Skip to content

Sword of Coming 350

บทที่ 350 ลำคลองหมายเหอได้รับแต่งตั้งสายสืบทอดดั้งเดิม ยืมดาบศาลบู๊ วานรขาวสะพายกระบี่

สตรีร่างเล็กเตี้ยสวมชุดหรูหราดั่งฮูหยินตราตั้งคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ริมลำคลองหมายเหอแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า

เมื่อตบะและขอบเขตของนางไต่ทะยานอย่างรวดเร็ว เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอจึงสามารถควบคุมชะตาสายน้ำสองริมฝั่งได้อย่างคล่องแคล่วถนัดมือมากขึ้น นี่ก็เหมือนขุนพลฝ่ายบู๊ที่บุกเบิกพื้นที่ ที่ใดที่กีบม้าควบไปถึงล้วนเป็นผืนแผ่นดินของบ้านเมือง

เดิมทีลำคลองหมายเหอก็เป็นลำคลองใหญ่เส้นหนึ่งที่แทบจะทอดขวางกินพื้นที่เกินครึ่งตั้งแต่ตะวันออกจรดตะวันตกของราชวงศ์ต้าเฉวียนอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้อาศัยการหลอมอาวุธชิ้นหนึ่งจึงพอจะฝืนประคับประคองพลังอำนาจของลำคลองหมายเหอเอาไว้ได้ เมื่อนางเผชิญหน้ากับการก่อกวนจากปีศาจลำคลองที่ยังไม่เป็นขอบเขตโอสถทองตนหนึ่งก็ถือว่ากินแรงมากแล้ว หากบุ่มบ่ามเลื่อนจวนปี้โหยวเป็นตำหนักปี้โหยว อีกทั้งราชสำนักยังไม่ยินดีมอบโชคชะตาแคว้นส่วนหนึ่ง แล้วสั่งให้ผู้ฝึกตนของกองโหราศาสตร์เอามาใส่ไว้ในศาลเทพวารี

นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เจ้าแม่เทพวารีท่านนี้ไม่ยอมตอบรับข้อเสนอ เพราะหากป้ายหน้าจวนเปลี่ยนเป็นตำหนักปี้โหยวขึ้นมา คนจากสี่ด้านแปดทิศล้วนต้องอิจฉาตาร้อนและปรารถนาอยากครอบครอง ไม่แน่ว่าป้ายคำว่าจวนและตำหนักสองแผ่นนั้นอาจถูกคนเอามาเผาทำเป็นฟืนในวันนั้นเลยก็เป็นได้

นางเกิดมามีนิสัยโผงผาง ฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดง่ายก็จริง แต่การที่นางสามารถบัญชาการณ์ลำคลองหมายเหอมานานหลายร้อยปี โชควาสนาทุกอย่างล้วนถูกนางกุมไว้ในกำมืออย่างมั่นคง แน่นอนว่านางย่อมไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา

นางทรุดตัวลงนั่งยอง วักน้ำกอบหนึ่งมาจากลำคลองหมายเหอ ภายใต้แสงจันทร์ น้ำที่อยู่ในฝ่ามือมีริ้วกระเพื่อมเบาๆ เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ปราณวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกเยอะมาก

ก่อนจะไปเยือนจุดพักม้า ตอนแรกก็เป็นแก่นควันธูปจำนวนมากที่ศาลเทพวารีรับไหวไม่ไหวจึงไหลรินย้อนกลับทะลักเข้าไปในศาล แก่นควันธูปที่เดิมทีเป็นสีเงินยวงกลับเปลี่ยนเป็นสีทองอ่อนจาง แต่ละเส้นล่องลอยเข้าไปหารูปปั้นร่างทองที่อยู่ในตำหนักหลัก คำว่าร่างทองนี้ ไม่ใช่ว่าช่างทำรูปปั้นใช้การหล่อทองหรือชุบทอง แต่เป็นรากฐานแห่งวิถีเทพของเทพวารี คือการแสดงออกของมหามรรคาอย่างหนึ่ง ควันธูปเข้มข้นสีทองอ่อนเหล่านั้นค่อยๆ รมไปทั่วเทวรูปร่างทองที่ตั้งอยู่บนแท่นบูชา บนวิถีแห่งเทพ นี่เรียกว่าการ ‘เดินทอง’ ภาพปรากฎการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์สองอย่างเท่านั้น หนึ่งคือผู้ฝึกตนของกองโหราศาสตร์ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้ใช้พู่กันพระราชทานด้ามหนึ่งแต้มทองวาดลายลงไปบนร่างทองขององค์เทพบางองค์ ส่วนใหญ่แล้วจะแค่ ‘แต่งแต้มหลายครั้ง’ เท่านั้น และยังมีอีกสถานการณ์หนึ่งคืออริยะลัทธิขงจื๊อ ‘ชี้นำแม่น้ำและภูเขา’ อีกทั้งอริยะลัทธิขงจื๊อที่ว่านี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นพวกเจ้าขุนเขาของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา

นอกจากศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอจะได้รับโชควาสนายิ่งใหญ่ไม่คาดฝันนี้แล้ว โชคชะตาสายน้ำของจวนปี้โหยวก็ยิ่งพุ่งทะยาน เมฆมงคลมารวมตัวกันลอยอยู่เหนือศีรษะ

จนสถานที่แห่งนี้แทบจะกลายเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลในการฝึกตนแห่งหนึ่งแล้ว

การกระทำเช่นนี้ถูกมองว่าเป็นการได้รับแต่งตั้งให้เป็นสายสืบทอดดั้งเดิม!

คือการได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้สืบทอดดั้งเดิมจากฟ้าดินที่กว้างใหญ่อย่างแท้จริง!

ต่อให้เจ้าแม่เทพวารีเป็นคนไม่ละเอียดรอบคอบแค่ไหนก็รู้ว่าพระคุณยิ่งใหญ่ที่มาเยือนโดยที่นางไม่ทันตั้งตัวนี้ไม่เป็นรองจากครั้งแรกที่อาจารย์น้อยเฉินถ่ายทอดความรู้ไขข้อข้องใจให้นางเลย

แม้ตอนอยู่จุดพักม้าจะพูดล้อเล่นว่าจะใช้ร่างกายตอบแทน แต่การที่นางพูดเช่นนี้ อันที่จริงก็เป็นเพราะนางไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนอย่างไร

แผ่นหยกชิ้นนั้น แท้จริงแล้วคือสมบัติพิทักษ์จวนปี้โหยวของนางแล้ว

ในยุคบรรพกาล ลำคลองหมายเหอเคยเป็นหนึ่งในสามลำน้ำหลักสายใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทรของใบถงทวีป ภายหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นมหาสมุทรกลายเป็นผืนนา แม่น้ำลำคลองกลายเป็นถนน การสั่งสมตกตะกอน การอุดตันขัดขวาง ฯลฯ ยิ่งนานขนาดของลำน้ำใหญ่ก็เล็กลงเรื่อยๆ สุดท้ายจึงเหลือแค่ช่วงหนึ่งซึ่งก็คือลำคลองหมายเหอแห่งนี้ ในอดีตจวนปี้โหยวคือซากปรักของ ‘วังมังกรในแม่น้ำลำคลอง’ แห่งหนึ่ง ส่วนแผ่นหยกชิ้นนั้นก็คือสมบัติล้ำค่าที่นางหาเจอจากซักปรักของวังมังกร ผ่านมาหมื่นปีสีสันของมันก็ไม่แปรเปลี่ยน เพราะเกิดจากการรวมตัวกันของแก่นแม่น้ำลำคลองที่กลายเป็นสิ่งของจับต้องได้จริง ยิ่งเป็นรูปธรรมของโชคชะตาแห่งสายน้ำของฟ้าดินแถบหนึ่ง จากนั้นจึงถูกราชามังกรเฒ่าเอามาหล่อหลอมเป็นแผ่นหยก คิดดูแล้วในยุคโบราณอันห่างไกลที่วังมังกรยังคงดำรงอยู่นั้น แผ่นหยกชิ้นนี้ก็น่าจะเป็นของรักที่ราชามังกรเก็บไว้ติดตัวอยู่เสมอ

นางบอกเฉินผิงอันว่าหลังจากจดจำคาถาเต๋าตระกูลเซียนบทนั้นได้แล้วให้รีบทำลายแผ่นหยกทิ้งทันที อันที่จริงก็แค่คิดอยากจะหยอกล้อเขาเท่านั้น

