Skip to content

Sword of Coming 316

บทที่ 316 คนอื่นช่วงชิงการข้ามผ่าน ข้าฝ่าทะลุขอบเขต

กระบี่บินสองเล่มทยอยกันแหวกทะลวงกำแพงมาถึง โจมตีหนุ่มปักบุปผาที่เพิ่งเก็บลูกประคำทั้งหมดกลับมาได้สำเร็จให้บาดเจ็บสาหัส

จากนั้นลู่ฝ่างที่ตอนแรกเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ถูกหมัดแล้วหมัดเล่าต่อยกลับไปบนถนนเส้นนี้ หมัดสุดท้ายก็ยิ่งต่อยให้ลู่ฝ่างจมเข้าไปในกำแพง

สุดท้ายก็เป็นจ้งชิวราชครูของแคว้นหนันเยวี่ยนที่มาปิดท้าย

จ้งชิวที่ถูกขนานนามว่าเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าต่อยหมัดเดียวก็ทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นถอยออกไป ช่วยชีวิตลู่ฝ่างที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงเอาคืนไว้ได้

เฝิงชิงป๋ายอาศัยโอกาสนี้ชิงกระบี่ของตัวเองกลับคืนมา ไม่เพียงเท่านี้ เขายังพยายามหาโอกาสเอาต้าชุนกลับคืนมาให้ลู่ฝ่างด้วย เพียงแต่ว่าการโผล่ออกมากะทันหันของจ้งชิวทำให้เฝิงชิงป๋ายล้มเลิกความคิดนี้ จะได้ไม่เป็นการวาดงูเติมหาง

เฝิงชิงป๋ายพ่นลมหายใจยาวๆ หนึ่งครั้ง หากหมัดนี้ของจ้งชิวต่อยเข้าที่จุดไท่หยางของตน คาดว่าคงต้องอาศัยให้ทางสำนักทุ่มเงินเข้าช่วยเหลือ หาไม่แล้วก็คงต้องจุติกลับมาเกิดใหม่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า รากฐานของการฝึกตนถูกลดทอนและหล่อหลอมให้ผสานรวมกับฟ้าดินแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง ฟ้าดินเป็นดั่งเตาหลอม หมื่นสรรพสิ่งเป็นดั่งทองแดง ก็คือหลักการนี้

ส่วนลูกศิษย์ของคนผู้นั้นก็คือคนที่รับผิดชอบจุดไฟกระพือลม

คนผู้นั้นไม่เคยปรากฏกาย ไม่เคยเผยตัวบนโลกมนุษย์ มีเพียงนักพรตเต๋าน้อยที่ในมือถือพัดใบกล้วยเท่านั้นที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลการโคจรของตลอดทั้งพื้นที่มงคลดอกบัว แน่นอนว่าเด็กน้อยนั่นก็ได้ไปมาหาสู่กับเซียนดินของสถานที่ต่างๆ ในใบถงทวีปที่มีคุณสมบัติพอจะรู้เรื่องวงในด้วย ก่อนที่เฝิงชิงป๋ายจะลงมา บุรพาจารย์ในสำนักเคยนำพาเขาไปพบกับเด็กคนนั้น และขนาดบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาขอบเขตหยกดิบก็ยังต้องรักษามารยาทของคนในระดับที่เท่าเทียมกันกับเจ้าเด็กที่พูดจาไร้ความเกรงใจนั่น

มาเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว เวลาสั้นๆ หลายสิบปีผ่านพ้นไป กลับให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกลกันคนละโลก

ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็น เฝิงชิงป๋ายมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า การขัดเกลาจิตแห่งกระบี่บนมหามรรคาครั้งนี้ของตน เกินครึ่งคงต้องหยุดไว้เพียงเท่านี้ หากโชคดี อย่างมากก็ได้อาวุธหนักของตระกูลเซียนที่มีระดับเป็นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งมาครอบครอง

ถึงอย่างไรตอนนี้พลังการต่อสู้ของเขาก็ยังสมบูรณ์แบบ หันกลับมามองลู่ฝ่างที่ปิดฉากลงแล้ว ไม่แน่ว่าจิตแห่งเต๋าอาจจะได้รับความเสียหายไปด้วย ต่อให้กลับไปใบถงทวีปก็น่าจะยังเป็นปัญหาใหญ่

เจ๋อเซียน เจ๋อเซียน ฟังแล้วรื่นหูงดงาม แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น มีเพียงคนอย่างโจวเฝยที่เลื่อมใสในคำว่า ‘หากมนุษย์ไม่รู้จักเสพสุข แล้วจะต่างจากสัตว์และพืชหญ้าอย่างไร’ ซึ่งหลังจากลงมาแล้วก็ไม่เคยสนใจรากฐานการฝึกตน แน่นอนว่าย่อมมีชีวิตอย่างสุขสบาย

แต่คนอย่างเขาเฝิงชิงป๋าย อย่างลู่ฝ่างนี้กลับมีชีวิตที่อันตรายอย่างมาก ขนาดผู้อาวุโสถงชิงชิงที่ต่อให้จะมีฐานะสูงศักดิ์เป็นถึงเจ้าประมุขของหอจิ้งซิน เป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ของใต้หล้าก็ยังต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ มาหลายสิบปี จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ยอมเผยตัว นี่ก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด

เก็บความคิดวุ่นวายทั้งหมดกลับมาแล้ว เฝิงชิงป๋ายก็เริ่มทบทวนการต่อสู้ในครั้งนี้ พยายามจะใคร่ครวญหาหนทางให้ได้มากที่สุด

ก่อนหน้านี้เขาเฝ้ามองการเข่นฆ่าที่ดุเดือดครั้งนี้อยู่ไกลๆ ตลอดเวลา หวังเอาหินบนภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยก นี่ก็คือการฉวยโอกาสขัดเกลาสภาพจิตใจบนเส้นทางของการฝึกตน มีส่วนคล้ายวิธีการนึกคิดของศาสนาพุทธ

ในสายตาของเฝิงชิงป๋าย ศึกบนยอดเขาของพื้นที่มงคลดอกบัว อันที่จริงไม่ได้เป็นรองศึกช่วงชิงระหว่างโอสถทอง และก่อกำเนิดของใบถงทวีปเลยแม้แต่น้อย

การประมือกันระหว่างคนหนุ่มชุดขาวกับลู่ฝ่างตระการตาถึงเพียงนี้ หากเป็นการลงมือในฉากสุดท้ายของตัวแทนฝ่ายธรรมะและอธรรมอย่างติงอิงกับอวี๋เจินอี้ จะเกิดภาพปรากฎการณ์แบบใด?

เดิมทีเฝิงชิงป๋ายไม่ได้เห็นดีในตัวเฉินผิงอันเท่าใดนัก เพราะเมื่อลู่ฝ่างที่เป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใบถงทวีปมาอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวที่ปราณวิญญาณเบาบาง ถูกกดกำราบไว้อย่างแน่นหนา กลับสามารถลุกผงาดทวนกระแส ใช้วิธีการอื่นคลำเจอธรณีประตูของวิถีกระบี่ได้ใหม่อีกครั้ง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระบี่ของลู่ฝ่างที่โจมตีไกลป้องกันใกล้

ทว่าผลลัพธ์กลับอยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคน

จุดที่น่านับถือซึ่งเป็นตัวพลิกสถานการณ์นั้นอยู่ที่ว่า คนผู้นั้นถึงกับมองออกว่าลู่ฝ่างต้องช่วยโจวซื่อ

ในยุทธภพเล่าลือกันว่าลู่ฝ่างกับโจวเฝยคือศัตรูคู่อาฆาตที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ อีกทั้งลู่ฝ่างยังเคยแบกกระบี่ขึ้นเขาเปิดศึกเป็นตายกับตำหนักคลื่นวสันต์ นี่เป็นเรื่องจริงที่หลอกใครไม่ได้

เฝิงชิงป๋ายมาเยือนพื้นที่มงคลดอกบัวสิบกว่าปีแล้ว แต่คนหนุ่มผู้นั้นเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน ตามหลักแล้วทัศนียภาพบนภูเขาของใต้หล้าแห่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยสำหรับเขาถึงจะถูก เฝิงชิงป๋ายคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า การประมือครั้งนี้ เดิมทีคนที่อยู่ในสถานการณ์มองไม่ทะลุ คนอยู่นอกสถานการณ์ควรมองปรุโปร่ง หรือว่าคนหนุ่มผู้นั้นไม่เพียงแต่เอาเรือนกายเนื้อหนังมังสาและจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบลงมา ยังคุ้นเคยกับเรื่องวงในมากมายของที่แห่งนี้ด้วย? นี่จึงเป็นการทำลายกฎ ทำให้ถูกวิถีสวรรค์ของที่แห่งนี้มองเป็นโจรชั่วร้ายที่จำเป็นต้องกดกำราบ จำเป็นต้องกำจัดให้ได้ถึงจะสาแก่ใจ?

แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะสาหัส ไหล่เละเทะไปทั้งแถบ แต่โชคดีที่เป็นแค่บาดแผลภายนอก พอโจวซื่อใช้ยาวิเศษที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของตำหนักคลื่นวสันต์ที่โจวเฝยเป็นคนปรุงก็พอจะหยุดเลือดที่หลั่งรินไว้ได้อย่างถูไถ เขานั่งเคียงไหล่ยาเอ๋อร์อยู่ใต้กำแพง พูดพลางยิ้มซีดเซียว “ข้าพยายามเต็มที่แล้ว”

หนุ่มปักบุปผาผู้หล่อเหลาสง่างามเคยทำให้สาวงามจำนวนนับไม่ถ้วนเขินอาย น่าเสียดายที่เวลานี้เขาไม่เหลือความสง่างาม เหลือเพียงความทรุดโทรมห่อเหี่ยว

ยาเอ๋อร์เองก็กำลังพยายามใช้วิชาลับอย่างหนึ่งของลัทธิมารมาสยบลมปราณที่ยุ่งเหยิง นี่คือตำราวิเศษด้านการเรียนวรยุทธ์ของฉุยฮวาเหมินหนึ่งในสามลัทธิมาร มีประสิทธิภาพช่วยให้ต้นไม้แห้งเหี่ยวมีบุปผาผลิบาน เล่าลือกันว่าเจ้าประมุขรุ่นหนึ่งของฉุยฮวาเหมินได้หลอกลวงเซิ่งหนวี่ (หมายถึงผู้หญิงที่มีความสามารถพิเศษ มีความศักดิ์สิทธิ์ สูงศักดิ์) ของหอจิ้งซินรุ่นนั้น จนกระทั่งลอบขโมย ‘คัมภีร์หวนคืนสู่ดั้งเดิม’ ครึ่งเล่มมาได้ คัมภีร์เล่มนี้สามารถทำให้คนที่แก่ชรากลับคืนไปเป็นเด็ก เจ้าประมุขฉุยฮวาเหมินคือผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำอย่างแท้จริง เขาอนุมานคัมภีร์แบบย้อนกลับเพื่อนำมาใช้กับตัวเอง จากนั้นจึงเรียบเรียงขึ้นเป็นคัมภีร์ลับของลัทธิมารเล่มนี้ แต่โรคร้ายที่ทิ้งไว้เบื้องหลังจะยิ่งร้ายแรง เป็นเหตุให้ถึงแม้คนที่ใช้จะสามารถกดระงับอาการบาดเจ็บสาหัสเอาไว้ได้ แต่ก็ต้องแก่ชราลงอย่างรวดเร็ว เพิ่มความเร็วในการเน่าเปื่อยของเนื้อหนังมังสา เหล่าผู้กล้าแต่ละรุ่นของฉุยฮวาเหมิน มีเพียงอยู่ในศึกเป็นตายที่ไม่มีทางถอยเท่านั้นถึงจะใช้เวทลับนี้

ยาเอ๋อร์สีหน้าเขียวคล้ำ จอนผมเริ่มมีสีขาวแซมให้เห็นรำไร

โจวซื่อถอนหายใจ หากส่งกระจกทองแดงไปให้นางในเวลานี้ ยาเอ๋อร์ที่เป็นคนภาคภูมิใจในรูปโฉมของตัวเองมาโดยตลอดจะธาตุไฟเข้าแทรกเลยหรือไม่?

โจวซื่อพูดขึ้นโดยไม่รู้ว่ากำลังปลอบใจนางหรือปลอบใจตัวเอง “วางใจเถอะ อีกเดี๋ยวท่านพ่อข้าก็จะมาแล้ว ถึงเวลานั้นเมื่อข้าปลอดภัย เจ้าก็ไม่มีทางตาย”

ใต้กำแพงแห่งหนึ่งที่ห่างออกไปไกล มีผีผาที่ถูกทำลายเสียหายนอนอยู่อย่างเดียวดาย ไม่รู้ว่าเจ้าของมันหายไปไหนแล้ว เห็นเพียงว่าทุกระยะทางช่วงหนึ่งจะมีรอยเลือดหยดทิ้งไปเป็นทาง

เมื่อเฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เฝิงชิงป๋ายที่ในมือถือกระบี่ยาว โจวซื่อที่นั่งพังพาบอย่างหมดแรง และยังมีใบหน้ายิ้มที่ไปดูอาการบาดเจ็บให้ลู่ฝ่างต่างก็หัวใจหดรัดตัวในเวลาเดียวกัน

ลู่ฝ่าง ‘งัด’ ตัวเองออกมาจากกำแพงได้สำเร็จ เขาลดตัวลงบนพื้นเบาๆ ยืนเซไม่มั่นคง ใบหน้ายิ้มคิดจะยื่นมือมาประคอง ลู่ฝ่างกลับส่ายหน้า ยื่นมือข้างหนึ่งบังคับต้าชุนกลับคืนมา ระหว่างทางกระบี่และฝักกระบี่ก็ได้รวมกันเป็นหนึ่ง เขาเอากระบี่ยาวปักตรึงไว้บนพื้นอีกครั้ง ตบะลึกล้ำที่เรียกได้ว่าค้ำฟ้าของลู่ฝ่างยามอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว บัดนี้ร่วงดิ่งลงสู่หุบเหว กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าสิบหมัดต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทำเอาลู่ฝ่างที่ร่างกายไม่ได้ถูกขัดเกลาอย่างโดดเด่นนักเกือบจะวิญญาณแหลกสลาย

สายตาลู่ฝ่างหม่นมัว หันหน้าไปบอกใบหน้ายิ้มที่ชื่อจริงคือเฉียนถังแล้วพูดว่า “ขอให้ข้าพักผ่อนสักครู่ แล้วเจ้าไปดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้า”

ใบหน้ายิ้มพยักหน้ารับอย่างหม่นหมอง

อีกฝ่ายกลายมาเป็นคนที่ผิดหวังเหมือนครั้งแรกที่ได้พบเจอกันในยุทธภพอีกครั้งแล้ว

ครั้งนี้ที่ลู่ฝ่างเลือกลงมือก่อน นอกจากเพื่อปกป้องโจวซื่อแล้ว ที่มากกว่านั้นคือทำไปเพื่อเขาเฉียนถัง ใบหน้ายิ้มไม่ได้อยู่ในยี่สิบอันดับของใต้หล้า ก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ลู่ฝ่างพูดว่าจะพาเขาเฉียนถังไปดูบ้านเกิดของตัวเอง ไปเห็นเซียนบังคับลมที่แท้จริงดูสักครั้ง ถึงแม้ตอนนั้นลู่ฝ่างจะพูดง่ายๆ ทว่าความฮึกเหิมที่เป็นเอกลักษณ์ของภูเขาเหนี่ยวคั่นกลับแผ่กำจาย ต่อให้ใบหน้ายิ้มเป็นคนตาบอดก็ยังสัมผัสได้

คนทั้งสองออกไปจากถนนเส้นนี้ด้วยกัน

ก่อนที่ลู่ฝ่างจะจากไปได้หันไปกุมหมัดขอบคุณจ้งชิ้ว จากนั้นก็ทิ้งประโยคหนึ่งให้โจวซื่อว่าดูแลตัวเองให้ดี

