งนี้กลับรู้ชัดเจนอยู่แก่ใจดี

เด็กหนุ่มคนนั้นต่างหากที่เป็นที่พักพิงของชะตาสวรรค์อย่างแท้จริง

ไม่เป็นรองจื้อกุยสาวใช้เลยแม้แต่น้อย

หวังจู หวังจู

รวมกันแล้วก็คือไข่มุก (หวัง 王 จู 朱 สองอักษรนี้เมื่อรวมกันเป็นคำว่าไข่มุกจะเขียนว่า 珠)

สำหรับมังกรที่แท้จริงตัวหนึ่ง วัตถุใดที่ล้ำค่าที่สุด?

ไข่มุก!

เหตุใดนางถึงเลือกพึ่งพาซ่งจี๋ซินองค์ชายแห่งต้าหลี?

แต่ไหนแต่ไรมาจักรพรรดิบนโลกมนุษย์มักจะชอบเรียกตนเองว่าเป็นมังกรที่แท้จริง โชคชะตาของคนผู้หนึ่งสามารถคล้องเกี่ยวเข้ากับโชคชะตาของแว่นแคว้นและราชสำนักได้ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนต่างก็ประคับประคองพึ่งพากัน นับเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง

แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องของการฝึกตน มหามรรคายาวไกล โชคชะตา พรสวรรค์ ฐานกระดูก วาสนา นิสัยใจคอ ล้วนขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว แต่สุดท้ายแล้วบนเส้นทางของการฝึกตน มีทั้งนำไปก้าวหนึ่งแล้วจึงนำไปทุกก้าว แล้วก็มีทั้งสั่งสมมากใช้ทีละน้อย รวมถึงอาวุธชิ้นใหญ่ใช้เวลานานจึงจะสำเร็จ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ตายตัวเสมอไป

คนรุ่นนี้ของเมืองเล็ก นอกจากหม่าขู่เสียนและจื้อกุยแล้ว อันที่จริงซ่งจี๋ซิน จ้าวเหยา กู้ช่าน หร่วนซิ่ว หลิวเสี้ยนหยาง และยังมีเด็กอีกหลายคนที่ต่างคนต่างมีโชคชะตาเป็นของตัวเองเหล่านั้นล้วนสามารถเรียกได้ว่าเป็นลูกรักของสวรรค์ทั้งสิ้น

ต่อให้เป็นหยางเหล่าโถวผู้มีความสามารถลึกล้ำสุดจะหยั่ง ก็ยังไม่กล้าพูดว่าความสำเร็จของใครจะต้องเหนือกว่าใคร

หยางเหล่าโถวปรายตามองน้ำที่สั่งสมอยู่ในลานกว้าง กล่าวว่า “ไปเถอะ ตอนนี้เจ้าแค่ต้องจับตามองความเคลื่อนไหวที่สะพานแบบคานก่อนชั่วคราว”

หญิงชรากล่าวอย่างขลาดกลัว “ท่านเซียนใหญ่ ตรงสะพาน โดยเฉพาะบ่อลึกแห่งนั้น แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่อาจเข้าใกล้ ทุกครั้งที่หากล้ำเส้นก็จะต้องรู้สึกเหมือนถูกทอดอยู่ในกระทะน้ำมันเดือด…”

หยางเหล่าโถวยิ้ม “ไม่ต้องเข้าใกล้ แค่จับตามองสะพานแห่งนั้นไว้ก็พอ ยกตัวอย่างเช่นวันหน้ามีวัตถุใดบินออกมาจากใต้สะพาน เจ้าก็แค่ดูให้ดีว่ามันบินไปทางไหน”

หญิงชรารับคำสั่งแล้วรีบจากไป

พริบตาเดียวบนผิวน้ำที่สะสมอยู่กลางลานก็ไม่เหลือเงาร่างล่องลอยดุจควันไฟของหญิงชราอีก

“อาจารย์ อาจารย์!”

เสียงตะโกนคลอเสียงหัวเราะดังลั่นของเจิ้งต้าเฟิงดังมาจากประตูหลังห้องโถงหลักของร้านตระกูลหยาง เขารีบร้อนมารายงานข่าวน่ายินดี

คนสองคน หนึ่งนำหน้า หนึ่งตามหลังพากันมาถึงลานด้านหลัง เจิ้งต้าเฟิงที่นำหน้าเดินเร็วราวกับบิน “ศิษย์พี่กลับมาแล้ว ข่าวดีข่าวใหญ่!”

