Skip to content

Sword of Coming 268

บทที่ 268 ขยับใกล้ภูเขาห้อยหัว

ตอนที่เฉินผิงอันตื่นขึ้นมาบนหลังคาก็พบว่าบนร่างมีเสื้อคลุมตัวหนึ่งห่มทับอยู่ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่วางอยู่ข้างกาย หากเป็นในอดีต เฉินผิงอันที่เมาสุราแล้วหลับตลอดทั้งคืน พอตื่นขึ้นมาต้องกระโดดลงจากหลังคาเพื่อไปตรวจสอบกล่องกระบี่ไม้ไหวที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องก่อนแน่นอน แต่วันนี้เฉินผิงอันเพียงแค่เก็บชุดคลุมตัวนั้นช้าๆ พับอย่างประณีต ไม่รีบร้อน เพราะเขาเชื่อว่ากล่องไม้ยังคงอยู่ในนั้น

เฉินผิงอันเชื่อใจผู้เฒ่าคนพายเรือ

เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อยแล้วก็นั่งขัดสมาธิ หันมองไปทางทิศตะวันออก แสงอรุโณทัยส่องประกายริบระยับ

เมื่อเปรียบเทียบกับสภาพจิตใจตอนที่เฉินผิงอันออกจากร่องน้ำเจียวหลงไล่ตามเกาะกุ้ยฮวา เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว หนึ่งคือจิตใจเตลิดดุจม้าห้อตะบึง ฟุ้งซ่านไม่มั่นคง อีกหนึ่งคือหนักแน่นเหมือนมีเสาผูกม้า

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยื่นมือมาบังตรงหน้า ชื่นชมภาพทัศนียภาพยามเช้า เขาเคยอ่านเจอจากบันทึกภูเขาและแม่น้ำเล่มหนึ่งบอกว่า ยามแสงอรุณสาดส่อง แม้แต่ชั้นแขวนอาภรณ์หลากสีสันก็ยังอับอาย ไม่รู้จริงๆ ว่าบัณฑิตสรรหาถ้อยคำที่สร้างจินตภาพได้งดงามขนาดนี้ได้อย่างไร

จู่ๆ เฉินผิงอันก็หันไปมองนอกเรือนเล็กกุยม่าย มีดรุณีน้อยคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดของแม่นางกุ้ยฮวากำลังยืนอยู่ใต้ร่มต้นกุ้ยที่มีใบสีเขียวบางตา คงเพราะเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ นางจึงเงยหน้ามองขึ้นไปยังใบกุ้ย นิ้วก็จิ้มไปจิ้มมา ดูท่าคงกำลังนับจำนวนใบกุ้ยอยู่ เฉินผิงอันมองตามสายตาของนางไป เพ่งตามองชัดเจนแล้วก็ยิ้มกว้าง ตะโกนเสียงดัง “แม่นาง มีใบไม้ทั้งหมดสามสิบสองใบ!”

เด็กสาวหันกลับมาอย่างมึนงง พอเห็นเซียนกระบี่น้อยสะพายกล่องไม้ที่นั่งอยู่บนหลังคา สองข้างแก้มก็แดงปลั่ง ดูท่าแสงรุ่งอรุณบนท้องฟ้าก็ให้ความสนใจสาวงามด้วยเหมือนกัน

แม่นางกุ้ยฮวาที่ถูกจับได้ว่าแอบอู้งานฝืนข่มกลั้นความเขินอายในใจ เอ่ยถามว่า “คุณชายจะกินอาหารเช้าเลยหรือไม่เจ้าคะ?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ดีเลย รบกวนแม่นางเอามาเยอะๆ หน่อย กำลังหิวอยู่ทีเดียว”

แม่นางกุ้ยฮวากะพริบตาปริบๆ เรือนกายนั้นพลิ้วลงในลานบ้าน พริบตาเดียวก็หายวับไป เด็กสาวพลันอารมณ์ดีขึ้นมาทันที

เมื่อไม่กี่วันก่อน แม้ว่าเซียนกระบี่น้อยท่านนี้จะมีท่าทางเกรงอกเกรงใจ แต่นางก็ยังกลัวมากอยู่ดี มักรู้สึกว่าต่อให้ตนทำความผิดแค่เล็กน้อย แม้เขาจะไม่เอาไปฟ้องน้ากุ้ย แต่เขาต้องเห็นอยู่ในสายตาและจดจำอยู่ในใจอย่างแน่นอน ดังนั้นนางเลยรู้สึกกลัวเขา ตอนนั้นที่เขาสั่งนางไว้ว่าจะไม่พบเจอใคร นางจึงทำหน้าที่ขัดขวางแขกมากมายที่มาเยี่ยมเยียนอย่างเชื่อฟัง แข็งใจปฏิเสธเทพเซียนบนภูเขากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ไม่รู้ว่าโดนแขกกุ้ยถลึงตามองค้อนไปตั้งเท่าไหร่

เฉินผิงอันกินอาหารเช้าแล้วก็เริ่มฝึกหมัดอยู่ในลานบ้าน ฝึกเดินนิ่งหมัดเขย่าขุนเขาตลอดช่วงเช้า ตอนบ่ายฝึกกระบี่เพียงลำพัง ยังคงสมมติว่าในมือจับกระบี่ หลักๆ แล้วฝึกกระบวนท่าหิมะทลายที่ใช้โจมตี เพราะเฉินผิงอันรู้สึกกระบวนท่ากระบี่นี้สร้างความสบายอกสบายใจให้เขาอย่างมาก หลังจากที่เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ จิงเสินชี่ของเขาก็เริ่มถูกเก็บไว้ด้านใน ระหว่างที่เดินนิ่งหกก้าว มองดูเหมือนแผ่วเบาล่องลอยคล้ายนกเฟยหงที่ย่ำอยู่บนหิมะ แต่ทุกครั้งที่หยุดลงอย่างกระชั้นชิดด้วยหลักที่ค่อนข้างลี้ลับ พายุปณิธานหมัดจะพรั่งพรูออกไป รวดเร็วมากเป็นพิเศษ