ไปถึงร้านสุราที่สตรีแต่งงานแล้วเป็นเจ้าของ พอสตรีแต่งงานแล้วเห็นบุรุษที่ขโมยกระบี่กลับคืนไป มัดกล้ามแข็งแรงทั่วกายก็ไม่อาจทำให้นางหวั่นไหวได้แล้ว อ้าปากได้ก็ด่าทอทันที ลู่ฝ่างชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดจนปากเปียกปากแฉะ นางถึงหิ้วสุราที่แย่ที่สุดสองกามากระแทกลงบนโต๊ะ ใบหน้ายิ้มเฉียนถังเกือบจะอดใจตบสตรีปากมากผู้นี้ให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวไม่ได้

ลู่ฝ่างหยิบเอาขลุ่ยขนาดเล็กลักษณะโบราณชิ้นหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ ยื่นส่งให้ใบหน้ายิ้มพลางพูดเสียงหนักว่า “ยี่สิบปีต่อจากนี้อาจต้องรบกวนให้เจ้าทำเรื่องที่ยากลำบากสองเรื่อง หนึ่งคือพกของชิ้นนี้ติดกาย หาร่างที่มาจุติใหม่ของข้าให้เจอ หากเข้าใกล้ข้า ขลุ่ยนี้จะร้อนลวก ทำให้จิตของเจ้าสัมผัสได้ สองคือตามหากระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘เฉาหยวน’ เรื่องนี้ข้าไม่บังคับ เพราะไม่แน่ว่ามันอาจกลายไปเป็นกระบี่ประจำตัวของคนอื่นเหมือนต้าชุนเล่มนี้ก็เป็นได้”

ใบหน้ายิ้มมีสีหน้าตกตะลึง

“ข้าตัดสินใจแล้ว”

ลู่ฝ่างไม่ได้อธิบายไปมากกว่านั้น “เก็บขลุ่ยนี้ไว้ให้ดี ดื่มเหล้ากานี้หมดแล้วก็รีบออกไปจากแคว้นหนันเยวี่ยนซะ หากเจ้าอยู่ที่นี่ต่อมีแต่จะตายเร็วยิ่งกว่าข้า”

ใบหน้ายิ้มไม่เคยเห็นลู่ฝ่างที่จริงจังเคร่งเครียดแบบนี้มาก่อน จึงได้แต่เก็บขลุ่ยเล็กชิ้นนั้นมาอย่างระมัดระวัง พยักหน้าตอบรับคำขอร้องของอีกฝ่าย

จากนั้นก็ดื่มเหล้ากันไปเงียบๆ ใบหน้ายิ้มจ้องมองเพื่อนสนิทคนนี้ แต่ลู่ฝ่างแค่พูดอย่างเฉยเมยว่า “หากเจ้าตามหาข้าพบจริงๆ ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามจงใจถ่ายทอดวรยุทธ์ให้แก่ข้า”

“ข้าจำไว้แล้ว”

ใบหน้ายิ้มไม่ยิ้มอีกต่อไป น้ำเสียงที่พูดแฝงการสะอื้น

แต่ลู่ฝ่างกลับไม่มีความทุกข์หรือเสียใจมากนัก หลังจากมองส่งใบหน้ายิ้มออกจากร้านเหล้าไปเงียบๆ ลู่ฝ่างก็หันหน้าไปมองยังทิศทางหนึ่งแล้วหลุดหัวเราะพรืด “เผยตัวได้แล้ว ศีรษะของเจ๋อเซียนอย่างข้า หากมีปัญญาก็มาเอาไป”

ตรงหัวเลี้ยวมีผู้เฒ่าหลังค่อมที่ชราภาพมากแล้วเดินออกมา เขาเดินพลางไอไปด้วย หากใบหน้ายิ้มเฉียนถังยังอยู่ข้างกายลู่ฝ่างจะต้องจำได้ว่าผู้เฒ่าที่แค่ลมพัดก็อาจปลิวผู้นี้ก็คือเซวียยวนเทพแปดกรที่เคยติดสิบอันดับของใต้หล้าในอดีต เมื่อยี่สิบปีก่อนเขาถูกเบียดออกจากสิบอันดับแรก ในยุทธภพแห่งนี้เขาอยู่ในอันดับล่างสุดตามหลังสิบคน เคยถูกใบหน้ายิ้มอาศัยวิชาประจำกายพัวพันอยู่นานถึงหนึ่งปี จนเรื่องนี้กลายมาเป็นที่ขบขันของผู้คนในยุทธภพ

ลู่ฝ่างถอนหายใจในใจ

ไม่คิดเลยว่าคำพูดของตนตอนอยู่บนภูเขากู่หนิวจะเป็นจริง

ตอนนั้นอวี๋เจินอี้รวบรวมกลุ่มผู้กล้าอย่างลับๆ ประกาศว่าจะล้อมสังหารเจ๋อเซียนสี่ท่านอย่างติงอิง โจวเฝย ถงชิงชิงและเฝิงชิงป๋าย ลู่ฝ่างเอ่ยกลั้วหัวเราะว่าจะนับรวมเขาไปด้วยอีกคนหรือไม่ ตอนนี้มาลองนึกดูแล้ว คำตอบก็ชัดเจนยิ่ง นี่อาจจะไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของอวี๋เจินอี้ แต่เมื่อเห็นกับตาตัวเองว่าลู่ฝ่างพ่ายแพ้บาดเจ็บสาหัส ด้วยนิสัยเย็นชาของอวี๋เจินอี้แล้วย่อมไม่มีทางพลาดโอกาสที่พันปียากจะพานพบครั้งนี้ไป

“เซียนกระบี่แห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่นตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ช่างทำให้คนเวทนายิ่งนัก หากไม่เป็นเพราะได้เห็นเองกับตา ข้าผู้อาวุโสก็ไม่กล้าเชื่อเด็ดขาด”

เซวียยวนแสยะปากยิ้ม เอ่ยสัพยอกลู่ฝ่าง ผู้เฒ่าที่ฟันร่วงไปหลายซี่เดินมาทางร้านเหล้าช้าๆ ยากที่จะจินตนาการได้ว่านี่ก็คือบุคคลอันดับหนึ่งของวิชาหมัดนอกก่อนหน้าจ้งชิว

ลู่ฝ่างเอ่ยยิ้มๆ “อวี๋เจินอี้ช่างใจกว้างยิ่งนัก ถึงขั้นยอมตัดใจใช้ให้เจ้ามาเด็ดหัวคน”

เซวียยวนที่หลังค่อมหยุดอยู่ห่างจากประตูร้านเหล้าไปยี่สิบก้าว “อวี๋เจินอี้คือเทพเซียนบนโลกที่แท้จริง ไม่ได้เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างข้าผู้อาวุโส โอกาสเล็กน้อยแค่นี้ไม่อยู่ในสายตาของเขาหรอก อีกอย่างเซียนกระบี่ใหญ่ลู่ก็ยังมีพลังเหลืออีกสามสี่ส่วน รับมือกับเซวียยวนที่แก่หง่อมคนหนึ่งก็ยังพอมีโอกาสชนะนี่นา”

ลู่ฝ่างหัวเราะหยัน “เซียนกระบี่ใหญ่? เจ้าเคยเห็นมาก่อน? เจ้าคู่ควรด้วยหรือ?”

เซวียยวนยังคงหัวเราะไม่เลิก “ไม่คู่ควรๆ เซียนกระบี่ใหญ่ลู่ว่ายังไงก็ว่าตามกัน”

สายตาของลู่ฝ่างเต็มไปด้วยแววเหยียดหยัน

เมื่อเผชิญกับสายตาของลู่ฝ่าง เซวียยวนก็แค่ส่ายหน้า เมื่อเทพแปดกรผู้นี้ขยับกระดูกสันหลังก็คล้ายเจียวหลงเงยหัว พลังอำนาจของเซวียยวนพลันแปรเปลี่ยน นี่ต่างหากถึงจะเป็นมาดที่ปรมาจารย์ซึ่งเคยเป็นสิบคนในใต้หล้าสมควรมี สีหน้าของเซวียยวนเปลี่ยนมาเป็นมืดทะมึนน่าสะพรึงกลัว เขาคำรามกร้าวอย่างคั่งแค้น คำพูดเต็มไปด้วยความอาฆาตและชิงชังที่สั่งสมมาเนิ่นนาน “เจ๋อเซียนที่สูงส่งอย่างพวกเจ้าสมควรตายกันไปให้หมด! ใช่ สายตาอย่างเจ้าลู่ฝ่างในตอนนี้นี่แหละ ทั้งๆ ที่เป็นหงส์ปีกหักเทียบกับไก่สักตัวไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังทำแบบนี้กับทุกคนบนโลก มองทุกคนเหมือนเป็นมดตัวหนึ่ง!”

