Skip to content

Sword of Coming 205

บทที่ 205 สะพายกระบี่มุ่งหน้าลงใต้

พลังอำนาจรอบเตาหลอมกระบี่ริมลำคลองหลงซวีพุ่งทะยานท่วมท้น เสียงตีเหล็กที่ดังเข้าหูเผ่าปีศาจครืนครั่นราวกับจะสะเทือนให้อวัยวะภายในปริแตก

ช่วงนี้สายตาของผู้ฝึกลมปราณแทบทุกคนในเขตการปกครองหลงเฉวียนล้วนพากันเหลือบมองไปทางร้านตีเหล็กอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ในศาลาและหอเรือนสร้างใหม่ที่อยู่บนยอดเขา และสะพานขึงสูงลิ่วที่แขวนอยู่ระหว่างภูเขาสองลูกมักจะมีผู้ฝึกลมปราณมารวมตัวกัน พวกเขาจะทอดสายตามองไกลๆ ไปยังภาพบรรยากาศของการหลอมกระบี่ที่อยู่ในเตาหลอมนอกภูเขา ต่อให้เป็นนักโทษของราชวงศ์สกุลหลู รวมไปถึงทหารของต้าหลีซึ่งทำหน้าที่จับตามองชาวบ้านที่ชาติล่มจมเหล่านี้ก็ยังพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันทุกครั้งที่มีเวลาว่าง คาดเดาว่าหากอริยะหร่วนฉงหลอมกระบี่สำเร็จจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นในฟ้าดินหรือไม่

และเมื่อพลังอำนาจในการหลอมกระบี่ของวันนี้ทะยานขึ้นอย่างพรวดพราด บวกกับที่จิตใจของเผ่าปีศาจที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระวุ่นวายไม่เป็นสุข หรือแม้แต่ภูตผีปีศาจที่ตบะไม่มากพอ แม้จะมีโชคชะตาแห่งน้ำและภูเขาของที่แห่งนี้ให้การปกป้องอย่างลับๆ ก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในเตาหลอมร้อนระอุ ทรมานเกินจะทน ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงรู้สึกได้ว่านี่ต้องเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้วอย่างแน่นอน อาวุธเทพเล่มนั้นจะหลอมสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่ช่วงเวลานี้แล้ว

ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันเตรียมตัวรอไว้เรียบร้อยนานแล้ว และกำลังจะออกเดินทางไปยังท่าเรือที่ภูเขาอู๋ถง คราวก่อนที่เว่ยป้อพาพวกเขาเดินสำรวจไปในพื้นที่ใต้การปกครองของเขา ทำให้ได้เห็นว่ายอดบนของทั้งภูเขาอู๋ถงถูกตัดทิ้งทั้งหมด ตอนนั้นเว่ยป้อเล่นแง่ไม่ยอมบอกว่าเรือขนาดใหญ่บนท่าเรือซึ่งมีพื้นที่กินบริเวณรัศมีสี่ห้าลี้ที่นักพรตใช้เดินทางไกลนั้นคือวัตถุใดกันแน่

ของขวัญที่หร่วนซิ่วมอบให้ก่อนจากลาคือขนมดอกท้อหนึ่งถุง แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของนาง อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาไหว้วานให้เว่ยป้อไปพูดกับหร่วนฉงเรื่องที่เขาจะมอบภูเขาเป่าลู่ให้กับหร่วนซิ่ว ผลกลับกลายเป็นว่าเว่ยป้อกลับเรือนไม้ไผ่มาด้วยสีหน้าดำทะมึน ท่าทางดูไม่ได้ เขาเล่าว่าหลังจากบอกหร่วนฉงก็โดนอีกฝ่ายพาลโมโหใส่ ตบรางวัลให้เขาเว่ยป้อด้วยคำว่า ไสหัวไป จากนั้นก็ให้คำตอบเฉินผิงอันด้วยประโยคที่ยาวกว่าเล็กน้อยว่า “บอกให้เจ้าเด็กนั่นไสหัวไปให้ไกลได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี”

เฉินผิงอันจึงได้แต่ล้มเลิกความคิด รู้ดีว่าเรื่องนี้พาให้คนคิดไปไกล เพราะอย่างไรซะเรื่องของความปรารถนาดีที่เกิดจากความห่วงใยก็ใช่ว่าจะทำสำเร็จได้โดยง่ายหากเป็นความต้องการของฝ่ายเดียว ดังนั้นเขาจึงต้องวางเรื่องนี้ลงก่อนชั่วคราว เด็กชายชุดเขียวบอกว่าพวกเขาเป็นคนที่อยู่ในยุทธภพ ไม่ว่าจะบุญคุณหรือความแค้นก็ล้วนปฏิบัติตามหลักภูเขาเขียวแม่น้ำใส กาลเวลายังอีกยาวไกล เฉินผิงอันรู้สึกว่าประโยคนี้พูดได้อย่าง ‘สง่างามและมีเหตุผล’ คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าในอนาคตย่อมต้องมีโอกาสได้ตอบแทนพ่อลูกสกุลหร่วนแน่นอน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

แต่ด้วยความรอบคอบเฉินผิงอันก็ยังมาปรึกษากับเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอย่างจริงจังอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่มากนัก จึงตัดสินใจรบกวนเว่ยป้ออีกรอบ ให้เทพขุนเขาเหนือท่านนี้ไปเชิญคนทำขนมที่มีฝีมือดีเยี่ยมมาสองคน รอจนเขาออกจากเขตการปกครองหลงเฉวียนเมื่อไหร่ก็ให้ไปช่วยเรียกลูกค้าที่ร้านยาสุ่ยตรอกฉีหลง สุดท้ายบอกให้เด็กน้อยสองคนไปบอกกับแม่นางหร่วนซิ่วว่า วันหน้าหากอยากกินขนมในร้านก็กินได้ตามสบาย จะไม่เก็บเงินแม้แต่อีแปะเดียว

การเดินทางไกลลงใต้ของเขาครั้งนี้ ทั้งเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็อยากติดตามไปด้วย คนหนึ่งกลัวว่าเฉินผิงอันจะไม่มีคนปกป้อง พรุ่งนี้อาจถูกคนต่อยหัวระเบิด รอจนเฉินผิงอันกลับบ้านเกิดมาในครั้งหน้าก็คือต้องขุดหลุมจุดธูปให้เขาแทนแล้ว อีกอย่างก็คืองูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงที่ตบะเลื่อนไปอีกหนึ่งขอบเขตอยากจะกลับไปใช้ชีวิตสนุกสนานและมีอิสระเสรีในยุทธภพอีกครั้ง อยากจะทวงคืนหน้าตาและศักดิ์ศรีของวีรบุรุษที่เสียไปสิ้นในเขตการปกครองหลงเฉวียนมาจากโลกภายนอกให้หมด