เปลี่ยนมาฝึกกระบี่ เฉินผิงอันค้นพบว่าเส้นทางแห่งโชคชะตาของสองฝ่ายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทว่า ‘ความหมาย’ เล็กๆ น้อยๆ นั่นกลับร่วมทางกันได้ นี่ทำให้เฉินผิงอันยิ่งวางใจ เพราะเขาสังเกตเห็นว่าการขยันฝึกหมัดก็คือการฝึกตน อีกทั้งยังสามารถฝึกวิชาได้มากมาย ตอนนั้นที่หลี่ซีเซิ่งเขียนยันต์ลงบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วก็เคยพูดว่าการวาดยันต์ก็คือการฝึกตน อาเหลียงถูกคนต่อยด้วยหมัดเดียวร่วงกลับมายังโลกมนุษย์ ตอนอยู่บนเรือคุนก็เคยพูดว่าเมื่อฝึกหมัดจนถึงขีดสูงสุดก็คือการฝึกกระบี่

ถ้าเช่นนั้นขอบเขตสี่บนวิถีวรยุทธ์ก็จะเดินต่อไปเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นเฉินผิงอันยังรู้สึกเลือนรางเหมือนเหยียบลงบนความว่างเปล่า สับสนไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้กลับมั่นใจขึ้นมาเยอะมาก

ตอนกลางคืนเฉินผิงอันฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู

ตอนที่กินอาหารมื้อดึก กุ้ยฮูหยินไม่ได้ให้แม่นางกุ้ยฮวาคนนั้นออกหน้า แต่นางยกกล่องอาหารมาให้ตัวเอง

ดูเหมือนว่าน้ากุ้ยท่านนี้จะมีเรื่องกังวลใจมากมาย ไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากอย่างไร เฉินผิงอันจึงเป็นฝ่ายพูดก่อนว่า “น้ากุ้ย ครั้งนี้ข้าช่วยคุณชายน้อยฟ่านปกป้องเกาะกุ้ยฮวา ท่านช่วยส่งข่าวผ่านกระบี่บินไปให้เขาแทนข้า บอกว่าข้าชอบเรือนเล็กกุยม่ายแห่งนี้มาก ต่อไปที่แห่งนี้จะกลายเป็นของข้าแล้ว ได้หรือไม่? น้ากุ้ย ข้ารู้สึกว่าคุณชายน้อยฟ่านคงไม่ขี้งก แต่ผู้อาวุโสในตระกูลฟ่านน่าจะไม่ตอบตกลง ถึงเวลานั้นท่านช่วยพูดแทนข้าหน่อยได้ไหม?”

น้ากุ้ยเต็มไปด้วยความสงสัย มองประเมินเด็กหนุ่มอย่างตั้งใจ ดูสีหน้าของเขาแล้วเหมือนว่าจะไม่ได้ล้อเล่น ทันใดนั้นร้อยความคิดก็ประดังประเดกันเข้ามา นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากศาลบรรพชนของตระกูลฟ่านกล้าไม่ตอบตกลงล่ะก็ น้ากุ้ยจะลากคุณชายน้อยฟ่านไปประท้วงขอความเป็นธรรม หญิงปากร้ายคนหนึ่งโวยวายบนท้องถนน เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งลงไปดิ้นปัดๆ อยู่บนพื้น รับรองว่าสำเร็จแน่นอน”

น้ากุ้ยนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน มองเขาสวาปามอาหารแล้วรู้สึกตลก จึงปิดปากหัวเราะ “เกาะกุ้ยฮวายกเรือนเล็กแห่งหนึ่งให้กับแขกคนหนึ่งโดยเฉพาะ นี่คือเรื่องแปลกที่ในอดีตไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หลังกลับไปน้ากุ้ยจะร่างโฉนดที่ดิน ตามกฎของที่ว่าการต้องทำเป็นสองฉบับ พวกเราลงชื่อประทับเอาไว้ก่อน สังหารก่อนค่อยรายงานทีหลัง ถึงเวลานั้นให้คุณชายน้อยฟ่านเอาไปโยนทิ้งไว้ที่ศาลบรรพชน เสร็จแล้วก็รีบกลับมา ใครจะสนว่าตาแก่พวกนั้นจะเต็มใจหรือไม่”

เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “น้ากุ้ย โฉนดที่ดินคงไม่ต้องแล้ว ระหว่างข้ากับพวกท่านไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้”

น้ากุ้ยจ้องนิ่งไปที่ดวงตาของเด็กหนุ่ม “ไม่ต้องการจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันประสานสายตากับนาง ผงกศีรษะรับ “จริง”

สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที แล้วจู่ๆ ก็โอบเด็กหนุ่มเข้ามาไว้ในอ้อมกอด กุ้ยฮูหยินที่แม้จะหน้าตาธรรมดา แต่กลับมีบุคลิกท่วงท่าสง่างามผู้นี้พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม้ว่าจะอายุพอๆ กับคุณชายน้อยตระกูลฟ่าน ทว่าตอนที่แบกไม้พายล่องเรือกลับมีมาดของวีรบุรุษที่องอาจจริงๆ วันนี้ยังมาทำแบบนี้อีก…เฮ้อ ผู้หญิงทุกคนบนโลกจิตใจหวั่นไหวกันไปหมดแล้ว”

