Skip to content

Sword of Coming 232

บทที่ 232 พบกับเทพอภิบาลเมืองอีกครั้ง

การฝืนบุกเข้าไปของเฉินผิงอันทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับการขัดขวางจากลูกธนูที่พุ่งเข้ามาอย่างแม่นยำระลอกแล้วระลอกเล่า ทหารคนสนิทที่แม่ทัพหม่าทิ้งไว้ในจวนเจ้าเมืองล้วนเป็นทหารกล้าฝีมือเยี่ยมที่เขาพากลับมาจากชายแดน มีพลังกล้ามเนื้อที่น่าตะลึงอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีประสบการณ์อยู่ในสมรภูมิรบมานาน ต่อให้เผชิญหน้ากับคนบนภูเขาก็ยังร่วมมือกันได้อย่างรู้ใจ เฉินผิงอันบินจากหลังคาของฝั่งนั้นเข้ามาพลิ้วกายลงในจุดลึกของจวนเจ้าเมือง และในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ชั่วกะพริบตานี้ เขาจำต้องใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งเข้ามาอย่างดุดัน อีกทั้งยังแม่นยำอย่างถึงที่สุดถึงสองลูก

เด็กสาวกระพรวนเงินตะโกนเสียงดัง “ข้าคือหลิวเกาซินบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง เทพเซียนผู้เฒ่าคือพันธมิตรที่มาให้ความช่วยเหลือ ขอทุกท่านโปรดวางธนูลงด้วย!”

หลังจากพลิ้วกายลงหน้าประตูใหญ่ของห้องโถงหลักได้แล้ว เฉินผิงอันที่ไม่แม้แต่จะเหลียวกลับไปมองเบี่ยงตัวเดินเอียงข้างไปสองก้าว ยื่นมือคว้าลูกธนูดอกหนึ่งที่ยิงมาจากด้านหลังของเขา ตัวของลูกธนูสลักลายเมฆาโบราณเรียบง่าย อีกทั้งยังเจาะหลุมเว้าเล็กๆ สามหลุม ระหว่างตัวลูกธนูมีประกายแสงเปล่งวูบวาบอยู่ตลอดเวลา เฉินผิงอันโยนมันส่งๆ ไปข้างหน้า ลูกธนูปักลงบนพื้น เขาตะโกนเสียงดัง “จอมยุทธ์ใหญ่สวี จางซานเฟิง พวกเจ้าอยู่ข้างในหรือไม่? ผู้เฒ่าที่แสดงวิชาอภินิหารบนแท่นสูงใจกลางทะเลสาบคืนนั้นคือผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังหายนะของศาลเทพอภิบาลเมืองครั้งนี้!”

ชายฉกรรจ์เคราดกพุ่งตัวออกมาก่อน ขุนพลฝ่ายบู๊สวมเกราะกับนักพรตจางซานเฟิงตามหลังมาติดๆ

มัลละผิวทองเหลืองสูงจั้งกว่าตนหนึ่งก้าวยาวๆ เสียงดังครืนครั่นตามมาด้วย ไม่พูดไม่จาก็ปล่อยหมัดเข้าใส่เฉินผิงอัน เฉินผิงอันได้แต่ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมารับหมัดนั้นไว้ มัลละร่างทองเหลืองที่นักพรตจงเมี่ยวตั้งใจวาดยันต์สร้างขึ้นมาตนนี้มีพละกำลังไม่ธรรมดา แม้ว่าระดับขั้นจะไม่สูง แต่พลังการต่อสู้ก็มากพอจะเทียบเคียงกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสองขั้นสูงสุดคนหนึ่ง แต่พอถูกนิ้วทั้งห้าของเฉินผิงอันกำหมัดเอาไว้ ข้อต่อทั่วร่างกายของมันก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ส่งเสียงลั่นเป็นระลอก และไม่อาจขยับมาด้านหน้าได้แม้แต่เสี้ยวเดียว

เจ้าเมืองหลิวเองก็เดินออกจากประตูใหญ่มาอย่างรวดเร็ว เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเด็กสาวกระพรวนเงินยืนอยู่บนหลังคา จึงรีบตะโกนเสียงดัง “นั่นคือบุตรสาวของข้า หลิวเกาซินบุตรสาวของข้า ทหารกล้าทุกท่านโปรดอย่าได้ทำร้ายนาง!”