ส่วนเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูนั้นมองตัวเองเป็นสาวใช้ตัวน้อยไปอย่างสิ้นเชิง นางกังวลว่านายท่านของตนจะไม่มีคนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย นางอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ แบบนั้นทำให้นางละอายใจมาก

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่รับปากพวกเขาทั้งสองคน

เด็กชายชุดเขียวทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย เดี๋ยวก็บอกว่าจะแขวนคอตาย เดี๋ยวก็บอกว่าจะกระโดดหน้าผา แล้วเดี๋ยวๆ ก็ทำท่าจะลงไปนั่งคุกเข่าอ้อนวอน ใช้สารพัดวิธีจนครบถ้วน ส่วนเฉินผิงอันเองก็ต้องทั้งขู่ทั้งปลอบถึงทำให้เด็กชายชุดเขียวยอมอยู่ฝึกตนที่เรือนไม้ไผ่ต่อ ยังดีที่ตอนนี้เด็กชายชุดเขียวมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับงูดำจากภูเขาฉีตุน มักจะไปคุยโม้ประจบประแจงอีกฝ่ายเป็นประจำ จึงพอจะนับงูดำเป็นพี่น้องของตัวเองได้อย่างถูไถ แม้งูดำจะไม่เคยจำแลงกายเป็นมนุษย์ แต่ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาหรือปณิธาน เด็กชายชุดเขียวก็ล้วนเทียบไม่ติด จะว่าไปแล้วถึงแม้งูน้ำแม่น้ำอวี้เจียงที่พลัดจากถิ่นฐานบ้านเกิดตนนี้จะมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา แต่หากเอาไปเทียบกับบรรดาเจียวหลงด้วยกัน อายุของมันก็ถือว่าเป็นแค่เด็กหนุ่มเท่านั้น แถมยังเป็นเด็กหนุ่มประเภทที่ ‘ไม่มีพ่อแม่สั่งสอน’ จึงค่อนข้างเกเรด้วย เมื่อไม่เคยได้รับการชี้นำจากพระวิสุทธิอาจารย์และการอบรมปลูกฝังจากสำนัก ต่อให้จะผดุงคุณธรรมตามหลักของคนในยุทธภพที่เขาเลื่อมใสก็ยังดูไม่ต่างจากเด็กน้อยที่เอาแต่ใจในสายตาของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่เคยอ่านตำรามานับหมื่นเล่ม

เพียงแต่ว่าอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ เด็กชายชุดเขียวจึงถูกขัดเกลาไปมาก บวกกับที่เดิมทีเขาเองก็ไม่ใช่คนเลวร้าย เฉินผิงอันจึงพอจะวางใจในตัวเขาได้บ้าง แค่กำชับเขาว่าห้ามรังแกเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ตอนนั้นเด็กชายชุดเขียวตบอกตัวเองดังป้าบๆ บอกว่าลูกผู้ชายชาตรี รังแกเด็กผู้หญิงจะนับเป็นอะไรได้

ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว

เว่ยป้อแอบชี้ไปยังห้องชั้นสอง ถามยิ้มๆ “พร้อมแล้วนะ? จะไปบอกลาท่านผู้อาวุโสสักคำหรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หมุนตัวเดินไปเคาะประตูห้อง “ข้าไปแล้วนะ”

ผู้เฒ่าเปลือยเท้านั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง น้ำเสียงที่เอ่ยตอบแฝงไว้ด้วยความโกรธเกรี้ยว “จะไม่พิจารณาอีกสักหน่อยรึ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะมัวถ่วงเวลาล่าช้าไม่ได้ ต้องรีบไปทันที”

ผู้เฒ่าแค่นเสียงเย็น “ระยำ!”

เฉินผิงอันระอาใจ หันหน้ามาพูดกับเว่ยป้อแทน “พวกเราเดินทางไปที่ภูเขาอู๋ถงกันเถอะ”

หร่วนซิ่วยืนโบกมือเบาๆ อยู่ข้างราวระเบียง

เฉินผิงอันยังคงสวมรองเท้าสานที่ตัวเองคุ้นเคยมากที่สุด ในอ้อมอกกอดกระบี่ยาวเล่มใหม่ที่ใช้ผ้าฝ้ายห่อไว้อย่างแน่นหนา ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีแดง สะพายกระบี่ไม้ไหวไว้ด้านหลังหนึ่งเล่ม นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีก

เขาอยากจะพูดอะไรกับหร่วนซิ่วสักหน่อย แต่รู้สึกว่าอาจจะเกินความจำเป็น จึงเกาหัว พูดเบาๆ ว่า “แม่นางหร่วน รักษาตัวด้วยนะ”

ขนตาของเด็กสาวชุดเขียวสั่นไหวเล็กน้อย นางพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มอ่อนบาง

เฉินผิงอันหันไปกำชับเด็กน้อยสองคน “วันหน้าต้องตั้งใจฝึกตนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วให้ดี หากเจอปัญหาก็อย่าวู่วาม พวกภูเขาที่ซื้อไว้นอกจากจ่ายเงินตอนซื้อแล้วก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรอีก ไม่จำเป็นต้องเสียดาย ข้าพูดกับเทพภูเขาเว่ยไว้แล้วว่า หากมีเรื่องอะไรให้ทนไม่ไหวจริงๆ ก็ให้เขาใช้วิชาอภินิหารย้ายเรือนไม้ไผ่ไปที่ภูเขาพีอวิ๋น พวกเจ้าไปหลบอยู่ที่นั่นก็ไม่มีเรื่องแล้ว อีกอย่างยังมีท่านผู้อาวุโสช่วยดูแลเรือนไม้ไผ่ให้ พวกเจ้าจึงไม่ต้องกังวลอะไร”

เฉินผิงอันที่จู้จี้ขี้บ่นแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่เด็กชายชุดเขียวรำคาญไม่ลง

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกำชายแขนเสื้อของนายท่านตัวเองเอาไว้แน่น ใบหน้าเล็กๆ สีขาวอมชมพูมีน้ำตาร่วงเผลาะๆ ลงเป็นสาย อาลัยอาวรณ์อย่างถึงที่สุด

เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง ครั้งนี้เดินทางฉุกละหุกเกินไป ไม่อาจกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงได้ แม้แต่หลุมศพของบิดามารดาก็ยังไม่ได้ไปไหว้ หากจะบอกว่าเฉินผิงอันไม่เสียดายเลยต้องโกหกแน่ แต่ในเมื่อเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ก็คือช่วยไม่ได้ เฉินผิงอันรู้จักหนักเบา รู้จักรีบรู้จักผ่อน

