Skip to content

Sword of Coming 212

บทที่ 212 เต๋าสูงหนึ่งคืบ

เมืองเล็กหลงเฉวียน ในโรงเรียนเก่าแก่ที่ถูกทิ้งร้าง นักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวเล็กเพียงลำพัง มองไปยังตำแหน่งที่ฉีจิ้งชุนเคยยืนมาเป็นเวลาหกสิบปี นักพรตหนุ่มเงียบงันไม่เอ่ยคำใด ปลายนิ้ววาดไปวาดมาบนหน้าโต๊ะเบาๆ โดยไม่รู้ตัว

เมื่อคืนสติ ลู่เฉินจึงยกมือขึ้นคว้าจับไปทางด้านหลัง เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่บินทะยานออกมาจากเรือปลาคุนก็ถูกเขา ‘งม’ ออกมาจากทะเลเมฆที่กว้างใหญ่ไพศาลโดยตรง ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคำอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียง แต่เมื่อถูกย่นระยะทางนับหมื่นลี้ในเสี้ยววินาทีก็ยังอดรู้สึกหูตาพร่าลายไม่ได้ ร่างของนางเซถลาอยู่พักหนึ่งถึงจะหยุดยืนได้อย่างมั่นคง

เฮ้อเสี่ยวเหลียงตีหน้านิ่ง จัดระเบียบเสื้อผ้า สงบจิตวิญญาณที่อยู่ในทะเลสาบหัวใจ ถอยหลังไปสามก้าว ครั้นจึงทรุดตัวลงพื้นหมอบกราบ “ศิษย์เฮ้อเสี่ยวเหลียงคารวะอาจารย์”

จากกุมารีหยกของระบบเต๋าในหนึ่งทวีปกระโดดข้ามขั้นกลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าลัทธิหนึ่งในสำนักเต๋า นี่ก็คือปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกรโดยไม่ต้องสงสัย

ลู่เฉินพยักหน้ารับ ยกมือบอกให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงรู้ว่าลุกขึ้นยืนได้ “ลุกขึ้นเถอะ เป็นลูกศิษย์ของข้าไม่จำเป็นต้องยึดถือกฎระเบียบพิธีการอะไรมากนัก แค่จริงใจก็พอแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่ต้องสงสัย วันหน้าเมื่ออยู่ด้วยกันนานวันเข้า รอจนเจ้าได้พบกับศิษย์พี่ชายหญิงอีกห้าคนที่เหลือของเจ้าก็จะเข้าใจได้เองว่า นอกเหนือจากมหามรรคาแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงมายาเลื่อนลอย”

สำหรับพิธีการทางโลกของลัทธิขงจื๊อ หรือแม้แต่กฎเหล็กในระบบเต๋าของตัวเอง ลู่เฉินที่ใช้ชีวิตอยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่แท้จริงแล้วเติบโตอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวไม่เคยให้ความสำคัญ บางทีอาจพูดได้ว่าก่อนหน้าจะถึงขอบเขตบินทะยาน เขาก็คือคนที่หันหลังให้กับระเบียบทางโลก ดังนั้นจึงเป็นคนที่มีจิตใจเปิดกว้าง ไร้ข้อผูกมัด และมีชื่อเสียงอยู่บนโลกใบนี้ด้วยสองคำว่า ‘อิสระเสรี’

ไม่เหมือนศิษย์พี่ใหญ่ที่ละเอียดอ่อนรอบคอบ หรือศิษย์พี่รองที่รู้ขอบเขตควรมิควร เขาที่เป็นศิษย์น้องเล็ก ต่อให้อยู่ต่อหน้าอาจารย์ก็ยังไม่ทำตามกฎระเบียบสักเท่าไหร่ ด้วยเรื่องนี้ศิษย์พี่ใหญ่ยังเคยเกลี้ยกล่อมเขา แม้แต่พี่รองก็ยังเคยซ้อมเขามาก่อน ภายหลังลู่เฉินก็ยังทำอะไรตามใจตัวเองอยู่เหมือนเดิม ยังดีที่อาจารย์ซึ่งจะมาปรากฎตัวในถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาเป็นบางครั้งไม่ได้ถือสา