มือดาบเคราดกก็รีบอธิบายให้ทุกคนที่อยู่ข้างกายฟังเช่นกัน “เพื่อนพวกเราเอง ชื่อว่าเฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้ไปตรวจสอบสถานการณ์ที่ศาลเทพอภิบาลเมือง”

ขุนพลเสื้อเกราะพยักหน้ารับ เขาชูมือขึ้นทำท่าออกคำสั่ง พลธนูที่ซุ่มอยู่ในมุมต่างๆ ไม่มีใครปล่อยคันธนูในมือลง เพียงแค่กดหัวคันธนูลงเบื้องล่าง คันธนูที่สายถูกง้าวเต็มแรงเหมือนดวงจันทร์เต็มดวงกลับคืนมาเป็นทรงพระจันทร์เสี้ยวอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้แต่การลดระดับของสายง้าวก็แทบจะเท่ากันทั้งหมดอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

สวีหย่วนเสียเดินทางผ่านหลายแคว้นมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนดุจเส้นผม หลังจากเห็นภาพนี้เขาก็ให้รู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง ไม่คิดเลยว่าสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำราอย่างแคว้นไฉ่อีนี้จะมีบุคคลที่เป็นดั่งหมาป่า เป็นดั่งพยัคฆ์ที่สามารถฝึกทหารได้อย่างมีระเบียบมีขั้นตอนแบบนี้ แม่ทัพหม่าที่ตอนนี้รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ประตูตะวันออกต้องเป็นคนที่มีความสามารถในด้านการปกครองกองทัพคนหนึ่งอย่างแน่นอน

นักพรตจงเมี่ยวทำมุทราเรียกมัลละร่างทองเหลืองที่เพิ่งต่อสู้ก็พ่ายแพ้ตนนั้นกลับมา แค่นเสียงหยันด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยน่ามองนัก “เทพเซียนหวงเหล่าคือผู้บงการ? ฮ่าๆๆ เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าต่างหากที่หข้ารู้สึกว่าน่าจะเป็นคนชั่วที่หวังเข้ามาจับปลาในน้ำขุ่นมากกว่า!”

ผู้เฒ่าที่สวมชุดเต๋าสีสันสดใสหันหน้ามาเอ่ยกับเจ้าเมืองหลิวและแม่ทัพฝ่ายบู๊ว่า “หากเทพเซียนหวงเหล่าที่มีวิชาอภินิหารค้ำฟ้าเป็นผู้บงการที่มีจุดประสงค์ชั่วร้าย ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะยังต้องมานั่งวางแผนกันอยู่ตรงนี้ทำไม แค่รอตายก็พอแล้ว อีกอย่างถ้าหวงเหล่าเป็นผู้บงการ จะยังต้องมาเป็นฝ่ายเอ่ยเตือนพวกเราเหมือนคนที่ถอดกางเกงเพียงเพื่อผายลมไปทำไม?”

เจ้าเมืองหลิวใคร่ครวญตามแล้วก็เอ่ยว่า “เหตุผลฟังไม่ขึ้นจริงๆ”

แต่แม่ทัพฝ่ายบู๊กลับช่วยพูดให้ความเป็นธรรมกับเด็กหนุ่ม “พวกมารนอกรีตเชี่ยวชาญการใช้แผนเสี่ยงอันตรายมากที่สุด ไม่สามารถใช้หลักการทั่วไปมาประเมินพวกเขาได้ ตอนนี้ทางที่ดีที่สุดพวกเราไม่ควรเชื่อใครทั้งนั้น ไม่สู้ฟังก่อนว่าเด็กหนุ่มจะพูดเรื่องอะไร”

เด็กสาวหลิวเกาซินกระโดดลงมาจากหัวกำแพงแล้ววิ่งตะบึงมาตลอดทาง ทั่วร่างของนางเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ โดยเฉพาะเมื่อกระพรวนสีเงินส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง รอบกายก็มีริ้วคลื่นสีทองกระเพื่อมแผ่เป็นระลอก เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่เริ่มเดินบนเส้นทางของผู้ฝึกตนแล้ว เจ้าเมืองหลิวไม่มีเวลามาสนใจว่าทำไมบุตรสาวถึงกลายมาเป็นเทพเซียนที่บินไปบินมาได้ รอจนนางมาหยุดอยู่ข้างกายก็รีบเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่? เจ้านี่มันจริงๆ เลย ตอนนี้ในเมืองวุ่นวายขนาดนี้ยังจะออกไปวิ่งวุ่นข้างนอกส่งเดช เหลวไหลนัก!”