เฉินผิงอันยังถือตะเกียบ ตัวเอียงไปด้านข้าง คล้ายต้นหลิ่วโบราณริมแม่น้ำเถี่ยฝูที่คอเอียง เขาไม่ได้คิดอะไรมาก แค่รู้สึกว่ากุ้ยฮูหยินกำลังชมตน แต่ว่าชมที่ตรงไหน เฉินผิงอันไม่เข้าใจจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าใจของหญิงสาวจะหวั่นไหวหรือไม่นั้น หมายความว่าอย่างไร? หรือเป็นการเปรียบเปรยแบบที่บัณฑิตชอบใช้กัน? อีกอย่างวิธีการแสดงออกถึงความหวังดีฉันท์มิตรและความเมตตาฉันท์ผู้อาวุโสแบบนี้ของน้ากุ้ยก็ไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไหร่ ยังดีที่อายุของคนทั้งสองต่างกันเยอะมาก เชื่อว่าต่อให้คนนอกมาเห็นเข้าก็คงไม่คิดมาก

สตรีแต่งงานแล้วปล่อยมือจากเฉินผิงอัน ยิ้มอ่อนมองเด็กหนุ่มที่มีท่าทางน่ารัก เพราะถึงแม้หน้าไม่แดงใจไม่สั่น แต่ดวงตาของเขากลับฉายแววงงงัน น้ากุ้ยหรี่ตาลง สตรีที่แต่ไหนแต่ไรมาเรียบร้อยสำรวมกลับเผยสีหน้ามีเสน่ห์เย้ายวน นางเอ่ยสัพยอกว่า “อั๊ยหยา ที่แท้ก็ยังเป็นเด็กเหมือนคุณชายน้อยฟ่านนี่เอง”

ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาเอาแต่ก้มหน้ากินข้าว บางครั้งก็ดื่มเหล้า

น้ากุ้ยจากไปด้วยรอยยิ้ม

ผลคือเห็นผู้เฒ่าถือกาเหล้าที่กำลังยิ้มคลุมเครือยืนอยู่หน้าประตู ทั่วร่างของชายชราคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา เขาก้าวยาวๆ เข้าไปในลานบ้านจนกาเหล้าแกว่งไปด้วย ปากก็โหวกเหวกว่าจะดื่มสุราเพื่อความสำราญใจ กำจัดทุกข์หาความรื่นเริง ให้คางคกและกระต่ายล้วนหวั่นไหว ต้นกุ้ยส่ายเงา

กุ้ยฮูหยินยิ้มอย่างระอาใจ ไม่ถือสา เดินเยื้องย่างจากไปพร้อมเงาต้นกุ้ยที่ตามติดไปด้านหลัง

จู่ๆ ท่าทางเมามายของผู้เฒ่าพายเรือก็หายวับไป เขากล่าวอย่างจริงจังว่า “เฉินผิงอัน อยู่ดีๆ อาจารย์ข้าก็มาที่เกาะกุ้ยฮวา บอกว่าอยากจะพบเจ้า เพราะมีคำพูดจะบอกเจ้า เจ้าอยากพบเขาหรือไม่? ข้าแน่ใจได้แค่ว่าท่านอาจารย์ผู้อาวุโสไม่ใช่คนชั่วร้าย แต่ไหนแต่ไรมาก็มีจิตใจเมตตามาโดยตลอด แต่ขณะเดียวกันข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า คนที่ใจดีแบบนี้จะทำเรื่องเลวร้ายสักครั้งหนึ่งหรือไม่ การที่เขาไม่เต็มใจขึ้นภูเขามายังเรือนเล็กแห่งนี้…”

ผู้เฒ่ารู้สึกลำบากใจขึ้นมากะทันหัน “ตามหลักแล้ว ข้าที่เป็นลูกศิษย์ควรจะหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงนามของผู้สูงศักดิ์ เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ ช่างเถอะ ควรพูดให้เจ้าฟังนั่นแหละ อาจารย์ของข้าเขาเคยเป็นคนพายเรืออันดับหนึ่งของเกาะกุ้ยฮวา ไม่ว่าจะเป็นไม้พายตีมังกรหรือกระดาษที่พับเป็นรถม้าและหอสูงพวกนั้น ล้วนเป็นกฎเกณฑ์ที่สืบทอดมาจากเขา เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นอาจารย์ก็หายตัวไป แค่เคยปรากฏตัวครั้งหนึ่งเมื่อห้าร้อยปีก่อน และถือโอกาสรับข้าเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ มองออกว่า…ท่านอาจารย์ผู้อาวุโสค่อนข้างจะคิดถึงกุ้ยฮูหยิน น่าเสียดายก็แต่ไม่รู้ว่าเขาไปทำอีท่าไหนให้กุ้ยฮูหยินโมโห ถึงไม่อนุญาตให้อาจารย์เหยียบขึ้นมาบนเกาะกุ้ยฮวาอีกตลอดชีวิต”

ทันใดนั้นคนพายเรือเฒ่าก็เอ่ยว่า “ข้าเดาเอาว่าท่านอาจารย์คือคนพายเรือที่ได้รับการบันทึกในตำราของลัทธิเต๋า ออกทะเลครั้งหนึ่งก็ใช้เวลานานหลายร้อยปี คนพายเรือที่…เคยเล่าให้เจ้าฟัง ดังนั้นครั้งนี้เขามาหาเจ้า ข้าจึงแค่ช่วยมาแจ้งข่าวเท่านั้น จะไปหรือไม่ เจ้าเฉินผิงอันไตร่ตรองดูให้ดี”

เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้าตกลง “ไปสิ ลู่…”

ผู้เฒ่ารีบขมวดคิ้วขัดขวางคำพูดของเฉินผิงอัน กดเสียงต่ำพูดว่า “หากถูกใครเรียกขานนามซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามออกมาตรงๆ จิตของอริยะที่มีมรรคกถาสูงเทียมฟ้าจะรับสัมผัสได้ เจ้าลองคิดดู ขนาดพวกชาวบ้านร้านตลาดก็ยังถูกเตือนว่าห้ามเอ่ยถึงชื่อของผู้อาวุโสที่ล่วงลับไปแล้ว ข้อห้ามนี้เป็นเรื่องของมารยาทพิธีการเท่านั้นหรือ? ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้นหรอก”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งทีแล้วเดินลงภูเขาไปพร้อมกับคนพายเรือเฒ่า