ลู่ฝ่างไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

แต่เขารู้ดีว่าศึกสุดท้ายในชีวิตก็คือวันนี้แล้ว จึงไม่มีความสนใจมากนัก ตอนที่ประมือกับคนหนุ่มก่อนหน้านั้นก็เป็นเช่นนี้ การเข่นฆ่ากับเซวียยวนที่ฉวยโอกาสยามที่ผู้อื่นอ่อนแอนี้ก็ยิ่งมีแต่ความรำคาญใจ

และเวลานี้เองเซวียยวนที่เพิ่งจะถอนการอำพรางตัวออก กลายมาเป็นดั่งองค์เทพที่เยื้องกรายมาเยือนโลกมนุษย์กลับตัวแข็งค้างในเสี้ยววินาที เพราะเขาถูกคนบีบคอมาจากด้านหลังแล้วยกร่างจนลอยขึ้นทีละนิด

เซวียยวนเหมือนงูตัวหนึ่งที่ถูกตีเข้าจุดตาย แม้แต่จะดิ้นรนก็ยังทำไม่ได้ สองเท้าลอยพ้นจากพื้นสูงมากขึ้นเรื่อยๆ

คนที่ลอบโจมตีผู้เฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มองพวกเจ้าเป็นดั่งมดแล้วอย่างไร ก็ไม่ผิดสักหน่อย เพราะเดิมทีพวกเจ้าก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”

เสียงกร๊อบดังขึ้น เซวียยวนถูกคนผู้นั้นหักคอแล้วโยนไปไว้ข้างทาง

สตรีแต่งงานแล้วเจ้าของร้านเหล้ากรีดร้องเสียงดัง ลูกค้าในร้านก็ตะโกนโหวกเหวกว่าฆ่าคนแล้วๆ พลางแตกฮือกันไปคนละทิศคนละทาง

ไม่มีเซวียยวนบดบังสายตา จึงเห็นว่าคนผู้นั้นคือคุณชายเจ้าสำอางคนหนึ่ง เขาก็คือโจวเฝยที่เพิ่งเดินทางมาจากวัดจินกัง

ในมือของโจวเฝยยังหิ้วศีรษะที่ตายตาไม่หลับของคนผู้หนึ่งเอาไว้ เขาโยนมาข้างหน้า ศีรษะกลิ้งหลุนๆ เลือดไหลนองอยู่เบื้องหน้าลู่ฝ่าง

นั่นคือศีรษะของใบหน้ายิ้มเฉียนถัง

จากนั้นโจวเฝยก็โยนขลุ่ยอันเล็กตามมา

ลู่ฝ่างทรุดตัวลงช้าๆ ลูบไปบนใบหน้าของศีรษะนั้นเบาๆ เพื่อให้สหายรักได้ตายตาหลับ เขามองใบหน้ายิ้มอย่างเหม่อลอย ไม่ได้มองโจวเฝย แล้วก็ไม่ได้เก็บขลุ่ยเล็กอันนั้นกลับมา เพียงแค่ถามเสียงสั่นว่า “ทำไม?”

โจวเฝยเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบไม่ตรงคำถาม “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ลู่ฝ่างกลายเป็นเศษสวะเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้? เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อผ่านด่านความรัก ผลกลับกลายเป็นว่าถึงท้ายที่สุดไม่อาจผ่านด่านไปได้ นี่ก็ยังพอทำเนา เพราะอย่างมากก็แค่กลับไปโดยไร้คุณความชอบ แต่นี่สุดท้ายขนาดหัวคนตายคนหนึ่งที่ไม่ต่างไปจากคนแปลกหน้าก็ยังหยิบไม่ขึ้น วางไม่ลง ลู่ฝ่าง ต่อให้เจ้ากลับไปใบถงทวีป อย่าว่าแต่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนเลย ข้าเชื่อว่าแม้แต่ก่อกำเนิดเจ้าก็ไม่มีทางได้แตะ!”

โจวเฝยย่อตัวลงนั่งยอง “ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่าเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร? ข้าผู้อาวุโสที่เป็นถึงเจ้าประมุขสกุลเจียงสำนักกุยหยกอุตส่าห์เดินทางมาพื้นที่มงคลดอกบัวเป็นเพื่อนเจ้า เสียเวลาไปนานหลายปีขนาดนี้ล่ะเพื่ออะไร?”

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กระบี่ต้าชุนวางนอนอยู่ข้างเท้าลู่ฝ่างเงียบๆ บวกกับขลุ่ยเล็กหนึ่งอันและศีรษะคนหนึ่งหัวที่ต่างก็นอนอยู่บนถนนเส้นนี้

ห่างไปไกลด้านหลังโจวเฝยคือโฉมสะคราญงามล่มบ้านล่มเมืองกลุ่มนั้น บางคนเรือนกายอรชนอ้อนแอ้นดุจกิ่งหลิ่ว บางคนอวบอิ่มเหมือนเมล็ดข้าวฟ่างที่เติบโตเต็มที่ในฤดูใบไม้ร่วง

ลู่ฝ่างเงยหน้าขึ้น “ทำไมไม่ไปหาโจวซื่อก่อน?”

โจวเฝยพูดยิ้มๆ อย่างโมโห “ลูกชายตายไปก็มีใหม่ได้ แต่หากเจ้าลู่ฝ่างมาตายอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ข้าก็จะต้องเสียเวลาไปอีกหกสิบปีงั้นรึ?”

โจวเฝยลุกขึ้นยืน กวักมือเรียกสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่ยังคงความงดงามมีเอกลักษณ์มาข้างกาย “ไป ไปดื่มเหล้าเป็นเพื่อนศิษย์พี่ลู่ที่ปีนั้นเจ้าให้ความเคารพนับถือมากที่สุดสักหน่อย ไม่ได้เจอกันมานานขนาดนี้ พวกเจ้าต้องมีเรื่องคุยกันเยอะแน่”

สตรีแต่งงานแล้วหน้าซีดขาว

โจวเฝยตบหน้านางเบาๆ “เด็กดี ฟังข้า”

แผ่นดินสั่นสะเทือน ร่างของโจวเฝยพลันหายวับไป

หญิงสาวเหล่านั้นเหมือนนกที่สยายปีกบิน พากันพุ่งทะยานจากไป อาภรณ์โบกสะบัด เข็ดขัดหลากสีลอยอยู่กลางอากาศ ภาพที่งดงามอ่อนหวานนี้ทำให้คนเดินถนนบริเวณใกล้เคียงมองอย่างหลงใหลเคลิบเคลิ้ม

ลู่ฝ่างลุกขึ้นยืน พูดกับหญิงสาวที่ทั้งแปลกหน้าทั้งคุ้นเคยผู้นั้นว่า “นั่งลงคุยกัน?”

สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับอย่างระมัดระวัง

คนทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน เถ้าแก่เนี๊ยะร้านเหล้านั่งยองหลบอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน ลู่ฝ่างจึงไปหยิบเหล้าสองกามาด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้ลู่ฝ่างรินเหล้า สตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ตำหนักคลื่นวสันต์มานานหลายปี เคยชินกับการปรนนิบัติคนมานานแล้วรีบลุกขึ้นยืน รินเหล้าให้ลู่ฝ่าง จากนั้นถึงรินให้ตัวเองหนึ่งถ้วย

ลู่ฝ่างไม่ได้มองใบหน้าที่เคยทำให้คนใจสลายได้ แค่เหลือบมองนิ้วเรียวยาวดุจต้นหอมที่บำรุงรักษาอย่างดีจนเหมือนนิ้วของสาวแรกแย้มคู่นั้นของนาง เขายกถ้วยเหล้าขึ้นแล้วคลี่ยิ้ม

สตรีแต่งงานแล้วโล่งอก พอคิดแล้วก็ลุกขึ้นไปเก็บขลุ่ยเล็กและกระบี่ต้าชุนที่อยู่บนถนนนอกร้านเหล้ากลับมาให้ลู่ฝ่าง แม้แต่ศีรษะของใบหน้ายิ้มนางก็เก็บมาด้วย เพียงแต่เอาวางไว้บนโต๊ะอีกตัวหนึ่ง พอนั่งลงแล้วนางก็คลี่ยิ้มหวานล้ำ

