บทที่ 253 พระโพธิสัตว์เหยียบกระบี่ข้ามแม่น้ำ
หลังจากจ่ายเงินเข้าประตูตะวันตกของนครมังกรเฒ่าแล้ว เดินผ่านบานประตูกำแพงเมืองที่แทบจะใช้คำว่ายาวเหยียดมาบรรยายได้นั้น ซุนเจียซู่ก็พาเฉินผิงอันเดินไปขึ้นรถม้าที่ใหญ่และกว้างขวางคันหนึ่ง มองปราดๆ นอกจากรถม้าจะใหญ่เล็กน้อย ม้าที่ลากรถมีนิสัยนุ่มนวลแล้ว ก็มองไม่ออกถึงลักษณะของคนมีเงินอีก สารถีคือผู้เฒ่าที่ไม่ชอบยิ้มและพูดคุยคนหนึ่ง รอจนเฉินผิงอันเข้าไปนั่งในห้องโดยสารแล้ว ถึงได้สังเกตเห็นว่าด้านในมีความเป็นเอกลักษณ์ วางเบาะรองนั่งสีขาวสะอาดไว้สี่ใบ ผนังที่ตรงข้ามกับหน้าต่างรถวางชั้นหนังสือที่สูงจรดเพดานซึ่งบรรจุหนังสือไว้จนเต็มแน่น มีกระถางธูปทองสัมฤทธิ์ที่เป็นมันวาวน่าหลงใหลใบหนึ่ง ควันธูปสีม่วงลอยอวล เฉินผิงอันกับซุนเจียซู่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน อันที่จริงเฉินผิงอันค่อนข้างระมัดระวังตัวด้วยกลัวว่าจะทำให้ ‘ห้องหนังสือ’ ที่สะอาดเอี่ยมไร้ฝุ่นผงแห่งนี้สกปรก ซุนเจียซู่มองรองเท้าแตะเฉินผิงอันแล้วก็พูดยิ้มๆ ว่า “ตอนยังเด็ก เนื่องจากทำตามกฎของตระกูล ท่านปู่จึงพาข้าเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ก่อนจะอายุสิบแปด ข้าก็ต้องเปลี่ยนที่อยู่แทบทุกปี ดังนั้นจึงเคยเป็นลูกจ้างในร้านค้า เคยเป็นชาวนา ชาวประมง เคยตั้งแผงลอยขายข้าวสาร เคยเป็นเจ้าพนักงานในที่ว่าการ เคยทำมาหลายสิบอาชีพ อันที่จริงข้าเองก็ถักรองเท้าสานเป็น เพียงแต่ว่าถักได้แบบหยาบๆ ไม่แน่นหนาและละเอียดประณีตอย่างรองเท้าคู่นี้ของเจ้า”
ซุนเจียซู่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรอง ไม่ได้มีท่าทางเกียจคร้านใดๆ แต่กลับให้ความรู้สึกผ่อนคลายใจเย็นแก่คนมอง เขาถามยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน รู้หรือไม่ว่าในอดีตข้ากลัวที่จะต้องทำงานแบบใดที่สุด?”
เฉินผิงอันไม่ใช่เทพเซียนที่เก่งด้านการคำนวณพยากรณ์ซะหน่อย แล้วก็ยิ่งไม่ใช่แมลงในท้องซุนเจียซู่ ย่อมเดาไม่ออก แล้วนับประสาอะไรกับที่ซุนเจียซู่คนนี้เป็นคนประหลาดมาก แม้ว่าคนทั้งสองจะเพิ่งพบหน้ากันไม่นาน แต่ความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้เฉินผิงอันกลับกลายเป็นว่ายิ่งนานก็ยิ่งพร่าเลือน
ซุนเจียซู่ยิ้มบางๆ “การเก็บใบต้นหม่อน กว่าจะเก็บได้เต็มตะกร้าไม่ใช่ง่ายๆ ท่านปู่ข้ายื่นมือไปกดบนตะกร้าเบาๆ หนึ่งทีก็หายไปครึ่งตะกร้าแล้ว พอเก็บเต็มตะกร้า เขาก็ยื่นมือมากดอีก ข้าต้องเก็บไปอีกเป็นครึ่งๆ วัน มันทำให้คนสิ้นหวังได้เลย อีกทั้งทุกครั้งที่ขึ้นเขาจะต้องถูกต้นไม้ใบหญ้าบาดจนเป็นแผลเล็กๆ เต็มไปหมด พอแดดส่อง เหงื่อออกก็จะปวดแสบปวดร้อน สรุปคือดำนาปลูกข้าว ถูกปลิงดูดเลือดกัดยังสนุกเสียกว่า ท่านปู่ของข้าชอบสูบยา พอถูกความร้อน พวกมันก็จะร่วงลงมาเอง”
เฉินผิงอันเห็นด้วยอย่างมาก “ตอนที่ข้าอยู่บ้านเกิด ถ้าถูกปลิงกัดในน้ำจะลำบากมาก เพราะเสียดายเกลือกับน้ำส้ม ไม่อยากเอามาใช้ เสียเวลาแข่งความฉลาดความกล้าหาญอยู่กับพวกปลิงที่น่ารำคาญเป็นครึ่งๆ วัน สุดท้ายเลือดไหลเป็นสายลงมาจากขา ยังดีที่ข้างเถียงนามีต้นหญ้าที่พวกเราคนท้องถิ่นเรียกว่า ‘ลวี่เหนียงเนียง’ ขึ้นอยู่ เอาหญ้ามาแปะลงบนบาดแผล เพียงไม่นานเลือดก็จะหยุดไหล พอข้าออกมาจากบ้านเกิดก็ไม่เคยได้เห็นอีก”
ซุนเจียซู่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “คนที่เกิดมาในครอบครัวยากจนไม่มีอะไรให้ต้องพิถีพิถันมากมาย แถมยังอดทนกับความยากลำบากได้เก่งกว่า นายน้อยที่มีเงินอย่างข้าย่อมเทียบไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้จะลำบากแค่ไหนก็สู้พวกเจ้าไม่ได้ ตอนแรกที่ข้าติดตามท่านปู่ออกจากบ้านเดินทางไกล จะต้องร้องไห้งอแงว่าจะกลับบ้านทุกสามวันห้าวัน ตอนนี้มาย้อนนึกดูแล้ว หากวันหน้าข้าต้องพาหลานที่นิสัยเหมือนข้าไปไหนมาไหนด้วยกัน คงไม่มีความอดทนเท่าท่านปู่ข้าในตอนนั้น”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “หากมีวันนั้นจริงๆ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะนิสัยดีมากขึ้นก็ได้”
ซุนเจียซู่ตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ “มีความเป็นไปได้จริงๆ”
คนหนึ่งคือชายที่ได้ครอบครองถนนใหญ่ทั้งสายของนครมังกรเฒ่า อีกคนหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่เขาบอกว่านครมังกรเฒ่าหลุดจากมือไป พูดคุยเรื่องหยุมหยิมที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความบ้านๆ เหล่านี้ คนทั้งสองกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ไม่ชวนกระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย
รถม้าขับเคลื่อนไปอย่างมั่นคง แม้ว่าจะมีควันสีม่วงลอยขึ้นมาจากกระถางธูปตลอดเวลา แต่ในห้องโดยสารกลับไม่มีควันธูปฟุ้งอบอวล แค่มีกลิ่นอายของความสดชื่นเหมือนต้นไม้ใบหญ้าและสายลมเย็นในฤดูใบไม้ผลิเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าต้องดูแลกิจการที่ใหญ่โตขนาดนี้ แล้วยังมารับข้าด้วยตัวเอง ต้องสูญเงินไปมากน้อยเท่าไหร่กัน? อันที่จริงเจ้าให้คนอื่นมารับข้าก็ได้”
ซุนเจียซู่ส่ายหน้า “จะหาเงินอย่างไรคือเรื่องหนึ่ง ต้องคิดเล็กคิดน้อยไปซะทุกเรื่อง ต่อให้เป็นแค่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวก็ต้องคิดให้ชัดเจน แต่ว่าพอมีเงินแล้วใช้เงินอย่างไร นั่นก็ต้องดูที่ความเคยชินของแต่ละคนแล้ว อย่างเช่นข้าที่ตั้งใจทำงานหาเงินตลอดทั้งปีนั้น ทำไปเพื่ออะไร? ก็เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องขี้เหนียวกับสหายมากเกินไป ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเงินแค่อีแปะเดียว”
เฉินผิงอันเข้าใจโดยพลัน “มีเหตุผลมาก!”