ต้องรู้ว่าครั้งนี้ที่ตนเดินทางไปส่งกระบี่ยังทิศใต้ถือเป็นแผนการที่เกิดจากการร่วมมือกันของหยางเหล่าโถว หร่วนฉงและเว่ยป้อ หยางเหล่าโถวนั้นมีสาเหตุมาจากคนจิ๋วควันธูปสีทอง ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งระหว่างเขากับเฉินผิงอัน หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือระหว่างเขากับอาจารย์ฉี จึงต้องการช่วยให้เฉินผิงอันไปให้ห่างจากที่แห่งนี้ ส่วนสาเหตุที่ทำไมต้องไปก็เพราะคำว่า ‘ผิดและถูก’ เพราะก่อนหน้านี้หลีซีเซิ่งก็เคยเอ่ยว่า ‘สถานที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน’ เฉินผิงอันจึงเชื่ออย่างไร้ข้อกังขา

เว่ยป้อยื่นมือมากดไหล่เฉินผิงอัน “อาจจะเวียนหัวนิดหน่อยนะ”

เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “ตกลง”

เมื่อได้ขัดเกลาหล่อหลอมวิถีวรยุทธ์ขอบเขตที่สาม เฉินผิงอันต้องไปเดินผ่านหน้าประตูผีมาทุกวัน สำหรับเรื่องการทนรับความยากลำบากนั้นจึงไม่ต่างอะไรจากการกินกับข้าวพื้นๆ ในแต่ละวัน

ก็เหมือนกับตอนที่คิดว่าวันนี้ วันพรุ่งนี้ หลังจากนี้ไม่ต้องฝึกหมัดอีกแล้ว แม้จะมีความรู้สึกดีใจซึ่งเป็นอารมณ์ปกติของคนทั่วไปอยู่บ้าง แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความรู้สึกวูบโหวงเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง

เฉินผิงอันมองไปทางหร่วนซิ่วและเด็กน้อยสองคน “ไปแล้วนะ!”

เงาร่างของเว่ยป้อและเฉินผิงอันหายวับไปอย่างเงียบเชียบ แม้แต่ลมเย็นๆ สักระลอกก็ยังไม่ปรากฏที่ระเบียงใต้ชายคา

ข้างราวระเบียง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพึมพำเสียงเบา “พี่หญิงหร่วน นายท่านของข้าต้องคิดถึงท่านแน่นอน”

เด็กชายชุดเขียวโยนหินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งเข้าปาก พูดจาเหลวไหลด้วยสีหน้าจริงจัง “นั่นมันแน่อยู่แล้ว ทุกวันเวลานอนหลับฝันนายท่านยังต้องเรียกหาแม่นางซิ่วซิ่ว น่าอายจะตายไป”

หร่วนซิ่วย่อมไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง แต่ก็ยังอดหัวเราะอย่างอารมณ์ดีไม่ได้

……

เว่ยป้อและเฉินผิงอันมาปราฎตัวอยู่ในป่าที่เงียบสงบแห่งหนึ่งตรงตีนเขาอู๋ถง เว่ยป้อบอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ เขาหายไปแปบเดียวก็กลับมา เอาฝักกระบี่ไม้ไหวลักษณะแปลกประหลาดมาด้วยหนึ่งชิ้น ฝักกระบี่นี้สามารถเสียบกระบี่ได้สองเล่มในเวลาเดียวกัน เป็นฝักแบบที่ใช้ใส่กระบี่คู่ จากนั้นจึงบอกให้เฉินผิงอันเอากระบี่ยาวในอ้อมอกกับกระบี่ไม้ไหวที่สะพายอยู่ด้านหลังใส่มาข้างใน

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกลายมาเป็นจอมยุทธ์พเนจรที่ด้านหลังสะพายกระบี่คู่ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ลูกหนึ่ง ทำให้เขามีกลิ่นอายของคนในยุทธภพอยู่หลายส่วน

เว่ยป้อเดินวนรอบตัวเฉินผิงอันหนึ่งรอบแล้วก็เอ่ยยิ้มๆ “โอ้โห ดูดีจริงๆ นะเนี่ย”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง

จากนั้นก็ตามเว่ยป้อเดินขึ้นเขาไป

เพราะกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าสามสิบหมัดเปลี่ยนมาเป็นสามสิบเอ็ดหมัด หนึ่งหมัดที่เพิ่มมานั้นกลับทำให้ปณิธานหมัดในร่างของเฉินผิงอันค่อยๆ อำพรางตนได้อย่างมิดชิด หนักแน่นและสุขุมมากขึ้น

ประหนึ่งกระบี่ที่เสียบเก็บกลับลงฝัก

เว่ยป้อยังคงสวมชุดสีขาวชายแขนเสื้อกว้าง เฉินผิงอันสะพายกระบี่ห้อยน้ำเต้า คนหนึ่งคือเทพเซียนล่องลอย อีกคนคือเด็กหนุ่มที่มีกลิ่นอายของจอมยุทธ์

เฉินผิงอันพยายามข่มกลั้นเอาไว้ แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหวจนต้องถามออกไป “เว่ยป้อ เมืองเล็กอันตรายมากเลยใช่ไหม?”

เว่ยป้อพยักหน้ารับ “ลองจินตนาการดูสิ หากเจียวและมังกรกรูกันเข้าไปในบ่อน้ำเล็กๆ บ่อหนึ่งพร้อมกัน พวกมันแค่ส่ายสะบัดหางครั้งหนึ่งก็ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้าได้แล้ว และหากคลื่นนั้นกระแทกตัวออกไปก็สามารถทำให้เรือนกายของผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางคนหนึ่งแหลกสลาย เจ้าน่ะ แม้จะไม่ใช่บุคคลที่ผู้ยิ่งใหญ่บางคนให้ความสำคัญก็จริง แต่ขอแค่อยู่ในกระดานหมากตานี้ด้วย ต่อให้จะเป็นตัวหมากที่ไม่สะดุดตามากแค่ไหนก็ยังเลือกว่าตัวเองจะอยู่หรือตายไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นการที่หยางเหล่าโถวให้เจ้าออกมาจากเขตการปกครองหลงเฉวียนทันทีก็ถูกต้องแล้ว และการที่เจ้าคิดได้ ไม่ต่อต้าน ก็ดีมาก”

เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “เดิมทีข้าก็อยากออกไปเดินดูโลกภายนอกอยู่แล้ว จะได้อาศัยโอกาสนี้มาขัดเกลาวิถีวรยุทธ์ของตน ช่วงชิงโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตให้กับตัวเอง”

เว่ยป้อถามอย่างใคร่รู้ “ผู้อาวุโสในเรือนไม้ไผ่ยังอารมณ์เสียอยู่เลย เจ้าไปปฏิเสธอะไรเขาหรือเปล่า?”