ลู่ฝ่างถือถ้วยเหล้าไว้มือหนึ่ง หันหน้าไปมองยังถนนที่ว่างเปล่า

เขาเหมือนเห็นภาพเด็กหนุ่มเด็กสาวที่เหมาะสมกันดุจคู่ฟ้าประทานกำลังวิ่งไล่ตีกันอย่างสนุกสนาน

……

ในสายตาของจ้งชิวมีเพียงคนหนุ่มชุดขาวเท่านั้น เขาเปิดปากพูดว่า “ระหว่างที่เจ้ากับข้าประมือกัน จะไม่มีใครยื่นมือเข้าแทรก ดังนั้นเจ้าจงปล่อยหมัดได้อย่างสบายใจ”

จ้งชิวเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค “หากมีคนยังแอบลงมือต่อเจ้าอย่างลับๆ ข้าจ้งชิวจะต้องสังหารเขาอย่างแน่นอน ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นติงอิงหรืออวี๋เจินอี้ก็ตาม”

เฉินผิงอันยกหลังมือเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก เผยให้เห็นบาดแผลเส้นหนึ่งบนแขนที่ลึกจนเห็นกระดูกขาว เพื่อสกัดกั้นกระบี่นั้นของลู่ฝ่าง ชายแขนเสื้อของชุดคลุมยาวสีขาวหิมะถูกฉีกเป็นรูใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่ชุดคลุมอาคมจินหลี่เกิดความเสียหาย แม้จะบอกว่าเมื่ออยู่ที่นี่สมบัติอาคมต่างๆ ถูกพันธนาการไม่ให้เกิดประสิทธิผล แต่ระดับความยืดหยุ่นของมันยังคงอยู่ นี่จึงแสดงให้เห็นถึงพลังการสังหารอันเลิศล้ำของเวทกระบี่ลู่ฝ่าง

จ้งชิวพูดจบแล้วก็เริ่มเดินมาด้านหน้า

ฝีเท้ามองดูเหมือนเนิบช้า แต่อันที่จริงหนึ่งก้าวกลับยาวสองสามจั้ง อีกทั้งไม่มีริ้วคลื่นลมปราณให้เห็นแม้แต่น้อย

จ้งชิวคือราชครูแคว้นหนันเยวี่ยน และก็ยังเป็นปัญญาชนที่มีความสามารถเพียบพร้อมทั้งการเขียนพู่กันและภาพวาด

แต่ละคำแต่ละประโยคล้วนจำเป็นต้องสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ หนึ่งหมัดหนึ่งเท้าล้วนสอดคล้องกับกฎระเบียบ

ปีนขึ้นไปบนยอดสูงสุดของภูเขาก็เพื่อกลายมาเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์และปราชญ์ด้านคุณธรรม

จ้งชิวเป็นทั้งสองอย่าง

ติงอิงดูแคลนผู้ฝึกยุทธ์ในใต้หล้า แต่กลับชื่นชมจ้งชิว แน่นอนว่าต้องมีเหตุผลเป็นของตัวเอง

เฉินผิงอันยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

การ ‘เดินทอดน่องอย่างผ่อนคลาย’ ของจ้งชิวทำให้เขาไพล่นึกไปถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่ติงอิงเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่ของวัดป๋ายเหอ

มาดของคนที่ไร้ผู้ต่อกรของผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันแค่พอจะเข้าใจไม่กี่ส่วน นั่นเป็นเพราะตบะแตกต่างกันมากเกินไป ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายห่างไกลกันเกิน เฉินผิงอันจึงไม่อาจเข้าใจถึงจุดประสงค์สำคัญที่ซ่อนอยู่

วรยุทธ์ของผู้เฒ่าแซ่ชุยสูงส่งเกินไป แม้ว่าจะไม่ได้ใช้วิธีช่วยดึงต้นกล้าให้เติบโต (ใช้เปรียบเทียบกับการพยายามฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติ หรือการรีบร้อนเร่งให้งานใดๆ สำเร็จโดยใช้วิธีที่ผิดจนก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา) กับเฉินผิงอัน แต่ทุกการไต่ทะยาน การก้าวเดินแต่ละย่างก้าวหลังจากที่เฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตที่สี่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์ต่อเขามากนัก

ทว่ากลิ่นอายเฉพาะจากการที่ฟ้าและคนผสานรวมเป็นหนึ่งในตัวของติงอิงและจ้งชิวผู้นี้ ครั้งแรกที่เห็นเฉินผิงอันสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งนัก แต่พอเห็นครั้งที่สองก็เริ่มเกิดการขบคิด จนพอจะเข้าใจได้บางส่วน

จ้งชิวเดินเข้ามาหาเขาง่ายๆ เช่นนี้ ไม่ได้มีพลังอำนาจกร้าวแกร่งดุดันอย่างหม่าเซวียนจินกังชมพู ไม่ได้มีความอันตรายที่แฝงอยู่ในความแปลกประหลาดอย่างใบหน้ายิ้ม ยิ่งไม่มีการฉายประกายคมกล้าและการบุกรุดหน้าอย่างไม่หวั่นเกรงของเฝิงชิงป๋ายที่จ้วงแทงกระบี่หมายฆ่าคนด้วยกระบี่เดียว

ไหล่ทั้งสองข้างของจ้งชิวส่ายเบาๆ อย่างยากจะสังเกตเห็น เกิดความมหัศจรรย์บนไหล่ที่สวมชุดยาวสีเขียวของเขา เหมือนกับว่ามีต้นสนโบราณทะยานเมฆพุ่งผ่านไป

หมัดหนึ่งของจ้งชิวพุ่งมาถึงด้านหน้าเฉินผิงอัน ไม่มีพายุหมัดแผ่ออกมาขนาดนอกแม้แต่น้อย ยิ่งไม่มีความเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่คลอเคล้าเสียงลมเสียงฟ้าผ่า

เนื่องจากการออกหมัดของจ้งชิวแปลกประหลาดเกินไป เฉินผิงอันจึงใจลอยไปครู่หนึ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขากำลังลังเลว่าควรจะใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ารับมือศัตรูเพื่อพลิกกลับมาเป็นฝ่ายกระทำ หรือควรจะใช้หมัดป้องกันที่พลิกแพลงมาจากท่าสยบเสินโถวใน ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ยังดีที่เฉินผิงอันละทิ้งตัวเลือกทั้งสองอย่างนี้ไปทันที เขาถอยกรูดไปด้านหลัง ขณะเดียวกันก็อาศัยสัญชาตญาณยกแขนข้างหนึ่งขึ้นบังใบหน้าของตัวเอง

หมัดของจ้งชิวต่อยลงบนฝ่ามือของเฉินผิงอัน

แค่สัมผัสเบาๆ แล้วก็หยุด

ทว่าเฉินผิงอันกลับถูกหลังมือของตัวเองกระแทกหน้าอย่างแรง

ร่างกระเด็นปังออกไป

แต่แล้วเขาก็พลิกตัว ชายแขนเสื้อสีขาวหิมะกว้างใหญ่สองข้างพลิกตลบอยู่กลางอากาศ กลับมายืนนิ่งห่างออกไปสามจั้ง

จ้งชิวยังคงเอามือหนึ่งไพล่หลัง เอ่ยเรียบๆ ว่า “วอกแวกไม่ใช่เรื่องดี”

มือซ้ายของเฉินผิงอันกำแน่นแล้วก็คล้าย ความรู้สึกชาวาบเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางฝ่ามือถึงได้หายไป

จ้งชิวเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าคนนี้ช่างฉลาดนัก หากไม่มีการหยั่งเชิงครั้งนี้ ข้าก็ไม่กล้าแน่ใจว่าเจ้าใช่คนถนัดซ้ายหรือไม่ สิบหมัดที่ต่อยลู่ฝ่างนั้น เจ้าคงจะมั่นใจว่าลู่ฝ่างต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นระหว่างที่ต่อยจึงจงใจสลับหมัดซ้ายขวา ซ้ายหกขวาสี่ แสดงว่าเจ้าเตรียมพร้อมรับศึกใหญ่ตั้งแต่ตอนนั้นเลยสินะ?”