หลิวเกาซินชี้ไปที่เฉินผิงอัน “เทพเซียนผู้เฒ่า…”

นางพลันตระหนักได้ว่าตัวเองพูดผิด เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางมาที่นี่ เทพเซียนผู้เฒ่าที่มีวิชากระบี่บินสะเทือนฟ้าสะท้านดินได้บอกกับนางว่าอย่าเล่าเรื่องการต่อสู้ในศาลเทพอภิบาลเมืองให้ใครฟัง ตอนนี้เขายังไม่อยากเปิดเผยตัวตน ป้องกันไว้ก่อนเผื่อว่าในจวนเจ้าเมืองจะมีเส้นสายของปีศาจแฝงตัวเข้ามา

หลิวเกาซินจึงรีบแก้ไขคำพูดเสียใหม่ “ข้ากับจอมยุทธ์น้อยเฉินผิงอันเจอกับผีสาวโครงกระดูกตนหนึ่งในศาลเทพอภิบาลเมือง นางก็คือสาวงามสวมชุดสีสันสดใสที่จำแลงกายามาจากแผ่นยันต์ซึ่งเผยโฉมหน้าบนแท่นสูงใจกลางทะเลสาบคืนนั้น นางก็คือหนึ่งในปีศาจที่เข้ามาสร้างหายนะในเมือง กว่าข้ากับจอมยุทธ์น้อยเฉินผิงอันจะกำราบนางไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คาดไม่ถึงว่าเทพอภิบาลเมืองและเทวรูปบุ๋นบู๊ใต้บังคับบัญชาของเขาสององค์ต่างก็ธาตุไฟเข้าแทรกกลายเป็นมาร มีควันดำผุดออกมาจากทวารทั้งเจ็ด หมายจะสังหารพวกเรา โชคดีที่มีเทพเซียนผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญเวทกระบี่บินปรากฎตัวมาให้ความช่วยเหลือพวกเราพอดี เพียงแต่ว่าเทพเซียนผู้เฒ่าก็บาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน เลยบอกให้พวกเราเอาข่าวมาบอกก่อนว่า คนแซ่หวงผู้นั้นร่วมมือกับพันธมิตรของเขาเพราะต้องการครอบครองสมบัติอาคมชิ้นหนึ่ง เขาบอกให้ข้านำข่าวนี้มาบอกท่านพ่อ พวกเราจะชักนำหมาป่าเข้าบ้านไม่ได้เด็ดขาด! เทพเซียนผู้เฒ่าบอกว่าเขายังต้องการเวลา เมื่อปรับมหาสมุทรลมปราณและกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้นได้แล้วจะต้องลงมือ ให้ความช่วยเหลือพวกเรากำจัดปีศาจปราบมารอีกครั้งอย่างแน่นอน!”

เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติ แต่ในใจกลับเอ่ยชื่นชมความเฉลียวฉลาดรู้จักพลิกแพลงสถานการณ์ของเด็กสาว

เมื่อเทียบกับจูลู่บนภูเขาฉีตุน กับชายหญิงในยุทธภพที่ขี่ม้าด้วยชุดเลิศหรูซึ่งพบเจอหน้าวัดร้างกลุ่มนั้นแล้ว เด็กสาวกระพรวนเงินที่ชื่อว่าหลิวเกาซินผู้นี้แข็งแกร่งกว่ามากนัก

ทุกคนเดินเร็วๆ กลับเข้าไปในห้องโถงหลัก ไม่รอนั่งลงให้เรียบร้อยก็มีทหารสวมเสื้อเกราะที่เต็มไปด้วยคราบเลือดเดินเข้ามา บอกว่าในเมืองมีชาวบ้านที่ตกอยู่ในอำนาจของปีศาจหลายแห่ง พวกเขาเริ่มคลุ้มคลั่งสังหารผู้คน ไม่ว่าจะเป็นญาติมิตรหรือเพื่อนบ้านก็ล้วนหนีไม่รอด ชาวบ้านในเมืองที่เหมือนผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวถูกธาตุมารเข้าแทรกเหล่านี้มีจุดที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือมีเลือดไหลออกมาจากดวงตา อีกอย่างยังเคลื่อนไหวได้ว่องไวปราดเปรียว ค่อนข้างจะรับมือได้ยาก และตอนนี้ก็มีขุนนาง ทหาร รวมไปถึงมือปราบที่ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ในหลายๆ สถานที่ของเมือง ไม่ว่าจะเป็นสะพานหินโค้งที่นักท่องเที่ยวเดินสวนกันขวักไขว่ หรือในตรอกซอกซอยที่เงียบสงบก็มีประกายแสงสีแดงฉานปรากฎขึ้นแทบจะพร้อมๆ กัน พื้นที่โดยรอบในรัศมีสิบกว่าลี้ พืชหญ้าเหลืองแห้งเหี่ยว ปลาที่อยู่ในน้ำตายลอยหงายท้องขาว

