บทที่ 318 ผู้อื่นไร้เทียมทานควรทำเช่นไร
บนถนนใหญ่ที่เงียบสงบ คนรู้จักได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
บนกระบี่บินเล่มหนึ่งที่หยุดลอยนิ่ง อวี๋เจินอี้ที่ใบหน้าเหมือนเด็กน้อยยืนอยู่ แสงกระบี่ใต้ฝ่าเท้าเป็นประกายใสแวววาวดุจแก้วเนื้อดี
เจ้าประมุขพรรคหูซาน ผู้นำฝ่ายธรรมะแห่งใต้หล้า มีวิชายุทธ์เลิศล้ำ แต่กลับละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างหันไปฝึกวิชาคาถาของตระกูลเซียน สุดท้ายกลายเป็นเทพที่แม้จะสำเร็จจะบรรลุผลถึงขั้นสูงสุดแล้วก็ยังมุมานะบากบั่นต่อไป
ในที่สุดหลังจากเสียงกลองดังขึ้นบนภูเขากู่หนิวเป็นครั้งแรก เขาก็ได้มาปรากฏตัวที่เมืองหลวง
เมื่อออกมาจากภูเขากู่หนิวที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ลั่นกลองสวรรค์เพื่อบินทะยาน คนแรกที่ได้พบก็คือพี่น้องที่เคยร่วมเป็นร่วมตายในอดีตอย่างจ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยน
ดูเหมือนว่าจ้งชิวจะคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าอวี๋เจินอี้ต้องมาขัดขวางตนเอง เขาจึงไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ ไม่เพียงแต่ไม่หยุดเท้า กลับยังเดินขึ้นหน้า จนกระทั่งอยู่ห่างจากอีกฝ่ายแค่ยี่สิบก้าวถึงได้หยุดเดิน
จ้งชิวถามด้วยรอยยิ้ม “ทำพัดไม้ไผ่หยกเล่มนั้นเสร็จแล้วรึ? ใช้มันเป็นของแทนกายเจ้าประมุขพรรคหูซานในอนาคตจะไม่ดูอ่อนโยนบอบบางไปหน่อยหรือไง?”
เหมือนการทักทายปราศรัยระหว่างเพื่อนทั่วไป
เหมือนคนที่กลับมาในค่ำคืนที่พายุหิมะตกหนักแล้วได้ดื่มเหล้าอุ่นๆ ร่วมกันหนึ่งจอก?
อวี๋เจินอี้ถาม “สามครั้งแล้ว ทำไม?”
แต่อีกฝ่ายกลับเอ่ยด้วยประโยคซักไซ้เอาความผิด
จ้งชิวถามกลับ “เจ้าจะถามว่าทำไมข้าถึงช่วยลู่ฝ่าง ทำไมถึงช่วยเฉินผิงอันผู้นั้น?”
ในดวงตามืดดำดุจบ่อน้ำนิ่งของอวี๋เจินอี้ที่ฝ่าด่านออกมาด้วยร่างของเด็กน้อยมีริ้วคลื่นกระเพื่อมน้อยๆ เห็นได้ชัดว่าโมโหมากจริงๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อวี๋เจินอี้ไม่เอ่ยอะไร แต่กระบี่บินใต้ฝ่าเท้าที่จิตเชื่อมโยงกับเจ้านายกลับแผ่ประกายแสงที่ยิ่งงดงามชวนหลงใหล คล้ายผลึกแก้วชิ้นหนึ่งที่ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์
จ้งชิวชำเลืองตามองกระบี่บินตระกูลเซียนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าอวี๋เจินอี้ ก่อนถอนสายตากลับมาแล้วพูดด้วยสีหน้าเป็นปกติว่า “เจ้ารู้คำตอบแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ?”
อวี๋เจินอี้ถอนหายใจเบาๆ ในใจพลันหวนระลึกถึงความทรงจำ
นี่ไม่ใช่ว่าอวี๋เจินอี้ใจอ่อน ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ ในเมื่อผ่านไปนานตั้งหลายปีแล้ว จ้งชิวกลับยังหลงงมงายในความเชื่อผิดๆ เขาก็คงต้องใจแข็งแล้ว
คำเล่าลือในยุทธภพที่บอกว่าอวี๋เจินอี้กับราชครูจ้งต้องแตกหักกันเพราะสาวงามที่เป็นภัยต่อบ้านเมืองอะไรนั่น ถือเป็นการดูถูกพวกเขามากจริงๆ
ปีนั้นพวกเขาสองคนเพิ่งจะมีชื่อเสียงในยุทธภพ ก็เป็นเพราะพบเจอกับเจ๋อเซียนท่านหนึ่ง สองพี่น้องจึงแยกทางกันเดิน
ตอนนั้นอวี๋เจินอี้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะสังหารเจ๋อเซียนคนนั้น จ้งชิวกลับเห็นว่าความผิดของเขาไม่ถึงโทษตาย อีกทั้งความเสี่ยงมีมากเกินไป ไม่มีความจำเป็นต้องทุ่มหมดหน้าตัก แต่อวี๋เจินอี้กับยังบุกไปลอบสังหารเจ๋อเซียนผู้นั้นเพียงลำพัง ช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตาย จ้งชิวปรากฎตัวกะทันหัน รับกระบี่ปลิดชีพแทนอวี๋เจินอี้มาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็เป็นอย่างที่ติงอิงบอกกับพวกเขาตอนอยู่แคว้นหนันเยวี่ยน หลังจากที่เจ๋อเซียนผู้นั้นถูกสังหารก็มีโชควาสนาสองส่วนหล่นลงมาจากร่างของเขา หนึ่งคือวิชาลับตระกูลเซียนที่สามารถฝึกตนให้เป็นอมตะ อีกหนึ่งคือกระบี่แก้วที่แข็งแกร่งมิอาจทำลาย
ท่ามกลางม่านฝนที่เทกระหน่ำ อวี๋เจินอี้มือหนึ่งกำตำราสวรรค์ซึ่งไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุชนิดใดเล่มหนึ่งเอาไว้ อีกมือหนึ่งถือกระบี่ แหงนหน้าแผดเสียงคำรามยาว
จ้งชิวจากไปอย่างหม่นหมอง
อวี๋เจินอี้โยนกระบี่เซียนเล่มนั้นออกไปเบาๆ บอกว่าสองพี่น้องสามารถร่วมเป็นร่วมตายก็ต้องร่วมเสวยสุขและความมั่งคั่งมีเกียรติได้ วันหน้ากฎเกณฑ์ของใต้หล้าแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นราชสำนักที่สูงส่งหรือยุทธภพที่กว้างไกล เจ้าจ้งชิวชอบอ่านหนังสือก็ให้เจ้าเป็นคนตั้งกฎ ข้าอวี๋เจินอี้แสวงหามหามรรคาที่เป็นอมตะมาจึงจะฝึกวิชาเซียน แน่นอนว่าจะต้องช่วยเจ้าปกป้องใต้หล้า ข้าจะสอนเจ๋อเซียนทุกคนบนโลกว่าต้องก้มหน้าเชื่อฟังคำสั่งอย่างว่าง่าย จะไม่มีใครกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานอีก…
แต่จ้งชิวกลับไม่รอให้อวี๋เจินอี้พูดจบ เขาเดินดิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว ปล่อยให้อาวุธที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นร่วงหล่นลงสู่ดินโคลน ปล่อยให้ถ้อยคำที่ออกมาจากใจจริงของอวี๋เจินอี้ลอยหายไปท่ามกลางฟ้าดินที่ถูกชะล้างด้วยสายฝน
