Skip to content

Sword of Coming 270

บทที่ 270 ข้ามีเรื่องเล็กที่ใหญ่เท่าเครื่องตวงข้าว

ยืนอยู่ตรงปากท่าเรือตีนเขาเกาะกุ้ยฮวา เฉินผิงอันก้าวออกไปเบาๆ หนึ่งก้าวก็เหยียบลงบนภูเขาห้อยหัว

น้ากุ้ยได้บอกกับเฉินผิงอันก่อนแล้วว่าวินาทีที่เกาะกุ้ยฮวาจอดเทียบท่าก็คือช่วงเวลที่ยุ่งวุ่นวายมากที่สุดของเรือข้ามฟาก จะปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดกับสินค้าที่บรรทุกมาจากแจกันสมบัติทวีป กุรุทวีปและใบถงทวีปไม่ได้เด็ดขาด หาไม่แล้วชื่อเสียงโด่งดังของตระกูลฟ่านในนครมังกรเฒ่าก็จะเสียหายย่อยยับ ดังนั้นนาง คนพายเรือเฒ่าและหม่าจื้อสามคนจึงจำเป็นต้องจับตามองการส่งมอบสินค้าทุกชิ้นกับตาของตัวเอง ไม่สามารถพาเขาไปที่โรงเตี๊ยมในภูเขาห้อยหัวได้ เดิมทีน้ากุ้ยคิดจะให้จินซู่พาเฉินผิงอันไปเข้าพักยังโรงเตี๊ยมที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเกาะกุ้ยฮวา แต่เฉินผิงอันกลับปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม เป็นเหตุให้จินซู่ไม่พอใจอยู่ในใจนิดๆ ภูเขาห้อยหัวแห่งนี้มีความมหัศจรรย์อยู่เต็มไปหมด ต่อให้เป็นคนที่มีประสบการณ์การท่องเที่ยวมามากแค่ไหนก็ยังอดรู้สึกแปลกใหม่ไม่ได้

ผลกลับกลายเป็นว่าแม่นางกุ้ยฮวาที่กำลังอัดอั้นตันใจเห็นเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ยิ้มกว้างให้ตน คล้ายมองแผนการเล็กๆ ของนางออก จินซู่ถลึงตาใส่อย่างดุดัน เด็กหนุ่มโบกมือบอกลาเทพเซียนทั้งสามท่านอย่างกุ้ยฮูหยิน คนพายเรือผู้เฒ่า แล้วหมุนตัววิ่งเร็วๆ ไปยังท่าเรือคล้ายไม่กล้าประสานสายตากับจินซู่ มองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่หนีห่างไปไกล จินซู่หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่

เฉินผิงอันที่เดินเบียดเสียดอยู่ท่ามกลางกระแสผู้คนสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง

ในที่สุดก็มาถึงแล้ว

การเดินทางผ่านภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่ว่าสามารถทำได้ตลอดเวลา นอกจากป้ายผ่านด่านที่เป็นแผ่นไม้สีเขียวซึ่งใช้ในการเข้าไปยังภูเขาห้อยหัวแล้ว ยังจำเป็นต้องผ่านด่านร้อยกว่าคนของเกาะกุ้ยฮวาเพื่อรับป้ายหยกมาอีกหนึ่งแผ่น ขณะเดียวกันก็จะได้รับการแจ้งเตือนว่ายามจื่อ (23.00-01.00) ของอีกสามวันให้หลังพวกเขาจะผ่านด่าน หนึ่งก้านธูปต่อมาก็จะถึงกลุ่มต่อไป หากใครเลยเวลาก็จะไม่รอ

เฉินผิงอันเดินลงจากเรือ ตรงเอวห้อยป้ายที่สลักอักษรคำว่า ‘หยา’ (涯 ขอบ/ฝั่ง เช่นขอบหน้าผา) ไว้แค่คำเดียว กุ้ยฮูหยินบอกกับเขาว่าทัศนียภาพแห่งต่างๆ บนภูเขาห้อยหัวมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ร้านรวงตั้งเรียงราย ฉวยโอกาสมีเวลาว่างสามวันนี้เดินดูให้มากหน่อย หากเจอสิ่งของหรือสมบัติอาคมที่ถูกใจ ในมือมีเงินไม่พอสามารถขอยืมจากเถ้าแก่โรงเตี๊ยมได้ หากต่ำกว่าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช เถ้าแก่โรงเตี๊ยมสามารถตอบรับ อีกทั้งจะบันทึกลงในบัญชีของเกาะกุ้ยฮวาตามกฎดั้งเดิม

ท่าเรือที่อยู่ริมหน้าผาแห่งนี้มีชื่อว่าท่าเรือจัวฟ่าง (จับและปล่อย) บริเวณใกล้กับท่าเทียบเรือมีศาลาโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอยู่หลังหนึ่ง แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘ศาลาจัวฟ่าง’ เอาไว้ เขียนขึ้นด้วยลายมือของอดีตเจ้าลัทธิเต๋าสายหนึ่ง

บนภูเขาห้อยหัวมีสิ่งปลูกสร้างอยู่เก้าแห่ง ถือเป็นของลัทธิเต๋าที่อยู่ในฟ้าดินแห่งนี้ ที่ดินของหอเรือนสูงและร้านค้าแห่งอื่นๆ ล้วนถูกขายให้กับแขกจากแปดทิศนานแล้ว แปดแห่งที่ได้แก่ศาลาจัวฟ่าง หอจิ้งเจี้ยน หอซ่างเซียง หอเหลยเจ๋อ เรือนหลิงจือ โถงฝ่าอิ้น ห้องซือเตา หน้าผาหมีลู่ ต่างก็ตั้งตระหง่านอยู่ในแปดทิศทางของภูเขาห้อยหัว บวกกับยอดเขาเดียวดายตรงใจกลางจึงรวมเป็นพื้นที่ทั้งหมดเก้าแห่ง

เมื่อเปรียบเทียบกับภูเขาห้อยหัวที่กินรัศมีร้อยลี้กว่า ระบบเต๋าสายนี้ของลูกศิษย์เต๋าเหล่าเอ้อร์ ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็กใหญ่ของพื้นที่ หรือจำนวนศิษย์ลูกศิษย์หลาน เมื่อมาอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวก็ไม่ถือว่าเกินจริงเลยสักนิด

“คุณชายเฉิน คุณชายเฉิน”

มีคนร้องตะโกนเรียกเฉินผิงอันจากด้านหลังด้วยน้ำเสียงร้อนใจ เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง คือเด็กหนุ่มชุดเขียวที่แนะนำตัวว่าชื่อหลิวโยวโจว ฝ่ายหลังวิ่งเหยาะๆ มาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้วพูดรัวราวกับเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ ถามคำถามติดๆ กัน “คุณชายเฉิน เจ้าพักอยู่ที่ไหนในภูเขาห้อยหัว? มีสถานที่ที่นัดหมายไว้แล้วหรือไม่? หากไม่มีไปกับข้าไหม? ตระกูลข้ามีบ้านพักอยู่ที่นี่แห่งหนึ่ง อยู่ติดกับสถานที่ที่เรียกว่าหอจิ้งเจี้ยน ว่ากันว่าบ้านพักหลังนั้นใหญ่มาก ข้าอยากขอบคุณเจ้ามาโดยตลอด เจ้ามอบโอกาสให้ข้าหน่อยดีไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องหรอก ทางเกาะกุ้ยฮวาจัดการไว้ให้ข้าเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปพักที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย”

เด็กหนุ่มที่มาจากธวัลทวีปผู้นั้นมีสีหน้าผิดหวัง แต่ก็ยังไม่ยอมถอดใจง่ายๆ “แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าขอไปเล่นกับเจ้าบ้างได้ไหม? ข้าเพิ่งมาภูเขาห้อยหัวเป็นครั้งแรก อยากจะเที่ยวเล่นให้สำราญสักหน่อย พวกเราไปเที่ยวด้วยกัน?”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึง

หญิงชรากล่าวอย่างจนใจ “คุณชาย รู้จักกันเพียงผิวเผินท่านก็กระตือรือร้นถึงเพียงนี้ มันไม่สมเหตุสมผลเลย อย่าว่าแต่คุณชายเฉินที่ไม่กล้าตอบรับเลย ต่อให้เปลี่ยนมาเป็นข้า ข้าก็ไม่มีทางตอบรับ”

เฉินผิงอันยิ้มให้โดยที่ไม่เอ่ยอะไร

เด็กหนุ่มคนนั้นสีหน้าหม่นหมอง “ก็ได้ คุณชายเฉิน ข้าพักอยู่ที่จวนหยวนโหรว หากเจ้าว่าง ไม่มีอะไรทำก็มาหาข้าได้ บอกว่ามาหาหลิวโยวโจว เป็นเพื่อนของข้า”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา”

เฉินผิงอันกับหลิวโยวโจว รวมถึงหญิงชราต่างก็หันหน้าไปพร้อมกัน พบว่ามี ‘หญิงสาว’ หน้าตางดงามชวนให้คนใจสั่นไหวคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้กับพวกเขาสามคน ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

บนใบหน้าเหี่ยวย่นของหญิงชราเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนต้นไม้แห้งเหี่ยวที่เจอกับฤดูใบไม้ผลิ นางเอ่ยถามอย่างเป็นมิตรว่า “เซียนซือน้อยท่านนี้ มีอะไรที่ลำบากใจหรือไม่?”