ลู่เฉินมองแม่ชีสาวที่ค่อนข้างจะอึดอัดใจ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ทำไม ถูกงูกัดครั้งหนึ่งเลยกลัวเชือกไปสิบปี คิดว่าข้านักพรตที่เป็นอาจารย์ของเจ้าคิดวางกับดักล่อคนทุกวันอย่างนั้นหรือ? เพราะฉะนั้นทุกคำที่ข้าพูด เจ้าต้องใคร่ครวญ ชั่งน้ำหนักอย่างระมัดระวัง? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คิดผิดแล้ว อะไรที่มากเกินไปย่อมไม่ดี การที่ครั้งนี้เจ้ากลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของข้าได้ก็เพราะเจ้าสามารถผ่านด่านถามใจได้ติดต่อกันสามด่าน ด่านแรก เมื่อสัมผัสได้ว่าเป็นแผนการของข้าผู้เป็นนักพรตก็ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด รีบทบทวนเจตนาเดิมของตน ดึงภาพลวง ‘คู่สวรรค์ประทาน’ ทิ้งไป คว้าความจริงที่ว่า ‘วาสนาบางเบา’ เอาไว้ เมื่อผ่านด่านนี้มาได้ เจ้าถึงไม่ตายก่อนวัยอันควรที่กุรุทวีป หาไม่แล้วเมื่อไปอยู่ในสถานที่ที่ผู้ฝึกกระบี่กลาดเกลื่อนเหมือนขนวัว ทุกอย่างล้วนอาศัยกระบี่ที่รวดเร็วและหมัดในการพูดจา อนาคตเจ้าย่อมต้องเจอกับอุปสรรคใหญ่หลวง เนื่องด้วยทั้งชีวิตที่ผ่านมาเจ้าพบเจอแต่ความราบรื่นมาโดยตลอด หากสภาพจิตใจปริแตกจะยิ่งแหลกสลายได้อย่างสิ้นเชิงไม่มีทางแก้ไข และข้าผู้เป็นนักพรตก็ไม่ต้องไปตามหาตัวเจ้าในชาติหน้าแล้ว”

ลู่เฉินยื่นนิ้วชี้หน้าเฮ้อเสี่ยวเหลียง ยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจ้าต้องรู้ว่า ครั้งนี้คนสามคนที่เซี่ยสือขอจากต้าหลี ยังไม่ต้องพูดถึงหลี่ซีเซิ่ง เอาแค่หม่าขู่เสวียน เขาก็คือเด็กโชคดีที่ศิษย์พี่รองของข้าเลือกตัวไป หนึ่งแก่หนึ่งเด็ก นิสัยร้ายกาจเข้าขากันเป็นอย่างดี ส่วนข้อที่ว่าจะมีเรื่องวงในอย่างอื่นอีกหรือไม่ ระบบเต๋าย่อมมีกฎเป็นของตัวเอง ไม่อนุญาตให้พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนอนุมานทำนายดวงให้กัน ส่วนเจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงคือคนที่ข้าผู้เป็นนักพรตเลือก เพราะใจแห่งการฝึกตนของเจ้าคล้ายคลึงกับประสบการณ์การฝึกตนเมื่อแรกเริ่มของข้ามาก ไขปริศนาที่บังตา มุ่งตรงไปยังเจตนาดั้งเดิม นี่จึงเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก เรียบง่ายกว่าการเป็นหุ่นเชิด ตกเป็นหมากของคนอื่น หรือคิดว่านี่คือแผนการในการช่วงชิงของเมธีร้อยสำนักอย่างที่เจ้าจินตนาการไว้มาก ก็แค่ข้าผู้เป็นนักพรตถูกชะตากับเจ้า จึงเลือกเจ้าเป็นลูกศิษย์ก็เท่านั้น”

“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าพวกตาแก่ที่อยู่ในศาลเจ้าบุ๋นเหล่านั้นจะไม่จับตามองทุกการกระทำของข้า? เพราะฉะนั้นนี่ก็คือแผนการอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย วันหน้าเจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงจะยืนหยัดอยู่ในกุรุทวีปได้อย่างมั่นคง มีชีวิตอยู่อย่างดีไปถึงท้ายที่สุดหรือไม่ ก็ดูที่แค่ความสามารถของเจ้าอย่างเดียว หลังจากที่ข้าผู้เป็นนักพรตกลับคืนไปยังใต้หล้ามืดสลัวจะไม่คอยดูแลลูกศิษย์ทุกก้าวย่าง เหล่าอริยะของลัทธิขงจื๊อไม่มีทางจงใจทำร้ายเจ้า อีกทั้งเจ้ายังมีศิษย์พี่ชายที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอีกคนหนึ่ง รวมไปถึงศิษย์พี่หญิงที่ฝึกประสบการณ์อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ก็สามารถไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน มีมิตรภาพของคนร่วมสำนัก…ก็ควรต้องช่วงชิงหน้าตาให้อาจารย์อย่างข้าสักหน่อย”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็คลี่ยิ้ม “วางใจเถอะ ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ใช่อาจารย์ที่สำนักโองการเทพของเจ้า ไม่มีทางต้องการให้เจ้ามาฝึกตนคู่อะไรทั้งนั้น”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับมาเป็นแม่ชีงดงามผู้มีบุคลิกสุขุมเยือกเย็นที่มองทุกอย่างเว้นจากมหามรรคาเป็นสิ่งนอกกายอีกครั้ง นางถามคำถามหนึ่งที่ครุ่นคิดมานานมากแล้ว “ใต้หล้ามืดสลัวที่เจ้าประมุขลัทธิเต๋าของพวกเราควบคุมทุกอย่างก็มีอริยะของลัทธิขงจื๊อวางแผนการไว้อย่างลับๆ ด้วยหรือไม่?”