หลิวจงคนลับมีดออกมาจากถนนใหญ่ที่เละเทะเส้นนั้น พอเดินพ้นหัวเลี้ยวมาก็มองภาพนี้อยู่ไกลๆ เขาสะอึ้งอึกไปทันที ลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่งก็เลือกเดินหน้าต่อช้าๆ ไม่ได้หวาดกลัวจนมิกล้าเดินหน้า แล้วก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเผ่นหนีไป
หลิวจงเชื่อในคำพูดของเด็กหนุ่มคนนั้น เชื่อว่า ‘เด็กชาย’ ที่ขี่กระบี่อยู่ตรงหน้า ใต้เท้าอวี๋ต้าเจินเหรินที่เดิมทีควรต่อสู้กับมารใหญ่ติงอิงแปดร้อยตลบคงตัดสินใจแล้วว่าจะสังหารจ้งชิวผู้เคยเป็นสหายรักให้ได้
การที่เขาเชื่อก็เพราะว่าเจ๋อเซียนหนุ่มผู้นั้นถึงขั้นสามารถทำให้จ้งชิวยอมเป็นฝ่ายป้อนหมัดเพื่อช่วยกระชับขอบเขตของเขาให้แน่นหนาด้วยตัวเอง เพื่อสะดวกให้เขารับศึกใหญ่ในลำดับถัดไป
จ้งชิวไม่เคยเป็นคนที่ทำอะไรตามความรู้สึก ทุกคำพูดทุกการกระทำล้วนมีกฎของเขาเองเสมอ
จ้งชิวคือวิญญูชนจอมปลอมที่แสร้งวางมาดให้น่าภูมิฐานหรือเป็นกุนซือผู้ถนัดวางแผนช่วงชิงใต้หล้า? ล้วนไม่ใช่ หลิวจงอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนมานานขนาดนี้ ราชครูจ้งเป็นคนอย่างไร หลิวจงรู้จัดเจน เขาเป็นทั้งปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ และเป็นทั้งอริยะแห่งด้านวรรณกรรมที่แท้จริง ศึกษาจนเชี่ยวชาญมีความรู้รอบด้าน ใช้พละกำลังของตัวเองคนเดียวขยับยอดสูงสุดของขอบเขตหมัดนอกในใต้หล้าแห่งนี้ให้สูงขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ อีกทั้งสำหรับการแบ่งแยกธรรมะและอธรรม จ้งชิวก็มองอย่างทะลุปรุโปร่ง คลื่นมรสุมในเมืองหลวงหลายครั้งที่ไม่ว่าจะมาจากคำตำหนิวิพากษ์วิจารณ์จากในราชสำนักหรือจากยุทธภพ เดิมทีแค่ฆ่าคนก็จบเรื่อง ทั้งสาแก่ใจ ทั้งประหยัดแรงกายแรงใจ ทว่าจ้งชิวกลับเป็นคนคอยเก็บกวาดอยู่อย่างลับๆ จัดการได้อย่างเที่ยงตรงและทำให้เกิดความสมดุล ทำให้หลิวจงที่มองดูดายอยู่ข้างๆ ต้องยกนิ้วโป้งให้พลางเอ่ยชื่นชมว่าเขาคือวีรบุรุษที่แท้จริง
ดังนั้นเมื่อคนหนุ่มผู้นั้นพูดว่าเขากับจ้งชิวคือ ‘คนบนเส้นทางเดียวกัน’
หลิวจงก็ตัดสินใจโดยไม่ลังเลว่า มีดที่อยู่ในชายแขนเสื้อเล่มนั้น ต้องชักออกมา
นอกจากปณิธานที่เหมือนกันแล้ว ยังเพื่อช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตให้แก่ตัวเองด้วย
บอกตามตรง เกี่ยวกับความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดระหว่างอวี๋เจินอี้และจ้งชิว ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่ไม่สงสัยใคร่รู้
แน่นอนว่าคนลับมีดหลิวจงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ต้องรู้ว่าเวลาอยู่ที่ร้านขายแพรต่วน ยามใดที่ได้พูดคุยกับภรรยาและสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลายถึงเรื่องสัพเพเหระของคนข้างบ้าน ได้ยินว่าพ่อผัวบ้านไหนได้กับลูกสะใภ้ หญิงสาวบ้านใครถูกใจใคร ตอนกลางคืนที่บ้านหญิงหม้ายแซ่หลิวมักจะมีเสียงแมวร้องเป็นประจำ ชายฉกรรจ์บ้านไหนแอบไปหอโคมเขียว ใช้เงินที่เก็บสะสมไว้หมดเกลี้ยงจนภรรยาโวยวายว่าจะแขวนคอตาย เรื่องในหมู่ชาวบ้านพวกนี้ หลิวจงคุยจ้อได้นานยิ่งกว่าพวกสตรีเสียอีก
มือข้างที่ซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อของหลิวจงกำหมอเตา (ชื่อของมีดซึ่งแปลว่าลับมีด) เล่มนั้นไว้แน่น
ตนยังไม่ทันได้ถามเลยว่าแมวที่ร้องตอนกลางคืนในบ้านของหญิงหม้ายแซ่หลิวคือใครกันแน่ วันนี้จะมาตายอยู่ที่นี่ไม่ได้!
อีกอย่างหลังจากจับตามองมานานหลายปีขนาดนี้ ตัวเลือกที่มีหวังว่าจะให้มาเป็นลูกศิษย์บุกเบิกขุนเขา ขณะเดียวกันก็เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของตน ก็พอจะรู้ผลแล้วด้วย
จ้งชิวมองเด็กชายที่เหยียบอยู่บนกระบี่ซึ่งลอยนิ่งอยู่กลางอากาศแล้วทอดถอนใจแผ่วเบา “อวี๋เจินอี้ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ตอนนี้เจ้ากับเจ๋อเซียนพวกนั้นยังพอมีความแตกต่าง แต่หากเจ้ายังเดินบนทางเส้นนี้ต่อไป สักวันหนึ่งเจ้าก็จะกลายมาเป็นพวกเขา หลังจากนั้นก็จะมีจ้าวเจินอี้ หม่าเจินอี้คนใหม่มาฆ่าเจ้าโดยที่พวกเขาต่างก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักของฟ้าดิน”
อวี๋เจินอี้ส่ายหน้า “จ้งชิว เจ้าคงยังไม่รู้กระมัง สถานที่ในการบินทะยานครั้งนี้ยังคงอยู่ที่ภูเขากู่หนิว แต่จำนวนคนกลับเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่สิบคนอีกต่อไป แต่มีแค่สามคนเท่านั้น และสามคนนี้ที่มีคุณสมบัติได้อยู่บนประวัติศาสตร์แท้จริงของพื้นที่มงคลดอกบัวก็จะสามารถเลือกคนได้ห้า สามและหนึ่งให้บินทะยานไปจากที่นี่ด้วยกัน เพียงแต่คนทั้งเก้านี้อาจกลายมาเป็นหุ่นเชิดใต้บังคับบัญชา ข้าลองอนุมานมาก่อนแล้ว ติงอิง ข้า โจวเฟยต่างก็เป็นคนสามคนที่มีโอกาสมากที่สุดว่าจะได้บินทะยานในท้ายที่สุด”
หลังจากนั้นอวี๋เจินอี้ก็ร่ายรายชื่อสิบคนสุดท้ายที่อยู่บนประกาศให้จ้งชิวฟังหนึ่งรอบ
ไม่มีลู่ฝ่างและถงชิงชิง
จ้งชิวขมวดคิ้วถามคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดทันที “เจ้าจะจากไป?”
