บทที่ 247 ในความวุ่นวาย ได้พบวิญญูชน
หลังผ่านศึกใหญ่มา จำเป็นต้องพักผ่อน นี่คือหลักการทั่วไป เพราะกองทัพใหญ่ของราชสำนักไม่อาจเป็นภัยคุกคามได้แล้ว อีกทั้งหมู่บ้านก็มีซ่งเฟิ่งซานเฝ้าพิทักษ์ ซ่งอวี่เซาจึงไม่รีบร้อนกลับไป เพียงรอให้ฉู่หาวคืนสติกลับมาอีกครั้งจะได้ถามเรื่องบางอย่างจากเขา
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่มีความชำนาญในระดับหนึ่งแล้ว ขอแค่ไม่ถูกทำร้ายไปถึงรากฐานของร่างกายและพลังต้นกำเนิดจิตวิญญาณ เมื่อผ่านการพักผ่อนสักช่วงระยะเวลาหนึ่ง พลังก็จะกลับคืนสู่จุดสูงสุดได้เอง เวลาที่ใช้จะสั้นหรือยาวอยู่ที่ความแตกต่างระหว่างบุคคล ‘ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้’ ตามที่ซ่งอวี่เซาเข้าใจแต่เดิม หรือก็คือสามขอบเขตที่เฉินผิงอันกล่าวถึงอย่างขอบเขตร่างทอง จำแลงขนนกและยอดภูเขา เล่าลือกันว่าการผลัดเปลี่ยนลมปราณใหม่และเก่าของพวกเขาสามารถทำสำเร็จได้ในทันทีจนคนนอกมองไม่ออกแม้แต่น้อย แน่นอนว่าไม่มีพิรุธให้จับได้ และภาพเหตุการณ์เฝ้าตอรอกระต่ายบนสนามรบของเซียนกระบี่ไผ่เขียวก่อนหน้านี้ย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้นในยุทธภพตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปจึงมีคำกล่าวหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยความเผด็จการว่า ‘ก่อนหน้าที่เทพแห่งการต่อสู้จะรบจนตัวตายก็ล้วนอยู่ในขอบเขตสูงสุด’ แต่ซ่งอวี่เซาแค่ได้ยินคนอื่นพูดมาอีกที ส่วนเฉินผิงอันก็แค่รู้การแบ่งขอบเขตคร่าวๆ ทัศนียภาพบนยอดสูงสุดของวิถีวรยุทธ์สามขอบเขตนี้จึงเหมือนมีเมฆหมอกลอยบดบังสำหรับพวกเขา
ซ่งอวี่เซาเห็นว่าสีหน้าเฉินผิงอันไม่ค่อยดีนัก นี่ออกจะผิดปกติอยู่บ้าง ตามหลักแล้วหลังจากผู้ฝึกยุทธ์ออกจากสนามรบมาแล้ว สภาพการณ์ของร่างกายต้องมีแนวโน้มไปสู่ความมั่นคงถึงจะถูก แต่เฉินผิงอันกลับแสดงท่าทีเหน็ดเหนื่อย เขาจึงหยุดเดิน เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “เป็นอะไรไป? หรือว่าบาดเจ็บตรงไหน?”
เฉินผิงอันหันไปสังเกตฉู่หาวก่อน อีกฝ่ายมีลมหายใจที่เชื่องช้ามั่นคง ดูเหมือนจะยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมาในช่วงเวลาอันใกล้นี้ แต่เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลงก็บิดข้อมือสะบัดให้แม่ทัพใหญ่ของแคว้นซูสุ่ยหมดสติซ้ำซ้อนไปอีกรอบ ไม่ต่างจากตอนเป็นเด็กที่เที่ยวเล่นไปทั่วป่ากับหลิวเสี้ยนหยาง พอจับงูได้ เพียงแค่สะบัดร่างก็สามารถทำให้กระดูกทั่วร่างของมันแยกตัวออกจากกันได้แล้ว
ฉู่หาวที่เดิมทีคิดว่าปกปิดได้ดีแล้วร้องโอดครวญอยู่ในใจ สองตามืดดำ หมดสติรู้สำนึกไปอีกครั้ง มาเจอกับเซียนกระบี่ระยำที่ไม่มีคุณธรรมในยุทธภพแบบคนผู้นี้ เขาก็จนปัญญาแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันถึงได้หันมาอธิบายกับซ่งอวี่เซาว่า “เพราะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่บนภูเขา ดังนั้นการที่ข้าบังคับกระบี่บินสองเล่มจึงต้องเผาผลาญพลังจิตไปไม่น้อย แม้ว่าหลังออกไปจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้ว พวกมันจะสามารถสังหารศัตรูได้ด้วยตัวเอง แต่ก็ต้องให้ข้าแบ่งจิตส่วนหนึ่งไปไว้บนกระบี่ น่าจะเหมือนเป็นฝักกระบี่ให้พวกมันกระมัง หาไม่แล้วพวกมันก็จะไม่สามารถอยู่นอกช่องโพรงลมปราณหรือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ได้นานเกินไปนัก อีกอย่างข้าก็ใช้ยันต์ย่อพื้นที่ไปค่อนข้างมาก บวกกับที่การเปลี่ยนลมปราณสองครั้งค่อนข้างฉุกละหุก ตอนนี้เลยรู้สึกแย่เล็กน้อย แต่ว่าไม่เป็นไร ขอแค่ในระยะนี้ไม่มีการต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีก ก็สามารถอาศัยการเข้าฌานค่อยๆ ชดเชยพลังกลับมาได้”
ซ่งอวี่เซาโล่งอก ระหว่างที่เดินอยู่บนทางภูเขา ร่มแมกไม้และแสงแดดขับดุนกันและกัน ผู้เฒ่าจิตใจปลอดโปร่ง สาเหตุนั้นมีทั้งปมในใจถูกคลายออก แล้วก็ยิ่งเป็นเพราะได้พบเจอกับสหายตัวน้อยที่สามารถฝากชีวิตไว้ด้วยได้ นี่ทำให้ไฟแห่งความหวังที่มีต่อยุทธภพของเขาถูกจุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ต่อให้ใจคนไม่ซื่อ แต่ยุทธภพก็ยังคงอยู่