ใจเขาอยากจะเอาแผ่นไม้ไผ่ใบเล็กในวัตถุฟางชุ่นออกมาจดเหตุผลข้อนี้ของซุนเจียซู่โดยเร็วเสียด้วยซ้ำ
รอจนตนมีเงินแล้วจริงๆ หากมีคนบอกว่าตนเป็นคนดีเกินเหตุอีกก็จะเอาประโยคนี้ของซุนเจียซู่โต้กลับไป
พูดคุยกันอย่างถูกคอไปตลอดทาง ซุนเจียซู่เล่าเรื่องน่าสนใจและเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากมายที่พบเจอมาระหว่างที่ไปหาประสบการณ์ในอดีต เดิมทีเฉินผิงอันก็เป็นผู้ฟังที่ดีมากคนหนึ่งอยู่แล้ว อีกอย่างจากเรื่องที่พูดคุยกันก็ทำให้ภาพลักษณ์ที่เดิมทีพร่าเลือนของซุนเจียซู่เริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิด นั่นคือเขาเป็นคน ‘สุภาพและเยือกเย็น’ ที่…มีเงินมาก
ข้าซูนเจียซู่มีเงินมากขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ร้ายกาจอะไร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องจงใจข่มคนอื่น หรือจงใจลดระดับคุณค่าในตัวเอง เมื่อคบค้ากับสหายที่ได้รับการยอมรับจากเขาซุนเจียซู่ ก็จะได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมอย่างแท้จริงตั้งแต่ในจรดนอก
เฉินผิงอันคิดว่านี่ต่างหากควรจะเป็นลักษณะที่คนมีเงินพึงมี
รถม้าขับมาถึงเส้นทางชนบทสายหนึ่ง ใต้กีบเท้าม้าคือถนนดินเหลือง เป็นเหตุให้รถม้าโยกคลอนขึ้นๆ ลงๆ เล็กน้อย ซุนเจียซู่เห็นว่าเฉินผิงอันมีท่าทีแปลกใจจึงยิ้มแล้วเลิกหน้าต่างขึ้น นอกหน้าต่างคือต้นกกกอใหญ่ใบดกหนาสีเขียวสดขึ้นเรียงราย เมื่อรถม้าขับเคลื่อนไปข้างหน้ากลับมีดอกน้ำมันสีเหลืองอร่ามปรากฏให้เห็น ทำให้คนมองรู้สึกสบายตาสบายใจ ตามหลักแล้วช่วงออกดอกของดอกน้ำมันควรจะผ่านไปนานแล้วถึงจะถูก เฉินผิงอันจึงได้แต่คิดว่าดินและน้ำของนครมังกรเฒ่าแตกต่างไปจากที่บ้านเกิดของตน
ซุนเจียซู่อธิบายว่า “ที่นี่คือที่ดินที่บรรพบุรุษสกุลซุนของพวกเรามาก่อตั้งตระกูล ลูกหลานรุ่นหลังพยายามรักษาสภาพเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะกลัวว่าจะทำลายร่มเงาฮวงจุ้ยที่บรรพบุรุษสร้างไว้ให้ แล้วก็เพราะต้องการจะระลึกถึงบรรพบุรุษด้วย เวลาที่ตระกูลซุนรับรองแขกผู้มีเกียรติ ไม่ว่าจะเทพเซียนบนภูเขาหรือจักรพรรดิอัครเสนาบดีก็ล้วนพาไปรับรองที่จวนตระกูลซุนในเมืองทั้งหมด เป็นสถานที่ที่โอ่อ่าหรูหรา ไม่ด้อยไปกว่าจวนมังกรเฒ่าของตระกูลฝูเลย แต่หากรับรองสหายที่แท้จริงจะเต็มใจพามาที่นี่มากกว่า ไปข้างหน้าอีกสิบกว่าลี้ก็คือบ้านบรรพบุรุษของตระกูลซุนแล้ว มีพื้นที่ไม่มาก เป็นเรือนสามชั้น ตัวบ้านตั้งติดริมน้ำ หันหน้าเข้าหาแม่น้ำสายหนึ่ง สามารถตกปลาได้ หวังว่าเจ้าจะชอบ”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “ชอบสิ จะไม่ชอบได้อย่างไร”
ซุนเจียซู่ถามยิ้มๆ “ไม่อย่างนั้นพวกเราลงรถแล้วเดินกันไปดีไหม?”
เฉินผิงอันย่อมไม่มีความเห็นต่างอยู่แล้ว คนทั้งสองจึงลงจากรถม้าเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ซุนเจียซู่เล่าสถานการณ์ของที่ดินบรรพบุรุษแห่งนี้ให้ฟังอีกคร่าวๆ ประโยคเดียวที่อธิบายอย่างเรียบง่ายว่า ‘ในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ล้วนเป็นของตระกูลซุนพวกเรา มีหมู่บ้านหกแห่ง ประมาณสองพันหลังคาเรือน เลี้ยงไหมปลูกชา ผลผลิตทั้งหมด ตระกูลซุนจะรับซื้อด้วยราคาที่สูงกว่าตลาดเล็กน้อย รายได้ของพวกชาวบ้านจึงนับว่าดีพอสมควร ถือว่ามีชีวิตที่สงบสุขมั่นคง’ ก็ทำให้เฉินผิงอันเข้าใจได้อย่างแท้จริงถึงความกว้างขวางของนครมังกรเฒ่า และความใจกว้างของตระกูลซุน
ตอนที่พอจะมองเห็นเค้าโครงของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนรางๆ เฉินผิงอันก็ถามว่า “นครมังกรเฒ่ามีเรือข้ามฟากที่ไปยังภูเขาห้อยหัวหรือไม่?”
ซุนเจียซู่พยักหน้ารับ “มี อันที่จริงนครมังกรเฒ่าก็คือศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของแจกันสมบัติทวีป ที่ไหนหาเงินได้ก็ไปที่นั่น เพียงแต่ว่าคิดจะผ่านภูเขาห้อยหัวไปหาเงินที่กำแพงเมืองปราณกระบี่กลับไม่ใช่ทุกคนที่มีความสามารถนี้ ต่อให้เป็นตระกูลฝูและห้าสกุลใหญ่ซึ่งรวมถึงสกุลซุนของนครมังกรเฒ่า คิดจะทำการค้านี้ก็ต้องระมัดระวังให้มาก ต้องดูแลให้รอบคอบรัดกุมไปทุกด้าน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ซุนเจียซู่ก็รู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย เขาพูดต่อเนิบช้าว่า “หลายพันปีมานี้ ไม่พูดถึงเจ้านครอย่างตระกูลฝู ห้าสกุลใหญ่ของนครมังกรเฒ่านอกจากสกุลซุนล้วนถูกเปลี่ยนใหม่หมดมาแล้วหลายรอบ ไปสิ้นท่าที่ภูเขาห้อยหัวเสียเกินครึ่ง หลายครั้งที่สกุลซุนเกือบจะเสียหายอย่างสาหัสก็ล้วนเกี่ยวข้องกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนนี้ในนครมังกรเฒ่ามีเรือแค่หกลำเท่านั้นที่เดินทางไปยังภูเขาห้อยหัว ตระกูลฝูมีสองลำ เรือทั้งหกลำล้วนใหญ่มาก อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็สามารถบรรทุกคนได้สองพันกว่าคน เรือข้ามฝากของตระกูลฝูคือปลาวาฬกลืนสมบัติตัวหนึ่งกับภูเขาลอยตัวที่จวี้จื่อแห่งสำนักโม่เป็นคนสร้าง ถูกขนานนามให้เป็น ‘ห้อยหัวน้อย’ ด้านบนมีหอเก๋งมีศาลาที่สวยงาม ทิวทัศน์ชวนมองอย่างยิ่ง เป็นเรือข้ามฟากที่เทพเซียนบนภูเขาเลือกเป็นอันดับแรก จะต้องมีผู้ฝึกลมปราณใหญ่ขอบเขตโอสถทองก่อกำเนิดโดยสารอยู่บนเรือแทบทุกครั้ง ส่วนเรือข้ามฟากของสกุลซุนเรา คือเต่าทะเลภูเขาที่บรรพบุรุษจับมาได้และเอามากำราบให้เชื่อง ส่วนของกระดองเต่าใหญ่ดุจขุนเขา สามารถบรรจุคนได้สองพันสี่ร้อยคน แน่นอนว่ามีสินค้ามากกว่าคน การเดินทางไปกลับภูเขาห้อยหัวครั้งหนึ่ง กำไรที่ได้มาจริงๆ ไม่ใช่มาจากค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ของผู้โดยสาร แต่เป็นทรัพยากรและผลผลิตที่พิเศษของแจกันสมบัติทวีปกับกุรุทวีป ขอแค่เอาไปส่งถึงภูเขาห้อยหัวได้ก็จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ว่าระยะทางยาวไกล เรื่องไม่คาดฝันมีมากมาย ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เสียเลยที่จะเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นบนเรือ หรือขาดทุนย่อยยับ ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณจะต้องดูตามปี ฤดูกาลและแผนภูมิสวรรค์เพื่อเลือกเรือข้ามฟากที่เหมาะสมกับตัวเอง นี่ก็ถือเป็นหลักความรู้ที่ใหญ่มากเช่นกัน”
กล่าวมาถึงท้ายที่สุด ซุนเจียซู่ก็ยิ้มบางๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะดูแคลนตัวเองเล็กน้อย “ลืมบอกกับเจ้าไปว่า ตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าและห้าสกุลใหญ่อย่างพวกเราต่างก็เป็นลูกศิษย์สำนักการค้าหนึ่งในเมธีร้อยสำนัก บรรพบุรุษที่ตั้งบูชาในโถงบรรพชนของทุกตระกูลล้วนไม่เหมือนกับอริยะลัทธิขงจื๊อในศาลเจ้าบุ๋น ต่อให้ถึงตอนนี้สำนักการค้าก็ยังมีแต่ความรู้ที่ไม่เข้าพวกกับสำนักอื่น ได้ยินมาว่าช่วงแรกเริ่มสุดมีอริยะของสถานศึกษาขงจื๊อที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในศาลบุ๋น อีกทั้งตำแหน่งยังอยู่ในระดับหน้าๆ คนหนึ่งกล่าวประโยคหนึ่งว่า ‘เนื้อสุนัขไม่นำขึ้นโต๊ะอาหาร’ อันที่จริงนั่นเป็นการพูดถึงสำนักการค้าของพวกเรา คำวิจารณ์นี้ยังถือว่าเกรงใจกันแล้ว คำกล่าวที่ว่าพวกพ่อค้าคือพวกชั้นต่ำ ไม่มีตำแหน่งในร้อยสำนัก ทั่วร่างมีแต่กลิ่นเหม็นของทองแดง พ่อค้าไม่มีจิตเมตตา ใต้หล้านี้สำนักการค้าไร้คุณความชอบมากที่สุด ถือเป็นคำด่าที่แรงยิ่งกว่า ดังนั้นเก้าทวีปใหญ่ของใต้หล้าไพศาลมีพ่อค้าเยอะมาก แต่ไม่มีทางถูกราชวงศ์ไหนยกขึ้นเป็นอาชีพหลักแน่นอน”
เรื่องวงในที่เกี่ยวข้องกับความรู้และจุดประสงค์ของเมธีร้อยสำนักพวกนี้ เฉินผิงอันได้แต่รับฟัง ไม่กล้าวิจารณ์หรือให้ข้อสรุปส่งเดช
ไปถึงบ้านบรรพบุรุษสกุลซุนที่ไม่ได้ใหญ่โต ไม่มีสาวรับใช้หน้าตาน่ารักงดงามอะไร มีเพียงชายชราและหญิงชราหลายสิบคนที่คอยอยู่ดูแลบ้าน ซุนเจียซู่เลี้ยงข้าวเฉินผิงอันหนึ่งมื้อ ทั้งไม่ใช่อาหารล้ำค่าหายาก แต่ก็ไม่ได้ยากแค้นอนาถาอะไร ล้วนเป็นผักสดตามฤดูกาลและปลากุ้งไก่เป็ดที่อยู่ใกล้เคียงกับบริเวณบ้าน รสมือดีเยี่ยมทำให้คนเจริญอาหาร มีเพียงอาหารอย่างเดียวที่ไม่คุ้นชินซึ่งเป็นน้ำแกงที่วัสดุการปรุงน่าจะมาจากทะเล เฉินผิงอันกินอาหารที่มาจากแม่น้ำจนเคยชิน จึงไม่คุ้นปากนัก ซุนเจียซู่เองก็ไม่คะยั้นคะยอให้เขากิน เฉินผิงอันแค่กินอาหารที่ตัวเองชอบก็พอ
กินข้าวเสร็จแล้วคนทั้งสองก็มาเดินเล่นกันที่ริมแม่น้ำด้านนอก เฉินผิงอันถามว่า “คุณชายซุน รู้จักร้านยาแห่งหนึ่งในนครมังกรเฒ่าที่ชื่อว่าร้านฮุยเฉินหรือไม่?”
