บทที่ 92 หีบไม้ไผ่เล็ก
น้ำลึกไร้เสียง ฝนตกหนักมักจะสั้น
หลังจากที่เฉินผิงอันและอาเหลียงกลับมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ได้ไม่นานเท่าไหร่ ฝนตกหนักครั้งนี้ก็กลายมาเป็นฝนปรอยๆ เม็ดฝนหล่นลงมาจากยอดไม้ด้านบนอย่างต่อเนื่อง ตอนที่เฉินผิงอันกลับมาถึงใต้ต้นไม้ ใบหน้าของแม่นางน้อยชุดแดงเต็มไปด้วยความกังวล เฉินผิงอันยิ้มสดใส ลูบคลำศีรษะเล็กๆ ของนางพลางพูดเบาๆ ว่าไม่มีอะไร สีหน้าของแม่นางน้อยจึงพลันสว่างเจิดจ้า ประหนึ่งสายรุ้งหลังฝนตกที่ทำให้คนแปลกใจ สะอาดบริสุทธิ์จนคนใจสั่น บัดนี้เฉินผิงอันพลันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากอยางไร คำพูดมากมายอัดแน่นอยู่ในใจ ทว่ากลับได้แต่ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูไปเงียบๆ
พออาเหลียงเห็นภาพเหตุการณ์นีก็ยิ้มอย่างเข้าใจ ทว่าเพียงไม่นานประโยคหนึ่งของหลี่ไหวก็ทำลายอารมณ์ที่ไม่เลวของอาเหลียงไปจนหมด นี่ๆ อาเหลียง ได้ยินเฉินผิงอันบอกว่าเจ้าขึ้นเขาไปอึ เพราะทำแบบนั้นไม่ต้องเช็ดก้นก็ได้ อาเหลียงถามพร้อมหัวเราะร่า เฉินผิงอันเป็นคนพูดจริงๆ หรือ? หลี่ไหวปรายตามองไปยังเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ไม่ไกล คงเป็นเพราะกลัวว่าอาเหลียงจะไปถามเอาจากเฉินผิงอัน จึงหัวเราะเหอๆ เลียนแบบน้ำเสียงของอาเหลียง บอกว่าแม้เฉินผิงอันจะไม่ได้พูดออกมา แต่ข้ารู้สึกว่าเขาต้องคิดอย่างนี้แน่นอน แน่นอนว่าข้าคิดว่าเจ้าอาเหลียงไม่ใช่คนแบบนั้น ข้ายังไปอธิบายกับพี่จูลู่มาโดยเฉพาะด้วย ตบอกรับรองว่าเจ้าอาเหลียงไม่ใช่คนแบบนั้น อาเหลียงดึงหูหลี่ไหวเบาๆ ก้มหน้าถามยิ้มๆ อ้อ? หลี่ไหวพูดด้วบน้ำเสียงจงเกลียดจงชัง อาเหลียง ต้องโทษเฉินผิงอันนั่นแหละ เขามันชั่วร้ายจริงๆ จะให้ข้าไปด่าเขาแทนเจ้าไหม? อาเหลียงบิดหูเจ้าเต่าน้อยตัวนี้อย่างแรง คิดว่าข้าอาเหลียงหลอกได้ง่ายนักหรือ? หลี่ไหวแผดเสียงร้อง น่าเสียดายที่ไม่มีใครสนใจเขา หลี่ไหวจึงรีบพลิกลิ้นทันที อาเหลียง อาเหลียง ข้ามีพี่สาวคนหนึ่งชื่อหลี่หลิ่ว ชื่ออาจจะฟังน่าเกลียดไปสักหน่อย แต่คนกลับสวยนักล่ะ เรื่องนี้ไม่หลอกเจ้าแน่ เจ้าบ้ากามสองคนอย่างหลินโส่วอีและต่งสุ่ยจริงต่างก็ชอบแอบมองพี่สาวข้า ต่งสุ่ยจิ่งชอบหาเรื่องไปขอข้าวกินที่บ้านข้า ทุกครั้งที่พบพี่สาวข้า ก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แถมยังหน้าแดง น่ารังเกียจจริงๆ อาเหลียง ข้ารู้สึกว่าเจ้าดีกว่าต่งสุ่ยจิงเยอะเลย คนก็หล่อนิสัยก็ดี ขี่ลาเก่ง ดื่มเหล้าแก่ง วันหน้าเมื่อเจอกับพี่สาวข้า จะให้ข้าแนะนำให้ไหม?
อาเหลียงรีบปล่อยหูหลี่ไหว มือทั้งสองวางบนไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ แล้วกดลงหนึ่งครั้ง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า พวกเรามาค่อยๆ นั่งคุยกันไป
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพ่อลูกจูเหอจูลู่ ถามว่า “ท่านอาจูเหอ มาคุยกันหน่อยได้ไหม?”