เฉินผิงอันไม่อยากอธิบายรายละเอียด เพราะมันเกี่ยวพันกับเรื่องส่วนตัวของผู้เฒ่า แต่ช่วงที่ผ่านมานี้เว่ยป้อต้องวิ่งวุ่นช่วยเหลือเขาหลายอย่าง บวกกับที่มีความสัมพันธ์กับอาเหลียง รวมไปถึงการที่เว่ยป้อป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอย่างจริงใจ เฉินผิงอันไม่ถือสาหากจะเลือกเรื่องบางส่วนมาพูด เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้ารู้แค่ว่ามีเทพเซียนลัทธิเต๋าคนหนึ่งที่ร้ายกาจมากมาเยือนเมืองเล็ก ท่านผู้อาวุโสบอกว่าจะมอบโชควาสนาเทียมฟ้าให้กับข้า โดยให้ข้ามองดูการต่อสู้ระหว่างเขากับเทพเซียนคนนั้น เพื่อทำความเข้าใจกับสัจธรรมแห่งปณิธานหมัด บรรลุได้กี่ส่วนก็เท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ได้ในรวดเดียว อีกทั้งยังเป็นขอบเขตสี่ที่มีรากฐานแน่นหนาที่สุดด้วย”

เฉินผิงอันหยุดไปเล็กน้อยก็กล่าวต่อว่า “ข้าถามผู้อาวุโสว่ามีโอกาสจะชนะกี่ส่วน ผู้อาวุโสตอบตามตรงว่า แม้แต่โอกาสรอดสักเสี้ยวเดียวก็ไม่มี แพ้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะตอนนี้เขายังไม่กลับสู่ขั้นสูงสุดของวิถีวรยุทธ์ ต่อให้ถึงแล้วก็ยังไม่มีโอกาสชนะอยู่ดี ตอนนั้นข้าแปลกใจมาก ในเมื่อรู้ว่าต้องแพ้ แล้วทำไมถึงยังคิดจะสู้ ผู้อาวุโสบอกว่าความปรารถนาสูงสุดในชีวิตนี้ของเขาก็คือได้ต่อสู้กับนักพรตบางคนที่มีชื่อเสียงว่าต่อสู้เก่งที่สุดสักครั้ง แบบนั้นถึงจะเรียกว่าไม่เสียชาติเกิด ในเมื่อแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นสนิทกับนักพรตลัทธิเต๋าที่ได้สมญานามว่า ‘ไร้เทียมทาน’ อย่างมาก ก็ลองสู้กับเขาก่อนสักครั้ง ลองชั่งน้ำหนักของตัวเองว่ามีมากน้อยเท่าไหร่ จะได้รู้ระยะห่างระหว่างสองฝ่ายว่าไกลแค่ไหน ส่วนเรื่องที่บอกว่าจะช่วยให้ข้าเลื่อนสู่ขอบเขตสี่โดยการมอบโชควาสนาให้นั้นก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้”

เฉินผิงอันพูดเหมือนเยาะตัวเอง “แน่นอนว่าข้าเองก็มีใจที่เห็นแก่ตัว ข้าไม่อยากไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ครั้งนี้ เพราะมันอาจทำให้เจ้า หยางเหล่าโถวและช่างหร่วนเสียเวลากันไปอย่างเปล่าประโยชน์ และยิ่งไม่อยาก…ไม่อยากให้อาจารย์ฉีผิดหวัง ดังนั้นข้าจึงบอกความคิดของตัวเองกับท่านผู้อาวุโสไปตามตรง ผู้เฒ่าโกรธก็จริง แต่ก็ไม่ได้ซ้อมข้า แค่ด่าว่าต่อมความกล้าหาญของข้าเล็กยิ่งกว่าเมล็ดข้าวสาร เขาก็ด่าของเขาไป ข้าก็เกลี้ยกล่อมของข้าไป เกลี้ยกล่อมเขาว่าไม่ว่าจะอย่างไร รอให้วิถีวรยุทธ์กลับคืนสู่จุดสูงสุดก่อนค่อยต่อสู้กันก็ยังไม่สาย ไม่อย่างนั้นเวลาต่อสู้จะไม่สาแก่ใจมากพอ อันที่จริงผู้อาวุโสก็ฟังที่ข้าพูดนะ แม้ปากเขาจะไม่เอ่ยอะไร แต่ในใจก็คงรู้สึกว่าหากไม่ได้ออกหมัดอย่างเต็มกำลัง นั่นต่างหากที่จะทำให้เขาต้องเสียดายอย่างแท้จริง ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะต่อสู้นี้ไป ก็แค่ไม่ได้ทำหน้าดีๆ ให้ข้าเห็นก็เท่านั้น ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในเรือนไม้ไผ่เจ้าก็ได้ยินแล้วว่าน้ำเสียงเขายังมีโทสะอยู่เลย”

จู่ๆ เฉินผิงอันก็หัวเราะอย่างเข้าใจ “อันที่จริงผู้อาวุโสก็ไม่ต่างจากเด็กโข่งสักเท่าไหร่”

เว่ยป้อเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากทิ้ง หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ คงจบเห่กันหมดแน่

โชคดีที่เฉินผิงอันไม่ได้ละโมบต่อโอกาสการเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ ไม่อย่างนั้นเว่ยป้อใช้ก้นคิดก็ยังรู้จุดจบที่จะเกิดขึ้น ผู้เฒ่าตายไปอย่างไร้ความเสียดาย แต่ถ้ำสวรรค์หลีจูที่ปริแตกแห่งนี้จะเกิดแผ่นดินไหว ความลับมากมายที่ไม่อาจแพร่งพรายถูกเทกระจาด จากนั้นก็ตามมาด้วยการจับปลาในน้ำขุ่นที่เต็มไปด้วยคาวเลือด เฉินผิงอันที่เดิมทีก็คือ ‘ตัวเดินอันดับหนึ่ง’ ในกระดานหมากล้อมอยู่แล้วย่อมไม่มีจุดจบที่ดีแน่

ส่วนเขาเว่ยป้อ ราชครูต้าหลีชุยฉาน หร่วนฉง เซี่ยสือ เฉาซี สวี่รั่วแห่งสำนักโม่ เฉิงสุ่ยตงเจียวเฒ่าแห่งสำนักศึกษาหลินลู่ ฯลฯ ก็ล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีใครหนีรอด ทุกคนต้องถูกมัดรวมอยู่ด้วยกัน จะเป็นหรือตายก็ล้วนเลือกไม่ได้ ไม่ต่างจากเฉินผิงอัน ต้องดูเจตนารมสวรรค์และโชควาสนาเท่านั้น

ส่วนภูเขาสามสิบกว่าลูกนั้น สุดท้ายแล้วจะเหลืออยู่กี่ลูกก็พูดได้ยาก แต่ต้นไม้ใหญ่มักเรียกลม พลาดแค่ก้าวเดียวภูเขาพีอวิ๋นที่จะได้ขึ้นเป็นขุนเขาเหนือของต้าหลีก็อาจต้องพังถล่มล้มครืนลงมา ต้องรู้ว่าคำว่าวิชาอภินิหารของเซียนไม่ได้เป็นแค่คำเรียกที่สวยหรูเกินจริง

เว่ยป้อที่ยังหวาดผวาไม่คลายหยุดเดิน หันมาตบไหล่เฉินผิงอันแรงๆ “เฉินผิงอัน หากรู้อย่างนี้แต่แรก ข้าจะไม่เก็บเงินค่ายาจากเจ้าแม้แต่ครึ่งอีแปะ!”