ผู้เฒ่าเอ่ยหยอกล้อ “ไม่กลัวว่าข้าจะคิดร้ายกับเจ้าหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันแสร้งพูดเบาๆ ด้วยท่าทางลึกลับ “คนอื่นคิดร้ายกับข้าหรือไม่ ข้าก็สัมผัสได้เหมือนกัน ท่านผู้อาวุโส แบบนี้ก็เท่ากับว่าข้ามีศักยภาพแฝงที่จะเป็นอริยะใช่หรือไม่?”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ อันที่จริงอริยะกับผู้ฝึกลมปราณถือเป็นคนสองประเภท อยากจะเป็นอริยะ โดยเฉพาะอริยะของสามลัทธิในเมธีร้อยสำนัก ต่อให้จะเป็นแค่อริยะที่มีตบะขอบเขตสิบ แต่เกรงว่าเมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ ที่เลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบแล้วก็ยังทำได้ยากยิ่งกว่า

หลังจากลงเขาไปแล้ว ตอนที่ขยับไปใกล้ท่าเรือที่คุ้นเคย ทั้งเฉินผิงอันและคนพายเรือเฒ่าต่างก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลด้วย

กุ้ยฮูหยินยืนอยู่ตรงท่าเรือ อาภรณ์พลิ้วปลิวสะบัด โดดเด่นเหนือผู้คน ราวกับว่ากำลังขัดขวางการนำเรือลงจอดเทียบท่าของชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง

กุ้ยฮูหยินคือเจ้าของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างเกาะกุ้ยฮวาแห่งนี้ ย่อมต้องรับรู้ได้ถึงการขยับเข้ามาใกล้ของคนทั้งสอง นางไม่ต้องการเสียเวลากับคนผู้นั้นอีกต่อไป จึงพูดเสียงเฉียบอย่างดุดันกับชายวัยกลางคนหน้าตาซื่อสัตย์ที่อยู่บนเรือ “รีบไปซะ ถ้าจะคุยก็ไปคุยกันบนทะเล เจ้าอย่าหวังว่าจะได้เหยียบขึ้นมาบนเกาะกุ้ยฮวา! หาไม่แล้วข้าก็ขอสู้ตายกับเจ้า”

ชายวัยกลางคนที่รูปโฉมธรรมดาท่าทางหยาบกระด้างก็คือคนพายเรือที่พายผ่านใต้ฝ่าเท้าของผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่ว ซึ่งน่าจะเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนพายเรือเฒ่าที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอัน

เดิมทีชายฉกรรจ์มีนิสัยเหมือนน้ำเต้าตันที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน ทว่ากุ้ยฮูหยินที่ยืนอยู่ตรงท่าเรือผู้นี้คือจุดตายของเขา พอเห็นว่าสตรีแต่งงานแล้วไม่เห็นใจคนอื่น ถึงขั้นแสดงท่าทางดุร้ายใส่เขาเป็นครั้งแรก นี่ทำให้ชายผู้ซื่อสัตย์รู้สึกเหมือนฟ้าดินพังทลาย ชีวิตไร้ซึ่งรสชาติ เริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว เขาโยนไม้พายทิ้ง กระทืบเท้าติดๆ กัน ร้องคร่ำครวญว่า “ทำไมล่ะ ทำไมล่ะ! ก็ไม่ใช่เพราะครั้งนั้นหลังถูกเจ้าปฏิเสธ ได้รับความสะเทือนทางอารมณ์อย่างรุนแรงก็เลยดื่มเหล้าจนเมามาย พอเมาความกล้าก็เพิ่มพูน เลยแอบวิ่งไปกอดต้นกุ้ยแค่ไม่กี่ทีเท่านั้น ก็มันห้ามความรู้สึกไม่ได้ เป็นเรื่องที่ให้อภัยกันได้นี่นา…ข้าเป็นคนยังไง เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ขนาดอาจารย์ของข้ายังบอกว่าข้าเป็นคนซื่อสัตย์”

กุ้ยฮูหยินโมโหอย่างหนัก หัวเราะหยันพูดว่า “โอ้โห คำพูดคำจาช่างไร้ช่องโหว่ ใช้ความรู้สึกมาทำให้หวั่นไหวก่อน แล้วค่อยใช้เหตุผลมาประกอบ สุดท้ายยกเอาที่พึ่งของตัวเองออกมา ร้ายกาจยิ่งนัก คำพูดประโยคนี้ใครเป็นคนสอนเจ้า?”

กว่าจะปลุกความกล้าขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ชายฉกรรจ์จึงพูดหมดเปลือกอย่างอัดอั้น “เสี่ยวฉีของสำนักโองการเทพ…”

กุ้ยฮูหยินยื่นมือชี้หน้าตวาดด่าอย่างโกรธเคือง “เจ้าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง หัดมีความรับผิดชอบและคุณธรรมบ้างได้หรือไม่ ฉีเจินช่วยวางแผนให้เจ้า แต่เจ้ากลับเอาเขามาขายแบบนี้น่ะหรือ? จะลังเลสักนิดก็ไม่มี?! ไสหัวไป!”

ชายฉกรรจ์วัยกลางคนเหมือนโดนสวรรค์ลงทัณฑ์ ล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปในเรือลำเล็ก เหวี่ยงมือกระทืบเท้าเป็นพัลวัน ปากก็ตะโกนโหวกเหวกไปด้วย “จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง! ชีวิตจะยังมีความอะไร!”