แต่เขาไม่สนใจหญิงชรา เอาแต่จ้องมองเฉินผิงอัน ร้องทักหนึ่งทีก่อนพูดว่า “ข้าขอยืมเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญได้หรือไม่? เดี๋ยวคราวหน้าข้าจะคืนให้เจ้าสามเหรียญห้าเหรียญ”

เฉินผิงอันส่งเหรียญเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญไปให้เขา คนผู้นั้นรับมาแล้วจากไปด้วยรอยยิ้ม

เด็กหนุ่มหลิวโยวโจวถามเบาๆ “คุณชายเฉิน เพื่อนเจ้าหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่รู้จักหรอก”

หลิวโยวโจวกล่าวอย่างตกตะลึง “แล้วเจ้าก็ยังให้คนเขายืมเงิน? เจ้ารู้หรือไม่ว่าสตรีงดงามในใต้หล้านี้ล้วนหลอกลวงคนเก่งมากที่สุด คุณชายเฉิน ข้าขอปากมากสักคำ เงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญ ต่อให้น้อยแค่ไหน แต่เจ้าก็ไม่ควรท่องอยู่ในยุทธภพด้วยวิธีการเช่นนี้หรอกนะ”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง บอกลาแล้วจากไป

หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชยังบอกว่าน้อยอีกหรือ? แถมยังพูดว่าสตรีที่งดงาม?

หญิงชราหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “นายน้อย ท่านมองไม่ออกหรือว่าแม่นางหน้าตาสวยคนนั้น แท้จริงแล้วคือบุรุษคนหนึ่งน่ะ?”

หลิวโยวโจวอึ้งงันเป็นไก่ไม้ พูดเบาๆ ว่า “เมื่อครู่นี้ข้าแค่แอบชำเลืองตามองใบหน้าและหุ่นของแม่นางคนนั้น ไม่กล้ามองมาก”

หญิงชราได้แต่แย้งไปว่า “คุณชาย เขาไม่ใช่แม่นาง”

หลิวโยวโจวโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ก้าวยาวๆ เดินไปข้างหน้า “หน้าตาดีขนาดนั้น ข้าจะถือว่าเขาเป็นแม่นางก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนไปที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย แต่ติดตามกระแสฝูงชนเดินไปยังศาลาจัวฟ่างที่อยู่ใกล้เคียง

รอจนเฉินผิงอันขยับเข้าไปใกล้ศาลาหลังเล็กที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คน เขาก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่าศาลาแห่งนี้จะไม่สมกับชื่อ ตัวศาลาเล็กมาก เทียบกับศาลาภูเขาและแม่น้ำที่บ้านอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งของแคว้นไฉ่อียังไม่ได้ด้วยซ้ำ ด้านนอกและด้านในศาลามีคนยืนอออยู่ไม่น้อยกว่าร้อยคน เฉินผิงอันเขย่งปลายเท้าพยายามมองเข้าไปในศาลาเล็กซึ่งเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าสนด้ายกับเข็มแล้วคิดว่าจะไปที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยโดยตรง

เฉินผิงอันเพิ่งจะเตรียมขยับตัวเดินจากไป ด้านหลังก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าอ่อนหวานของเขา “ไม่เข้าไปหยุดพักในศาลาสักครู่รึ?”

เขายืนเคียงไหล่กับเฉินผิงอัน เฉินผิงอันหันไปยิ้มให้ “เบียดเสียดกันเกินไป ไม่กล้าไป กลัวว่าจะออกมาไม่ได้”

เขาชี้ไปยังสตรีสามคนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลข้างหน้าซึ่งดูเหมือนว่าพวกนางกำลังลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ แล้วยิ้มบางๆ พูดว่า “เจ้าแค่ตามข้ามาก็พอ ถือซะว่าเป็นดอกเบี้ยของเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญที่ข้าใช้คืนให้เจ้าก่อน”

เฉินผิงอันมึนงงไปหมด

เขาชี้ไปที่ลูกกระเดือกของตัวเองแล้วคลี่ยิ้มประหลาด เฉินผิงอันจึงถามหยั่งเชิงว่า “เวทอำพรางตา?”

“เอากาเหล้าของเจ้ามาให้ข้ายืมก่อน วางใจเถอะ น้ำเต้าผุๆ ใบนี้ยังไม่เข้าตาข้าหรอก น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนั้นของข้าถือเป็นบรรพบุรุษของพวกเจ้าได้เลย แค่ไม่กล้าเอาออกมาก็เท่านั้น” เขาผงกศีรษะให้เฉินผิงอันเล็กน้อย ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ดึงเอาเจียงหูที่อยู่ตรงเอวของเฉินผิงอันออกไป เดินเร็วๆ ไปหาสตรีสาวสามคนที่หน้าตาอยู่ในระดับดีเยี่ยมพลางเงยหน้าดื่มเหล้าไปด้วย เป็นเหตุให้ความงดงามล่มบ้านล่มเมืองของสตรีปรากฏขึ้นบนร่างของเขาพร้อมๆ กับกลิ่นอายห้าวหาญแกล้วกล้าของบุรุษ

จากนั้นครู่หนึ่งต่อมาคนผู้นั้นก็ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มบุปผา เขากวักมือให้เฉินผิงอัน เฉินผิงอันจึงได้แต่เดินไปหา คนผู้นั้นอธิบายด้วยภาษาที่เฉินผิงอันฟังไม่เข้าใจหนึ่งคำรบ แล้วค่อยใช้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปมาอธิบายให้เฉินผิงอันฟังอีกที ที่แท้สตรีทั้งสามคนคือลูกศิษย์ของสำนักในนาตยทวีป จับกลุ่มกันมาหาประสบการณ์ต่างถิ่น จำเป็นต้องสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตประตูมังกรในทะเลตัวหนึ่งจึงจะถือว่าฝึกประสบการณ์สำเร็จ จุดหมายปลายทางก็คือภูเขาห้อยหัวแห่งนี้ หลังจากนี้จะต้องเดินทางกลับสำนักที่ทักษินาตยทวีป

จากนั้นเขาก็คล้องแขนเฉินผิงอันโดยที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธแล้วลากเขาบุกไปยังศาลาจัวฟ่างพร้อมกับเทพธิดาทั้งสามท่านจากนาตยทวีป

สำหรับศาลาจัวฟ่างแห่งนี้ ระบบสืบทอดดั้งเดิมของลัทธิเต๋าในใต้หล้ามืดสลัวเล่าลือกันว่า หลังจากลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋า ‘ผู้ไร้เทียมทานตัวจริง’ ที่เป็นหนึ่งในสามเจ้าลัทธิทิ้งตราประทับอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดแห่งนี้ไว้ ก็ได้เดินทางมาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง ตอนนั้นมีปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองขั้นสูงสุดตนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใดข้ามผ่านตราผนึกมากมายของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาถึงภูเขาห้อยหัวอย่างเงียบเชียบ ผลคือคนแรกที่เขาได้พบหน้าก็คือเจ้าลัทธิท่านนั้น ตอนนั้นแถบภูเขาห้อยหัวคือสถานที่รกร้างเปล่าเปลี่ยวที่แม้แต่นกก็ยังไม่มาขี้ เดิมทีปีศาจใหญ่นึกว่าจะเป็นดั่งนกที่โบยบินสู่ฟ้าสูงจากที่แห่งนี้ได้อย่างอิสระเสรี เมื่อเจอกับนักพรตคนนั้น แน่นอนว่าย่อมพูดจาไม่เกรงกลัว บอกว่าจะกินเขาลงไปในคำเดียว ส่วนผลลัพธ์นั้น ไม่จำเป็นต้องคาดเดา ถูกเจ้าลัทธิเต๋าผู้นั้นตบด้วยหนึ่งฝ่ามืออาการร่อแร่ใกล้ตาย เพียงแต่ว่าสุดท้ายไม่รู้เรื่องวงในเป็นอย่างไร นักพรตเฒ่าที่ถูกขนานนามว่าต่อสู้ได้เก่งกาจที่สุดในใต้หล้าทั้งสี่แห่งถึงโยนปีศาจใหญ่ตนนั้นกลับไปยังทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่

ภายหลังนักพรตเต๋าก็สร้างศาลาแห่งนี้ขึ้นมาในภูเขาห้อยหัวเพื่อแสดงให้เห็นถึงเวทคาถาเลิศล้ำค้ำฟ้าของเจ้าลัทธิท่านนั้น

การเดินทางไปยังศาลาจัวฟ่างครั้งนี้ เฉินผิงอันเหนื่อยจนเหงื่อไหลมาตามกระดูกสันหลัง เพราะเทพธิดาทั้งสามคน รวมไปถึงเจ้าคนที่โฉมหน้างดงามเหนือไปกว่าพวกนางหนึ่งระดับผู้นั้นต่างก็เดินเบียดเสียดไหล่กับผู้คนที่อยู่ทั้งในและนอกศาลา บางคนก็ชนโดยไม่ได้ตั้งใจ บางคนกลับมีใจอยากจะแต๊ะอั๋ง เฉินผิงอันจึงได้แต่พยายามปกป้องพวกนางให้ได้มากที่สุด แถมยังต้องป้องกันตัวเองไม่ให้ล่วงเกินพวกนางด้วย คอยระมัดระวังในทุกฝีก้าว แน่นอนว่าสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจอย่างมาก ยังดีที่กฎข้อแรกของภูเขาห้อยหัวคือผู้ที่ทำร้ายคนอื่นมีโทษตาย ดังนั้นเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่จึงถือว่าทำหน้าที่ได้สำเร็จลุล่วง

หลังเดินออกมาจากศาลาจัวฟ่างได้สำเร็จแล้ว เฉินผิงอันสองคนก็แยกทางกับเทพธิดาทั้งสามคนนั้น พวกนางยังต้องการไปยังหน้าผาหมีลู่ซึ่งเป็นทัศนียภาพอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด

เฉินผิงอันรับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กลับมาผูกไว้ที่เอว กล่าวอย่างระอาใจว่า “วันหน้าอย่าได้ทำเรื่องแบบนี้อีก”

เขากลอกตาค้อนใส่เฉินผิงอัน “น่าเบื่อ ข้าไปเที่ยวเล่นกับพวกพี่สาวเทพธิดาดีกว่า”

เฉินผิงอันรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก ครั้นจึงบอกลาจากไป

คนผู้นั้นชำเลืองตามองแผ่นหลังของเฉินผิงอันที่ห่างไปไกลพลางพึมพำกับตัวเอง “เป็นคนเอาจริงเอาจังเกินไปแล้ว แถมยังไม่เสแสร้งแกล้งทำด้วย หรือว่าเป็นนักปราชญ์น้อยของสำนักใด?”