เฉินผิงอันตะลึง แต่จากนั้นก็ยิ้มกว้าง “คืนเงินข้ามาตอนนี้ก็ยังทันนะ”

เว่ยป้อแสร้งทำเป็นล้วงค้นเข้าไปในชายแขนเสื้อ

เฉินผิงอันรอเขาควักเงินออกมาอย่างเงียบๆ ไม่มีท่าทีจะปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย

เว่ยป้อหัวเราะถอนฉิว “เฉินผิงอัน เจ้านี่มันน่าโมโหจริงๆ !”

เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง ตบน้ำเต้าตรงเอวตัวเอง “แค่เจ้านี่ก็พอแล้ว!”

เว่ยป้อโอบไหล่ของเฉินผิงอันแล้วพากันเดินขึ้นไปบนภูเขา “ข้าก็รู้อยู่แล้วว่า เจ้าเฉินผิงอันไม่เคยขี้เหนียวกับสหายของตัวเอง”

เฉินผิงอันเงียบไปนาน สุดท้ายก็ได้แต่กล่าวสองคำว่า “ขอบคุณ”

เว่ยป้อแสร้งกระเง้ากระงอดเหมือนผู้หญิง “เพื่อนกันเอ่ยคำว่าขอบคุณ มันน่าเสียใจนะรู้ไหม นี่ก็เหมือนกับที่ระหว่างชายหญิงเขาไม่พูดคำว่าเงินกันนั่นแหละ”

เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งในบัดดล

คิดว่าต้องจดจำหลักการนี้ให้ขึ้นใจ ไว้คราวหน้าจะสลักลงบนแผ่นไม้ไผ่

วันหน้าเมื่อไปเจอแม่นางหนิงที่ภูเขาห้อยหัวห้ามพูดคำว่าเงินๆ ทองๆ เด็ดขาด

นี่เรียกว่านำความรู้ไปปฏิบัติจริง

ตอนนี้เว่ยป้อคือบุคคลโด่งดังที่ทุกคนล้วนรู้จัก บวกกับที่เขาเป็นเทพเซียนบนภูเขาซึ่งในมือกุมอำนาจที่แท้จริงเอาไว้ แต่มีเทพเซียนที่ไหนพูดคุยง่ายอย่างเว่ยป้อบ้าง? ดังนั้นเขาจึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนอย่างยิ่ง แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังมองออกว่าผู้ฝึกลมปราณและนักพรตบุกเบิกภูเขาที่เอ่ยทักทายเว่ยป้อต่างก็รู้สึกใกล้ชิดและสนิทสนมกับเขาจากใจจริง

ตลอดทางที่เดินขึ้นเขามีเสียงทักทายดังไม่ขาดระยะ เว่ยป้อไม่ได้หยุดเดิน แต่จะหันไปยิ้มรับและชวนคุยเฮฮาสองสามคำ ทำให้เกิดเสียงหัวเราะต่อเนื่อง

ระหว่างนี้มีภูตประหลาดที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งซึ่งวิชาการประจบสอพลอไม่เป็นรองเด็กชายชุดเขียว เขาตามตื๊อจะขอนำทางให้กับเทพภูเขาเว่ยผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้ แต่กลับถูกเว่ยป้อสบถด่าขำๆ เตะเขาจนกระเด็นไปไกล ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นไม่โมโห กลับยังรู้สึกภาคภูมิใจด้วยซ้ำ ใบหน้าที่มองแผ่นหลังอันสง่างามของเทพเซียนชุดขาวเต็มไปด้วยความปิติยินดี

ทว่าตอนที่ใกล้จะไปถึงท่าเรือบนยอดเขาอู๋ถง เว่ยป้อกลับเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน ภาพเหตุการณ์ที่มองดูเหมือนจริงใจและปรองดองสามัคคีเช่นนี้ ล้วนเป็นภาพลวงตาทั้งหมด จะไม่ปฏิเสธก็ได้ แต่อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังเกินไปนัก หากข้าเว่ยป้อยังเป็นเทพเจ้าที่ของภูเขาฉีตุน คิดจะพูดกับพวกเขาสักคำยังยาก แน่นอนว่าการอยู่ร่วมกันอย่างสมัครสมานสามัคคี อย่างไรก็เป็นเรื่องดี”

เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจเงียบๆ

ตรงแถบริมขอบท่าเรือของภูเขาอู๋ถงคือหอสูงที่เพิ่งสร้างเสร็จแห่งหนึ่ง สร้างมาจากหินหยกสีขาวสะอาดกลมกลืนเป็นสีเดียวกัน ตรงนั้นมีผู้ฝึกลมปราณแต่งกายแตกต่างกันมารวมตัวกันอยู่หลายสิบคนแล้ว และยังมีเด็ก สตรีและคนชราที่แต่งกายงดงามสดใสอีกส่วนหนึ่ง ฝ่ายหลังน่าจะเป็นกองกำลังของตระกูลเซียนที่หลังจากซื้อภูเขาแล้วก็ขึ้นมาสังเกตการณ์ผลงานของคนอื่น ตอนนี้น่าจะกำลังเตรียมกลับไปที่จวนของตัวเอง พอเห็นเว่ยป้อกับเฉินผิงอัน พวกเขายังเป็นฝ่ายตรงเข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น เว่ยป้อรู้จักชื่อแซ่และตระกูลของคนเหล่านั้นเหมือนรู้สมบัติในคลังของตัวเอง เขาวางตัวเข้าสังคมได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้คนที่พูดคุยด้วยรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ

เฉินผิงอันจงใจไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่จับตามองทุกรายละเอียดไม่ให้คลาดสายตา ในใจรู้สึกอิจฉาและนับถือ การที่สามารถวางตัวได้ดีและพูดคุยกับคนอื่นได้อย่างถูกคอเช่นนี้ ไม่ใช่แค่เว่ยป้อบอกว่าตัวเองคือ ‘ทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือ’ แล้วจะอธิบายทุกอย่างได้