ชายฉกรรจ์ยิ้มกว้าง “รอประโยคนี้ของเจ้ามานานมากแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราเดินเล่นกัน จะอย่างไรซะฝนก็ซาเม็ดลงมากแล้ว”
คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันออกจากต้นไม้ใหญ่ไม่ทราบชื่อที่มีร่มใบดกหนาดุจเทือกเขา ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยปากถาม จูเหอก็รายงานก่อนแล้ว “เฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้ในเมืองเล็กเกิดเรื่องประหลาดขึ้นมากมาย ในเมื่อเจ้าสามารถมีชีวิตรอดมาจากเงื้อมมือของวานรย้ายขุนเขาแห่งเขาตะวันเที่ยงได้ ทั้งยังผูกมิตรเป็นสหายกับเด็กสาวจากต่างถิ่นคนนั้น เกรงว่าเจ้าเองก็คงรู้ในหลายๆ เรื่องแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่ปิดบังอะไรอีก เพราะอย่างไรซะความปลอดภัยของคุณหนูก็สำคัญที่สุด พวกเราพ่อลูกต่างก็เกิดมาในตระกูลหลี่ เป็นบ่าวข้ารับใช้สืบทอดกันมา ขอข้าวจากตระกูลหลี่ที่เป็นเจ้านายกินมาหลายยุคหลายสมัย ฟังดูแล้วอาจน่าสงสาร แต่อันที่จริงกลับไม่ได้น่าสังเวชอย่างที่เจ้าคิด นับจากท่านบรรพบุรุษที่ตั้งต้นปีจนถึงท้ายปีได้เห็นหน้าอยู่แค่ไม่กี่ครั้ง มาถึงเจ้าประมุข จนถึงคุณหนูเป่าผิงของพวกเราท่านนี้ ไม่มีใครมองพวกเราพ่อลูกเป็นคนชั้นล่าง โดยเฉพาะคุณหนูกับบุตรสาวของข้าที่สนิทสนมกันไม่ต่างจากพี่สาวน้องสาวในตระกูลคนธรรมดา”
ตอนที่พูดมาถึงตรงนี้ ชายวัยกลางคนหันหน้ากลับไปมองบุตรสาวกำลังทอดสายตามองไปยังทิศไกลอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ นางยังมีรูปร่างเป็นสาวน้อย ยังไม่เติบโตเต็มวัย คาดว่าผ่านไปอีกสักหนึ่งปีคงจะกลายมาเป็นแม่นางคนหนึ่งอย่างแท้จริงแล้ว เขารู้สึกว่าบุตรสาวของตนไม่ด้อยกว่าคุณหนูตระกูลใหญ่คนใดในเมืองหลวงต้าหลี เขาภาคภูมิใจกับเรื่องนี้มาโดยตลอด เชื่อมั่นว่าวันหน้าจูลู่บุตรสาวของตนจะต้องเปล่งประกายเจิดจรัสอยู่ในต้าหลีอย่างแน่นอน
ต้องรู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาต้าหลีให้ความเคารพนับถือในสตรีมาโดยตลอด ไม่ห้ามให้สตรีเข้าร่วมกองทัพบุกสังหารศัตรูอย่างห้าวหาญในสนามรบ ฮ่องเต้องค์ก่อนของต้าหลียังถึงขั้นเคยออกคำสั่งให้กรมพิธีการเป็นของชาวบู๊และนักพรตที่เป็นสตรี ตั้งสมญานามให้แก่ผู้สร้างคุณูปการทางฝ่ายบู๊ขึ้นมาให้โดยเฉพาะ ทว่าผู้บุกเบิกทวีปแห่งหนึ่งเคยถูกปัญญาชนฝ่ายบุ๋นผู้นำของสำนักศึกษากวานหูปราบปรามอย่างราบคาบ ก่อให้เกิดสงครามวุ่นวายครั้งใหญ่ หัวหอกชี้ตรงเข้าใส่ราชสำนักต้าหลีชาวป่าเถื่อนทิศเหนือ หากไม่เป็นเพราะฉีจิ้งชุนเจ้าสำนักศึกษาซานหยาเป็นผู้ขจัดความเห็นที่แตกต่างทั้งหลายไป ฮ่องเต้ที่ปีนั้นยังหนุ่มก็อาจจะถูกคำวิพากษ์วิจารณ์ในราชสำนักบีบให้ต้องเก็บพระราชโองการกลับไปเพราะเหตุนี้
จูเหอเอ่ยยิ้มๆ “ปีนั้นเมื่อค้นพบว่าข้ามีพรสวรรค์และฐานกระดูกในการฝึกวรยุทธ์ ตระกูลหลี่ก็ยอมทุ่มเงินมหาศาลเพื่อปลูกฝังข้าจูเหอโดยไม่ต้องคิดให้มากความ ข้าถึงได้มีวิชาความรู้ติดตัวอย่างในตอนนี้ จูลู่ลูกสาวข้าก็พอๆ กัน หากไม่เป็นเพราะตัวนางเองไม่เอาถ่าน ทุกอย่างที่ทำมาเสียเปล่าในขอบเขตที่สองของวิถีการต่อสู้ วันหน้าความสำเร็จของนางก็มีแต่จะสูงกว่าไม่มีต่ำกว่าบิดาอย่างข้า หลังจากที่ท่านบรรพบุรุษค้นพบว่าจูลู่คือต้นกล้าที่ดีในการฝึกวรยุทธ์จึงพูดกับข้าด้วยตัวเองว่า จูลู่มีหวังที่จะเดินไปถึงขอบเขตที่เจ็ดของชาวบู๊ในตำนาน แต่ข้าจูเหอกลับพอจะไปถึงขอบเขตที่ห้าได้เท่านั้น”
พูดมาถึงตรงนี้ อารมณ์ของจูเหอก็ห่อเหี่ยวเล็กน้อย การเลื่อนขอบเขตของชาวบู๊ หากไม่มีการเข่นฆ่าประหัตประหารกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ไม่มีการขัดเกลาที่เป็นเพียงเส้นบางๆ แบ่งกั้นขวางความเป็นและความตาย อาศัยเพียงแค่พรสวรรค์ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีทางเดินได้ไกล อีกทั้งหากพลาดโอกาสอันดีก็จะไม่สามารถไต่ทะยานขึ้นสู่ด้านบนได้ในรวดเดียว ยิ่งนานก็จะยิ่งลดทอนปณิธาน แล้วจึงเสื่อมถอยลง ก่อนจะสิ้นสภาพ หนทางในการเดินสู่ยอดสูงสุดถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิงในที่สุด