หยางเหล่าโถวมองชายฉกรรจ์ร่างหนาบึกบึนที่อยู่ด้านหลังเจิ้งต้าเฟิง ฝ่ายหลังพยักหน้าให้น้อยๆ

ชายฉกรรจ์ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป ความสงสัยเต็มหัวใจ ทว่ากลับเหมือนน้ำท่วมปาก ไม่รู้ว่าควรจะถามจากตรงไหน

ถึงท้ายที่สุดชายฉกรรจ์ก็ได้แต่กล่าวด้วยน้ำเสียงอัดอั้น “อาจารย์ เหตุใดถึงรับหม่าขู่เสวียนเป็นลูกศิษย์ ไม่ใช่เด็กหนุ่มคนนั้น? ข้าไม่ชอบเจ้าเด็กแซ่หม่านั่น”

หยางเหล่าโถวถลึงตา “เพราะฉะนั้นเจ้าเลยตัดสินใจไปจับปลาหลีสีทองตัวนั้นแล้วเอาไปขายให้เฉินผิงอันโดยพละการ?!”

เมื่อเทียบกับเจิ้งต้าเฟิงที่ทำตัวงุ่มง่ามต่อหน้าผู้เฒ่าแล้ว ชายฉกรรจ์วัยกลางคนกลับองอาจกว่ามากนัก เขานั่งลงบนม้านั่งที่เฉินผิงอันเคยนั่งก่อนหน้านี้ “ทำไมล่ะ? ข้าพอใจ ท่านอาจารย์เองก็ชอบเจ้าเด็กนั่นมากไม่ใช่หรือ?”

หากเฉินผิงอันอยู่ด้วยจะต้องตกตะลึงอย่างหนัก เพราะชายวัยกลางคนขายปลาที่เขาเจอบนถนนในคราวนั้นก็คือคนผู้นี้

หยางเหล่าโถวโมโหจนกลายเป็นขำ “แล้วผลล่ะเป็นไง? ข้องปลากับปลาหลีสีทองตัวนั้นต่างก็ส่งถึงมือเฉินผิงอันแล้วรึ? หืม?!”

ชายฉกรรจ์เงียบเสียงอย่างไม่ใคร่จะสบอารมณ์นัก

เจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ข้างๆ รีบกระพือไฟ “ศิษย์พี่ ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิท่านหรอกนะ ช่างสิ้นเปลืองข้องราชามังกรชิ้นนั้นของท่านนัก ให้ใครไม่ให้ ดันไปให้องค์ชายน้อยของต้าสุย ศัตรูคู่แค้นของต้าหลี ระวังวันหน้าซ่งจ่างจิ้งจะมาคิดบัญชีแค้นกับท่านย้อนหลัง อีกอย่างน้ำปุ๋ยไม่ไหลหานาคนนอก (เปรียบเปรยว่าผลประโยชน์ไม่ควรมอบให้คนอื่น) เก็บไว้ให้หลานชายหลานสาวข้าก็ยังดี ทำไม ศิษย์พี่รู้สึกว่าสมบัติร้อนลวกมือนักหรือ หากทนไม่ไหวจริงๆ ยกให้ข้าก็ได้นี่นา”

หยางเหล่าโถวย้ายสายตามามองอย่างเย็นชา เจิ้งต้าเฟิงเงียบกริบดุจจักจั่นในหน้าหนาว ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่ครึ่งคำ ได้แต่ยกมือทั้งสองขึ้น นั่งลงบนขั้นบันไดเงียบๆ แต่โดยดี

ผู้เฒ่าเอ่ยว่า “พาฝูหนันหัวไปนครมังกรเฒ่าด้วย”

สีหน้าเจิ้งต้าเฟิงเต็มไปด้วยความตกตะลึง หันหน้ากลับมามอง แต่ก็เห็นเพียงใบหน้าเหี่ยวย่นไร้อารมณ์ของผู้เฒ่า

ชายฉกรรจ์หนุ่มโสดที่เป็นคนเฝ้าประตูเมืองค่อยๆ ถอนสายตากลับคืนมา ตบหัวเข่า ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน เดินลงบันไดไปทางประตูหลังของร้านยาโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ด้านหลังมีเสียงแหบพร่าเปี่ยมบารมีของผู้เฒ่าดังลอยมา “จำไว้ว่า ต่อให้ตายก็ห้ามเปิดเผยตัวตนเด็ดขาด!”