จู่ๆ ผู้เฒ่าก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน แม้ว่าเจ้าจะมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งใบ จึงไม่จำเป็นต้องเผาผลาญของวิเศษจำนวนหนึ่งทุกครั้งหลังจากที่ลงมือ เพื่อซ่อมแซมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเหมือนเซียนกระบี่ทั่วไป แต่ในเมื่อเป็นคนละเรื่องก็ไม่ควรเอามาปะปนกัน ฉู่หาวถึงขนาดเชิญให้เซียนกระบี่ไผ่เขียวมาช่วยสยบทัพให้ หากครั้งนี้ไม่มีเจ้าช่วยเหลือ ข้าคงต้องตายอยู่ในวงล้อมของศัตรูอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อกลับไปถึงหมู่บ้าน ข้าจะมอบเงินหิมะน้อยทั้งหมดให้เป็นค่าตอบแทนแก่เจ้า จำนวนไม่มาก หลายปีมานี้ก็ยังสะสมได้ไม่ถึงสองพันเหรียญ คราวที่เฟิ่งซานไปซื้อ ‘วารีสีคราม’ ที่ท่าเรือตระกูลเซียนก็ใช้หมดไปครึ่งหนึ่ง ดังนั้นคงมอบให้เจ้าได้แค่แปดเก้าร้อยเหรียญเงินหิมะน้อยเท่านั้น”
ผู้เฒ่ากล่าวมาถึงตรงนี้ก็ให้รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เขาเอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าชีวิตของซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ยยังมีค่าไม่ถึงหนึ่งพันเงินหิมะน้อยเลยด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้า พูดว่า “ผู้อาวุโสซ่ง ข้าเอาแค่สามสี่ร้อยเงินหิมะน้อยก็พอแล้ว ไม่ต้องให้ข้าทั้งหมด วันหน้าซ่งเฟิ่งซานยังต้องมีเรื่องให้ใช้อีกแน่นอน”
แม้ว่าในวัตถุฟางชุ่นอย่างสืออู่จะมีเงินเกล็ดหิมะกองใหญ่ที่เด็กชายชุดเขียวแลกซื้อกับหินดีงู รวมถึงยังมีเงินร้อนน้อยที่มีค่ามากกว่าอีกแปดเหรียญ ก็ไม่ถือว่าน้อยแล้ว แต่ภายใต้การแนะนำจากเว่ยป้อ เฉินผิงอันเคยได้เห็นทัศนียภาพของร้านผ้าห่อบุญบนภูเขาหนิวเจี่ยวกับตาตัวเองมาก่อน กังวลว่าวันหน้าหากไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนแล้วเจอกับของที่ถูกใจจะพลาดไปด้วยความเสียดาย
ส่วนผู้อาวุโสซ่งกับหมู่บ้านวารีกระบี่ เฉินผิงอันเชื่อในประโยคนั้นที่ผู้เฒ่ากล่าวไว้ ภูเขาเขียวไม่เปลี่ยน สายนทีไหลยาว
เฉินผิงอันเลือกที่จะรับเงินไว้ แต่ก็ไม่ได้รับไว้ทั้งหมด นี่อยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์ของซ่งอวี่เซา ผู้เฒ่าอดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าเหมือนจะเกรงใจ…แต่ก็ไม่เกรงใจ! รู้หรือไม่ว่าคนในยุทธภพรุ่นข้าจะพูดว่าอย่างไร? พวกเขาจะตบอกแล้วพูดประโยคหนึ่งว่า ‘ระหว่างพี่น้อง อย่าพูดเรื่องเงินให้ทำลายมิตรภาพ หากยังเห็นข้าเป็นพี่น้อง อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีก หาไม่แล้วยังจะเป็นพี่น้องกันอีกได้อย่างไร’”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ติดค้างน้ำใจคนใช้คืนได้ยากยิ่งกว่าติดเงิน อย่างน้อยข้าก็คิดอย่างนี้”
ซ่งอวี่เซาพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย “เป็นอย่างนี้จริง”
สุดท้ายผู้เฒ่ากล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยค “ตามหลักแล้วก็ควรเป็นอย่างนี้”
สายลมภูเขาพัดโชยมาระหว่างแมกไม้ ใบไม้สีเขียวไหวพะเยิบพะยาบ เงาไม้ให้ร่มเงาเย็นสบาย
เพราะเห็นแก่สภาพร่างกายของเฉินผิงอัน ซ่งอวี่เซาจึงเดินไม่เร็วนัก อีกอย่างก็ไม่มีปัญหาอะไรทับถมอยู่ในใจ ผู้เฒ่าจึงคิดซะว่ามาเดินเล่นชมธรรมชาติ ซ่งอวี่เซาเอ่ยเตือนเฉินผิงอันหนึ่งคำว่า คราวหน้าเมื่อฉู่หาวตื่น ไม่ต้องทำให้อีกฝ่ายสลบอีก เขามีเรื่องจะถาม เฉินผิงอันไม่มีปัญหาอะไร เมื่อพอจะวิเคราะห์ตบะของฉู่หาวได้คร่าวๆ เฉินผิงอันที่มีนิสัยระมัดระวังมาตั้งแต่เกิดก็วางใจลงได้ เขาไม่เต็มใจจะแบกฉู่หาวเดินอยู่ท่ามกลางป่าเขา แต่ให้หิ้วคอไอ้หมอนี่ไปมาก็ไม่ใช่เรื่อง คิดไปคิดมาเฉินผิงอันก็เปลี่ยนมาลากขาข้างหนึ่งของฉู่หาว คล้ายราชันแห่งป่าเขาที่กำลังใช้ไม้กวาด ‘กวาด’ ใบไม้ร่วงในลานบ้านของตัวเองไปตลอดทาง
……
เซียนกระบี่ไผ่เขียวไม่กลัวว่าซ่งอวี่เซาและเด็กหนุ่มจะตามมาไล่ฆ่าตัวเอง เขาเดินเนิบช้าเลียบถนนทางหลวงกลับไปยังเมืองใหญ่ แต่แล้วก็ต้องหันขวับไปมองผืนป่าข้างทางที่อยู่ห่างไปไกล หลังจากหยุดยืนแล้ว เขาก็เอื้อมมือไปจับท่อนไม้ไผ่ที่ห้อยไว้ด้านข้างเอว ในป่ามีคนผู้หนึ่งที่เซียนกระบี่ไผ่เขียวคุ้นเคยเดินออกมา อายุเจ็ดสิบปี ใบหน้ามีเหลี่ยมมุมให้เห็นชัดเจน แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนในยุทธภพที่คบหาได้ง่ายนัก ตรงเอวของเขาพกกระบี่ ใช้เส้นด้ายสีเขียวที่ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุใดรัดพันฝักกระบี่เอาไว้ ระดับความยาวเหนือกว่ากระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปจึงสะดุดตามากเป็นพิเศษ
เซียนกระบี่ไผ่เขียวเดินออกจากถนนทางหลวงไปรับหน้ามือกระบี่แคว้นกู่อวี๋คนนั้นที่เคยมีโอกาสได้พบหน้ากันอยู่หลายครั้ง คนทั้งสองหยุดเดินพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จึงกลายเป็นว่ายืนห่างจากกันประมาณยี่สิบก้าว
มือกระบี่เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “ซูหลาง จากลากันที่ริมน้ำคราวก่อนก็นานถึงห้าหกปีแล้วกระมัง?”