อวี๋เจินอี้ส่ายหน้า “ข้าย่อมไม่ไป ก่อนหน้าที่เสียงกลองจะดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม ข้าจะไม่ขึ้นไปบนภูเขากู่หนิว นั่นย่อมเป็นการละทิ้งโอกาสบินทะยานโดยอัตโนมัติเหมือนกับจูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งในปีนั้น เพียงแต่ว่าเขาทำไปเพื่อพาเรือนกายที่มีเลือดเนื้อบินทะยานไปเป็นครั้งที่สอง ส่วนข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นว่า สังหารเจ๋อเซียนผู้นั้นในปีนั้น ข้าอวี๋เจินอี้ทำถูกแล้ว เจ้าจ้งชิวทำผิด ข้าต้องการให้หนึ่งวันที่ข้าอยู่บนโลกมนุษย์ โลกก็จะสงบสุขไปหนึ่งวัน การชดเชยแก้ไขของเจ้าจ้งชิวไม่มีความหมายแม้แต่น้อย”
คำพูดประโยคนี้วางโตยิ่ง ทว่าอวี๋เจินอี้กลับพูดอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์
จ้งชิวเอ่ยยิ้มๆ “ปณิธานต่างย่อมไม่อาจร่วมทาง”
อวี๋เจินอี้เอ่ยเนิบช้าว่า “ตอนนี้เจ้ายังมีโอกาสครั้งสุดท้าย ร่วมมือกับข้าสังหารเจ๋อเซียนโจวเฝยผู้นั้น ติงอิงจะไม่มีทางขัดขวาง ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะมีชีวิตอยู่จนถึงท้ายที่สุด ส่วนจะเลือกไปบินทะยานยามกลางวันที่ภูเขากู่หนิวหรือไม่ก็ตามใจเจ้า”
จ้งชิวถาม “ถ้าอย่างนั้นคนอื่นๆ ที่เหลือบนประกาศ หลิวจง ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซาน ถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่หลงอู่แห่งแคว้นเป่ยจิ้น ภิกษุอวิ๋นหนีแห่งวัดจินกัง ใครจะเป็นคนสังหาร? เป็นเจ้าอวี๋เจินอี้ หรือเป็นติงอิง? คนเหล่านี้ต่างก็ไม่ใช่เจ๋อเซียน”
คนสองคนเหมือนเป็ดคุยกับไก่ ต่างคนต่างคุยกันไปคนละเรื่อง
อวี๋เจินอี้พลันเดือดดาลอย่างหนัก “หากคนอื่นพูดประโยคโง่เง่านี้ ข้าก็คงมองเป็นความเห็นของสตรีบ้านนอก คร้านจะสนใจ! เจ้าจ้งชิวเป็นถึงราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนจะไม่รู้เลยหรือว่า บนโลกนี้มีอุบัติภัยที่ไม่ทำให้คนตายอย่างอยุติธรรมเสียที่ไหน?!”
จ้งชิวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมต้องรู้อยู่แล้ว หลายปีมานี้เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของแคว้นหนันเยวี่ยน ข้าเองก็ทุ่มเททำอะไรไปมากมาย แต่ตอนนี้ข้าถามเจ้าอวี๋เจินอี้ ไม่ได้ถามอุบัติภัยที่ไม่เคยมีมาก่อนเป็นพันปี ไม่ได้ถามใต้หล้าแห่งนี้ ไม่ได้ถามพื้นที่มงคลดอกบัวของเจ๋อเซียนอะไรทั้งนั้น ข้าถามเจ้า อวี๋เจินอี้จากอำเภอจิวหลัน เขตการปกครองจัวแคว้นซงไล่”
อวี๋เจินอี้หัวเราะเสียงเย็น “ดื้อดึงไม่เปลี่ยน เจ้าจ้งชิวมีนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ต่อให้อ่านหนังสือมากแค่ไหน ฝึกวิชาหมัดมากเท่าไหร่ก็ยังคงเป็นก้อนหินเหม็นในห้องส้วมอยู่ดี”
จ้งชิวหัวเราะ “แต่เจ้าอวี๋เจินอี้นี่สิเปลี่ยนไปเยอะมาก”
หลิวจงที่ฟังอยู่รู้สึกอกสั่นขวัญผวา
เขากลัวจริงๆ ว่าจ้งชิวจะพยักหน้าตอบรับ กลับกลายมาเป็นร่วมแรงกับอวี๋เจินอี้สังหารคนสี่คนบนประกาศซึ่งรวมถึงเขาด้วย แบบนั้นคงไม่ต่างอะไรจากการฆ่าไก่ตัวหนึ่ง เว้นเสียจากว่าอวี๋เจินอี้เข้าสู่สภาวะการณ์ที่มหัศจรรย์บางอย่าง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าถิ่นแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างราชครูจ้งเลย ต่อให้เขาหลิวจงและเฉิงหยวนซาน ถังเถี่ยอี้ ภิกษุอวิ๋นหนีร่วมมือกัน ก็ยังไม่มีโอกาสชนะอยู่ดี
โชคดีที่จ้งชิวไม่เสียแรงที่เป็นราชครูจ้งที่เขาหลิวจงให้ความเคารพนับถือ!
จ้งชิวเงยหน้ามองไปยังทิศทางของบ้านเกิดแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจเล็กน้อย “พูดมามากมายขนาดนี้ เจ้าอวี๋เจินอี้ก็แค่อยากให้ตัวเองสังหารข้าได้อย่างสบายใจเท่านั้น ข้อนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเปลี่ยน”
อวี๋เจินอี้ยืนอยู่บนกระบี่บิน
จ้งชิวไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงหัวเราะเสียงดังกังวาน “หลิวจง! เป็นเพื่อนบ้านกันอยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปีขนาดนี้ แต่ไม่เคยไปแวะเที่ยวหาเจ้าสักครั้ง หาใช่ว่าดูถูกคนลับมีดอย่างเจ้า แต่เป็นเพราะการคบหาของวิญญูชนเป็นดั่งสายน้ำใสสะอาด ข้าจ้งชิวจะออกหมัดก่อน เจ้าอยู่ข้างๆ คอยคุมท้าย หากการแพ้ชนะห่างกันมากเกินไป เจ้าหลิวจงหนีได้ก็หนี ตรงไปหาภิกษุอวิ๋นหนี รับรองว่าไม่ขายหน้า!”