บุรุษหล่อเหลาที่อยู่ด้านข้างพูดชวนคุย “คุณหนูท่านนี้ มาชมวิวคนเดียวล่ะสิ?”

เขาหัวเราะหึหึ “ล่ะสิกับปู่ทวดเจ้าเถอะ รู้ไหมว่าข้าผู้อาวุโสเคยเข้าหอโคมเขียวกับมารดาเจ้ามาแล้ว”

บุรุษท่าทางองอาจผู้นั้นรีบโบกมือห้ามไม่ให้ข้ารับใช้ข้างกายลงมือบุ่มบ่าม สุดท้ายคลี่ยิ้มสดใส ยกนิ้วโป้งให้ “นิสัยแบบนี้ของแม่นาง ข้าชอบนักล่ะ”

เขาไปจากศาลาจัวฟ่างทันที ระหว่างทางยังลังเลว่าควรจะไปที่หอจิ้งเจี้ยนหรือหอซ่างเซียงก่อนดี

บุรุษมองตามหญิงงามที่รัดสายเข็มขัดหลากสีไป ทอดถอนใจกล่าวว่า “มีเพียงบนภูเขาเท่านั้นถึงจะมีสตรีที่งามเพริศพริ้งได้ถึงเพียงนี้ การฝึกตนช่างดีจริงๆ สตรีล่างภูเขาที่ต่อให้เปลือกนอกจะโดดเด่นมากแค่ไหนก็มีช่วงเวลาที่น่าประทับใจคนสั้นๆ แค่สิบยี่สิบปีเท่านั้น”

ข้ารับใช้ข้างกายคนหนึ่งใช้ภาษาทางการของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “ฝ่าบาท ควรเสด็จไปที่หอเหลยเจ๋อได้แล้วพะยะค่ะ อย่าให้ท่านราชครูต้องรอนาน”

บุรุษอืมรับหนึ่งทีแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “รีบไป”

จะเป็นบุรุษที่ถูกเรียกว่าฝ่าบาทก็ดีหรือข้ารับใช้ก็ช่าง ดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีใครรู้สึกว่าการที่กษัตริย์องค์หนึ่งให้ราชครูคนหนึ่งรอคอยเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

คนทั้งกลุ่มจึงเดินทางไปยังหอเหลยเจ๋ออย่างรีบเร่ง

หอเหลยเจ๋อ (บ่อสายฟ้า) คือหอสูงที่มีบันไดเก้าสิบเก้าขั้น ลักษณะคล้ายถ้วยกานลู่ (อุปกรณ์ของลัทธิเต๋า เอาไว้ใช้ใส่น้ำมนต์) ขนาดใหญ่ยักษ์ใบหนึ่ง ด้านในมีสายฟ้าที่มีลักษณะเป็นของเหลวข้นหนืด

เล่าลือกันว่าเต๋าเหล่าเอ้อร์ร่ายเวทอภินิหารไร้เทียมทาน ‘วักน้ำหนึ่งกอบมือ’ จากบ่อสายฟ้าโบราณที่ไม่รู้อยู่ที่ใด ปัจจุบันมีแค่บันทึกไว้เป็นตัวอักษรเท่านั้นมาไว้ที่ภูเขาห้อยหัว ทุกครั้งที่เทียนจวินใหญ่หนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาสังหารเทพเซียนหรือภูตผีที่ไม่เคารพกฎได้ ก็ล้วนเอาวิญญาณของพวกเขามากักขังไว้ที่นี่

และในปัจจุบันนี้หอเหลยเจ๋อก็ถูกปิดตาย ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้

เวลานี้มีเพียงคนผู้หนึ่งที่เรือนกายสูงใหญ่ งอเข่ากึ่งคุกเข่าอยู่ข้างบ่อสายฟ้าตรงตำแหน่งที่สูงที่สุด ข้อศอกเท้าหัวเข่า วางคางบนแขน กระบี่ยาวไร้ฝักเล่มหนึ่งลอยอยู่กลางบ่อสายฟ้า เผยให้เห็นแค่ท่อนเล็กๆ หลังจากที่กระบี่ยาวผลุบหายเข้าไปข้างใน ทั้งบ่อสายฟ้าก็เดือดพล่านเหมือนน้ำต้มสุก

คนผู้นี้น่าจะกำลังหลอมกระบี่ที่พกติดกายอยู่

นักพรตเฒ่าคนหนึ่งที่ในมือถือแส้ปัดฝุ่นยืนอยู่ตรงด้านล่างของหอสูง ใบหน้าคลี่ยิ้มอ่อนโยนดั่งรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เห็นภาพนี้

ผู้เฒ่าคือบุคคลลำดับที่สามของภูเขาห้อยหัว ถูกเผ่าพันธุ์เจียวหลงทุกตัวของทะเลใต้มองเป็นศัตรู ระยะเวลาพันปี เขาสังหารเจียวหลงไปนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังนำพวกมันมาสร้างเป็นแส้ปัดฝุ่นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนี้ ห้าร้อยปีที่ผ่านมา ผู้เฒ่าเคยประมือกับอริยะลัทธิขงจื๊อสกุลเฉินสองคนของนาตยทวีปที่ทะเลใต้ ชื่อเสียงจึงขจรไกล

ทว่าตอนนี้ต่อให้ในสายตาของคนนอกเขาจะดูเหมือนพ่อบ้านที่คอยดูแลบ้านเรือนให้คนอื่น นักพรตเฒ่าก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกลดคุณค่าลง กลับกันคือสีหน้าของเขายังค่อนข้างจะภาคภูมิใจด้วยซ้ำ

เฉินผิงอันเจอเรื่องน่ากระอักกระอ่วนใจเรื่องหนึ่ง ที่แท้ที่ภูเขาห้อยหัว ในคนสิบคนกลับไม่มีสักคนที่ฟังภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปเข้าใจ ส่วนเฉินผิงอันก็พูดภาษาทางการของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่ได้ ดังนั้นเฉินผิงอันที่ถามทางกับคนมีน้ำใจที่ถูกถามทางจึงคุยกันไม่รู้เรื่องเหมือนเป็ดคุยกับไก่ สุดท้ายเฉินผิงอันจึงได้แต่แข็งใจไล่สอบถามคนสามสิบกว่าคนไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในที่สุดก็ถามไปจนเจอกับคนกลุ่มหนึ่งที่พอจะเข้าใจภาษาของแจกันสมบัติทวีป ผลคือพวกเขาไม่รู้ว่าโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยอยู่ตรงไหน

เฉินผิงอันยืนอยู่บนถนนที่ผู้คนแออัดสัญจรขวักไขว่ มองไปรอบด้านด้วยความมึนงง ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา ได้แต่ยืนดื่มเหล้าดับทุกข์อยู่ที่เดิม

หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องย้อนกลับทางเดิมไปที่ท่าเรือจัวฟ่าง ไปขอตัวจินซู่มาจากกุ้ยฮูหยิน ขอให้แม่นางกุ้ยฮวาช่วยนำทาง ส่วนข้อที่ว่าจะถูกจินซู่ที่ ‘มีแค้นใหญ่ต้องชำระ’ พูดจาเสียดสีเยาะเย้ยหรือไม่นั้น เฉินผิงอันยังไงก็ได้ จะยังมีศักดิ์ศรีหน้าตาเหลืออีกหรือไม่ หากเป็นคนสนิทกันก็ยังพอว่า แต่คนที่พบกันอย่างผิวเผินเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ อย่างจินซู่นี้ ชีวิตนี้จะได้พบกันสักกี่ครั้ง? ดังนั้นหากจะให้เขาทำหน้าหนาสักหน่อยก็ไม่เป็นปัญหา

หลิ่วมืดบุปผาสว่างเดี๋ยวก็ผ่านไปอีกหมู่บ้าน

เฉินผิงอันเจอคนผ่านทางที่รู้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปอีกคน แม้ว่าฝ่ายหลังจะไม่รู้สถานที่ตั้งของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย แต่กลับรู้จักหอจิ้งเจี้ยนและจวนหยวนโหรว อีกทั้งตอนที่พูดถึงสถานที่สองแห่งนี้ เฉินผิงอันถามว่า ‘ท่านรู้หรือไม่ว่าหอจิ้งเจี้ยนอยู่ที่ใด’ คำตอบของคนผู้นั้นกลับเป็นว่า ‘อ้อ เจ้าหมายถึงหอจิ้งเจี้ยนที่อยู่ข้างจวนหยวนโหรวน่ะหรือ ไปง่าย ห่างจากที่นี่ไม่ไกลเท่าไหร่’