เซียนกระบี่ไผ่เขียวตอบอย่างเฉยเมย “หลินกูซาน มาหาข้ามีธุระอะไร? มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี”
สำหรับท่าทางยโสถือดีของเด็กรุ่นหลัง ผู้เฒ่าไม่ถือสาแม้แต่น้อย ยอมพูดเข้าประเด็นอย่างที่อีกฝ่ายต้องการจริงๆ “ครั้งนี้ข้าได้รับการไหว้วานจากท่านราชครูให้มาสังหารเฉินผิงอันที่นี่ ก่อนหน้านี้เคยประมือกันไปแล้ว ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งและฮูหยินอสรพิษที่รับใช้ฮ่องเต้ทยอยกันตายด้วยน้ำมือของเฉินผิงอัน ตอนนี้เหลือแค่ข้ากับเจ้าหอหม่ายตู๋ และไม่เต็มใจจะหยุดลงเพียงเท่านี้ ก่อนหน้านี้อยู่บนภูเขาได้เห็นฉากตระการตาที่เทพเซียนทะลวงขบวนรบ เลยอยากรู้ว่าจะสามารถร่วมมือกับเจ้าสังหารเฉินผิงอันและซ่งอวี่เซาได้หรือไม่ รอจนสำเร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ซ่งอวี่เซาให้เจ้าเป็นคนจัดการ ส่วนเฉินผิงอันพวกเราจะเอากลับไปที่แคว้นกู่อวี๋เอง”
ซูหลางชำเลืองมองไปทางผืนป่าบนภูเขาแวบหนึ่งแล้วถามสองคำถาม “ทันหรือ? มีโอกาสชนะไหม?”
หลินกูซานราชันกระบี่แคว้นกู่อวี๋พยักหน้ารับ “เจ้าหอหม่ายตู๋เชี่ยวชาญด้านการลอบสังหารมากที่สุด เขาจะเป็นคนลงมือก่อน หากมีเขามาก่อกวนก็มากพอจะถ่วงเวลาของสองคนนั้นไว้ได้ ส่วนโอกาสชนะ ข้าพูดได้แค่ว่า ความสำเร็จอยู่ที่ความพยายาม พวกเราสามคนร่วมมือกัน แต่สุดท้ายแล้วจะมีกี่คนที่รอดชีวิต ข้าหลินกูซานไม่กล้ารับประกัน”
ซูหลางกล่าวยิ้มๆ “หากผู้อาวุโสหลินบอกว่ามีโอกาสสำเร็จสูงมาก ข้าก็คงไม่พยักหน้าตอบรับ”
หลินกูซานถาม “นี่แสดงว่าตอบรับแล้ว?”
ซูหลางพยักหน้า “เจ้าไปช่วยเจ้าของหอหม่ายตู๋ก่อนเถอะ ข้าจะกลับไปทางเดิม ไปหารองแม่ทัพทหารม้าสกุลฉู่รวมถึงไปถึงผู้ฝึกลมปราณสองคนที่รับใช้ราชสำนักแคว้นซูสุ่ยก่อน ขอแค่พวกเจ้าสองคนสามารถขัดขวางซ่งอวี่เซาและเฉินผิงอันไว้ได้ ข้าก็สามารถทำให้โอกาสชนะเพิ่มมากขึ้นได้”
หลินกูซานสองจิตสองใจ
ซูหลางยิ้มบางๆ “คราวนี้ร่วมมือกันอย่างฉุกละหุก มีผลประโยชน์ก็รวมตัว เสียผลประโยชน์ก็แยกย้าย เจ้าไม่เชื่อใจข้าซูหลางก็เป็นเรื่องปกติ แต่อย่างน้อยก็ควรจะเชื่อว่าการตัดหัวอริยะกระบี่ผู้เฒ่าคนหนึ่งของแคว้นซูสุ่ย สำหรับเซียนกระบี่ของแคว้นซงซีแล้วมีความล่อลวงใจสูงแค่ไหน”
หลินกูซานแค่นเสียงหยัน “แล้วควรจะตัดหัวราชันกระบี่แคว้นกู่อวี๋ไปพร้อมกันด้วยเลยหรือเปล่า? หากยุทธภพในหลายสิบแคว้นเหลือเพียงเซียนกระบี่อย่างเจ้าที่ได้ยึดครองวิถีกระบี่เพียงลำพัง จะไม่ดียิ่งกว่าหรอกหรือ!”
สองนิ้วของซูหลางคีบกลุ่มผมสีดำกลุ่มหนึ่งที่ห้อยลงมาตรงจอนผม อีกมือหนึ่งใช้นิ้วเคาะเบาๆ ลงบนท่อนไม้ไผ่ ท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด “กระบี่ของเจ้าหลินกูซานไม่เคยเข้าตาข้าเลยนี่นา”
หลินกูซานที่ชื่อเสียงในยุทธภพเลวร้ายอย่างยิ่งหรี่ตาลง พูดหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม “พูดจาวางโตนัก”
ซูหลางกล่าวด้วยสีหน้าตรงไปตรงมา “ความจริงมักไม่น่าฟังเสมอ”
หลินกูซานหลุดหัวเราะพรืด พูดเสียงเย็น “ไม่ว่าจะอย่างไร วันนี้ศัตรูตัวฉกาจของพวกเราคือซ่งเฉินสองคน ข้ากับเจ้าหอหม่ายตู๋จะรอฟังข่าวดี! หากพวกเจ้ามาช้า ข้าไม่กล้าพูดว่าเจ้าหอหม่ายตู๋ที่เจ้าคิดเจ้าแค้นผู้นั้นจะไปแก้แค้นเจ้าซูหลางหรือไม่ แต่ข้าหลินกูซานย่อมต้องไปทวงความยุติธรรมจากเจ้าและเชื้อพระวงศ์แคว้นซงซีอย่างแน่นอน”
ซูหลางผายมือข้างหนึ่งบอกเป็นนัยให้หลินกูซานล่วงหน้าไปก่อน
ราชันกระบี่ท่านนี้จึงทะยานร่างจากไปไกล
ส่วนซูหลางก็หมุนตัวกลับแล้วพุ่งไปตามถนนทางหลวง
เพียงแต่ว่าไปได้แค่ครึ่งทาง ซูหลางก็พลันหยุดชะงัก เขามองเห็นเด็กสาวหน้าตางดงามเย้ายวน แต่กลับวางท่าไร้เดียงสายืนอยู่ใจกลางถนน นางสวมชุดกระโปรงสีเหลืองไข่ห่าน แผ่กลิ่นอายของความสะอาดไร้ราคี
ซูหลางเดินไปข้างหน้าช้าๆ
เด็กสาวหยิบจดหมายลับฉบับหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ด้านบนประทับครั่งปิดผนึกสีชาด เป็นการป้องกันไม่ให้คนส่งจดหมายเปิดออกอ่านโดยพลการของคนเขียน เด็กสาวยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ซ่งเฟิ่งซานต้องการให้ข้านำมามอบให้เจ้า บอกว่าแค่เปิดจดหมายออกอ่านก็จะรู้เอง คนผู้นั้นยังบอกด้วยว่าหากเจ้าตอบรับ ก็พยักหน้าให้ข้าเห็นได้เลย ซ่งเฟิ่งซานรับรองว่าในอีกหกสิบปีให้หลัง เจ้าซูหลางจะสามารถใช้สถานะของเซียนกระบี่ยึดครองครึ่งหนึ่งของยุทธภพในหลายสิบแคว้นได้อย่างมั่นคง”