ลู่เฉินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “มันก็แน่อยู่แล้ว ไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกัน ทุกคนต่างก็ยุ่งกันแทบหัวหมุน เจ้าคิดว่าคนอย่างหม่าขู่เสวียน เว่ยจิ้น ซ่งจ่างจิ้งถือเป็นลูกรักลำดับสูงสุดของสวรรค์แล้วใช่หรือเปล่า?”

ลู่เฉินหัวเราะอย่างมีความสุข “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเจ้าก็ควรไปดูที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจริงๆ หรือบางทีในอนาคตได้ไปเยือนป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัว เจ้าก็จะเข้าใจได้เองว่าต้องมีภูเขาที่สูงกว่าภูเขาหนึ่งเสมอ”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกล นางบิดเอวหันมามองประสานสายตากับลู่เฉิน พอได้ยินคำตอบของเขาหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยราวกับไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่

ลู่เฉินถามอย่างคลุมเครือ “เจ้าอยากถามว่าทำไมสามลัทธิถึงไม่นัดหมายกันให้รู้เรื่องไปเลยว่าพัฒนาศักยภาพได้แค่ในถิ่นของตัวเองเท่านั้น และต้องผลักไสความรู้ของสำนักหรือลัทธิอื่นๆ ? แบบนี้จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงพยักหน้ารับ นี่ก็คือสิ่งที่นางคิดอยู่ในใจ

ลู่เฉินกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เพราะแต่ละถิ่นฐานในตอนนี้ล้วนเคยเป็นสมรภูมิรบโบราณที่ใหญ่ที่สุด เป็นผลเก็บเกี่ยวที่เหล่าปราชญ์อริยะใช้ชีวิตแลกมันมา พวกเราเองก็กลัวว่าอนาคตฟ้าดินจะเกิดการเปลี่ยนแปลง หากเลือกที่จะพอใจอยู่ ณ ที่เดิมๆ ไม่แสวงหาความก้าวหน้า บางทีอาจทำให้คนที่อยู่เบื้องล่างรู้สึกถึงอุปสรรคที่ขัดขวางบนมหามรรคา จุดจบจะเป็นอย่างไร ใต้หล้าทั้งหลายในทุกวันนี้ก็คือหลักฐานพิสูจน์ที่ดีที่สุด”

ลู่เฉินชี้ไปยังทิศทางสุสานเทพเซียนของเมืองเล็ก “แม่น้ำและภูเขายังคงเดิม ทว่าเจ้าของที่เคยอยู่สูงเหนือผู้ใดกลับกลายเป็นเพียงเศษซากที่กองกันอยู่ในดินโคลน”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงพอจะกระจ่างแจ้งได้บ้างแล้ว

เรื่องบางเรื่องอยู่ห่างไกลเกินไป ยากที่จะทำความเข้าใจได้ คนที่รู้เรื่องก็ไม่เต็มใจพูด อีกทั้งยังไม่มีเขียนไว้ในตำรา คนรุ่นหลังย่อมเคว้งคว้างไม่เข้าใจ

การคาดเดามากมายหลากหลาย การช่วยผลักดันลูกคลื่นให้เคลื่อนไปข้างหน้าของสำนักเล็กๆ งานประพันธ์ของนักเขียนที่เต็มไปด้วยจินตนาการบรรเจิด ประวัติศาสตร์เกร็ดพงศาวดารที่จงใจเขียนด้วยภาษาลึกซึ้ง ทุกสิ่งเหล่านี้ตกตะกอนทับถมกันปีแล้วปีเล่า เกรงว่าบางทีเมื่อความจริงเล็กๆ น้อยๆ ลอยขึ้นเหนือน้ำมาก็คงถูกกลบทับลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลับจะถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นข้อผิดพลาดด้วย