ซุนเจียซู่ครุ่นคิด “เมื่อก่อนไม่เคยได้ยิน แต่ข้าสามารถหาให้เจ้าได้โดยใช้เวลาไม่นาน”
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
ซุนเจียซู่ยิ้มพลางโบกมือเป็นการบอกเฉินผิงอันว่าไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ เขาก้มตัวลงไปหยิบก้อนหินที่แบนราบขึ้นมาก้อนหนึ่ง โยนออกไปด้านข้าง ก้อนหินปลิวเด้งกระแทกผิวน้ำไปจนถึงฝั่งตรงข้าม
ฝั่งตรงข้ามคือสวนดอกน้ำมันที่แผ่ยาวออกไป มองไปจึงเห็นเป็นเพียงสีเหลืองอร่าม
เฉินผิงอันเอาห่อสัมภาระวางเก็บไว้ในห้องแล้วก็หยิบเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มารัดไว้ตรงเอวอีกครั้ง แน่นอนว่ายังคงสะพายกล่องกระบี่ด้วย เขาปลดน้ำเต้า ‘เจียงหู’ ลงมาเพื่อดื่มเหล้า น้ำในแม่น้ำไหลรินอย่างเชื่องช้า คล้ายผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เงียบสงบ
ซุนเจียซู่หยุดเดินแล้วพูดว่า “ข้าลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว ช่วงนี้เรือที่ไปยังภูเขาห้อยหัวเหลืออยู่สามลำ สามลำที่เหลือยังไม่กลับมา ลำหนึ่งคือเต่าทะเลภูเขาของสกุลซุนเรา นอกจากนี้ก็คือปลาวาฬกลืนสมบัติของตระกูลฝู รวมไปถึงนกกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่าน หากให้พูดถึงในมุมของความมั่นคงปลอดภัย ข้าแนะนำให้เจ้าโดยสารปลาวาฬกลืนสมบัติ เพราะสิบปีที่ผ่านมานี้ เส้นทางการเดินเรือไปยังภูเขาห้อยหัวมีสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายมาก เต่าทะเลภูเขาสู้ปลาวาฬกลืนสมบัติไม่ได้ หรือถึงขั้นสู้นกกุ้ยฮวาที่ถูกสร้างขึ้นมาไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะต่อให้เต่าทะเลภูเขาจะนิสัยดีแค่ไหนก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ เรื่องที่เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวร่วงลงมาตรงภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปก็คือตัวอย่าง ส่วนปลาวาฬกลืนสมบัติสามารถว่ายในทะเลลึกได้ จึงปลอดภัยที่สุด อีกทั้งเส้นทางเดินเรือสายนั้นยังเป็นเส้นทางคุ้นเคยที่ตระกูลฝูบุกเบิกมาหลายปี ควรจะหลีกเลี่ยงพวกมารใหญ่ที่อยู่ในน้ำอย่างไร พวกเขาย่อมรู้ชัดเจนดี หากคิดจะประหยัดเงินและต้องการความสบาย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นเต่าทะเลภูเขาของตระกูลข้า เมื่อเจ้าขึ้นไปอยู่บนเรือ ไม่กล้าพูดว่าสามารถเสวยสุขได้ แต่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินอยู่ ไม่ว่าเรื่องอะไรเจ้าก็ไม่ต้องคอยกลัดกลุ้ม…”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หลุดประโยคหนึ่งออกมาว่า “หากไม่ใช่เต่าทะเลภูเขาก็ต้องเป็นนกกุ้ยฮวา ข้าไม่มีทางโดยสารปลาวาฬกลืนสมบัติเด็ดขาด”
ซุนเจียซู่แปลกใจอย่างมากจึงถามว่า “ทำไมล่ะ?”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิด ข้าเคยเกือบจะฆ่าฝูหนันหัวนายน้อยของนครมังกรเฒ่า ไหนเลยจะกล้านั่งเรือข้ามฟากของตระกูลเขา”
ซุนเจียซู่อดยื่นมือมาตบไหล่ของเฉินผิงอันหนักๆ ไม่ได้ “เฉินผิงอัน! ข้าเคยเห็นวีรบุรุษมาไม่น้อย แต่คนที่ใจกล้าแบบเจ้ากลับพบเจอมาไม่มากจริงๆ !”
เฉินผิงอันถอนหายใจ เพราะฟังจากน้ำเสียงของซุนเจียซู่ก็รู้แล้วว่าฝูหนันหัวต้องไม่ใช่คนที่ควรไปมีเรื่องด้วยจริงๆ
ซุนเจียซู่อดกลั้นอยู่นานสุดท้ายก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “แม้ว่านายน้อยของนครมังกรเฒ่าจะไม่ได้มีแค่คนเดียว ลูกหลานของครอบครัวอื่นในตระกูลฝูที่มีหวังว่าจะได้สืบทอดเสื้อคลุมมังกรเฒ่าตัวนั้นก็มีอยู่หลายคน แต่ทุกคนล้วนรู้ว่าฝูหนันหัวได้รับความสำคัญจากเจ้านครฝูฉีมากที่สุด บรรพบุรุษตระกูลฝูคนหนึ่งที่ได้ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนก็ยิ่งเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้แก่ฝูหนันหัว เพียงแต่ว่าช่วงหลายปีมานี้เขาปิดด่าน เล่าลือกันว่ากำลังพยายามฝ่าสู่ห้าขอบเขตบน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าฝูหนันหัวจะกลายเป็นเจ้านครคนถัดไป เฉินผิงอัน เจ้าใช้ได้เลยนี่นา หากเรื่องนี้แพร่ออกไป รับรองว่าชื่อเสียงของเจ้าต้องดังไปครึ่งทวีปภายในเวลาหนึ่งเดือนแน่นอน”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ชื่อเสียงแบบนี้ ไม่เอาดีกว่ามั้ง”
ซุนเจียซู่ยิ่งหัวเราะก็ยิ่งอารมณ์ดี “ถึงแม้ว่าข้าจะเคยพบค้าสมาคมกับฝูหนันหัวมาหลายครั้ง หรือถึงขั้นที่ว่าความสัมพันธ์เกินกว่าจะเป็นสหายที่ร่วมดื่มเหล้าธรรมดาทั่วไป แต่ฝูหนันหัวยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับหลิวป้าเฉียวได้ วันนี้ได้ยินความจริงเรื่องนี้ ข้าก็ยิ่งอยากหัวเราะ ดูท่าข้าคงไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไหร่นัก ดังนั้นเจ้าเฉินผิงอันก็ยั้งๆ ไว้หน่อย เป็นเพื่อนกับคนแบบข้า อย่าเพิ่งมอบใจให้มากเกินไปนัก ต้องรู้จักกันให้นานก่อน”
ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันหลุดประโยคหนึ่งมา “อันที่จริงข้ากับหลิวป้าเฉียวก็ไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ แค่เคยเจอหน้ากันสองครั้งเท่านั้น”
ซุนเจียซู่อัดอั้นตันใจเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นในจดหมายที่หลิวป้าเฉียวบอกว่าสนิทกับเจ้าเหมือนผ่านความเป็นความตายร่วมกันมาหลายร้อยรอบล่ะ หมายความว่าอย่างไร? ในจดหมายเขาชื่นชมเจ้าซะจนไม่มีผู้ใดทัดเทียมได้อีกแล้ว แถมยังบอกด้วยว่าหากข้าไม่มารับรองเจ้าด้วยตัวเองจะตัดขาดกับข้า จากนั้นก็จะป่าวประกาศฉายาข้าไปให้ทั่วแจกันสมบัติทวีป”
เฉินผิงอันลองถามหยั่งเชิง “ฉายาคือซุนจื่อ” (ซุนจื่อแปลว่าหลาน)
ซุนเจียซู่ยื่นมือมากุมขมับ ยิ้มเจื่อนพูดว่า “เรื่องนี้เจ้าก็เดาได้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “แม้ว่าจะเคยเจอกันแค่สองครั้ง แต่ข้ากลับรู้นิสัยของหลิวป้าเฉียวดีว่าเป็นคนไม่จริงจังมากที่สุด”
ซุนเจียซู่ทอดถอนใจ “ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับฝูหนันหัว ย่อมต้องมีจุดจบเป็นดั่งประโยคที่ว่าต่อให้ผมขาวก็ยังเหมือนเพิ่งรู้จักกัน (เปรียบเปรยว่าคนที่คบหากันมานานก็ไม่สนิทใจ ได้แต่รู้จักกันอย่างผิวเผิน) แต่เจ้ากับหลิวป้าเฉียวกลับเหมือนประโยคว่าเพิ่งพบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน”
สารถีคนนั้นมาปรากฏตัวอยู่ไกลๆ ซุนเจียซู่หันกลับไปมองแวบหนึ่งก็หันกลับมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “ข้าต้องไปที่จวนตระกูลฝูในเมืองเพื่อพบแขกคนหนึ่ง เพราะว่านัดหมายกันมาล่วงหน้าแล้ว เรื่องของร้านยาฮุยเฉิน ช้าสุดก่อนคืนวันพรุ่งนี้จะมีคนมาบอกเจ้า อีกอย่างก็คือในเมื่อเจ้ามีความแค้นกับฝูหนันหัว ถ้าอย่างนั้นช่วงนี้หากเจ้าจะออกไปข้างนอกก็ต้องให้คนมาบอกข้าก่อน ข้าจะให้คนจัดการเรื่องการเดินทางของเจ้า เมื่อเป็นอย่างนี้การเดินทางไกลโดยเรือข้ามฟากก็สามารถตัดปลาวาฬกลืนสมบัติของตระกูลฝูออกไปก่อนได้แล้ว เจ้าก็นั่งเต่าทะเลภูเขาของตระกูลข้าไปที่ภูเขาห้อยหัวเลยแล้วกัน อีกยี่สิบวันให้หลังจะออกเดินทางตรงเวลา ช่วงเวลานี้เจ้าสามารถมาอาศัยอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษของตระกูลข้า ต้องการของสิ่งใด ขอแค่ที่นครมังกรเฒ่ามี ข้าก็สามารถช่วยนำมาส่งให้เจ้าได้ แล้วเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ก่อนจะเปิดปาก เจ้าสามารถบอกตัวเองได้ว่า ‘ซุนจื่อผู้นั้นมีเงินเยอะมากๆ เป็นเพื่อนกัน เดิมทีก็ต้องมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านอยู่แล้ว ร่วมเสพสุขก่อน แล้ววันหน้าค่อยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ค่อยร่วมทุกข์ร่วมยาก นี่ต่างหากถึงจะไม่เสียเปรียบ’”
“ตกลง งั้นข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม กะพริบตาปริบๆ “หลิวป้าเฉียวต้องพูดประโยคนี้ใช่ไหม?”