เฉินผิงอันไม่ตอบ

จ้งชิวก็ไม่เห็นเป็นสำคัญ “การที่ข้าพูดเรื่องไร้ประโยชน์พวกนี้กับเจ้าอย่างผิดวิสัยของตัวเองนั้น เป็นเพราะก่อนหน้านี้เพื่อช่วยเหลือลู่ฝ่าง หมัดนั้นของข้าไม่มีคุณธรรมอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อครู่นี้ที่เจ้าใจลอย ข้าถึงได้ออมมือให้ ไม่ได้หวังสังหารในทันที แต่หลังจากนี้จะไม่เกรงใจเจ้าแล้ว”

จ้งชิวหันไปพูดกับพวกเฝิงชิงป๋าย “ใครก็ห้ามแตะต้องนังหนูน้อยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อ…”

เฉินผิงอันพุ่งมาอยู่ข้างหลังจ้งชิวในเสี้ยววินาที เขาควงแขวนเป็นวงกว้าง แล้วพลันงอแขนปล่อยหมัดเต็มกำลังเหมือนลูกธนูพุ่งออกจากแล่ง กระแทกลงบนท้ายทอยของจ้งชิว

จ้งชิวค้อมตัว กระดูกสันหลังจึงเหมือนขุนเขาที่โก่งนูนขึ้นมา ซี่โครงซ้ายขวาเหมือนเจียวหลงว่ายวน ไม่ขยับหนีไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว ฝืนรับหมัดดุดันที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังหนักอึ้งนี้ของเฉินผิงอันเอาไว้

เฉินผิงอันไม่ได้ใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า ทว่าปล่อยหมัดใหญ่แค่นั้น พลังอำนาจก็ใหญ่เท่านั้น แต่เมื่อมาเจอกับจ้งชิวที่เป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่มีวรยุทธ์เลิศล้ำผู้นี้ เกรงว่าหมัดนี้คงต่อยลงความว่างเปล่า

ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งที่ฝึกวรยุทธ์ได้อย่างลึกล้ำจะน่าหวาดกลัวจนถึงขั้นที่ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยินก็หลบภัยอันตรายได้โดยอาศัยความรู้สึก หรือถึงขั้นที่ว่าขณะกำลังหลับฝันก็สามารถฆ่าคนที่ขยับเข้ามาใกล้เตียงแล้วนอนหลับฝันหวานได้ต่อ

เฉินผิงอันแค่ใช้หมัดธรรมดาที่ออกแรงเต็มกำลังหมัดหนึ่ง บวกกับที่จ้งชิวยืนนิ่งไม่ขยับดุจขุนเขาซึ่งอยู่เหนือการคาดการณ์ของเขา เมื่อเป็นเช่นนี้คิดจะสมใจปรารถนาด้วยหมัดเดียวหรือหยุดเมื่อพอสมควรจึงเป็นเรื่องยาก จ้งชิวปล่อยหมัดมาด้านหลัง กระแทกเข้าที่ซี่โครงของเฉินผิงอัน จนร่างของเฉินผิงอันลอยหวือออกไป เพียงแต่ว่าหมัดที่สองของจ้งชิวถูกเฉินผิงอันเตะปัดออก เขาจึงไม่มีโอกาสตามมาซ้ำ

คนทั้งสองยืนนิ่งอยู่ห่างกันอีกครั้ง

จ้งชิวกระตุกมุมปาก ที่แท้ราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนก็จงใจทำเช่นนี้เพื่อชดเชยหมัดที่ตัวเองลอบโจมตีอีกฝ่าย แน่นอนว่าก็เพื่อล่อเหยื่อด้วย

คนทั้งสองกระโจนเข้าหาอีกฝ่ายแทบจะเวลาเดียวกัน

ในพื้นที่แคบๆ หมัดของทั้งสองฝ่ายหากไม่ต่อยพลาดก็ปะทะชนกันเบาๆ เหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ การต่อสู้ครั้งนี้กลับเงียบเชียบไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา

เมื่อเทียบกับฟ้าสะท้านดินสะเทือนในการต่อสู้ระหว่างเฉินผิงอันกับลู่ฝ่างก่อนหน้านี้ก็เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

โจวซื่อมองดูแล้วก็ไม่เข้าใจเลยสักนิด

เจ๋อเซียนอย่างเฝิงชิงป๋ายกลับดีกว่าเล็กน้อย เพราะเคยสัมผัสกับปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ในใบถงทวีปมาแล้วบางส่วน

หมัดที่เรียกว่าพลังอำนาจยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาและแม่น้ำอย่างแท้จริงนั้น หนึ่งหมัดต่อยลงบนร่างของคนก็เหมือนโยนหินก้อนมหึมาลงทะเลสาบ ใช้ริ้วกระเพื่อมก่อให้เกิดบาดแผลภายนอกแล้วค่อยกระตุ้นให้เกิดบาดแผลภายใน

จ้งชิวเคยใช้แค่หมัดเดียวก็ต่อยให้ปรมาจารย์เหิงเลี่ยนท่านหนึ่งนอนแบ๊บอยู่บนเตียงนานหลายปี เบื้องใต้อาภรณ์ที่ปกคลุมคือผิวหนังที่เหมือนเครื่องกระเบื้องแตกร้าว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอวัยวะภายในร่างกายเลย

เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กได้ยินคำพูดของอาจารย์สอนหนังสือคนนั้นแล้วก็รู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ นางค่อยๆ คลี่ยิ้มกว้าง เวลานี้นางแสยะเขี้ยวกางกรงเล็บเลียนแบบการออกหมัดของเฉินผิงอันและจ้งชิวโดยไม่สนใจสิ่งใด

ในที่สุดก็พอจะแบ่งแพ้ชนะเล็กๆ ในครั้งแรกได้แล้ว

เฉินผิงอันถูกศอกแหลมปัดหมัดของตัวเองทิ้ง จากนั้นฝ่ามือของจ้งชิวก็ผลักเข้าที่หน้าอก ร่างของเขาลอยข้ามร่องลึกไปกระแทกลงบนผนังฝั่งตรงข้าม

จ้งชิวเดินก้าวเดียวก็ข้ามผ่านร่องที่เกิดจากกระบี่ของลู่ฝ่างแหวกเปิดไว้

ทว่าเฉินผิงอันกลับไม่ได้มีสภาพล้มแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้อย่างสตรีอุ้มผีผาและลู่ฝ่าง เขาสะบัดไหล่ ก้อนหินบนผนังที่หลังกระแทกชนร่วงกราวเสียงดังระนาว เฉินผิงอันกำลังจะลงมือ หมัดที่จ้งชิวปล่อยออกมากลับเปลี่ยนเป็นรวดเร็วอย่างถึงที่สุด หนึ่งหมัดมาถึงก็ตามมาอีกหลายหมัดติดๆ กัน เพียงแค่ชั่วครู่เดียวก็มากถึงสิบหมัด

ซ้ายหกหมัด ขวาสี่หมัด

นี่คือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่จ้งชิวเลียนแบบเฉินผิงอัน แม้แต่ลำดับการออกหมัดซ้ายขวาก็ยังเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

ที่น่าประหลาดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หลังจากปล่อยหมัดมาสิบหมัดแล้ว กำแพงสูงยังคงไม่ทลายออก และเฉินผิงอันก็ยังถูกกักอยู่ในกำแพงแห่งนั้น

ทว่าเฉินผิงอันก็ไม่อยู่นิ่งเฉยรอความตาย เขาคุ้นเคยกับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ายิ่งนัก และเมื่อได้ประมือกับจ้งชิวมาช่วงระยะเวลาหนึ่งก็พอจะคาดเดาวิธีออกหมัดของอีกฝ่ายได้แล้ว ดังนั้นสิบหมัดนี้ของจ้งชิวจึงมีสี่หมัดที่เขาสกัดขวางเอาไว้ได้

แต่หกหมัดที่เหลือก็กระแทกลงบนร่างของเขาเต็มๆ เลือดสดไหลออกมาจากริมฝีปากของเฉินผิงอัน โดยเฉพาะหมัดสุดท้ายที่ต่อยจนร่างของเฉินผิงอันกระตุกเฮือก