บรรยากาศในห้องโถงหลักเคร่งเครียด เจ้าเมืองหลิวพยายามสงบสติตัวเองแล้วเริ่มวางแผนรับมือ นอกจากจะส่งคนไปยังประตูเมืองตะวันออกโดยเร็วเพื่อแจ้งข่าวให้แม่ทัพหม่าระวังเทพเซียนหวงเหล่าผู้นั้นแล้ว ทุกคนที่อยู่ในห้องยังจับคู่กันเดินทางไปตรวจสอบเหตุการณ์ประหลาดตามสถานที่ต่างๆ ในเมือง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หากเจอชาวบ้านที่โดนธาตุมารเข้าแทรกหรือเจอกับพวกปีศาจวัตถุหยินก็สามารถสังหารได้ทันที

นอกจากนี้ข้าหลวงทั้งหมดที่อยู่ในจวนเจ้าเมืองต้องออกจากจวนไปแจ้งชาวบ้านว่าให้รีบกลับบ้านตัวเอง ห้ามออกจากบ้านชั่วคราว หากพบว่าใครฝ่าฝืนจะลงโทษสถานหนักแบบเดียวกับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎห้ามออกจากเคหะสถานยามค่ำคืน มือดาบเคราดกสวีหย่วนเสียไปกับจางซานเฟิง หนึ่งผู้ฝึกยุทธ์ หนึ่งนักพรต ร่วมมือกันได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ นักพรตจงเมี่ยวไปกับขุนพลฝ่ายบู๊สวมเสื้อเกราะคนนั้น และภายใต้การยืนกรานขอร้องจากหลิวเกาซิน นางจึงได้ติดตามเฉินผิงอัน ต่อให้เจ้าเมืองหลิวจะเห็นแก่ส่วนรวมไร้ความเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน ก็ไม่อาจวางใจปล่อยให้บุตรสาวไปเสี่ยงอันตรายได้ ยังดีที่เมื่อนักสู้ในยุทธภพคนนั้นเสนอตัวจะไปช่วยเฉินผิงอันที่จวนจ้าวอีกแรง เจ้าเมืองหลิวถึงได้กำชับหลิวเกาซินซ้ำแล้วซ้ำว่าอย่าหุนหันพลันแล่น ต้องฟังคำสั่งจากยอดฝีมือทั้งสองทุกเรื่อง

หลิวเกาซินดีใจมาก รีบรับปากทันที เจ้าเมืองหลิวกลัวว่านางจะไม่ใส่ใจจริงจังจึงลากตัวไปกำชับอีกรอบ

เด็กสาวเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว แต่จู่ๆ ‘เซียนกระบี่ผู้เฒ่า’ หน้าตาไม่โดดเด่นคนนั้นก็เอ่ยเตือนขึ้นมา “แม่นางหลิว อย่าทำให้เจ้าเมืองหลิวเป็นห่วง”

หลิวเกาซินอึ้งตะลึง หันหน้าไปมองก็เห็นว่าเฉินผิงอันไม่ได้มีสีหน้าโกรธเคือง แล้วก็ไม่ได้วางท่าว่าตนเป็นผู้อาวุโสจึงเอ่ยสั่งสอน ราวกับว่าเขาเพียงแค่เอ่ยออกมาง่ายๆ เพราะอยากให้นางทำได้ดียิ่งกว่าเดิม แม้หลิวเกาซินจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก แต่ก็ยังพยายามอดทนข่มกลั้นอารมณ์หงุดหงิดดี เอ่ยลาบิดาดีๆ รับรองว่าจะไม่ทำอะไรด้วยอารมณ์เด็ดขาด เจ้าเมืองหลิวถึงพอจะวางใจลงได้บ้าง สุดท้ายหันไปกุมหมัดขอบคุณเฉินผิงอันและชาวบู๊คนนั้น กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “คงต้องรบกวนให้ท่านทั้งสองดูแลบุตรสาวของข้าด้วยแล้ว”

คนทั้งสองคารวะกลับคืน

ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลจ้าวที่อยู่ห่างไปแค่สองช่วงถนนอย่างรวดเร็ว

ชาวบู๊แซ่โต้วคนนั้นเงยหน้ามองสีท้องฟ้าแล้วส่ายหน้า กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เทพเซียนบนภูเขาก็ดี ปีศาจและมารก็ช่าง แท้จริงแล้วลึกๆ ในใจพวกเขาไม่เคยเห็นชีวิตมนุษย์อยู่ในสายตา ไม่ควรเป็นแบบนี้เลย”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร จึงได้แต่เงียบงันเท่านั้น

