Skip to content

Sword of Coming 250

บทที่ 250 บุปผาลานตาสะพรั่งบานเต็มกำแพง

ท่าเรือที่เรือลำที่เฉินผิงอันโดยสารลงจอดไม่ได้อยู่ที่เดียวกับท่าเรือของแคว้นอวิ๋นซง เงินเกล็ดหิมะจ่ายสิบเหรียญ รับป้ายไม้หนึ่งแผ่นมาและมอบตราประทับที่แม่ทัพภาคมอบให้กลับคืนไปแล้ว เฉินผิงอันก็ติดตามคนหลายสิบคนเดินทางไปยังท่าเรือแห่งนั้น สถานที่ตั้งของท่าเรือคือทางเข้าถ้ำหินงอกหินย้อยใต้ดินแห่งหนึ่ง ปากถ้ำกว้างประมาณห้าหกจั้ง เต็มไปด้วยฝีมือแกะสลักจากผู้มีชื่อเสียงและเซียนซือของแต่ละยุคสมัย ‘แดนเซียนเกล็ดปลา’ ‘ตะวันจันทราในกาน้ำ’ ‘ถ้ำสวรรค์เหยาหลิน’ อักษรส่วนใหญ่ล้วนสลักได้อย่างทรงพลัง พอเข้าไปในถ้ำการมองเห็นก็พลันเปิดกว้าง สว่างไสวชัดเจน คนทั้งกลุ่มเดินลงบันได ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมาก็เข้าไปในโถงถ้ำขนาดมหึมา ผนังหินสองด้านทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกมีภาพจิตรกรรมฝาผนังของนางฟ้าที่โบยบินสู่สรวงสวรรค์ ชายแขนเสื้อกว้างส่ายสะบัด ล่องลอยมีชีวิตชีวาเสมือนจริง ใบหน้าของหญิงสาวแจ่มชัด เรือนร่างอวบอิ่ม แต่ไม่ทำให้คนมองรู้สึกว่าอ้วนฉุ

ริมตลิ่งของท่าเรือมีเรือสามชั้นจอดอยู่ลำหนึ่ง ตรงหัวและท้ายเรือต่างก็สลักเป็นรูปหัวกับหางมังกร นอกจากจะมีขนาดใหญ่จนแทบจะใกล้เคียงกับเรือรบของราชวงศ์ใหญ่แล้ว รูปร่างก็ไม่ต่างจากเรือข้ามฟากทั่วไปในโลกมนุษย์ นอกจากกลุ่มของพวกเฉินผิงอัน ยังมีคนอีกสามร้อยกว่าคนรวมตัวเบียดเสียดกันอยู่บนเรือแล้ว ตรงท่าเรือยังมีร้านค้าอีกมากมาย ส่วนใหญ่เป็นร้านขนาดเล็กที่ไม่แขวนกรอบป้ายใหญ่โต ไม่ติดกลอนคู่ เพียงแค่แขวนป้ายตัวอักษรอย่างเรียบง่ายไว้ข้างนอกเท่านั้น มีทั้งภาพวาด ขนม ผลไม้และผลิตภัณฑ์พิเศษจากพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับแคว้นซูสุ่ยวางขาย ยกตัวอย่างเช่นพรมผืนเล็ก แก้วไก่ชนของแคว้นไฉ่อี ภาพต้นสนเข็มของแคว้นซงซี แผ่นสลักใบไม้ต้นอวี๋ ตอไม้หลัวฮั่นแกะสลักของแคว้นกู่อวี๋ เป็นต้น

เงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญที่เฉินผิงอันจ่ายไปก่อนหน้านี้ก็เพื่อเช่าห้องเดี่ยวบนชั้นสอง อันที่จริงชั้นหนึ่งจ่ายแค่สามเหรียญ ซึ่งก็คือสามพันตำลึงเงิน แม้จะบอกว่าเป็นท่าเรือตระกูลเซียน อีกทั้งระยะทางยังยาวไกล แต่เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไกลของราชวงศ์บนโลกมนุษย์แล้วก็ยังน่าตกใจมากอยู่ดี ยังดีที่เฉินผิงอันเคยนั่งเรือคุนมาก่อน จึงไม่ถึงกับตกอกตกใจ อีกทั้งตอนอยู่ที่หอชิงฝูยังขายท่อนไม้สีดำและถ้วยภาพห้าขุนเขาไปได้ ได้เงินเกล็ดหิมะมาเพิ่มอีกสี่ร้อยห้าสิบเหรียญ กำไรนับว่าไม่เลว บวกกับที่เฉินผิงอันต้องฝึกวิชาหมัดเดินนิ่งทุกวัน ดังนั้นเงินส่วนนี้จึงจำต้องควักจ่าย จะประหยัดไม่ได้

มีนักพรตของท่าเรือคนหนึ่งนั่งเก้าอี้ไท่ซืออยู่บนบันไดหินขนาดเล็กริมตลิ่ง ในมือถือถ้วยชาลายกระนกกระทาใบหนึ่ง ยกชาขึ้นดื่มนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เห็นว่าน้ำชาจะหมดเสียที เขาเอ่ยเตือนทุกคนด้วยเสียงอันดังว่า อีกครึ่งชั่วยามเรือจะมุ่งหน้าลงใต้ ก่อนจะขึ้นเรือสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีเฉพาะถิ่นซึ่งสวยงามและราคาถูกกลับบ้าน เขาพูดย้ำทวนถึงพรมของแคว้นไฉ่อีและต้นไม้กระถางของแคว้นซานหลัน พยายามโน้มน้าวและยกยอข้อดีของพวกมันสุดชีวิต แถมยังเอ่ยชื่อร้านของสองร้าน และก็สามารถทำให้ผู้โดยสารเรือหลายคนเกิดความสนใจ ไปทุ่มเงินซื้อของที่สองร้านนั้นได้จริงๆ นี่ทำให้เจ้าของร้านอื่นบ้างก็ค้อนตาคว่ำ บ้างก็อิจฉาริษยา มีเงินก็จ้างให้ผีโม่แป้งได้ ส่วนพวกเขาที่ไม่มีเงินซื้อเส้นสายก็ได้แต่ต้องยอมรับ

เฉินผิงอันยืนเงียบๆ อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงหลิวเกาฮวาบุตรชายของเจ้าเมืองแยนจือ รวมไปถึงบัณฑิตภูตต้นไม้แคว้นกู่อวี๋ นึกถึงแก้วไก่ชนที่พวกเขานำออกมาในเวลานั้น ได้ยินว่าหากอยู่ที่อื่นราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จึงวิ่งไปซื้อแก้วไก่ชนมาหนึ่งคู่ สองใบหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หลังจากนำกล่องไม้หวงหยางที่บรรจุแก้วกระเบื้องใส่ไว้ในห่อสัมภาระเรียบร้อยก็ใช้เงินจริงซื้อผลไม้สดมาส่วนหนึ่ง หิ้วถุงใบใหญ่ไว้ในมือ

ท่ามกลางกลุ่มคนที่มากมายนับไม่ถ้วน เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสาน สะพายกล่องกระบี่ไม้ไว้ที่หลัง สะพายห่อผ้าบนบ่าเฉียงๆ ถือถุงผลไม้ใบใหญ่

แม้ว่าจะมีคนเยอะมาก ระหว่างแต่ละคนอยู่ห่างกันแค่สองสามก้าวเท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับความอึกทึกของตลาดในเมืองใหญ่แล้ว ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งนี้กลับสงบเงียบกว่ามาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสหายที่จับกลุ่มกันมา ชวนกันคุยเสียงเบา น้อยนักที่จะมีใครพูดเสียงดังโฉงเฉง เด็กน้อยบางคนที่นิสัยร่าเริงซุกซนก็ถูกผู้อาวุโสในครอบครัวจับมือไว้แน่น ไม่อนุญาตให้พวกเขาวิ่งเล่นไปทั่ว

เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็คือจุดศูนย์รวมของเทพเซียนที่กล่าวถึงกันในตำนาน

เวลาผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาออกจากบ้าน ไม่มีใครที่เขียนชื่อสำนักแปะไว้บนหน้าผาก และยิ่งไม่มีทางเผยตบะขอบเขตที่แท้จริง

ห้าขอบเขตล่างห้าขอบเขตบน รวมกันแล้วสิบขอบเขต ขอบเขตมากมายขนาดนี้เป็นของตายตัว แต่คนนั้นมีชีวิตอยู่ อริยะกล่าวไว้ว่าธรรมชาติของคนมีลักษณะคล้ายกัน แต่สิ่งแวดล้อมทำให้คนแตกต่าง มหามรรคายาวไกล การฝึกตนที่นานหลายสิบหลายร้อยปี สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งจะมีนิสัยออกมาเป็นอย่างไร? หากทำอะไรโดยไม่ไตร่ตรอง ทำทุกอย่างดังใจปรารถนาเพียงแค่อาศัยสองหมัดและตบะของทั้งกาย สักวันหนึ่งย่อมต้องถูกคนเหยียบจมดิน

แต่ว่าตระกูลเซียนที่โชคดีได้ใช้คำว่าสำนัก ยกตัวอย่างเช่นสำนักโองการเทพ ภูเขาเจินอู่ ศาลลมหิมะพวกนี้ โดยเฉพาะสำนักศึกษากวานหูที่มีชื่อเสียงสยบไปทั้งแจกันสมบัติทวีป ต่อให้ไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายตรง แต่ขอแค่เป็นลูกศิษย์ในสำนักก็มีคุณสมบัติที่จะวางอำนาจบาตรใหญ่ไปทั้งทวีป เหมือนได้แขวนป้ายปลอดภัยสงบสุขที่มองไม่เห็นไว้กับตัวชิ้นหนึ่ง

และหากมีอาจารย์ผู้สืบทอดวิชาเป็นขอบเขตโอสถทอง ขอบเขตก่อกำเนิดก็ยิ่งเหมือนมียันต์คุ้มกันกายที่มีน้ำหนักมากพอแผ่นหนึ่ง

บุญคุณความแค้นบนภูเขาอาจจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาหลายชาติรวมกันของมนุษย์ธรรมดา ดังนั้นความแค้นเคืองพึงละมิพึงผูก สวนลมฟ้ากับภูเขาตะวันเที่ยงก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด เทพธิดาซูเจี้ยที่เคยสูงส่งเหนือผู้ใด ตอนนี้ล่ะเป็นอย่างไร? น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อันดับหนึ่งในโลกของนางใบนั้นถูกริบกลับเข้าสำนักไปแล้ว จิตแห่งกระบี่และตบะต่างก็แตกสลายไม่เหลือชิ้นดี ว่ากันว่านางเงียบหายไม่มีข่าวคราว ผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่ชื่นชอบนางตั้งกี่คนที่ตอนนี้ยังเจ็บปวดรวดร้าวหัวใจไม่หาย?

เฉินผิงอันยืนอยู่เงียบๆ เพียงปลดน้ำเต้าลงมาดื่มเหล้า รอให้เรือออกเดินทางไปยังทิศใต้ โดยสารเรือลงใต้ครั้งนี้มีระยะทางสองแสนลี้ จุดลงเรืออันดับต่อไปจะมีเรือตระกูลเซียนแห่งอื่นให้เดินทางตรงไปยังนครมังกรเฒ่า แล้วค่อยเดินทางจากนครมังกรเฒ่าไปยังภูเขาห้อยหัว เข้าไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสเดินทางท่องไปในยุทธภพกับเพื่อนอีกแล้ว ต่อให้อยากดื่มเหล้า ก็ได้แต่ดื่มเพียงคนเดียวเท่านั้น

เรือกำลังจะออกเดินทาง พวกผู้โดยสารจึงพากันเดินขึ้นเรือ เฉินผิงอันหาห้องของตัวเองบนชั้นสองจนเจอ เมื่อเทียบกับห้องตัวอักษรเทียนบนเรือคุนที่ขึ้นจากท่าเรือภูเขาอู๋ถงแล้ว ห้องของที่นี่เล็กแคบกว่ามาก ได้แค่วางเตียงหนึ่งหลัง ด้านนอกมีระเบียงเล็กๆ ที่พอให้คนสองคนยืนเท่านั้น

เฉินผิงอันวางผลไม้สดที่ใช้เงินสิบกว่าตำลึงซื้อมา ปลดกล่องกระบี่และห่อสัมภาระ นั่งอยู่บนเตียงที่ปูผ้าห่มสะอาดสะอ้านอย่างเหมาะสม อยู่ดีๆ ก็นึกถึงเตียงไม้ของบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงอย่างไม่มีสาเหตุ เฉินผิงอันทิ้งตัวนอนหงาย คนจนกลัวอากาศหนาว คนรวยกลัวอากาศร้อน แต่ดูเหมือนว่าคนมีเงินก็มีวิธีดับร้อนอยู่มากมาย นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่มีวิชาอภินิหารเลย

เฉินผิงอันลุกขึ้นนั่ง ม้วนชายแขนเสื้อและขากางเกงขึ้น ตรงข้อมือของมือสองข้าและเหนือข้อเท้าที่เปลือยเปล่าเผยให้เห็นตัวอักษรลักษณะคล้ายยันต์ ลมปราณที่แท้จริงไหลเวียนช้าๆ ประหนึ่งห่อหุ้มภาระที่มองไม่เห็นเอาไว้ มองดูแล้วไม่ค่อยสะดุดตานัก อีกอย่างก็ไม่มีบันทึกไว้ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ นี่คือวิชาของหยางเหล่าโถว มีชื่อว่ายันต์ลมปราณแท้จริงสองตำลึง ผู้เฒ่าไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด แค่บอกว่าสามารถช่วยให้ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสามารถใช้ลมปราณที่แท้จริงชำระล้างเรือนกายได้ด้วยตัวเองขณะที่นอนหลับ อีกอย่างขอแค่เฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตหลอมลมปราณได้ ยันต์สี่ตำแหน่งนี้จะสลายหายไปเอง หากทำอย่างไรก็ไม่สามารถฝ่าทะลุคอขวดได้ก็ให้เฉินผิงอันไปหาเจิ้งต้าเฟิงที่ร้านยามอซอแห่งหนึ่งในนครมังกรเฒ่าซึ่งอยู่ทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป ให้คนที่เคยเป็นยามเฝ้าประตูของเมืองเล็กผู้นั้นช่วยปลดพันธนาการให้

เฉินผิงอันดึงชายแขนเสื้อและขากางเกงกลับ เดินไปที่ระเบียง ตามบันทึกของอักขรานุกรมภูมิศาสตร์แคว้นซูสุ่ย การก่อตัวของเส้นทางน้ำใต้ดินสายนี้มาจากการที่มังกรแท้จริงตัวสุดท้ายถูกเซียนไล่ล่า จึงหนีลงมาใต้ดิน ใช้ร่างที่ใหญ่โตของมันขุดเจาะจนเกิดเป็นทางสายนี้ ตอนหลังมุดออกจากใต้ดินตรงปากถ้ำแห่งนั้นของแคว้นซูสุ่ย สุดท้ายจึงทะยานลมไปยังต้าหลีทางทิศเหนือ เมื่อสงครามใหญ่ปิดฉากลงก็มีถ้ำสวรรค์หลีจูเกิดขึ้น ดังนั้นเส้นทางเรือสายนี้จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ทางมังกรเดิน’

ทางน้ำแบ่งเป็นฝั่งซ้ายและขวาซึ่งต่างก็มีเส้นทางเรือสายหนึ่งเพื่อให้สะดวกในการเคลื่อนที่ของเรือจากทิศเหนือและทิศใต้ ตรงกลางคือรั้วที่ยาวจนไร้ที่สิ้นสุด ทุกๆ ระยะสิบกว่าลี้ บนผนังหินจะแขวนโคมไฟที่ส่องสว่างพร่างพราวไว้ดวงหนึ่ง ส่องให้ทางน้ำที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงสว่างไสวถึงขีดสุด เมื่อถึงช่วงเวลากลางคืน โคมไฟจะดับลง เพื่อสะดวกสำหรับการพักผ่อนนอนหลับของผู้โดยสาร ไม่ต้องถูกแสงไฟรบกวน

