บทที่ 315 พลัดหลงเข้าไปในจุดลึกของดอกบัว
เฝิงชิงป๋ายไม่เพียงแต่ถูกแย่งชิงอาวุธ ยังเกือบจะโดนอีกฝ่ายที่ใช้วิชาบังคับกระบี่แทงกระบี่ทะลุหัวใจ ทว่าเขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกว่าได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวงจนต้องบันดาลโทสะอย่างแค้นเคือง กลับกันดวงตายังมีประกายแวววาว รู้สึกว่าในที่สุดก็ ‘น่าสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว’
ถึงอย่างไรก็ยังต้องรักษากฎเกณฑ์ของยุทธภพ เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากลู่ฝ่าง เฝิงชิงป๋ายที่ยืนอยู่ด้านหลัง ‘เซียนกระบี่ครึ่งตัว’ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือท่านนี้จึงเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
มองแผ่นหลังสง่างามที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณกระบี่ เฝิงชิงป๋ายรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ตนก็แค่อาศัยตระกูลและสำนักถึงได้มีหน้ามีตาอย่างในทุกวันนี้ แม้ว่าพรสวรรค์ของเขาเองก็ไม่ได้ธรรมดา แต่กลับไม่ถึงขึ้นได้รับการขนานนามด้วยถ้อยคำอย่างเช่นว่า ‘หาไม่ได้ง่ายๆ ’ หรือ ‘ร้อยปีจะพานพบสักครั้ง’
ส่วนลู่ฝ่างนั้นไม่เหมือนกัน
คนอย่างลู่ฝ่างนี้ ไม่ว่าจะไปอยู่ในใต้หล้าแห่งใดก็ล้วนเป็นคนที่ใช้กระบี่ได้โดดเด่นที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด
ลู่ฝ่างที่หันหลังให้เฝิงชิงป๋ายคลี่ยิ้ม “ไม่ต้องเกรงใจ หากเจ้ายินดี ข้าสามารถช่วยเจ้าระวังหลังต่อได้ แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้นเจ้าต้องมีความกล้าไปช่วงชิงกระบี่เล่มนั้นกลับคืนมาเสียก่อน”
เฝิงชิงป๋ายนวดไหล่ฝั่งซ้าย ส่ายหน้าพูดด้วยความจนใจเล็กน้อย “หากอยู่ข้างบนย่อมไม่ยาก น่าเสียดายเมื่ออยู่ที่นี่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าข้าไม่อาจแย่งชิงกระบี่เล่มนั้นกลับคืนมาได้”
ลู่ฝ่างพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นอันดับต่อไปเจ้าก็สามารถชมศึกในระยะใกล้ได้เลย”
เฝิงชิงป๋ายยิ้มอย่างเข้าใจ “ภูเขาสูงสายน้ำไหลยาว วันหน้าย่อมต้องได้ตอบแทน”
การลงมาครั้งนี้ของเฝิงชิงป๋าย ทางสำนักต้องติดค้างหนี้น้ำใจของผู้อื่นใหญ่เทียมฟ้า เพื่อช่วยให้เรือลำน้อยของตนล่องผ่านขุนเขานับหมื่นมาได้ เป็นเจ๋อเซียนที่สติปัญญาเปิดกว้างรู้สิ่งที่ตัวเองต้องการมาสิบปี เขาได้ละทิ้งตัวตนผู้ฝึกกระบี่ ช่วงชิงเนื้อหนังมังสาของร่างหนึ่งที่รากฐานพอใช้ได้ จากนั้นก็ใช้สถานะของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวและมือกระบี่ในยุทธภพเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ท้าทายยอดฝีมือของสถานที่ต่างๆ ผลประโยชน์ที่ได้รับย่อมมี แต่ยังไม่มากพอให้เฝิงชิงป๋ายบรรลุถึงคำว่า ‘จากไกลมาใกล้’ อย่างที่อาจารย์เคยกล่าวไว้
ก่อนจะลงมา เฝิงชิงป๋ายเคยจับเข่าพูดคุยกับอาจารย์เป็นระยะเวลานานครั้งหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่นอกจากกระบี่ที่พกติดกายแล้ว ยังต้องมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็เพื่อคำว่าไกล ต่อให้อยู่ห่างไปหลายสิบจั้ง หลายร้อยหลายพันจั้งก็ยังสามารถฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย ส่วนมือกระบี่ในยุทธภพนั้นแสวงหาคำว่า ‘ข้าไร้ศัตรูในสามฉื่อ’ นั่นคือคำว่าใกล้
ดังนั้นเฝิงชิงป๋ายจึงต้องบรรลุวิถีกระบี่จากจุดที่ใกล้
ยังดีที่การดูมือกระบี่ชุดขาวและลู่ฝ่างออกกระบี่ก็คือการฝึกตนอย่างหนึ่ง
ดวงตาของเฝิงชิงป๋ายยังพอมีแวว แล้วก็เป็นคนที่พอมีสติปัญญาอยู่บ้าง
ส่วนข้อที่ว่าวันนี้จะแพ้หรือชนะ เฝิงชิงป๋ายไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ เพราะในความเป็นจริงแล้วเจ๋อเซียนส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้มาเยือนโลกมนุษย์เพียงเพื่อคำว่า ‘ไร้ศัตรู’ หรือ ‘กุมชัยชนะทุกครั้ง’ แต่ที่มากกว่านั้นยังคงเป็นการผ่านด่านทางจิตใจของแต่ละคนมากกว่า
ยาเอ๋อร์นั่งพิงกำแพงอย่างอ่อนแรง เหงื่อแตกโซมกาย ตอนนี้นางทำได้แค่หยุดสภาพน่าเวทนาที่เลือดไหลดั่งน้ำพุไว้เท่านั้น นางถึงขั้นไม่กล้าก้มหน้าลงมองบาดแผลด้วยซ้ำ