สำหรับการเดินทางลงใต้ของเฉินผิงอัน เว่ยป้อแค่พูดถึงด้วยน้ำเสียงสบายๆ บอกว่าเฉินผิงอันมีญาติคนหนึ่งอยู่ทางใต้ จึงถือโอกาสไปเยี่ยมญาติและสหายด้วย ยกตัวอย่างเช่นเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพแคว้นหนันเจี้ยน และยังมีหลิวป้าเฉียวแห่งสวมลมหิมะ เฉินผิงอันที่ฟังอยู่เหงื่อแตกพลั่กไปทั้งศีรษะ เอาอะไรมาพูดกันนี่ หากจะบอกว่าไปเยี่ยมญาติก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ไปลากเอาแม่ชีสาวกับผู้ฝึกกระบี่มาเกี่ยวข้องด้วย เฉินผิงอันให้รู้สึกลำบากใจจริงๆ เขากับเฮ้อเซียนซือมีโอกาสพบกันครั้งหนึ่งบนหินหลังควาย แต่เขาก็แค่มอบหินดีงูก้อนหนึ่งให้กับนาง ส่วนหลิวป้าเฉียวนั้นอาจจะคุ้นเคยกันสักหน่อย เพราะตอนที่ขึ้นเขาไปพร้อมกับเฉินตุ้ยและเฉินซงเฟิง หลิวป้าเฉียวเป็นคนมีนิสัยร่าเริง แถมยังชอบเรียกพี่เรียกน้องกับคนอื่นไปทั่ว แต่ในความเป็นจริงแล้วคนทั้งสองไม่ได้มีความสนิทสนมอะไรกับเขาเลย จะพูดว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างผิวเผินก็ยังพูดได้ไม่เต็มปาก แต่เว่ยป้อกลับเอามาคุยโวเสียใหญ่โต เฉินผิงอันจะขัดคอเขาก็ไม่ได้ ได้แต่อดกลั้นเอาไว้จนเกือบจะบาดเจ็บภายใน

คนพูดไม่มีเจตนา คนฟังกลับคิดไปไกล เฮ้อเสี่ยวเหลียงและหลิวป้าเฉียวต่างก็เป็นคนมีพรสวรรค์ที่มีชื่อเสียงของทวีป โดยเฉพาะเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่เป็นถึงกุมารีหยกของระบบเต๋า ลำพังแค่นางคนเดียว คนที่มีความเกี่ยวข้องกับนางแม้เพียงเล็กน้อยก็ถือเป็นโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว ทั้งบนและล่างภูเขา ใครบ้างที่กล้าไม่เห็นแก่หน้าของสหายสำนักโองการเทพ? แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีหลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมหิมะอีกคน ดังนั้นบุคคลทั้งหลายที่ทั้งคนในราชสำนักและคนในบ้านเกิดของพวกเขาต่างก็ไม่กล้าดูแคลนจึงยิ่งปฏิบัติต่อเด็กหนุ่มสะพายกระบี่หน้าตาไม่โดดเด่นอย่างกระตือรือร้น แถมยังมีคนเป็นฝ่ายส่งมอบป้ายชื่อที่ทำขึ้นอย่างประณีตงดงามมาให้ ทำเอาเฉินผิงอันอับอายจนอยากจะขุดรูมุดหนีลงไปใต้ดิน

เว่ยป้อยินดีกับสิ่งที่เห็น เสียงหัวเราะของเขาลึกซึ้งเกินกว่าจะคาดเดาความหมาย

ส่วนข้อที่ว่าระหว่างเทพภูเขาเว่ยกับเด็กหนุ่มคนในพื้นที่ที่ได้ครอบครองภูเขาห้าลูกมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไรกันแน่ กลับเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ ทุกคนจึงพากันวิพากษ์วิจารณ์หลากหลาย

แล้วจู่ๆ ก็มีคนตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “เรือคุนมาแล้ว” (คุนคือปลาขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งที่ปรากฏในตำนานโบราณ)

เฉินผิงอันมองตามสายตาของทุกคนไปก็เห็นวัตถุขนาดมหึมากำลังแหวกทะเลเมฆขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้ภูเขาอู๋ถงอย่างเชื่องช้า

เฉินผิงอันอ้าปากกว้าง เขานึกไม่ถึงว่าเจ้าวัตถุที่มีลักษณะเหมือนครีบปลานั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิต อีกทั้งยังไม่ได้ใหญ่โตธรมดา แต่กลับเหมือนภูเขาลูกยักษ์ที่หล่นลงมาจากท้องฟ้า กดทับลงมาทางท่าเรือของภูเขาอู๋ถง เมื่อ ‘เรือคุน’ ลดระดับลงมาอย่างต่อเนื่อง เฉินผิงอันก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กจ้อยนิดเดียว

เฉินผิงอันอดทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ ไม่เสียแรงที่เป็นเรือซึ่งเทพเซียนโดยสารกัน พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม ไม่ธรรมดาจริงๆ

เรือคุนลำหนึ่งสามารถเดินทางข้ามทวีปไปไกลนับพันนับหมื่นลี้ อีกทั้งคำว่า ‘นับพันนับหมื่นลี้’ นี้ยังไม่ใช่แค่จำนวนแบบกะคร่าวๆ เท่านั้น ก่อนหน้าที่เขตการปกครองหลงเฉวียนจะสร้างท่าเรือแห่งใหม่นี้ขึ้นที่ภูเขาอู๋ถง ตลอดทั้งแถบทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปล้วนไม่มีคุณสมบัติมากพอจะให้เรือคุนลงจอด มีเพียงแคว้นหนันเจี้ยนกับนครมังกรเฒ่าทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปเท่านั้นที่มีท่าเรือให้เรือคุนจอด

ราชวงศ์บางส่วนที่มีอำนาจทางการเงินและทางทหารมากพอ แน่นอนว่าต้องมีท่าเรือสำหรับผู้ฝึกลมปราณที่เดินทางไปทั่วสารทิศ แต่ ‘เรือ’ ส่วนใหญ่ล้วนมีขนาดเล็ก รองรับผู้โดยสารได้จำกัด ปริมาณการขนส่งสินค้าด้อยกว่าเรือคุนที่มีเฉพาะในอุตรกุรุทวีปอยู่มาก การรับผู้โดยสารของเรือคุนยังเป็นเพียงแค่วิธีการหาเงินช่องทางเล็กๆ เพราะหลักๆ แล้วจะเน้นไปที่การรวบรวมวัตถุดิบวิเศษในฟ้าดินและสัตว์หายากล้ำค่าของแต่ละพื้นที่มาขาย และเรือคุนยังมีการแบ่งออกเป็นสามระดับ เรือคุนระดับหนึ่ง สันหลังของปลาคุนจะกว้างใหญ่มาก ใหญ่อย่างน่าเหลือเชื่อจนถึงขั้นเทียบเคียงได้กับเขตการปกครองแห่งหนึ่งของต้าหลีได้เลย หากได้ผู้ฝึกลมปราณของหลายฝ่ายซึ่งรวมถึงช่างกลไกสำนักโม่มาช่วยกันสร้างอย่างตั้งใจ ข้างในก็มีได้ทั้งภูเขาและแม่น้ำ มีจวนมีหอสูงใหญ่ มีถนนมีตลาด มีครบหมดทุกอย่างที่ต้องการ ผู้ฝึกลมปราณนับพันนับหมื่นสามารถใช้ชีวิตอยู่บนนั้นได้ตลอดชีวิตโดยที่ไม่รู้สึกถึงความอึดอัดไม่สะดวกไม่สบาย