ห้องด้านข้างทั้งสองฝั่งค่อนข้างจะเสียงดัง ราวกับว่ามีคนอยู่ไม่น้อย ทางท่าเรือไม่ค่อยเข้มงวดกับคนที่พักอยู่บนชั้นสองเท่าใดนัก มากสุดคือสามารถเข้าพักได้ห้าคน ไม่มีเตียงให้นอนจึงต้องปูผ้านอนกับพื้น เพราะถึงอย่างไรเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ การฝึกบำเพ็ญตบะของผู้ฝึกตนไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะพวกผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งจอกแหนไร้ราก การหาเงิน โดยเฉพาะเงินก้อนโตที่มีความเสี่ยงและอันตรายสูง หากไม่มีทางลัดหรือวิธีการที่พิเศษ พูดอย่างไม่เกินจริงเลยก็คือ เงินที่กว่าจะหามาได้เลือดตาแทบกระเด็นนี้ คนที่ใช้ล้วนอยากจะแบ่งออกเป็นแปดส่วนไปซะทุกเหรียญ และนี่ก็ถือเป็นความรู้สึกปกติทั่วไปของมนุษย์ปุถุชน

ห้องของเฉินผิงอันหันหน้าเข้าทางน้ำอีกฝั่งหนึ่ง เรือเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าบริเวณใกล้เคียงกับรั้วดาดฟ้าเรือชั้นที่หนึ่งมีคนไม่น้อยถือคันเบ็ดไว้ในมือ บนตะขอไม่ได้เกี่ยวเหยื่อตกปลา เป็นการตกปลากลางอากาศ แต่ตะขอตกปลากลับส่องแสงวิบวับ พอโยนลงไปในแม่น้ำก็ลากส่ายตัวเองไปทั่วอย่างป่าเถื่อน

แล้วก็มีปลาโง่ขนาดเท่าฝ่ามือมางับตะขออยู่เป็นระยะจริงๆ จากนั้นพวกมันจะถูกกระชากขึ้นเรือ จับโยนใส่ในข้องจับปลา แต่หากตกได้กุ้งเงินที่ทั้งร่างเป็นสีขาวหิมะ คนที่ตกได้ก็จะตื่นเต้นดีใจสุดขีด ที่แท้วัตถุชิ้นนี้มีที่มาไม่ธรรมดา นี่คือวัตถุที่มีเฉพาะในท้องน้ำใต้ดินแห่งนี้ แคว้นซูสุ่ยเรียกพวกมันว่า ‘มังกรแม่น้ำ’ ส่วนทางใต้จะเรียกพวกมันว่า ‘ตัวเงิน’ สิ่งนี้สามารถดูดซับปราณวิญญาณจากในน้ำ และยังเป็นตัวเลือกแรกในการนำมาขึ้นโต๊ะอาหารรับรองแขกผู้มีเกียรติ

กุ้งวัยเยาว์ยาวครึ่งชุ่น สิบกว่าปีให้หลังจะยาวได้ประมาณหนึ่งนิ้วมือ ร้อยปีถึงจะยาวได้ประมาณสองนิ้วมือ ลักษณะเหมือนแผ่นเกล็ดปลาที่ติดอยู่บนเสื้อเกราะของแม่ทัพ แต่กลับมีขนาดเล็กและโปร่งใส ‘มังกรแม่น้ำ’ ที่มีอายุมากถึงร้อยปีนี้มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น รสชาติดีเยี่ยม หากไปอยู่ทางทิศใต้สามารถขายได้ด้วยราคาสูงเทียมฟ้า มากถึงครึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ

หากผู้โดยสารที่อยู่ชั้นหนึ่งสามารถตก ‘ตัวเงิน’ ขนาดใหญ่ได้หกตัว ก็เท่ากับได้นั่งเรือข้ามฟากฟรีหนึ่งครั้ง ทั้งได้เงินก้อนใหญ่ แถมยังเป็นกิจกรรมฆ่าเวลา ใครบ้างไม่ยินดีจะทำ? เพียงแต่ว่ามังกรแม่น้ำยาวหนึ่งนิ้วนั้นสามารถตกได้ง่าย แต่หากคิดจะตกมังกรแม่น้ำยาวสองนิ้วยังต้องดูที่วาสนาและโชคชะตา ทางน้ำท่าเรือของแคว้นซูสุ่ยแห่งนี้ถูกขุดมานานนับพันปีแล้ว เล่าลือกันว่าเคยมีคนผู้หนึ่งตกมังกรแม่น้ำยาวสามฉื่อได้ มันมีหนวดเป็นสีทอง สร้างความฮือฮาตกตะลึงให้ผู้คนทั่วสารทิศ สุดท้ายขายให้กับนครมังกรเฒ่า น่าเสียดายก็แต่ไม่มีใครรู้ว่าเทพเซียนใหญ่ที่ร่ำรวยเหนือกว่าคนครึ่งทวีปผู้นั้นเรียกราคาเท่าไหร่

เฉินผิงอันชอบตกปลามาตั้งแต่เด็ก เขาจึงยืนฟุบตัวกับราวระเบียง มองผู้คนตกปลาอยู่พักหนึ่งอย่างไม่คิดถึงเรื่องอื่นซึ่งนับว่าหาได้ยาก ในใจคิดว่าบนเรือน่าจะมีเบ็ดตกปลาขาย แค่ไม่รู้ว่าแพงหรือไม่ หากราคาแค่หนึ่งหรือสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ถ้าอย่างนั้นเวลาว่างจากการฝึกหมัดก็สามารถไปเสี่ยงดวงที่ราวรั้วเรือได้จริงๆ

กลับเข้ามาในห้อง เฉินผิงอันกินผลไม้ที่นอกจากจะสดใหม่แล้วก็ไม่มีปราณวิญญาณแฝงอยู่แม้แต่น้อยเข้าไป แล้วจึงเริ่มฝึกวิชาหมัด ระยะทางสองแสนลี้ ใช้เวลาสองเดือน ระหว่างนี้จะหยุดพักที่ท่าเรือของตระกูลเซียนแคว้นต่างๆ เพื่อเติมเสบียงและซ่อมบำรุงเรือ รวมๆ กันแล้วก็ประมาณสี่ห้าวัน ความเร็วของเรือลำนี้เป็นรองเรือคุนไม่น้อย และนี่ก็เป็นเรื่องปกติ เรือคุนคือเรือข้ามทวีปที่ภูเขาต่าเจี้ยวซึ่งเป็นสำนักใหญ่ของอุตรกุรุทวีปสร้างขึ้น อยู่ไกลเกินกว่าที่เรือข้ามฟากลำนี้จะสามารถทัดเทียมได้

เฉินผิงอันลองคำนวณคร่าวๆ หากหนึ่งวันนอกจากกินนอนหรือทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าจะใช้เวลาสักสองสามชั่วยามแล้ว พยายามฝึกหมัดให้ได้วันละเก้าถึงสิบชั่วยาม บวกกับที่ตอนนี้การออกหมัดเปลี่ยนจากช้ามาเป็นเร็ว จึงถือว่าได้เปรียบมาก ถ้าอย่างนั้นทุกวันก็จะสามารถฝึกเดินนิ่งหกก้าวได้ประมาณสามพันหกร้อยครั้ง สองเดือนหกสิบวันก็น่าจะฝึกหมัดได้ประมาณสองแสนครั้ง