ผู้เฒ่าพายเรือชะงักเท้า เป็นตายก็ไม่ยอมก้าวออกไป เขายกมือปิดหน้า ตีให้ตายก็ไม่ยอมมองภาพนี้ของอาจารย์ผู้อาวุโส อาจารย์ผู้มีพระคุณสติวิปลาสเช่นนี้ ช่างเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวงของลูกศิษย์จริงๆ

คนพายเรือเฒ่าพลันหมุนตัวกลับ “ไปเถอะๆ หากยังมองต่อไป จิตแห่งเต๋าที่ผุพังของข้า ก่อนหน้านี้โชคดีไม่ได้ถูกเจียวเฒ่าทำลายจนเละเทะ แต่จะกลับกลายเป็นว่าต้องมาพังเพราะอาจารย์ของตัวเอง”

ชายฉกรรจ์หันมาตะโกนใส่คนพายเรือเฒ่า “เจ้าถังน้ำน้อย พบอาจารย์แล้วไม่คิดจะทักทายกันสักคำเลยรึ?”

ผู้เฒ่าคนพายเรือที่ถูกเรียกฉายาตอนเด็กหยุดเดิน ร้องเฮ้อหนึ่งที เพียงแต่ว่าต่อให้หันหลังกลับไปก็ยังยืนกรานว่าจะไม่มองประสานสายตากับอาจารย์ เขาประสานมือคำนับด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ กล่าวประโยคหนึ่งว่า “อาจารย์อายุยืนหมื่นปี ลูกศิษย์ขอลาก่อน” พูดจบก็รีบวิ่งขึ้นเขาไป

ส่วนเฉินผิงอันเดินหน้าไปหยุดยืนอยู่ข้างกายกุ้ยฮูหยิน ทั้งสองฝ่ายผงกศีรษะทักทายกัน เฉินผิงอันทรุดตัวนั่งยองอยู่ตรงท่าเรือ มองไปยังชายฉกรรจ์ที่หันมองตนทีหนึ่ง หันมองกุ้ยฮูหยินทีหนึ่ง เฉินผิงอันรู้สึกขนลุกขนชันเล็กน้อย ในใจคิดว่าสายตาของชายฉกรรจ์ผู้นี้ผิดปกติ ทำไมถึงได้เหมือนสายตาของสตรีแต่งงานแล้วในตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาที่มองบุรุษของตัวเองและมองแม่ของกู้ช่าน? แต่แล้วเฉินผิงอันก็เริ่มกระจ่างแจ้ง คนที่มองดูเหมือนคนซื่อสัตย์จะมีจิตใจที่คับแคบเหมือนไส้ไก่ได้ยังไง? มิน่าเล่ากุ้ยฮูหยินถึงได้ไม่ชอบ

เฉินผิงอันถาม “มาหาข้ามีธุระอะไร?”

ชายฉกรรจ์วัยกลางคนจึงพูดประโยคที่เคยเอ่ยกับเซียนกระบี่จั่วโย่วก่อนหน้านี้ซ้ำอีกรอบ

ก่อนที่จะป่าวประกาศอย่างเป็นทางการ ชายฉกรรจ์กระทืบเท้าเบาๆ ไม้พายไม้ไผ่ดีดเด้งขึ้นมา ถูกเขากุมไว้ในฝ่ามือ ใช้มันเคาะลงบนพื้นเรือหนักๆ หนึ่งที ทันใดนั้นชายฉกรรจ์ก็ใช้วิชาอภินิหารล้ำเลิศสร้างฟ้าดินขนาดเล็กสองแห่งขึ้นมาชั่วคราว อันที่เล็กกว่าสร้างให้เขากับเฉินผิงอันอยู่ใกล้กันในระยะประชิด ส่วนอันที่ใหญ่กว่าเล็กน้อยครอบทับเกาะกุ้ยฮวาทั้งเกาะเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นนักพรตบางคนของภูเขาห้อยหัวหรืออริยะจากทักษินาตยทวีปก็ล้วนไม่อาจตรวจสอบมาพบที่แห่งนี้ได้

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกศิษย์ใหญ่ที่ได้รับการบันทึกชื่อของเจ้าลัทธิลู่เฉิน

ไม่ยินดีรับกระบี่จากเซียนกระบี่จั่วโย่ว เมื่ออยู่ต่อหน้ากุ้ยฮูหยินทำตัวไม่ต่างจากชายอันธพาลเสเพล ในบันทึกของใต้หล้าไพศาลถูกขนานนามว่าเป็นแค่คนพายเรือเท่านั้น แต่นั่นกลับไม่ได้หมายความว่าศักยภาพของคนผู้นี้ไม่แข็งแกร่ง มรรคกถาไม่สูงส่ง

กุ้ยฮูหยินรู้รากฐานของคนผู้นี้เลยไม่แปลกใจ ในฟ้าดินขนาดเล็กที่อยู่ข้างกาย เงาร่างของคนทั้งสองพร่าเลือน เสียงพูดคุยของทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งไม่เล็ดรอดมาแม้แต่เสี้ยวเดียว

เฉินผิงอันฟังจบก็พยักหน้ารับ “ตกลง”

ชายฉกรรจ์วัยกลางคนเอ่ยเนิบช้า “เจ้าไม่เต็มใจจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ข้ารึ? หากเจ้าตอบรับ ข้าจะขอบคุณเจ้า และถือว่าติดค้างบุญคุณเจ้าครั้งใหญ่เทียมฟ้า”

เฉินผิงอันมองชายวัยกลางคนผู้นี้แล้วถือโอกาสนั่งลงไปตรงริมท่าเทียบเรือ ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา แค่ดื่มเหล้าอย่างเดียวโดยที่ไม่ได้เอ่ยคำใด