คนลับมีดหลิวจงอึ้งตะลึง พึมพำเบาๆ ว่า “แม่งเอ๊ย ไม่เสียแรงที่เป็นราชครูจ้ง คำประจบนี้ ข้านายท่านหลิวฟังแล้วสบายใจยิ่งนัก สบายใจ!”
ได้เป็นสหายกับคนมหัศจรรย์เช่นนี้ก็เหมือนได้ดื่มเหล้าหมักกับผีขี้เหล้า ไหนเลยจะมีโอกาสฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ ถ้าอย่างนั้นจะมีเหตุผลอะไรให้ไม่เมามายอย่างเต็มคราบเล่า?
หลิวจงที่ไม่กลัวตาย แต่กลับไม่เคยรนหาที่ตายก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ตายก็ตายสิ เมาให้ตายมันไปเลย!
อวี๋เจินอี้โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย พลิ้วตัวออกมาเบาๆ เท้าทั้งสองข้างแตะลงบนถนน จากนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้อไปข้างหน้าหนึ่งครั้งพร้อมเสียงเอ่ยแผ่ว “ไป”
กระบี่บินที่แสงกระบี่ใสแวววาวดุจกระจกซึ่งอยู่ด้านหลังวาดวงโค้งขนาดใหญ่ยักษ์แหวกผนังออกไป จากนั้นแหวกทะลุผนังกลับมาปรากฎตัวบนถนนเส้นนี้อีกครั้ง อ้อมผ่านราชครูจ้งชิว ตรงดิ่งเข้าหาหลิวจงคนลับมีดที่อยู่ด้านหลังเขาพอดี
อวี๋เจินอี้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช้าเอื่อยเฉื่อย ยกมือสองข้างขึ้นส่ายเบาๆ จากนั้นก็วางไว้ด้านหลังแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “จ้งชิว เจ้าได้รับการขนานนามให้เป็นอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าไม่ใช่หรือ มาสิ ข้าจะไม่ตอบโต้ เจ้าปล่อยหมัดออกมาได้เลย”
จ้งชิวพยักหน้ารับ แต่แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ออกไปสู้กันนอกเมืองได้หรือไม่?”
อวี๋เจินอี้คลี่ยิ้มกล่าว “ราชครูจ้ง เจ้าไม่ต้องกังวลว่าคนบริสุทธิ์จะเดือดร้อน เพราะเจ้าไม่มีความสามารถนั้น”
จ้งชิวหลุดหัวเราะพรืด
หลังจากฝึกวิชาเซียนมาถึงท้ายที่สุด ไอ้หมอนี่ก็กลายมาเป็นเด็กน้อยปากกล้าที่ชอบคุยโว เขาจ้งชิวได้เรียนรู้วิชาอภินิหารของเซียนแล้วจริงๆ
อวี๋เจินอี้เอามือสองข้างไพล่หลัง บอกเป็นนัยให้จ้งชิวรู้ว่าสามารถปล่อยหมัดได้เต็มกำลัง
ไม่เพียงเท่านี้ เขายังดีดปลายเท้าเล็กน้อย ลอยตัวอยู่กลางอากาศจนมีความสูงเท่าเทียมกับจ้งชิว เพื่อให้จ้งชิวปล่อยหมัดได้สะดวก!
จ้งชิวไม่เพียงแต่ไม่โมโหเพราะรู้สึกว่าถูกเหยียดหยาม กลับกันคือสีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม
หนึ่งหมัดปล่อยออกไป
หมัดของจ้งชิวหยุดอยู่ห่างจากใบหน้าอ่อนเยาว์ของอวี๋เจินอี้ไปสามฉื่อ
แล้วหมัดนั้นก็ได้แต่ขยับไปข้างหน้าทีละชุ่นอย่างเชื่องช้า
คล้ายคนแก่ที่เดินขึ้นเขา ทุกย่างก้าวล้วนลำบากยากเข็ญ
ระหว่างคนทั้งสองมีระยะห่างแค่สามฉื่อ แต่กลับเหมือนห่างกันราวฟ้ากับดิน
อวี๋เจินอี้ที่เอาสองมือไพล่หลังส่ายหน้าน้อยๆ แววตาเต็มไปด้วยความเวทนา “คิดไม่ถึงเลยว่าจ้งชิวจะมีดีแค่นี้เอง”
……
จนกระทั่งติงอิงปรากฏตัวเพื่อปิดฉากความวุ่นวายในครั้งนี้ หม่าเซวียนจินกังชมพูก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว ต่อให้ปรมาจารย์หลายท่านอย่างถังเถี่ยอี้ เฉิงหยวนซาน โจวเฝย ฯลฯ จะพากันจากไปแล้ว หม่าเซวียนก็ยังคงนอนอยู่ที่เดิม
ยุทธภพก็เป็นเช่นนี้ น้ำลึกน้ำตื้นล้วนสามารถท่วมทับคนให้ตายได้ แล้วนับประสาอะไรที่คำโบราณยังกล่าวไว้ว่า คนที่ว่ายน้ำเก่งมักจะจมน้ำตายเสมอ
อันที่จริงชีวิตนี้ของหม่าเซวียนมีค่ามาก เดิมทีควรมีค่ามากกว่าห้าร้อยตำลึงทองด้วยซ้ำ ในวงการการต่อสู้ของพื้นที่มงคลดอกบัว ทองเพียงเท่านี้ซื้อได้แค่ชีวิตของยอดฝีมือระดับสอง หรือไม่ก็ชีวิตของขุนนางตำแหน่งเจ้าเมืองเท่านั้น
มองดูเหมือนจะหลุดพ้นจากวงล้อมอันตรายมาได้ แค่ต้องรับมือกับผู้เฒ่าสวมกวานดอกบัวคนเดียว คนเดียวเท่านั้น ทว่าฝ่ามือของเฉินผิงอันกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความกล้าหาญและสภาพจิตใจ ล้วนเป็นเพราะว่าหลังจากที่ติงอิงปรากฏตัว ปราณสังหารของเขาเข้มข้นเกินไป การพบเจออันตรายแล้วต้องหลีกเลี่ยงคือสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์ เพียงแต่ว่าหากสามารถเดินขึ้นหน้าต้านรับถึงจะเรียกว่าการขัดเกลาบนวิถีวรยุทธ์ที่แท้จริงก็เท่านั้น
ติงอิงรับมือได้ยากแค่ไหน แค่ดูจากกระบี่บินสืออู่ที่ถูกคีบระหว่างสองนิ้วของเขาก็รู้ได้แล้ว
ติงอิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ก็คือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจ๋อเซียนกระมัง? เป็นของเล่นที่แปลกใหม่มากจริงๆ น่าจะเพิ่งปรากฏบนอาณาเขตของพื้นที่มงคลดอกบัวเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังเข้ามาที่แห่งนี้ด้วยเรือนกายและจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบอีกด้วย นับว่าหาได้ยากยิ่ง มิน่าเล่าเจ้าถึงชักนำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันได้มากมายขนาดนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าในพื้นที่มงคลดอกบัวมีข้าติงอิงอยู่”
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จา เขาพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งเฮือก ก่อนจะตั้งกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่