จูเหอข่มกลั้นความหม่นหมองในใจลงไปแล้วพูดต่อว่า “ครั้งนี้พวกเรารับผิดชอบคุ้มครองคุณหนูเดินทางไปจากต้าหลี หนึ่งก็เพราะพวกเราอยู่ใกล้ที่สุด ฝีมือถือว่าพอใช้ อีกทั้งยังเป็นคนที่เกิดมาในตระกูลหลี่ ไม่กล้าพูดว่าความสามารถสูงเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยคือมีใจที่ภักดี สองคือคุณหนูเพิ่งเดินทางออกจากบ้านไปไกลเป็นครั้งแรก จำเป็นต้องมีคนคอยดูแลเรื่องอาหารการกินและที่อยู่อาศัยอย่างเอาในใจ จูลู่ก็คือตัวเลือกที่เหมาะสม ส่วนข้อที่สาม คุณหนูของข้าคือหลานที่ท่านบรรพบุรุษรักและเอ็นดูมากที่สุด อันที่จริงเดิมทีครั้งนี้คนที่คุ้มครองคุณหนูเดินทางไกลอย่างแท้จริง ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นตัวของท่านบรรพบุรุษเอง เพียงแต่ว่าหลังจากที่อาเหลียง ผู้ร่วมสำนักศาลลมหิมะของอาจารย์หร่วนปรากฏตัว ท่านบรรพบุรุษจึงย้อนกลับเข้าไปในเมืองเล็ก เพราะว่าตอนนี้เมืองเล็กไม่มีตราผนึกแล้ว สามารถรับปราณวิญญาณฟ้าดินไปได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องใด เท่ากับว่ามันคือสถานที่ยอดเยี่ยมในการฝึกตน ท่านบรรพบุรุษใกล้จะฝ่าทะลุขอบเขตเต็มที โอกาสนี้หากพลาดไปแล้วจะไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก จะอย่างไรซะก็มีอาเหลียงรับผิดชอบเป็นองค์รักษ์ประจำกายอยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นอีก”
จูเหอครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนอธิบายว่า “สายตาของท่านบรรพบุรุษพวกเราเฉียบคม อีกทั้งยังมีจิตใจที่กว้างขวาง แม้ว่าจะรักและเอ็นดูคุณหนูอย่างสุดใจ แต่เมื่อเป็นเรื่องที่คุณหนูต้องเดินทางไกลเพื่อไปศึกษาต่อ ท่านบรรพบุรุษไม่เพียงแต่ไม่บังคับรั้งตัวคุณหนูไว้ข้างกาย ปกป้องไว้ใต้ปีกของตัวเอง กลับยังพูดอย่างชัดเจนว่าไม่เพียงแต่คุณหนูจะไปที่สำนักศึกษาซานหยาเท่านั้น อีกทั้งระยะทางครึ่งหลังยังต้องให้นางเดินทางด้วยตัวเอง ลูกหลานตระกูลหลี่ เดิมทีก็ควรมีความกล้าหาญนี้อยู่แล้ว”
จูเหอพลันหัวเราะออกเสียง “เพียงแต่ว่าตอนที่พูดมาถึงตรงนี้ ท่านบรรพบุรุษกลับทำสีหน้ากลัดกลุ้มกังวลใจ บ่นพึมพำว่าแต่เสี่ยวเป่าผิงของข้ายังไม่ถึงสิบขวบเลยนะ ความกล้าหาญอะไรกัน เอาไว้รอให้โตกว่านี้อีกหน่อยค่อยว่ากันก็ได้กระมัง สุดท้ายตอนที่ท่านบรรพบุรุษตัดสินใจว่าจะไม่แอบตามไปเงียบๆ พอเดินหนึ่งก้าวก็หันกลับไปมองสามรอบ เหมือนเด็กเฒ่าอย่างไรอย่างนั้น นับเป็นครั้งแรกเลยทีเดียว ดังนั้นจูลู่จึงมาพูดกับข้าเป็นการส่วนตัวว่า ท่านบรรพบุรุษดีต่อคุณหนูจริงๆ”
จูเหอกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “คุณหนูเองก็ดีกับจูลู่ข้าเหมือนกัน นับตั้งแต่เด็กคุณหนูก็ชอบมาคุยเล่นอยู่กับจูลู่ ดูจูลู่ฝึกวรยุทธ์ จูลู่สามารถเดินมาถึงวันนี้ได้ ความจริงแล้วต้องยกความดีความชอบให้คุณหนู”
เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจ “ท่านอาจูเหอ มีพวกท่านอยู่ ข้าก็วางใจแล้ว”
ทางฝ่ายของเมืองเล็ก นอกจากอาจารย์ฉีแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่เชื่อใจใครอีก
ต่อให้เป็นช่างหร่วน ก็เหมือนกับที่เฉินผิงอันเคยพูดกับหลี่เป่าผิงว่า เขาก็แค่เชื่อในคำสัญญาของอริยะท่านนี้เท่านั้น เชื่อในกฎเกณฑ์บางอย่างที่อาจารย์ฉีเคยรักษาอย่างเคร่งครัด ไม่ได้เชื่อในตัวของช่างหร่วน
นี่คือความรู้สึกโดยตรงชนิดหนึ่งที่บอกไม่ถูก สามารถพูดได้ว่าเป็นความรู้สึกที่มีมาตั้งแต่เกิด ทว่ามากกว่านั้นกลับได้มาจากประสบการณ์ที่ยากลำบาก ก็เหมือนกับตอนที่เด็กหนุ่มต้มยาให้กับแม่นางหนิงผู้นั้น
ความรู้สึกที่มีต่ออาเหลียง ความรู้สึกที่มีต่อจูเหอล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่มีข้อยกเว้น
เฉินผิงอันไม่ใช่คนที่ไม่ต้องกังวลกับชีวิตความเป็นอยู่ ไม่เคยลำบากตรากตรำ ดังนั้นจึงดีกับทุกคนอย่างโง่งม ความลำบากยากเข็ญที่ชีวิตต้องเผชิญ ความอัปลักษณ์ของใจคน ความเหน็ดเหนื่อยเหลือแสนเพราะความยากจน ถูกสลักลึกลงในใจของเด็กหนุ่มกำพร้าไร้ที่พึ่งมานานมากแล้ว
จูเหอตบไหล่ผอมบางของเด็กหนุ่ม เพียงแค่ตบลงไปทีเดียว ความแข็งแกร่งทนทานของกระดูกเฉินผิงอันอยู่เหนือจากการคาดการณ์ของชาวบู๊ขอบเขตที่ห้าผู้นี้ไปเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานเขาก็เข้าใจได้ เพราะหากไม่เป็นเช่นนี้จะสามารถปะทะกับวานรย้ายภูเขาซึ่งๆ หน้าได้อย่างไร? เขาจูเหอย่อมไม่มีทางกล้าหาญและอดทนเท่าเด็กคนนี้เด็ดขาด เพียงแต่ว่าพอคิดมาถึงตรงนี้ จูเหอก็ยิ่งอดทอดถอนใจไม่ได้ ตนยังไม่ถึงสี่สิบปีเลย ปณิธานอันแกร่งกล้าในใจจะถูกลดทอนจนสิ้นแล้วหรือ ถึงขนาดสู้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งจะเหยียบลงมาบนวิถีการต่อสู้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