ลู่เฉินคลี่ยิ้ม “ออกนอกเรื่องไปไกลแล้ว กลับมาเข้าประเด็น ด่านที่สองของเจ้า ข้าผู้เป็นนักพรตต้องการแน่ใจว่าการเดินทางไปยังกุรุทวีปครั้งนี้ของเจ้า ควรให้เจ้าพึ่งพาเทียนจวินเซี่ยสือ หรือว่าให้เจ้าก่อตั้งสำนักเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงจงใจขุดหลุมพรางทำให้เจ้าคิดว่าตัวเองสละการเลือกที่ถูกต้องทั้งสองข้อไป แล้วดันมาเลือกการตัดสินใจข้อที่ผิดที่สุด ให้เจ้าเข้าใจผิดคิดว่าจะต้องเดินสวนทางกับมหามรรคา ต้องการให้ใจเจ้าเกิดความเสียดาย สงสัยในเจตนารมณ์เดิมของมหามรรคาตัวเอง”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “แค่ต้องอาศัยสติปัญญาเสี้ยวหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ในสมองถึงจะผ่านด่านไปได้”

ลู่เฉินเอ่ยยิ้มๆ “เกี่ยวกับข้อนี้ ข้าผู้เป็นนักพรตจะเฉลยให้เจ้าฟังว่าเหตุใดเจ้ากับเฉินผิงอันถึงผูกสัมพันธ์กันได้ในช่วงสุดท้าย ตอนนี้มาพูดถึงด่านสุดท้ายก่อน ซึ่งค่อนข้างจะซับซ้อนเล็กน้อย เป็นด่านสำคัญที่สืบเนื่องต่อกัน คำว่าความรักนั้น สามารถอธิบายได้หมื่นรูปแบบ

“ระหว่างชายและหญิงเกิดความหวั่นไหวได้มากที่สุด ดังนั้นข้าผู้เป็นนักพรตจึงปลูกเมล็ดพันธ์ความรักเมล็ดหนึ่งไว้ในทะเลสาบหัวใจของเจ้านานแล้ว เมื่อมันพบเจอกับน้ำฝนแห่งโชควาสนา มันก็จะแตกหน่องอกงามอย่างรวดเร็วโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว เดิมทีนี่เป็นวิธีรวบรัดชั้นต่ำ แต่กลับได้ผลสำหรับเจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียง แล้วนับประสาอะไรที่ต่อให้เป็นวิธีชั้นต่ำแค่ไหน เมื่อข้านักพรตเป็นผู้ใช้ก็กลายเป็นวิธีชั้นสูงได้”

“มีอาจารย์ผู้มีพระคุณที่สำนักโองการเทพ มีเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะวัยเดียวกันที่พรสวรรค์เลิศล้ำ และเด็กหนุ่มชาวบ้านจากตรอกหนีผิง สองคนแรกเจ้าผ่านมาได้อย่างราบรื่น ยังคงรักษาเจตนารมณ์เดิมของตัวเองเอาไว้ได้โดยที่ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย มีเพียงด่านสุดท้ายที่เนื่องจากข้าผู้เป็นนักพรตจงใจสร้างความยากลำบาก ช่วยปูถนนสร้างสะพานถึงทำให้เจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าหากเจ้า…”

ลู่เฉินลุกขึ้นยืน งอนิ้วเคาะลงไปบนกวานดอกบัวที่เป็นสัญลักษณ์ของเจ้าลัทธิเบาๆ แล้วพูดต่อว่า “มึนๆ งงๆ หัวใจแห่งการฝึกตนสะท้านสะเทือนไปเพราะสองคำว่าลู่เฉิน จึงเลือกเดินไปบนทางที่ข้าผู้เป็นนักพรตบุกเบิกไว้ให้เจ้า ถ้าอย่างนั้นข้าผู้เป็นนักพรตก็ยังจะอนุญาตให้เจ้าตั้งสำนักขึ้นเองที่กุรุทวีป แต่จะไม่ยอมรับเจ้าเป็นลูกศิษย์เด็ดขาด”

“เรื่องรับลูกศิษย์ก็ยากลำบากเช่นนี้แล”

ลู่เฉินหุบยิ้ม “คิดจะเป็นลูกศิษย์ของลู่เฉินก็ควรต้องมีความคิดที่ว่า สักวันหนึ่งมรรคาถาของข้าจะสูงกว่าลู่เฉิน เส้นทางที่ข้าก้าวเดินต้องยาวไกลกว่าลู่เฉิน ห่างคัมภีร์กบฏต่อมรรค? (离经叛道 หากแปลเป็นภาษาไทยจะแปลว่านอกรีตนอกรอย) ห่างจากคัมภีร์อะไร คัมภีร์ก็แค่สิ่งที่นักปราชญ์เขียนไว้เท่านั้น กบฏต่อมรรคอะไร? มรรคก็คือเส้นทางที่พวกนักปราชญ์ก้าวเดิน แล้วทำไมถึงไม่ลองทำด้วยตัวเองดูล่ะ?”