ใบหน้าของสตรีอุ้มผีผาที่ถูกฝังเลื่อมอยู่ในกำแพงเต็มไปด้วยคราบเลือด ดิ้นรนอยู่พักหนึ่งกว่าจะร่วงลงมาบนพื้นได้ นางเอนหลังพิงกำแพง ค่อยๆ ใช้แรงพยุงตัวลุกขึ้นยืน มองผีผาอันเป็นที่รักของตัวเองซึ่งท่องอยู่ในยุทธภพร่วมกับนางมานานหลายปีแวบหนึ่ง มันพังเละไปแล้ว และนางก็ไม่มีแรงไปเก็บมันขึ้นมา นางไม่แม้แต่จะมองการสู้รบบนถนน ใช้มือข้างหนึ่งกดลงบนกำแพง เดินโซซัดโซเซไปเบื้องหน้า หญิงสาวที่น่าสงสารหน้าซีดขาวจนน่ากลัว ดูเหมือนนางต้องการไปยังสถานที่หนึ่งให้ได้
หม่าเซวียนยังไม่ฟื้นขึ้นมา และบางทีอาจจะไม่มีโอกาสฟื้นขึ้นมาอีกแล้วชั่วชีวิต
หน้าผากของโจวซื่อมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นมาหนึ่งชั้น เพียงแค่หางตาเหลือบเห็นการควบคุมกระบี่ของมือกระบี่ชุดขาวผู้นั้น หัวใจของโจวซื่อก็เหมือนมีหินก้อนใหญ่กดทับจนเขาแทบหายใจไม่ออก
การเร่งให้ลูกประคำที่กลิ้งไปตามพื้นเหล่านั้นหยั่งรากลงไปไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องสกัดดึงลมปราณกลุ่มหนึ่งมาจากในร่างกายก่อน แล้วค่อยๆ กรอกเข้าไปในลูกประคำอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นก็ใช้วิชาที่มีชื่อว่า ‘สังหารมังกร’ ซึ่งเป็นวิชาค่ายกลตระกูลเซียนที่บิดาโจวเฝยได้รับสืบทอดมา เอามาจัดวางเม็ดลูกประคำให้เป็นเหมือนกระดานหมากล้อม และเมื่อวางเม็ดหมากจัดเรียงบนกระดานเสร็จแล้วก็ถึงจะถือว่าทำสำเร็จ ระหว่างนี้ไม่อาจทำพลาดแม้แต่ก้าวเดียว ลูกประคำทุกลูกต่างก็มี ‘ปราณเซียน’ ที่โจวเฝยไปขูดรีดรวบรวมมาจากทั่วสารทิศ โจวเฝยเคยบอกกับเขาว่าจะเอาอาวุธอะไรออกมาใช้ก็ได้ แต่ห้ามโจวซื่อทำลูกประคำพวกนี้เสียหายเด็ดขาด
การเดินทางมาเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนพร้อมกับบิดาในครั้งนี้ เขาคิดว่ากุมชัยชนะอยู่มือแล้ว และความรู้สึกที่มากกว่านั้นคือแค่อยากมาร่วมความครึกครื้นเสียมากกว่า แค่คอยหลบอยู่ใต้เงาของบิดา ของมารเฒ่าติง นั่งภูดูเสือกัดกัน ดูคนอื่นเข่นฆ่ากันแทบเป็นแทบตายก็พอแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าติงอิงทำอะไรตามอำเภอใจ บีบให้เขาจำต้องพาตัวมาเสี่ยงอันตรายร่วมกับยาเอ๋อร์
บิดาตายไปก็ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ แต่หากเขาโจวซื่อตายไปก็อย่าหวังว่าวิญญาณจะกลับเข้าร่างได้อีกครั้ง คิดจะให้โจวซื่อคนเดิมกลับคืนมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง นั่นต้องเรียกว่ายากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์อย่างแท้จริง
อีกทั้งด้วยนิสัยของบิดา ขอแค่เขาโจวซื่อตายไปก่อนวัยอันควร แม้แต่ศพของตนบิดาก็อาจคร้านที่จะมองให้นานด้วยซ้ำ ไม่มีทางที่จะคิดทำอะไรเพื่อเขาอีกแน่นอน
การที่เฉินผิงอันไม่ได้ฉวยโอกาสไล่ตามไปโจมตีต่อ นอกจากเป็นเพราะลู่ฝ่างสอดมือเข้าแทรกแล้ว ยังเป็นเพราะต้องทำความคุ้นเคยกับน้ำหนักของกระบี่ยาว รวมไปถึงน้ำหนักของปราณแท้จริงที่มันจำเป็นต้องใช้ในการบินไปยังวงโคจรต่างๆ ยิ่งแม่นยำเท่าไหร่ก็ยิ่งดี คำว่าเหมือนชี้นิ้วสั่งของอาจารย์กระบี่ที่ควบคุมกระบี่ ถือว่าเพิ่งจะข้ามผ่านธรณีประตูมาเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือต้องเลื่อนสู่ขอบเขตที่เรียกว่า ‘จิตเชื่อมโยงถึงกัน’ นี่คือการเลียนแบบการควบคุมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่อย่างหนึ่ง ก็เหมือนการคัดลอกลายแบบหยาบๆ ที่แม้จะเป็นของปลอม แต่ก็มีความตั้งใจจริง เป็นความรู้อย่างหนึ่งที่ใหญ่มากเช่นกัน
ส่วนลู่ฝ่างนั้นอันที่จริงเขายังสองจิตสองใจ
เพราะมารเฒ่าติงอยู่ใกล้ๆ
หากเขาเลือกลงมือเล่นงานมือกระบี่ชุดขาวอย่างเต็มกำลัง ก็ง่ายที่จะถูกติงอิงซึ่งมีนิสัยประหลาดลอบฆ่า การลงมือของติงอิงไม่เคยสนกฎเกณฑ์หรือสถานะใดๆ ทั้งสิ้น บางครั้งคิดเล่นงานผู้ฝึกยุทธ์ปลายแถวที่เกลียดขี้หน้าคนหนึ่งก็ถึงขั้นปล่อยหมัดอย่างเต็มกำลัง อีกอย่างคือลู่ฝ่างเป็นห่วงความปลอดภัยของหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อ
และเวลานี้เองทั้งลู่ฝ่างและเฉินผิงอันต่างก็มองไปยังจุดเดียวกันแทบจะเวลาเดียวกัน