คนทั้งสามเพิ่งมาถึงนอกประตูจวนจ้าว ชายหญิงที่ถูกคาถามารมีเลือดซึมออกมาจากดวงตาก็พุ่งเข้ามาสังหาร พวกเขาแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ วิ่งตะบึงว่องไว มือดาบและมือธนูส่วนใหญ่ที่อยู่ข้างนอกคือมือปราบและเจ้าหน้าที่ในจวนขุนนางของเมือง เวลาปกติอย่างมากก็แค่รับมือกับโจรสลัดในมหาสมุทร หรือไม่ก็พวกหัวขโมยเล็กๆ น้อยๆ ไหนเลยจะเคยเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน คนส่วนใหญ่จึงมีสีหน้าซีดขาวราวหิมะ ยิงธนูแทบไม่เข้าเป้า อีกอย่างต่อให้ข้ารับใช้ชายหญิงของตระกูลจ้าวที่โดนอาคมปีศาจจะโดนลูกธนูยิงก็ยังสามารถเดินหน้าได้ต่ออยู่ดี เฉินผิงอันมองเห็นเด็กหนุ่มที่ใบหน้าเปื้อนเลือดคนหนึ่งถูกลูกธนูน้ำหนักมหาศาลยิงเข้าที่หน้าอกในระยะยี่สิบก้าว ร่างทั้งร่างถูกแรงกระแทกพาบินออกไป ผงะหงายล้มผลึ่งลงด้านหลัง แต่แล้วเขาก็ดิ้นรนลุกขึ้นยืน ตรงหน้าอกยังมีลูกธนูดอกใหญ่เสียบคาโผล่มาครึ่งท่อน กระอักเลือดพลางกระโจนมาข้างหน้าต่ออีกครั้ง

การจัดขบวนรบอย่างหยาบๆ ของมือธนูกับนักปราบมือดาบแทบจะแตกซ่านเซ็น ได้แต่ต่อสู้ประชิดตัวกับมารร้ายที่ไม่กลัวตายพวกนั้น หากไม่เป็นเพราะพวกเฉินผิงอันสามคนมาถึงพอดี เกรงว่าคนของตระกูลจ้าวที่พากันกรูออกมาไม่หยุดคงกระจายตัวกันไปตามสถานที่ต่างๆ สร้างภัยพิบัติให้แก่ชาวเมืองเหมือนฝูงตั๊กแตนไปแล้ว เฉินผิงอันไม่รู้ว่ามีวิธีคลายอาคมปีศาจหรือไม่ เขาจึงยังใช้แค่หมัดและเท้าเตะต่อยให้คนตระกูลจ้าวที่เหมือนถูกผีสิงให้กระเด็นกลับไปใกล้ประตูใหญ่ของจวน กระพรวนของหลิวเกาซินสั่นสะเทือนรุนแรง ดอกไม้สี่ทองกระจายตัวกันไปสี่ทิศ อาคมปีศาจที่ขอแค่สัมผัสโดนดอกไม้สีทองก็จะแตกสลาย กลายมาเป็นเลือดสดเหนียวหนืดกองหนึ่งที่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง

หลังจากมือดาบแซ่โต้วชักดาบออกมา ตัวดาบก็ปล่อยประกายแสงสีขาวหิมะ ทุกดาบที่ฟันลงไปล้วนตัดร่างชายหญิงเด็กแก่ที่ถูกปีศาจเข้าสิงให้ขาดครึ่งท่อน วิชาดาบของชาวยุทธ์คนนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นขอบเขตของปรมาจารย์ที่หวนกลับคืนสู่สภาพแท้จริงอันเป็นธรรมชาติที่สุด เด็ดขาดตรงไปตรงมา กระบวนท่าเรียบง่ายฉับไว ไม่มีอิดออดล่าช้าเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเทียบกับวิชาดาบของสวีหย่วนเสียมือดาบเคราดกแล้ว การออกดาบของคนผู้นี้ขาดกลิ่นอายของความหยาบเถื่อนอย่างคนในสมรภูมิรบไปเล็กน้อย แต่มีบรรยากาศของการบรรลุถึงจุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบเพิ่มขึ้นมาแทน มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ที่กำลังก้าวเดินสู่เบื้องบน การที่เขาเก็บซ่อนความโดดเด่นตอนอยู่ในจวนเจ้าเมืองนั้นจึงสมกับคำว่าคนจริงไม่อวดตัวที่กล่าวกันในยุทธภพอย่างแท้จริง

หลังจากสกัดคนตระกูลจ้าวที่ถูกมารสิงร่างไปได้กลุ่มหนึ่ง หลิวเกาซินก็ค้นพบว่ารอบกายมีแต่เลือดสดนองเต็มพื้นเศษแขนขา เศษกระดูกกลาดเกลื่อน จู่ๆ นางก็ทรุดตัวลงนั่งยอง อาเจียนออกมาคำใหญ่

ในจวนจ้าวมีประกายแสงสีแดงเปล่งวูบวาบ แผ่กลิ่นอายของความมืดทะมึนน่าพรั่นพรึงอย่างเข้มข้น