ซูหลางนิ่งคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะควักถุงมือถักจากเส้นด้ายสีขาวหิมะคู่หนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ สวมใส่เรียบร้อยแล้วถึงกวักมือ “ส่งมา”
เด็กสาวก็คือ ‘หมัวมัว’ ในวัดร้าง หนึ่งในสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ย ครั้งนี้นางออกมาจากหมู่บ้านวารีกระบี่ นอกจากจะจับตามองซ่งอวี่เซาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือหาโอกาสนำจดหมายฉบับนี้มาส่งมอบให้ถึงมือซูหลางด้วยตัวเอง อันที่จริงเซียนกระบี่ไผ่เขียวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วยุทธภพผู้นี้เป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่งของแคว้นซงซี เพียงแต่ว่าสายเลือดไม่ใช่บริสุทธิ์ จึงหมดโอกาสที่จะสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ไปนานแล้ว
ซูหลางแกะครั่งปิดผนึกออกอย่างระมัดระวัง หลังแกะจดหมายออกจากซองแล้วก็ไล่สายตาอ่านเนื้อความในจดหมายอย่างรวดเร็ว มุมปากของเขาตวัดขึ้นเป็นมุมโค้ง จากนั้นก็สะบัดข้อมือ จดหมายถูกแรงกระเทือนจึงแหลกสลายเป็นผุยผง ถอดถุงมือเก็บไว้ในชายแขนเสื้อดังเดิมแล้วซูหลางก็พยักหน้ากล่าวว่า “แม่นางสามารถไปบอกกับซ่งเฟิ่งซานได้เลย ในเมื่อหมู่บ้านวารีกระบี่มีความจริงใจขนาดนี้ ข้าซูหลางก็ต้องตอบสนองกลับคืนด้วยความจริงใจไม่ต่างกัน แม่นางจงไปบอกกับซ่งเฟิ่งซานว่า อีกไม่นานจะมีข่าวดีที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่เกี่ยวกับอริยะกระบี่ผู้เฒ่า และข้าหวังว่าซ่งเฟิ่งซานจะทำได้อย่างที่บอกไว้ในจดหมาย”
เด็กสาวที่หมดภาระแล้วรู้สึกตัวเบา นางสอดนิ้วทั้งสิบประสานกันไว้ด้านหลัง คลี่ยิ้มน่ามอง “แม้ว่าซ่งเฟิ่งซานจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แต่เป็นคนที่ทำอะไรมั่นคงหนักแน่นมาก ช่ำชองยิ่งกว่ามารที่มีชีวิตมาหลายร้อยปีอย่างพวกเราเสียอีก ดังนั้นซูหลางเจ้าวางใจได้เลย ในอนาคตเจ้าก็คือจ้าวแห่งยุทธภพของหลายสิบแคว้น ไม่ได้นั่งบัลลังก์มังกรแต่กลับเหนือกว่าคนที่นั่งบัลลังก์มังกรเสียอีก”
ซูหลางกล่าวยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้สมพรปากแม่นาง”
“หากวันหน้าเซียนกระบี่ใหญ่ซูขาดคนนอนเคียงหมอน ก็แค่บอกกล่าวกันสักคำ เรียกเมื่อไหร่ข้าพร้อมจะไปหาเมื่อนั้น!” เด็กสาวทิ้งสายตาเชิญชวนให้กับบุรุษผู้สง่างามพลางหัวเราะเสียงดุจกระดิ่งเงิน เรือนกายเริ่มพร่าเรือน จากนั้นก็กลายเป็นควันเขียวซัดตลบกลุ่มหนึ่งที่ทะยานขึ้นกลางอากาศ เพียงไม่นานก็หายวับไป
ซูหลางเดินหน้าไปเพียงลำพังต่ออีกครั้ง เพียงแต่ว่าเขาเริ่มชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย
ควรจะใจร้อนต้องการเห็นความสำเร็จในทันที คว้าผลประโยชน์มาเก็บใส่ไว้ในกระเป๋าโดยเร็วเพื่อความสบายใจ
หรือควรจะร่วมมือกับซ่งเฟิ่งซาน ผลักตัวเองขึ้นไปสู่ตำแหน่งสูงอย่างจ้าวแห่งยุทธภพ?
แล้วจู่ๆ ซูหลางก็หลุดเสียงหัวเราะ คำแนะนำในจดหมายลับน่าสนใจจริงๆ ซ่งเฟิ่งซานรับรองว่าทุกๆ สิบปี ระหว่างพวกเขาจะต้องมีการจัดประลองฝีมือที่ยิ่งใหญ่อลังการครั้งหนึ่ง คนทั้งสองจะประมือกัน ถึงเวลานั้นเขาซ่งเฟิ่งซานจะได้สืบทอดตำแหน่งอริยะกระบี่แห่งหมู่บ้านวารีกระบี่ต่อไป ใช้สถานะอริยะกระบี่มาดำเนินศึกแห่งความเป็นความตายกับซูหลางที่ยึดครองนามเซียนกระบี่เพียงลำพัง แต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นแค่ละครฉากหนึ่งที่จัดให้คนในยุทธภพดูเท่านั้น ในจดหมายซ่งเฟิ่งซานยังถึงขั้นเลือกสถานที่ต่อสู้ไว้เรียบร้อยแล้วถึงสามแห่ง ครั้งแรกเขาซ่งเฟิ่งซานจะเป็นคนท้ารบซูหลาง สถานที่คือยอดตำหนักใหญ่ในวังหลวงแคว้นซงซี ซูหลางชนะแบบขาดลอย ครั้งที่สองคือบนยอดน้ำตกของหมู่บ้านวารีกระบี่ ซ่งเฟิ่งซานชนะอย่างฉิวเฉียด ครั้งที่สามเป็นที่สุสานศพไร้ญาติเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี ซูหลางเป็นผู้ชนะ
ซูหลางรู้สึกว่าน่าสนใจมาก
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะตัดหัวของราชันกระบี่และเจ้าหอหม่ายตู๋แคว้นกู่อวี๋ไปพร้อมๆ กัน เพื่อเป็นของขวัญตอบแทน
เพียงไม่นานซูหลางก็มองเห็นเงาของกองทัพราชสำนักแคว้นซูสุ่ย ในหัวยังคงมีแผนการที่ร้อยเรียงต่อกันเป็นทอดๆ ของซ่งเฟิ่งซานวนเวียนอยู่ เขาพึมพำเบาๆ ว่า “ในยุทธภพยังเล่นสนุกแบบนี้ได้ด้วยหรือนี่?”