เด็กหนุ่มหลิวโยวโจวจากธวัลทวีป ไม่ธรรมดา

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงหันตัวกลับตรงไปที่ท่าเรือจัวฟ่างทันที คนผ่านทางผู้นั้นมองแผ่นหลังเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง หากสามารถอาศัยโอกาสนี้มาสร้างความสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ กับจวนหยวนโหรว ต่อให้ได้แค่เสนอหน้าไปให้เห็นก็ยังดี

ถึงท้ายที่สุดจินซู่ก็เดินลงจากเรือด้วยความเบิกบาน พาเฉินผิงอันที่ ‘หน้าตาหม่นหมอง’ ไปยังโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย ก่อนที่นางจะลงจากภูเขา กุ้ยฮูหยินให้เงินร้อนน้อยนางสามเหรียญ บอกให้นางใช้เงินประหยัดหน่อย หลังเดินลงจากท่าเรือแล้ว จินซู่ถามเฉินผิงอันว่าจะไปที่ศาลาจัวฟ่างหรือไม่ เฉินผิงอันบอกว่าเขาไปมาแล้ว จินซู่พยักหน้ารับ บอกว่าศาลาจัวฟ่างไม่มีความสดใหม่มากที่สุด อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับความน่าสนใจของทัศนียภาพแห่งอื่นๆ ได้ติด ยกตัวอย่างเช่นเรือนหลิงจือ หน้าผาหมีลู่ โดยเฉพาะหอจิ้งเจี้ยนที่จำเป็นต้องไป ถึงจะไม่ถือว่ามาที่นี่เสียเที่ยว

คนทั้งสองเดินกันไปได้ประมาณเกือบครึ่งชั่วยาม ตลอดทางจินซู่ช่วยอธิบายถึงสถานการณ์คร่าวๆ ของสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในภูเขาห้อยหัวซึ่งได้รวมถึงเรือนหลิงจือให้เฉินผิงอันฟัง ยกตัวอย่างเช่นหอจิ้งเจี้ยน (เคารพกระบี่) กระบี่ที่เซียนกระบี่ใช้สังหารเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ทุกชิ้น ภูเขาห้อยหัวจะต้องสร้างเลียนแบบขึ้นหนึ่งชิ้น แล้วนำมาวางไว้ในหอเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม

เมื่อมาถึงภูเขาห้อยหัว เห็นได้ชัดว่าจินซู่ไม่ได้เย็นชาเหมือนตอนอยู่บนเกาะกุ้ยฮวา นิสัยของนางเปลี่ยนไปมาก แม้จะไม่ถึงขั้นพูดจ้อเป็นต่อยหอย แต่ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากสตรีทั่วไปแล้ว นางบอกว่าที่เรือนหลิงจือมีหลิงจือสมปรารถนาดอกหนึ่งที่มรรคาจารย์เต๋าทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณ แผ่อบอวลจนทำให้ทั้งเรือนหลิงจือคล้ายกลายเป็นถ้ำสวรรค์แห่งหนึ่ง เมื่อฝึกตนอยู่ที่นี่จะได้ผลลัพธ์สองเท่าโดยที่ใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว ดังนั้นเรือนหลิงจือจึงเป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ค่าใช้จ่ายแพงที่สุดในภูเขาห้อยหัว แต่ลูกศิษย์ตระกูลเซียนที่มาประสบการณ์ที่นี่ รวมไปถึงลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่ตระกูลอยู่มานานนับพันปีซึ่งมาเที่ยวชมทัศนียภาพของที่แห่งนี้ ต่อให้มีเงินก็ยังยากที่จะเข้าพักในเรือนหลิงจือได้อยู่ดี เพราะจำเป็นต้องเริ่มจองห้องพักล่วงหน้าตั้งแต่หลายเดือนก่อน

ขยับเข้าไปใกล้โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย จินซู่พูดเบาๆ ว่า “เคยมีข่าวลือมาเหมือนกันว่า น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูกที่ระดับสูงที่สุดซึ่งเอามาจากเถาน้ำเต้าที่มรรคาจารย์เต๋าเป็นผู้ปลูกเองกับมือนั้น ในห้องลับหลิงจือมีเก็บไว้หนึ่งลูก อีกทั้งเมล็ดน้ำเต้าจากลูกแรกที่สุกงอม ทุกวันนี้ด้านในของมันก็ยังคงบำรุงหล่อเลี้ยงกระบี่บินของเซียนกระบี่ใหญ่สิบกว่าท่านในใต้หล้าไพศาลเอาไว้”

ข่าวเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ พวกคนที่ได้ยินได้ฟังมามักจะเล่าด้วยสีหน้าเบิกบาน เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา ราวกับเคยเห็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กับตาตัวเองอย่างไรอย่างนั้น จินซู่ที่ได้ยินคนอื่นเล่ามาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ทว่าในความเป็นจริงแล้วนักพรตสายของเต๋าเหล่าเอ้อร์ที่มี ‘กฎเหล็ก’ คอยควบคุมภูเขาห้อยหัวไม่เคยแพร่งพรายความลับเกี่ยวกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และการบำรุงกระบี่ของเซียนกระบี่ใต้หล้าเลย เพียงแค่กล่าวว่าเรือนหลิงจือไม่มีเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องคิดมาก และอย่าเอาไปเล่าลือกันปากต่อปาก

เฉินผิงอันนึกถึงน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินที่อาเหลียงมอบให้กับเป่าผิงน้อย แน่นอนว่ายังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ม่วงทองที่เทพธิดาซูเจี้ยแห่งเขาตะวันเที่ยงเคยพกไว้ รวมไปถึง ‘บรรพบุรุษน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่’ ที่ก่อนหน้านี้ไม่นานเจ้าหมอนั่นเอ่ยถึง

จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามขึ้นว่า “แม่นางจินซู่ จวนหยวนโหรวมีชื่อเสียงในภูเขาห้อยหัวมากเลยหรือ?”

จินซู่พยักหน้ารับ “แน่นอน จวนหยวนโหรวที่อยู่ในนามของตระกูลหลิวแห่งธวัลทวีปคือหนึ่งในจวนส่วนตัวขนาดใหญ่สี่แห่งในภูเขาห้อยหัว อาณาเขตกว้างขวางมาก แต่ชื่อเสียงกลับกว้างขวางยิ่งกว่า สกุลหลิวคือแซ่สกุลใหญ่อันดับหนึ่งในธวัลทวีป อีกทั้งชื่อเสียงยังดีเยี่ยม กษัตริย์ ผู้ฝึกตน เซียนพสุธา แทบทุกคนในธวัลทวีปล้วนมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหลิว อีกอย่างเงินเกล็ดหิมะที่ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราใช้กันมากที่สุดก็สร้างเลียนแบบจากเงินที่สกุลหลิวสร้างขึ้น เทือกเขาแร่หยกของที่นั่น สกุลหลิวก็ครอบครองไปแล้วหนึ่งส่วน อย่าได้รู้สึกว่าฟังไปแล้วเหมือนไม่มาก เพราะความจริงมันมากจนมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!”

เฉินผิงอันตกตะลึงเล็กน้อย

มิน่าเล่าเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญก็ยังพูดว่า ‘ต่อให้เงินจะน้อยแค่ไหน’ หลิวโยวโจวไม่ได้คุยโวเกินจริงเลยสักนิด

สายตาจินซู่เลื่อนลอยเล็กน้อย “ลูกหลานตระกูลหลิวนี่แหละที่เรียกว่าคนโชคดีที่เกิดมาก็ได้ครอบครองภูเขาเงินภูเขาทองตัวจริง ต้องการอะไรก็แค่ทุ่มเงินไปเป็นพอ ใต้หล้าไม่มีสมบัติชิ้นใดที่สกุลหลิวซื้อไม่ได้”

คำพูดเหล่านี้ซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่าเป็นคนบอกนางด้วยตัวเอง ตอนนั้นจินซู่มองเห็นสายตาคาดหวังจากดวงตาของเทพเจ้าน้อยแห่งเงินทองอย่างซุนเจียซู่ ดังนั้นนางจึงจำเรื่องนี้ได้แม่นยำเป็นพิเศษ

เฉินผิงอันยิ่งตัดสินใจได้แน่วแน่ว่าไม่ควรจงใจไปตีสนิทกับหลิวโยวโจว

เด็กหนุ่มคนนั้นก็เหมือนกับเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาลำหนึ่งที่ไม่ว่าจะเผชิญคลื่นลมมรสุมใดก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาในเวลานี้จะต้านทานไว้ได้

เฉินผิงอันคิดมาถึงตรงนี้ในใจก็ให้หม่นหมองเล็กน้อย ตรงประตูหัวใจคล้ายถูกลมหิมะพัดกระแทก

แล้วตนล่ะจะมีตราประทับภูเขาและแม่น้ำให้ผลาญสักกี่มากน้อย?