ซุนเจียซู่ยกนิ้วโป้งให้ “มิน่าเล่าหลิวป้าเฉียวถึงหน้าด้านอยากจะเป็นสหายกับเจ้า เจ้าเข้าใจเขานี่เอง!”
ซุนเจียซู่บอกลาจากไป ค่อยๆ เดินจากไปไกลพร้อมกับสารถีเฒ่าที่เฉินผิงอันมองตื้นลึกหนาบางไม่ออก แล้วนั่งรถม้าเดินทางไปยังเมืองในของนครมังกรเฒ่า
ดังนั้นเฉินผิงอันที่อยู่เพียงลำพังจึงเริ่มฝึกเดินนิ่งหกก้าวเลียบริมแม่น้ำ
น้ำในแม่น้ำนิ่งสงบ มองไปก็เห็นแปลงดอกน้ำมันกว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด ถนนดินที่ธรรมดา หากไม่เป็นเพราะที่นี่ไม่มีสะพานหินโค้งและร้านกระบี่ของตระกูลหร่วน เฉินผิงอันก็เกือบคิดไปว่าที่นี่คือบ้านเกิดของตัวเอง
เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดจนเดินไปได้สิบกว่าลี้ หากขยับไปข้างหน้าอีกนิดก็คือหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งขึ้นริมน้ำ มีเสียงไก่ขัน มีเสียงหมาเห่า และยังมีควันจากการทำอาหารลอยคลุ้ง เฉินผิงอันหยุดการฝึกหมัด มองไปรอบด้าน ข้างกายมีสะพานไม้เล็กๆ ข้ามแม่น้ำอยู่แห่งหนึ่ง ตอนนี้อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกลคนละโลกอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เฉินผิงอันกำลังจะหมุนตัวกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนก็สังเกตเห็นว่าในสวนดอกน้ำมันฝั่งตรงข้ามที่อยู่ห่างออกไปไกลมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดธรรมดาเดินออกมา ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในวัยของเด็กนักเรียนชั้นประถม และยังมีบางส่วนที่อายุน้อยยิ่งกว่า แต่ละคนมีขี้มูกยืดออกมาจากจมูกเดินตามมาด้านหลัง มีเด็กผู้ชายที่อายุมากหน่อยสองคนถือกระบี่ไม้ไผ่กระบี่ไม้ที่ผู้ปกครองในครอบครัวน่าจะเป็นคนช่วยเหลาให้อยู่ในมือ รูปลักษณ์เรียบง่าย แค่รูปร่างคล้ายกระบี่อย่างหยาบๆ เท่านั้น ดูเหมือนคนทั้งสองต่างก็กำลังแข่งวิชากระบี่กัน พวกเขาทยอยกันขึ้นมาเดินขึ้นมาบนเนินดิน ฟาดฟันกระบี่ใส่ดอกน้ำมัน แถมยังร้องตะโกนคำรามส่งเดช ทว่าพละกำลังกลับเปี่ยมล้น
สงสารดอกน้ำมันที่ถูกเด็กสองคนฟันจนแหลกเละ แต่ไม่นานด้านหลังก็มีเด็กอายุน้อยร้องไห้จ้าขึ้นมา ที่แท้ตอนแรกเขาเองก็สนุกร่วมไปกับคนอื่น แต่พอพบว่าที่นี่คือลานดอกน้ำมันของครอบครัวเขาเอง แล้วถ้าพ่อแม่ของเขารู้เรื่องนี้ กลับไปถึงบ้านตนจะไม่ก้นลายหรือ?
แต่เขาก็ไม่กล้าห้าม ‘มือกระบี่’ ที่อายุมากกว่าสองคนนั้น ได้แต่ร้องไห้ปานจะขาดใจ ยังดีที่เพียงไม่นานมือกระบี่คนหนึ่งก็ตระหนักได้ว่าท่าไม่ดี จึงควักขนมข้าวพองที่บ้านของเขาอบเองแผ่นหนึ่งออกมา เอ่ยสั่งความกับเด็กคนนั้นสองสามประโยค เด็กน้อยที่มีขี้มูกยืดก็ยิ้มหน้าบานได้ทันที เดินอาดๆ ตามหลังมือกระบี่สองคน มองพวกเขาออกกระบี่เสียงดังสวบๆ อย่างร้ายกาจ คิดว่าเดี๋ยวพอตนโตอีกนิด มีเรี่ยวแรงมากหน่อยก็จะขอกระบี่เล่มหนึ่งจากบิดาที่เป็นช่างไม้ ตัดดอกน้ำมันทั้งหมดให้เกลี้ยง แบบนั้นจะดูน่าเกรงขามถึงขนาดไหน? ชุ่ยฮวานังหนูน้อยที่อยู่ข้างบ้านยังจะชอบไปเล่นกับเสี่ยวซิ่วไฉที่อยู่หลังหมู่บ้านอีกไหม? ถึงเวลานั้นนางต้องตามตนแจทุกวันแน่
เฉินผิงอันเห็นพวกเขาแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาทันที
นี่ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนตอนเด็กหรอกหรือ? ปีนั้นหลิวเสี้ยนหยางชอบทำเรื่องที่ชวนให้คนรังเกียจแบบนี้มากที่สุด ไม่เพียงแต่เอากระบี่ไม้ไปฟันดอกน้ำมัน ยังชอบดันคันดินสูงๆ ต่ำๆ ให้ล้มลง หยิบก้อนหินขว้างเป็ดที่อยู่ในน้ำ แต่ละวันจะต้องถูกพวกสตรีแต่งงานแล้วด่าทอ ถูกคนไล่ตี ภายหลังเขากับเฉินผิงอันต่างก็กลายมาเป็นช่างในเตาเผา หลิวเสี้ยนหยางจึงทำเรื่องพวกนั้นน้อยลงเพราะรู้สึกว่าไม่น่าสนใจแล้ว จะชอบขึ้นเขาไปจับงูจับไก่ป่าเสียมากกว่า ทว่าหลังก้นของเฉินผิงอันมีกู้ช่านเพิ่มมาอีกคน ความสามารถของหลิวเสี้ยนหยางก็ยิ่งขยับขยาย เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับหลิวเสี้ยนหยางที่ทำเรื่องร้ายๆ แบบเปิดเผยแล้ว กู้ช่านกลับระมัดระวังตัวกว่ามากเยอะ เขาแทบจะไม่เคยถูกใครจับได้ ทั้งมีความเพียรพยายามที่แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังชื่นชม แล้วก็มีความเจ้าเล่ห์เกินตัวที่ไม่สมวัย
ภายใต้แสงแดดเจิดจ้า เพื่อให้ตกปลาไหลได้หนึ่งตัว กู้ช่านสามารถนั่งกระดกก้นรอได้เกินครึ่งวัน
ทุกครั้งที่ถึงเวลากินข้าวของคนในตรอกหนีผิง จะต้องมีเสียงตะโกนที่แม่ของกู้ช่านตะเบ็งเสียงเรียก
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ริมน้ำ ขว้างก้อนหินลงในน้ำ
พวกเด็กๆ พากันเดินข้ามสะพานไม้มาเป็นขบวนใหญ่ แต่ละศีรษะเรียงติดๆ กันคล้ายพุทราเชื่อมเสียบไม้อันยาว
เห็นคนแปลกหน้าอย่างเฉินผิงอัน พวกเด็กๆ ก็ไม่กลัว เพียงแต่หันมามองอยู่หลายครั้ง แล้วก็เดินไปทางหมู่บ้านที่ห่างไปไม่ไกล แต่เด็กคนหนึ่งที่ถือกระบี่ไม้ไผ่ เดินหนึ่งก้าวหันกลับมามองสามรอบ สายตาหยุดอยู่บนกล่องกระบี่ที่เฉินผิงอันสะพายอยู่ด้านหลังตลอดเวลา สุดท้ายระงับความใคร่รู้ไว้ไม่อยู่จึงหมุนตัววิ่งกลับมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปด้วยสำเนียงที่ชัดเจนถูกต้อง “หรือว่าเจ้าเองก็เป็นมือกระบี่คนหนึ่ง?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ปัดมือ ถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าก็ใช่ด้วยหรือ?”
เด็กชายกลอกตา รู้สึกว่าคำถามข้อนี้ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก จึงตอบเสียงขุ่น “ข้ายังขาดสุดยอดตำราลับอีกเล่มหนึ่ง”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม พยักหน้ารับ “ข้าก็เหมือนกัน”
เด็กชายก้มหน้าลงมองกระบี่ไม้ไผ่ในมือ แล้วค่อยเงยหน้ามองด้ามกระบี่ในกล่องด้านหลังคนผู้นี้ ถามว่า “ขอข้าดูกระบี่ของเจ้าหน่อยได้ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก”
เด็กชายเบ้ปาก ปรายตามองน้ำเต้าสีชาดตรงเอวของเฉินผิงอัน “เจ้าขี้เหนียวแบบนี้ ไม่เหมือนมือกระบี่ที่ท่องอยู่ในยุทธภพเลย ข้าว่าที่บรรจุไว้ในน้ำเต้าของเจ้าคงไม่ใช่เหล้า แต่เป็นน้ำ แกล้งทำเป็นหลอกคนอื่นไปอย่างนั้นกระมัง”
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยเห็นมือกระบี่ตัวจริงหรือไม่?”