รอยยิ้มของเจิ้งต้าเฟิงยิ่งขมขื่น ไม่ได้หันหน้ากลับไป เพียงพยักหน้ารับ เพิ่มความเร็วฝีเท้ามากขึ้น

พอเดินไปถึงระเบียงตรงประตูหลังของห้องโถงหลัก ชายฉกรรจ์คนนี้จึงหันตัวกลับมา คุกเข่าโขกศีรษะคำนับสามครั้ง กล่าวเสียงหนัก “อาจารย์โปรดรักษาตัวด้วย”

ตั้งแต่ต้นจนจบ ชายชราไม่เอ่ยอะไรสักคำ

เจิ้งต้าเฟิงไปจากร้านตระกูลหยางด้วยความหม่นหมอง

หลี่เอ้อชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่บนม้านั่งรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเจิ้งต้าเฟิงศิษย์น้องร่วมสำนักของตัวเองอยู่บ้าง “อาจารย์ กับศิษย์น้อง ท่านเองก็…”

ชายชราเอ่ยยิ้มๆ “ทำตัวห่างเหินเกินไป?”

ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “แม้ว่าศิษย์น้องจะไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่ก็ดีต่อท่านอาจารย์จากใจจริง บอกตามตรงว่าข้อนี้ข้าเทียบเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

สำหรับเรื่องนี้ผู้เฒ่าไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ “จะอย่างไรซะก็เป็นแค่จอกแหนไร้ราก เทียบกับต้นหญ้าข้างทางก็ยังไม่ได้ ตายที่ไหนก็ตายเหมือนกัน”

ชายฉกรรจ์ถอนหายใจ “ศิษย์น้องไปจากเมืองคราวนี้ย่อมต้องไปอย่างไม่สบายใจมากแน่ๆ”

“โดยทั่วไปแล้วหากต้องการให้การสืบทอดยืนยาวอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องมีลูกศิษย์สามคน คนหนึ่ง ‘สามารถใช้ประโยชน์ได้มาก’ สามารถสร้างความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนัก เมื่ออาจารย์ตายไป จะเป็นเสาหลักให้แก่สำนัก รักษาสถานการณ์ให้มั่นคง เป็นทั้งหน้าตาและเป็นทั้งที่พึ่งทางใจ คนหนึ่งสามารถ ‘สืบทอดควันธูป’ มองดูแล้วเหมือนว่าไม่มีความสามารถเท่าคนแรก แต่ชนะตรงความแข็งแกร่งทนทาน เมื่อฟ้าถล่มลงมา ต่อให้ลูกศิษย์ที่มีประโยชน์มากคนนั้นจะตายไปแล้ว แต่ลูกศิษย์คนนี้จะสามารถรับรองได้ว่าควันธูปในสำนักจะถูกจุดไม่ขาดสาย ในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ ประโยชน์ของเขาอาจไม่ชัดเจนนัก แต่ยามใดที่สำนักเสื่อมถอยตกอยู่ในอันตราย กลับสำคัญอย่างมาก คนสุดท้ายจำเป็นต้องเป็นคนที่ ‘น่าสนใจ’ พรสวรรค์ดี ฐานกระดูกดี ไม่ว่าอะไรก็ดีไปหมด น่าสนใจอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าไม่จำเป็นต้องซาบซึ้งในบุญคุณของอาจารย์และสำนัก ผู้ที่เป็นอาจารย์จะไม่เคร่งครัดกฎระเบียบกับลูกศิษย์ประเภทนี้ สุภาษิตที่บอกไว้ว่าสอนลูกศิษย์ให้เก่งกาจจนอาจารย์หิวตาย ลูกศิษย์คนสุดท้ายก็คือคนประเภทนี้”

ชายฉกรรจ์ถามอย่างใคร่รู้ “ข้า ศิษย์น้องและหม่าขู่เสวียน ใครเป็นลูกศิษย์แบบไหนบ้าง?”