จูเหอเองก็รู้สึกใคร่รู้เล็กน้อย จึงถามยิ้มๆ ว่า “แม้ข้าจะไม่เคยเดินออกจากเมืองเล็ก ไม่รู้กฎของยุทธภพข้างนอก แต่ท่านบรรพบุรุษเคยเล่าให้ฟังเป็นประจำว่าหากเจอกับคนบนเส้นทางเดียวกันในยุทธภพ จะมีกฎข้อห้ามอย่างนั้นอย่างนี้มากมาย ยกตัวอย่างเช่นหลวงจีนไม่บอกชื่อ นักพรตเต๋าไม่บอกอายุ อีกอย่างก็คือถามถึงอาจารย์ถึงสำนักได้ แต่ห้ามถามเคล็ดลับการเรียนวรยุทธ์ แต่ข้าอยากรู้มากจริงๆ ว่าเจ้าหนีพ้นเงื้อมมือของวานรย้ายภูเขาไปได้อย่างไร การไล่ฆ่าของพวกเจ้าในเมืองเล็กครั้งนั้น ข้าแค่ได้ยินมาจากท่านบรรพบุรุษในภายหลัง”
เฉินผิงอันลำบากใจเล็กน้อย “อันที่จริงก็แค่หนีเอาชีวิตรอดอยู่ตลอดเวลา หนีจากตรอกหนีผิงไปจนถึงในภูเขา หากไม่เป็นเพราะแม่นางหนิง ข้าคงตายไปนานแล้ว”
จูเหอลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยเตือนเสียงเบา “ต้องทะนุถนอมวาสนาที่ดีเหล่านี้เอาไว้ กับแม่นางหนิงคนนั้น และยังมีกับอาจารย์หร่วน…ช่างหร่วน ต้องรักษาเอาไว้ให้มั่นคง อย่าให้ขาดออกเด็ดขาด”
เฉินผิงอันรู้สึกสงสัยในคำพูดของอีกฝ่าย
จูเหอเอ่ยปลงอนิจจัง “พวกเราก็เป็นแค่กบในกะลาของถ้ำสวรรค์หลีจูเท่านั้น คามแตกต่างระหว่างทุกคนมีจำกัด ก็เหมือนเจ้ากับข้า ตบะและการเรียนต่อสู้ อย่างมากต่างกันแค่ห้าขอบเขต ส่วนสถานะนั้น ข้าคือบ่าวในตระกูลใหญ่คนหนึ่ง จะมีคุณสมบัติอะไรไปดูถูกเจ้าที่มีสถานะเป็นไท? ทว่าอยู่ฟ้าดินนอกกะลาย่อมต่างออกไป วันหน้ายิ่งเจ้าเดินไปได้ไกลเท่าไหร่ ยิ่งปรับตัวเข้ากับโลกภายนอกได้นานเท่าไหร่ก็จะยิ่งเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งมากขึ้นเท่านั้น”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจริงใจ “ข้าไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น”
จูเหอหัวเราะดังลั่น “ควรจะลองคิดดูบ้างได้แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
สำหรับความหวังดีของตัวเอง เฉินผิงอันเห็นค่ามาโดยตลอด
สำหรับความหวังร้ายของคนอื่น หากไม่สามารถอธิบายเหตุผลให้คนเหล่านั้นเข้าใจอย่างชัดเจนได้ชั่วคราว ถ้าอย่างนั้นก็แค่เก็บไว้ในใจ ไม่มีทางลืมเด็ดขาด
เพราะอย่างไรซะหนทางก็ยังอีกยาวไกล
ใต้ต้นไม้ใหญ่ หลี่ไหวที่เพิ่งขายหลี่หลิ่วพี่สาวตัวเอง ตอนนี้เขายืนตัวตรงแน่วอยู่หน้าอาเหลียง พูดอย่างใจกว้างว่า “อาเหลียง กลับไปข้าจะให้เฉินผิงอันทำน้ำเต้าบรรจุเหล้าให้เจ้าลูกหนึ่ง เจ้ายกน้ำเต้าใบเล็กตรงเอวนั่นให้ข้าเถอะ คนครอบครัวเดียวกันไม่มองกันเป็นคนนอก ข้าจะปฏิบัติกับเจ้าเป็นอย่างดี เจ้าเองก็เห็นว่าน้ำเต้าใบนี้ออกจะเก่าเกินไปแล้ว ไม่คู่ควรกับฐานะพี่เขยข้า!”
อาเหลียงพูดด้วยสีหน้าลึกลับ “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร น้ำเต้านี้เรียกว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เป็นของดีที่หาได้ยากในใต้หล้า มองดูไม่สะดุดตา แต่กลับมีค่าอย่างมาก เจ้ามีพี่สาวกี่คน? รู้ไว้เถอะว่าตีตายไปคนหนึ่งก็ยังไม่พอ!”
เห็นว่าอาเหลียงพูดกับตนด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างที่หาได้ยาก เด็กแสบก็ใจเต้นเล็กน้อย เหลือบมองน้ำเต้าลูกเล็กน้ำลายแทบหยด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างอาลัยอาวรณ์ ลองถามหยั่งเชิง “ถ้าไม่อย่างนั้นให้พ่อกับแม่ข้าทำพี่สาวอีกหลายๆ คนดีไหม? เรื่องนี้พูดง่ายจะตาย ใช่ไหมล่ะ?”
อาเหลียงยกมือกุมหน้าผาก
จู่ๆ ก็ไพล่นึกไปถึงตอนที่เดินลงเนินเขาพร้อมกับเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ เจ้าเด็กหนุ่มนั้นกล้าเอาตนไปเปรียบกับจูเหอขอบเขตห้า อาเหลียงปล่อยมือ ถอนหายใจหนึ่งที แล้วหยิบกิ่งไม้แห้งกิ่งหนึ่งขึ้นมาขีดเขียนลงบนพื้น
หลี่ไหวยื่นหน้าไปมอง เห็นเป็นตัวอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ ตัวหนึ่ง เขียนได้ไม่สวยเท่าเด็กนักเรียนอย่างตนเลย ยิ่งเทียบหลินโส่วอี้ที่แม้แต่อาจารย์ฉีก็ยังชมว่าไม่ธรรมดาไม่ติด
หลี่ไหวยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกขายหน้า มองตัวอักษรของอาเหลียงแวบหนึ่ง แล้วก็หันไปมองน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีเงินยวงตรงเอวเขาอีกครั้ง หลังจากความคิดฝ่ายดีและฝ่ายร้ายในหัวตีกันไปรอบหนึ่ง หลี่ไหวก็พูดว่า “อาเหลียง เจ้าเขียนตัวอักษรน่าเกลียดขนาดนี้ ข้าตัดสินใจว่าจะไม่เป็นน้องเขยของเจ้าแล้ว เพราะทั้งพ่อและแม่ข้าต่างก็หวังให้พี่สาวข้าได้แต่งงานกับบัณฑิต”
อาเหลียงเงยหน้าขึ้นช้าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “น่าเกลียดมากเลยหรือ?”