เด็กชายพยักหน้ารับอย่างแรง
ด้านหลังมีแม่นางน้อยใบหน้าแดงปลั่งพูดขึ้นอย่างขลาดๆ ว่า “พวกเราเคยไปไกลที่สุดก็แค่ตลาดที่อยู่ห่างไปหลายสิบลี้ ไม่เคยได้เห็นมือกระบี่ซะหน่อย”
เพียงไม่นานก็มีเด็กที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งเอ่ยคล้อยตามว่า “อาจารย์ที่โรงเรียนเคยสอนพวกเราเกี่ยวกับมือกระบี่ ที่ตลาดก็มีหนังสือรูปคนตัวเล็ก (หนังสือการ์ตูน) ที่ราคาแพงมากวางขาย บนหนังสือวาดจอมยุทธ์ใหญ่ในยุทธภพไว้เป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือมือกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุด คนชั่วทุกคนล้วนเอาชนะพวกเขาไม่ได้”
เด็กชายที่บอกว่าเคยเห็นมือกระบี่ที่แท้จริงมาก่อนหันไปถลึงตาใส่ด้านหลังหนึ่งที เด็กสองคนที่อยู่ด้านหลังหุบปากฉับทันที
เด็กชายที่ค่อนข้างโตซึ่งถือกระบี่ไม้อีกคนหนึ่ง ท่าทางซื่อๆ น่ารักถามเฉินผิงอันว่า “เวทกระบี่ของเจ้าร้ายกาจแค่ไหน?”
คำถามข้อนี้ทำให้เฉินผิงอันลำบากใจจริงๆ
เฉินผิงอันได้แต่พูดว่า “ข้าเคยเห็นมือกระบี่ที่มีฝีมือร้ายกาจมากกับตาตัวเองมาก่อน ไม่ใช่เห็นจากในหนังสือรูปคนตัวเล็กของพวกเจ้า”
เด็กชายกระบี่ไม้ไผ่หัวเราะหยันไม่หยุด
เด็กชายท่าทางซื่อตรงที่ถือกระบี่ไม้กลับเชื่อไปแล้วถึงเจ็ดแปดส่วน ซักถามต่ออีกว่า “แล้วเจ้าได้เรียนเวทกระบี่มาจากจอมยุทธ์ใหญ่พวกนั้นหรือไม่? หากเจ้าสามารถแสดงวิชากระบี่ให้พวกเราได้เห็น ข้าก็จะเชื่อว่าเจ้าคือมือกระบี่จริงๆ หากเป็นไปได้ ถึงเวลานั้นเจ้าก็รับข้าเป็นลูกศิษย์ได้ไหม? ข้าอยากเรียนเวทกระบี่กับเจ้า ไม่ใช่แค่ฟันดอกน้ำมันได้อย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเจ้าฟันกระบี่ลงไปก็สามารถทำให้สะพานของหมู่บ้านเราขาดท่อน ข้าก็จะกราบเจ้าเป็นอาจารย์ขอเรียนวิชาจากเจ้าเดี๋ยวนี้เลย!”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
ด้วยวิชากระบี่ของตนเนี่ยนะ คิดจะกราบเขาเป็นอาจารย์ ขอเรียนวิชาจากเขา?
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าพื้นที่ร้อยลี้รอบรัศมีของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนแห่งนี้คือดินแดนสวรรค์ในอุดมคติที่มีชื่อเสียงของนครมังกรเฒ่า แม้ว่าชาวบ้านที่อยู่ที่นี่มาหลายยุคหลายสมัยจะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แต่ก็มียอดฝีมือหลายคนคอยเฝ้าพิทักษ์อย่างลับๆ ช่วยจับตามองฮวงจุ้ยของของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ไม่ให้ถูกคนนอกทำลาย เพียงแต่ว่าบนภูเขาและล่างภูเขามองดูเหมือนต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ในความเป็นจริงแล้วก็มีบางสถานการณ์ที่เทพเซียนอยู่ตรงหน้า แต่คนไม่รู้ก็เท่านั้น นอกจากผู้เฒ่าสองท่านของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนแล้ว ยังมีคนตัดต้นไม้อีกคนหนึ่งที่ไปสร้างกระท่อมอยู่อย่างสันโดษบนภูเขา รวมไปถึงผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งที่แตกกิ่งก้านสาขามีลูกหลานเต็มบ้านอยู่ที่นี่ พวกเขาต่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่แท้จริง สามคนคือขอบเขตโอสถทอง อีกคนคือขอบเขตก่อกำเนิด มีทั้งบรรพบุรุษสกุลซุนสาขาแยกที่ไม่สนใจเรื่องทางโลก แล้วก็มีทั้งยอดฝีมือที่หนีภัยมาเร้นกายอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าก็มีคนที่ถูกตระกูลซุนจ้างมาด้วยเงินจำนวนมหาศาล หวั่นไหวเพราะทรัพย์สิน เทพเซียนเองก็เลี่ยงเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรเงินที่รับมาแต่ละปีก็ล้วนเป็นเงินฝนธัญพืช (คือฝนที่ตกมาทำให้ธัญพืชที่ปลูกเจริญเติบโตงอกงาม ตรงกับวันที่ 19 20 หรือ 21 เมษายน)
เวลานี้ผู้ฝึกลมปราณใหญ่ทั้งสี่ท่านมารวมตัวกันอยู่หน้ากระท่อมของคนตัดต้นไม้ เพราะว่าที่นี่เป็นหนึ่งในตาของค่ายกล คนตัดต้นไม้ที่ลักษณะเหมือนชายฉกรรจ์แข็งแรงจึงโบกมือหนึ่งครั้ง ลมภูเขาและไอน้ำลอยตัวมารวมกันเป็นม้วนภาพวาดภาพหนึ่ง สายตาของทุกคนมองตามไปที่เงาร่างของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ฝึกวิชาหมัดเลียบริมน้ำตลอดเวลา คนทั้งสี่เริ่มวางเดิมพันเกี่ยวกับขอบเขตของคนผู้นี้ มีคนบอกว่าในเมื่อเป็นเพื่อนของซุนเจียซู่ก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นคนหนึ่ง ปณิธานหมัดที่แผ่อวลตลอดทั้งร่างเป็นเพียงแค่การปิดบัง ต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิตที่อายุยังน้อย มีคนค้าน บอกว่าไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นห้าขอบเขตกลาง ส่วนที่เหลืออีกสองคนกำลังเถียงกันว่าเด็กหนุ่มคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่หรือขอบเขตห้ากันแน่ คนหนึ่งในนั้นบอกว่าเด็กหนุ่มคือขอบเขตสี่ที่สร้างรากฐานไว้ได้ดีเยี่ยม ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าธรรมดาทั่วไป นอกจากที่เด็กหนุ่มจะมีพรสวรรค์ดีเยี่ยมแล้ว ยังต้องมียอดฝีมือคอยให้ความช่วยเหลือมาตั้งแต่เด็ก คือลูกหลานตระกูลผู้สูงศักดิ์ที่บอบบาง และไม่แน่ว่าอาจจะถือกำเนิดในตระกูลที่คงอยู่มานานนับพันปี ร่ำรวยจนตั้งตัวเป็นศัตรูกับแคว้นได้เลย
แม้ว่าเทพเซียนทั้งสี่จะถกเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง แต่กลับดูอารมณ์ดีกันไม่น้อย
……
ร้านยาขนาดเล็กของเมืองใน ชายฉกรรจ์ที่ไม่เอาไหนคนนั้นยกม้านั่งออกมานั่งในตรอกอีกครั้ง เพียงแต่ว่าวันนี้ไม่ได้พกเมล็ดแตงมานั่งแทะ แต่เอาหนังสือเบ็ดเตล็ดเล่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนไหนในร้านซื้อมา ในหนังสือเขียนเรื่องราวลวงโลกไว้มากมาย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวและคำสอนของอริยะลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อ เขียนหลักการยิ่งใหญ่ที่เกินจริงดั่งสองเท้าลอยเหนือพื้นดินหนึ่งแสนแปดพันลี้ ในอดีตชายฉกรรจ์เคยอ่านหนังสือพวกนี้ซะที่ไหน เพียงแต่ว่านั่งอยู่ในตรอกมานานขนาดนี้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนเต็มใจอยากจะเสวนากับเขาสักที ทำให้ชายฉกรรจ์รู้สึกว่าบางทีอาจเป็นเพราะบนร่างของตนไม่มีกลิ่นอายของตำรา หยิบหนังสือมาพลิกอ่านดู ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็ได้
ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด เสื้อผ้าที่พวกสตรีสวมใส่จะบางมากกว่าปกติ ชายฉกรรจ์นั่งอยู่ใต้ร่มไม้เล็ก แสร้งทำเป็นอ่านหนังสือ แต่อันที่จริงหางตาคอยแอบชำเลืองมองหุ่นและหน้าตาของพวกผู้หญิงอยู่ตลอดเวลาเหมือนเม็ดเหงื่อที่เกาะแนบผิวหนัง เห็นผู้หญิงโตเต็มวัยคนหนึ่งที่มีรูปร่างเย้ายวน ชายฉกรรจ์มองนางแล้วเหมือนวิญญาณถูกล่อลวงไป พึมพำอยู่ในใจตัวเองว่าสะโพกกว้างกว่าไหล่ น่าจะสร้างความสำราญได้ดั่งเป็นเทพเซียน