สุดท้ายเซียนกระบี่แคว้นซงซีท่านนี้ก็ไม่ได้ตรงดิ่งเข้าไปในกองทัพใหญ่ แต่หมุนตัวกลับ พุ่งตัวไปยังผืนป่า
ยังคงเป็นสามต่อสอง เพียงแต่ว่าฝ่ายที่มีสามนี้คือซ่งอวี่เซา เฉินผิงอัน รวมกับเขาซูหลางอีกหนึ่งคน
พวกเขาจะร่วมกันรับมือหลินกูซานและเจ้าหอหม่ายตู๋
ระหว่างที่เข้ามาเดินบนเส้นทางภูเขา ซูหลางก็จงใจลดระดับความเร็วในการก้าวเดินลง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ยุทธภพอันตรายจริงๆ”
เมืองใหญ่เขตการปกครอง ในเรือนที่เงียบสงบไม่สะดุดตาหลังหนึ่งมีแขกสูงศักดิ์ของเมืองหลวงมาพักอยู่ที่นี่ แม้ว่าเรือนหลังนี้จะไม่หรูหราใหญ่โต แต่ก็สะอาดสะอ้าน ของตกแต่งทุกชิ้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเรียบง่ายสง่างามอย่างบ้านเรือนของปัญญาชนผู้มีความรู้ อีกทั้งยังเงียบสงบทั้งๆ ที่อยู่ในพื้นที่จอแจ เห็นได้ชัดว่าผู้สร้างทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อย
มีสตรีแต่งงานแล้วที่ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติและมั่งคั่งยืนอยู่ในลานบ้าน แม้ว่าอายุจะไม่น้อยแล้ว แต่กลับดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี ความงดงามจึงยังคงอยู่ หากไม่ตั้งใจเพ่งมองริ้วรอยเล็กๆ ตรงหางตา นางก็คล้ายสตรีวัยสามสิบเท่านั้น เวลานี้นางกำลังก้มตัวโยนอาหารเลี้ยงปลาในอ่างขนาดใหญ่ ด้านในอ่างเลี้ยงปลาทองตัวเล็กสิบกว่าตัว นอกจากนี้ยังมีดอกบัวสีเขียวปลั่งราวกับจะเค้นน้ำได้อีกหลายดอก สีทองและเขียวขับดันกันได้อย่างน่ามอง
นอกจากสตรีจากเมืองหลวงที่มีท่าทางสูงศักดิ์คนนี้ ในลานบ้านยังมีสาวใช้พกดาบร่างกายล่ำสันอีกคนหนึ่ง นอกจากนี้ก็ไม่มีคนอื่นอีก
ทว่าตรอกซอกซอยรอบบ้านกลับมีกลไกลับแฝงไว้ ไม่เพียงแต่มีทหารกล้ามือดีของกองทัพให้การอารักขา ยังมียอดฝีมือวิถีวรยุทธ์อีกหลายคนแฝงตัวปะปนอยู่กับหมู่ชาวบ้าน มือปราบมากความสามารถประสบการณ์โชกโชนของที่ว่าการมณฑลหลายนายก็คอยให้การพิทักษ์อย่างลับๆ แขกจากเมืองหลวงท่านนี้ย่อมต้องมีภูมิหลังไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่ท่ามกลางการคุ้มกันอย่างแน่นหนานี้ สาวใช้พกดาบที่ร่างกำยำดุจบุรุษกลับล้มลงนอนพังพาบอยู่บนพื้นอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ด้านหลังของสาวใช้มีคุณชายหน้าตาหล่อเหลาในมือถือพัดคนหนึ่งปรากฏกาย เขาโบกพัดเอาลมเย็นๆ มาให้ตัวเองจนเส้นผมตรงจอนปลิวไสวเบาๆ เขายิ้มมองไปยังสตรีแต่งงานแล้วที่ยังคงค้อมตัวให้อาหารปลา ส่วนเว้าส่วนโค้งที่อวบอิ่มของนางปรากฎให้เห็นชัดเจน คุณชายหนุ่มรู้สึกเพียงว่าทัศนียภาพในเวลานี้งดงามจนไม่อยากละสายตา ไม่เสียแรงที่เดินทางมาในครั้งนี้
สตรีแต่งงานแล้วยืดตัวขึ้น หันหน้ามามองคนหนุ่มผู้นี้เงียบๆ
คนหนุ่มยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฮูหยิน ก่อนหน้านี้พวกเราเคยพบกันที่เมืองหลวงมาแล้ว”
สีหน้าของสตรีเยือกเย็น เอ่ยเยาะหยัน “ลูกหลานสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉงมีความกล้ามากพอจะงัดข้อกับแม่ทัพใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
คุณชายหนุ่มหุบพัดลง ยกสองมือขึ้นปิดหน้า ก่อนจะค่อยๆ ลดมือลงช้าๆ สุดท้ายเผยให้เห็นใบหน้าที่สตรีแต่งงานแล้วคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด คนหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยเสียงที่สตรีแต่งงานแล้วคุ้นหู “แล้วตอนนี้ล่ะ? ฮูหยินคนดีของข้า?”
ก่อนหน้าที่สตรีแต่งงานแล้วจะแผดเสียงด้วยความตกใจ หานหยวนซ่านลูกหลานสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉงก็ยกนิ้วข้างหนึ่งขึ้นมา ทำเสียงชู่ว์เบาๆ “ฮูหยินโปรดวางใจ ข้าหานหยวนซ่านแค่ชอบขโมยใจ ไม่เคยขโมยร่างกายของสตรีคนใด แต่เชื่อว่าสักวันหนึ่งฮูหยินจะยินดีสนิทสนมใกล้ชิดกับข้า…”
หานหยวนซ่านที่เผยโฉมด้วยใบหน้าของฉู่หาวชี้ไปยังอ่างปลา หยุดพูดไปครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เข้ากันได้ดีดุจปลากับน้ำ”
……
เมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีมีปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสูงวัย ตรงเอวห้อยหยกประดับชิ้นหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมืองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เมืองหลวงแคว้นไฉ่อี ห้องทรงพระอักษรในวังหลวงก็มีปัญญาชนลัทธิขงจื๊อวัยเจ็ดสิบปีคนหนึ่งยืนสองมือไพล่หลัง ตรงเอวเขาก็พกหยกประดับเช่นกัน ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงหน้าต่างไม่พูดไม่จา ฮ่องเต้แคว้นไฉ่อียืนตัวสั่นงันงกอยู่ข้างกาย แม้แต่จะนั่งก็ยังไม่กล้านั่ง
แคว้นกู่อวี๋ ยังคงเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสวมเสื้อสีเขียวคนหนึ่ง คนผู้นี้อายุสามสิบปี ตรงเอวก็ห้อยหยกประดับลักษณะเดียวกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เขานั่งอยู่ในรถม้าหยาบๆ คันหนึ่งที่เช่ามากับสารถีร่างกายบึกบึนคนหนึ่งที่บ่นโน่นตินี่มาตลอดทาง ขณะที่อยู่บนถนนทางหลวงห่างจากแคว้นกู่อวี๋อีกยี่สิบลี้ สารถีก็ตกใจจนพูดไม่ออก เขาที่สายตาไม่เลวมองเห็นว่าตรงนั้นมีทหารม้านับพันนับหมื่นยืนออ มีขุนนางใหญ่สวมชุดขุนนางกลุ่มใหญ่ และดูเหมือนว่าจะมีบุรุษที่สวมชุดคลุมสีเหลืองอีกคนหนึ่งที่ยืนกุมมืออยู่ข้างจุดพักม้า คล้ายกำลังรอคอยใคร?