มือข้างหนึ่งของชายฉกรรจ์ถือไม้พายค้ำยันพื้น แหงนหน้ามองท้องฟ้าสูงพลางพูดเบาๆ ว่า “อาจารย์ไม่เคยเห็นข้าเป็นลูกศิษย์ของเขา ในอดีตข้าเป็นแค่ข้ารับใช้ที่ช่วยพายเรือให้เขาเท่านั้น แม้ว่าทุกครั้งที่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาหลายคนที่มาท่องเที่ยวในฟ้าดินแห่งนี้จะต้องมาหาข้า แถมยังเต็มใจเรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ แต่ข้ารู้ดีว่าอาจารย์รังเกียจที่ข้าโง่เขลา ความสามาถต่ำต้อยและพรสวรรค์ไม่ดีมาโดยตลอด แค่คำว่ารัก ข้าก็ยังตัดใจละทิ้งไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงพยายามตามหาร่องรอยของอาจารย์อยู่บนทะเลมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน หมายจะเดินทางไปยังใต้หล้ามืดสลัวเพื่อกราบอาจารย์อย่างเป็นทางการ แต่อาจารย์ไม่เต็มใจอยากพบข้า แต่หากวันนี้เจ้าตกลงรับปากอาจารย์ ขอแค่อาจารย์อารมณ์ดีแล้ว จะต้องยอมพบหน้าข้าแน่นอน ข้าแน่ใจ”

เฉินผิงอันยิ้มตอบอย่างเกียจคร้าน “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ลูกศิษย์ที่อาจารย์ของเจ้าอยากรับตัวไว้ คือข้าในตอนนี้ ไม่ใช่ข้าหลังจากที่ได้กลายเป็นลูกศิษย์ของเขาแล้ว”

ชายฉกรรจ์ยื่นมือออกมาตบศีรษะของตัวเอง ยังคงคิดไม่ตก จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “เจ้าพูดจนข้าสับสนไปหมดแล้ว ทำไมพวกลูกศิษย์ที่อาจารย์ยอมรับอย่างพวกเจ้าถึงได้ชอบพูดจาประหลาดกันนักนะ ทำไมไม่พูดให้มันตรงไปตรงมา ต่อให้เป็นเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปก็ยังพูดจาสุภาพ เวลาด่าคนอื่นก็ยังซ่อนคำพูดไว้ท่ามกลางคำชม ข้าต้องใช้เวลาร้อยกว่าปีถึงจะทำความเข้าใจได้ เพิ่งจะรู้ว่าตอนนั้นเขาด่าว่าข้าปัญญาทึบ กุ้ยฮูหยินถึงได้ไม่ชอบ”

จากนั้นชายฉกรรจ์ก็ถอนหายใจ “คงต้องโทษข้าที่โง่เกินไป จะโทษคนอื่นว่าฉลาดเกินไปไม่ได้”

เฉินผิงอันหยุดดื่มเหล้า แล้วหัวเราะ “แล้วทำไมถึงไม่โทษโลกใบนี้ล่ะ?”

ชายฉกรรจ์ยืนอยู่บนเรือลำเล็ก เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนท่าเรือ

คนทั้งสองมองประสานสายตากันพอดี

ชายฉกรรจ์ยิ้มกว้าง

เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อพูด “ลูกศิษย์ของเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ เจ้าจะไม่สนใจหน่อยหรือ? ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาเคยไปถึงขอบเขตก่อกำเนิด ภายหลังถอยกลับมาที่โอสถทอง…”

ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าคืออาจารย์เขา ไม่ใช่บิดาของเขาซะหน่อย อายุตั้งห้าร้อยปีแล้ว ยังต้องให้ข้าคอยเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้อีกหรือไง?”

เฉินผิงอันวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง ยื่นนิ้วหนึ่งของมือซ้ายออกมากลางอากาศ จากนั้นก็ยื่นนิ้วของมือขวาออกมา ขยับห่างไปทางด้านขวา ระยะห่างระหว่างสองนิ้วคล้ายมีไม้บรรทัดที่มองไม่เห็นอยู่อันหนึ่ง “เหตุผลที่ข้าพูด อยู่ฝั่งนี้ เหตุผลที่เจ้าพูด อยู่ฝั่งนี้ ดูเหมือนว่าเราต่างก็มีเหตุผล แต่เหตุผลของเจ้ากลับไม่สามารถคัดค้านเหตุผลของข้าได้ รู้หรือไม่ว่าทำไม? เพราะเหตุผลของเจ้าไม่ควรขยับห่างไปไกลขนาดนี้ในคราวเดียว”

มือขวาเฉินผิงอันค่อยๆ ขยับมาทางฝั่งซ้ายมือ แตะตรงกลางหนึ่งที จากนั้นก็แตะซ้ายขวาอีกฝั่งละที ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากเหตุผลของเจ้าอยู่ใกล้กับตรงนี้ ยืนอยู่ที่นี่ บางทีอาจจะถือว่าเป็นเหตุผลที่แท้จริง อาจจะเบี่ยงไปทางซ้ายหรือทางขวานิดหน่อย แต่เมื่อเหตุผลอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว ควรจะชั่งน้ำหนักหนักเบาและความเล็กใหญ่ของเหตุผลอย่างไร? เจ้ารู้จักสำนักแห่งศาสตร์หรือเปล่า? ไม่ใช่ศาสตร์ของศาสตร์หยินหยาง แต่เป็นศาสตร์ของการคำนวณ บวกกับสำนักอาคม มีไม้บรรทัดขนาดเล็กสองอันนี้ก็จะยิ่งมีประโยชน์…”

ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างเฉยชา “เจ้าอย่าหวังว่าจะทำลายมหามรรคาของข้าได้!”

มือที่ถือไม้พายกระแทกลงบนพื้นเรือแรงๆ อีกหนึ่งครั้ง

เฉินผิงอันยิ้มกว้างสดใส

เพราะเขาถูกอีกแล้ว

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม ไม่แสร้งทำเป็นลึกลับซับซ้อนและปั้นน้ำเป็นตัวอีกต่อไป เมื่อคืนเขาฝันว่าอ่านหนังสือทั้งคืน ความรู้สึกนั้นลี้ลับซับซ้อนอย่างยิ่ง

ดูเหมือนจะรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกปั่นหัว ชายฉกรรจ์จึงมีท่าทางหงุดหงิดเล็กน้อย ยกมือเกาหัว แต่กลับไม่ได้ระบายโทสะใส่เฉินผิงอัน

เฉินผิงอันขยิบตา “กุ้ยฮูหยินมองอยู่นะ เจ้าปฏิบัติต่อลูกศิษย์ของตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร เจ้าคิดว่านางจะมองเจ้ายังไง? ใช่เหตุผลข้อนี้หรือไม่?”