นั่นคือผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียว เรือนกายสูงผอมคนหนึ่ง ระหว่างที่ก้าวเดินเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความเข้มงวดจริงจัง เห็นได้ชัดว่าเป็นปรมาจารย์บนยอดเขาที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของใต้หล้าแห่งนี้ ทว่าเขากลับไม่ได้สอดมือเข้ายุ่งการคุมเชิงระหว่างเฉินผิงอันกับลู่ฝ่าง แต่เดินเลี้ยวเข้าไปในตรอก ไปยังบ้านที่เฉินผิงอันมาพักอาศัยอยู่ชั่วคราว
ราชครูจ้งชิวหมายหัวติงอิง
หากจะบอกว่าบนโลกนี้ใครกล้าใช้สองหมัดเขย่าคลอนมารเฒ่า อีกทั้งยังสามารถต่อสู้กันอย่างสะท้านสะเทือนอารมณ์ ยินดีต่อสู้จนตัวตายโดยไม่ถอยหนี ไม่ใช่อวี๋เจินอี้เทพเซียนที่เหมือนจะอยู่เหนือขอบเขตวรยุทธ์ไปหนึ่งระดับ ยิ่งไม่ใช่เขาลู่ฝ่างแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่น มีเพียงจ้งชิวเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ลู่ฝ่างก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีกแล้ว
ลู่ฝ่างชักกระบี่ออกจากฝักช้าๆ ทุกครั้งที่ต้าชุนโผล่พ้นฝักมาหนึ่งชุ่น บนโลกก็จะมีประกายแสงสดใสเพิ่มมาอีกหนึ่งชุ่น เจิดจ้าพร่าตา ขนาดใบหน้ายิ้มยังต้องหรี่ตาลง
เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่ภาวนาอยู่ตลอดเวลาว่าขออย่าให้ทุกคนเห็นตนนั่งห่อตัวอยู่บนม้านั่ง ในขณะที่แม้แต่ใบหน้ายิ้มยังต้องหรี่ตา นางกลับเบิกตากว้าง จ้องมองแสงกระบี่ที่ยาวจากหนึ่งชุ่นลามเป็นสองชุ่นตาไม่กะพริบ แม้ว่าน้ำตาจะอาบเต็มใบหน้าก็ไม่คิดถอนสายตากลับ รอจนต้าชุนออกจากฝักมาครึ่งหนึ่ง นางถึงรีบหันหน้าหนี รู้สึกเหมือนตัวเองจะตาบอด ต่อให้หลับตาลงแล้วก็ราวกับว่า ‘เบื้องหน้า’ ยังมีแต่สีขาวโพลน นางยื่นมือน้อยที่ผอมแห้งราวกับตีนไก่ออกมาเช็ดใบหน้าเบาๆ
การที่นางจ้องมองคนผู้นั้นชักดาบ นางแค่รู้สึกว่าภาพนั้นช่างงดงามจนนึกอยากจะคว้ามาไว้ในฝ่ามือ
ทุกๆ เช้าที่นางเดินไปตามร้านที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล น้ำลายสอมองอาหารอร่อยหลากหลายชนิดที่ออกจากเตา ใจก็คิดอยากจะไปชิงมาแล้ววิ่งหนีไป หาสถานที่แห่งหนึ่งหลบซ่อนตัว กินอิ่มแล้วก็โยนทิ้ง ทางที่ดีที่สุดคือไม่ให้คนอื่นได้กิน ให้ทุกคนหิวจนล้มตายกันไปให้หมด
จ้งชิวเดินมาถึงด้านนอกของบ้านหลังนั้น ประตูบ้านไม่ได้ปิด เขาจึงเดินตรงเข้าไปข้างใน
ติงอิงมองเห็นอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า ผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกวิชาหมัดนอกจนถึงขั้นสูงสุดผู้นี้แล้วก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “จากลากันทีก็นานถึงหกสิบปี หากนับกันตามนี้ จ้งชิวปีนี้เจ้าอายุเจ็บสิบเท่าไหร่แล้ว?”
จ้งชิงมองภาพเหตุการณ์บนหน้าต่างรวมไปถึงความเคลื่อนไหวในห้องข้างแล้วขมวดคิ้ว
ติงอิงยืนอยู่บนขั้นบันได ไม่รู้สึกขุ่นเคืองกับอาการไม่พูดไม่จาของจ้งชิวแม้แต่น้อย ยังคงเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนว่า “ปีนั้นเจ้าไม่เชื่อที่ข้าพูด ตอนนี้คงเชื่อแล้วกระมัง?”
ติงอิงเคยท่องไปทั่วทิศทั่วแดน ร้อยปีในยุทธภพ คนที่เข้าตาของเขามีน้อยจนนับนิ้วได้ และในจำนวนคนที่นับหมดด้วยหนึ่งฝ่ามือนี้ก็ตายไปแล้วหลายคน
จ้งชิวคือคนหนึ่งในนั้น
คนบนโลกต่างก็ประเมินอวี๋เจินอี้ไว้สูง รู้สึกว่าจ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนมีฝีมือสูงส่งก็จริง แต่เมื่อเทียบกับอวี๋เจินอี้ที่เป็นหนึ่งในเทพเซียนบนยอดเขาที่แทงทะลุทะเลเมฆแล้ว ก็ยังด้อยกว่าหนึ่งระดับ
แต่ติงอิงกลับดูแคลนอวี๋เจินอี้มาโดยตลอด มีเพียงจ้งชิวที่เขารู้สึกชื่นชม
ศึกโกลาหลของแคว้นหนันเยวี่ยนเมื่อหกสิบปีก่อน ติงอิงเป็นคนในสถานการณ์มาตั้งแต่ต้นจนจบ อวี๋เจินอี้กับจ้งชิว ตอนนั้นเป็นแค่เด็กหนุ่มที่ได้รับโชควาสนาจากการจับปลาในน้ำขุ่นเท่านั้น หลังจากศึกใหญ่ปิดฉากลง ติงอิงเคยพบกับคนสองคนที่ตัวติดกันโดยบังเอิญ จึงป่าวประกาศว่าวันข้างหน้าจ้งชิวต้องได้เป็นปรมาจารย์ของพื้นที่แถบหนึ่งอย่างแน่นอน
จ้งชิวถามติงอิงสองคำถาม
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”?
“พวกเรากำลังทำอะไรอยู่?”
“นั่งลงคุยกันเถอะ” ติงอิงนั่งบนม้านั่งตัวเล็ก โบกแขนเสื้ออย่างง่ายๆ หนึ่งครั้ง ม้านั่งตัวเล็กอีกตัวหนึ่งก็ลอยมาข้างกายจ้งชิว หลังจากฝ่ายหลังนั่งลงแล้ว ติงอิงจึงเอ่ยเนิบช้าว่า “ก่อนจะตอบคำถามสองข้อนี้ ข้าจะถามเจ้าก่อน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน?”