เพราะเว้นเสียจากว่าเฉินผิงอันเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตบนเท่านั้น ถึงจะมีความสามารถทำลายแผ่นหยกนั้นได้

แต่การที่จะหล่อหลอมมันให้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ในเมื่อได้ครอบครองคาถาเต๋าที่ ‘หนึ่งก้าวกลายเป็นเซียน’ บทนั้นแล้ว นางเชื่อว่าขอแค่เฉินผิงอันตั้งใจ ย่อมมีความหวังไม่น้อยแน่นอน

อ่านนิยาย

นางเดินหนึ่งก้าวเข้าไปในลำคลองหมายเหอ เดินไปบนผิวน้ำ ประหนึ่งเทพธิดาที่ถูกกล่าวถึงในนิทานเรื่องประหลาด

ข้อบกพร่องเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือปีศาจลำคลองตนนั้นต้องสมคบคิดกับเทพภูเขาบางคนที่อยู่ใกล้เคียง แอบขึ้นฝั่งแล้วไปหลบซ่อนตัวในภูเขาบางแห่งแล้ว ถึงได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เจ้าแม่เทพวารีทิ้งตัวหงายไปด้านหลัง นอนอยู่บนผิวน้ำทั้งอย่างนั้น ปล่อยให้ร่างของตัวเองล่องลอยไปตามกระแสน้ำตอนล่าง

ผีพรายที่ตายเพราะจมน้ำติดตามเจ้าแม่เทพวารีท่านนี้ล่องลอยไปยังศาลเทพวารีเป็นขบวนใหญ่อยู่ใต้น้ำ

นางพลันยกมือกุมหน้า ท่าทางเขินอายไม่กล้าสู้หน้าคน “คำพูดน่าอายแบบนั้น คุณหนูในห้องหอตระกูลใหญ่คนใดจะกล้าพูดกันเล่า”

ยังดีที่เพียงไม่นานความฮึกเหิมของนางก็กลับมา นางลุกขึ้นนั่ง กล่าวอย่างลิงโลดว่า “รีบให้คนไปเชิญช่างที่เมืองเซิ่นจิ่งมาสร้างเทวรูปอันใหม่! คนงามเพราะแต่ง เทพงามเพราะเครื่องประดับทอง! ส่วนเว้าส่วนโค้งตรงหน้าอกเทวรูปให้นูนเด่นเกินจริงสักหน่อย ส่วนขาก็สามารถยาวได้อีกนิด!”

ผีพรายที่มีสติปัญญาบางส่วนซึ่งล่องลอยอยู่ใต้น้ำเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ ไม่นึกเลยว่าในโลกนี้จะมี…เจ้าแม่เทพวารีที่น่าสนใจขนาดนี้

……

เส้นทางขึ้นเหนือของขบวนตระกูลเหยาพบเจอเรื่องที่ชวนให้คนไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีอยู่หลายครั้ง

ผู้กล้าในยุทธภพคนหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงพกทวนแปดอัญมณีขนาดเล็กกะทัดรัดที่ทำจากเหล็กอันหนึ่งมาเยือนด้วยความเลื่อมใส บอกว่าต้องการมาขอความรู้วิชาทวนที่เลื่องลือไปทั่วชายแดนจากตระกูลเหยา

คนผู้นี้เรียกสหายมาด้วยอีกสิบกว่าคน พวกเขาหยุดม้าอยู่บนทางหลวงอย่างพร้อมเพรียงกัน เขานั่งอยู่บนหลังม้าสูง หมุนควงทวนแสดงทักษะลูกเล่นให้ดูหนึ่งรอบ จะบอกว่าเขามีฝีมือแค่งูๆ ปลาๆ ก็ไม่ได้ ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองขั้นสาม ฝึกฝนมาหลายสิบปีย่อมต้องมีฝีมืออยู่บ้าง เพียงแต่ว่าการประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้ในยุทธภพแบบนี้ เมื่อเทียบกับวิชาทวนเหล็กของตระกูลเหยาแล้วย่อมอยู่กันคนละชั้น เพียงแค่ชั่วพริบตา ฝ่ายหลังก็สามารถแบ่งผลรู้เป็นรู้ตายได้แล้ว