ดูเหมือนหัวสมองของชายฉกรรจ์จะเปิดโล่งขึ้นมาในบัดดล ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหยิบตำราสีทองปึกหนึ่งที่เจาะรูแล้วถูกร้อยด้วยเชือกฟางอย่างง่ายๆ ออกมา “กว่าจะเก็บมาจากก้นทะเลได้ไม่ใช่เรื่องง่าย มอบให้ถังน้ำน้อย จำไว้ว่าต้องมอบให้เขาต่อหน้ากุ้ยฮูหยิน ทำได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ต้องได้แน่อยู่แล้ว! ให้ข้าช่วยพูดดีๆ แทนเจ้าก็ยังได้”

ชายฉกรรจ์คลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เจ้าเล่นงานข้าเมื่อครู่นี้ ข้าจะไม่จดลงบัญชีก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันรับตำราสีทองมาแล้วเก็บใส่ชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวังโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง จากนั้นชำเลืองมองสตรีแต่งงานแล้วที่ดูเหมือนอยู่ในระยะประชิด แต่กลับไม่ได้อยู่ในฟ้าดินเดียวกัน นางกำลังมองไปยังดวงจันทร์เหนือมหาสมุทรด้วยสีหน้าเลื่อนลอย เฉินผิงอันดึงสายตากลับ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจึงถามเสียงเบาว่า “เจ้ามีวัยวุฒิสูงขนาดนี้ อยู่มาก็ตั้งนานหลายปี เหตุใดถึงปักใจรักแค่กุ้ยฮูหยิน? อีกอย่างทั้งๆ ที่รู้ว่าอุปสรรคบนมหามรรคาของตนก็คือคำว่ารัก เจ้ากลับยินดีที่จะให้มันเกิดขึ้น?”

ชายฉกรรจ์ถูกแทงใจดำจึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย!”

เฉินผิงอันหิ้วกาเหล้าพลางก้าวเดินบนท่าเรือ เอ่ยถามว่า “พวกเราคุยกัน กุ้ยฮูหยินไม่ได้ยินใช่ไหม?”

ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ

แต่กระนั้นเฉินผิงอันก็ยังกดเสียงลงต่ำ “บุคลิกของกุ้ยฮูหยินดีเยี่ยม ทว่าหน้าตา…น่าจะไม่ถือว่า…โดดเด่นเท่าไหร่กระมัง? ไหนเจ้าลองเล่าเรื่องระหว่างพวกเจ้าให้ข้าฟังหน่อยสิ ตอนนั้นทำไมเจ้าถึงชอบนาง ทำไมนางถึงรังเกียจเจ้า เหตุใดทั้งๆ ที่ชอบคนคนหนึ่ง แต่กลับเดี๋ยวแยกเดี๋ยวอยู่ด้วยกัน เจ้าไปทำอีท่าไหนให้กุ้ยฮูหยินโมโห ข้าจะได้จดจำไว้เป็นบทเรียน…อ้อ ไม่ถูกสิ ข้าจะพูดว่า ข้าจะช่วยวางแผนให้เจ้าเอง! เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้ารู้จักผู้หญิงหลายคน เรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิง ข้าเข้าใจดีเลยล่ะ!”

ชายฉกรรจ์เหลือกตาใส่ “ชอบคนคนหนึ่ง หากสามารถยกเหตุผลมากมายมาพูดได้ จะยังเรียกว่าชอบได้ยังไง พูดคุยกับคนหยาบกระด้างอย่างเจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ ดวงตาสุนัขของถังน้ำน้อยคงมืดบอดถึงได้เต็มใจดื่มเหล้ากับเจ้า”

เฉินผิงอันแยกเขี้ยว

จู่ๆ ชายฉกรรจ์ก็ยกมือขึ้นทุบอกตัวเองอย่างแรง พูดขึงขังน่าเชื่อถือ “อีกอย่างนะ สำหรับในใจของข้าแล้วกุ้ยฮูหยินคือโฉมสะคราญงามล่มบ้านล่มเมือง ใต้หล้านี้ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็สู้นางไม่ได้ วันหน้าเจ้าจะพูดอะไรระวังปากหน่อย หากยังกล้าพูดถึงนางไม่ดี ข้าจะใช้ไม้พายตีให้เจ้าเป็นคนโง่ไปเลย!”

แล้วชายฉกรรจ์ก็หันมาถ่มน้ำลายใส่เฉินผิงอัน “สายตาอะไรอย่างนี้ ไม่รู้จักแยกแยะว่าไหนขี้เหร่ไหนงดงาม!”

คนพายเรือวัยกลางคนใช้ไม้พายหมุนหัวเรือแล้วพายเรือจากไปเพียงลำพัง พริบตาเดียวก็พุ่งไปไกลร้อยจั้งพันจั้ง

เฉินผิงอันตบอก ตะโกนเรียกน้ากุ้ยอย่างอารมณ์ดีครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ ข้าขอตำราลับเล่มหนึ่งมาจากอาจารย์ของท่านผู้อาวุโสได้”

เฉินผิงอันไม่ลืมพูดถึงชายฉกรรจ์คนนั้นดีๆ แถมยังพูดถึงสองประโยค “เป็นบุรุษที่ใจกว้างยิ่งนัก แค่ซื่อสัตย์โผงผางไปหน่อย”

กุ้ยฮูหยินพยักหน้ารับพร้อมยิ้มตาหยี “อืม แค่หน้าตาไม่ค่อยโดดเด่นสักเท่าไหร่”

เฉินผิงอันกลืนน้ำลาย หันไปมองหนึ่งคนหนึ่งเรือที่หายไปไม่เหลือเงาอย่างแข็งทื่อ ชายผู้นั้นไม่มีคุณธรรมเอาซะเลย…