ฟังแล้วเหมือนหลักการคำนวณง่ายๆ แต่พอปฏิบัติจริงขึ้นมา เฉินผิงอันที่ฝึกวิชาหมัดมาจนคุ้นเคยรู้ดีว่านั่นทำให้คนเป็นบ้าได้เลย ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองมีความเพียรพยายามและอดทนมากพอก็ยังรู้สึกว่ายากลำบาก การฝึกหมัดก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ไปต้าสุยหรือลงใต้มายังแคว้นซูสุ่ย ถึงอย่างไรตลอดทางก็ยังเจอน้ำเจอภูเขา มีทัศนียภาพหลากหลายรูปแบบให้ชม แต่การนั่งเรือครั้งนี้ต้องอยู่ในพื้นที่แคบๆ ที่ถูกจำกัด จึงไม่ต่างอะไรกับการเผชิญหน้าอยู่แต่กับผนังห้องที่แห้งเหี่ยว

ที่สำคัญที่สุดคือการเดินนิ่งเป็นคนละเรื่องกับความลำบากยากเข็ญที่เผชิญตอนฝึกหมัดกับผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ ฝ่ายหลังทดสอบความสามารถในการทนรับความเจ็บปวดแบบ ‘มีดเร็วเจ็บแปบเดียว’ ทางกายและทางจิตวิญญาณ ฝ่ายแรกมองดูเหมือนผ่อนคลายสบายกว่า ทว่าแต่ละหมัดที่ปล่อยออกไป ยิ่งเป็นในช่วงท้ายก็ยิ่งต้องเจอกับความเจ็บปวดเหมือนถูกมีดคว้านเลาะเนื้ออย่างยาวนาน ก็เหมือนวันหิมะตกหนักที่เดินทางจากทางเลียบหน้าผาแคว้นหวงถิงเข้าสู่ด่านต้าหลีวันนั้นที่การสูดลมหายใจในเฮือกสุดท้ายเหมือนกลืนมีดลงท้อง

มิน่าเล่าผู้เฒ่าถึงได้พูดว่า การหล่อหลอมเรือนกายของผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งต้องแข่งด้านพละกำลังกับสวรรค์ ต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานเหมือนร่างกายถูกขุนเขากดทับ แล้วก็ยังต้องแข่งขันด้านจิตใจกับตัวเองด้วย ใช้ไฟอ่อนค่อยๆ เคี่ยวตุ๋นจนเกิดคำว่ามั่นคง

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลังจากปิดประตูระเบียงแล้วก็เริ่มเดินนิ่ง ฝีเท้าแผ่วเบา ออกหมัดว่องไว ปณิธานหมัดไหลเวียนวน

หลังจากนั้นก็เป็นวันเวลาที่น่าเบื่อหน่ายไร้รสชาติเช่นนี้ เฉินผิงอันถึงขั้นไม่ยอมไปกินอาหารที่ห้องอาหารของเรือ เอาแต่กินอาหารแห้งกับดื่มเหล้าตลอดสามมื้อ

พอเข้าหน้าร้อน ต่อให้อากาศของเส้นทางใต้ดินจะค่อนข้างเย็นสบาย แต่เฉินผิงอันก็ยังเหงื่อแตกเต็มตัว เดินจากประตูห้องไปหยุดอยู่ตรงประตูไม้ของระเบียงก็เท่ากับฝึกหมัดครบหนึ่งรอบพอดี จากนั้นก็หมุนตัวกลับเดินซ้ำอีกรอบ นานวันเข้าพื้นห้องก็เต็มไปด้วยคราบเหงื่อ ทุกครั้งที่ฝึกวิชาหมัดจนเหน็ดเหนื่อยหมดแรงก็จะหยุดพักครู่สั้นๆ เมื่ออยู่ในห้องเล็กแคบแห่งนี้ก็ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องต่างๆ นานาที่อาจพบเจอเหมือนตอนเดินทางไกลก่อนหน้านี้ แค่สงบใจฝึกวิชาหมัดอย่างเดียวเป็นพอ สิบสองชั่วยามของหนึ่งวัน ไม่นับเวลานอนสองชั่วยามและการพักระหว่างฝึก เวลาที่เหลือล้วนเป็นการออกหมัดเก้าชั่วยามเต็มๆ ลืมตัวลืมตน ราวกับว่าฟ้าดินนี้มีเพียงพื้นที่เล็กๆ เท่านี้ ไม่มีภูเขาแม่น้ำใหญ่ ไม่มีลมภูเขาพัดโชยและพายุหิมะกรีดผิวเนื้อ ราวกับว่าสี่ฤดูกาลและการเกิดแก่เจ็บตายล้วนอยู่แค่ในพื้นที่แคบๆ แห่งนี้

ผ่านไปอีกยี่สิบวัน ประตูไม้ของระเบียงไม่เคยเปิดออกเลยสักครั้งเดียว

ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันนอนหงายอยู่บนพื้น เสื้อผ้าเปียกโชก พื้นเปียกซึม หอบหายใจแฮ่กๆ เหมือนปลาตัวหนึ่งที่ถูกคนกระชากขึ้นฝั่ง

เฉินผิงอันแสยะปาก อยากยิ้มแต่กลับยิ้มไม่ออก หากเจ้าหอหม่ายตู๋ที่เชี่ยวชาญการลอบสังหารมาลอบฆ่าตนในเวลานี้ จะทำอย่างไร?

เขาหลุบสายตาลงต่ำ มองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนั้น คงต้องพึ่งบรรพบุรุษน้อยทั้งสองท่านนี้แล้วกระมัง

สิบวันต่อมา เฉินผิงอันจำต้องปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าตรงเอวลง แม้แต่รองเท้าแตะก็ถอดออกด้วย ม้วนแขนเสื้อและขากางเกงขึ้น เปลือยเท้าฝึกหมัดเดินนิ่งอยู่ในห้อง

ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์ที่เปลี่ยนจากหลอมเรือนกายไปหลอมลมปราณ ดูเหมือนว่าขาดอีกแค่เฮือกเดียวก็จะสามารถก้าวข้ามส่วนที่เหลือไปได้ ทว่าก้าวเดียวนั้นกลับเหมือนจมลึกอยู่ในบ่อโคลน ให้ตายอย่างไรเฉินผิงอันก็ดึงมันขึ้นมาไม่ได้ ฝึกหมัดมาหนึ่งเดือนเต็ม การพัฒนาก็ยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ได้แค่ดึงเท้านั้นออกมาจากโคลนเพียงเล็กน้อย

ระหว่างที่เขาฝึกหมัดก็ใช่ว่าฟ้าดินด้านนอกจะไม่มีความเคลื่อนไหวเสียเลย หลังจากที่ผู้โดยสารของสองห้องที่อยู่ขนาบข้างคุ้นชินกับการใช้ชีวิตบนเรือแล้วก็ไม่สำรวมกิริยากันอีกต่อไป ห้องทางฝั่งซ้ายมือดูเหมือนจะเป็นจอมยุทธ์ในยุทธภพกันทั้งห้อง ทุกวันจะต้องกินเนื้อคำโตดื่มเหล้าคำใหญ่ พูดคุยเรื่องบุญคุณความแค้นในยุทธภพ เพียงแต่ว่าภาษาที่พูดคือภาษาทางการของแคว้นอื่นเป็นส่วนมาก น้อยครั้งที่จะหลุดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปออกมาสองสามประโยค ทุกวันเมื่อเฉินผิงอันฝึกหมัดได้จนถึงขีดสูงสุดจะต้องหลุดออกมาจากขอบเขต ‘ลืมตน’ ที่ลี้ลับได้เอง และความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็จะเป็นเหมือนเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นพอได้ยินคนพวกนั้นคุยกันเสียงดัง เฉินผิงอันจึงค่อนข้างรู้สึกหงุดหงิด

ส่วนพวคนที่พักอยู่ทางฝั่งขวามือคล้ายจะเป็นเซียนซือจากสำนักเล็กๆ ที่ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ จึงอยู่อย่างสงบเงียบ เพียงแต่ว่าทุกวันตอนเช้าและตอนเย็นจะต้องท่องตำราเสียงดังกังวาน กระดานไม้เก็บเสียงได้ไม่ดี อีกทั้งพวกผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างยังใช้วิชากำหนดลมหายใจที่เป็นวิชาเฉพาะตัว ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจเช่นกัน

หากจะบอกว่าเรื่องพวกนี้ยังพอทนรับได้ ถ้าอย่างนั้นเรื่องหนึ่งที่จะเกิดขึ้นทุกๆ สามวันห้าวันก็ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