ตอนนี้เหลือแค่ตราประทับแม่น้ำอันเดียวแล้ว

ไม่ว่ามีกี่พันหมื่นเหตุผลให้ต้องทำอย่างนั้น ไม่ว่าจะเจอเรื่องแบบเดียวกันหรือไม่ เฉินผิงอันก็จะยังก้าวออกไปอย่างห้าวหาญอยู่ดี

สูญเสียตราประทับภูเขาไปอันหนึ่ง จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังไม่สามารถบรรเทาความเศร้าใจไปได้แม้แต่น้อย

เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินผิงอันเรียนรู้ที่จะ ‘เก็บ’ อารมณ์ที่ไม่ดีเหล่านี้เอาไว้ ไม่เหมือนกับตอนแยกย้ายกันที่วัดร้าง รวมไปถึงระยะทางบนภูเขาอีกหลายร้อยลี้หลังจากนั้นที่เอาแต่เงียบขรึมไม่พูดไม่จาจนชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มสัมผัสได้ถึงอาการผิดปกติของเขา ทำให้พวกเขาต้องเป็นห่วงไปตลอดทาง

โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยตั้งอยู่ปลายสุดของตรอกแห่งหนึ่ง เถ้าแก่คือชายหนุ่มที่ไม่ชอบพูดคุยหรือยิ้มแย้ม ต่อให้เคยพบหน้าจินซู่มาแล้วหลายครั้งก็ยังไม่เคยคลี่ยิ้มให้นาง หลังจากจัดหาห้องที่อยู่ติดกันสองห้องให้คนทั้งสองแล้วก็ไม่สนใจพวกเขาอีก จินซู่อธิบายเบาๆ ว่า “เถ้าแก่คือบุตรที่รับสืบทอดกิจการจากบิดา ในอดีตโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยมีขนาดใหญ่มาก ครึ่งตรอกล้วนเป็นของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ พอจะมีชื่อเสียงอยู่ในแถบท่าเรือจัวฟ่างอยู่บ้าง ภายหลังเจอกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่ง ตอนนั้นดูเหมือนว่าเกาะกุ้ยฮวาจะให้ความช่วยเหลือด้วย แต่สุดท้ายเถ้าแก่ที่เป็นบิดาก็ยังเสียชีวิตอยู่ดี นี่น่าจะเรียกว่าครอบครัวตกต่ำกระมัง ก็เลยเหลือแค่เท่าที่เห็นนี้”

เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจเงียบๆ

เมื่อเปรียบเทียบกับเจิ้งต้าเฟิงที่เป็นเถ้าแก่ของร้านยาฮุยเฉินแล้ว อันที่จริงเถ้าแก่ทุกคนใต้หล้าล้วนถือว่าเป็นเถ้าแก่ที่ดี

ห้องของโรงเตี๊ยมในภูเขาห้อยหัว เมื่อเทียบกับโรงเตี๊ยมตามเมืองต่างๆ ตอนที่เฉินผิงอันท่องเที่ยวระหว่างแม่น้ำและภูเขาก่อนหน้านี้แล้ว อันที่จริงไม่ได้มีความต่างสักเท่าไหร่ แค่สะอาดกว่าเท่านั้น

จินซู่เคาะประตูเดินเข้ามา หลังจากนั่งลงเรียบร้อยก็เริ่มวางแผนการเดินทางในอีกสองวันต่อจากนี้กับเฉินผิงอัน นางมีแผนการรอไว้ก่อนแล้ว พรุ่งนี้จะไปที่โถงฝ่าอิ้น หอจิ้งเจี้ยน เรือนหลิงจือและเรือนซือเตาสี่แห่งนี้ก่อน วันมะรืนค่อยไปหอซ่างเซียง หน้าผาหมีลู่ หอเหลยเจ๋อสามแห่งนี้ สุดท้ายภูเขาเดียวดายที่อยู่ใจกลางคือพื้นที่ต้องห้าม แม้ว่าจะต้องผ่านอยู่แล้ว แต่ก็ได้แค่มองไกลๆ เท่านั้น

เฉินผิงอันถามว่าที่นี่มีร้านแลกเปลี่ยนของแปลกหายากหรือไม่ จินซู่บอกว่าเรือนหลิงจือก็คือสถานที่ที่ว่านี้ และยังมีร้านผ้าห่อบุญที่มาเปิดแย่งกิจการอยู่ฝั่งตรงข้าม ทั้งสองร้านนี้มีเงินทองไหลมาเทมาทุกวัน สนแค่ของไม่สนคน มีความมั่นคงปลอดภัยสูงยิ่ง เป็นเหตุให้พวกผู้ฝึกตนอิสระที่ยากจนและโหดเหี้ยม ขอแค่ได้รับผลเก็บเกี่ยวมา พวกเขาจะต้องชอบมาที่ภูเขาห้อยหัว ทั้งหลบเลี่ยงการสังหารจากทั่วสารทิศ และยังสามารถขายสมบัติล้ำค่าได้อย่างเปิดเผย แลกเงินมาเสวยสุข

บนเกาะหลายแห่งที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมีผู้ฝึกตนจากสำนักที่ถูกทำนองคลองธรรมมาปักหลักอยู่เป็นจำนวนมากเพื่อจับตามองการเคลื่อนไหวบนภูเขาห้อยหัว คอยสังเกตการณ์มหาโจรบางส่วนที่เร้นกายอยู่ที่นี่ บุคคลที่มาหลบภัยเพราะอาศัยกฎเกณฑ์ของภูเขาห้อยหัวเหล่านี้ล้วนเป็นพวกลัทธิมารนอกรีตที่มือเปื้อนเลือนคนมานับไม่ถ้วน ล้วนเป็นพวกอำมหิตที่สร้างชื่อเสียงโหดเหี้ยมไปทั่วยุทธภพใหญ่ๆ

เฉินผิงอันถามสถานที่ที่แน่ชัดในการเดินทางจากภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ แม้จินซู่จะสงสัยใคร่รู้ว่าทำไมเฉินผิงอันถึงยังต้องถามในสิ่งที่เกินความจำเป็นเกี่ยวกับการเดินทางที่ในอีกสามวันให้หลังก็เกิดขึ้นแล้ว แต่กระนั้นก็ยังยอมบอกเขาว่าอยู่ที่ข้างภูเขาเดียวดายแถบใจกลางของภูเขาห้อยหัว คือประตูใหญ่บานหนึ่งที่สร้างขึ้นเลียนแบบหอสู่เซียนในยุคบรรพกาล หากพกป้ายหยกตัวอักษร ‘หยา’ ก็สามารถเข้าไปดูใกล้ๆ ได้

ตอนนี้ขอบเขตสิบสามบินทะยานก็เหมือนขอบเขตสิบของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ถือเป็นขอบเขตปลายทางในโลกมนุษย์แล้ว ต่อจากนั้นก็คือขอบเขตสองสาบสูญที่ไม่มีปรากฏให้เห็นอีกแล้ว ส่วนในยุคโบราณที่อริยะผู้มีคุณธรรมท่องไปทั่วสารทิศคอยประทานความกรุณาแก่ปวงประชาใต้หล้านั้น ดูเหมือนว่าบนโลกยังมีหอสู่เซียนกระจายตัวกันอยู่หลายแห่ง เพื่อให้ผู้ฝึกลมปราณสามารถโบยบินไปได้อย่างผ่อนคลาย บ้างก็เป็นดั่งดวงอาทิตย์เวลากลางวัน บ้างก็ยกเมฆ บ้างก็ขี่มังกร ขี่กระเรียนบินขึ้นไป กลางอากาศจะมีนางฟ้าคอยโปรยดอกไม้ เมฆหลากสีพร่างพราว แสงสายรุ้งระยิบระยับคอยห้อมล้อมเฉลิมฉลอง ช่วยอวยพรให้แก่บุคคลผู้บรรลุมรรคา

น่าชื่นชมเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง

เฉินผิงอันนัดหมายช่วงเวลาออกเดินทางในตอนเช้ากับจินซู่เรียบร้อยแล้วก็ออกไปข้างนอกเพียงลำพัง มุ่งหน้าไปยังเบื้องใต้ภูเขาเดียวดายที่เทียนจวินใหญ่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ตรงนั้น

เฉินผิงอันนึกถึงสถานที่เก้าแห่งอย่างศาลาจัวฟ่าง หอจิ้งเจี้ยน หอซ่างเซียน หอเหลยเจ๋อ เรือนหลิงจือ โถงฝ่าอิ้น เรือนซือเตา หน้าผาหมีลู่และภูเขาเดียวดายไปตลอดทาง

จำนวนเหมือนหอพิทักษ์เมือง ต่างก็มีเก้าแห่ง

ไม่แน่ว่าอาจเป็นค่ายกลที่อริยะใช้สยบโชคชะตาเหมือนกัน

ตรงตีนเขาของภูเขาเดียวดายมีเส้นทางเทพขึ้นเขาที่รถม้าสามคันสามารถขับเรียงกันได้อยู่เส้นหนึ่ง บริเวณใกล้เคียงห่างไปไม่ไกลยังมีลานกว้างที่ก่อจากหินหยกขาวอีกหนึ่งแห่ง นอกราวมีแค่รั้วเหล็กหนึ่งเส้น สูงไม่เกินสองฉื่อ ใครก็สามารถข้ามไปได้

ตรงกลางคือเสาหยกขาวขนาดใหญ่ที่สูงสิบกว่าจั้งสองต้นตั้งตระหง่าน ตรงกลางของเสาเหมือนผิวน้ำที่นิ่งสงบจนคล้ายกระจก บางครั้งมีริ้วคลื่นกระเพื่อม ตอนนี้คนที่อยู่บนลานมีไม่มาก ประมาณยี่สิบสามสิบคน ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ เด็กหรือหนุ่มสาว ตรงเอวล้วนห้อยป้ายตัวอักษรหยาเอาไว้ เด็กหลายคนที่ซุกซ่อนวิ่งผ่านตรงกลางไปโดยตรง แล้วไล่กวดกันอย่างสนุกสนานไปรอบด้าน