ตอนนั้นเหยาเจิ้นนั่งอ่านตำราพิชัยยุทธ์อยู่ในห้องโดยสารรถม้า เขาแค่รู้สึกว่าน่าขำ ไม่ได้ถือสาเหล่าชายชาตรีในยุทธภพที่อยากมีชื่อเสียงจนบ้าคลั่งเหล่านี้ เหยาจิ้นจือออกคำสั่งคำเดียว กองทัพม้าตระกูลเหยาก็ปลดธนูเบาลงอย่างเงียบเชียบ ทำเอาคนกลุ่มนั้นตกใจรีบเผ่นหนีออกไปจากถนนทางหลวง รอจนขบวนเดินทางตระกูลเหยาจากไปไกลแล้วถึงได้กล้าพูดจ้อไม่หยุด บ่นว่ากองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาเป็นแค่หมอนปักลายบุปผา มีแต่ชื่อเสียงจอมปลอม ขนาดความมั่นใจในการประลองวิชาทวนให้รู้กันว่าสูงหรือต่ำก็ยังไม่มี

ผลกลับกลายเป็นว่าวันนั้นคนกลุ่มนี้ถูกทางการจับกุมตัว เหล่าพี่น้องที่ร่วมความทุกข์ยากกันมาจึงต้องกินข้าวแดงร่วมกันจนอิ่ม

ภายหลังมีผู้ตนอิสระห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง อายุไม่มาก ประมาณยี่สิบปี พยายามที่จะขอมาเป็นข้ารับใช้ผู้ติดตามตระกูลเหยาให้ได้ แต่กลับไม่กล้าสร้างเรื่อง เขาบอกประวัติความเป็นมาของตัวเองคร่าวๆ รวมไปถึงคุยโวถึงวิชาเซียนที่ตัวเองเชี่ยวชาญอย่างเหมาะสม จากนั้นจึงคุกเข่าอยู่นอกโรงเตี๊ยมของจุดพักม้า แทะแผ่นแป้งแห้ง ดื่มเหล้าชั้นเลว รอฟังการจัดการจากตระกูลเหยา เหยาเจิ้นให้คนนำเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาให้เขา ผู้ฝึกตนอิสระหน้าแดงด้วยความอับอาย แต่ก็ยังรับเงินแล้วจากไป

ยิ่งขยับเข้าใกล้เมืองเซิ่นจิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ ข่าวที่เหยาเจิ้นเดินทางมารับตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหมก็แพร่ไปทั่วราชสำนักเร็วขึ้นเท่านั้น

จากนั้นก็มีผู้ฝึกตนสำนักการทหารท่าทางตกอับคนหนึ่ง เขากำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ร่างกายกำยำล่ำสัน มาขวางทางขบวนเดินทาง ป่าวประกาศว่าขอแค่ตระกูลเหยามีคนที่เอาชนะเขาได้ เขาจะไสหัวจากไปทันที จากนั้นเส้ายวนหรานลงมือทีเดียว เขาก็ต้องไสหัวไปทันใด

สิ่งที่ดึงดูดความสงสัยใคร่รู้ของขบวนเดินทางตระกูลเหยาได้จริงคือสองเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเทพภูเขาลงน้ำ และเทพวารีขึ้นภูเขา

เพียงแต่ว่าเทพแห่งภูเขาและแม่น้ำสองท่านนี้ไม่อาจเทียบเคียงกับระดับขั้นของเทพวารีหมายเหอได้ คือองค์เทพของท้องถิ่นในระดับปลายแถวที่สุด เทพภูเขาผู้นั้นดูแลพื้นที่ในรัศมีร้อยลี้ ส่วนเทพวารีคือพ่อปู่ลำคลองที่รับผิดชอบดูแลลำคลองเส้นหนึ่งที่ยาวสองร้อยลี้ ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเพื่อนบ้านกัน ความสัมพันธ์ไม่ถือว่าปรองดอง มักจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นเสมอ เพียงแต่ว่าในอดีตเป็นเพียงแค่การทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ แค่ด่าฝ่ายตรงข้ามข้ามเขตชายแดนของภูเขาและลำน้ำไปเท่านั้น แต่ผลกลับกลายเป็นว่าช่วงที่ผ่านมานี้ เป็นเพราะผู้มีจิตศรัทธาคนสำคัญคนหนึ่งเปลี่ยนสถานที่จุดธูปจากศาลเทพภูเขาไปที่ศาลเทพวารี นั่นเกี่ยวพันกับว่าเงินอย่างน้อยหนึ่งแสนตำลึงของทุกปีจะเข้ากระเป๋าของใคร เทพภูเขาน้อยจึงบอกให้เทพเจ้าที่คนหนึ่งที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาแอบไปเกลี้ยกล่อมให้ผู้มีจิตศรัทธาคนนั้นเปลี่ยนใจ คาดไม่ถึงว่าพ่อปู่ลำคลองจะมาเจอเข้าพอดี จึงเล่นงานเทพเจ้าที่เสียจนหน้าตาเปรอะเปื้อนมอมแมม ด้วยความโมโห เทพภูเขาจึงพกขวานคู่สองเล่มใหญ่ข้ามอาณาเขตไปยังลำคลอง พวกเขาต่อสู้กันจนน้ำในลำคลองหลายสิบลี้เกิดคลื่นลูกยักษ์ถาโถม ชาวบ้านแตกตื่นฮือฮา เทพวารีหรือจะยอมเสียหน้า หอบหุ้มเอาน้ำในลำคลองไหลย้อนกลับขึ้นไปบนภูเขา จู่โจมเข้าใส่ศาลเทพภูเขาโดยตรง