จ้งชิวที่ต่อให้จะใช้กระบวนท่าหมัดเลียนแบบคนอื่นเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังออกหมัดได้อย่างเยือกเย็น มีระบบระเบียบ ทว่าวินาทีที่เขาคิดจะปล่อยสิบหมัดออกไปอีกชุดนั้นเอง เขากลับถอยกรูดไปด้านหลังหลายก้าวทันที ถอยแล้วก็ถอยอีก พุ่งตัวข้ามผ่านร่องลึกออกไป ที่แท้ในช่วงเวลาที่มองดูเหมือนเฉินผิงอันจะหมดสิ้นเรี่ยวแรง ร่างดีดกระตุกน้อยๆ อยู่บนกำแพง วินาทีนั้นจ้งชิวกลับขนลุกพรึ่บไปทั้งตัว หัวใจบีบรัดแน่น ไม่ต้องคิดให้มากความก็เป็นฝ่ายละทิ้งสถานการณ์ได้เปรียบนี้ แล้วเลือกหยุดมือถอยห่างด้วยตัวเอง

สัญญาณระวังภัยในใจของจ้งชิวร้องเตือนรุนแรงผิดปกติ เขาดูถูกความสามารถในการทนรับความยากลำบากของคนหนุ่มผู้นี้เกินไป เกือบจะหลงกลอีกฝ่ายซะแล้ว

เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ขาดเพียงแค่เสี้ยวเดียวก็จะสามารถปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าออกไปได้สำเร็จแล้ว

ดังนั้นก็เท่ากับว่าเขากินสิบหมัดที่เป็นของลอกเลียนแบบของจ้งชิวอย่างเสียเปล่า

หลังจากเฉินผิงอันพลิ้วกายลงมาแล้วก็เดินช้าๆ ไปทางร่องลึกเส้นนั้น

จ้งชิวหลุดหัวเราะพรืด

ข้าเลียนแบบท่าหมัดของเจ้า เจ้าเลยเลียนแบบท่าเดินของข้า?

แต่แล้วจ้งชิวก็หรี่ตาลง

กระบวนท่าหมัดยิ่งใหญ่ที่เขาบรรลุมานี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับวิธีการออกหมัด แต่เป็นการฝึกฝนให้แผ่นหลังเหมือนขุนเขา ไหล่เหมือนเมฆคล้อยน้ำไหล ไล่มาถึงศอกที่แหลมเหมือนจงอยปากอินทรี สุดท้ายค่อยมาถึงมือและหมัด ผสานรวมกันเป็นหนึ่ง สำเร็จหนึ่งกระบวนท่าในรวดเดียว หากกระบวนท่านี้ถูกตั้งขึ้นมาแล้วฝึกฝนอย่างต่อเนื่องก็จะเหมือนขุนเขาใหญ่ที่หยั่งรากลึกลงไปในแผ่นดิน ไม่ว่าหนึ่งหมัดหรือหนึ่งกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามจะร้ายกาจดุดันมากแค่ไหนก็ล้วนต้องเผชิญกับจิงชี่เสินอันแกร่งกร้าวของจ้งชิวอยู่ตลอดเวลา

กระบวนท่าหมัดอันเป็นที่ภาคภูมิใจซึ่งจ้งชิวตั้งชื่อให้ว่า ‘ยอดเขา’ นี้ ต่อให้ปรมาจารย์ใหญ่วิชาหมัดนอกอย่างเซวียยวนเทพแปดกรเบิกตากว้างแอบดูอยู่ข้างๆ มองแล้วมองอีก เกรงว่าก็คงไม่สามารถมองแก่นแท้ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในออกอย่างแท้จริง หากไม่ตั้งใจศึกษาอย่างจริงจังเป็นเวลาหลายปี แค่จะเลียนแบบให้คล้ายก็ยังยาก!

ทว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้กลับมีจิตวิญญาณแห่งกระบวนท่าหมัดของตนแล้วหลายส่วน

คนทั้งสองยืนคุมเชิงกันอีกครั้งโดยมีร่องลึกกั้นขวาง

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที เป็นฝ่ายเปิดปากพูดระหว่างการต่อสู้อย่างที่หาได้ยาก “ท่าหมัดนี้ของเจ้ามีชื่อหรือไม่?”

จ้งชิวพยักหน้ารับตอบด้วยรอยยิ้ม “ชื่อว่ายอดเขา หลายปีก่อนตอนที่บรรลุมัน เป็นช่วงที่ยังหนุ่มและเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา รู้สึกว่าหากฝึกต่อไปต้องสามารถยืนอยู่บนยอดเขาของโลกมนุษย์ได้แน่นอน ภายหลังก็คร้านที่จะแก้ไขแล้ว ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดสิบคน คนส่วนใหญ่ฝึกกระบวนท่านี้ยี่สิบสามสิบปีก็ยังไม่มีใครที่แค่มองไม่กี่ครั้งก็เกิดความชำนาญได้เหมือนเจ้า ไม่เสียแรงที่เป็นเจ๋อเซียน”

เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ตำราหมัดที่ข้าฝึกช่วงแรกเริ่มสุดมีชื่อว่าหมัดเขย่าขุนเขา”

จ้งชิวเอ่ยยิ้มๆ “เป็นหมัดของข้าที่สูงเหนือหมู่ภูผา หรือเป็นหมัดของเจ้าที่สามารถเขย่าคลอนขุนเขากันแน่ มาลองดูไหม?”

จ้งชิวถอยหลังไปหนึ่งก้าว เข่าสองข้างงอเล็กน้อย มือหนึ่งยกขึ้นสูง ข้อมือเอียงเล็กน้อย ฝ่ามือเหมือนกำลังรวบหนึ่งบางอย่างแล้วกำหมัดเอามาวางข้างหน้าตัวเอง

ต่อให้ยืนนิ่งไม่ขยับเคลื่อนไหว จ้งชิวในเวลานี้ก็ยังคงทำให้คนที่ชมศึกตลอดถนนทั้งสายรู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนลมฟ้าลมฝนกำลังจะมาเยือน

นี่คือกระบวนท่าหมัดที่อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าตั้งท่าตามความหมายที่แท้จริงเป็นครั้งแรก

หัวใจของเฉินผิงอันสงบนิ่งดุจผิวน้ำ

การตามหาอารามกวานเต๋าในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนครั้งนี้ เดินเตร็ดเตร่อยู่นานจนสุดท้ายเฉินผิงอันถึงกับหงุดหงิดงุ่นง่าน แม้แต่การฝึกหมัดและกระบี่ต่างก็พักทิ้งไว้ก่อน ระหว่างนี้ได้พบคนและเรื่องราวมากมาย อะไรที่ได้เห็นมาแล้วก็เพียงแค่ปล่อยผ่านเลยไป ทว่าบางสิ่งบางอย่างที่ตอนนั้นไม่ได้เก็บมาใส่ใจ พอประมือกับจ้งชิวแล้ว กลับทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ยิ่งเหมือนการสะสมมากและนำมาใช้ทีละน้อย

ตอนที่เพิ่งมาพักอยู่ที่บ้านหลังนั้น เป็นเพราะว่าเวลาเดินผ่านศูนย์ฝึกยุทธ์ที่อยู่ใกล้ๆ กัน เฉินผิงอันอยู่ว่างไม่มีอะไรทำเลยมักจะแอบมอง ‘ผู้ฝึกยุทธ์’ ‘ยอดฝีมือเก่าแก่’ ในสายตาของชาวบ้านร้านตลาดฝึกวิชาหมัดอยู่ในมุมมืดที่ไม่มีใครสังเกตเห็น อาจารย์ผู้สอนวิชาหมัดคือผู้เฒ่าคนหนึ่ง พวกลูกศิษย์ปฏิบัติต่อเขาเหมือนบูชาเทพยดา นอกจากจะถ่ายทอดท่ายืนนิ่ง การก้าวเดินและวิชาหมัดอย่างหมกเม็ดแล้ว ก็จะเล่าเรื่องวีรกรรมของตัวเองในอดีตตอนที่ท่องอยู่ในยุทธภพ แต่ในสายตาของเฉินผิงอัน วิชาหมัดของผู้เฒ่าไม่ได้เข้าขั้นเลยจริงๆ