น่าเสียดายก็แต่ชายฉกรรจ์ค้นพบว่าตนหยิบตำรามาวางท่าเป็นคนมีความรู้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนเต็มใจอยากจะมองเขาสักครั้ง
เว้นจากผู้หญิงบางคนที่มาอีกแล้ว เอวอย่างกับถังน้ำ ใบหน้ามีแต่กระ กรามใหญ่กว่าก้นของชายฉกรรจ์ซะอีก ชายฉกรรจ์หน้ามุ่ย ในที่สุดก็เริ่มอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ หญิงสาวที่อาศัยอยู่ไม่ไกลจากร้านยาเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ เอวไม่ใช่บิดส่าย แต่เป็นแกว่งไกว ชายฉกรรจ์ก็ยังแสร้งทำเหมือนคนตาบอดอยู่อย่างนั้น ภายหลังหญิงสาวทนกับอากาศที่ร้อนระอุไม่ไหวจริงๆ มองชายที่ตนชอบพอด้วยความอาลัยอาวรณ์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วกลับบ้านไปด้วยความพึงพอใจ
ชายฉกรรจ์พลิกเปิดหนังสือเร็วมาก สุดท้ายมาหยุดอยู่บนหน้าที่บันทึกเรื่องของอริยะใหญ่ลัทธิเต๋าที่มีคำต่อท้ายว่า ‘จื่อ’ ซึ่งเคยได้เล่าเรื่องราวหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ ‘เรือกลวง’ เพื่อใช้มันมาบรรยายหลักสัจธรรมแห่งมรรคาที่ยิ่งใหญ่ เล่าว่ามีคนนั่งเรือลำเล็กล่องไปในแม่น้ำ มีเรือเล็กอีกลำลอยตรงเข้ามา คนผู้นั้นจึงออกเสียงเอ่ยเตือนสามครั้ง แต่เรือก็ยังชนกันอยู่ดี คนผู้นั้นจึงด่าทออย่างอารมณ์เสีย สุดท้ายค้นพบว่าบนเรืออีกลำไม่มีคน เขาจึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
และหลังจากนั้นมาก็มีอริยะนำเรื่องราวเหล่านี้ถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นหลัง อริยะท่านนั้นกล่าวว่า ‘ไปมาเพียงลำพัง คือคำว่าเฉพาะตัว คนที่มีความเฉพาะตัว ก็คือคนที่ล้ำค่าสูงส่ง’
อริยะยังกล่าวอีกว่า ‘มีเพียงบุคคลที่สูงส่งจึงจะอยู่บนโลกเหมือนล่องลอยอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงใคร’
ชายฉกรรจ์ไม่คิดว่านี่เป็นคำพูดที่เหลวไหล เขายังถึงขั้นเข้าใจความหมายแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในประโยคเหล่านี้ด้วย เพียงแต่ว่าต่อให้เข้าใจหลักการที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ก็ยังไม่มีประโยชน์ต่อเขา
เพราะเขากับอริยะลัทธิเต๋าคนนั้นไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน
ต่อให้เป็นโรงเรียนของอาจารย์คนนั้น เขาก็เคยไปแอบฟังอยู่หลายครั้ง เหตุผลทุกข้อเขาเข้าใจทั้งหมด ต่อให้เป็นความรู้บางส่วนที่ค่อนข้างลึกซึ้ง เขาก็ยังตระหนักรู้ได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีประโยชน์ต่อตบะของตัวเขาเองอยู่ดี
แต่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือศิษย์พี่ที่ฝึกตนอยู่ในสถานที่เล็กๆ เหมือนกันกับเขา ไอ้หมอนั่นวันๆ ทำแต่งานหยาบๆ เหมือนชาวบ้านในชนบททั่วไป แต่ขอบเขตกลับทะยานเอาทะยานเอา ไปที่วังหลวงต้าสุยมารอบหนึ่ง ตอนนี้ไอ้หมอนั่นยังถึงขั้นกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบไปแล้ว อาจารย์ที่ชอบด่าตนตลอดทั้งปีทั้งชาติยังพูดเป็นประจำว่าการตระหนักรู้แจ้งของศิษย์พี่ผู้นั้นดีมาก
เขาไม่ได้เกลียดแค้นอาจารย์และศิษย์พี่เพราะสาเหตุนี้ แค่คิดไม่ตกเท่านั้น ดังนั้นหลายปีมานี้เขาจึงใช้ชีวิตไม่เอาไหนไปวันๆ แม้แต่ใจที่อยากจะพิสูจน์ตัวเองกับอาจารย์ก็ยังไม่มี เป็นเหตุให้ยิ่งคับอกคับใจมากขึ้น
จนกระทั่งอาจารย์ไล่เขาออกจากเมืองเล็กทางทิศเหนือมายังนครมังกรเฒ่าแห่งนี้
เขาไม่มีคำบ่นหรือความไม่พอใจใดๆ
เขาเพียงแค่เป็นห่วงว่าท่านผู้อาวุโสอยู่ในเมืองเล็กเพียงลำพัง หลี่เอ้อร์จากไปแล้ว ไม่มีคนให้ชม เขาจากมาแล้ว ไม่มีคนให้ด่า ผู้เฒ่าที่สูบยาตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกวันจะเบื่อหน่ายแค่ไหน?
เขาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวซึ่งอยู่ในขอบเขตแปดขั้นสูงสุดมานานแล้วต้องมาเฝ้าอยู่ในร้านยาเล็กๆ ร้านหนึ่งทั้งวัน ปากก็ค่อยพูดจาหวานเลี่ยนแทะโลมสาวๆ ขายาวทั้งหลาย
วันหนึ่งอาจารย์ที่นานๆ ทีจะทนคุยกับเขาได้นานพูดกับเขามากกว่าปกติอย่างที่หาได้ยาก แต่ประโยคที่พูดนั้นกลับเป็นดั่งข้อสรุปตอกปิดฝาโลงซึ่งไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ‘ชีวิตนี้เจ้าเจิ้งต้าเฟิงอย่าได้หวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตเก้าเลย’
ชายฉกรรจ์ปิดหนังสือ เอามาทำพัดพัดที่ข้างหูของตัวเองแรงๆ
จากนั้นเขาก็หน้าดำ หิ้วม้านั่งขึ้นแล้วเผ่นกลับเข้าไปในร้านยาอย่างคล่องแคล่ว
ที่แท้ผู้หญิงคนนั้นที่บังอาจลอบมองความหล่อเหลาของเขายังไม่ยอมถอดใจ นางกลับไปเปลี่ยนชุดที่งดงามสดใสมากกว่าเดิมแล้วออกมาเดินเยื้องย่างไปมาอยู่ในตรอกอีกครั้ง
กลับมาที่ร้านด้วยความอกสั่นขวัญผวา ชายฉกรรจ์ก็นอนพังพาบอยู่บนเก้าอี้ของเถ้าแก่ แต่แล้วจู่ๆ ดวงตาเขาก็เป็นประกาย กระดกก้นขึ้นเอามือลูบไปบนเก้าอี้ ว้าว ที่แท้ก็มีสาวงามแอบมานั่ง บนผิวเก้าอี้ถึงยังมีความอุ่นหลงเหลืออยู่ แต่จะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้ เขาจึงรีบเอาก้นไปถู
สายตาของเด็กสาวอายุน้อยคนหนึ่งฉายความอาฆาต ควักเหรียญทองแดงสองสามเหรียญกระแทกใส่มือของสตรีวัยที่สมควรแต่งงานคนหนึ่งอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็หันไปถลึงตามองเถ้าแก่ร้านอย่างดุดัน
ชายฉกรรจ์เข้าใจได้ทันที จึงหัวเราะหึหึอยู่ในใจ ผู้หญิงพวกนี้เอาตนมาเดิมพันนี่นา อยากดูว่าตนจะฉลาดจนสัมผัสได้ถึงไอความร้อนจากร่างกายของสาวงามหรือไม่ ซุกซนกันจริงๆ
มีคนเข้ามาที่ร้าน คือเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง ดูจากการแต่งกายของเขาก็มองออกว่าต้องเป็นคนมีเงิน แต่มีเงินมากน้อยเท่าไหร่ ถึงอย่างไรสตรีทั้งหลายในร้านยาก็มีชาติกำเนิดจากสังคมของชาวบ้านร้านตลาด สายตาจึงค่อนข้างตื้นเขิน มองไม่ออก ทว่าบุรุษชอบมองสาวงาม แล้วทำไมสตรีจะชอบมองผู้ชายที่หล่อเหลาบ้างไม่ได้?
เหล่าสาวงามในร้านยามีสีหน้าสดชื่นแจ่มใสกันขึ้นมาทันที แต่ชายฉกรรจ์กลับห่อเหี่ยว พูดอย่างมีอารมณ์แต่ไร้เรี่ยวแรง “เจ้าเด็กตระกูลฟ่าน มาทำอะไรอีก?”
เผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์ท่าทางสกปรกมอซอ เด็กหนุ่มคนนั้นมีท่าทางระมัดระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็พยายามอดกลั้นความอึดอัดในใจ ใช้สองนิ้วคีบม้านั่งตัวเล็กมานั่งลงข้างกายชายฉกรรจ์ ถามเสียงเบา “อาจารย์เจิ้ง บิดาให้ข้ามาถามว่า เมื่อไหร่ท่านถึงจะสามารถสอนวิชาหมัดให้ข้าได้อย่างเป็นทางการ?”