คลิก

ตอนนั้นขบวนเดินทางตระกูลเหยากำลังเร่งเดินทางอยู่ริมลำคลองพอดี ข้ารับใช้จักรพรรดิสองคนและผู้ฝึกตนติดตามกองทัพจึงคุ้มครองเหยาเจิ้นและสามเหยาไปชมเรื่องสนุก

เฉินผิงอันเองก็ติดตามพวกเขาไปด้วย คนฝ่ายเขามีแค่เผยเฉียนกับจูเหลี่ยนที่ตามมา

ดังนั้นจึงได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่พ่อปู่ลำคลองกระทำการรุนแรงบีบคั้นศาลเทพภูเขาอย่างดุดัน

ทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่าสังหารกันอยู่พักหนึ่ง เทพภูเขาได้เปรียบทางด้านชัยภูมิ โจมตีให้พ่อปู่ลำคลองถอยร่นกลับลงไปในน้ำ พ่อปู่ลำคลองจึงบังคับมวลน้ำข้นคลั่กมาเอาคืน ยิ่งสู้ก็ยิ่งห้าวหาญ

เจ้ามาข้าไป ต่างคนต่างร่ายวิชาอภินิหาร ยอดเขางดงามแห่งหนึ่งถูกน้ำท่วมกลบทับจนเละเทะ ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนหักโค่นล้มระเนระนาด

นอกสนามรบ เทพเจ้าที่และภูตผีปีศาจบนภูเขา พลทหารกุ้งหอยปูปลาริมลำคลองและผีพรายข้ารับใช้ต่างก็โบกธงร้องตะโกน แต่ละคนแผดเสียงจนแหบแห้ง มองดูเหมือนจะเหนื่อยกว่าคนที่ต่อสู้กันบนภูเขาด้วยซ้ำ อีกทั้งต่างฝ่ายยังงัดข้อกันเอง ริมลำคลองเอากลองใหญ่หนังกลองสีแดงออกมาตั้ง ลั่นกลองเพิ่มบารมีให้แก่นายท่านพ่อปู่ลำคลองของตน เสียงกลองดังปานเสียงฟ้าผ่า บนภูเขาก็รีบย้ายธงสูงหลายจั้งผืนหนึ่งออกมาโบกสะบัดเต็มแรง ส่งเสียงดังฟึ่บฟั่บ

เส้ายวนหรานยืนอยู่ข้างกายเหยาจิ้นจือ ช่วยนางอธิบายเรื่องวงในเกี่ยวกับองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำ ถ้อยคำที่เลือกใช้ชวนฟัง เด็กสาวเหยาหลิ่งจือที่อยู่ด้านข้างฟังอย่างเพลิดเพลิน เพียงแต่ไม่รู้ว่าพี่หญิงเหยาจิ้นจือที่อยู่ใต้ผ้าคลุมหน้าจะคิดอย่างไร

เผยเฉียนรีบวิ่งไปเก็บปลาที่ดิ้นกระแด่วๆ อยู่ตรงริมฝั่งขึ้นมา แบบนี้สบายกว่าตกปลาเองเยอะเลย