หยางเหล่าโถวกล่าวยิ้มๆ “ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ ใครบอกว่าข้ามีแค่พวกเจ้าสามคนเป็นลูกศิษย์?”

ชายฉกรรจ์อึ้งตะลึง รอยยิ้มพิพักพิพ่วนเล็กน้อย “ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท”

หยางเหล่าโถวถามด้วยรอยยิ้ม “ซ่งจ่างจิ้งผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

ชายฉกรรจ์ใคร่ครวญอย่างจริงจังอยู่พักใหญ่ ผลสุดท้ายกลับหลุดปากมาแค่สองคำ “ไม่เลว”

หยางเหล่าโถวสูบยาสูบ พ่นควันดุจกลุ่มเมฆ จุ๊ปากด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ร้ายกาจมาก”

ชายฉกรรจ์กล่าว “ซ่งจ่างจิ้งรับปากว่า…”

ไม่รอให้ลูกศิษย์กล่าวจบ หยางเหล่าโถวกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ฟ้าดินเงียบสงัด

ชายฉกรรจ์เอ่ยยิ้มๆ “อาจารย์ เรื่องที่พวกเราทำตลอดหลายปีมานี้ไม่นับว่าเป็นการปิดบัง แล้วจะยังสนใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม?”

หยางเหล่าโถวเอ่ยเนิบช้า “แม้แต่การแสร้งทำให้ดูยังไม่ยอมทำ เจ้าคิดจะก่อกบฏหรือไร?”

ชายฉกรรจ์ย้อนถาม “มีอะไรแตกต่างงั้นหรือ?”

หยางเหล่าโถวเงยหน้ามองท้องฟ้า เส้นสายตาลอดผ่านฟ้าดินสามชั้น ผู้เฒ่าเงียบงันไม่ตอบคำถาม

อารมณ์ของชายฉกรรจ์หนักอึ้ง เอ่ยถาม “อาจารย์ เจ้าลูกหมาสองคนบ้านข้าต้องไปอยู่ที่สำนักศึกษาซานหยาจริงๆ หรือ?”

หยางเหล่าโถวพยักหน้า “ในเมื่อฉีจิ้งชุนยอมเอาสิ่งนี้มาเป็นข้อแลกเปลี่ยน ทำไมจะไม่ไปเล่า? เรื่องดีขนาดนี้ พูดว่าร้อยปียากจะพานพบสักครั้งก็ยังไม่เกินจริงแม้แต่น้อย”

ชายฉกรรจ์ถาม “ทำไมฉีจิ้งชุนถึงไม่ยกให้เฉินผิงอันทั้งหมดรวดเดียว?”

หยางเหล่าโถวยิ้ม “เจ้าคิดว่านั่นเป็นการช่วยเฉินผิงอันรึ? เพราะรังเกียจว่าเด็กนั่นยังตายไม่เร็วพอเสียมากกว่า เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากตอนนั้นเจ้ามอบข้องราชามังกรและปลาหลีสีทองให้เฉินผิงอันได้สำเร็จ ไม่เกินสามวัน เฉินผิงอันต้องตายอยู่มุมใดมุมหนึ่งของเมืองแน่ๆ?”

ชายฉกรรจ์สงสัย “ก่อนที่เฉินผิงอันจะหกขวบก็ถูกบิดาของเขาทุบเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตจนแตก จึงไม่มีพันธนาการ แม้จะบอกว่าทำให้เด็กคนนี้ไม่อาจรั้งโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่อะไรไว้ได้ แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ขณะเดียวกันยังถือว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ เขาเหมือนตะเกียงดวงหนึ่งในห้องที่มืดมิด จึงมีเรื่องราวมากมายเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟเกิดขึ้นกับเขา ระหว่างนี้หากเด็กที่น่าสงสารคนนั้นคว้าสิ่งของอะไรสักอย่างไว้ในมือได้ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องปกติหรอกหรือ?”