เฉินผิงอันเห็นว่าหน้าประตูจวนจ้าวในเวลานี้ไม่มีอันตรายร้ายแรงจึงดีดปลายเท้า ทะยานร่างกระโดดข้ามกำแพงไปอย่างว่องไวดุจนกนางแอ่นถลาลม ตรงดิ่งไปยังต้นกำเนิดของแสงสีแดงนั้น

ไล่ตามเบาะแสแสงสีแดงไป เฉินผิงอันก็มาถึงเรือนที่เงียบสงบงามสง่าหลังหนึ่ง มีหอเก็บตำราส่วนตัวสามชั้นอยู่หนึ่งหลัง คุณชายสวมชุดขาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนบันไดด้านนอกหอ ท่านั่งของเขาเกียจคร้าน ข้อศอกเท้าอยู่บนที่เท้าแขนเก้าอี้ มือหนึ่งเท้าคาง มือหนึ่งพลิกเปิดหน้าหนังสือโบราณพลางหาวไปด้วย

คุณชายที่หน้าตาหล่อเหลาชวนมองชำเลืองหางตามามองเฉินผิงอัน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้? คุณชายท่านนี้บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา คือเซียนซือที่ฝึกตนอยู่บนภูเขางั้นรึ? หรือว่าเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่ในยุทธภพ?”

จากนั้นคุณชายตระกูลจ้าวก็ขยับตัวนั่งตรง ยกนิ้วขึ้นแตะน้ำลาย พลิกเปิดหน้าหนังสืออีกหนึ่งหน้า ระหว่างที่หน้าหนังสือถูกเปิดก็มีแสงสีแดงสดพุ่งวาบผ่านไปอีกครั้ง

แสงสีแดงมารวมตัวกันเป็นเชือกหนาเส้นหนึ่งคล้ายงูหลามที่บิดพลิกตัวอยู่กลางอากาศ ขยับขดตัวอยู่บนกำแพงสูงของลานบ้านชั่วขณะหนึ่งก็พุ่งเข้าไปยังบางจุดของจวน พยายามหาร่างของคนมาสิงสู่

เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวหนึ่งที

งูหลามสีแดงสดตัวนั้นก็ถูกฟันขาดครึ่งท่อน

คุณชายชุดขาวเลิกคิ้วขึ้นสูง “โอ้โห คือเซียนกระบี่น้อยคนหนึ่งหรือนี่? ร้ายกาจๆ ได้ยินว่าพลังสังหารของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างมหาศาลมาก แต่ก็ง่ายมากที่เรี่ยวแรงจะไม่เป็นใจ พอปล่อยปราณกระบี่ออกมา ประกายแสงก็ส่องจ้าพร่า แต่ได้แค่ไม่กี่ครั้งก็หมดท่าแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าจะร้ายกาจกว่านั้นหน่อยหรือเปล่า?”

มือหนึ่งของคุณชายชุดขาวถือหนังสือ อีกมือหนึ่งเปิดหน้าตำราโบราณตั้งแต่หน้าแรกไปจนหน้าสุดท้ายเสียงดังพั่บๆๆ

งูน้อยสีแดงฉานหนาเท่านิ้วมือหลายสิบตัวผุดพุ่งขึ้นฟ้าจากหอหนังสือแห่งนี้ หมายจะกระจายตัวไปสี่ด้านแปดทิศ แต่คุณชายชุดขาวกลับเห็นว่าเด็กหนุ่มที่ผูกน้ำเต้าสีชาดบรรจุเหล้าไว้ตรงเอวยังมีอารมณ์ปลดน้ำเต้ามาดื่มเหล้า ไม่รอให้คุณชายตระกูลจ้าวส่งเสียงหัวเราะหยัน เขาก็ไม่มีโอกาสได้หัวเราะแล้ว

เพราะงูแดงตัวน้อยบนท้องฟ้าที่มีชื่อว่าปล้องแดงเหล่านั้นถูกสายสีขาวที่ตวัดฉวัดเฉวียนฟาดฟันย่อยยับในเวลาเพียงชั่วพริบตา

จากนั้นเขาก็รู้สึกเย็นวาบตรงหว่างคิ้ว เบิกตากว้างราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ ตายตาไม่หลับทั้งอย่างนั้น

ที่แท้กระบี่บินไม่เพียงแต่แทงหว่างคิ้วทะลุกะโหลกศีรษะของเขาไป ปราณกระบี่ขุมนั้นยังแทรกซอนเข้ามาในร่างกายและจิตวิญญาณ บดขยี้พลังชีวิตทั้งหมดของเขาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบด้วย

ตอนที่เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อย ชูอีสืออูกระบี่บินสองเล่มก็พากันลอยเอ้อระเหยกลับเข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่