ลานกว้างไม่มีนักพรตมาคอยเฝ้า เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะข้ามรั้วไปอย่างระมัดระวัง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เขาจึงพอจะวางใจลงได้ แล้วจึงเดินช้าๆ ไปยังเสาใหญ่สองต้นนั้น

เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าทุกก้าวที่ก้าวออกไปจะต้องมีริ้วแสงกระเพื่อมขึ้นมาใต้ฝ่าเท้า อีกทั้งเมื่อเงยหน้ามองไปยังเห็นนักพรตเด็กที่สวมชุดเต๋าตัวใหญ่นั่งอยู่บนเบาะข้างเสาตนหนึ่ง กำลังพลิกเปิดตำราอ่าน หากมีเด็กที่มองดูแล้วอายุไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ขยับมาใกล้ นักพรตเต๋าเด็กที่สวมกวานหางปลาไว้บนศีรษะจะโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ พวกเด็กๆ ก็จะลอยออกไปไกลเหมือนได้ขี่เมฆหมอก ทำเอาพวกเด็กๆ เล่นสนุกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นักพรตเด็กก็คอยโบกชายแขนเสื้อไม่หยุดอย่างไม่รำคาญใจ

เฉินผิงอันไม่กล้าบุกเข้าไปยัง ‘กระจก’ โดยพลการเลียนแบบพวกเด็กๆ เขาเดินอ้อมไปด้านหลังเสาต้นใหญ่ พบว่าข้างเสาใหญ่ยังมีเสาเล็กอีกหนึ่งต้น บนเสาหินที่คล้ายเสาผูกม้ามีมือกระบี่วัยกลางคนเสื้อผ้าขาดวิ่นคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิ กอดกระบี่ไว้ในอ้อมอก หลับตานอนหลับ

แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็น…ยอดฝีมือล้ำโลก!

เฉินผิงอันไม่กล้ารบกวนการนอนหลับของคนผู้นี้ ฝีเท้าที่ก้าวเดินก็แผ่วเบาไปตามจิตใต้สำนึก เตรียมจะหมุนตัวเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง

ศีรษะของมือกระบี่ที่กอดกระบี่หลับผู้นั้นสัปหงกลง เขาพลันสะดุ้งตื่น สายตาค่อนข้างทึ่มทื่อ มองซ้ายมองขวาแล้วก็มองไปยังจุดสูง สุดท้ายมองไปที่แผ่นหลังของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ คล้ายจะพึมพำกับตัวเองด้วยคำสามคำ จากนั้นก็นอนหลับต่ออีกครั้ง

เฉินผิงอันยืนอยู่ใกล้กับหน้ากระจกอีกฝั่งหนึ่ง เหม่อมองอยู่เป็นนาน

เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่า ด้านหลังกระจกนี้ก็คือกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างนั้นหรือ? คือใต้หล้าอีกแห่งหนึ่ง?

บนยอดเขาเดียวดายที่สูงเสียดทะลุชั้นเมฆ มีหอสูงที่สูงที่สุดอีกแห่งหนึ่งของภูเขาห้อยหัว ในระยะเวลาหนึ่งปี มีเวลาเกินครึ่งปีที่ทะเลเมฆปกคลุม ด้านใต้ชายคาห้อยกระดิ่งสามใบ ว่ากันว่ามีเพียงเจ้าลัทธิสามท่านของลัทธิเต๋ามาเยือนเท่านั้น พวกมันถึงจะดังขึ้นอย่างเนิบช้า

เทียนจวินใหญ่ท่านหนึ่งของลัทธิเต๋าอยู่บนชั้นบนสุดของหอเรือน เส้นสายตามองทะลุทะเลเมฆไปยังลานกว้างที่อยู่เบื้องล่าง

เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ตัวเล็กดุจเมล็ดงา

เฉินผิงอันกลับไปถึงโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยแล้วฝึกวิชาหมัดหกก้าวและท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูต่ออีกครั้ง ยามกลางคืนฟ้ามืดมิด เขาถอดอาภรณ์เอนตัวลงนอน ใบหน้าแต้มรอยยิ้ม

วันที่สองฟ้าขมุกขมัวเริ่มสาง จินซู่มาเคาะประตูก่อนเวลาหนึ่งเค่อ เฉินผิงอันหยุดการเดินนิ่งที่เงียบเชียบลง เปิดประตูอ้า เดินออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมกับจินซู่ มุ่งหน้าไปยังโถงฝ่าอิ้น (ตราประทับอาคม) โถงแห่งนี้ถูกเรียกอีกชื่อว่าโถงเชวียอี (ขาดไปหนึ่ง) ว่ากันว่าเก็บรวบรวมตราประทับของร้อยสำนักทุกรูปแบบในโลกเอาไว้ ขาดเพียงตราประทับภูเขาเท่านั้น เพราะเคารพกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ว่า ‘ภูเขาไม่พบภูเขา’ ถึงอย่างไรเดิมทีภูเขาห้อยหัวก็เป็นตราประทับภูเขาชิ้นหนึ่งอยู่แล้ว

เฉินผิงอันถอนหายใจ เดินตามจินซู่ที่อารมณ์ดีเข้าไปในโถงฝ่าอิ้น หอสูงสามชั้น ทุกชั้นต่างก็กว้างขวางมากเป็นพิเศษ แบ่งแยกเป็นห้องเล็กใหญ่ ทุกชั้นล้วนเก็บตราประทับอาคมที่มีจำนวนมากหลายพันชิ้นเอาไว้เหมือนกันหมด ตราประทับแต่ละชิ้นต่างก็ลอยอยู่ในชั้นกระจกที่แบ่งซอยออกเป็นชั้นๆ และยังมีตราประทับบางส่วนที่สามารถบ่มเพาะสติปัญญาขึ้นมาได้จึงว่ายวนบินชนชั้นกระจกไม่หยุดจนเกิดเสียงดังปึงปัง ตราประทับบางชิ้นยังถึงขั้นรวบรวมปราณวิญญาณขึ้นมาเป็นแก่นวิญญาณ คอยจ้องตากับคนอย่างใจกล้าอยู่ด้านหลังชั้นกระจก

เฉินผิงอันหยุดอยู่ในห้องตราประทับแม่น้ำที่ชั้นสองเป็นเวลานานไม่ยอมออกมาเสียที จินซู่จึงไปเดินเล่นที่อื่นเพียงลำพัง นัดหมายกันว่าอีกประมาณหนึ่งชั่วยามมาเจอกันที่หน้าประตูโถงอิ้นฝ่า

ตราประทับน้ำอันหนึ่งที่เฉินผิงอันจ้องมองอยู่มีปราณวิญญาณเป็นเหมือนไอน้ำน้ำหนักเบาจำแลงกลายมาเป็นธารน้ำเส้นหนึ่งล้อมวนอยู่รอบตราประทับ ตรงด้านล่างของตราประทับสลักสี่คำว่า ‘แม่น้ำสีเงินห้อยย้อย’ เพราะมี ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งเขียนคำบรรยายประกอบเอาไว้อยู่เล่มหนึ่ง เฉินผิงอันจึงรู้จักตัวอักษรโบราณไม่น้อย

จินซู่เล่าให้ฟังว่า ตราประทับของโถงฝ่าอิ้นมีแต่รับไม่มีออก จะไม่ขายให้แก่ผู้ใด

ในอดีตมีแค่ครั้งหนึ่งที่เกือบจะแหกกฎ นั่นคือเจ้าประมุขตระกูลหลิวแห่งธวัลทวีปคนปัจจุบันได้ป่าวประกาศว่าจะซื้อตราประทับของชั้นหนึ่งไปทั้งหมดรวดเดียว สุดท้ายนักพรตเจ้าของโถงจำเป็นต้องรายงานแก่เทียนจวินใหญ่แห่งภูเขาเดียวดาย คำตอบของฝ่ายหลังเรียบง่ายมาก นั่นคือขว้างปราณกระบี่ยาวดุจสายรุ้งลงมาจากหอสูงบนภูเขาเดียวดาย ทำลายสวนดอกไม้ด้านหลังจวนหยวนโหรวเสียป่นปี้ ผลคือตอนนั้นคนหนุ่มที่ยังเป็นแค่ลูกหลานสายตรงตระกูลหลิว ยังไม่ได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุขเท้าเอวแหงนหน้าด่าเทพเซียนผู้เฒ่าบนภูเขาเดียวดาย ความหมายคร่าวๆ คือประมาณว่าข้าผู้อาวุโสมีเงิน เจ้าแน่จริงก็ลองทำดูอีกสักครั้งสิ

จากนั้นเทียนจวินใหญ่ก็เทฝนปราณกระบี่กระหน่ำลงมาระลอกใหญ่ จวนหยวนโหรวตระกูลเซียนขนาดใหญ่ยักษ์ที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นหลายสมัยเสียหายอย่างหนัก

ทำให้ชื่อเสียงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นค่ายกลใหญ่ที่สามารถต้านทานร้อยกระบี่จากเซียนกระบี่ของจวนหยวนโหรวย่อยยับไม่เหลือดี

ยังดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

ภายหลังจึงเกิดการถามตอบที่กลายมาเป็นวลีซึ่งได้รับความนิยมกันไปทั่ว

คนหนุ่มคนนั้นหน้าไม่เปลี่ยนสี แค่หันไปถามพ่อบ้านวัยชราว่า ‘เทียนจวินผู้นั้นลงมืออย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้ถูกกฎหรือไม่?’