ติงอิงกวาดตามองไปรอบด้าน สองนิ้วของมือขวายังคงคีบกระบี่บินงดงามที่ส่องแสงสีเขียวมรกตเล่มนั้นเอาไว้ จากนั้นก็ยื่นมือซ้ายออกมาข้างหน้า “พูดคุยกันจบแล้วก็ควรจะลงมือได้แล้ว ข้าจะลองดูว่าจะฆ่าเจ้าด้วยมือเดียวได้หรือไม่”
ติงอิงชำเลืองตามองท่าหมัดของเฉินผิงอัน ก่อนจะส่ายหน้ากล่าวว่า “แนะนำเจ้าว่าควรเปลี่ยนเป็นท่าหมัดที่ช่วยในการจู่โจมจะดีกว่า ข้ายังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นวิถียุทธ์ที่ทำให้คนดวงตาเป็นประกาย ไม่อย่างนั้นหากข้าชิงลงมือก่อนก็จะเหมือนหมัดก่อนหน้านี้ที่เจ้าต่อยให้ลู่ฝ่างและจ้งชิวถอยร่น เจ้าจะไม่เหลือกำลังให้ต้านทานเลยแม้แต่นิดเดียว”
ติงอิงกวักมือเรียกเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้เจ้าปล่อยหมัดได้มากสุดแค่สิบหมัด แต่ข้าแน่ใจว่าเจ้าต้องทำได้มากกว่านั้นแน่ ข้าอยากรู้นักว่ามากสุดเจ้าจะต่อยได้สักกี่หมัด? เจ้าจงปล่อยหมัดออกมาอย่างวางใจ ข้าจะรับทุกหมัดไว้เอง!”
เฉินผิงอันเปลี่ยนมาเป็นกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าจริงๆ พลังอำนาจตลอดทั้งร่างพลันเปลี่ยนจากขุนเขาสูงนครใหญ่มาเป็นกองทัพมาเหล็กที่ควบทะยานดุจน้ำขึ้นในทันที
ติงอิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ยังคงใช้มือข้างหนึ่งพันธนาการกระบี่บินเล็กจิ๋วเล่มนั้น ใช้มือแค่ข้างเดียวรับมือกับเฉินผิงอัน “มา!”
ทันใดนั้นก็เห็นเพียงว่าบนถนนตรงจุดเดิมที่เฉินผิงอันยืนอยู่ได้ยุบยวบลงไปเป็นหลุมใหญ่ยักษ์ที่มีเส้นรัศมีรอบวงหลายจั้ง ทว่าเงาร่างชุดขาวนั้นกลับไม่เหลืออยู่แล้ว
ติงอิงพยักหน้า เร็วใช้ได้
มิน่าเล่าลู่ฝ่างที่เลื่อนสู่ขั้นการควบคุมกระบี่มาได้ครึ่งก้าวถึงมีสภาพอเนจอนาถขนาดนั้น
ติงอิงใช้ฝ่ามือต้านรับหมัดของเจ๋อเซียนหนุ่มผู้นั้น ในขณะที่เขากำลังจะกำฝ่ามือ แรงหมัดที่ส่งมาพลันคลายออก หมัดที่สองพุ่งมาถึงซี่โครงของเขาแล้ว
ติงอิงกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ หากเป็นอย่างที่ตนคาดเดาเอาไว้ กระบวนท่าหมัดนี้ ทุกครั้งที่หมัดถูกปล่อยออกมา ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว พละกำลังหรือจิตวิญญาณล้วนเพิ่มขึ้นในทุกหมัด จุดที่มหัศจรรย์ที่สุดอยู่ที่ว่า หมัดที่ปล่อยออกมาติดๆ กันนี้ไม่เว้นพื้นที่ให้คนหลบเลี่ยง ได้แต่ฝืนแข็งใจต้านรับไว้เท่านั้น มองครั้งแรกเป็นเพียงภูเขาลูกเล็ก แต่หากมีเซียนใช้วิชาอภินิหารแหวกเปิดพื้นที่พันหมื่นลี้ออกดูก็จะค้นพบว่าภูเขาที่ไม่สะดุดตานี้คือ ‘เส้นทางมังกร’ ที่สมบูรณ์แบบทั้งเส้น กลับกลายมาเป็นบรรพบุรุษแห่งขุนเขาในใต้หล้า
ก่อนจะถึงหมัดที่แปด เท้าของติงอิงไม่ขยับเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกครั้งล้วนสามารถใช้ฝ่ามือต้านรับหมัดได้อย่างพอดิบพอดี
รอบกายเหมือนมีเจียวหลงสีขาวหิมะตัวหนึ่งว่ายวนโอบล้อม มองไม่เห็นเงาคน
หมัดที่เก้าติงอิงถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยังคงใช้ฝ่ามือต้านหมัดที่พุ่งเข้ามายังหว่างคิ้ว
การลงมือของติงอิงที่มองดูเหมือนเรียบง่ายธรรมดาอย่างถึงที่สุดนี้ แท้จริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยแก่นแห่งวรยุทธ์เก้าชนิดที่รวบรวมมาจากสำนักและพรรคต่างๆ ในพื้นที่มงคลดอกบัว ไม่ต้องพูดถึงหอจิ้งซินที่ติงอิงเห็นเป็นเหมือนสวนดอกไม้หลังบ้านของตัวเอง แม้แต่พรรคหูซานของอวี๋เจินอี้ วิชาหมัดที่จ้งชิวสืบทอดให้แก่ลูกศิษย์ผู้สืบทอด ยอดเขาเหนี่ยวคั่นและตำหนักคลื่นวสันต์ กระบวนท่าหิมะถล่มอันเป็นวิชาทวนของเฉิงหยวนซาน เวทลับที่ไม่แพร่งพรายให้คนนอกของปรมาจารย์ใหญ่หลายคนอย่างเทพแปดกรเซวียยวน ติงอิงล้วนนำมาปรับใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ วิชาบางอย่างที่อยู่ในขั้นสูงสุดอยู่แล้วก็จะคงสภาพเดิมไว้ ไม่ไปแตะต้อง แต่วิชาบางส่วนที่ยังเหลือช่องว่าง ติงอิงที่อยู่ว่างๆ ก็จะช่วยปรับแก้ให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น
หมัดที่สิบ
ติงอิงขยับไปด้านข้างหลายก้าว แต่กลับยังคงเปิดปากเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “วิชาหมัดนี้ของเจ้า มีความบกพร่องเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือ ใช้วิธีทำลายศัตรูหนึ่งพัน ตัวเองกลับเสียหายแปดร้อย ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะทนได้ถึงหมัดที่เท่าไหร่ และหมัดสุดท้ายนั้นจะร้ายกาจมากแค่ไหน”
เฉินผิงอันตั้งหน้าตั้งตาปล่อยหมัดอย่างเดียว หัวใจเหมือนจมดิ่งสู่ก้นบ่อโบราณ
การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีใครมาร่วมชม
เพราะไม่กล้า
เดิมทีมารเฒ่าติงก็ขึ้นชื่อเรื่องชอบฆ่าคนที่มาชมศึกอยู่ด้านข้างอยู่แล้ว
พวกเจ้าเป็นคนไม่กลัวตาย ชอบมานั่งดูอยู่บนกำแพง ชอบมาชี้ไม้ชี้มือวิจารณ์ ชอบปรบมือร้องให้กำลังใจอยู่ด้านข้าง ชอบทำหน้าตกตะลึงเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ กันนักใช่ไหม ทุกครั้งที่มีจังหวะว่างระหว่างประมือกับคนอื่น มารเฒ่าติงจะต้องตบพวกคนที่มาชมการต่อสู้จนเละเป็นเนื้อบดด้วยฝ่ามือเดียวเหมือนคนใช้พัดตบยุงบนมุ้ง ตบแมลงวันบนผนังเสมอ