หลี่ไหวหนักใจ พยักหน้ารับแรงๆ
เด็กน้อยรู้สึกว่าหากคราวหน้าหลี่หลิ่วพี่สาวของตนยังกล้าแย่งของกินกับตนอีก จะต้องด่าว่านางไม่มีน้ำใจให้ได้ เพราะตนทำเพื่อนางถึงขนาดยอมสละน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งเลยทีเดียว
อาเหลียงทำสีหน้าเจ้าอายุยังน้อยไม่รู้ประสา หัวเราะร่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าข้าโม้กับเจ้าหรอกนะ สถานที่แห่งนี้ที่ห่างไกลจากที่นี่ไปมาก ไม่รู้ว่ามีคนกี่มากน้อยที่พอเห็นตัวอักษรนี้แล้วต่างก็ต้องพากันยกนิ้วโป้ง”
หลี่ไหวกังขา “ต่อหน้า?”
อาเหลียงหัวเราะแห้งๆ “ได้ยินมา ได้ยินมาอีกที”
หลี่ไหวจึงกล่าวว่า “ข้าก็ว่าแล้วไง ใครกล้าพูดต่อหน้าว่าเจ้าเขียนได้ดี ข้าจะกราบเขาคนนั้นเป็นอาจารย์ เกรงว่าแม้แต่แม่ข้าก็คงยังด่าสู้เขาไม่ได้”
อาเหลียงเอ่ยเย้ยหยัน “เจ้ากราบเขาเป็นอาจารย์ เขาจะรับเจ้าเป็นศิษย์หรือไง?”
หลี่ไหวสีหน้าจริงจัง “ไม่รับ? เขาตาบอดหรือ?”
อาเหลียงกุมหน้าผากอีกครั้ง เพราะไอ้หมอนั่นเป็นคนตาบอดจริงๆ
อาเหลียงคิดว่าตนควรจะพูดกับเจ้าเต่าน้อยตัวนี้ให้น้อยหน่อยดีกว่า จึงเงยห้ามองไปรอบด้าน มองซ้ายมองขวา สุดท้ายมองไปยังเด็กสาวจูลู่ จึงเอ่ยยิ้มๆ “จูลู่ เจ้าอยากเรียนเวทกระบี่หรือไม่? ตอนนี้ข้ามีอารมณ์อยากจะชักกระบี่แล้ว…”
ห่างออกไปไม่ไกล จูลู่กำลังเป็นห่วงคุณหนูของตัวเอง
แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงใช้สองมือเท้าแก้ม มองไปยังทิศทางที่อาจารย์อาน้อยจากไป หัวคิ้วขมวดเป็นปมแน่น
พอได้ยินคำพูดของอาเหลียง เด็กสาวก็กล่าวอย่างขุ่นเคือง “ไสหัวไปที่อื่นเลย!”
สีหน้าของอาเหลียงมึนงงไร้เดียงสา “ฝนเพิ่งจะตกหนัก เจ้าก็เห็นว่าข้าเปียกไปทั้งตัวแล้ว”
เด็กสาวรู้ว่าตัวเองพลาดแล้ว แต่ก็ยัวแค่นเสียงเย็น “คนกะล่อนเสเพล ไม่เรียนย่อมไร้วิชา ไม่ใช่คนดี!”
อาเหลียงขุ่นเคือง “เสี่ยวเป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี ข้าใช่คนดีหรือไม่?!”
หลี่ไหวไม่พลาดซ้ำเติม “แค่เหมือนคนดี แต่หากยอมยกน้ำเต้าบรรจุเหล้าให้ข้า ก็จะเป็นคนดีทันที”
หลินโส่วอีกล่าวน้ำเสียงเฉยชา “วันหน้าห้ามหลอกให้ข้าดื่มเหล้าอีก อาจารย์เคยบอกไว้นานแล้วว่า ชาวบุ๋นดวลเหล้าแต่งกวีร้อยบท ล้วนเป็นเรื่องโกหก”
มีเพียงแม่นางน้อยชุดแดงเท่านั้นที่แอบยิ้มให้อาเหลียง อาเหลียงพลันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ชูนิ้วโป้งให้นาง แสร้งทำเป็นหูทวนลมกับคำพูดเสียดสีจากเจ้าสองคนนั้น
จะอย่างไรแล้วสุดท้ายอาเหลียงก็ไม่ได้อยู่ในยุทธภพมาเสียเปล่า
รอจนเฉินผิงอันเดินกลับมาพร้อมจูเหอ คนทั้งกลุ่มก็ออกเดินทางอีกครั้ง
เมื่อธารน้ำที่เดิมทีล้อมวนเมืองหลงเหว่ยอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้หันเข้าสู่ทิศใต้จึงกลายมาเป็นแม่น้ำเถี่ยฝู่ซึ่งถูกระบุลงไปใหม่ในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น น้ำในแม่น้ำก็พลันท่วมทะลัก ระดับน้ำเพิ่มขึ้นสูง
ความกว้างใหญ่ของผิวแม่น้ำ ความลึกของระดับน้ำเหนือกว่าที่ธารสายเล็กก่อนหน้านี้จะเทียบเคียงได้
ภายใต้ข้อเสนอของเฉินผิงอัน ทุกคนจึงหยุดพักหุงหาอาหารกันที่นี่ พอกินอาหารกลางวันแล้วค่อยเดินทางต่ออีกครั้ง
หลี่ไหวยืนอยู่ริมแม่น้ำ เท้าเอวจุ๊ปากพูด “อาเหลียง เมื่อก่อนเจ้าเคยเห็นน้ำที่มากมายขนาดนี้ไหม?”
อาเหลียงที่จูงลาสีขาวอยู่ด้านหน้ามองจุดตัดระหว่างธารน้ำและแม่น้ำ ก่อนจะหันไปมองด้านหลังตัวเอง สุดท้ายถึงพูดกับหลี่ไหวยิ้มๆ “แม่น้ำลำคลองขนาดใหญ่ที่ข้าเคยเห็น มากกว่าเม็ดข้าวที่เจ้าเคยกินเสียอีก”
หลี่ไหวไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที “อาเหลียง ถ้าเจ้าไม่ได้โม้สักวันหนึ่งจะครั่นเนื้อครั่นตัวมากเลยใช่ไหม?!”
อาเหลียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เดินไปหยุดอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มที่สร้างเตาไฟง่ายๆ เอ่ยเสียงเบา “ไป ไปเดินริมแม่น้ำกัน มีเรื่องอยากจะพูดกับเจ้า”
เฉินผิงอันตะลึงงัน แล้วจึงขอให้จูลู่สาวใช้ตระกูลหลี่ช่วยเหลือ ตลอดระยะทางที่เดินทางกันมา อันที่จริงหลี่เป่าผิงสามารถช่วยทำอะไรได้หลายอย่าง แม้แต่ช่วยอาเหลียงป้อนอาหารลาขาว นางก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงช่วยพี่จูลู่หุงหาอาหารได้อย่างคล่องแคล่ว จึงทำท่าทางซุกซนประมาณว่าอาจารย์อาน้อยไปเดินเล่นริมแม่น้ำได้ตามสบาย ทุกอย่างยกให้นางเป็นคนจัดการเอง
หลายวันมานี้ แม่นางน้อยยืนหยัดที่จะแบกตะกร้าของตัวเองอยู่ตลอดเวลา พยายามอย่างยิ่งที่จะจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง
ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มฝึกหมัดเดินนิ่ง นางมักจะตามอยู่ข้างกาย ทำท่าตามไปเงียบๆ น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
คนทั้งสองเดินไปถึงริมน้ำ จากนั้นก็เลียบแม่น้ำไปยังด้านล่าง
อาเหลียงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าชอบแม่หนูเป่าผิงนี่มาก แน่นอนว่าเจ้าคงชอบนางยิ่งกว่าข้า”
เฉินผิงอันหันกลับไปมอง แม่นางน้อยกำลังง่วนทำนู่นนำนี่ไม่หยุดมือ ขาเล็กๆ ทั้งสองข้างขยับไปมาเหมือนล้อบดถนนอีกครั้ง เมื่อเทียบกับหลินโส่วอีที่พูดประโยคหนึ่งทำทีหนึ่ง กับหลี่ไหวที่ไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างแล้ว แม้ว่าหลี่เป่าผิงจะอายุยังน้อย แต่กลับเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ต่อให้เพียงแค่มองนางก็ยังเหมือนกำลังมองฤดูใบไม้ผลิที่งดงาม
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
อาเหลียงกล่าวอีกว่า “แต่เจ้ามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ใช้หรือไม่?”
เฉินผิงอันอืมหนึ่งที “นับตั้งแต่คราวก่อนที่พูดกับข้าเรื่องเรียนวรยุทธ์ ซึ่งนางพูดจ้อเป็นต่อยหอยแล้ว หลังจากนั้นเป็นต้นมา นางก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบพูดอีก”
อาเหลียงถาม “เจ้าได้พูดประโยคคาดหวังอะไรกับนางหรือเปล่า ยกตัวอย่างเช่นเจ้าหวังว่าวันหน้านางจะกลายเป็นคนแบบไหน?”
เฉินผิงอันพลันหันกลับมา สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
อาเหลียงเองก็คงไม่คิดจะใช้คำพูดทำร้ายจิตใจคนโดยไม่ตั้งใจ จึงพยายามคิดใคร่ครวญหาคำพูดเหมาะๆ อย่างที่หาได้ยาก เลยถือโอกาสหยุดเดิน นั่งยองริมแม่น้ำ หยิบหินขึ้นมาขว้างเบาๆ หลังจากที่เด็กหนุ่มนั่งยองอยู่ข้างกายตามแล้ว อาเหลียงถึงพูดเสียงเบา “ใช้อารมณ์ลึกซึ้งอายุไม่ยืน ฉลาดเกินจิตใจถูกทำร้ายได้ง่าย คนทั่วไปย่อมไม่มีคุณสมบัติที่จะใช้คำพูดสองประโยคนี้ แต่หลี่เป่าผิงไม่เหมือนกัน แม้ว่าตอนนี้จะอายุยังน้อย ประโยคแรกแน่นอนว่ายังไม่มีวี่แวว ทว่าประโยคที่สอง เพียงการกระทำที่เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจก็สามารถทำให้แม่นางน้อยเก็บไว้ในใจอย่างลึกซึ่ง คำพูดนั้นเป็นสิ่งที่ประหลาดมาก เพราะคำพูดแต่ละคำ ประโยคแต่ละประโยคจะสั่งสมกองกันอยู่ในใจ เจ้าอาจจะรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ของข้าค่อนข้างเหมือนคนแก่คร่ำครึ บัณฑิตผู้ยากจน แต่หลักการก็ยังคงเป็นหลักการนี้”
เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งที “ข้าผิดเอง ตอนนั้นข้ากลัวว่านางจะไม่มีความมั่นใจในการเดินทางไปสำนักศึกษาซานหยา จึงบอกไปว่าข้าหวังให้นางได้กลายมาเป็นอาจารย์หญิง จอมปราชญ์น้อยคนหนึ่ง”
อาเหลียงหัวเราะ “‘ข้าผิดเอง’? เฉินผิงอัน เจ้าผิดแล้ว”
เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ
อาเหลียงไม่มองเด็กหนุ่ม เพียงมองไปยังผิวน้ำนิ่งสงบไร้ระลอกคลื่นอย่างเกียจคร้าน “เจ้าก็แค่ยังทำได้ไม่ดีพอเท่านั้น ไม่ใช่ว่าทำผิด”
เด็กหนุ่มยิ่งอัดอั้นเข้าไปใหญ่ ก็แค่พูดต่างกันเท่านั้น เพราะผลลัพธ์ที่ได้ในท้ายที่สุดก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
ในที่สุดอาเหลียงก็หันหลับมา คล้ายมองความคิดของเด็กหนุ่มออกจึงส่ายหน้า “ไม่เหมือนกันเลยล่ะ รู้หรือไม่ว่าทำไมคนดีในใต้หล้าถึงได้อยู่อย่างอัดอั้นตันใจนัก? ยกตัวอย่างเช่นฉีจิ้งชุย อาจารย์ฉีที่พวกเจ้ารู้จัก ทั้งๆ ที่สามารถทำให้มันสะใจได้ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายกลับได้แค่ทนได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างคับแค้น? รอจนเจ้าหันมองไปรอบด้าน ดูเหมือนว่าพวกคนเลวเหล่านั้นกลับคล้ายจะมีชีวิตที่องอาจสุขสำราญมากยิ่งกว่า ยอตัวอย่างเช่นศัตรูสองคนที่เจ้าพูดให้ข้าฟังก่อนหน้านี้ วานรพิทักษ์ชุนเขาแห่งเขาตะวันเที่ยง และนายน้อยฝูแห่งนครมังกรเฒ่า หลังจากที่พวกเขากลับไปถึงถิ่นของตัวเองแล้ว ข้าแน่ใจว่าพวกเขาต้องมีชีวิตที่สบายมากแน่ๆ คนหนึ่งฐานะสูงส่ง นอนอยู่บนฟูกแห่งคุณูปการคอยเสวยสุขกับความเคารพนับถือจากผู้คน อีกคนหนึ่งเปี่ยมไปด้วยปณิธานอันฮึกเหิมและห้าวหาญ”
อาเหลียงมองเด็กหนุ่มที่กำลังจมอยู่ในภวังค์ของความคิด แล้วยิ้มอย่างสง่างาม “ดังนั้น เป็นคนดีคือเรื่องที่เหนื่อยมาก เจ้าห้ามเป็นคนดีเด็ดขาดเชียว เมื่อไม่ได้รับการตอบแทน หรือได้แค่คำตอบที่อยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์ก็รู้สึกว่าตัวเองทำผิดเสียแล้ว ยิ่งห้ามรู้สึกว่าวันหน้าตนจะเป็นคนดีไม่ได้อีก แบบนี้…ไม่ถูกต้อง!”