ต่อให้เป็นคนที่นิสัยเยือกเย็นอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ยังอดเกิดความหวาดหวั่นพรั่นพรึงและเคารพนับถือขึ้นในใจไม่ได้

นางลุกขึ้นยืน โค้งคารวะลู่เฉินอย่างนอบน้อม “หวังว่าสักวันหนึ่งศิษย์เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะสามารถนั่งพูดคุยถกปัญหาอยู่ในระดับเดียวกับอาจารย์”

ลู่เฉินจุ๊ปาก “ค่อนข้างยากนะ”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงนั่งกลับลงไปอีกครั้ง เอ่ยถามว่า “ที่อาจารย์บอกว่าจะเก็บไว้บอกใน ‘ช่วงสุดท้าย’ หมายความว่าอย่างไร? การผูกสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับเฉินผิงอันก็มีความหมายที่ลึกซึ้งด้วยหรือ?”

ลู่เฉินพยักหน้ารับ “แน่นอน หากเป็นคนทั่วไป เจ้าไม่ใช่เฮ้อเสี่ยวเหลียง เขาไม่ใช่เฉินผิงอัน ถ้าเช่นนั้นการที่ข้าผู้เป็นนักพรตลำบากเป็นผู้เฒ่าดวงจันทร์เชื่อมด้ายแดงในครั้งนี้ก็จะดูไม่ฉลาดเลยแม้แต่น้อย ฉีจิ้งชุนจับคู่ยวนยางมั่วซั่วก็ต้องรับผิดชอบ หวังว่าสักวันหนึ่งเด็กคนนั้นจะสามารถใช้ใจตนแบกขุนเขาไว้บนไหล่ได้ ส่วนสองฝั่งของด้ายแดงในมือข้าผู้เป็นนักพรตก็คือคนสองคน และยิ่งเป็นกระจกที่ใสสะอาดไร้มลทินสองบานที่ส่องสะท้อนกันและกัน ไม่ใช่แค่ให้เฉินผิงอันมาแบ่งโชควาสนาของเจ้าไปเท่านั้น เฉินผิงอันยังช่วยให้เจ้าผ่านด่านความรักไปได้ด้วย”

ลู่เฉินหันไปมองยังทิศทางที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงปรากฏตัวก่อนหน้านี้ “ใต้หล้านี้มีคนประหลาดและคนที่พิเศษหมื่นหมื่นพัน (เป็นจำนวนที่แสดงถึงปริมาณที่มากเกินกว่าจะบอกเป็นตัวเลขที่แน่ชัด) นิสัยอย่างเฉินผิงอัน ข้าผู้เป็นนักพรตก็เคยเห็นมาเป็นพันพันหมื่น เขาอาจจะไม่ได้พิเศษอะไรนัก แต่กลับมีทั้งความคล้ายคลึงและทั้งไม่คล้ายนิสัยของเจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียง มีการเชื่อมโยงที่มองไม่เห็นอย่างพอเหมาะพอเจาะ ดังนั้นครั้งแรกที่พวกเจ้าพบหน้ากัน คนทั้งสองต่างก็มีสถานะที่พิเศษ แต่เจ้าก็ยังคงมองออกถึง ‘วาสนาบางเบา’ ระหว่างกัน อันที่จริงไม่ใช่ว่าพวกเจ้ามีวาสนาที่น้อยนิดต่อกัน เพียงแค่เพราะตบะของเจ้ามีจำกัด จึงมองออกอย่างตื้นเขิน”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงถามเบาๆ “อาจารย์ นี่ก็คือการทดสอบอีกหรือ?”

ลู่เฉินหัวเราะร่าเสียงดัง “เจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้าแล้ว ยังจะต้องทดสอบอะไรอีก? ทำไม อยากจะกลายเป็นผู้สืบทอดสายตรงของท่านผู้เฒ่ามรรคาจารย์เต๋า ได้นั่งทัดเทียมกับลู่เฉินในรวดเดียวถึงจะยอมเลิกราอย่างนั้นรึ?”

สายตาของเฮ้อเสี่ยวเหลียงกระจ่างใส ส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้ามิกล้าคิดเช่นนั้นหรอก”

ลู่เฉินยิ้มตาหยี “ในเมื่อเป็นอาจารย์ ก็ควรจะมอบของขวัญพบหน้าให้กับลูกศิษย์คนใหม่สักชิ้น ของขวัญชิ้นนี้ไม่เล็ก อีกทั้งยังเป็น ‘เต๋า’ เล็กๆ น้อยๆ ที่อาจารย์ของเจ้าได้มาอย่างยากลำบากจากอาจารย์ปู่ก่อนหน้าที่จะลงมาที่นี่”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงตะลึงไปเล็กน้อย

เพิ่งจะตัดขาด ‘สะพาน’ ที่เชื่อมโยงกับเฉินผิงอันไปบนเรือคุน ตนก็กลับกลายมาเป็นเฮ้อเสี่ยวเหลียงคนที่มีพรสวรรค์ค้ำฟ้าอีกแล้วหรือ?