ครั้งนั้นเฉินผิงอันจากมาอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ

ภายหลังไม่มีเบาะแสให้ตามหาอารามกวานเต๋า จึงไปที่ศูนย์ฝึกยุทธ์นั่นอีกครั้ง คิดแค่ว่าไปผ่อนคลายอารมณ์

ตอนนั้นอาจารย์ของศูนย์ฝึกยุทธ์เอาสองมือไพล่หลังมองพวกลูกศิษย์กำลังฝึกยืนนิ่ง ปากก็พูดถึงหลักการการเรียนวรยุทธ์เหมือนน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง อะไรที่บอกว่าหนึ่งกิ่งขยับร้อยกิ่งส่ายไหว วิชาหมัดในของพวกเราไม่ฟังเสียงไม่มองภาพ แต่เน้นที่ความรู้สึก หากได้ถึงระดับนี้จึงจะถือว่าเข้าขั้นแล้ว อะไรที่บอกว่าเส้นเอ็นและกระดูกต้องคลาย ผิวหนังและขนต้องเป็นตัวจู่โจม เคยมีคนลอบโจมตีด้านหลัง ข้าอาศัยสัญชาตญาณของตัวเองหมุนตัวกลับไป ปล่อยหมัดต่อยจนเขาอาการร่อแร่ใกล้ตาย

เฉินผิงอันฟังแล้วก็รู้สึกตลก สุดท้ายอาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นก็ทำเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งที่เขาเฉินผิงอันเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

ทำให้เขาต้องมองผู้เฒ่าเสียใหม่

ผู้เฒ่าให้คนหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งเป็นลูกศิษย์ของเขาได้ไม่นานยืนนิ่งๆ จากนั้นก็ให้คนสองคนดึงแขนของเขาไว้แน่น ทำให้แขนทั้งสองข้างของเขาขึงเกร็งแนบลำตัว และยังมีอีกสองคนที่นั่งยองอยู่บนพื้น กอดเข่าสองข้างของคนผู้นั้นไว้แน่น หลังจากนั้นผู้เฒ่าก็เริ่มจัดกระดูกสันหลัง ไม่ใช่แค่ทำท่าหลอกๆ อย่างการบีบนวดกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ไล่จัดจากกระดูกท้ายทอยของลูกศิษย์ ไล่ลงมาเบื้องล่างเรื่อยๆ ในยุทธภพ วิธีนี้เรียกว่า ‘ปรับแก้มังกรใหญ่’ (มังกรใหญ่หมายถึงกระดูกสันหลัง) วิชาหมัดไม่แบ่งในนอก!

สุดท้ายผู้เฒ่ากดมาถึงตำแหน่งเหว่ยหลวี (ในสมัยโบราณหมายถึงจุดระบายน้ำออกของมหาสมุทร/หากเป็นในร่างกายคนจะหมายถึงช่วงก้นกบ) จากนั้นก็กดคลึงลงไปเบาๆ ทำเอาลูกศิษย์คนนั้นตกใจ ร่างสั่นเทิ้ม เหงื่อแตกพลั่ก ขนทั่วร่างพากันลุกชันเหมือนต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในผืนป่า

การสะบัดตัวดิ้นรนของลูกศิษย์หนุ่มทำให้ร่างของศิษย์พี่สองคนที่ดึงแขนเขาโยกคลอนไปด้วย ต้องก้าวออกไปหนึ่งก้าวถึงจะยึดได้มั่นคง ส่วนสองคนที่กอดขาสองข้างของเขาเอาไว้แค่ร่างขยับเล็กน้อยเท่านั้น

ผู้เฒ่าค่อนข้างผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

หากคนทั้งสี่ที่กดแขนขาล้วนไม่อาจหยุดนิ่งได้อย่างมั่นคง นั่นต่างหากถึงจะถือว่าเป็นวัตถุดิบที่ดีในการฝึกวรยุทธ์ ลูกศิษย์รับเข้าสำนักที่ถูกปรับแก้มังกรใหญ่ผู้นั้นมีพรสวรรค์ไม่เลว แต่เขากลับแน่ใจได้ว่าอีกฝ่ายต้องไม่มีอนาคตยาวไกล

ตอนนั้นเฉินผิงอันนั่งมองอย่างเพลิดเพลิน หลังจบเรื่องก็ไม่ได้คิดให้ลึกซึ้ง

จนกระทั่งบัดนี้ที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็ถูกคนกักตัวอยู่ที่นี่ การเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นติดต่อกัน ตกอยู่ในวงล้อมที่แน่นหนา เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่แทบจะเรียกได้ว่ามีแต่ทางตายเท่านั้น สติปัญญาของเฉินผิงอันก็พลันเปิดกว้าง

ก่อนหน้าที่จะประมือกับลู่ฝ่าง วิชาหมัดของเขาปล่อยเก็บได้ดังใจปรารถนา

แต่จิตใจกลับตามไม่ทัน

ทว่าหลังจากเข่นฆ่าอยู่กับจ้งชิว จิตใจของเขาก็เหมือนได้รับการชดเชย

โดยเฉพาะหลังจากที่เลียนแบบกระบวนท่าหมัดยิ่งใหญ่ของจ้งชิว อีกทั้งพอนึกถึงการ ‘ปรับแก้มังกรใหญ่’ ขึ้นมาได้ เส้นเอ็นขึงหัวใจของเฉินผิงอันก็พลันคลายตัว เมื่อความคิดนี้บังเกิดขึ้น เขาก็อดใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวซึ่งเป็นท่าแรกเริ่มสุดของวิชาหมัดเขย่าขุนเขาเดินตรงดิ่งไปด้านหน้าไม่ได้ จะเก็บหรือจะปล่อยปณิธานหมัด ไม่ใช่เรื่องที่เขาให้ความสนใจอีกต่อไปแล้ว โดยไม่ทันรู้ตัว แต่ละก้าวที่ก้าวเดินก็ค่อยๆ พาร่างของเขาเหยียบลงกลางอากาศ

ทว่าหลังจากที่เฉินผิงอันซึ่งฝึกหมัดมานับล้านครั้งเดินออกไปเป็นก้าวที่ห้า กระดูกสันหลังตลอดทั้งเส้นก็เหมือนปรับแก้มังกรใหญ่ด้วยตัวเองจึงเกิดเสียงลั่นเหมือนเสียงถั่วเหลืองระเบิดแตกขึ้นเป็นระลอก

จ้งชิวพลันกระโจนออกมาข้างหน้า ปล่อยหนึ่งหมัดออกไป หมายจะต่อยให้คนหนุ่มที่พลังอำนาจพุ่งทะยานคนนั้นลอยกระเด็นออกไปจากอากาศเหนือร่องน้ำ!

เฉินผิงอันที่เหมือนบังคับลมก้าวเดินก็ปล่อยหมัดออกมาหนึ่งหมัดเช่นกัน

คนทั้งสองห่างกันหนึ่งช่วงแขน หมัดกระแทกลงบนหน้าอกของฝ่ายตรงข้ามเกือบจะเวลาเดียวกัน

อาภรณ์สีเขียวของจ้งชิวโบกสะบัดยุ่งเหยิง พริบตาเดียวก็หายตัวไปจากบนถนน เสียงครืนครั่นดังสนั่นหวั่นไหว หากมีคนอยู่กลางอากาศสูงแล้วมองลงมายังสถานที่แห่งนี้ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนก็จะพบว่ามีเส้นตรงยาวเส้นหนึ่งถูกฉีกออกไป ส่วนจ้งชิวที่ถูกหนึ่งหมัดต่อยให้ถอยร่นไปยี่สิบจั้ง กว่าจะหยุดการถอยร่นนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ขาทั้งสองข้างได้จมลึกอยู่ในพื้นดินไปแล้ว

แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บแค่เพียงเล็กน้อย แต่นี่ก็ถือว่าจ้งชิวแพ้แล้ว

ส่วนคนหนุ่มชุดขาวผู้นั้นกลับยืนอยู่ข้างร่องลึกบนถนน โดยที่ไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว

หากพูดถึงแค่ในใต้หล้าแห่งนี้ ก็ถือว่าจ้งชิวไม่ใช่อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าอีกต่อไปแล้ว

กลับกลายเป็นเฉินที่ไร้เทียมทานในหนึ่งช่วงแขน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!