ตรงกำแพงเรือน มือดาบแซ่โต้วยืนอยู่บนหัวกำแพง มองเห็นภาพนี้แล้วก็กุมมือคารวะให้เฉินผิงอัน

เฉินผิงอันใจกระตุกวาบ เอ่ยกับเขาว่า “บอกหลิวเกาซินสักคำว่าข้าจะไปที่ศาลเทพผืนดินสักหน่อย แปบเดียวก็กลับมา”

มือดาบหัวเราะเสียงดังกังวาน “สถานที่แห่งนี้ไม่มีอันตรายน่ากลัวอะไรแล้ว ก็แค่หมาแมวตัวเล็กๆ ไม่กี่ตัวเท่านั้น เซียนซือวางใจได้เลย”

เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย เดิมทีคิดจะรีบรบรีบจบ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาเห็นภาพที่ตนใช้กระบี่บินสังหารศัตรู เขาพยักหน้าให้จอมยุทธ์ผู้มีคุณธรรมคนนั้นแล้วดีดปลายเท้า เพียงครู่เดียวร่างก็หายวับไป

……

เฉินผิงอันห้อตะบึงไปตลอดทาง กระโดดข้ามกำแพงสูงแห่งแล้วแห่งเล่า สุดท้ายก็มาถึงศาลเทพผืนดินที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนแห่งหนึ่งตามการชี้นำจาก ‘คนผู้นั้น’ ซึ่งดังขึ้นเป็น ‘เสียง’ ที่กระเพื่อมในทะเลสาบหัวใจของเขา พอเงยหน้ามองก็เห็นว่าด้านในศาลเทพผืนดินมีปัญญาชนท่วงท่าสง่างามคล้ายคนมีความรู้ลุ่มลึกคนหนึ่งกำลังกวักมือเรียกเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพียงแต่ว่าเรือนกายของเขาส่ายวูบไหวเหมือนแสงตะเกียงเสี้ยวสุดท้ายที่อาจจะดับได้ทุกเมื่อถ้าถูกลมพัด

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนพุ่งวูบเข้าไปหา

องค์เทพท่านนี้ยืนอยู่ด้านในของธรณีประตูที่มืดสลัว เฉินผิงอันยืนอยู่นอกธรณีประตูที่สว่างกว่า

ปัญญาชนแบมือสองข้างทับกันไว้ด้านหน้าแล้วโค้งตัวลงคารวะ พอยืดตัวขึ้นก็กล่าวพร้อมยิ้มบางๆ “นี่เป็นครั้งที่สองที่พวกเราได้พบกัน ข้ามีนามว่าเสิ่นเวิน คือเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือ คอยดูแลเมืองแห่งนี้มาหลายร้อยปีแล้ว ผลของวันนี้คือกรรมที่เคยกระทำในอดีต เป็นข้าที่บกพร่องต่อหน้าที่ก่อน หากไม่เป็นเพราะเจ้าช่วยทำลายตราผนึก ขัดขวางไม่ให้ข้าตกสู่วิถีมารได้สำเร็จ ไม่แน่ว่าสุดท้ายแล้วเทพอภิบาลเมืองร่างทองผู้ยิ่งใหญ่ของแคว้นไฉ่อีอาจช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ กลายเป็นฆาตกรที่ทำลายชาวบ้านที่ตัวเองต้องปกป้องคุ้มครอง ข้าต้องขอบคุณเจ้า”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ปัญญาชนก็ยิ้มกว้าง “ก่อนหน้านี้ธาตุไฟเข้าแทรกจึงไม่มีสตินึกรู้ ทุกการกระทำคงทำให้เซียนซือน้อยตลกแล้ว การขอบคุณครั้งนี้ ทั้งขอบคุณที่เจ้าช่วยเหลือข้า ไม่ให้ข้าออกไปทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่ไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์นานนับหมื่นปี แล้วก็ทั้งขอบคุณจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ของเจ้า ก่อนหน้านี้ถึงเป็นฝ่ายมอบกล่องไม้สีเขียวกล่องนั้นคืนให้กับข้า”

ตอนนั้นที่ก้าวเข้าไปในตำหนักเทพอภิบาลเมืองแล้วเด็กหนุ่มมอบกล่องไม้คืนให้ คือความดีอย่างหนึ่ง เป็นการทำเรื่องที่ดี

ทั้งๆ ที่ในร่างมีวัตถุฟางชุ่น แต่ตอนที่ส่งคืนกล่องไม้ กลับไม่ได้หยิบออกมาจากวัตถุฟางชุ่น แต่หยิบออกมาจากชายแขนเสื้อโดยตรง นี่หมายความว่าเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้แน่ใจตั้งแต่แรกแล้วว่ากล่องไม้ก็คือของของตำหนักเทพอภิบาลเมือง