บัณฑิตที่อยู่ในห้องโดยสารวางตำราในมือลง พูดกับสารถีว่า “ไปถึงจุดพักม้าแล้วค่อยจอดรถ วางใจเถอะ พวกเขามารอข้า นอกจากเงินที่จ่ายไปก่อนหน้านี้ รางวัลที่ราชสำนักกู่อวี๋มอบให้เจ้าเป็นการส่วนตัวก็ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดของข้าแล้วกัน”
กล่าวจบ บัณฑิตวัยกลางคนก็เก็บตำราพลางกล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่า “กว่าจะได้ออกมาครั้งหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย มาถึงแคว้นกู่อวี๋แล้ว เจ้าก็อย่าโมโหเจ้าขุนเขาของพวกเราอีกเลย”
ส่วนที่หมู่บ้านวารีกระบี่ พิธีแต่งตั้งผู้นำยุทธภพกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ในห้องโถงใหญ่ขาดใบหน้าคุ้นตาที่เคยปรากฎตัวก่อนหน้านี้ไปสองสามคน แต่ก็มีบุคคลยิ่งใหญ่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน สองสายขาวดำล้วนมาครบหมด คนดังในยุทธภพเกินครึ่งล้วนมาอยู่ที่นี่
ซ่งเฟิ่งซานนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานสูงสุด มองบุคคลเหล่านี้ด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างจะเฉยชา
ในบรรดาบุคคลเหล่านี้ล้วนไม่ขาดคนที่คิดสวามิภักดิ์เพราะถูกรสนิยมกัน ไม่ขาดคนหน้าเนื้อใจเสือที่อำพรางแผนชั่วร้ายไว้ในใจ มีทั้งคนที่คิดมาตรวจสอบสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยลงเดิมพัน แล้วก็มีคนในราชสำนักที่คิดว่ากำลังดูเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้า
ห่างจากข้างกายซ่งเฟิ่งซานไปไม่ไกลมีภรรยาของเขานั่งอยู่ วันนี้นางแต่งกายเต็มยศ รูปโฉมและบุคลิกที่สง่างามนั้นไม่แพ้สตรีสูงศักดิ์ในวังคนใดเลย
ซ่งเฟิ่งซานมั่นใจในแผนการของตัวเอง บางคนที่อยู่เบื้องล่างก็ย่อมต้องคิดว่าตัวเองกุมชัยชนะได้อย่างมั่นคงไม่ต่างกัน
แต่ทั้งสองฝ่ายล้วนคิดไม่ถึงว่าจะมีแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งมาทำลายแผนการที่พวกเขาต่างก็ทุ่มเทกายใจขบคิดกันมานานหลายปีนี้ลง
ไม่มีคนเฝ้าประตูมารายงาน ยิ่งไม่มีลูกศิษย์ของหมู่บ้านวารีกระบี่ลงมือขัดขวาง พอเห็นบุคคลที่มาเยือนซึ่งแนะนำชื่อแซ่ตัวเองเสร็จสรรพผู้นี้ เกือบทุกคนต่างก็ประสานมือคารวะตามแบบพิธีการของลัทธิขงจื๊อตามจิตใต้สำนึกทันที
ผู้มาเยือนคนนั้นคือชายหนุ่มสวมชุดและหมวกผ้าของลัทธิขงจื๊อ ตรงเอวก็มีหยกประดับชิ้นหนึ่งห้อยอยู่ เขาก้าวเดินด้วยฝีเท้าและจังหวะบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของหมู่บ้านวารีกระบี่ซึ่งมีกลุ่มคนจำนวนมากมารวมตัวกันอย่างไม่รีบไม่ร้อน หลังจากข้ามธรณีประตูมาแล้ว เขาก็กวาดตามองไปรอบด้าน แล้วแนะนำตัวเองอีกครั้ง “นักปราชญ์โจวจวี่แห่งสำนักศึกษากวานหู”
แทบทุกคนในห้องโถงใหญ่ต่างก็ลุกพรวดขึ้นยืน ประสานมือคารวะคนผู้นี้
คนหนุ่มคารวะกลับคืน หลังจากนั้นก็เดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าว มองไปยังนายน้อยท่านผู้นำของหมู่บ้านวารีกระบี่
ซ่งเฟิ่งซานสีหน้ามืดทะมึน สตรีสาวที่นั่งอยู่ใกล้กับเขาใช้สายตาบอกเป็นนัยไม่ให้เขาบุ่มบ่าม
นักปราชญ์หนุ่มสำนักศึกษากวานหูกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “หานหยวนซ่านลูกหลานสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉงอยู่หรือไม่?”
ซ่งเฟิ่งซานข่มกลั้นโทสะที่อยู่ในใจลง กระตุกมุมปาก ตอบเนิบช้า “บังเอิญจริง เมื่อวานหานหยวนซ่านยังอยู่ในหมู่บ้าน แต่วันนี้กลับไม่อยู่แล้ว เขาบอกว่าเกิดความสนใจกะทันหัน เลยออกเดินทางไปเที่ยวชมแม่น้ำภูเขาแล้ว ไม่ทราบว่าอาจารย์แห่งสำนักศึกษาท่านนี้มาหาเขาด้วยธุระใด? หากไม่รีบร้อน ข้าสามารถช่วยนำความไปบอกแก่เขาได้”
นักปราชญ์หนุ่มคลี่ยิ้ม “หานหยวนซ่านคือจิ้นซื่อ (บัณฑิตขั้นสูง ซึ่งถือได้ว่ามีระดับเทียบเท่าปริญญาเอกในปัจจุบัน เป็นคุณวุฒิที่ปัญญาชนจำนวนมากในสมัยนั้นมักแสวงหาและใฝ่ฝัน ถ้าสอบได้เป็นจิ้นซื่อ จะมีโอกาสได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสูง ดังนั้นการสอบระดับจิ้นซื่อจึงยากที่สุด) ของแคว้นซูสุ่ย ถือเป็นลูกศิษย์ในลัทธิขงจื๊อเราแล้ว แต่กลับฝึกวิชามาร มีเจตนาร้ายแอบแฝง เป็นภัยต่อแคว้นและบ้านเมือง ข้าต้องการพาตัวเขาไปรับโทษที่สำนักศึกษากวานหู ส่วนจะจัดการอย่างไร เมื่อไปถึงสำนักศึกษา ย่อมมีข้อสรุปเอง ซ่งเฟิ่งซาน ข้าไม่ใช้สถานะของนักปราชญ์แห่งสำนักศึกษา แต่จะใช้ความเป็นโจวจวี่ของข้าแนะนำเจ้าสักคำ ดึงบังเหียนม้ากลับเมื่อถึงหน้าผายังไม่สาย วัวหายล้อมคอกก็ยังไม่ถือว่าช้าเกินกาล”