ดูเหมือนลู่เฉินจะมองความคิดในใจของแม่ชีสาวหน้าตางดงามออก จึงหัวเราะเสียงดัง ตบป้าบลงไปบนโต๊ะ “ข้าผู้เป็นนักพรตจะพาเจ้าไปเดินบนสะพานแห่งกาลเวลารอบหนึ่ง เดินทวนกระแสขึ้นไป!”

ต่อให้ถ้ำสวรรค์หลีจูจะห้ามใช้เวทคาถาทุกชนิด แต่ก็ยังมีกฎใหญ่ของวิถีสวรรค์ที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือสี่ฤดูกาลใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง หนาว และเกิดแก่เจ็บตาย

ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้วิชาอภินิหารของเจ้าลัทธิลู่เฉิน

สี่ฤดูกาลผันเปลี่ยนเป็นหนาว ใบไม้ร่วง ร้อน ใบไม้ผลิ และตาย เจ็บ แก่ เกิด

เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ร่างยังอยู่ในโรงเรียน แต่กลับรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฟ้าดินไปชั่วขณะ มองภาพต่างๆ ที่เปล่งประกายหลากหลายสีสันย้อนกลับผ่านไป สายตาของแม่ชีโฉมงามเจิดจ้าระยิบระยับ

นี่ก็คือเส้นทางที่นางอยากเดิน!

ลู่เฉินยิ้มบางๆ “เดินตามมาด้านหลังข้าผู้เป็นนักพรต ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง จะพาเจ้าไปพบคนสองคน”

คนทั้งสองเริ่มออกเดิน ด้านหลังคือเสียงท่องหนังสือดังกังวานของเด็กนักเรียนในโรงเรียนแห่งใหม่ เด็กนักเรียนทั้งหลายต่างก็ท่องหนังสือย้อนหลัง เพียงแต่ว่าอาจเป็นเพราะพันธนาการบางอย่าง หรือฉีจิ้งชุนมีการแลกเปลี่ยนอะไรกับมรรคาจารย์เต๋า ใบหน้าของพวกเด็กๆ จึงปรากฏให้เห็นเด่นชัด เสียงที่ดังเข้าหูแจ่มชัดก้องกังวาน แต่อาจารย์สอนหนังสือที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเขากลับไม่อยู่แล้ว ราวกับว่าหายไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างสิ้นเชิงแล้ว

เดินผ่านตรอกซอกซอยต่างๆ ไปตลอดทาง เฮ้อเสี่ยวเหลียงตามติดอยู่ด้านหลังนักพรตสวมกวานดอกบัว กลัวว่าหากตนเดินพลาดไปจะหลงทางอยู่ในนี้

สุดท้ายลู่เฉินหยุดเดิน บอกนางว่ารอสักครู่ เฮ้อเสี่ยเหลียงไม่กล้าขยับ จึงยืนรออยู่ที่เดิม

ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อ โลกพลิกกลับ ทุกอย่างกลับคืนมาเป็นตามขั้นตอนปกติ แม่น้ำแห่งกาลเวลาเริ่มไหลรินไปอีกครั้ง

หลังจากนั้นลู่เฉินก็พานางมาที่แผงใกล้ๆ เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์เจ้าลัทธิท่านนี้ถึงพาตนมาที่นี่ หรือว่าแผงนี้มีอะไรผิดปกติ? เฮ้อเสี่ยวเหลียงเพ่งสายตามองไปก็เห็นว่าเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาท่าทางซื่อๆ คนหนึ่งกำลังยืนขายถังหูลู่

แล้วเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็เห็นเด็กผอมแห้งผิวดำเกรียมคนหนึ่งเดินมาช้าๆ เขามาหยุดยืนอยู่ข้างกายนาง มองไปทางแผงที่กำลังขายดีแล้วกลืนน้ำลาย รอจนคนซาไปจากแผงนั้นแล้ว เด็กชายก็เดินจากไปเงียบๆ

ลู่เฉินดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เวลากลางวันและม่านราตรีหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

แผงนั้นยังคงทำการค้าเป็นปกติทุกวัน เด็กชายคนนั้นหากไม่กลับมาจากเก็บสมุนไพรบนภูเขา หรือกลับมาจากจับปลาริมลำธาร ไม่ก็ช่วยตักน้ำให้เพื่อนบ้าน ล้วนจะต้องเดินผ่านแผงนี้ทุกครั้ง