ชายฉกรรจ์ตอบอย่างขอไปที “เจ้าเด็กฟ่าน เลื่อนจากขอบเขตสามไปขอบเขตสี่จะรีบร้อนไม่ได้”
เด็กหนุ่มหน้าเจื่อน แต่ก็ไม่กล้าเร่งรัดอาจารย์เจิ้งท่านนี้
ชายฉกรรจ์คิดถึงข้อที่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบความรู้ที่ตนสอนให้เด็กหนุ่มคนนี้แค่งูๆ ปลาๆ มีค่าแค่ไม่กี่ตำลึง เทียบกับมูลค่าของร้านยาเมืองในร้านนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าและหกก็สามารถสอนเขาได้
ชายฉกรรจ์รู้สึกสงสารอีกฝ่ายเล็กน้อย จึงกดเสียงลงต่ำ พูดอย่างจริงจังว่า “ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสู้ผู้ฝึกลมปราณไม่ได้ ฝ่ายหลังชอบที่จะรุดหน้าพันลี้ในวันเดียว พรสวรรค์น่าตกตะลึง หนึ่งวันฝ่าทะลุหนึ่งขอบเขตก็ยังได้ แต่ผู้ฝึกยุทธ์นั้นทำไม่ได้ ต่อให้มีพรสวรรค์ดีแค่ไหนก็ยังต้องก้าวเดินไปอย่างมั่นคง เดินขึ้นเขาไปทีละก้าว ถึงขั้นที่ว่าบางครั้งรู้ดีว่าสามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้แล้ว แต่ก็ต้องพยายามระงับมันไว้อย่างสุดกำลัง ต้องค่อยๆ สาวดึงเอาสิ่งสกปรกในร่างกายและจิตวิญญาณออกไป ค่อยๆ ชดเชยกลับมาทีละนิดจนสมบูรณ์แบบ ตอนนี้สิ่งที่เจ้ากำลังทำ การที่ข้าต้องการให้บิดาของเจ้าช่วยต้มตัวยาให้เจ้า รวมไปถึงสร้างบ่อน้ำพุร้อนแห่งนั้นขึ้นมาล้วนคือการฝึกตนทั้งสิ้น และตอนนี้สิ่งที่จำเป็นสำหรับเจ้ามากที่สุดก็คือการฝึกตน ไม่ใช่รีบร้อนอยากเลื่อนสู่ขอบเขตหลอมลมปราณ”
สุดท้ายชายฉกรรจ์กล่าวยิ้มๆ ว่า “ขอทีเถอะ อะไรคือบิดาเจ้าให้มาถาม เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นเจ้าร้อนใจเองแท้ๆ”
เด็กหนุ่มที่มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุขอยู่ในนครมังกรเฒ่ากระดากอายที่ถูกจับได้
การเลื่อนจากขอบเขตสามสู่ขอบเขตสี่ของผู้ฝึกยุทธ์เป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ
ดังนั้นถึงได้เรียกว่าพระโพธิสัตว์ดินเหนียวข้ามแม่น้ำ ต้องดูที่พรสวรรค์ของตัวเองแทบทั้งหมด ต่อให้เป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดก็ยังไม่สามารถชี้แนะได้ ปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตแปดเดินทางไกลพอจะถ่ายทอดเส้นทางลัดให้ได้บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตแปดนั้นหาได้ง่าย แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด ในแจกันสมบัติทวีปที่กว้างใหญ่มีอยู่แค่กี่คนกัน? น้อยจนนับนิ้วได้! แถมเกือบทุกคนล้วนถูกราชวงศ์ใหญ่พยายามสุดชีวิตที่จะซื้อใจดึงตัวให้ไปเป็นชนชั้นสูง ว่ากันว่านี่ยังเกี่ยวพันกับชะตาแห่งบู๊ของแคว้นที่ล่องลอยจับต้องไม่ได้ด้วย ไหนเลยจะตกมาอยู่ที่นครมังกรเฒ่าได้? ถอยไปพูดอีกหมื่นก้าว ต่อให้มี ตระกูลฝูและตระกูลซุนมีเงินมากกว่าตระกูลของเขา ย่อมตกมาไม่ถึงตระกูลฟ่านแน่นอน
ชายฉกรรจ์ตบอกพูดรับรอง “เจ้าเด็กฟ่าน เจ้ารออีกหน่อย ขอแค่เจ้าไปถึงคอขวดของขอบเขตสามได้อย่างแท้จริงแล้ว ข้าย่อมลงมือเอง ไม่มีทางให้ตระกูลฟ่านของพวกเจ้าต้องเสียเงินเปล่า ถึงเวลานั้นต่อให้เจ้าไม่อยากฝ่าทะลุขอบเขตก็ยังทำได้ยาก”
เด็กหนุ่มมาที่ร้านด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม แต่ออกไปจากตรอกด้วยสีหน้าสดชื่น
มีบุรพาจารย์ขอบเขตโอสถทองคอยติดตามเฝ้าคุ้มครองเขาอย่างลับๆ ไปตลอดทาง
ต้องรู้ว่าในวันที่เด็กหนุ่มถือกำเนิด เรือข้ามฟากนกกุ้ยฮวาลำหนึ่งก็ถูกยกให้เป็นชื่อของเขาแล้ว รอแค่วันที่เขาทำพิธีสวมกวาน (พิธีที่แสดงว่าเด็กชายเข้าสู่วัยหนุ่ม เหมือนพิธีปักปิ่นของเด็กสาว) ก็จะสามารถใช้ทรัพย์สมบัติอันมากไพศาลที่เพิ่มพูนขึ้นทุกปีเหล่านั้นได้แล้ว
พอเด็กหนุ่มจากไป พวกผู้หญิงในร้านก็หันมาพูดคุยกันเสียงดังเจื้อยแจ้ว ถามถึงชาติกำเนิดของเด็กหนุ่มคนนั้น ชายฉกรรจ์ยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่งแล้วทำท่าขยุ้ม สายตามองผ่านหน้าอกของพวกนาง พูดด้วยน้ำเสียงกวนอารมณ์ว่า “กฎเดิมของร้านยา พวกเจ้าคนใดยอมตัดใจลงทุนได้ ข้าผู้เป็นเถ้าแก่ก็จะบอกชื่อและฐานะของเด็กหนุ่มกับคนผู้นั้น ยังจะบอกด้วยว่าบ้านของเขาอยู่ที่ไหน ชอบคนหุ่นอวบอั๋นหรือชอบแบบตัวเล็กบางกันแน่…”
พวกผู้หญิงไม่มีใครติดกับเขา
ชายฉกรรจ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “ลงทุนกับคนที่ตัวเองหมายตาไม่ได้งั้นหรือ ข้าล่ะเสียดายแทนพวกเจ้าจริงๆ”
พวกหญิงสาวแยกย้ายกันไปจับกลุ่มซุบซิบพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กหนุ่มนานแล้ว
ชายฉกรรจ์นอนแผ่อยู่บนเก้าอี้อย่างสบายตัว พูดกับตัวเองว่า “วาสนาเรื่องผู้หญิงของข้าเจิ้งต้าเฟิงแย่พอๆ กับความโชคดีของเจ้าเด็กแซ่เฉินในอดีตเลย พี่ลำบากน้องทุกข์ยาก พี่ลำบากน้องทุกข์ยากจริงๆ …”
เถ้าแก่ร้านยาที่ชื่อว่าเจิ้งต้าเฟิงคนนี้มาจากถ้ำสวรรค์หลีจู เคยรับผิดชอบเฝ้าประตู คอยเก็บเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งถุงจากคนที่มาเยือน
ก่อนหน้านี้ไม่นาน อาจารย์ฝากคนให้นำจดหมายฉบับหนึ่งมาให้เขา บอกให้เขาเตรียมตัวช่วยเฉินผิงอันสลาย ‘ยันต์ลมปราณแท้จริงแปดตำลึง’ สี่แผ่นนั้น
แต่ช่วงท้ายของจดหมายก็บอกว่าหากเฉินผิงอันสามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้เอง ก็ให้เขาเจิ้งต้าเฟิงช่วยรับรองว่าตอนที่เด็กหนุ่มอยู่ในนครมังกรเฒ่าจะพบเจอแต่ความราบรื่นปลอดภัย
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้าไปมองตรอกเล็กนอกร้านแล้วพึมพำว่า “คนที่มีพรสวรรค์ด้านวิถีวรยุทธ์ในสายตาของคนทั้งโลกอย่างเจ้าเด็กตระกูลฟ่าน อย่างมากสุดก็คงแปะยันต์ปราณแท้จริงแค่ครึ่งตำลึงกระมัง? หาไม่แล้วร่างกายจะทนรับไม่ไหว เจ้าเด็กซื่อบื้อแซ่เฉินคนนั้นเพิ่งไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน กลับเปลี่ยนมาเป็นแกร่งกร้าวขนาดนี้แล้วรึ? ต่อให้เรื่องการฝึกหมัดนี้เริ่มนับจากตอนที่เขาเฉินผิงอันหัดเรียนวิชาการกำหนดลมหายใจ นี่มันก็แค่เพิ่งกี่ปีเอง?”
ชายฉกรรจ์เอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “อาจารย์ท่านไม่ได้มองคนผิดจริงๆ ยังคงเป็นศิษย์พี่ที่รู้แจ้งได้มากกว่า ตอนนั้นข้าไม่เคยเห็นดีในตัวเฉินผิงอันเลย”
จู่ๆ เด็กสาวคนหนึ่งที่ใบหน้าเกรี้ยวกราดก็หันมากรีดร้องเสียงแหลมใส่ชายฉกรรจ์ “เถ้าแก่เจิ้ง! หนังสือเล่มนั้นของข้าล่ะ คืนมาให้ข้า!”
เจิ้งต้าเฟิงกระแอมหนึ่งที ก่อนจะควักหนังสือออกมาจากสาบเสื้อ วางลงบนโต๊ะคิดเงิน
ใบหน้าของเด็กสาวแดงก่ำ “ยังมีอีก!”
เจิ้งต้าเฟิงจึงควักเอี๊ยมตัวในซึ่งเป็นของติดตัวของหญิงสาวออกมาจากหน้าอกอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เสื้อตัวในชิ้นนั้นถูกขยำเป็นก้อนอยู่ในมือเขา เขาวางลงด้านข้างหนังสือเบาๆ อธิบายอย่างวัวสันหลังหวะว่า “ห่อผ้าของเจ้าวางไว้อย่างโจ่งแจ้งขนาดนั้น แถมยังมีมุมหนึ่งของหนังสือโผล่ออกมา ข้าเลยยิ่งอยากรู้ พอหยิบหนังสือมาแล้วก็เห็นว่าเสื้อเอี๊ยมค่อนข้างจะสกปรก เพราะความหวังดีเลยคิดจะช่วยเจ้าซักให้สะอาด…”
เด็กสาวที่สองแก้มแดงแปร๊ดเก็บเสื้อเอี๊ยมมาไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบหนังสือตบลงไปบนหน้าของชายฉกรรจ์ พูดอย่างโมโหโทโส “คนลามก! อันธพาลโสมม!”