จ้งชิวสีหน้าเคร่งขรึม “เหนือฟ้ายังมีฟ้า ข้อนี้ข้ารู้ดี”
ติงอิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เมื่อเทียบกับเบาะแสการตามหาเจ๋อเซียนที่พวกเจ้าได้มาจากเอกสารลับแล้ว ข้าสามารถบอกเจ้าได้ตรงไปตรงมามากยิ่งกว่า ระยะเวลาหกสิบปี สังหารเจ๋อเซียนกับมือตัวเองไปมากมาย มีทั้งที่สติปัญญาเปิดแล้ว และก็มีทั้งที่ยังไม่ตื่นจากฝัน จึงรู้เรื่องจากปากพวกเขามาไม่น้อย”
เขากระทืบเท้า “สถานที่แห่งนี้ของพวกเราเรียกว่าพื้นที่มงคลดอกบัว คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคล อาณาเขตของสี่แคว้น บวกกับพื้นที่ที่ยังไม่ถูกบุกเบิกเหล่านั้น พวกเรารู้สึกว่ากว้างใหญ่มาก แต่พวกเจ๋อเซียนกลับรู้สึกว่าเล็กเกินไป ตามคำบอกของพวกเขา พื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้ของพวกเราถือว่าเป็นแค่พื้นที่มงคลระดับกลางเท่านั้น การจัดระดับพื้นที่มงคลของพวกเขา นอกจากปริมาณความเปี่ยมล้นของปราณวิญญาณที่สำคัญที่สุดแล้ว จำนวนประชากรก็สำคัญมากเช่นกัน อันที่จริงพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ได้กว้างขวางเท่าใดนัก เพียงแต่ว่าบนผืนแผ่นดินแห่งนี้มีผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์เป็นจำนวนมาก แต่ไหนแต่ไรมาจึงเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เจ๋อเซียนจะลงมาฝึกขัดเกลาจิตใจ”
แม้ว่าจ้งชิวจะแสวงหาความจริงมานานหลายปี และก็พอจะคาดเดาได้นานแล้ว ทว่าพอมาได้ยินติงอิงเปิดเผยความลับสวรรค์กับหูตัวเอง จิตใจของปรมาจารย์ที่เป็นดั่งบ่อเก่าแก่ไร้คลื่นผู้นี้กลับเกิดการเปลี่ยนแปลง บนใบหน้าแสดงความโกรธเกรี้ยว
จนกระทั่งบัดนี้จ้งชิวถึงจะเพิ่งเข้าใจความกดดันของอวี๋เจินอี้
เพราะผู้ที่ฝึกวิชาคาถาของตระกูลเซียน นอกจากติงอิงแล้ว อวี๋เจินอี้ก็ยืนอยู่สูงกว่าใคร มองได้ไกลยิ่งกว่าใคร ดังนั้นสำหรับการช่วงชิงในยุทธภพ หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงในราชสำนักของสี่แคว้น เขาจึงมีความเฉยชาอย่างที่คนนอกมิอาจเข้าใจได้
ติงอิงเอ่ยยิ้มๆ “แต่จุดที่ทำให้พื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้แปลกประหลาดอย่างแท้จริงยังเป็นเพราะ…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ติงอิงก็หลุดหัวเราะพรืด เงยหน้ามองท้องฟ้า “คนคนหนึ่ง? เซียนผู้หนึ่ง?”
ติงอิงกล่าวต่อว่า “ว่ากันว่าคิดจะเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ของพวกเรายากยิ่งกว่าเข้าไปในพื้นที่มงคลแห่งอื่น ล้วนขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของคนผู้หนึ่ง หรือควรจะพูดว่าขึ้นอยู่กับวาสนาทางการมองเห็นของเขา ในบ้านเกิดของพวกเจ๋อเซียนทั้งหลาย เมื่อเทียบกับพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่สำนักซึ่งชื่อว่าสำนักกุยหยกได้ครอบครองแล้ว พื้นที่มงคลดอกบัวของใบถงทวีปแห่งนี้ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก น้อยมากที่จะมีเรื่องเล่าแพร่ออกไปภายนอก หากจะบอกว่าคนอย่างพวกโจวเฝย ลู่ฟ่างเป็นพวกลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่ออกไปเป็นขุนนางต่างถิ่น เพื่อแสวงหาอนาคตที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาจึงต้องก้าวเดินไปทีละขั้นทีละตอน แต่คนที่มากกว่านั้นกลับเป็นพวกคนที่พลัดหลงเข้ามาเสียมากกว่า จะออกไปได้หรือไม่ก็ต้องดูที่ดวงของพวกเขาเองแล้ว”
จ้งชิวชี้ไปบนท้องฟ้า “พูดแบบนี้ก็แสดงว่าฟ้านอกฟ้าแห่งนั้นก็เรียกว่าใบถงทวีปเหมือนกัน?”
รอยยิ้มของติงอิงมีเลศนัย “ใครบอกเจ้าว่าต้องอยู่เหนือหัวของพวกเราเสมอไป?”
จ้งชิวครุ่นคิดอย่างจริงจังจึงไม่ได้เอ่ยตอบโต้
ยากยิ่งนักกว่าที่ติงอิงจะเจอกับคนที่ตัวเองสามารถพูดคุยด้วยได้ เขาไม่เพียงแต่ไม่วางท่าเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า ความเย่อหยิ่งทระนงตนอย่างที่คนในโลกคิดว่าต้องมีก็ไม่แสดงออกให้เห็นเลยสักนิด เขากลับเหมือนอาจารย์ที่มีความอดทนเป็นเลิศซึ่งกำลังถ่ายทอดความรู้ไข คอยข้อข้องใจให้กับลูกศิษย์เสียมากกว่า “ตอนนี้สามารถตอบคำถามสองข้อของเจ้าได้แล้ว พวกเรากำลังทำอะไรอยู่? ทุกๆ หกสิบปี ยอดฝีมือทั้งสิบท่านที่มีรายชื่ออยู่ในการจัดลำดับ อีกทั้งยังต้องมีชีวิตอยู่จนถึงท้ายที่สุดจะถูกคนผู้นั้นหมายตาและออกไปจากที่แห่งนี้ได้ อีกทั้งหลังออกไปแล้วแต่ละคนยังจะได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ วาสนาชั้นสูงก็คือทั้งเรือนกายและจิตวิญญาณต่างก็ได้บินทะยานไปพร้อมกันอย่างสมบูรณ์แบบ วาสนาชั้นล่างก็คือได้แต่พาจิตวิญญาณไปที่อื่น”
จ้งชิวเอ่ยถาม “ดังนั้นต่อให้หอจิ้งหย่างขุดลึกลงไปในพื้นดินอีกสามฉื่อก็ต้องหายอดฝีมือใหญ่สิบท่านในใต้หล้าที่แท้จริงออกมาให้ได้ แล้วนำมาจัดลำดับ เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนปิดฟ้าข้ามทะเล หลอกตบตาให้ตัวเองผ่านด่าน? นอกจากนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนที่อำพรางตัวลึกล้ำเกินไป จึงจงใจเพิ่มสิ่งของที่เป็นดั่งโชควาสนาซึ่งสามารถทำให้ตบะเพิ่มพรวดพราดเข้ามา รวมไปถึงเรื่องที่บอกว่าหากสังหารเจ๋อเซียนได้ก็จะได้รับอาวุธเทพชิ้นหนึ่ง นี่ก็เพื่อกระตุ้นให้ยี่สิบคนแรกมารวมตัวกันแล้วเข่นฆ่ากันเอง?”