ซ่งเฟิ่งซานใช้ข้อศอกค้ำที่วางแขนเก้าอี้ มือเท้าคาง เอียงศีรษะมองนักปราชญ์จากสำนักศึกษากวานหูด้วยรอยยิ้ม สายตามองประเมินอีกฝ่ายอย่างใจเย็น
เล่าลือกันว่าทุกครั้งที่เหล่าอาจารย์ซึ่งสูงศักดิ์จนมิอาจประเมินค่าเหล่านี้ออกจากสำนักศึกษาไปปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ตรงเอวจะต้องห้อยหยกประดับที่อริยะของสำนักศึกษามอบให้ หยกนี้สามารถบันทึกสิ่งที่พบเห็นระหว่างทางและท่าทีปฏิบัติตัวต่อสังคมของผู้ที่พก เพื่อใช้มันแสดงให้เห็นถึงการกระทำที่เปิดเผยตรงไปตรงมา รูปแบบของหยกประดับเป็นแบบของป้ายปลอดภัยที่เรียบง่ายที่สุดในโลก แต่นักปราชญ์และวิญญูชนที่แตกต่างกันจะสลักตัวอักษรไม่เหมือนกัน เนื้อหาไม่เหมือนกัน แต่ล้วนมีความหมายลึกล้ำ มักจะซุกซ่อนความหวังและการเสนอแนะที่อริยะของสำนักศึกษามีต่อคนผู้นั้น
ซ่งเฟิ่งซานไม่ตอบคำถามซึ่งถือว่าไร้มารยาทมาก แน่นอนว่าสตรียังสาวต้องทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยสถานการณ์ นางยืนขึ้น คารวะนักปราชญ์ของสำนักศึกษาท่านนั้นแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากหานหยวนซ่านอยู่ที่นี่จริง หมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเราย่อมต้องยึดหลักคุณธรรม กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง จะต้องให้ความช่วยเหลือสำนักศึกษาจับตัวคนผู้นี้อย่างเต็มที่”
โจวจวี่มองไปทางสตรีแต่งงานแล้ว เอ่ยเสียงหนักว่า “หากไม่เป็นเพราะสะพานแห่งความเป็นอมตะถูกตัดขาดไปนานแล้ว เจ้าถึงมายืนเสนอหน้าอยู่ตรงนี้ได้ หาไม่แล้วจุดจบของเจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าหานหยวนซ่านสักเท่าไหร่ คนในวิถีมารที่ก่อความวุ่นวายในยุทธภพย่อมต้องมีผู้ผดุงคุณธรรมออกมากำจัด แต่หากกล้าคิดรุกรานแผ่นดินแว่นแคว้น สำนักศึกษาของข้าย่อมไม่มีทางละเว้นง่ายๆ !”
ซ่งเฟิ่งซานนั่งตัวตรง จ้องโจวจวี่เขม็ง “พูดจากับภรรยาข้า ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรเกรงใจกันหน่อย”
“เฟิ่งซาน!”
สตรีสาวหันหน้ามาดุใส่เบาๆ ซ่งเฟิ่งซานเห็นสีหน้าร้อนใจของนางก็ถอนหายใจอยู่ในใจ เอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้ด้านหลังแล้วไม่พูดอะไรอีก
เวลานี้เองโต้วหยางที่แต่งตั้งตำแหน่งเจ้าลัทธิมารให้กับตัวเองก็กรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งคำแล้วกระแทกแก้วเหล้าลงบนโต๊ะแรงๆ หัวเราะเสียงเย็นชา
นักปราชญ์หนุ่มหันหน้าไปมองผู้ฝึกลมปราณท่านนี้ “รอข้าจัดการธุระของสำนักศึกษาเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน แล้วจะปลดหยกประดับลงจากเอว หวังว่าถึงเวลานั้นเจ้าโต้วหยางจะยังหัวเราะออก”
โต้วหยางปรายตามองอาจารย์แห่งสำนักศึกษาที่น่าจะอายุไม่ถึงสามสิบปีแล้วหัวเราะฮ่าๆ “คนอื่นกลัวชื่อสำนักศึกษากวานหูของเจ้า กลัวแทบเป็นแทบตาย ข้าโต้วหยางก็กลัวเหมือนกัน แต่ก็เพราะรู้กฎของสำนักศึกษาพวกเจ้าจึงไม่ถึงขนาดตัวสั่นงันงก ธรณีประตูของนักปราชญ์ลัทธิขงจื๊อเป็นอย่างไร แล้วคอขวดเป็นอย่างไร มีความห่างจากวิญญูชนเท่าไหร่ ข้าล้วนรู้ชัดเจนดี ดังนั้นเจ้าโจวจวี่ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดมากดข่มข้า พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย เจ้าปลดหยกประดับตรงเอวออกแล้ว ข้าก็ยังกริ่งเกรงสำนักศึกษาของเจ้าอยู่ดี ไหนเลยจะกล้าประมือกับเจ้าอย่างเต็มที่ แต่หากเจ้าโจวจวี่แน่จริงก็ถอดชุดและหมวกของลัทธิขงจื๊อออกพร้อมกันเลยสิ ทำตัวให้เหมือนคนในยุทธภพ ถ้าอย่างนั้นหากข้าโต้วหยางตีให้เจ้าขี้ราดไม่ได้ ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่ตามเจ้า!”
คำพูดประโยคนี้ของมารโต้วหยางพูดได้อย่างเผด็จการ แถมยังสาแก่ใจ ต่อให้เป็นพวกบุคคลสำคัญสายขาวบางส่วนก็ยังรู้สึกว่าถึงแม้คนผู้นี้จะกระทำชั่วมากมาย เคยสร้างมรสุมคาวเลือดครั้งแล้วครั้งเล่าในยุทธภพ แต่การที่เขากล้าพูดแบบนี้ต่อหน้านักปราชญ์คนหนึ่งของสำนักศึกษากวานหู ก็ถือว่าไม่ผิดต่อคำว่ายุทธภพแล้วจริงๆ ! แคว้นซูสุ่ยมียักษ์ใหญ่ในวิถีมารแบบนี้อยู่ตนหนึ่ง จะถือว่าสามารถกดหัวยุทธภพแคว้นไฉ่อีกับแคว้นกู่อวี๋ได้ระดับหนึ่งหรือเปล่า?