หยางเหล่าโถวอธิบาย “ขอแค่อยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้ เฉินผิงอันจะไม่มีทางโชคดีได้เลย โชควาสนาที่ยิ่งใหญ่เกินไป เด็กนั่นรับไว้ไม่ไหว รั้งไว้ไม่อยู่ คือชีวิตต่ำต้อยที่สองมือว่างเปล่า เขามีชีวิตรอดมาได้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว หากเปลี่ยนมาเป็นพวกลูกรักของสวรรค์ทั้งหลายพวกนั้น ใครบ้างที่ไม่ตายไปเสียเจ็ดแปดรอบ”

ชายฉกรรจ์ยิ้มกว้าง “ดังนั้นนี่ก็คือสาเหตุที่ท่านอาจารย์ยอมช่วยเหลือเขาสักครั้ง สิ่งที่ท่านอาจารย์สามารถมอบให้ได้ คือสิ่งเดียวที่เฉินผิงอันพอจะรับไว้ได้พอดี”

หยางเหล่าโถวลังเลอยู่ชั่วครู่ พ่นควันเข้มข้นออกมาหนึ่งคำ “งั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า โชควาสนาที่เจ้าพยายามจะมอบให้เฉินผิงอันเกือบจะทำให้เขาต้องตาย องค์ชายต้าสุยกับขันที หนิงเหยา นักฆ่าที่เป็นนักโทษประหาร นักพรตประหลาดคนนั้น…เฉินผิงอันเกือบจะตายอยู่บนเส้นด้ายเส้นนี้”

ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้ว

หยางเหล่าโถวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อริยะในอดีตที่รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินแห่งนี้ เรื่องแรกที่ทำหลังจากรับหน้าที่มักจะเป็นการตรวจสอบวัตถุสยบความชั่วร้ายสี่ชิ้นที่บุรพาจารย์ทิ้งไว้ให้ เรื่องที่สองก็คือมาทักทายข้าที่นี่ แต่ต่อให้จะเป็นอริยะพวกนี้ คนส่วนใหญ่ก็แค่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ไม่รู้สาเหตุว่าคืออะไร และยังมีคนอีกสองประเภทที่จะไม่มีทางมาหาข้า สถานการณ์แรก ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงยุคแรกเริ่ม ช่วงเวลานั้นสำนักพุทธของแจกันสมบัติทวีปบูรพาเจริญรุ่งโรจน์ หลวงจีนหัวล้านยังมีอยู่มาก คนกลุ่มนี้ไม่กล้ามา เพราะกลัวเวรกรรม อีกสถานการณ์หนึ่งก็คือคนอย่างฉีจิ้งชุนที่เบื้องบนจงใจไม่บอกความจริงแก่เขา ปรารถนาจะให้ฉีจิ้งชุนเกิดความขัดแย้งต่อข้าและลงไม้ลงมือต่อกัน การที่ฉีจิ้งชุนมาหาข้าในวันนี้ เป็นเพราะเขาสามารถตรึกตรองได้ด้วยตัวเอง หรือไม่ก็…”

สีหน้าของผู้เฒ่าเคร่งเครียด “สถานการณ์เช่นนี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก แต่ผลลัพธ์กลับรุนแรงมากจนไม่อาจจินตนาการได้ถึง ข้าหวังว่าจะไม่ใช่ แล้วก็…ไม่ควรใช่”

ท่ามกลางฟ้าดินขนาดเล็กมีถ้ำสวรรค์อันเป็นเอกลักษณ์แห่งหนึ่งซ่อนอยู่

ฉีจิ้งชุนคือผู้บัญชาการณ์สถานที่แห่งนี้ ส่วนหยางเหล่าโถวกลับเหมือนเมืองชายแดนที่ตั้งตนเป็นอิสระ อีกทั้งยังไม่มีวี่แววว่าจะพึ่งพิงคนอื่น

หยางเหล่าโถวทอดถอนใจ “อริยะสำนักขงจื๊อท่านหนึ่งก่อนหน้าอาจารย์ของฉีจิ้งชุนเคยกล่าวว่า ‘อริยะทุ่มเทสุดความสามารถ ใช้กฎเกณฑ์เป็นบรรทัดฐาน นึกว่าเที่ยงธรรมถูกต้อง’ ความหมายคืออะไร พูดง่ายๆ ก็คือชาวบ้านอย่างพวกเจ้าต้องซาบซึ้งในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของปรมาจารย์มหาปราชญ์ เพราะเขาผู้อาวุโสต้องทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดที่มีถึงจะก่อตั้งกรอบของกฎเกณฑ์พวกนี้ได้ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เดินอยู่ในกรอบที่วางไว้ ไม่ต้องเผชิญกับหายนะภัยพิบัติ ชีวิตหน้าถึงจะมีโอกาสได้กลับมาเกิดเป็นคนใหม่อีกครั้ง”