อาเหลียงสีหน้าเคร่งเครียด เพิ่มน้ำหนักเสียง ย้ำประโยคสุดท้ายอีกหนึ่งรอบ “แบบนี้ไม่ถูกต้อง!”
แล้วอาเหลียงก็หัวเราะ กลับคืนมาเป็นคนเสเพลที่ไม่เก็บเรื่องใดมาใส่ใจคนนั้นอีกครั้ง “แน่นอนว่า หลี่เป่าผิงนั้นดีมาก แม่นางน้อยก็แค่ใช้วิธีการของนางมาตอบแทนเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดเด็ดขาด”
เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างแรง “เปล่าเลยๆ”
อาเหลียงพยักหน้ารับ “เพราะฉะนั้นข้าถึงเต็มใจพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า”
เขาถือโอกาสทิ้งก้นนั่งลงบนพื้นเสียเลย ดาบไม้ไผ่วางขวางอยู่บนหน้าตัก “ต้องรู้ว่า น้อยครั้งที่ข้าจะพูดหลักเหตุผลกับคนอื่น เหตุผลของข้า…”
อาเหลียงหยุดชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงตบดาบไม้ไผ่บนหัวเข่าตัวเอง “ก่อนหน้านี้อยู่ที่กระบี่ ตอนนี้อยู่ที่ดาบเล่มนี้ชั่วคราว”
ต่อให้ฝนไม่ตก แดดไม่แรง แต่อาเหลียงก็ยังคงสวมงอบไม้ไผ่ที่ไม่สะดุดตาใบนั้น เขายกมือขึ้นจับประคองงอบ “หากนิสัยของเจ้าไม่ถูกใจข้า ต่อให้ความหมายของปิ่นชิ้นนั้นจะยิ่งใหญ่เหมือนกับที่ข้าจินตนาการเอาไว้ ต่อให้เจ้าคือคนที่ฉีจิ้งชุนเลือก ข้าก็ไม่มีทางมาเปลืองน้ำลายพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า อย่างมากข้าก็แค่ส่งเจ้าถึงต้าหลี อารมณ์ดีหน่อยก็ไปส่งเจ้าถึงต้าสุยโดยตรง สำหรับข้าแล้ว จะไปยากตรงไหน?”
ยามที่ชายฉกรรจ์หน้าตายิ้มแย้มผู้นี้เอาจริงขึ้นมาก็มีมาดที่แตกต่างออกไป มือทั้งคู่ของเขาตบลงบนดาบไม้ไผ่เล่มนั้นเบาๆ “สำหรับข้าอาเหลียงแล้ว ชีวิตคนที่อยู่บนโลกใบนี้ เส้นทางต้องเดินเอง คำพูดต้องพูดเอง เป็นคนต้องเป็นเอง ข้ารู้สึกว่าเจ้าเฉินผิงอันก็เป็นเช่นนี้ ไม่ต้องเหมือนข้าทั้งหมดเสมอไป แต่เอวต้องหยัดตรง หมัดต้องใหญ่พอ กระดูกต้องแข็งพอ และเวทกระบี่ก็ต้องสูงพอ!”
อาเหลียงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อย่าลืมล่ะว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องมีชีวิตอยู่นานพอ!”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “อาเหลียง แม้ว่าพอจะฟังเข้าใจอยู่บ้าง มีหลายส่วนที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ข้าล้วนจำไว้ขึ้นใจหมดแล้ว วันหน้าไม่ว่าเจอเรื่องอะไร ข้าก็จะเอามันออกมาคิดใคร่ครวญให้ดี”
อาเหลียงพยักหน้ารับ กล่าวชื่นชม “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
อาเหลียงลุกขึ้นยืนก่อน เดินออกไปสองสามก้าวแล้วพลันหันหน้ากลับมายิ้ม “เฉินผิงอัน อาหารแห้งที่เอามา ข้ากินหมดแล้ว”
กล่าวจบอาเหลียงก็เดินเร็วๆ จากไป เดินไปหาหลี่เป่าผิงกับจูลู่แล้วโหวกเหวกเสียงดัง “ข้าวสุกหรือยัง ข้าวสุกหรือยัง?!”
ทิ้งเด็กหนุ่มที่ยังไม่คืนสติไว้เพียงลำพัง
พูดไปพูดมา อ้อมเป็นวงใหญ่ขนาดนี้ ไอ้หมอนี่ก็แค่จะขอข้าวกินอย่างเปิดเผยเท่านั้นน่ะหรือ?
เฉินผิงอันหัวเราะแล้วเดินตามไป
……
ยามสนธยาวันหนึ่ง มองเห็นลิบๆ ว่าคนทั้งกลุ่มกำลังจะเดินผ่านป่าไม้ไผ่เขียวชอุ่มที่ขึ้นอยู่กึ่งกลางภูเขา แม่นางน้อยชุดแดงกระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน ชี้นิ้วไปทางนั้น ถามเสียงเบา “อาจารย์อาน้อย นั่นป่าไผ่ สวยไหม?”