พ่อบ้านวัยชราตอบยิ้มๆ ว่า ‘เทียนจวินก็คือกฎของภูเขาห้อยหัว’

เมื่อผ่านศึกครั้งนี้ไป เรื่องที่เทียนจวินแห่งภูเขาห้อยหัวใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงผู้คน และเรื่องที่ตระกูลหลิวมีเงินก็แพร่สะพัดไปทั่วใต้หล้าในเวลาเดียวกัน

ตอนหลังเฉินผิงอันไม่ได้เดินขึ้นชั้นสาม เขาลงจากหอไปรอจินซู่ที่นอกโถงฝ่าอิ้นโดยตรง

จินซู่มาช้าไปหนึ่งเค่อ มองเห็นเด็กหนุ่มสะพายกระบี่นั่งเหม่ออยู่บนบันไดก็เอ่ยขออภัยว่า “มาสายแล้ว เพราะบนชั้นสามมีตราประทับชิ้นหนึ่งที่เพิ่งบ่มเพาะจิตวิญญาณที่มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุดตนหนึ่งได้ สามารถจำแลงร่างกลายเป็นคนที่จ้องตากับมัน สนุกมากเป็นพิเศษ มีหลายคนเข้าแถวรอที่นั่น เฉินผิงอันเจ้าไม่สนใจเลยหรือ”

เฉินผิงอันลุกยืนปัดก้น คลี่ยิ้มพูดว่า “พวกเราไม่ได้รีบไปไหนสักหน่อย”

แทบจะเวลาเดียวกับที่จินซู่เรียกชื่อของเฉินผิงอันตรงๆ เป็นครั้งแรกในภูเขาห้อยหัว คนเฝ้าประตูสองคนที่อยู่ตรงตีนภูเขาเดียวดาย นักพรตเต๋าเด็กที่อ่านหนังสือและชายวัยกลางคนอุ้มกระบี่ก็พร้อมใจกันลืมตาขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย

จากนั้นคนหนึ่งก็ลุกจากเบาะที่นั่ง เดินออกจากลานกว้าง มุ่งหน้าไปยังหอซ่างเซียง

บุรุษถือกระบี่หันตัวกลับมา งอนิ้วดีดไปที่หน้ากระจกหนึ่งครั้ง แต่แล้วชายฉกรรจ์ก็พลันคลี่ยิ้ม บิดข้อมือกลับมาเหมือนดึงของบางอย่างกลับคืน เก็บการส่งสัญญาณด้วยการดีดนิ้วก่อนหน้านี้

แล้วเขาก็งีบหลับต่ออีกครั้ง

ภูเขาห้อยหัวไม่มีตราผนึกอาคม นักพรตเด็กคนนั้นก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็ห่างไกลหลายลี้ สุดท้ายเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าหอที่มีควันสีม่วงลอยกรุ่นพลิ้วกำจาย ก้าวยาวๆ เข้าไปข้างใน นักพรตสวมกวานหางปลาหลายคนเห็นนักพรตน้อยที่หน้าตาเหมือนหยกสลักล้ำค่าแล้วก็พากันค้อมเอวคารวะ เรียกอย่างให้ความเคารพว่าอาจารย์ปู่น้อย หรือบางคนก็เรียกว่าอาจารย์ปู่น้อยไท่ซ่าง

นักพรตน้อยสีหน้าเย็นชา ไม่สนใจใครทั้งนั้น ก้าวข้ามประตูใหญ่มาแล้วก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พัดให้เหล่านักพรตหลายคนที่สวมกวานและชุดเต๋าแตกต่างกันซึ่งกำลังจุดธูปกราบไหว้กระเด็นออกไปอยู่ใต้กำแพงทั้งสองฝั่งในเสี้ยววินาที ทำให้นักพรตห้าขอบเขตกลางเหล่านี้ตกใจจนเกือบขวัญหาย นักพรตเด็กก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ยึดครองตำแหน่งที่มีควันธูปล้อมวนเพียงลำพัง หยิบธูปดอกหนึ่งมาจากกระบอกใส่ธูปที่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้าง เหนือโต๊ะธูปมีภาพวาดสี่ภาพ มรรคาจารย์เต๋าอยู่ในตำแหน่งสูงสุด ตำแหน่งนี้สูงจนถึงขั้นที่ว่าหากคนมาจุดธูปกราบไหว้ไม่ทันสังเกตก็อาจจะนึกว่าไม่มีอยู่

ส่วนภาพวาดเทวรูปของนักพรตเต๋าสามคนด้านล่างนั้นแขวนเรียงกัน

นักพรตที่อยู่ตรงกลางห้อยยันต์ไม้ท้อ นักพรตที่อยู่ฝั่งซ้ายมือถือกระบี่อาคม สวมชุดขนนก นักพรตฝั่งขวาสวมกวานดอกบัว

บนโต๊ะธูปขนาดใหญ่ยักษ์วางแค่กระถางธูปขนาดใหญ่ที่เตรียมไว้ให้ผู้คนที่มากราบไหว้ปักธูปลงไปเพียงใบเดียว

หอซ่างเซียง (จุดธูป) แห่งนี้มีเรื่องเล่าลือว่าหากนักพรตเต๋าและชายหญิงที่มีจิตศรัทธามาจุดธูปกราบไหว้ที่นี่ก็อาจจะมีโอกาสให้มรรคาจารย์เต๋าและเจ้าลัทธิไตรวิสุทธิ์ที่อยู่ในใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งรับรู้ หลังจากเข้ามาในภูเขาห้อยหัว เรื่องแรกที่นักพรตแทบทุกคนต้องทำคือมาจุดธูปสามดอกที่หอซ่างเซียงแห่งนี้ แน่นอนว่านักพรตของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ไม่มีทางเหยียบเข้ามาในหอซ่างเซียงแม้แต่ครึ่งก้าว

นักพรตน้อยที่บนศีรษะสวมกวานหางปลากราบเจ้าลัทธิที่สวมกวานดอกบัวผู้นั้นสามครั้ง พอปักธูปในมือลงในกระถางธูปแล้วก็หลับตาลง ปากท่องคาถาพึมพำ

สุดท้ายนักพรตน้อยอึ้งตะลึงไปชั่วขณะ พอลืมตาขึ้นก็ให้รู้สึกเบื่อหน่าย หันหน้าไปมอง เห็นคนหนุ่มที่หน้าตาคล้ายสาวงามคนหนึ่งก็ขมวดคิ้วถามว่า “ในฐานะลูกศิษย์สกุลลู่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เหตุใดเจ้าถึงไปที่หอจิ้งเจี้ยนก่อน ไม่ใช่มาจุดธูปกราบไหว้ที่นี่?!”

‘หญิงสาว’ เงยหน้าขึ้นอย่างแช่มช้อยไม่กลัวเกรง ตอบยิ้มๆ ว่า “พวกเรารับเจ้าลัทธิผู้สูงส่งท่านนี้เป็นบรรพบุรุษตระกูลเราอย่างสุดจิตสุดใจ ทว่าท่านบรรพบุรุษไม่เคยรับพวกเราเป็นลูกหลานนี่นา หลายพันปีที่ผ่านมาตระกูลลู่จุดธูปไปมากน้อยแค่ไหนก็ไม่เคยได้รับการตอบกลับแม้แต่ครึ่งคำไม่ใช่หรือ? ข้าจุดธูปเพิ่มอีกดอกจะมีประโยชน์รึ?”

บนใบหน้าเยาว์วัยของนักพรตน้อยเผยความเดือดดาล “กล้าทำตัวโอหังที่นี่ด้วย?!”

คนผู้นั้นที่มาจุดธูปกราบไหว้ยิ้มตาหยี “เทียนจวินท่านไม่ใช่นักพรตสายของบรรพบุรุษตระกูลลู่ข้าสักหน่อย เหตุใดต้องยึดติดกับมารยาทของคนนอกพวกนี้ด้วย?”

นักพรตน้อยแค่นเสียงหยัน “ไอ้พวกไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่น ไสหัวออกไป!”

สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง คนหนุ่มที่หน้าตาเหนือชั้นกว่าสาวงามก็ปลิวออกไปตกบนถนนนอกหอซ่างเซียง กระอักเลือดไม่หยุด พอกระเสือกกระสนลุกขึ้นมาได้แล้วก็แหงนหน้าขึ้น มองคนในภาพเหมือนทางฝั่งขวามือที่ไม่เคยขยับเขยื้อนมาร้อยปีพันปีแล้วหัวเราะเสียงดังไม่หยุด

จนถึงวันนี้ก็ยังแล้งน้ำใจถึงเพียงนี้

หลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่ตระกูลลู่ตกอยู่ในภาวะอับจน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผจญอันตรายเกือบล่มสลาย คนในภาพไม่เคยมาแยแส

หลังจากก้าวออกจากธรณีประตูมาแล้ว นักพรตน้อยผู้นั้นก็ชำเลืองตามองคนหนุ่มที่สภาพกระเซอะกระเซิงแวบหนึ่งก่อนหายตัววับไป

ภายใต้การนำทางของจินซู่ เฉินผิงอันก็มาถึงเรือนหลิงจือตอนช่วงเที่ยงวันพอดี แล้วก็ได้เห็นหลิงจือสมปรารถนาในตำนานดอกนั้น

เฉินผิงอันเห็นของวิเศษและสมบัติอาคมที่ราคาสูงเทียมฟ้าในหอหลิงจือแล้ว เขาทั้งไม่ได้ซื้อ แล้วก็ไม่ได้ขายของที่อยู่ในวัตถุฟางชุ่น จากนั้นก็ไปยังสถานที่แห่งสุดท้ายของวันนี้ เรือนซือเตา (ดาบอาคม)