ชั้นสามที่อยู่ด้านบนล้วนมีแต่คนมีเงินอยู่อาศัย ห้องที่อยู่เหนือห้องของเฉินผิงอันคงจะเป็นเทพเซียนคู่รักบนภูเขาคู่หนึ่ง พวกเขาแสดงความรักต่อกันมิเว้นวาง มักจะมีเสียงเตียงสั่นกึกๆ กักๆ ดังลอดแผ่นไม้มาถึงชั้นล่าง นี่ยังพอทำเนา ผู้ฝึกลมปราณหญิงคนนั้นคงจะควบคุมตัวเองไม่ไหวจริงๆ ถึงได้ส่ง ‘เสียงร้องไห้’ อือๆ อาๆ แผ่วเบา เห็นได้ชัดว่าถูกฝ่ายชายรังแกอย่างหนักหน่วง เฉินผิงอันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ในเมื่อหญิงสาวทนทุกข์ทรมานขนาดนี้ ทำไมถึงได้ตามใจฝ่ายชายไปซะทุกครั้ง ในเมื่อเป็นสามีภรรยากัน ทำไมถึงไม่เปิดอกพูดคุยกันด้วยเหตุผลให้เข้าใจ?

สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันจนใจอย่างมาก ถึงอย่างไรก็คงไม่ควรเดินขึ้นไปเคาะประตูห้องพวกเขาแล้วพูดกับฝ่ายชายว่า วันหน้าเจ้าต้องสงสารคนรักของตัวเองให้มากหน่อย อย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก เรื่องในบ้านคนอื่นแบบนี้ เฉินผิงอันเป็นเพียงคนนอก ไหนเลยจะเปิดปากได้ อีกทั้งยังเป็นการไม่เห็นใจคนอื่น จะกลายเป็นว่าเขาเป็นฝ่ายไร้เหตุผล เพียงแต่เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าตัวเองไม่ชอบเสียงรบกวนจากด้านบน ทว่าพวกชาวยุทธ์ที่อยู่ห้องฝั่งซ้ายกลับชื่นชอบยิ่งนัก พอมีเสียงเตียงและเสียงหญิงสาวร้องดังมาถึงข้างล่าง พวกเขาจะหยุดบทสนทนาที่กำลังคุยกันแล้วหัวเราะหึหึทันที เฉินผิงอันรู้ความจริงจากประโยคภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปที่พวกเขาพูดกันน้อยครั้งว่า พวกเขาคล้ายคนที่กำลังชมสุดยอดศึกใหญ่ของปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ จึงพูดคุยกันอย่างตั้งใจมาก

ส่วนเซียนซือบนภูเขาที่อยู่ในห้องฝั่งขวามือก็เหมือนจะใจตรงกัน พอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น พวกเขาจะพร้อมใจกันหยุดเงียบ แต่เห็นได้ชัดว่าลมหายใจวุ่นวายกว่าปกติหลายส่วน

ดูท่าคงจะโมโหไม่น้อย น่าจะหงุดหงิดใจพอๆ กับเขา

ยังดีที่เฉินผิงอันเริ่มปรับตัวจนคุ้นเคยกับเรื่องน่าหงุดหงิดที่ส่งผลรบกวนต่อสภาพจิตใจเหล่านี้ได้แล้ว

มีอยู่ครั้งหนึ่งกลางวันแสกๆ เตียงด้านบนโยกสั่นราวกับแผ่นดินไหว ผู้หญิงก็ร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด เฉินผิงอันเพียงแค่ดื่มเหล้า กินอาหารแห้งเงียบๆ หวังเพียงว่าเพดานไม้จะไม่ถล่มพาเตียงทั้งเตียงลงมากระแทกหัวของตน

ระหว่างทางมีจอดพักที่ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งอื่นอยู่หลายครั้ง เพราะว่าเฉินผิงอันไม่แม้แต่จะเปิดประตู จึงไม่เคยได้เห็นทัศนียภาพและขนบธรรมเนียมประเพณีของทางใต้

เฉินผิงอันลองคำนวณเวลา ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงเพาะปลูก (หนึ่งในช่วง 24 ฤดูกาลของประเทศจีน อยู่ในช่วงวันที่ 5-7 มิถุนายน) แล้ว หากเป็นที่บ้านเกิดของตน เวลานี้จะเป็นช่วงที่ผู้คนยุ่งอยู่กับการทำนา มีคำกล่าวที่ว่า ช่วงเพาะปลูกรีบปลูกข้าวฟ่างและธัญพืช ต่อให้เป็นชายฉกรรจ์ที่ทำงานในเตาเผามังกรก็ยังได้รับอนุญาตให้กลับบ้านไปช่วยงาน ปีนั้นผู้เฒ่าเหยาในเตาเผามังกรที่ตนทำงานอยู่ แม้จะเป็นคนขี้โมโหชอบด่าคนอื่น ทว่าเรื่องแบบนี้เขากลับใจกว้างมาก เตาเผาแห่งอื่นให้หยุดได้แค่สามวัน ผู้เฒ่าเหยากลับให้หยุดได้ถึงสี่ห้าวัน เพียงแต่ว่าต้องลำบากหลิวเสี้ยนหยางกับเฉินผิงอันที่ไม่มีที่นาของบรรพบุรุษ เนื่องด้วยเตาเผาขาดคน ไฟในเตาเผามังกรไม่เคยสนใจว่าเจ้าจะมีคนน้อยหรือไม่ ดังนั้นในอดีตช่วงเวลานี้เฉินผิงอันจะต้องเหนื่อยยิ่งกว่าคนที่ลงแรงทำนาเสียอีก

เฉินผิงอันฝึกหมัดมาหนึ่งเดือนเต็ม โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็เดินนิ่งไปได้ครบหนึ่งแสนรอบแล้ว

ตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือ อยากรู้ว่าพวกคนที่ตกปลาบนดาดฟ้าเรือ มีใครตกมังกรแม่น้ำยาวสองนิ้วมือที่หายากได้แล้วหรือยัง

มีวันหนึ่งขณะที่ฝึกหมัดมาจนถึงช่วงเที่ยง เฉินผิงอันพลันค้นพบว่าเหล้าในน้ำเต้ายังเหลืออีกมาก แต่อาหารแห้งกลับไม่พอให้กินสามมื้อแล้ว จึงต้องรัดสายน้ำเต้า สะพายกล่องกระบี่ไม้ สวมรองเท้าแตะ เปิดประตูออกเป็นครั้งแรก เตรียมจะไปยังห้องอาหารที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเพื่อซื้ออาหารที่เก็บง่ายมาตุนไว้ แล้วก็เป็นเพราะถึงช่วงเวลากินอาหาร พวกผู้โดยสารจึงมักจะออกจากห้องพักเวลานี้ ตอนที่เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง เหล่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในห้องทางฝั่งซ้ายมือก็ออกมาหาของกินเหมือนกัน เฉินผิงอันจึงชะลอฝีเท้า ทิ้งระยะห่างประมาณห้าหกก้าว ติดตามไปด้านหลังคนห้าคน มีบางคนในกลุ่มนั้นหันกลับมามองประเมินเพื่อนบ้านประหลาดที่เพิ่งได้เห็นหน้ากันอย่างอดไม่อยู่ แต่ไม่นานก็มีคนกระตุกชายแขนเสื้อของเขา ห้ามไม่ให้เขาก่อเรื่องให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน

คนผู้นั้นจึงถอนสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว มือกระบี่เด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้ไว้ด้านหลัง เดินทางท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง อายุยังน้อยแต่กลับมีบุคลิกสุขุมหนักแน่น ทางที่ดีที่สุดไม่ควรไปมีเรื่องด้วย หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่หาได้ยากจริงๆ ต่อให้กลุ่มของพวกตนจะมีชาติกำเนิดที่ไม่เลว ถือว่าเป็นสำนักใหญ่ในยุทธภพล่างภูเขา ก็ไม่ควรไปล่วงเกินอีกฝ่ายอยู่ดี

บนภูเขาล่างภูเขา ไม่กลัวหนึ่งหมื่น แต่กลัวหมื่นหนึ่ง (เปรียบเปรยว่าไม่กลัวสิ่งที่ได้คาดคะเนไว้ กลัวก็แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน) โดยสารอยู่บนเรือข้ามฝากของตระกูลเซียนแบบนี้ เรื่องไม่คาดฝันย่อมเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว

โชคไม่ดี ดื่มน้ำเย็นยังปวดฟัน แต่หากดวงซวยไปเจอกับคนที่เป็นหมื่นหนึ่งนั้น จะทำอย่างไร? จะพร่ำพูดเหตุผลกับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาได้หรือ?