ชายฉกรรจ์หยิบหนังสือขึ้นมา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าเข้าใจผิดคิดว่าข้าไม่ใช่สุภาพชนที่แท้จริง ต่อให้ข้าถูกหมิ่นเกียรติ แต่ก็เพราะว่าเจ้าหน้าตาดี ข้าจึงสามารถอภัยให้เจ้าได้ แต่เสื้อเอี๊ยมสกปรกแล้ว ความหวังดีที่ข้าคิดจะช่วยซักให้ เจ้าก็ไม่ควรมองข้ามนี่นา…”
ในร้านยามีเสียงหัวเราะดังครืนสอดแทรกมาด้วยเสียงสบถด่าของพวกสตรีแต่งงานแล้ว และเสียงบ่นอย่างไม่พอใจของพวกเด็กสาว
เจิ้งต้าเฟิงสอดมือสองข้างไว้ที่ท้ายทอย หัวเราะตาหยี
……
บริเวณใกล้เคียงกับสะพานไม้ใกล้หมู่บ้านแดนสวรรค์ที่ตระกูลซุนให้การปกป้องซึ่งอยู่นอกนครมังกรเฒ่า
เทพเซียนบนภูเขาทั้งสี่ท่านสลายค่ายกลแม่น้ำและภูเขาไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรให้มาดูเด็กหนุ่มต่างถิ่นโต้เถียงกับกลุ่มเด็กๆ ในหมู่บ้านก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ
ส่วนข้อที่ว่าเด็กหนุ่มคือผู้ฝึกกระบี่ที่อำพรางตัวได้อย่างดีเยี่ยมหรือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหลอมร่างกายกันแน่ คนทั้งสี่ก็ยังเถียงกันไม่ได้ข้อสรุปที่ทำให้ทุกคนคล้อยตามได้ แต่ถึงอย่างไรทั้งสี่ท่านก็คือผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่มีความรู้กว้างขวาง นครมังกรเฒ่าคือสถานที่ที่ปลาและมังกรปะปนกันมากที่สุดของแจกันสมบัติทวีป เหล่าผู้มีความสามารถมากมายของสามทวีปใหญ่ที่อยู่ทางทิศตะวันออกล้วนจำเป็นต้องผ่านที่แห่งนี้ ส่วนใหญ่ล้วนยินดีให้หน้าไปเป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลฝูและห้าสกุลใหญ่ รับความสัมพันธ์ควันธูปที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กเอาไว้ ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณทั้งสี่ท่านที่มีตบะสูงมากจึงไม่ได้มองเด็กหนุ่มเป็นผู้สูงส่งเทียมฟ้าสักเท่าไหร่
แต่ทุกคนล้วนคิดเหมือนกันอย่างไม่มีข้อยกเว้นว่า แขกที่ซุนเจียซู่พามาที่บ้านบรรพบุรุษคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็ต้องเป็นเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าคราวหน้าที่มาเยือนที่แห่งนี้ เด็กหนุ่มอาจกลายเป็นวัยกลางคน ขอบเขตโอสถทอง เป็นคนรุ่นเดียวกับพวกเขาแล้วก็ได้ หรือไม่ก็อาจเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ด มีหวังว่าจะสามารถใช้เรือนกายที่แข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ต้านทานวิถีสวรรค์ สามารถทะยานลมเดินทางไกล เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะกลายมาเป็นแขกผู้มีเกียรติที่พวกเขาทั้งสี่คนต้องไปรับรองด้วยตัวเอง ไม่ได้เป็นแค่สหายของซุนเจียซู่อย่างเดียวเท่านั้น
ริมแม่น้ำ กลุ่มเด็กที่มีมือกระบี่น้อยสองคนเป็นผู้นำเริ่มยั่วยุให้เฉินผิงอันแสดงวิชากระบี่ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือมือกระบี่ที่เดินทางอยู่ในยุทธภพ ไม่ใช่แค่นักต้มตุ๋นในยุทธภพที่ผูกน้ำเต้าบรรจุเหล้าแสร้งเป็นวีรบุรุษเท่านั้น
ตอนแรกเฉินผิงอันแค่นึกถึงช่วงเวลาที่ตัวเองเป็นเด็ก จึงหยอกล้อเล่นสนุกกับพวกเด็กๆ กลุ่มนี้
ภายหลังพบว่าแม้พวกเด็กๆ จะอายุยังน้อย บริสุทธิ์ไร้เดียงสา อีกทั้งยังไม่เคยรู้จักนครมังกรเฒ่าอย่างแท้จริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยุทธภพหรือมือกระบี่อะไรทั้งนั้น
แต่ความรู้สึกบางอย่างของพวกเขากลับเป็นของจริง ยกตัวอย่างเช่นเด็กชายที่ถือกระบี่ไม้ไผ่คนนั้น แม้ปากจะพูดเสียดสี แต่จุดลึกในดวงตาที่มองเฉินผิงอันกลับแฝงความหวังไว้เสี้ยวหนึ่ง หวังว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือในยุทธภพเหมือนหนังสือภาพคนตัวจิ๋วที่อาศัยเวทกระบี่เอาชนะคนชั่วร้าย
ส่วนเด็กชายที่ถือกระบี่ไม้กลับคาดหวังอย่างยิ่งว่าตัวเองจะได้กราบไหว้ยอดฝีมือเป็นอาจารย์ เขาถึงขั้นคิดจะโขกหัวจุดธูปเรียบร้อยแล้วด้วย รอแค่ ‘ใต้เท้า’ สะพายกระบี่ในสายตาของเขาผู้นี้ชักกระบี่ออกจากฝักเท่านั้น
เด็กคนอื่นๆ ที่เหลือก็เบิกตากว้างมองมา รอให้เฉินผิงอันสำแดงฝีมือ ตอนกลับบ้านไปกินข้าวจะได้โม้ให้พ่อแม่ฟัง
เฉินผิงอันเกาหัว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลองแสดงให้ดูสักครั้ง?”
เด็กทุกคนพยักหน้ารับรัวๆ เหมือนไก่จิกข้าวสารอย่างพร้อมเพรียงกัน เด็กชายที่ถือกระบี่ไม้ไผ่ยังไม่ลืมบ่นเพื่อกระตุ้นเขาว่า “ชักช้าอืดอาด ไม่รวดเร็วฉับไวเอาเสียเลย แค่มองข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นนักต้มตุ๋น กลัวว่าจะเผยพิรุธสินะ?”
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เตรียมจะยื่นมือไปปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตามจิตใต้สำนึก แต่คิดดูแล้วก็ดึงมือกลับมา ไม่ดื่มเหล้าแล้ว
เขาหันหน้าไปมองฝั่งตรงข้าม พื้นผิวน้ำกว้างสี่จั้ง
เฉินผิงอันหันตัวกลับไปเผชิญหน้ากับแม่น้ำสายนั้น “พวกเจ้าดูให้ดีล่ะ”
กลุ่มเด็กมองตาไม่กะพริบ ไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่จะทำอะไรกันแน่
เฉินผิงอันกระโดดลอยตัวอยู่ตรงจุดเดิมอยู่สองครั้ง สะบัดขาเตรียมความพร้อม
ขอบเขตสามฝ่าสู่ขอบเขตสี่ถูกเรียกว่าพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำ
ตอนนี้เฉินผิงอันลืมคำกล่าวข้อนี้ไปแล้ว
เฉินผิงอันค่อยๆ ยกมือขึ้น เอ่ยเตือนอีกครั้ง “ดูให้ดีนะ?”
พวกเด็กๆ พยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียงกัน
เฉินผิงอันเอื้อมมืออ้อมผ่านไหล่ คว้าจับกระบี่ไม้ไหวที่อยู่ในกล่องไม้
ชักกระบี่ออกมาในชั่วพริบตาแล้วโยนไปยังฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำโดยใช้การกะน้ำหนักของผู้ฝึกยุทธ์ หลังจากที่กระบี่ไม้ไหวหมุนตัวกลางอากาศก็กลายเป็นปลายกระบี่ชี้ไปทางฝั่งตรงข้าม ตัวกระบี่แล่นตรงไปข้างหน้า แต่ความเร็วไม่มากนัก
“ไปล่ะนะ!”
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้ง ร่างก็พุ่งออกไป เท้าทั้งสองข้างทยอยกันเหยียบลงบนตัวของกระบี่ไม้
ตอนแรกยังส่ายโอนเอนอยู่บ้าง พอยืนมั่นคงแล้ว เด็กหนุ่มก็เหยียบกระบี่ทะยานลมข้ามแม่น้ำไป
ว้าว!
คือเทพเซียนมือกระบี่ ไม่ใช่นักต้มตุ๋นจริงๆ ด้วย!
เด็กแต่ละคนมองกันตาค้างอ้าปากกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉาและเลื่อมใส
สุดท้ายเฉินผิงอันที่เหยียบกระบี่ข้ามแม่น้ำขยับเท้าออกไปด้านข้าง บังคับกระบี่ให้พุ่งไปเหนือคันดินขนาดเล็กบนฝั่งตรงข้ามก่อน จากนั้นค่อยลดระดับกระบี่ไม้ไหวลง
เขายืนอยู่ท่ามกลางดอกน้ำมันสีเหลืองอร่าม บริเวณใกล้เคียงกับเท้าทั้งสองข้างมีลมปราณแท้จริงที่มองไม่เห็นหลายกลุ่มแตกสลายและหายวับไป
ในใจเฉินผิงอันสั่นสะท้านไม่หยุด เขาเองก็ตกตะลึงไม่ต่างจากพวกเด็กๆ เหมือนกัน แต่จากนั้นเขาก็หันหน้าไปยกนิ้วโป้งชี้มาที่ตัวเองให้พวกเด็กๆ ดู พูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าชื่อเฉินผิงอัน คือมือกระบี่คนหนึ่ง!”
เฉินผิงอันโยนกระบี่ไปทางบ้านบรรพบุรุษสกุลซุนด้วยพละกำลังมหาศาล เป็นเหตุให้กระบี่ไม้ทะยานไปอย่างรวดเร็ว เฉินผิงอันกระโดดตัวไล่ตามไปอีกครั้ง เหยียบกระบี่ทะยานลมในครั้งนี้เขาทำได้อย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย
ในที่สุดก็มีลักษณะของเซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่แท้จริงนิดๆ แล้ว
หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ข้ามผ่านแม่น้ำไปอีกครั้ง
เฉินผิงอันเหยียบบนกระบี่ ยกมือสองข้างกอดอก หลับตาลง เชิดหน้าขึ้นสูง รับสัมผัสกับความมหัศจรรย์บางอย่างระหว่างฟ้าดินที่ไหลวนไปทั่วร่างเงียบๆ
รับลมเย็นที่โชยมาปะทะใบหน้า เฉินผิงอันรู้สึกสบายไปทั้งร่าง เดิมทีก็เป็นพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเป็นขอบเขตสี่แล้ว