นักปราชญ์โจวจวี่ยิ้มบางๆ
เขาก้มหน้ามองหยกประดับชิ้นนั้นพลางพึมพำเบาๆ “อาจารย์ ท่านลองฟังสิ แบบนี้ข้ายังจะทนได้อีกหรือ? ยอมอดทนไม่ต่อยตีพวกนักปราชญ์ในสำนักศึกษาพวกนั้นก็ยังพอทำเนา แต่นี่ออกมาอยู่ข้างนอก อยู่ห่างจากสำนักศึกษานับพันนับหมื่นลี้แล้วยังต้องอดทนต่อผู้ฝึกลมปราณวิถีมารคนหนึ่งด้วยหรือ? เอาเถอะ ท่านต้องพูดว่าอดทนเข้าไว้ อดทนไปอดทนมาก็จะได้กลับไปเป็นวิญญูชนอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่ว่า…ข้าทนไม่ไหวจริงๆ นี่นา…อะไรนะ อาจารย์ท่านจะพูดว่าอะไรนะ…เหวยๆๆ ได้ยินที่ข้าพูดไหม? โอ๊ะโอ แผ่นหยกเกิดปัญหาได้ยังไงเนี่ย อาจารย์ หลังจากนี้ท่านต้องจัดการกับพวกคนจากฝ่ายงานสร้างของสำนักศึกษาแล้วล่ะ…ถ้าอย่างนั้นแค่นี้นะ ไม่คุยแล้ว กลับไปถึงสำนักศึกษาอาจารย์ต้องช่วยเปลี่ยนชิ้นใหม่ให้ข้าด้วย…”
มาถึงตอนท้าย ทุกคนเห็นเพียงว่าอาจารย์หนุ่มจากสำนักศึกษาที่พูดอะไรเรื่อยเปื่อยกับตัวเองยื่นมือมากำแผ่นหยกที่คล้ายจะสั่นสะเทือนได้เองไว้แน่น แล้วเขย่ามันแรงๆ สุดท้ายประกบสองนิ้วทำมุทรา หมุนวนเบาๆ ก็มีลมเย็นโอบล้อมปกคลุมแผ่นหยกชิ้นนั้น ห่อหุ้มมันไว้เหมือนรังดักแด้ นักปราชญ์หนุ่มถึงได้ยิ้มแล้วเก็บแผ่นหยกกลับไปไว้ในชายแขนเสื้อ
สตรียังสาวฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสนใจเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกายซ่งเฟิ่งซาน พูดพลางยิ้มเจื่อนว่า “เฟิ่งซาน ข้านึกออกแล้ว คนผู้นี้คือหนึ่งในผู้สืบทอดของอริยะแห่งสำนักศึกษากวานหูท่านนั้น ในบรรดาลูกศิษย์ทุกคน เขาอายุน้อยที่สุด แล้วก็อารมณ์ร้ายที่สุดเช่นกัน ส่วนความสามารถ…ต่อให้จะไม่ได้สูงที่สุด แต่ย่อมสามารถอยู่ในอันดับที่สองได้แน่นอน ตอนอายุยี่สิบปีเขาก็ได้สถานะวิญญูชน ตอนนั้นสร้างความฮือฮามาก ถูกขนานนามให้เป็น ‘ผู้เที่ยงตรง’ อีกคนหนึ่งตามหลังชุยหมิงหวง เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นวิญญูชน มีความเป็นไปได้มากว่าจะได้รับการทดสอบจากอริยะของสถานศึกษาด้วยตัวเอง ดังนั้นสำนึกศึกษากวานหูจึงให้การปกป้องเขามาก ในรายงานของพวกเราบันทึกชื่อเขาไว้เป็นโจวจวี้หรัน ไม่ใช่โจวจวี่”
โต้วหยางนั่งอึ้งอยู่ที่เดิม กลืนน้ำลายดังเอื้อก
แม้เขาจะไม่รู้ว่าโจวจวี่ก็คือโจวจวี้หรัน แต่จากคำว่า ‘ต่อยตีนักปราชญ์’ ‘กลับไปเป็นวิญญูชนอีกครั้ง’ ก็พอจะทำให้โต้วหยางจับเบาะแสบางอย่างได้
ดังนั้นโต้วหยางจึงลุกขึ้นยืน เตรียมจะขอโทษอีกฝ่าย
ยอมก้มหัวให้วิญญูชนคนหนึ่งของลัทธิขงจื๊อ ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายเลยสักนิด
เพียงแต่ว่าโจวจวี่ที่ออกจากสำนักศึกษาชั่วคราวด้วยสถานะของนักปราชญ์กลับยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ชี้สองนิ้วไปยังโต้วหยางมารผู้ยโสโอหังของแคว้นซูสุ่ย แล้วเอ่ยพลางยิ้มบางๆ “นักปราชญ์สมัยโบราณของลัทธิขงจื๊อเราเคยมีบทกวีที่น่าอัศจรรย์ใจกล่าวไว้ว่า ถามคนรุ่นหลัง ท่านไม่เห็นหรือไรว่า ก้อนหินบนทางเดินม้าใหญ่เท่าหาบ ลมพัดกระโชกแรงให้เศษหินปลิวว่อนไปทั่ว? ข้าโจวจวี่ที่เป็นคนรุ่นหลังขอตอบคำถามตรงนี้ว่า ข้าเห็นแล้ว!”
รัศมีหนึ่งจั้งรอบกายโต้วหยางที่ร่างใหญ่กำยำมีพายุลมกรดม้วนตลบ สายลมเฉียบคมของพายุหมุนบนพื้นดินหมุนคว้างรอบกายยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารท่านนี้อย่างบ้าคลั่ง
จุดจบของโต้วหยางสมกับคำว่าเหลือแต่กระดูกอย่างแท้จริง
ลมพายุหยุดลง โครงกระดูกล้มคว่ำลงพื้น
นักปราชญ์หนุ่มไม่แม้แต่จะปรายตามองโต้วหยางที่เหลือเพียงโครงกระดูกขาว เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองซ่งเฟิ่งซานแล้วถามว่า “ตอนนี้รู้แล้วหรือยังว่าที่ข้าพูดกับเมียเจ้า ถือว่าเกรงใจกันมากแล้ว?”
ซ่งเฟิ่งซานโมโหจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาบนหลังมือ แต่ถูกหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายเอื้อมมือมากดมือเขาไว้อย่างแรง ก่อนที่นางจะพูดพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “พวกเราสองสามีภรรยาย่อมเข้าใจความปรารถนาดีที่อาจารย์โจวมอบให้”
โจวจวี่แย้มยิ้ม “ในเมื่อหานหยวนซ่านไม่อยู่ที่นี่ ก็คงไม่รบกวนพิธีใหญ่ของผู้นำพวกเจ้าแล้ว ข้าจะไปตามหาเขา เชิญพวกเจ้าตามสบาย”
นักปราชญ์แห่งสำนักศึกษาหมุนตัวจากไปอย่างสง่างาม ขณะที่เขาเดินไปทางประตูใหญ่ได้เจอกับหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มที่กลับมาถึงหมู่บ้านวารีกระบี่พอดี พวกเขากำลังเดินเคียงไหล่กันมาทางห้องโถงแห่งนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งจะผ่านศึกใหญ่ที่อันตรายมา บนร่างต่างก็มีคราบเลือด
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้หยุดเดิน แล้วก็ไม่ได้ส่งเสียงทักทายกัน ตอนที่ต่างคนต่างเดินข้ามธรณีประตู จึงเดินสวนไหล่กันไปพอดี
นักปราชญ์หนุ่มจ้องมองเด็กหนุ่มที่สะพายกระบี่อยู่ตลอดเวลา ฝ่ายหลังมีท่าทางแปลกใจเล็กน้อย จึงมองกลับมายังเขา สายตาคนทั้งสองประสานกัน
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้วจึงไม่ได้มองสบตาเขาอีก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นนักปราชญ์หนุ่มที่เคยเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษากวานหูก็ยังหันกลับไปมองเด็กหนุ่มไม่เลิก