จอมยุทธ์ในยุทธภพคนนี้เคยโชคดีได้เห็นการลงมือของมือกระบี่คนหนึ่งมากับตาตัวเอง แม้จะอยู่ห่างไกลมากก็ตาม ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นอายุแค่ยี่สิบปี ทว่าหลังจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตพุ่งออกจากช่องโพรงกระบี่แล้ว นั่นก็เรียกได้ว่าปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง พุ่งผ่านที่ใดก็ราบพนาสูร เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือในยุทธภพที่มีชื่อเสียงหลายคน ปรมาจารย์กระบี่แห่งยุทธภพที่ปราณกระบี่แผ่ประกายเจิดจ้าอะไร ปรมาจารย์วิชาหมัดที่หลอมเรือนกายจนแข็งแกร่ง ฟันแทงไม่เข้าอะไร สวบๆๆ ฟั่บๆๆ ล้วนถูกเซียนกระบี่บนภูเขาท่านนั้นผ่าศีรษะจนเป็นรูทั้งหมด

ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปยังพูดได้ง่าย เพราะถึงอย่างไรเมธีร้อยสำนัก สามลัทธิเก้าสาขาก็ไม่ใช่เซียนซือบนภูเขาที่เชี่ยวชาญด้านการจู่โจมไปซะทุกคน แต่เมื่อต้องงัดข้อกับผู้ฝึกกระบี่บนภูเขา โดยเฉพาะกับเซียนกระบี่ที่เลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต นั่นก็แสดงว่าเทพอายุยืนกินสารหนู เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ

ตลอดทางราบรื่น ซื้อแผ่นแป้งแห้งหลายจินมาจากลูกจ้างในห้องอาหารที่เต็มแน่นไปด้วยผู้คน จ่ายเงินแล้วก็กลับมาที่ห้องตัวเอง พอปิดประตูเรียบร้อยก็เปิดประตูระเบียง ยืนแทะแผ่นแป้งตรงระเบียง มือหนึ่งถือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ดื่มเหล้า ตรงราวรั้วเรือชั้นหนึ่งยังคงมีคนบางตามานั่งตกปลา แต่เฉินผิงอันที่เคี้ยวอาหารช้าๆ จิบเหล้าคำเล็กๆ มองได้สองเค่อก็เห็นว่าพวกเขาตกได้แค่ปลาธรรมดาทั่วไป แม้แต่ตัวเงินวัยเยาว์สักตัวก็ตกไม่ได้

เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา มีครั้งหนึ่งตอนอยู่บนยอดภูเขาลูกใหญ่ เด็กหนุ่มชุยฉานที่เบื่อหน่ายเพราะไม่มีอะไรทำจึงมาฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งพร้อมกับเฉินผิงอัน เขาบอกว่าบนโลกมีพื้นที่มงคลระดับสูงอยู่แห่งหนึ่งที่พิเศษอย่างมาก มันอยู่ติดกับถ้ำสวรรค์แห่งหนึ่ง ทั้งสองสถานที่นี้ต่างก็มีความแตกต่างไปจากถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลแห่งอื่นๆ สำนักโองการเทพแคว้นหนันเจี้ยนของแจกันสมบัติทวีปได้ยึดครองพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งไว้เพียงลำพัง มีชื่อว่าพื้นที่มงคลชิงถาน พื้นที่มงคลค่อนข้างคล้ายคลึงกับรัฐใต้อาณัติ เพียงแต่ว่ามีอาณาบริเวณกว้างขวางกว่า มีระบบปกครองเป็นของตัวเอง กฎเกณฑ์ของวิถีสวรรค์ที่ซุกซ่อนอยู่ก็มีใหญ่เล็กและสูงต่ำไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่มักจะมีผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรมากพอให้สำนักใหญ่และตระกูลเซียนนำไปใช้ รูปแบบการสร้างแน่นอนว่ายิ่งเป็นสำนักที่ใหญ่เท่าไหร่ ภูเขาก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น ยกตัวอย่างถ้ำสวรรค์หลีจูที่เป็นหนึ่งในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กสามสิบหกแห่งของใต้หล้าไพศาล ตอนนั้นหยกคู่ของต้าหลีที่สามารถใช้พลังต้านทานคลื่นมรสุมที่ถาโถม ต่อโชคชะตาแคว้นให้กับสุกลซ่งก็เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูทั้งคู่ หลังจากนั้นก็กลายเป็นบุคคลผู้โดดเด่นของต้าหลีดุจหอเก๋งใกล้น้ำที่ได้เห็นดวงจันทร์ก่อน (เปรียบเปรยว่าการที่เราไปอยู่ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย เราจะได้ประโยชน์ก่อนคนอื่นๆ )

เฉินผิงอันเดินทางไกลสองครั้ง ต่อให้จะยังไม่เคยเดินออกไปจากแจกันสมบัติทวีป แต่อันที่จริงเขาก็เข้าใจคำว่าฟ้าดินกว้างใหญ่แล้ว และการที่หยางเหล่าโถวเคยพูดว่าเมืองเล็กกว้างใหญ่จนไม่อาจจินตนาการได้ถึง เฉินผิงอันก็พอจะเข้าใจได้บ้างแล้วเหมือนกัน

เพียงแต่ว่าการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ เฉินผิงอันพลาดสถานที่ต่างๆ ไปมากมาย สถานที่บางแห่งไปไม่ทันเพราะต้องอ้อมไปไกลมาก ยกตัวอย่างเช่นเกาะชิงเสียทะเลสาบเจี่ยนซูที่กู้ช่านกับแม่ของเขาไปอยู่ เฉินผิงอันหวังว่าพวกเขาสองแม่ลูกจะมีชีวิตที่ดี อย่าได้ถูกคนรังแก แต่ก็ยิ่งหวังว่าหลังจากกู้ช่านได้เป็นผู้ฝึกลมปราณแล้วจะไม่หันไปรังแกคนอื่น สุดท้ายกลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาอย่างฝูหนันหัวนายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่าผู้นั้น

ส่วนสถานที่บางอย่างก็ยังไม่เหมาะที่จะไปเยือน ยกตัวอย่างเช่นภูเขาตะวันเที่ยงที่วานรย้ายขุนเขาตัวนั้นอยู่ นครลมเย็นที่ตระกูลซวี่เฝ้าบัญชาการณ์ เขาเจินอู่ที่หม่าขู่เสวียนอยู่

ไปแล้วก็อธิบายเหตุผลได้ไม่ชัดเจน หมัดไม่แข็งแกร่งพอ ไม่ได้อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ไม่มีพันธนาการกฎเกณฑ์จากอาจารย์ฉีและช่างหร่วนก็มีแต่จะถูกคนเหยียบตายเท่านั้น การตระหนักรู้ตนเองเพียงเล็กน้อยแค่นี้ เฉินผิงอันยังพอมีอยู่บ้าง