จุดดึงดูดความสนใจของเรือนซือเตาไม่ได้อยู่ที่ทัศนียภาพ แต่อยู่ที่ใบรายการใบหนึ่งซึ่งแปะอยู่บนกำแพง ในนั้นบรรยายประกาศนำจับที่มีรางวัลแตกต่างกันไป เป้าหมายก็สารพัดหลากหลาย บ้างก็เป็นปีศาจใหญ่แห่งเกาะทะเลทักษิณ กษัตริย์ของแคว้นหนึ่งในบางทวีป ผู้อาวุโสตระกูลเซียนคนหนึ่งที่เป็นเทพเซียนพสุธา ลัทธิมารนอกรีตบางส่วนที่ก่อความวุ่นวายไปทั่ว หรือแม้แต่อริยะลัทธิขงจื๊อสกุลเฉินคนหนึ่งของทักษินาตยทวีปก็อยู่บนรายการนั้นด้วย

ไม่รู้ว่าเรือนซือเตาของภูเขาห้อยหัวสืบทอดกฎนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเขาแปะใบรายการได้ คนอื่นๆ ก็เอามาแปะได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าคนที่เอาใบรายการมาแปะจำเป็นต้องวางเงินมัดจำของรางวัลนำจับไว้ที่เรือนซือเตาก่อน ไม่อย่างนั้นหากไม่มีเงินก็ไม่ควรแปะประกาศมั่วซั่ว เพราะจะได้เจอกับวิชาดาบที่ร้ายกาจของเรือนซือเตาแทน

เรือนซือเตา

ระบบเต๋าสายนี้ของเต๋าเหล่าเอ้อร์ยังมีแบ่งแยกไปอีก อาวุธอาคมทุกชนิดล้วนเรียกรวมเป็นดาบ นักพรตของสายนี้เคยสร้างชื่อเสียงใหญ่โตไว้ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สูสีกับคนเชื่อดาบของสำนักโม่ ฝ่ายหนึ่งแกร่งกร้าว ฝ่ายหนึ่งลึกลับ

เมื่ออยู่ในใต้หล้าไพศาล เรื่องที่ยุ่งยากยิ่งกว่ามีเรื่องกับเซียนกระบี่ก็คือไปพัวพันกับนักพรตที่พกดาบอาคม เพราะแต่ไหนแต่ไรมานักพรต ‘ดาบอาคม’ มักจะลงมือเด็ดขาดหรือถึงขั้นเรียกได้ว่าอำมหิตมาโดยตลอด สังหารภูตผีปีศาจคล่องแคล่วว่องไว เวลาเข่นฆ่ากับผู้ฝึกลมปราณก็ไม่เคยมีไมตรีเช่นกัน นิสัยของนักพรตดาบอาคมย่ำแย่แค่ไหน เคยมีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า มีครั้งหนึ่งนักพรตดาบอาคมที่มีวิชาสูงส่งมาเจอกับผู้สูงศักดิ์หวงจื่อคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดจากจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ พวกเขาต่างก็ต้องการสังหารปีศาจตนหนึ่งที่มีตบะลึกล้ำ หากว่ากันตามหลักปกติแล้ว ถ้าไม่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ก็ต่างคนต่างต่อสู้ หรือไม่ก็หลบเลี่ยงให้อีกฝ่ายหนึ่งสู้ไปเอง ผลกลับกลายเป็นว่านักพรตดาบอาคมผู้นั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ชักดาบเข้าห้ำหั่น ต่อสู้กับเทียนซือตระกูลจางจนฟ้าดินพลิกตลบ หลังจากทำให้เทียนซือบาดเจ็บสาหัสได้แล้วถึงไปกำราบปีศาจเพียงลำพัง

ตอนนั้นมรสุมลูกนี้ครึกโครมไปทั่วทวีปเกราะทอง เป็นเหตุให้บุรพาจารย์สกุลจางจวนเทียนซือคนหนึ่งเร่งรุดเดินทางไกลจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาเอาเรื่องถึงภูเขาห้อยหัว สุดท้ายจึงเกิดสุดยอดศึกใหญ่อีกครั้ง เทียนจวินใหญ่ที่พิทักษ์ภูเขาเดียวดายเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง ไปต่อสู้กับเทียนซือตระกูลจางที่มีวัยวุฒิสูงมากคนนั้นนอกภูเขาห้อยหัวหนึ่งพันลี้ เพียงแต่ว่าสุดท้ายใครแพ้ใครชนะ คนนอกกลับไม่มีใครรู้

……

ร้านยาฮุยเฉิน วันนี้สตรีแต่งงานแล้วและเด็กสาวหน้าตางดงามที่เป็นลูกจ้างในร้านยาขาดหายไปคนหนึ่ง ซึ่งก็คือแม่นางน้อยที่เถ้าแก่เจิ้งต้าเฟิงยังติดค้างเงินค่าหนังสือ

เจิ้งต้าเฟิงหงุดหงิดเล็กน้อย ตบโต๊ะพูดว่านังหนูคิดจะก่อกบฏซะแล้ว อาศัยที่ตัวเองหน้าตางดงามกล้าทำตัวไม่เห็นหัวใคร เถ้าแก่ท่านนี้พูดอย่างดุดันว่า ในเมื่อนางกล้าไม่มาทำงานที่ร้านโดยไม่บอกลา ไม่กล่าวอะไรสักคำเดียว เท่ากับว่าไม่เห็นเถ้าแก่ผู้หล่อเหลาสง่างามอย่างเขาอยู่ในสายตา จะหักเงินสามสิบสี่สิบอีแปะที่เป็นค่าหนังสือของนาง ชายฉกรรจ์ที่พร่ำบ่นไม่หยุดโมโหกระฟัดกระเฟียด แต่ไม่มีผู้หญิงคนใดในร้านเห็นเป็นจริงเป็นจัง คนที่แทะเมล็ดแตงก็แทะเมล็ดแตง คนที่คุยเรื่องสัพเพเหระก็คุยต่อไป ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อว่าเถ้าแก่จะหักเงินจริงๆ

จากนั้นบุรพาจารย์ตระกูลฟ่านที่มีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ คนหนึ่งก็มาที่หน้าประตูร้านยาด้วยสีหน้าหวาดหวั่นขออภัย

เจิ้งต้าเฟิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รีบหยุดปากที่พูดจู้จี้จุกจิกยิ่งกว่าสตรีแต่งงานแล้วลงในฉับพลัน เดินอ้อมโต๊ะคิดเงินมาที่หน้าประตู พูดเบาๆ ว่า “คุยกันตรงนี้เถอะ”

แม้แต่ตัวของคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจในศาลบรรพชนตระกูลฟ่านท่านนั้นก็ยังรู้สึกจนใจ วันนี้ตนกลับต้องมาขอโทษคนผู้นี้ที่นี่เพื่อเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลของตน ทั้งๆ ที่ตระกูลฟ่านไม่ได้ทำอะไรผิด แต่คนทั้งตระกูลกลับต้องมากระวนกระวายไม่เป็นสุข ด้วยกลัวว่าจะถูกพาลโกรธ

ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งที “อาจารย์ใหญ่เจิ้ง แม่นางน้อยที่ไม่ได้มาร้านยาในวันนี้ ตายแล้ว”

เจิ้งต้าเฟิงร้องอ้อหนึ่งทีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ผู้เฒ่าเข้าใจผิดคิดว่าปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตเก้าบนวิถีวรยุทธ์ผู้นี้ไม่ได้เก็บไปใส่ใจจึงแอบถอนหายใจโล่งอก

เจิ้งต้าเฟิงโบกมือบอกให้ผู้เฒ่ารู้ว่าไปได้แล้ว

ชายฉกรรจ์นั่งลงบนธรณีประตู ไม่พูดอะไรอีก

สตรีทั้งหลายที่อยู่ในร้านยามีลางสังหรณ์ที่แม่นยำฉับไว ต่างก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศประหลาดที่แผ่มาจากตรงหน้าประตู ทันใดนั้นไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังเอะอะ ยิ่งไม่กล้าพูดจาหยอกล้อเถ้าแก่

ชายฉกรรจ์หัวเราะ “ฮ่าๆ แบบนี้ก็ไม่ต้องคืนเงินจริงๆ น่ะสิ”

แต่อันที่จริงแล้วบนใบหน้าของเขากลับไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย

เขามองไปทางมุมมืดมุมหนึ่งที่อยู่ในตรอก “ข้าไม่เชื่อใจตระกูลฟ่าน ทั้งพฤติกรรมและความสามารถต่างก็เชื่อถือไม่ได้แล้ว เหล่าจ้าวเจ้าไปตรวจสอบด้วยตัวเองดูสักหน่อย ข้าจะรอฟังข่าวจากเจ้า”

เจิ้งต้าเฟิงลุกขึ้นยืนแล้วรอคอยด้วยความอดทน

นครมังกรเฒ่า สายลมพัดกระโชกให้จอกแหนที่รวมตัวกันแตกกระจาย

……

ยามราตรีที่ภูเขาห้อยหัว

บนลานกว้าง นอกจากนักพรตเด็กที่เปิดหนังสืออ่านอย่างต่อเนื่องและชายกอดกระบี่ที่ตอนกลางคืนกลับไม่หลับไม่นอนแล้ว นอกจากพวกเขาก็ไม่มีใครอีก

จู่ๆ กลางกระจกที่อยู่ด้านหลังเสาใหญ่สองต้นก็มีเด็กสาวท่วงท่าองอาจผึ่งผายคนหนึ่งเดินออกมา นางห้อยกระบี่ยาวไว้ที่เอว

คิ้วของนางเข้มยาวดุจขุนเขาทอดตัวไกล

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!