ดังนั้นอาจารย์ที่ลักษณะคล้ายลิงผอมแห้งขององค์รัชทายาทเว่ยเหยี่ยนเพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน เดิมทีหลบซ่อนอยู่ไกลๆ แต่พอเห็นว่ามารเฒ่าติงลงมือด้วยตัวเองก็รีบถอยออกมาทันที
นิสัยเช่นนี้ติงอิงเป็นอยู่คนเดียว บุคคลที่อยู่บนยอดเขาอย่างพวกจ้งชิว อวี๋เจินอี้ที่แม้จะไม่ชอบให้คนนอกมานั่งดูไฟชายฝั่ง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ให้ความสนใจเท่าใดนัก
ทว่าการชมการเข่นฆ่าระหว่างยอดฝีมือระดับสองคือข้อห้ามใหญ่ของคนในยุทธจักร เพราะใครก็ไม่ชอบให้ความสามารถก้นกรุของตนต้องมาเปิดเผยสู่สายตาคนนอก คนมากปากมาก หนึ่งเล่ากันไปสิบ สิบเล่ากันไปร้อย จนแม้แต่คนเดินถนนก็ยังรู้ แบบนั้นจะยังเรียกว่าของก้นกรุอีกได้อย่างไร? ยุทธภพจะบอกว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เลื่อนเป็นปรมาจารย์ระดับหนึ่งแล้ว วรยุทธ์ก็จะยิ่งเล็กแคบลงมาอีก
ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองอยู่ในระยะสองช่วงแขน แต่หมัดที่สิบเอ็ด ดูเหมือนติงอิงจะได้ลิ้มรสถึงความร้ายกาจของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าบ้างแล้ว เขาจึงขยับระยะห่างเหมือนตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา พอถูกหนึ่งหมัดต่อยก็ถอยออกไปหนึ่งจั้งกว่า
ตอนนั้นลู่ฝ่างถูกสิบหมัดต่อยจนบาดเจ็บสาหัส หนึ่งเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก เขาไม่ทันได้ตั้งตัวรับมือ ทว่าติงอิงกลับเตรียมพร้อมมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว สองก็เพราะลู่ฝ่างใฝ่เรียนวิชากระบี่อย่างเดียว ความทุ่มเทและความตั้งใจทั้งหมดอยู่ที่กระบี่ ร่างกายจึงมิอาจเทียบเคียงกับติงอิงได้ ลู่ฝ่างกินสิบหมัดของเฉินผิงอันเข้าไปก็เหมือนทหารเดินเท้ากลุ่มหนึ่งที่เจอกับทหารม้าเหล็กในผืนป่า เพียงปะหน้าก็แตกฉานซ่านเซ็น แน่นอนว่าย่อมพ่ายแพ้เหมือนภูเขาที่ล้มครืน สิบหมัดเหมือนกัน แต่ติงอิงกลับเหมือนได้ครอบครองนครยักษ์ที่มีป้อมปราการสูง กองกำลังทหารยังคงกร้าวแกร่ง
นี่หาใช่เพราะศักยภาพที่แท้จริงระหว่างลู่ฝ่างกับติงอิงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวไม่
จะว่าไปแล้ว การที่ติงอิงรับมือได้อย่างผ่อนคลายเช่นนี้ยังต้องยกให้เป็นความดีความชอบของบทเรียนก่อนหน้านี้ที่ลู่ฝ่างและจ้งชิวมอบให้เขา
หลังหมัดที่สิบเอ็ดผ่านไป ติงอิงไปยืนอยู่ห่างหนึ่งจั้ง ฉวยโอกาสที่หมัดต่อไปยังไม่เข้ามาประชิดตัวรีบสะบัดชายแขนเสื้อ สลายพายุหมัดที่ยังคงหมุนเวียนวนอยู่กลางฝ่ามือทิ้งไป กล่าวสัพยอกว่า “หากปล่อยมาอีกสักสามสี่หมัด เกรงว่าข้าคงต้องบาดเจ็บเล็กน้อยแล้ว”
หมัดที่สิบสองพุ่งเข้ามาแสกหน้า ติงอิงจึงออกหมัดเป็นครั้งแรก หมัดนั้นชนเข้ากับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันถอยหลังไปหลายก้าว แต่ความมหัศจรรย์ของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าก็แสดงออกมาอย่างเต็มกำลัง เฉินผิงอันใช้ความเร็วและวิถีวงโคจรที่อยู่เหนือหลักการทั่วไปปล่อยหมัดนี้ออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
ติงอิงที่ไม่ทันได้ออกหมัด ได้แต่ยกศอกขึ้นต้านบังอยู่ด้านหน้าอย่างฉุกละหุก
ปลายศอกของตัวเองกระแทกเข้าที่หน้าอก
ติงอิงกระเด็นออกไปดังปัง แต่ปราณแท้จริงในชุดคลุมยาวกลับพองโป่งขึ้นมา ช่วยลดทอนพายุหมัดไปเกินครึ่ง
ชั่วเวลาประกายไฟแลบ สัมผัสได้ว่าคู่ต่อสู้คล้ายจะช้าไปเสี้ยวขณะหนึ่ง ติงอิงก็หรี่ตา ถอยกรูดออกไปด้านหลัง ขณะเดียวกันกับที่รับหมัดที่สิบสี่ก็เอ่ยพลางยิ้มบางๆ ไปด้วยว่า “ก่อนหน้านี้ในที่พักของเจ้า มีเจ้าตัวน้อยลักษณะเป็นภูตประหลาดตัวหนึ่ง มันไม่รู้จักกลัวตาย ถึงได้พยายามแอบเอากระบี่บินมุดดินมาหาเจ้า แต่ถูกข้าจับได้ ไม่รู้ว่าถูกแรงกระเทือนตายอยู่ในใต้ดินไปแล้วหรือเปล่า”
แล้วก็จริงดังคาด แม้ว่าคนหนุ่มจะสัมผัสได้ แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดมือ หมัดที่สิบห้าพุ่งออกมาอย่างว่องไว
หนึ่งหมัดผ่านไป
ติงอิงถอยหลังอีกครั้ง อีกทั้งสองนิ้วที่คีบกระบี่บินสืออู่เอาไว้ยังสั่นน้อยๆ ด้วย
ติงอิงไม่ตกใจ กลับกันยังดีใจมากเดียวซ้ำ เพียงแต่เก็บกดอารมณ์นี้ไว้อย่างลึกล้ำ
มองภายนอกเหมือนว่ามารเฒ่าติงที่ได้ครอบครองบัลลังก์อันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างมั่นคงมาหกสิบปีผู้นี้จะทระนงตัวจนกลายเป็นความประมาท ทว่าอันที่จริงส่วนลึกในใจของติงอิงนั้นอยากได้แก่นของกระบวนท่าหมัดนี้มาครอบครองยิ่งกว่าใคร
มีความเป็นไปได้มากว่าหากเขาเข้าใจวิชาหมัดนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง มันก็ช่วยให้เขามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นว่าจะทำเรื่องบางอย่างที่คิดไว้ในใจได้สำเร็จ
นั่นคือเขย่าคลอนกฎสวรรค์ของพื้นที่แห่งนี้!