เฉินผิงอันดื่มเหล้า เขารู้มาจากที่ห้องอาหารว่าพรุ่งนี้เรือจะจอดที่ท่าเรือเกาอวี๋ สามารถลงจากเรือไปชมทิวทัศน์ได้ บริเวณใกล้เคียงกับท่าเรือมีจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่าบ่อไท่เย่ ช่วงเวลานี้ดอกไม้ภูเขากำลังบานสะพรั่งพอดี ขอแค่เดินออกไปจากท่าเรือ เดินไปใกล้กับภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงจะได้ยินเสียงนกร้องและได้กลิ่นดอกไม้หอมไปตลอดทาง หากโชคดีก็อาจจะจับภูตดอกไม้ที่มีชื่อว่า ‘เซียงฉ่าวเหนียง’ มาได้ ภูตประเภทนี้มีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ จะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ อยู่ตลอดเวลา เหมาะให้นำมาทำเป็นถุงหอมที่มีชีวิตที่สุด ผู้ฝึกลมปราณหญิงและสตรีแต่งงานแล้วของตระกูลสูงศักดิ์ต่างก็ชื่นชอบกันมาก

เฉินผิงอันรู้สึกว่าออกไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ข้างนอกก็ดีเหมือนกัน ปิดประตูหนึ่งเดือนเต็มไม่เคยได้ออกไปไหน เขาก็รู้สึกเหมือนตัวใกล้จะขึ้นราเต็มทีแล้ว

หลังตัดสินใจได้แล้ว เฉินผิงอันก็เดินกลับมาจากระเบียง ปิดประตูแล้วเริ่มฝึกหมัดเดินนิ่งอีกครั้ง

เช้าตรู่วันถัดมา เรือจอดเทียบท่า โถงใหญ่ของถ้ำหินงอกหินย้อยสร้างขึ้นอย่างประณีตงดงาม กลิ่นหอมแผ่อบอวล เมื่อเทียบกับความกว้างขวางยิ่งใหญ่ของที่แคว้นซูสุ่ยแล้ว ก็ถือว่ามีท่วงทำนองที่แตกต่างออกไป

เรือข้ามฟากสั่นสะเทือนเล็กน้อย เฉินผิงอันที่ยังนอนได้ไม่ถึงสองชั่วยามลืมตาตื่น เริ่มเก็บเตียงและสัมภาระ เอาของทุกอย่างไปหมด ไม่กล้าทิ้งไว้ในห้องบนเรือ บางทีอาจเป็นเพราะบ่อไท่เย่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก แล้วก็เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ เฉินผิงอันจึงสังเกตเห็นว่าผู้โดยสารสี่ร้อยกว่าคนบนเรือลงไปชมวิวด้านล่างแทบทั้งหมด

เบียดอยู่ท่ามกลางกระแสผู้คน พอลงมาจากเรือแล้ว ข้างกายเฉินผิงอันก็มีชายหญิงลักษณะไม่ธรรมดากลุ่มหนึ่งเดินอยู่ใกล้ๆ ลมหายใจของผู้เฒ่าสองคนทอดยาวประหนึ่งน้ำในแม่น้ำที่ไหลริน ตอนที่เดินฝีเท้าแผ่วเบา ต่อให้ไม่ใช่เทพเซียนบนภูเขาห้าขอบเขตกลาง แต่เกรงว่าคงอยู่ไม่ห่างสักเท่าไหร่ เฉินผิงอันไม่ใช่คนที่ชอบแอบฟังคนอื่นคุยกัน แต่เพราะช่วงนี้เอาแต่ฝึกหมัดอยู่ในห้อง ยากนักกว่าจะได้ยินคนคุยกันด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป จึงเงี่ยหูฟังไปตามจิตใต้สำนึก

พวกเขาคุยกันถึงสถานการณ์บ้านเมืองตั้งแต่ทิศเหนือยันทิศใต้ของทวีป ความเคลื่อนไหวใหม่ล่าสุดของตระกูลเซียนใหญ่แต่ละแห่ง รวมไปถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับคนมีชื่อเสียงของราชวงศ์บางแห่ง

ส่วนใหญ่ล้วนคุยกันด้วยเรื่องสบายๆ ผู้เฒ่าสองคนพูดเยอะที่สุด พวกคนหนุ่มสาวที่อยู่ด้านข้างแค่รับฟังอย่างเดียว น้อยครั้งที่จะเอ่ยแทรก ต่อให้ถามคำถามก็มีท่าทางอ่อนน้อมยำเกรง ไม่ค่อยเหมือนกับคนบางคนในความทรงจำของเฉินผิงอัน ยกตัวอย่างเช่นหลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมหิมะ เฉาจวิ้นผู้ฝึกกระบี่แห่งทักษินาตยทวีปที่มีบ้านบรรพบุรุษอยู่ในตรอกหนีผิง และโจวจวี่แห่งสำนักศึกษากวานหูที่เพิ่งได้เจอเมื่อไม่นานมานี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างก็ไม่มีนิสัยระมัดระวังตัวมากเกินควร

สุดท้ายผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ตรงเอวห้อยตราประทับหยกสีดำขนาดเล็กชิ้นหนึ่งได้พูดถึงเรื่องที่เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวหล่นจากฟ้า ผู้คนบาดเจ็บล้มตายกันมาก สร้างความแค้นเคืองให้กับมวลชน สำหรับถ้อยคำที่เอ่ยถึงเทียนจวินเจ้าลัทธิเต๋าของอุตรกุรุทวีปผู้นั้น แม้จะยอมรับว่ามรรคกถาของคนผู้นั้นยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า แม้แต่ฉีเจินเจ้าลัทธิเต๋าของแจกันสมบัติทวีปก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะเขาได้ ทว่าที่มากกว่านั้นกลับต่อต้านการกระทำอันกำเริบเสิบสานของเทียนจวินท่านนี้

ส่วนผู้เฒ่าอีกคนกลับกล่าวด้วยความเป็นกังวลใจ บอกว่าแม้การจมของเรือคุนจะเป็นเพราะปราณกระบี่ที่พุ่งทะยานเต็มฟ้า โจมตีให้เรือคุนแตกสลาย แต่ราชวงศ์ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่ากินอิ่มว่างงานเลยคิดจะโจมตีเรือข้ามทวีปลำหนึ่งของอุตรกุรุทวีปให้ร่วงลงมาอย่างนั้นหรือ? มีประโยชน์อะไร? ในเวลานั้นผู้ที่สามารถรวบรวมปราณกระบี่ได้มากขนาดนั้นมีเพียงราชสำนักของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ฮ่องเต้ท่านนั้นได้เดินทางไปเยือนสำนักโองการเทพด้วยตัวเอง สาบานว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน ภายหลังฉีเจินก็เดินทางเป็นเพื่อนเขาไปพบกับเซี่ยสือเจ้าลัทธิเต๋าของกุรุทวีป ฝ่ายหลังกลับพูดแค่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะให้ผู้ฝึกลมปราณของกุรุทวีปสืบสาวหาความจริงเอง

เดินไปใกล้ปากถ้ำ เฉินผิงอันพลันหยุดเดินกะทันหัน จากนั้นก็ก้าวเร็วๆ ไปกุมหมัดสอบถามผู้เฒ่าสองคนนั้น “เซียนซือทั้งสองท่าน ขอละลาบละล้วงถามสักคำ ผู้โดยสารบนเรือคุนลำนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง?”

ผู้เฒ่าคนหนึ่งแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เดินไปข้างหน้าต่อโดยไม่แม้แต่จะปรายตามามองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่มีสำเนียงคนเหนือเต็มเปี่ยม

แต่ผู้เฒ่าที่สวมตราประทับกลับหยุดเดิน หันมาตอบอย่างมีน้ำใจ “ผู้โดยสารที่เป็นห้าขอบเขตล่างแทบไม่มีใครรอดชีวิต ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางก็ยังตายกันไปเยอะมาก ตอนนั้นมีปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งจากภูเขาลูกหนึ่งขึ้นไปกลางอากาศ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการโจมตีอย่างเต็มกำลังจากเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนคนหนึ่ง เจ้าลองคิดดูว่า นั่นจะเป็นพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่สักแค่ไหน?”