“เกี่ยวกับหอจิ้งหย่างที่คอยปลุกปั่นเรื่องราวนั้นมีเรื่องวงในมากมาย ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้งเหนือกว่าที่เจ้าและข้าคิดเอาไว้ หากไม่มีการ ‘เคาะตี’ ทุกๆ ยี่สิบปีครั้งของหอจิ้งหย่าง ใต้หล้าก็ไม่มีทางวุ่นวายขนาดนี้”
ติงอิงหัวเราะหึหึ “แต่ว่า อันที่จริงระหว่างนี้ก็มีช่องโหว่ให้ลอดเข้าไปได้”
ไม่เสียแรงที่จ้งชิวเป็นราชครูของแคว้นหนันเยวี่ยน แค่คิดนิดเดียวก็กระจ่างแจ้ง “ผู้แข็งแกร่งจะยิ่งแข็งแกร่ง โอบกอดกันเพื่อให้ความอบอุ่น ร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว สุดท้ายค่อยแบ่งผลประโยชน์ ไม่พูดถึงในอดีต เอาแค่ครั้งนี้ อวี๋เจินอี้ก็กำลังทำเช่นนี้อยู่จริงๆ ไม่แบ่งแยกธรรมะและอธรรม พยายามจะดึงยอดฝีมือยี่สิบคนแรกมาเป็นพวกเพื่อให้จัดการเจ้าติงอิง ขณะเดียวกันก็ล้อมสังหารเจ๋อเซียนไปด้วย”
กล่าวมาถึงตรงนี้ จ้งชิวก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง เขามองไปทางติงอิงคล้ายไม่เข้าใจ
ติงอิงหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าคิดถูกแล้ว วิธีการที่มั่นคงที่สุดก็คือสิบคนแรกควรรู้อะไรควรไม่ควร รีบเข้ามาเป็นพวกเดียวกับข้า แสวงหาการปกป้อง ขอแค่ข้าออกจากลัทธิมาร ทำเรื่องที่มีคุณธรรม ตั้งกฎที่ดีให้แก่ใต้หล้าอย่างรอบคอบและระมัดระวัง จากนั้นคนที่มีหวังจะได้ขึ้นไปบนรายชื่อแต่ละคนก็อาศัยความสมารถและพรสวรรค์ของตัวเอง สุดท้ายข้าค่อยเป็นคนตัดสินใจว่าเจ้าจ้งชิวอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ เขาอวี๋เจินอี้ได้อยู่สามอันดับแรกหรือไม่ ถ้าเช่นนั้นอย่างน้อยในเวลาหกสิบปีนี้ใต้หล้าก็จะสงบสุข ไหนเลยจะต้องมาต่อยตีสู้กันจนเศษสมองแหลกกระจุย แค่ต่างฝ่ายต่างประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้กันก็พอแล้ว”
จ้งชิวใคร่ครวญอย่างตั้งใจ เพื่อให้แน่ใจว่าติงอิงไม่ใช่แค่คุยโวเท่านั้น
ติงอิงใช้นิ้วเคาะไปบนหัวเข่าเบาๆ เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ผ่อนคลายอย่างยิ่ง “แต่ข้าคิดว่าแบบนี้ไม่น่าสนใจ”
จ้งชิวถามคำถามเดิมอีกครั้ง “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ติงอิงโบกมือ ยังคงไม่ตอบคำถามข้อนี้ แต่เปลี่ยนหัวข้อไปพูดว่า “เจ้ารู้ไว้แค่ว่า สถานการณ์ครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิบคนอะไรนั่นแล้ว สามคนบินทะยานที่มีชีวิตรอดอยู่จนถึงท้ายที่สุดจะสามารถพาคนของใต้หล้าแห่งนี้ไปด้วยกันได้ห้าคน สามคนและหนึ่งคน”
ติงอิงเน้นเสียงหนัก “สามคนไหนก็ได้”
จ้งชิวสีหน้าเป็นปกติ
ติงอิงกระตุกมุมปาก “คนตายก็ได้ ขอแค่เคยมีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ก็ล้วนได้ทั้งนั้น หากเลือกคนตายพวกนั้น พวกเขาจะมีชีวิตกลับคืนมา สติปัญญากลับคืนเป็นปกติ แต่นอกจากนั้นกลับเป็นได้แค่หุ่นเชิดที่จงรักภักดีเท่านั้น แบบนี้น่าสนใจมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
ในสมองของจ้งชิวมีภาพคนมากมายปรากฏขึ้นทันที
เว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน เชี่ยวชาญการใช้ทวน ถูกขนานนามให้เป็นบุคคลอันดับหนึ่งที่เชี่ยวชาญการวางค่ายกลหลุมพรางตลอดระยะเวลาพันปี
หลูป๋ายเซี่ยงผู้ก่อตั้งลัทธิมาร ตัวการร้ายผู้นำแห่งวิถีมารที่มีชื่อเสียงด้านความอำมหิตเลื่องลือที่สุดในช่วงห้าร้อยปีที่ผ่านมา
เซียนกระบี่สุยโย่วเปียนที่แม้แต่อวี๋เจินอี้ก็ยังให้ความเคารพเลื่อมใส
บุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าก่อนหน้าติงอิง จูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งอย่างสิ้นเชิง
คนเหล่านี้ล้วนเคยเป็นอันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรีมาก่อน แต่พวกเขาต่างต้องมาตายอยู่ในโลกมนุษย์ทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น ฮ่องเต้เว่ยเซี่ยนแก่ตายตอนอายุสองร้อยสิบปี หลูป๋ายเซี่ยงตายในการล้อมสังหารของยอดฝีมือหลายสิบคน สุยโย่วเปียนตายระหว่างขี่กระบี่บินทะยานภายใต้สายตาผู้คนมากมายที่จ้องมอง คนจำนวนนับไม่ถ้วนเห็นกับตาตัวเองว่าระหว่างที่นางร่วงตกลงมาในโลกมนุษย์ เลือดเนื้อได้หลอมละลาย เหลือเพียงโครงกระดูกขาว จากนั้นก็แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี จูเหลี่ยนที่หลังจากบาดเจ็บสาหัสก็ได้มาตายด้วยน้ำมือของติงอิง กวานดอกบัวสีเงินชิ้นนี้จึงเปลี่ยนจากบนศีรษะของจูเหลี่ยนมาอยู่บนหัวของติงอิง
จ้งชิวถาม “เพราะอะไร?”
ติงอิงเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามใคร?”