ติงอิงไม่สนใจสักนิดว่าการเปิดปากพูดของเขาจะทำให้ลมปราณที่แท้จริงไหลหายออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว ยังคงยิ้มบางกล่าวว่า “สี่หัวก่อนหน้านี้ ข้าเป็นคนให้ยาเอ๋อร์และโจวซื่อหิ้วออกมาให้เจ้าดูเอง เด็กคนนั้น หากข้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อเฉาฉิงหล่าง เขามาเจอกับเจ๋อเซียนอย่างเจ้า นับว่าโชคร้ายจริงๆ”
ต่อให้ติงอิงจะมองเห็นใบหน้าของเฉินผิงอันได้ไม่ชัดเจน แต่ผู้เฒ่ากลับสามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร ‘เล็กน้อย’ ของคนผู้นี้
ไม่ใช่ความโกรธเคือง ถึงขั้นไม่ใช่จิตสังหารที่ไหลแผ่ออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่เป็นจิตสังหารที่จงใจกดข่มไว้ให้เป็นเพียงเส้นบางๆ จากนั้นก็ขยำหนึ่งเส้นให้กลายเป็นหนึ่งก้อน
แบบนี้ก็น่าสนใจแล้ว
สภาพจิตใจของคนผู้นี้โดดเด่นแตกต่างไปจากบรรดาเจ๋อเซียนทั้งหลายที่ติงอิงเคยพบเห็นและเคยสังหารมา
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ติงอิงเรียนรู้มาหลากหลาย ไม่มีหนังสือเล่มใดที่ไม่ถูกเขาเปิดอ่าน เขาเคยอ่านเจอประโยคหนึ่งในตำราของลัทธิเต๋า กล่าวว่า ‘ล่องอยู่ในธาราไม่หลบเลี่ยงเจียวหลง คือความกล้าของคนขับเรือ ท่องอยู่ในป่าเขา ไม่กลัวหมาป่าและหมาใน คือความกล้าของนายพราน ร้อยคมมีดตัดสลับอยู่เบื้องหน้า ไม่หวั่นเกรงต่อความตาย ก็คือความกล้าของวีรบุรุษ เมื่อพละกำลังของคนหมดสิ้นลง ยามเผชิญกับหายนะใหญ่ยังเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน นั่นก็คือความกล้าแห่งอริยะ’
หากคิดจะเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน จิตใจต้องมั่นคงก่อน
อะไรที่เรียกว่าเมื่อพละกำลังของคนหมดสิ้นลง? ก็คือเมื่อเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คิดว่าคนในครอบครัวนั้นตายหมดแล้ว และเจ้าตัวน้อยนั่นก็อาจตายไปด้วย ภายใต้เงื่อนไขนี้ เขาไม่เพียงแต่ต้องรู้ว่าความละอายใจและความเคียดแค้นของตัวเองล้วนไร้ความหมาย เพราะมีแต่จะพาตัวเองไปตาย มีเพียงมุ่งมั่นตั้งใจเท่านั้นถึงจะรอดไปจากสถานการณ์ตอนนี้ได้ และเมื่อรู้แล้วว่าควรทำอย่างไรก็ต้องทำให้ได้ด้วย
การรับรู้เป็นเรื่องง่าย แต่จะกระทำได้หรือไม่นั้น กลับยากยิ่งกว่า
ทว่าเฉินผิงอันผู้นี้ไม่ทำให้ติงอิงผิดหวัง
เขาออกหมัดอย่างไม่มีอืดอาด ไม่มีพันธนาการใดๆ มาพันมือพันเท้า ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ต่อให้จะรู้ดีว่าทุกหมัดที่ปล่อยออกมาจะยิ่งช่วยให้ติงอิงเข้าใจกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ามากขึ้น ทว่าการออกหมัดของเขากลับยังไร้ซึ่งความกังวล ทำลายศัตรูหนึ่งพัน ตัวเองเสียหายแปดร้อย หากติงอิงไม่ตายภายใต้หมัดของตัวเอง ตัวเองก็ต้องเส้นชีพจรปริแตก จิตวิญญาณแหลกสลาย เลือดเนื้อพังทลาย ตายอยู่ท่ามกลางการส่งหมัดกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าหมัดสุดท้ายไปอย่างองอาจผึ่งผาย
หมัดที่สิบหก
ติงอิงพยักหน้ารับเบาๆ แล้วหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างอารมณ์ดี เห็นเพียงว่าท่ามกลางกวานดอกบัวสีเงินเหนือศีรษะของเขามีประกายแสงเหมือนน้ำตกที่ไหลรินลงมาอาบย้อมไปทั่วร่างของติงอิง
คราวนี้ติงอิงแค่ถอยสามก้าวเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
เฉินผิงอันเก็บหมัด อาศัยแรงดีดสะท้อนกลับของหมัดดีดตัวออกไปข้างหลังหลายจั้ง
พอยืนได้มั่นคงแล้วก็ยกแขนขึ้น ใช้หลังมือปาดคราบเลือด
ติงอิงไม่มีความคิดจะเปลี่ยนจากการป้องกันมาเป็นการโจมตี ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมไม่ออกหมัดต่อแล้วเล่า? ดูจากสภาพของเจ้า อย่างน้อยก็น่าจะยังประคับประคองไปได้อีกสองหมัด อย่างน้อยที่สุดน่ะนะ”
ติงอิงมองคนหนุ่มที่เงียบงันไม่พูดไม่จาแล้วยกมือขวาขึ้น “ไม่คิดบ้างหรือว่าหากออกหมัดอีกสักครั้งหรือสองครั้งจะสามารถต่อยให้ข้าปล่อยสองนิ้วนี่ได้?”