ในที่สุดมีวันหนึ่ง เดิมทีเด็กชายควรขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเพื่อแลกเอาเงินมา ต่อให้จะแบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่เดินมาถึงหน้าตรอกหนีผิงแล้ว แต่พอคิดถึงว่าก่อนหน้านี้ตนโชคดีเก็บสมุนไพรที่มีราคามาได้หลายต้น ถังข้าวสารน้อยในบ้านมีข้าวสารบรรจุเต็มเกินครึ่งถังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหิวโหยไปอีกสิบวัน ดังนั้นเด็กชายจึงเงยหน้ามองสีท้องฟ้าที่อึมครึมราวกับกำลังบอกตัวเองว่าหากฝนตนลงมา ต่อให้ขึ้นเขา ไปได้ครึ่งทางก็คงต้องกลับมาก่อน

ดังนั้นเด็กชายจึงวิ่งกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษ ปลดตะกร้าไม้ไผ่ลง หยิบเงินเหรียญทองแดงสองสามเหรียญมาจากไหเล็กที่วางไว้ในมุมกำแพง จากนั้นก็วิ่งตะบึงออกจากตรอกหนีผิงไปที่ร้านนั้น

ทว่าขณะที่เด็กชายขยับเข้าไปใกล้แผงขายถังหูลู่มากขึ้นทุกขณะ ฝีเท้าของเขากลับยิ่งหนักอึ้ง ยิ่งวิ่งช้าลงเรื่อยๆ เป็นเหตุให้ทั้งที่ยังอยู่ห่างจากร้านอีกไกลมาก เด็กชายก็หยุดยืนนิ่ง สีหน้าน่าขันเหมือนคนที่ความคิดในหัวตีกันยุ่งเหยิง มือเขากำเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญนั้นเอาไว้แน่น

สุดท้ายเด็กชายก็เดินขยับไปอีกสองสามก้าว นั่งยองลง แล้วเงยหน้ามองพุทราเชื่อมสีแดงสดปลั่งเคลือบน้ำตาลมันวาวอย่างเหม่อลอย

ลู่เฉินและเฮ้อเสี่ยวเหลียงต่างก็ยืนอยู่ข้างกายเด็กชาย

ลู่เฉินถามยิ้มๆ “หากเอาตัวไปวางไว้ในมุมของเขา เจ้าคิดว่าเด็กคนนี้กำลังคิดอะไรถึงจะเรียกว่าเป็นอารมณ์ของคนปกติ?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงตอบอย่างไม่ลังเล “คิดว่าหากได้กินถังหูลู่โดยไม่ต้องเสียเงินก็คงดี”

ลู่เฉินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “มารอดูกัน”

หลังจากนั้นพ่อค้าแผงลอยที่ลูกค้าเพิ่งจากไป กำลังอยู่ในช่วงพักก็คล้ายจะมองเห็นเด็กชายที่เดินผ่านร้านของตนหลายครั้ง แต่กลับไม่เคยซื้อถังหูลู่เลยสักครั้ง ชายฉกรรจ์ครุ่นคิด ทรุดตัวนั่งลงบนม้านั่งเงียบๆ สุดท้ายเหมือนจะเกิดความสงสารจึงลุกขึ้นยืน กวักมือเรียกเด็กคนนั้นแล้วพูดว่า “มาๆ ข้าจะเก็บร้านกลับบ้านแล้ว ยังเหลือถังหูลู่ที่ขายไม่ออก หากเจ้าอยากกิน ข้ายกให้เจ้าไม้หนึ่งได้ ไม่คิดเงิน!”

ชายฉกรรจ์ยิ้มซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยม ไม่ต่างจากชาวไร่ชาวนาทั่วไป เขาดึงถังหูลู่มาไม้หนึ่ง แกว่งให้เด็กชายคนนั้นดู “เอาไปเถอะ”

ทว่าเด็กชายกลับรีบลุกขึ้นยืน ส่ายหน้ายิ้มๆ แล้ววิ่งหนีไป

เฮ้อเสี่ยวเหลียงสงสัยเล็กน้อย หากนี่ก็คือเฉินผิงอันตอนเด็ก การที่เขาเลือกจะทำอย่างนี้ อันที่จริงนางก็ไม่แปลกใจนัก

ลู่เฉินชี้ไปยังชายฉกรรจ์ที่ขายถังหูลู่คนนั้น “คนผู้นี้คือคนสำนักหยินหยางที่ชื่อเสียงไม่เด่นชัดซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แต่ในความเป็นจริงแล้วด้วยกำลังของเขาคนเดียวก็สามารถงัดข้อกับสกุลลู่สำนักหยินหยางได้ทั้งหมด นับว่าเป็นคนประหลาดที่ร้ายกาจอย่างมาก แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังไม่สามารถคาดเดาความคิดของคนผู้นี้ได้ทั้งหมด”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ่งสงสัย

ลู่เฉินเอ่ยยิ้มๆ “เรื่องพวกนี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ หลังจากนี้ต่างหาก”