จ้งชิวจ้องติงอิงเขม็ง “เจ้า โจวเฝย ลู่ฝ่าง นี่ก็สามคนแล้ว”
ติงอิงหัวเราะ “ดังนั้นตอนนี้เจ้าจึงมีทางเลือกสองทาง ไปสังหารลู่ฝ่าง หรือไม่ก็ร่วมมือกับอวี๋เจินอี้เพื่อลองสังหารข้า”
จ้งชิวเงียบงัน
ติงอิงกล่าวอย่างมีเลศนัย “แต่ข้าแนะนำเจ้าว่าเจ้าควรจะรอก่อน ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะไม่จำเป็นต้องฆ่าลู่ฝ่างก็ได้”
จ้งชิวถาม “หากเจ้าจะไปจากที่นี่ เจ้าจะพาสามคนไหนไปด้วย?”
ติงอิงชี้ไปยังเฉาฉิงหล่างที่ยืนอยู่หน้าห้องครัว “หากจะให้ข้าพาไป ข้าจะพาเขาไปแค่คนเดียว”
จ้งชิวชำเลืองตามองเด็กชายคนนั้นแล้วกล่าวอย่างสงสัย “พรสวรรค์ของเขาไม่ถือว่าโดดเด่น”
ติงอิงเพียงยิ้มให้แทนคำตอบ
……
ลู่ฝ่างที่ไร้พันธนาการส่งกระบี่แรกออกไป
หนึ่งกระบี่ผ่านไป จากตำแหน่งที่ลู่ฝ่างยืนอยู่ไปจนถึงปลายทางของถนนใหญ่สายนี้ถูกฟันจนเกิดเป็นร่องลึกครึ่งจั้งยาวเหยียด
อย่าว่าแต่พวกคนที่เกิดและเติบโตมาที่นี่อย่างยาเอ๋อร์ โจวซื่อเลย แม้แต่เฝิงชิงป๋ายก็ยังมองเสียจนปากอ้าตาค้าง พลันรู้สึกเหมือนยืนอยู่ในใบถงทวีปบ้านเกิดของตน
รอยยิ้มของใบหน้ายิ้มยิ่งมีชีวิตชีวา
แอบอิงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ช่างเย็นสบายยิ่งนัก เนื่องจากในอดีตมีวาสนาได้พบกันจึงกลายมาเป็นสหายกับลู่ฝ่างในช่วงเวลาที่อีกฝ่ายตกต่ำมากที่สุด ตอนนั้นเขาเลือดร้อนขึ้นหน้าจึงบุกไปที่ตำหนักคลื่นวสันต์พร้อมกับลู่ฝ่าง ภายใต้สถานการณ์ในเวลานั้นถือว่าพร้อมกระโจนเข้าสู่ความตายร่วมกับลู่ฝ่างอย่างห้าวหาญแล้ว ทว่าสุดท้ายลู่ฝ่างตีใบหน้ายิ้มจนสลบอยู่ตรงตีนเขา แล้วขึ้นไปท้ารบกับโจวเฝยเพียงลำพัง รอจนใบหน้ายิ้มฟื้นขึ้นมา ลู่ฝ่างก็นั่งอยู่ข้างกายเขา แต่ไม่ใช่ชายผู้ผิดหวังที่วันๆ ได้แต่ดื่มเหล้าดับทุกข์อีกต่อไปแล้ว
หลายปีหลังจากนั้น ยอดเขาเหนี่ยวคั่นของลู่ฝ่างก็มีใบหน้ายิ้มคนเดียวที่สามารถขึ้นไปบนภูเขา อีกทั้งยังมีชีวิตกลับลงมา
โจวซื่อรู้สึกจนใจมากที่สุด แบบนี้ก็ไม่เท่ากับว่าค่ายกลที่ตนจัดวางอย่างยากลำบากไร้ที่ให้แสดงฝีมือหรอกหรือ?
ข้อบกพร่องเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือ มือกระบี่ชุดขาวที่ยังหนุ่มคนนั้นกลับหนีไปได้
เสี้ยววินาทีที่ลู่ฝ่างออกกระบี่ก็เหมือนเขาจะแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่สามารถต้านทานพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของกระบี่นี้ได้ จึงเบี่ยงตัวหนีไปในแนวขวาง จากนั้นก็พุ่งชนกำแพงแล้วหายวับไปทั้งอย่างนั้น
ลู่ฝ่างกวาดตามองรอบด้าน เขาไม่คิดว่าคนผู้นี้จะหนีไป
เขาเงื้อกระบี่ด้วยท่วงท่าที่คล้ายผ่อนคลายฟันผ่าให้กำแพงแถบนั้นเกิดเป็นประตูบานใหญ่
ฝุ่นตลบคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ พอจะมองเห็นภาพชุดคลุมขาวหลบเลี่ยงปราณกระบี่ที่เป็นดั่งน้ำหลากแล้วหายตัวไปอีกครั้งได้อย่างเลือนราง
ลู่ฝ่างรู้ดีว่าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ว่าใครก็ทำร้ายใครไม่ได้ พลังการสังหารของตนเหนือกว่าอีกฝ่าย แต่คนผู้นั้นกลับสามารถหลบเลี่ยงการออกกระบี่ของตนได้ทุกครั้ง
เว้นเสียจากว่าจะมีคนตัดสินใจเด็ดขาด ยอมแลกชีวิตกับอีกฝ่าย
ยกตัวอย่างเช่นลู่ฝ่างเก็บปราณกระบี่เกินครึ่งกลับมา มอบโอกาสให้คนผู้นั้นเข้ามาประชิดตัว
หรือคนผู้นั้นยินดีทุ่มหมดหน้าตัก สามารถต้านทานสองกระบี่ที่หนึ่งใช้สังหารศัตรู สองใช้ป้องกันกายของลู่ฝ่างไว้ได้ จากนั้นก็ต่อยให้ลู่ฝ่างตายด้วยหมัดเดียว
หนึ่งกระบี่ของลู่ฝ่างพุ่งออกไปอีกครั้ง
กลางอากาศปรากฏปราณกระบี่โค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยวขนาดใหญ่ยักษ์ที่พุ่งฉิวออกไป
ชุดคลุมขาวรีบร้อนยกเลิกการกระโจนมาด้านหน้า ร่างร่วงดิ่งลงอย่างรวดเร็วถึงหลบพ้นปราณกระบี่เส้นนั้นมาได้
ลู่ฝ่างก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็ลอยขึ้นไปอยู่บนหัวกำแพง
หลายครั้งที่คนผู้นั้นเบี่ยงตัวหลบเลี่ยง ลู่ฝ่างไม่เคยเห็นกระบี่ประจำกายเฝิงชิงป๋ายเล่มนั้นเลยสักครั้ง นี่ค่อนข้างจะประหลาด