เว่ยป้อเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “ปลาคุนมีนิสัยอ่อนโยนควบคุมง่าย หลังจากได้รับการฝึกฝนจากผู้ฝึกลมปราณเป็นการเฉพาะมาแล้ว ต่อให้ถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัสก็สามารถทนรับกับความเจ็บปวดโดยไม่ดิ้นสะบัด ดังนั้นเมื่อเทียบกับเรือขนาดใหญ่ประเภทอื่น ปลาคุนจึงค่อนข้างจะปลอดภัยและมั่นคงมาก พวกเต่าขุนเขาหรือปลาวาฬกลืนสมบัติก็เป็นตัวเลือกที่ดีในการนำมาทำเรือเหมือนกัน เพียงแต่ว่าจำนวนของพวกมันมีน้อย อีกทั้งยังค่อนข้างจะอารมณ์ร้าย และในประวัติศาสตร์ก็มีโศกนาฎกรรมที่เต่าขุนเขาดำดิ่งลงไปก้นทะเลโดยพลการ”

เฉินผิงอันยังคงอ้าปากค้างไม่หุบ

บนสันหลังของปลาคุนไม่เพียงแต่ราบเรียบกว้างขวาง ยังมีราวระเบียงล้อมเป็นวงกลม มีหอเรือนสูงขึ้นเรียงเคียงกัน และเรือคุนที่ขนาดใหญ่จนกินพื้นที่ท่าเรือไปเกินครึ่งภูเขาลำนี้ก็ไม่ได้แนบติดกับพื้นดิน แต่ลอยตัวอยู่กลางอากาศห่างจากพื้นดินไปหลายจั้ง ก่อให้เกิดลมภูเขาพัดเป็นระลอกจนฝุ่นดินคละคลุ้ง ยังดีที่หอสูงสำหรับขึ้นเรือสร้างอยู่ระหว่างปลาคุนพอดี คนที่ยืนอยู่บนหอสูงจึงไม่ถูกลมแรงพัดให้หล่นไปที่ตีนเขา

หลังจากที่เรือคุนลอยตัวหยุดนิ่งอย่างมั่นคงแล้ว ตรงช่องว่างของรั้วที่ล้อมรอบก็มีบันไดซึ่งกว้างเหมือนถนนในตรอกเถาเย่ทอดตัวลงมา ด้านล่างของบันไดสอดติดเข้ากับกลไกลที่เว้าลึกลงไปของหอสูงพอดี เป็นเหตุให้บันไดที่พาดตัวอยู่กลางอากาศให้ความรู้สึกมั่นคงดุจหินผาแก่ผู้คน คนกลุ่มหนึ่งที่เดินลงมาจากบันไดพูดคุยกับเจ้าของท่าเรือบนภูเขาอู๋ถงครู่หนึ่งก็หันมาเอ่ยกลั้วยิ้มกับพวกเว่ยป้อด้วยภาษาทางการดั้งเดิมของแจกันสมบัติทวีป “ทุกท่าน หลังจากที่พวกท่านขึ้นเรือไปแล้ว สินค้าของร้านผ้าห่อบุญบนภูเขาหนิวเจี่ยวจะต้องถูกขนลงมาสองรอบบันไดเรือปลาคุน ใช้เวลาครึ่งชั่วยาม หากมีความล่าช้า เรือไม่อาจออกจากท่าได้ตามเวลาที่กำหนด ในฐานะที่ ‘ภูเขาต่าเจี้ยว’ (การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเต๋า) ของพวกเราเป็นสำนักเก่าแก่ที่ก่อตั้งมานานนับพันปีในอุตรกุรุทวีป เราจะคืนค่าใช้จ่ายในการขึ้นเรือให้กับทุกท่านเอง”

กล่าวจบผู้เฒ่าที่สวมอาภรณ์ผ้าแพรก็หันมาหาเว่ยป้อ “ใช้เทพภูเขาเว่ยผู้ยิ่งใหญ่หรือไม่?”

เว่ยป้อยิ้มตาหยี “มิกล้าๆ”

ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังกังวาน กุมมือคารวะ “ในหนึ่งปีเรือคุนเดินทางไปกลับสามทวีปหนึ่งครั้ง คงได้แต่ขอแสดงความยินดีกับท่านเทพภูเขาเว่ยผู้ยิ่งใหญ่ไว้ล่วงหน้าแล้ว! คราวหน้าหากไม่อาจมาแสดงความยินดีถึงที่ได้ทันกาล ก็จะตามเอาของขวัญไปมอบให้ในภายหลัง หวังว่าถึงเวลานั้นท่านเทพภูเขาเว่ยผู้ยิ่งใหญ่จะไม่ปฏิเสธ”

เว่ยป้อสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ รอยยิ้มกดลึก พูดหยอกล้อว่า “ไม่ปฏิเสธๆ แต่หากเห็นว่าของขวัญน้อยไป คราวหน้าถ้ามาก่อเรื่องที่นี่ จะทำให้พวกเจ้าไม่อาจออกเรือได้ตรงตามเวลา”

ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าแพรหัวเราะร่าเสียงดัง “น้อยไม่ได้เด็ดขาด! มากราบไหว้ภูเขาลูกใหญ่ ภูเขาลูกใหญ่ขนาดนี้จะไม่เห็นความสำคัญได้อย่างไร! ถอยไปพูดหมื่นก้าว หากสำนักของพวกเราทำตัวขี้เหนียว ข้าผู้อาวุโสก็จะต้องชดเชยให้ด้วยตัวเอง!”

เว่ยป้อพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “นับว่าท่านมีน้ำใจแล้ว”

จากนั้นเขาก็ตบไหล่เฉินผิงอัน “นี่คือเพื่อนสนิทของข้า ชื่อว่าเฉินผิงอัน เป็นเศรษฐีน้อยในถิ่นของพวกเรา เขาจะลงเรือที่แคว้นหนันเจี้ยน หวังว่าท่านเจ้าของเรือจะช่วยดูแล ค่าใช้จ่ายทั้งหมดบนเรือปลาคุนลำนี้ของเฉินผิงอันล้วนลงไว้ในบัญชีของข้าเว่ยป้อ มาคราวหน้าข้าจะจ่ายให้พวกเจ้าเอง”

ผู้เฒ่าโบกมือ “จ่ายอะไรกัน ข้าจัดการให้เอง”

เว่ยป้อยิ้มตาหยี “เกรงอกเกรงใจอะไรกันขนาดนี้เล่า?”