ลู่เฉินยื่นฝ่ามือออกมาแล้วลูบปัดช้าๆ จากบนลงล่าง ข้างกายเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็มี ‘เฉินผิงอัน’ ตอนเด็กปรากฏขึ้นมาคนหนึ่ง

เด็กคนนี้วิ่งไปรับถังหูลู่ที่ไม่ต้องจ่ายเงินไม้นั้นมาแล้ววิ่งกลับตรอกหนีผิงอย่างเริงร่า มีความสุขอย่างมาก พอได้กินถังหูลู่แล้วก็ติดใจ ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็วิ่งไปที่ร้านเป็นครั้งที่สอง แล้วก็ได้ถังหูลู่ที่ไม่ต้องจ่ายเงินมาอีกไม้ เด็กชายยากจนที่เพิ่งจะคุ้นเคยกับความยากลำบากเริ่มเกิดความเกียจคร้าน มักจะนึกถึงถังหูลู่เหล่านั้นอยู่บ่อยครั้ง ยาสมุนไพรที่เก็บมาได้ตอนขึ้นภูเขาน้อยกว่าเวลาปกติ…เป็นอย่างนี้วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า เด็กหนุ่มไม่ได้กลายมาเป็นคนเลวร้ายอะไร ทว่าในสายตาของเฮ้อเสี่ยวเหลียงเขากลับไม่ใช่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่เจอกันครั้งแรกบนหินหลังควายคนนั้นอีกแล้ว

หลังจากนั้นทุกอย่างก็ย้อนกลับไปที่เดิม ลู่เฉินเอาฝ่ามือปาดลงหนึ่งครั้ง ผิงอันน้อยปรากฏตัวอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้รับถังหูลู่มาเปล่าๆ แต่เลือกที่จะจ่ายเงินซื้อมัน และนับแต่นั้นมาเด็กชายก็ยิ่งเต็มใจทนรับกับความลำบากมากกว่าเดิมเพื่อหาเงินมาให้ได้มากๆ แต่เขากินถังหูลู่จนเบื่อแล้ว จึงหันไปชอบขนมแทน เมื่อเด็กชายคนนี้เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่ม ในสายตาของเฮ้อเสี่ยวเหลียง เฉินผิงอันคนนี้ก็คล้ายว่าจะไม่ปกตินัก

เมื่อลู่เฉินยกฝ่ามือขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ได้เห็นเฉินผิงอันคนแล้วคนเล่า รวมไปถึงสภาพการณ์ในชีวิตที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปหลากหลาย

ถึงท้ายที่สุดเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

ลู่เฉินยิ้ม “กลับกันเถอะ”

คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง เดินไปยังโรงเรียน

ภาพเหตุการณ์ในเวลานี้ แท้จริงแล้วกลับคล้ายภาพที่ฉีจิ้งชุนเคยพาเด็กหนุ่มที่ไปที่ต้นไหวโบราณเพื่อขอใบไหวมาใบหนึ่งซึ่งเคยเกิดขึ้นจริงในแม่น้ำแห่งกาลเวลา

ลู่เฉินที่เดินสองมือไพล่หลังนำอยู่ด้านหน้าถามว่า “คิดเข้าใจแล้วหรือยัง?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงตอบเสียงเบา “มีเพียงรักษาจิตใจดั้งเดิม ถึงจะเป็นคนคนเดิม”

ลู่เฉินอืมรับหนึ่งทีแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก

เฮ้อเสี่ยวเหลียงถาม “ศิษย์คิดผิดไป หรือว่ายังมองไม่สูงไม่ไกลมากพอ?”

ลู่เฉินพลันหันหน้ามายิ้มให้ “เปล่าสักหน่อย เจ้าคิดได้ดีมากแล้ว สิ่งเดียวที่ยังไม่พอก็คือ ลูกศิษย์อย่างเจ้าไม่ควรมองข้ามเงาดำใต้โคมไฟ มองไม่เห็นวิชาอภินิหารที่ค้ำฟ้าของอาจารย์เจ้าสิ”

……

ในขณะที่ลู่เฉินพาเฮ้อเสี่ยวเหลียงชมการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายของชีวิตคน ในบางช่วงบางตอนของแม่น้ำแห่งกาลเวลา หลังจากเด็กนักเรียนเลิกเรียนแล้ว ชายชาวลัทธิขงจื๊อที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลานั่งเล่นหมากล้อมอยู่เพียงลำพังในห้อง ใบหน้าของเขาแจ่มชัด ไม่พร่าเลือนอีกต่อไป ‘ตอนนี้’ ของลู่เฉินกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง หรือควรจะพูดว่า ‘ปีนั้น’ ของถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลี ฉีจิ้งชุนโน้มตัวลงคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมา เอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ “ก็แค่นี้เอง”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!