ชายฉกรรจ์เกาหัว “อาจารย์ท่านพูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม ข้าไม่เข้าใจหรอก เจิ้งต้าเฟิงต่างหากถึงจะคุยกับท่านรู้เรื่อง”

หยางเหล่าโถวเอ่ยยิ้มๆ “หากเจ้าหลี่เอ้อคุยรู้เรื่อง ข้าคงไม่มีทางพูดเรื่องนี้ คนหนึ่งพูด คนหนึ่งฟัง คนหนึ่งถาม คนหนึ่งตอบ พอเหมาะพอดี”

หยางเหล่าโถวลุกขึ้นยืน ทอดสายตามองไปไกล “หากมีวันหนึ่งเด็กคนนั้นสามารถมีชีวิตรอดเดินออกไปจากเมือง ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกภายนอกสักหลายสิบปี เขาต้องตกตะลึงมากแน่ๆ ว่า ที่แท้เมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิดของตัวเองกลับใหญ่โตถึงเพียงนี้”

อาจารย์ลุกขึ้นยืนแล้ว ชายฉกรรจ์จึงได้แต่ลุกตาม แม้เขาจะประจบเอาใจใครไม่เป็น แต่กฎระเบียบที่สมควรรู้ก็ยังรู้

หยางเหล่าโถวกล่าวว่า “เจ้าก็อย่าอยู่ที่นี่ต่อเลย พาเมียปากร้ายของเจ้าคนนั้นไปยังสถานที่หนึ่ง อยู่ในแจกันสมบัติทวีปบูรพา เจ้าไม่มีหวังจะฝ่าทะลุขอบเขตไปได้ชั่วชีวิต ซ่งจ่างจิ้งเป็นคนใจคอคับแคบ วันหน้าถูกขอบเขตของเขาข่มกำราบได้เมื่อไหร่ เจ้าอาจไม่รังเกียจ แต่ข้าที่เป็นอาจารย์กลับรู้สึกสะอิดสะเอียน ใช่แล้ว หากเจ้าอาลัยอาวรณ์บุตรชายบุตรสาวของตัวเองจริงๆ สามารถพาไปได้คนหนึ่ง อย่างมากก็แค่แบ่งเอาส่วนที่ฉีจิ้งชุนมอบให้น้อยลงส่วนหนึ่งเท่านั้น”

ชายฉกรรจ์ถาม “อาจารย์ หากเมียข้ายืนยันจะให้พาลูกทั้งสองไปด้วยกันให้ได้ ข้าควรจะทำอย่างไร?”

หยางเหล่าโถวกล่าวอย่างเดือดดาล “บ้านเจ้าใครใหญ่กันแน่?!”

ชายฉกรรจ์กล่าวด้วยสีหน้าสมเหตุสมผล “ก็นางไงล่ะ!”

ผู้เฒ่าสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง รีบโบกมือไล่คน “ไปๆๆ ไสหัวไปทั้งสี่คนนั่นแหละ อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ!”

ชายฉกรรจ์เดินลงขั้นบันได พลันหันหน้ามาถาม “แล้วอาจารย์ล่ะ?”

ผู้เฒ่านั่งกลับไปบนม้านั่ง ยื่นมือคลำหายาเส้นในกระเป๋าเสื้อ พบว่าข้างในว่างเปล่า พอหดมือกลับมาแล้วถึงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ยังจะทำอะไรได้ ได้แค่รอตายเท่านั้น”

ชายฉกรรจ์เดินอยู่ใต้ชายคา จู่ๆ ก็หันหน้ากลับมาพูดยิ้มๆ “ข้ารู้สึกว่าหม่าขู่เสวียนเอาของสิ่งนั้นไปไม่ได้”

ผู้เฒ่าสีหน้ามืดคล้ำ เอ่ยเย้ยตัวเอง “หากเขาเอาไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าใครก็คงเอาไปไม่ได้แล้ว”