เรื่องวุ่นวายในครั้งนี้ถูกระงับด้วยฝีมือของเทพอภิบาลเมืองในเขตการปกครองที่ทะยานลมมาเยือนด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ เขาหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ ด่าองค์เทพทั้งสองท่านเสียจนไม่เหลือชิ้นดี

ชุดขุนนางที่เทพอภิบาลเมืองท่านนี้สวมใส่เป็นชุดที่กรมพิธีการต้าเฉวียนตัดเย็บให้เป็นพิเศษ ลายปักด้านหน้าและด้านหลังเหมือนชุดขุนนางของโลกมนุษย์ แต่จะเป็นระดับขั้นไหนก็อยู่ที่ว่าเป็นลายอะไร เพียงแต่ชุดขุนนางของเทพอภิบาลเมืองนั้นจะเป็นสีดำทั้งหมด นี่มีความหมายว่ากษัตริย์ในโลกมนุษย์ได้เดินทางไปเยือนโลกมืด พันธนาการพวกภูตผีปีศาจมากมายที่ออกมาในยามค่ำคืน เมื่อเทียบกับศาลเถื่อนที่กระจายอยู่หลายพื้นที่ใต้หล้า ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดอย่างห้ามไม่ได้แล้ว เทพอภิบาลเมืองจำเป็นต้องได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนัก อีกทั้งยังแทบจะไม่มีสถานการณ์ที่ ‘ได้มาโดยมิชอบ’ ดำรงอยู่ ไม่ว่าแซ่ใดที่เป็นผู้ครองแคว้น สำหรับเทพอภิบาลเมืองที่จำเป็นต้องตั้งรกรากอยู่ในเมืองแล้วล้วนควบคุมได้ง่ายที่สุด อีกทั้งเทพอภิบาลเมืองยังมีความจงรักภักดีต่อราชสำนักมาตั้งแต่ถือกำเนิด

เฉินผิงอันมองความวุ่นวายในภูเขาและแม่น้ำแถบนี้ด้วยหัวใจที่สงบนิ่ง

เมื่อเทียบกับสิ่งที่ตนพบเห็นและได้ยินมาจากการหาประสบการณ์ในเมืองเล็กหลงเฉวียนและระหว่างการเดินทางสองครั้งแล้ว เหตุการณ์ตรงนี้ก็เป็นแค่การทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ เท่านั้น ไม่อาจพูดได้ว่าตลก เพียงแต่ว่าเขาไม่มีความรู้สึกเหมือนตอนที่เดินขึ้นภูเขาพีอวิ๋นของบ้านเกิดเป็นครั้งแรกแล้วเห็นได้ภาพภูเขาและแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่

จูเหลี่ยนยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ในบรรดาข้ารับใช้ทั้งสี่คน คนตระกูลเหยามีความประทับใจต่อคนผู้นี้อย่างลึกล้ำ เพราะเมื่อเทียบกับอีกสามคนที่เหลือ ผู้เฒ่าหลังค่อมคนนี้เหมือนผู้ติดตามคนหนึ่งจริงๆ บวกกับที่ทุกคนต่างก็เคยได้เห็นและได้ยินผลงานของคนทั้งสี่ที่เปิดฉากเข่นฆ่าในโรงเตี๊ยม จึงพอจะรู้ว่าหญิงสาวงามเลิศล้ำที่สะพายกระบี่คนนั้นคือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ท่านหลูที่บุคลิกองอาจห้าวหาญคือปรมาจารย์ในการใช้ดาบ เว่ยเซี่ยนผู้เงียบขรึมคือหนึ่งบุรุษที่ตั้งตนเป็นด่านหน้า ขัดขวางการโจมตีจากกลุ่มผู้ฝึกลมปราณของราชวงศ์ ส่วนตาเฒ่าหน้าตาใจดีคนนี้กลับลงมือได้อย่างเหี้ยมโหดที่สุด ในขณะที่ศึกใหญ่ปิดฉากลง บนพื้นรอบตำแหน่งที่ผู้เฒ่ายืนอยู่ล้วนมีแต่เศษซากโครงกระดูก