เด็กหนุ่มที่มัวแต่เร่งเดินทางอืมรับหนึ่งทีแล้วก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป เพราะพวกเขาใกล้จะไปถึงทางเดินม้า หรือทางหลวงของราชสำนักต้าหลีที่อาเหลียงพูดถึงแล้ว
แม่นางน้อยไม่พูดอะไรอีก ตะกร้าที่แบกอยู่ด้านหลังกระเด้งกระดอนไปตามการเดิน ส่วนนางก็ยังคงเดินตามติดอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม
ยามค่ำคืนนอนอยู่ในกระโจมหนังวัวเล็กแคบที่จูลู่ตั้งให้ แม่นางน้อยนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ปากเล็กๆ จึงบิดเบ้ด้วยอารมณ์น้อยใจ แต่สุดท้ายก็บอกตัวเองว่าอาจารย์อาดีมากๆ แล้ว จากนั้นจึงหลับสนิท
เช้าตรู่วันต่อมา แม่นางน้อยที่ยังงัวเงียไม่กล้าแอบนอนต่อ กลัวว่าจะไปทำให้แผนการเดินทางที่อาจารย์อาน้อยตั้งไว้เกิดความล่าช้า จึงลุกขึ้นมาสวมชุดด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว จากนั้นสวมรองเท้าแตะคู่ที่อาจารย์อาน้อยทำให้ สุดท้ายพอแม่นางน้อยมุดออกมาจากกระโจมกลับต้องอึ้งงัน
นอกกระโจมมีหีบหนังสือไม้ไผ่ใบเล็กสีเขียวงดงามใบหนึ่งตั้งวางอยู่
แม่นางน้อยอึ้งตะลึงอยู่นานมาก จากนั้นก็ร้องไห้จ้าเสียงดัง
เด็กหนุ่มที่ยุ่งมาตลอดทั้งคืนกำลังงีบหลับอยู่ไกลๆ พอสะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องไห้ก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแม่นางน้อย เฉินผิงอันทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ได้แต่ลูบหัวตัวเองเพราะไม่รู้จะปลอบนางอย่างไร เดิมทีนึกว่าเมื่อแม่หนูน้อยได้เห็นหีบไม้ไผ่ใบเล็กแล้วจะดีใจเสียอีก
พอเห็นว่าหลี่เป่าผิงเสียใจขนาดนี้ เฉินผิงอันก็ปวดใจอย่างรุนแรง
แม่นางน้อยหลับหูหลับตาร้องไห้อยู่นานมาก พอลืมตามาเห็นเฉินผิงอันก็หยุดร้องทันที วิ่งเร็วๆ มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้วกอดรัดเฉินผิงอันเต็มแรง พูดสะอึกสะอื้น “อาจารย์อาน้อย ขอโทษนะ!”
เฉินผิงอันได้แตะตบศีรษะของแม่นางน้อยเบาๆ “ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง”
แม่นางน้อยยังเอาแต่ร้องไห้ด้วยความเสียใจ
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ไม่ชอบหีบไม้ไผ่ใบเล็ก? อาจารย์อาทำไม่สวย? ไม่เป็นไรๆ คราวหน้าค่อยเปลี่ยนรูปแบบใหม่ ช่วยไม่ได้ ก่อนหน้านี้อาจารย์อาน้อยเคยเห็นหีบไม้ไผ่แค่ครั้งเดียว วันหน้าเมื่อไปถึงสถานที่ที่ครึกครื้น แล้วได้เห็นหีบหนังสือสวยๆ เจ้าก็มาบอกอาจารย์อาน้อย…”
แม่นางน้อยเงยหน้าขึ้น น้ำตาเปรอะเต็มใบหน้า “ชอบ! ไม่ชอบใบไหนมากกว่าใบนี้อีกแล้ว!”
แต่ดูเหมือนยิ่งชอบมากเท่าไหร่ แม่นางน้อยก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองใจดำมากเท่านั้น แล้วก็ยิ่งละอายใจต่ออาจารย์อาน้อยของตนเข้าไปอีก จึงทรุดตัวนั่งยองร้องสะอึกสะอื้น ไม่กล้ามองอาจารย์อาน้อยของตน
เฉินผิงอันนึกถึงคำพูดของอาเหลียงเมื่อวานก็กระจ่างทันที จึงย่อตัวนั่งยอง ลูบศีรษะของแม่นางน้อยพลางเอ่ยเบาๆ “หลี่เป่าผิง เจ้ารู้หรือไม่? อาจารย์อาน้อยดีใจมากจริงๆ ที่ได้เดินทางไปขอเล่าเรียนเป็นเพื่อนเจ้า เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยบอกเจ้า อาจารย์อาน้อยจึงมาบอกกับเจ้าตอนนี้ หากเจ้ายังชอบหีบหนังสือไม้ไผ่ใบเล็กที่ไม่มีค่าใบนี้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์อาน้อยก็ยิ่งดีใจเข้าไปอีก จริงๆ นะ ไม่โกหกเจ้าหรอก”
แม่นางน้อยค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ทว่ามือทั้งสองยังคงปิดหน้า นางแค่กล้าขยับนิ้วให้เกิดเป็นร่อง เผยให้เห็นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาคู่นั้น ก่อนจะเอ่ยเสียงสะอื้นอย่างขลาดๆ “อาจารย์อาน้อยไม่โกหกคน?”
ดวงตาของเด็กหนุ่มใสกระจ่าง พยักหน้ารับ “อาจารย์อาน้อยโกหกคนก็เป็น แต่ไม่โกหกหลี่เป่าผิง”
แม่นางน้อยเอามือลงอย่างรวดเร็ว คลี่ยิ้มสดใสเจิดจ้า
กลับมาเป็นแม่นางน้อยที่ไร้ทุกข์ไร้กังวล บริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างในความทรงจำของเด็กหนุ่มอีกครั้ง
จิตใจคนบางคนเหมือนต้นไม้ดอกไม้ที่ล้วนเกิดมาเพื่อแสงสว่าง
โดยเฉพาะอาจารย์อาน้อยและแม่นางน้อยที่ยิ่งเป็นเช่นนี้