ลู่ฝ่างเห็นเพียงว่าคนผู้นั้นยืนอยู่บนปลายชายคาที่ตวัดงอนของบ้านหลังหนึ่งซึ่งห่างไปไกล ชายแขนเสื้อใหญ่พลิ้วไหวน้อยๆ เมื่อรวมเข้ากับน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดตรงเอว นี่ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ใช้คำว่าล่องลอยเหนือธุลีมาบรรยายได้ ปณิธานหมัดเข้มข้นของทั้งร่างเขาผสานเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน การที่มีปณิธานหมัดหนาหนักอีกทั้งยังใสกระจ่างได้เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ต่อให้เป็นลู่ฝ่างที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วใบถงทวีปก็จำต้องยอมรับว่า ขอแค่เจ๋อเซียนหนุ่มที่มีวรยุทธ์ปนเปหลากหลายผู้นี้รอดชีวิตออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวได้ ความสำเร็จในอนาคตของเขาต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน
คันเบ็ดเล่มหนึ่งตกปลาไม่ขึ้น ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนมาใช้วิธีใหม่ หว่านแหจับปลาไปเลยแล้วกัน
ลู่ฝ่างสะบัดแขนร่ายท่ากระบี่
นอกจากกระบี่เล่มที่ถือไว้ในมือแล้ว ด้านหน้าลู่ฝ่างยังมีกระบี่อีกสามสิบหกเล่มลักษณะเหมือนกับกระบี่ต้าชุนอย่างไม่มีผิดเพี้ยนลอยอยู่ ประหนึ่งพลทหารราบที่จัดขบวนทัพอย่างมีระเบียบ ให้การป้องกันอย่างเข้มงวด
กระบี่ยาวเล่มแล้วเล่มเล่าค่อยๆ ขยับเคลื่อนหน้าอย่างเชื่องช้า แต่แล้วก็พลันเพิ่มความเร็วแหวกอากาศออกไป
เฉินผิงอันห้อตะบึงอยู่กลางอากาศเหนือหลังคาบ้านหลังแล้วหลังเล่า กระโดดตัวพลิกตลบหมุนตีลังกา ปราณกระบี่หลายเส้นที่กลายมาเป็นรุ้งสีขาวประหนึ่งหนอนชอนไชกระดูกที่ทยอยกันระเบิดแตกอยู่รอบกายเขา
นอกจากจะต้องบังคับปราณกระบี่ต้าชุนสามสิบหกเล่มให้เป็นดั่งลูกธนูที่ถูกยิงออกไปแล้ว ขอแค่เฉินผิงอันทิ้งระยะห่าง ลู่ฝ่างก็จะต้องบุกรุดหน้าไปอย่างเหมาะสม รักษาระยะห่างสามสิบจั้งเอาไว้ตลอดเวลา ไม่ให้โอกาสเฉินผิงอันได้กระโจนเข้ามาเบื้องหน้าตัวเองอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าลู่ฝ่างออกกระบี่ก็เพื่อสังหารเฉินผิงอัน หาใช่ต้องการเล่นแมวจับหนู แต่เมื่อไหร่ที่เฉินผิงอันคิดว่าจะเข้ามาประชิดตัวเขาได้ เมื่อไหร่ที่เข้าใจผิดคิดว่าหนึ่งหมัดจะตัดสินแพ้ชนะ ลู่ฝ่างก็พร้อมวางหลุมพรางรอให้เฉินผิงอันมาติดกับ
เพียงแต่ไม่รอให้ลู่ฝ่างใช้กระบี่ทั้งสามสิบหกเล่มจนหมด คนผู้นั้นก็เริ่มวิ่งห้อเข้ามาหาลู่ฝ่าง ฝีเท้าที่แผ่วเบาเหยียบซ้ายแตะขวา ไม่ได้วิ่งมาเป็นแนวเส้นตรง
ลู่ฝ่างตกตะลึงเล็กน้อย ในใจหัวเราะเสียงเย็น มาเดี๋ยวนี้เลยหรือ?
นิ้วทั้งห้าขยับเล็กน้อย สุดท้ายกระจายกระบี่บินหกเล่มออกไปให้กลายเป็นเส้นโค้งอยู่กลางอากาศ ปลายกระบี่พุ่งไปรวมกันที่จุดจุดเดียว
จุดนั้นก็คือตำแหน่งที่หมัดของคนผู้นั้นต้องพุ่งผ่านมา
ประกายแสงวาบผ่านมา กระบี่บินทั้งหกเล่มพร้อมใจกันระเบิดอยู่ด้านหลังของคนผู้นั้น พลังอำนาจรุนแรงสะเทือนเลือนลั่น
ยังเร็วได้มากกว่าที่คิดจริงๆ ด้วย
ลู่ฝ่างไม่ได้ตกใจแม้แต่น้อย ยิ่งไม่มีความตระหนกลน
ต้าชุนเล่มจริงที่ถืออยู่ในมือวาดปาดเป็นแนวขวาง
ปราณกระบี่รวมกันเป็นหนึ่งเส้น
กระบี่นี้เหมือนจะแบ่งเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนออกเป็นชั้นบนกับชั้นล่าง
เฉินผิงอันไม่ถอยกลับรุกเข้าใส่ รุดหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัว หนึ่งหมัดต่อยเปรี้ยงเข้าที่แสงกระบี่เส้นนั้น
เลือดสดสาดกระเซ็นอยู่เบื้องหน้าตัวเขา
แววตาของลู่ฝ่างเฉยเมย แค่ยกกระบี่ขึ้นฟันฉับ
แรกเริ่มฟันบนและล่าง จากนั้นค่อยแบ่งซ้ายขวา
เพียงแต่ว่าทันใดนั้นลู่ฝ่างต้องอาศัยสัญชาตญาณตัวเองกระโดดขึ้นไปเหยียบบนหลังคา จากนั้นกระบี่บินเล่มหนึ่งก็พุ่งจากด้านหลังตำแหน่งที่ลู่ฝ่างยืนอยู่ก่อนหน้านี้ไปหาเฉินผิงอัน
ลู่ฝ่างหวาดผวาไม่คลาย
กระบี่ของเฝิงชิงป๋ายเล่มนั้นต้องถูกทิ้งไว้บริเวณกำแพงนี่แน่ๆ การพุ่งชนกระบี่ที่ปาดออกไปมองดูเหมือนมุทะลุวู่วาม ไม่ใช่เพื่อการออกหมัด แต่เพื่อจะบังคับกระบี่ให้โจมตีขนาบทั้งหัวและท้าย
เฉินผิงอันยื่นมือไปกุมกระบี่ยาว
อีกแค่เสี้ยวเดียวก็สามารถแทงทะลุหัวใจลู่ฝ่างได้แล้ว
แต่เขากลับไม่มีสีหน้าเสียดาย เพียงพูดในใจหนึ่งคำว่า “ไป!”