จูเหลี่ยนไม่ได้หันไปมองเฉินผิงอัน

ในหลายๆ ครั้ง ใจคนไม่จำเป็นต้องใช้ตามอง

จูเหลี่ยนยิ่งรู้สึกสนใจใคร่รู้ในเขตการปกครองหลงเฉวียนแห่งนั้น รวมไปถึงถ้ำสวรรค์หลีจูก่อนหน้าที่จะมาเป็นเขตการปกครองหลงเฉวียนว่าเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบแบบใดกันแน่ ถึงได้สามารถทำให้เฉินผิงอันที่อายุน้อยแค่นี้กลายมาเป็นเหมือนคนที่ผ่านคลื่นมรสุมครั้งใหญ่ในโลกมนุษย์มานาน จนยากที่จะเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมไหวในจิตใจได้อีก

อายุน้อยๆ แต่หัวใจกลับนิ่งสนิทดุจบ่อน้ำเก่าแก่

นี่ย่อมทำให้เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าแก่เกินวัย มีกลอุบายลึกล้ำอย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่จูเหลี่ยนกลับไม่คิดอย่างนี้ เฉินผิงอันที่พร้อมจะทำความดีกับผู้อื่นในทุกเรื่องกลับมอบความรู้สึกที่คลุมเครือเลือนรางให้แก่เขา ราวกับว่าในจุดลึกของบ่อน้ำโบราณซึ่งเป็นสภาพจิตใจของเฉินผิงอันนั้นมีเจียวหลงที่ชั่วร้ายตัวหนึ่งแหวกว่ายให้เห็นเงาร่างผลุบโผล่

เพียงแต่ว่าเจียวหลงที่ไม่มีใครรู้จักตัวนี้น่าจะถูกพันธนาการจากกฎเกณฑ์พิธีการ และการแบ่งแยกความดีความเลวอยู่ใต้บ่ออย่างแน่นหนา ต่อให้อยากจะลอยขึ้นมาสู่ผิวน้ำ แต่แค่โผล่หัวขึ้นมาก็ยังทำไม่ได้

จูเหลี่ยนไม่กล้าคาดเดาเรื่องอื่น แต่แน่ใจในเรื่องหนึ่ง จุดลึกในหัวใจของเฉินผิงอันต้องมีความยึดมั่นที่ยิ่งใหญ่มากซึ่งเขาวางไม่ลงอยู่สองอย่าง

ทะยานเมฆหลายร้อยลี้เดินทางมาห้ามปรามคนทะเลาะกันครั้งนี้ทำให้เทพอภิบาลเมืองเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ อารมณ์กำลังย่ำแย่สุดขีด ใจนึกอยากจะกระทืบทั้งศาลพ่อปู่ลำคลองและศาลเทพภูเขาให้พังราบเป็นหน้ากลองไปตามๆ กัน

เรื่องที่เทพภูเขาและแม่น้ำต่างก็ข้ามเขตแดนบุกไปยังเขตของผู้อื่นโดยพลการเป็นเรื่องที่อ่อนไหวอย่างมาก หากมีคนเอาไปฟ้องที่ว่าการกรมพิธีการของเมืองหลวง จุดจบของเทพอภิบาลเมืองอย่างเขาที่นั่งอยู่ในบ้าน หายนะกลับร่วงจากฟ้ามาเยือนนี้ย่อมไม่ได้ดีไปกว่าเจ้าโง่ที่ไม่รู้หนักเบาทั้งสองคนนั้นสักเท่าไหร่

เทพอภิบาลเมืองมองเจ้าสารเลวทั้งสองที่ตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวกลับจวนไป มองเห็นคนของตระกูลเหยาที่อยู่ริมลำคลอง ร่ายวิชาดูลมปราณแค่ครั้งเดียวก็รู้สึกบาดตา ในใจสั่นสะท้าน คิดจะพลิ้วกายลงไปหยั่งเชิงตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย เพียงแต่ว่าข้ารับใช้ของคนเหล่านั้นช่างไร้มารยาทยิ่งนัก ผู้ฝึกลมปราณสองคนถึงกับชักดาบออกมาโดยตรง ประกาศว่าห้ามเข้าใกล้ ไม่อย่างนั้นจะมองเป็นการลอบสังหาร เทพอภิบาลเมืองโมโหจนแทบจะเรียกองค์เทพใต้บังคับบัญชาสองคนนั้นกลับมาเล่นงานต่อ โชคดีที่ได้รับควันธูปมานานหลายปี ยังพอจะมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์อยู่บ้าง สุดท้ายจึงได้แต่จดจำใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยเหล่านั้นไว้จนขึ้นใจ แล้วกลับไปยังเขตการปกครองของตนเองด้วยสีหน้ามืดทะมึน

ระหว่างที่ขบวนใหญ่เดินทางย้อนกลับมา เหยาเจิ้นขยับมาอยู่ข้างกายเหยาจิ้นจือ เอ่ยถามเสียงเบาว่า “เหตุใดถึงไม่รับน้ำใจคนอื่นขนาดนี้?”