กุ้ยฮูหยินตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้โกรธจริงจัง พูดเสียงอ่อนโยนว่า “มองอะไร ไปกันเถอะ”

คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันไปบนทางภูเขา กุ้ยฮูหยินถามชวนคุยว่า “ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนก็จะไปถึงที่หมายแล้ว เฉินผิงอัน เจ้ามีคนรู้จักอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวหรือไม่? หากไม่มี ถ้าคิดจะไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะค่อนข้างยุ่งยาก ชื่อเสียงตระกูลฟ่านและเกาะกุ้ยฮวาของพวกเราเอาไปใช้ที่นั่นไม่ค่อยได้ผล อีกอย่างเมื่ออยู่ที่ภูเขาห้อยหัว ต่อให้มีเงิน แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถจ่ายเงินจ้างผีโม่แป้งได้จริงๆ เพราะว่า…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ กุ้ยฮูหยินก็หยุดชะงักไปครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างจนใจว่า “เต๋าเหล่าเอ้อร์ผู้นั้นตั้งกฎเกณฑ์ที่แปลกประหลาดเอาไว้ ผ่านมาพันปีหมื่นปีก็ไม่เคยมีใครสามารถข้ามบ่อสายฟ้านั้นไปได้แม้แต่ครึ่งก้าว”

เฉินผิงอันไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ “ไม่เคยมีเลยหรือ? สักคนก็ไม่มี?”

กุ้ยฮูหยินถอนหายใจ “ในประวัติศาสตร์มีคนมากมายเคยทดลองทำมาก่อน แต่หลังจบเรื่องซากศพและจิตวิญญาณล้วนถูกเทียนจวินใหญ่ของลัทธิเต๋าบางคนโยนเข้าไปไว้ในบ่อสายฟ้าขนาดเล็กแห่งหนึ่งของภูเขาห้อยหัว ในบรรดาคนเหล่านั้นแทบทุกคนล้วนเป็นพวกมีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่หายากจนนับนิ้วได้ มีทั้งลูกหลานตระกูลผู้สูงศักดิ์ในเก้าทวีป ยอดฝีมือของเมธีร้อยสำนักและตระกูลเซียน…ไม่มีสักคนที่มีจุดจบที่ดี ใครก็เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของท่านผู้นั้นไม่ได้”

ดูท่าตอนที่ท่านผู้นั้นเผยกายธรรมสีทองที่ร่องน้ำเจียวหลง แต่ร่างจริงอยู่ไกลถึงภูเขาห้อยหัวคงร่ายใช้วิชาอภินิหารที่ตัดขาดฟ้าดินเหมือนกัน กุ้ยฮูหยินถึงได้ไม่เห็นเหตุการณ์จริงแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันอธิบายรูปลักษณ์ของคนผู้นั้นคร่าวๆ ด้วยความกังวลใจ กุ้ยฮูหยินมีสีหน้าตกตะลึง “เจ้ารู้จักเทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัวท่านนี้ได้อย่างไร?”

เฉินผิงอันได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน

และเวลานี้เอง สายรุ้งสีขาวเส้นหนึ่งแหวกผ่าท้องฟ้ายามค่ำคืนเข้ามา พุ่งผ่านกลางอากาศเหนือเกาะกุ้ยฮวาไป พร้อมกับทิ้งประโยคหนึ่งไว้ “ทุกคนบนเกาะกุ้ยฮวาที่เดินทางไปยังภูเขาห้อยหัวล้วนได้รับการยกเว้นค่าเดินทาง หากมีใครคิดจะผ่านภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน”

เฉินผิงอันพลันยกมือขึ้นกำเป็นหมัด หัวเราะอย่างเบิกบานใจ “เขาชนะแล้ว!”

หนึ่งเดือนต่อมา ผู้โดยสารของเกาะกุ้ยฮวาก็สามารถมองเห็นเค้าโครงร่างอันยิ่งใหญ่ของภูเขาห้อยหัวได้ไกลๆ

อีกทั้งทุกๆ ระยะทางช่วงหนึ่งซึ่งห่างกันไม่ไกลมากนักจะต้องมีเรือข้ามฟากรูปแบบต่างๆ เผยกายบนมหาสมุทรใหญ่

เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน ภูเขาห้อยหัวก็ยิ่งแสดงความยิ่งใหญ่ไพศาลให้เห็นเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อผ่านการอนุญาตจากกุ้ยฮูหยิน วันนี้ฟ้ายังไม่ทันสาง เฉินผิงอันก็แอบออกจากเรือนเล็กกุยม่าย สุดท้ายไปนั่งอยู่บนกิ่งสูงของต้นกุ้ยบนยอดเขา แกว่งขาสองข้าง พยายามแหงนหน้าเงยมองให้ได้มากที่สุด

ได้ยินมาว่า ภูเขาห้อยหัวคือด่านที่เชื่อมโยงใต้หล้าสองแห่ง

เขาเฉินผิงอันเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว อีกทั้งยังไม่ใช่ปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลที่บินได้ จึงได้แต่เดินไปทีละก้าว หรือไม่ก็โดยสารเรือข้ามฟาก

จากต้าหลีที่อยู่ทางเหนือสุดมาจนถึงนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปยังไกลขนาดนี้ หากเดินทางจากใต้หล้าหนึ่งไปอีกใต้หล้าหนึ่ง ฟังดูแล้วก็เหมือนจะยิ่งไกลอีกอักโข

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนกิ่งไม้สูง คลี่ยิ้มพลางออกหมัดอย่างไม่จริงจังนัก ร่างจึงเอนซ้ายเอียงขวาไปเรื่อยเปื่อย

ใต้ต้นไม้มีหญิงสาวคนหนึ่งที่ขึ้นมาบนยอดเขาตั้งแต่เช้าตรู่ นางถอนหายใจ พึมพำเบาๆ ว่า “ข้าก็ยังรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่โง่งมอยู่ดี”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!