นี่คือความดีอีกอย่างหนึ่ง คือจิตใจที่ดี

เฉินผิงอันมองประเมินเทพอภิบาลเมืองเสิ่นท่านนี้อย่างละเอียด เมื่อมองไม่เห็นวี่แววว่าอีกฝ่ายจะถูกธาตุมารเข้าแทรกก็พอจะคลายใจลงได้บ้าง

เขาสองจิตสองใจอยู่ชั่วขณะก็ยกมือกุมคารวะ “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในตำหนักเทพอภิบาลเมือง เพื่อปกป้องตัวเอง จำต้องทำลายร่างทองของท่านเทพอภิบาลเมืองโดยมิได้เต็มใจ…”

เทพอภิบาลเมืองที่ไม่ได้เผยกายด้วยร่างของเทวรูปโบกมือ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยถามว่า “เซียนซือน้อย เจ้าใช่บัณฑิตหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าเขินๆ “ไม่นับเป็นบัณฑิต ตอนนี้ก็แค่รู้จักอ่านตำราฝึกเขียนตัวอักษรเท่านั้น หวังว่าจะรู้จักตัวอักษรมากขึ้น เรียนรู้หลักการการเป็นคนจากในตำราให้มากขึ้น”

เทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินถามยิ้มๆ “รู้ประโยชน์ของเศษชิ้นส่วนร่างทองหรือไม่?”

เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า เขาไม่รู้จริงๆ

เทพอภิบาลเมืองเสิ่นอธิบายเบาๆ “เศษชิ้นส่วนร่างทองเหล่านั้นต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเสพสุขกับควันธูปในโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเทพภูเขา เทพแม่น้ำ หรือเทพอภิบาลเมืองและเทพในศาลบุ๋นบู๊อย่างพวกเรา ล้วนมีคำเรียกขานว่าร่างทองทั้งสิ้น อันดับแรกต้องได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนัก สร้างเทวรูป จากนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะต้องบำรุงบ่มเพาะรัศมีบารมีด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าร่างทองก็มีการแบ่งระดับสูงต่ำคล้ายคลึงกับในวงการขุนนาง โดยทั่วไปแล้วระดับขั้นร่างทองของทวยเทพห้าขุนเขาใหญ่จะสูงที่สุด ตามมาด้วยเทพวารีแห่งมหานที รวมไปถึงพวกเทพอภิบาลเมืองในเมืองหลวง อนุมานตามลำดับเช่นนี้ไปเรื่อยๆ”

“กล่องไม้สีเขียวกล่องนั้นด้านในบรรจุ ‘ตราประทับเสี่ยนโย่วโป๋เทพอภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี’ ที่ต้าเทียนซือรุ่นหนึ่งของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์สลักและประทานมาให้ด้วยตัวเอง เป็นอาวุธอาคมที่ซุกซ่อนพลานุภาพแห่งสวรรค์ซึ่งแข็งแกร่งมากชิ้นหนึ่ง เพียงแต่ว่าจำเป็นต้องใช้ร่วมกับคาถาห้าอสนีถึงจะใช้ได้ แม้ว่าข้าจะเป็นเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือคนปัจจุบัน แต่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่หนึ่ง จึงไม่สามารถใช้คาถาห้าอสนีของระบบเต๋าได้ และในความเป็นจริงแล้วตอนที่จวนเทียนซือมอบตราประทับชิ้นนี้มาให้ เดิมทีก็มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์มากกว่า แค่ให้ช่วยปกปักษ์ฮวงจุ้ยของเมืองแห่งหนึ่ง ไม่ได้ให้ผู้ฝึกลมปราณหรือเทพอภิบาลเมืองของแคว้นไฉ่อีเอามาอวดอ้างอำนาจ หากไม่เป็นเพราะตราประทับเทียนซือสยบหมู่มารโดยมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ด้วยสุสานระเกะระกะนอกเมืองที่มีมานาน ความอาฆาตพยาบาทเข้มข้น หมู่มารทั้งหลายก็คงบุกเข้ามาในเมืองแยนจือนานแล้ว”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามว่า “ต้องการให้ข้าช่วยนำไปมอบให้เจ้าเมืองหลิวแทนท่านหรือไม่? หรือว่าจะมอบให้ฮ่องเต้ของแคว้นไฉ่อีพวกท่านดี?”

เทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินจ้องมองดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นอย่างตั้งใจ แล้วพลันโบกชายแขนเสื้อ หัวเราะเสียงก้อง “อริยะมีคำสอนบอกไว้ว่า อาวุธเทพแห่งฟ้าดิน มีเพียงผู้มีคุณธรรมเท่านั้นถึงจะควรค่าครอบครอง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!