ผู้เฒ่ายังคงหัวเราะเสียงดังเหมือนเดิม

ภาพเหตุการณ์นี้สร้างความอิจฉาให้กับคนอื่นๆ ที่มองดูอยู่อย่างยิ่ง

ก่อนที่เฉินผิงอันจะตามทุกคนขึ้นไปบนเรือ เขาหยุดอยู่ตรงหน้าบันได หันตัวกลับมากุมมือคารวะเว่ยป้อโดยไม่ได้เอ่ยอะไร

เว่ยป้อคารวะกลับ ค้อมเอวลงเล็กน้อย

ทุกอย่างล้วนไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย

ภาพนี้ตกอยู่ในสายตาของผู้เฒ่าชุดผ้าแพรที่กำลังคุยเรื่องธุรกิจกับคนอื่นอยู่ไกลๆ ในใจเขาจึงยิ่งมั่นใจมากขึ้น

สุดท้ายเฉินผิงอันก็เดินขึ้นบันไดไปเพียงลำพังช้าๆ

ด้านหลังสะพายกระบี่สองเล่ม กำจัดปีศาจปราบมาร

ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ชูอีและสืออู่ต่างก็อยู่ข้างใน

ในฐานะวัตถุฟางชุ่นหายากที่ได้แต่ปรารถนายากที่จะได้มาครอบครอง ‘สืออู่’ ที่แลกมาด้วยปิ่นหยกธรรมดาชิ้นหนึ่งมีขนาดไม่สะดุดตามากนัก ความกว้างและความยาวพอๆ กับกระบี่ไม้ไหวที่มีชื่อว่า ‘ปราบมาร’ เฉินผิงอันชอบมันมาก ตอนนี้เขาใช้จิตของตัวเองควบคุมกระบี่ได้อย่างคุ้นเคย ไม่ว่าจะเอาของใส่หรือหยิบของออกมาก็ล้วนคล่องแคล่ว ความรู้สึกที่มีวัตถุผุดออกมาจากความว่างเปล่านั้นทำให้เด็กบ้านนอกผีขี้เหล้าอย่างเฉินผิงอันรู้สึกดียิ่งกว่าตอนดื่มเหล้าจนเมากรึ่มๆ เสียอีก

ตอนนี้ในวัตถุฟางชุ่นมีตราประทับตัวอักษรจิ้ง กับตราประทับขุนเขาและแม่น้ำคู่หนึ่งที่ฉีจิ้งชุนมอบให้

ตำราหมัดเขย่าขุนเขาที่ช่วยเก็บรักษาแทนกู้ช่านก่อนชั่วคราว

ตำราลัทธิขงจื๊อหลายเล่มที่เหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่ามอบให้

พู่กันด้ามไม้ไผ่ซึ่งสลักสี่คำว่า ‘เหล็กหมาดลมหิมะ’ และ ‘ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย’ จากหลี่ซีเซิ่ง นอกจากพู่กันแล้ว หลี่ซีเซิ่งยังให้ชุยชื่อนำกระดาษยันต์ว่างเปล่าจำนวนมากมามอบให้ ซึ่งกระดาษนั้นแบ่งออกเป็นสามชนิดใหญ่ๆ ได้แก่กระดาษสีเหลืองที่มีจำนวนมากสุด กระดาษสีทองที่มีลวดลาย รวมไปถึงกระดาษยันต์ที่ลักษณะเหมือนหน้าหนังสือสีเหลืองซีดที่มีน้อยที่สุด และยังมีหนังสือการเขียนยันต์เบื้องต้นอีกส่วนหนึ่ง

เทียบยาสองสามแผ่นที่นักพรตหนุ่มลู่เฉินทิ้งไว้ให้

แผนที่ซึ่งระบุถึงอาณาเขตของแต่ละแคว้นในแจกันสมบัติทวีปปึกใหญ่ เว่ยป้อเป็นผู้มอบให้ เป็นของแถมเล็กน้อยหลังจากที่เฉินผิงอันจ่ายค่ายาด้วยหินดีงู

‘เหรียญทองแดง’ เนื้อหยกหลายร้อยชิ้น เฉินผิงอันใช้หินดีงูธรรมดาที่เหลืออยู่แลกมาจากเด็กชายชุดเขียว เหรียญเงินที่ชาวบ้านร้านตลาดด้านล่างภูเขาดูถูกเหล่านี้ก็คือสิ่งที่เทพเซียนบนภูเขาใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้มีมูลค่าควรเมืองอย่างเช่นเหรียญทองแดงแก่นทองก็เท่านั้น แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกลมปราณที่ในกระเป๋าเงินบรรจุเหรียญเนื้อหยก เงินทองของมีค่าทั้งหลายในสายตาของชาวบ้านกลับไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง

นอกจากนี้ในวัตถุฟางชุ่นยังมีแผ่นไม้ไผ่เล็กๆ ที่ยังไม่ได้สลักตัวอักษร และมีดแกะสลักเล่มเล็ก

และยังมีของกระจุกกระจิกอย่างข้าวสารหนึ่งถุง รวมไปถึงขวดบรรจุน้ำมัน เกลือที่ใช้สำหรับทำอาหาร ตะขอตกปลากำใหญ่ มีดผ่าฟืนบุกเบิกเส้นทางบนภูเขาที่เพิ่งซื้อมาใหม่หนึ่งเล่ม เสื้อผ้าที่ซักสะอาดเอี่ยม รองเท้าสานถักใหม่สองคู่ เป็นต้น

แน่นอนว่ายังมีเศษเม็ดเงินและแผ่นทองอีกส่วนหนึ่ง หลักการที่ว่าเวลาออกนอกบ้าน เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้ชายชาตรีลำบากตายได้นั้น เฉินผิงอันมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งตั้งแต่ตอนเดินทางไปต้าสุยแล้ว

เฉินผิงอันเดินไปได้ครึ่งทางก็อดหันกลับไปมองข้างหลังไม่ได้

เทพภูเขาชุดขาวยังคงยืนอยู่ที่เดิม โบกมือส่งยิ้มมาให้เขา

เฉินผิงอันโบกมือเป็นการบอกลา แล้วจึงเดินหน้าต่ออีกครั้ง เพียงแต่เขาปลดน้ำเต้าสีชาดตรงเอวออกมาดื่มเหล้ารสแรงเงียบๆ

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อพบกันใหม่คราวหน้า ทั้งสหายในบ้านเกิดและภูเขาแม่น้ำล้วนยังอยู่สุขสบายดังเดิม

ล้วนสงบสุขปลอดภัย (ภาษาจีนใช้คำว่า ผิงผิงอันอัน เหมือนชื่อของเฉินผิงอัน)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!