ผู้เฒ่าเห็นว่าเด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยก็ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งทีแล้วเดินหน้าต่อ

เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ถูกกระแสคนที่เบียดเสียดเดินชนกระแทกไหล่หลายครั้งก็ยังไม่รู้สึกตัว สุดท้ายพอหลุดออกจากภวังค์ก็พบว่าคนออกจากถ้ำไปชมทัศนียภาพที่บ่อไท่เย่กันเกือบหมดแล้ว

เฉินผิงอันเดินไปทางปากถ้ำช้าๆ แสงอาทิตย์ด้านนอกสว่างสดใส ห่างออกไปไกลพอจะมองเห็นภูเขาใหญ่ที่ไม่สูงชันมากนักลูกหนึ่ง บนภูเขาเต็มไปด้วยบุปผาสีสันสดใสซึ่งกำลังบานสะพรั่งอย่างเต็มที่อยู่ทั่วบริเวณ

หลังจากสังหารฮูหยินอสรพิษที่เมืองแยนจือได้ อันที่จริงเฉินผิงอันได้สมบัติมาชิ้นหนึ่ง แต่ไม่ได้เอาออกมาขายตอนอยู่บนหอชิงฝูแคว้นซูสุ่ย นั่นคืออ่างล้างพู่กันชิ้นหนึ่ง ตรงก้นอ่างมีอักษรสิบหกตัวสลักเรียงกันเป็นวง บุปผาวสันต์ดวงจันทร์สารท สายลมวสันต์ต้นไม้สารท ภูเขาวสันต์ก้อนหินสารท วารีวสันต์เกล็ดน้ำค้างสารท ตัวอักษรเล็กมาก แต่กลับเหมือนลูกอ๊อดตัวน้อยที่เรียงแถวกันขยับหมุนเป็นวง เพราะเฉินผิงอันชอบคำว่าชุน (วสันต์) แล้วก็เพราะตอนอยู่บนเรือคุนได้เจอกับสาวใช้คู่หนึ่งที่เป็นพี่น้องกัน ชื่อของพวกนางสอดคล้องกับตัวอักษรเหล่านี้พอดี ตอนนั้นเฉินผิงอันยังรู้สึกเสียดายว่าทำไมถึงมีแต่คำว่าชุนสุ่ย (วารีวสันต์) ไม่มีคำว่าชิวสือ หาไม่แล้วในอนาคตหากมีวาสนาได้พบกันอีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่นได้นั่งเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวที่ท่าเรืออู๋ถงอีกครั้ง เขาจะต้องเอาอ่างล้างพู่กันชิ้นนั้นออกมาให้พวกนางสองคนได้ดู จะได้สอนให้พวกนางรู้ว่า ที่แท้บนโลกนี้ก็มีเรื่องน่าสนใจที่บังเอิญแบบนี้อยู่ด้วย

เฉินผิงอันยืนอยู่หน้าปากถ้ำ สีหน้าไม่มีความเสียใจหรือเศร้าอาลัยอะไร เพียงแค่ยืนเหม่อลอย มองทัศนียภาพอันงดงามที่อยู่ห่างไปไกล

สุดท้ายเฉินผิงอันหมุนตัวกลับไปที่เรือข้ามฟาก

เด็กหนุ่มไม่ไปดูบุปผาลานตาบานสะพรั่งทั่วพื้นที่ที่อยู่ด้านหลังแล้ว

เขากลับไปที่ห้องบนชั้นสองของเรือ ปิดประตูลงแล้วฝึกหมัดต่อ

เวลาอีกเกือบหนึ่งเดือนค่อยๆ ผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า อีกสองวันก็ต้องลงจากเรือแล้ว

กลางดึกคืนนี้ เดินวนซ้ำไปซ้ำมา โดยไม่ทันรู้ตัวเฉินผิงอันก็ฝึกหมัดครบสองแสนรอบแล้ว

เขาเปลี่ยนมาสวมชุดสะอาด เปลือยเท้าเดินไปเปิดประตูระเบียง หาได้ยากที่บนเรือจะเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง เฉินผิงอันเห็นว่ารอบกายไร้ผู้คนจึงกระโดดเบาๆ ขึ้นไปบนราวระเบียงแล้วนั่งลง มองไปยังทางน้ำฝั่งตรงข้ามที่น้ำไหลแผ่วเบา ยกเหล้าขึ้นดื่มโดยไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น ดื่มไปดื่มมา ในที่สุดก็พบว่าเหล้าหมดแล้ว

ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บรรจุเหล้ารสเลิศสิบกว่าจินที่หมู่บ้านวารีกระบี่หมักเอง ก่อนจะขึ้นเรือ แค่ให้ชายฉกรรจ์เคราดกกับจางซานเฟิงดื่มไปเล็กน้อย เนื่องจากสองเดือนมานี้เขาค่อนข้างจะควบคุมตัวเองเรื่องการดื่มเหล้า จึงมีเหล้าเหลือให้ดื่มจนถึงตอนนี้

เฉินผิงอันเขย่าน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่ด้านใต้มีคำว่าเจียงหูแรงๆ ไม่มีเหล้าเหลืออยู่แล้วจริงๆ

แต่เขายังไม่ยอมแพ้ ยกน้ำเต้าขึ้นสูง แหงนหน้าขึ้นดื่ม ต่อให้เหลือแค่ไม่กี่หยดก็ยังดี

ทว่ากลับไม่เหลือสักหยด ไม่มีแล้วจริงๆ

ขณะนั้นมีเรือสี่ชั้นหลังหนึ่งล่องมาบนทางน้ำอีกฝั่งหนึ่งพอดี ผู้โดยสารคนหนึ่งที่พักอยู่บนห้องชั้นบนสุดก็กำลังนั่งอยู่บนราวระเบียงเหมือนกัน นางใช้สายตาอึ้งงันมองเด็กหนุ่มที่กำลังเขย่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างแรงเพราะอยากดื่มเหล้า สุดท้ายได้แต่วางมือลงอย่างยอมแพ้ สองมือกอดน้ำเต้าที่มีระดับไม่ธรรมดา วางคางบนปากน้ำเต้า

นางคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้คงไม่ได้ดื่มเหล้ามากจนโง่ไปแล้วหรอกกระมัง?

นางนึกสนุก มือหนึ่งถือกาเหล้าสีเขียวมรกต อีกมือหนึ่งยกขึ้นป้องปาก “ตรงนี้ๆ ผีขี้เหล้าน้อย ที่ข้ามีเหล้า อยากดื่มก็เอาไป!”

เฉินผิงอันยังนั่งอยู่ในท่าเดิม ได้ยินเสียงเรียกก็ปรายตาไปมอง

เด็กสาวสวมชุดตัวยาวสีเขียวเข้มเห็นว่าเขาไม่มีความเคลื่อนไหวก็เลยโยนกาเหล้าในมือออกไปโดยตรง เพียงแต่ว่ากาเหล้าที่ถูกเหวี่ยงตีวงโค้งอย่างงดงามมาอยู่ห่างจากตรงหน้าเฉินผิงอันไปสองจั้งก็พุ่งสวบกลับไปที่มือนางอีกครั้ง เด็กสาวชอบใจ หัวเราะเสียงดังอยู่กับตัวเอง

เรือสองลำแล่นสวนผ่านกันไป

เฉินผิงอันสีหน้าไร้อารมณ์ ทะเลสาบในหัวใจไร้คลื่นกระเพื่อม เพียงแค่รู้สึกว่านางคงไม่ใช่คนปัญญาอ่อนหรอกกระมัง?

ผูกเชือกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้เรียบร้อยก็พลิกตัวหันกลับเข้าไปในระเบียง ปิดประตูไม้แล้วเฉินผิงอันก็ฝึกหมัดต่อ

ไม่มีเหล้าแล้ว สามารถซื้อได้ใหม่ แต่ถ้าคนไม่มีแล้วล่ะ? เฉินผิงอันไม่รู้

ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันหยุดชะงักขณะฝึกวิชาหมัด จากนั้นก็วิ่งไปที่ห้องอาหารกลางดึก ร้านอาหารปิดไฟหยุดกิจการกันนานแล้ว ประตูใหญ่ปิดสนิท เขาจึงได้แต่กลับห้องมาฝึกวิชาหมัดของตัวเองต่อไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!