ติงอิงถอนหายใจด้วยความเสียดายเล็กน้อย หากไม่เรียกใช้กวานดอกบัว ลางสังหรณ์ก็บอกกับเขาว่าตัวเองต้องเผชิญกับอันตรายแน่นอน มีความเป็นไปได้มากว่าจะต้องพินาศย่อยยับกันไปทั้งสองฝ่าย
แต่คนเราก็ไม่ควรหวังให้ทุกเรื่องสมดังใจปรารถนาไปเสียหมัด แค่สิบกว่าหมัดนี้ก็มากพอให้เขานำมาศึกษาใคร่ครวญต่อแล้ว
มองออกว่ากระบวนท่าหมัดนี้คือหนึ่งในกระบวนท่าที่มีพลังพิฆาตสูงสุดของเจ๋อเซียนหนุ่มผู้นี้แล้ว
ติงอิงรู้สึกว่าแค่นี้ก็เพียงพอ อันดับต่อไปควรจะทำเรื่องที่เป็นจริงเป็นจังได้แล้ว
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน
ทุกอย่างล้วนแปลกประหลาดถึงเพียงนี้
แต่ก็เพราะเหตุนี้ เฉินผิงอันถึงได้รู้สึกว่าลมปราณที่ไม่สงบในหัวใจใกล้จะระเบิดออกมาเต็มที
เหมือนตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มแล้วได้เห็นหลิวเสี้ยนหยางนอนแบ๊บอยู่บนเตียง หลังจากเดินออกมาเขาก็มุ่งหน้าไปยังสะพานอย่างเงียบเชียบ
ความรู้สึกสิ้นหวังเช่นนั้น ต่อให้ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ เดินมาไกลขนาดนี้ ฝึกหมัดมามากมายถึงเพียงนี้ เฉินผิงอันก็ยังคงจดจำได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน
ฟ้าดินกว้างใหญ่ เดียวดายเพียงลำพัง เมื่อเจอกับหลุมใหญ่บางแห่ง ให้ตายเจ้าก็ข้ามไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นหากไม่อัดอั้นจนตายก็เท่ากับรนหาที่ตาย ยังจะทำยังไงได้อีก?
ในเวลานี้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวยังเหมือนถูกปิดผนึกเอาไว้ ชูอีไม่สามารถออกมาได้
ชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็ยังมีแต่กลิ่นอายความตายเข้มข้น
ส่วนสืออู่ที่เป็นทั้งกระบี่บินและเป็นทั้งวัตถุฟางชุ่นก็ถูกติงอิงพันธนาการอยู่ระหว่างสองนิ้วอย่างแน่นหนาตลอดเวลา
ยังดีที่ในปีนั้นเฉินผิงอันเคยเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกรมาก่อน
เฉินผิงอันถ่มเลือดทิ้งหนึ่งคำ “เจ้าลืมของบางอย่างเอาไว้ ไม่ได้เก็บมาหรือเปล่า?”
ติงอิงหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าหมายถึงกระบี่ที่เจ้าวางไว้บนโต๊ะเล่มนั้นน่ะหรือ? เจ้าคิดจะไปหยิบมันเพื่อมาสังหารข้า? แต่เมื่ออยู่ภายใต้เปลือกตาของข้า เจ้าคิดว่าตัวเองจะเดินไปถึงที่นั่นไหม?”
ติงอิงถามเองตอบเอง ส่ายหน้าพูดว่า “ขอแค่ข้าไม่เต็มใจให้เจ้าไป เจ้าเฉินผิงอันก็เดินออกไปได้ไม่ถึงสิบจั้ง ข้าแน่ใจเลยว่าเจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวในกลุ่มของเจ๋อเซียนเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ หาไม่แล้วข้าก็คงไม่อาจกักตัวกระบี่บินเล่มเล็กๆ นี้ไว้ได้”
เฉินผิงอันแสยะปาก ปรายตามองกวานเต๋าเหนือศีรษะของติงอิง “ฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี เจ้าล้วนยึดครองไปหมดแล้ว สะใจมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
ติงอิงหรี่ตาลง ปราณสังหารพลันท่วมทะลักออกมา “อ้อ? ไอ้หนู ไม่ยอมแพ้งั้นรึ แต่เจ้าจะทำอย่างไรได้เล่า?”
“ก่อนหน้านี้เจ้าพูดคำว่า ‘มา’ อะไรนั่น?”
เฉินผิงอันยกแขนข้างหนึ่งปาดออกมาเบื้องหน้า “ถูกไหม?”
ติงอิงไม่เอ่ยอะไร แค่ตอบกลับมาด้วยเสียงหัวเราะเยียบเย็น
ในใจคิดว่าเจ๋อเซียนที่ไม่เหมือนใครผู้นี้ต้องกำลังคิดดิ้นรนก่อนตายอย่างแน่นอน
เขาแค่รอดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเดียวก็พอ
เฉินผิงอันพูดในใจตัวเองว่า ‘กระบี่ จงมา!’
ในห้องด้านข้างของบ้านหลังนั้น กระบี่ปราณยาวที่แค่ปราณกระบี่ก็หนักหลายสิบจินพลันพุ่งออกจากฝักในเสี้ยววินาที
จากนั้นก็เหมือนว่าจะติดตามร่องรอยคร่าวๆ ของเฉินผิงอันที่ทิ้งไว้ในครั้งสุดท้ายที่เดินออกจากประตู ราวกับต้องการจะสำแดงบารมีต่อฟ้าดินแห่งนี้ กระบี่ยาวจึงเหมือนสายรุ้งสีขาวที่แหวกทะลุหน้าต่าง พุ่งออกจากลานบ้านมาถึงตรอก พุ่งผ่านตรอกเข้ามาในถนนเส้นใหญ่ พุ่งผ่านไหล่ติงอิงไป
เมื่อเฉินผิงอันคว้าจับ ‘รุ้งขาว’ เส้นนี้
ปราณกระบี่สีขาวหิมะที่ปานประหนึ่งแม่น้ำสายยาวยังคงเหลือค้างไว้ในโลกมนุษย์ มีทั้งคดงอ มีทั้งที่เป็นเส้นตรง แต่กลับไม่มีวี่แววว่าจะสลายหายไป
เมื่อเฉินผิงอันยื่นมือไปคว้ากระบี่ปราณยาวเล่มนั้นมา
ตัวกระบี่เหมือนน้ำค้างแข็ง ปราณกระบี่ก็เหมือนรุ้งขาว ชุดคลุมตัวยาวยิ่งเจิดจ้าเหนือกว่าหิมะ
ในโลกมนุษย์แห่งนี้ เฉินผู้ไร้เทียมทานในหนึ่งช่วงแขน
นอกเหนือจากหนึ่งแขนแล้วยังมีกระบี่อีกหนึ่งเล่ม