ลู่ฝ่างตะลึงพรึงเพริด ไม่ทันออกเสียงเอ่ยเตือนหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อที่อยู่บนถนนใหญ่ แล้วก็ไม่มีเวลามามัวสนใจอะไรอีกแล้ว เขารีบตามไปด้านหลังติดๆ แล้วขว้างต้าชุนที่อยู่ในมือไปยังกำแพงฝั่งนั้น
ลู่ฝ่างแบ่งสมาธิเล็กน้อยมาร่ายเวทบังคับกระบี่ที่แท้จริง หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดช่องโหว่กลายเป็นว่าช่วยคนไม่สำเร็จกลับกลายเป็นฆ่าคน
กระบี่พกของเฝิงชิงป๋ายลอดทะลุกำแพง ปักแทงตรงกับท้ายทอยของโจวซื่อพอดี
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น ต้าชุนของลู่ฝ่างก็ทะลุกำแพงในลักษณะที่เอียงลงเล็กน้อย กระแทกกระบี่บินเล่มนั้นจากจุดที่สูงกว่า
เพียงเส้นยาแดงผ่าแปด ต้าชุนกระแทกลงบนกระบี่บินอย่างแรง เป็นเหตุให้กระบี่บินเล่มนั้นร่วงหล่นลงเบื้องล่าง แค่แทงทะลุหัวไหล่ของโจวซื่อ แรงเฉื่อยมหาศาลพาให้หนุ่มปักบุปผาผู้นี้เซถลาไปด้านหน้า
ลู่ฝ่างพลันเงยหน้าขึ้น
คนชุดขาวเหมือนดาวตกที่ร่วงลงมาจากโพรงหลังคา หยุดอยู่ตรงหน้าลู่ฝ่างพร้อมกับหมัดที่ส่งมาถึง
ร่างทั้งร่างของลู่ฝ่างถูกต่อยจนไถลลื่นออกไปกระแทกผนังแตกร้าว หมัดที่สองก็ตามมาอีก
กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
บนแนวเส้นตรงนี้ ลู่ฝ่างรับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าไปเก้าหมัดเต็มๆ เขาถอยกรูดไปตลอดทาง ผนังที่ก่อนหน้านี้ใบหน้ายิ้มและเฉินผิงอันเคยยืนอยู่ก็ถูกหลังของลู่ฝ่างกระแทกจนเละเทะ
ลู่ฝ่างอยากจะบังคับกระบี่บินต้าชุนให้มาช่วยตัวเอง แต่เขากลับค้นพบว่าตัวเองไม่มีความกล้ามากพอ ได้แต่รวบรวมลมปราณทั้งหมดในร่างปกป้องร่างกายและจิตวิญญาณไว้สุดชีวิต
อีกอย่างถึงอย่างไรต้าชุนก็เป็นแค่ศาสตราวุธของฟ้าดินแห่งนี้ ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ลู่ฝ่างทิ้งไว้ในใบถงทวีป
เฉินผิงอันปล่อยหมัดที่สิบออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว
ร่างของลู่ฝ่างกระแทกโครมเข้ากับสิ่งปลูกสร้างอีกฝั่งหนึ่งของถนน สุดท้ายร่างฝังเลื่อมอยู่ในกำแพงเหมือนกับสตรีอุ้มผีผาก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด สภาพอเนจอนาถสุดขีด
แต่เฉินผิงอันก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนสำหรับการดึงดันออกหมัดในครั้งนี้เช่นกัน
คนผู้หนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ด้านข้าง ต่อยเปรี้ยงเข้าที่จุดไท่หยางของเฉินผิงอัน
เหมือนถูกระฆังกระแทกใส่ศีรษะ
เฉินผิงอันกระเด็นไปไกลหลายสิบจั้ง ทรุดตัวกึ่งคุกเข่าอยู่บนถนน ข้างฝ่าเท้าก็คือร่องลึกที่ถูกปราณกระบี่ของลู่ฝ่างผ่าออกก่อนหน้านี้
คนที่ออกหมัดขัดจังหวะกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของเฉินผิงอันคือคนที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อสีเขียว เขายืนอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกข้างหนึ่งกำเป็นหมัดวางไว้ด้านหน้า ปราณมั่นคงจิตสงบนิ่ง
เฉินผิงอันหันหน้าไปถ่มเลือดคั่งสีเขียวออกดำทิ้ง ยกมือเช็ดมุมปาก
เด็กหญิงผอมแห้งที่อยู่ตรงกลางระหว่างราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนและเฉินผิงอันพอดีเอาแต่ขดตัวอยู่บนม้านั่งตัวเล็กมุมกำแพงมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
นางแอบชำเลืองมองเจ้าคนที่สวมชุดคลุมขาวผู้นั้น ร้ายกาจก็ร้ายกาจอยู่หรอก แต่ตอนนี้กลับค่อนข้างจะน่าสงสารสักหน่อย
โดยไม่ทันรู้ตัว นางค้นพบว่าเขาที่บอกให้ตนนั่งอยู่ที่เดิมห้ามขยับไปไหน แม้จะถูกคนต่อยหมัดหนึ่งจนมีสภาพน่าเวทนา แต่หลังจากลุกขึ้นยืนแล้ว เขาก็กำลังจ้องมองผู้เฒ่าที่ท่าทางเหมือนอาจารย์ในโรงเรียน แล้วก็กำลังประสานสายตากับตนอยู่เช่นกัน
เหมือนจะกำลังบอกว่า ไม่ต้องกลัว?
ทั้งๆ ที่นางรู้ดีว่าชีวิตของตนผูกติดกับเขาแล้ว หากเขาตาย ตนก็คงต้องตายตามไปด้วย
แต่นางก็ยังอดกลั้นความโมโหเกรี้ยวกราดของตัวเองไม่ได้ อยากจะให้นาทีถัดมาเขาถูกเจ้าตะพาบเฒ่าผู้นั้นต่อยตายไปซะเลย
อารมณ์แบบนี้ยากที่จะอธิบายให้กระจ่างได้
ก็เหมือนตอนนั้นที่นางเห็นตุ๊กตาหิมะตัวจิ๋วในกล่องไม้ใบเล็ก
นางชอบมันมากขนาดนั้น แต่ในเมื่อไม่ได้มาครอบครองก็ต้องทุบทิ้ง ทำลายทิ้ง ฆ่าทิ้ง
นางรู้สึกว่าคิดเช่นนี้ไม่มีอะไรที่ไม่ถูก