……

สี่แซ่สิบตระกูลของเมืองเล็กพลันได้รับข่าว ภายในสามวัน คนต่างถิ่นทั้งหมดจำเป็นต้องถอยออกไปนอกเมือง ถ้ำสวรรค์หลีจูแค่อนุญาตให้ออก ไม่อนุญาตให้เข้าชั่วคราว

แม้ความไม่พอใจจะท่วมทะยานฟ้า แต่สุดท้ายกลับไม่มีใครออกมาตั้งคำถามกับเรื่องนี้แม้แต่คนเดียว

ทางฝั่งของกลุ่มบูรพา บุรพาจารย์ตระกูลหลี่ออกหน้าแอบพิทักษ์คุณหนูของเขาตะวันเที่ยงออกไปส่งด้วยตัวเอง

วันที่สองจุดที่ห่างไปไกลอย่างถึงที่สุดทางทิศตะวันตกมีเสียงครืนครั่นดังมาเป็นระลอก ราวกับวัวดินพลิกตัว สะเทือนเลือนลั่นไปทั้งปฐพี

ที่แท้วานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงตัวนั้นได้ดึงภูเขายักษ์ลูกหนึ่งออกมาจริงๆ

วานรเฒ่าที่เผยร่างจริงใหญ่พันจั้งกำลังจะแบกภูเขาลูกนั้นขึ้นหลัง

ทว่าไหล่ของวานรเฒ่ากลับเอียงลาดกะทันหันคล้ายว่ามีวัตถุหนักอึ้งบางอย่างกดทับลงบนไหล่ วานรเฒ่าจึงเงยหน้าหรี่ตามองไป

บนยอดเขาที่อยู่เหนือไหล่ของเขามีเงาร่างเล็กจ้อยดุจ “เมล็ดข้าวสาร” ยืนอยู่

ฉีจิ้งชุน

วานรเฒ่าหัวเราะลั่น “ฉีจิ้งชุน! อย่าได้ขี้เหนียวจนพลาดเรื่องใหญ่!”

ฉีจิ้งชุนกล่าวเสียงหนัก “นำเขาพีอวิ๋นลูกนี้กลับไปวางที่เดิมซะ”

วานรเฒ่ายกไหล่ขึ้นสูง ตวาดอย่างเดือดดาลหนึ่งเสียง ก่อนจะกล่าวน้ำเสียงจองหอง “ถ้าข้าไม่วางกลับไป เจ้าจะทำไม?!”

นาทีถัดมา มือทั้งสองข้างของวานรย้ายภูเขาพลันหลุดออกจากฐานของภูเขาลูกนั้น ร่างลื่นไถลไปด้านข้าง เรือนกายใหญ่ยักษ์กดทับต้นไม้นับไม่ถ้วนในบริเวณใกล้เคียงล้มระเนระนาด

นาทีต่อมา วานรยักษ์พันจั้งก็ถูกคนผู้หนึ่งกระทืบจมลงไปในพื้นดิน

คนผู้นั้นต่างหากที่ค้ำฟ้าค้ำดินอย่างแท้จริง เมื่อเปรียบเทียบกับเขาแล้ว วานรย้ายภูเขาก็เหมือนกลายมาเป็นมดที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของคนอื่น

อีกฝ่าเท้าหนึ่งกระทืบใส่วานรเฒ่าที่พยายามจะดิ้นรนลุกขึ้นยืนให้จมลึกลงไปอีกครั้ง

แล้วก็กระทืบอีกครั้ง

วานรเฒ่าพันจั้งนอนพังพาบอ่อนเปลี้ยอยู่กลางหลุมใหญ่ ทั้งร่างโชกไปด้วยเลือด หายใจรวยริน

คนผู้นั้นค้อมตัวลง คล้ายใช้ศีรษะที่ค้ำแผ่นฟ้าก้มลงเหยียดมองวานรย้ายภูเขา เอ่ยเย้ยหยัน “หากเป็นข้าเมื่อหกสิบปีก่อน เรื่องแรกที่จะทำหลังจากออกไป ก็คือเหยียบเขาตะวันเที่ยงให้ราบเป็นหน้ากลอง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!