เหยาจิ้นจือกล่าวอย่างจนใจ “การเข้าร่วมงานเลี้ยงกับพวกขุนนางท้องถิ่นตลอดทางที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่หากเกี่ยวพันไปถึงเทพอภิบาลเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะยิ่งอธิบายได้ยาก ท่านปู่คงไม่อยากให้ยังไม่ทันไปถึงเมืองเซิ่นจิ่งก็ถูกขุนนางทัดทานของหกกรมถวายฎีกาอย่างลับๆ แล้วกระมัง? ต่อให้ฮ่องเต้จะเห็นเป็นเรื่องตลก แต่ทว่าตั้งแต่วงการขุนนางไปจนถึงพวกชาวบ้านจะต้องเกิดคลื่นลมมรสุมขึ้นอีกระลอกหนึ่งแน่นอน ถ้าเช่นนั้นใต้หล้ามีใครบ้างที่ไม่ชอบดูเรื่องสนุก? พวกเราเดินทางมาครั้งนี้ก็ไม่ใช่เพราะมาชมเรื่องสนุกหรอกหรือ? ยังจะต้องสนใจด้วยหรือว่าเทพภูเขาและพ่อปู่ลำคลองสองท่านนั้นใครถูกใครผิด?”

เหยาเจิ้นคิดตามนิดเดียวก็กระจ่าง แล้วก็รู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง

ในใจแม่ทัพผู้เฒ่ารู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง หากเหยาจิ้นจือเป็นผู้ชาย ให้นางอยู่ต่อที่ชายแดน เขาก็วางใจแล้ว

เผยเฉียนเก็บปลาแม่น้ำมาได้กองใหญ่ ผลคือเฉินผิงอันไม่ยอมรับไว้ นางจึงได้แต่จับหางปลาแล้วทยอยขว้างลงไปในลำคลองทีละตัว ทำเอานางเหนื่อยจนเหงื่อแตกเต็มหลัง

มาถึงเมืองฉีเฮ้อที่เป็นทั้งเขตการปกครองและเป็นมณฑลแห่งหนึ่งก็ถือว่าอยู่ใกล้กับเมืองหลวงต้าเฉวียนในระยะประชิดแล้ว

เขตการปกครองแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ชื่อของเขตการปกครองมาจากตำนานเล่าลือว่ามียอดฝีมือผู้ฝึกตนท่านหนึ่งขี่นกกระเรียน (ฉีเฮ้อ ชื่อของเมือง) บินทะยานไปจากที่นี่ ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือ ในเขตการปกครองมีภูเขาลูกเล็กอยู่แห่งหนึ่งที่ทัศนียภาพไร้ซึ่งความมหัศจรรย์ใดๆ แต่เพียงเพราะเป็นสถานที่ที่เซียนผู้นั้นขี่กระเรียนบินทะยาน ทุกปีจึงมีนักประพันธ์และปัญญาชนจำนวนนับไม่ถ้วนเดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ บริเวณโดยรอบภูเขาล้วนเป็นเรือนพักที่คนมีเงินและมีอำนาจของเมืองหลวงซื้อที่ดินไว้แล้วสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นมา พื้นที่ทุกชุ่นล้วนเป็นเงินเป็นทอง

เทพอภิบาลเมืองคนก่อนหน้านี้น่าจะอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ เพียงแต่เหยาเจิ้นยังไม่ถึงขั้นต้องกริ่งเกรงเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองแห่งหนึ่ง

เจ้ากรมพิธีการที่ควบคุมเรื่องการเคลื่อนย้าย การลดขั้นและเพิ่มขั้นของเทพอภิบาลเมืองในหนึ่งแคว้นมีระดับขั้นและเงินเดือนไม่ต่างจากเขา แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้าเฉวียนยังให้ความสำคัญกับฝ่ายบู๊ เจ้ากรมกลาโหมไม่ใช่ตำแหน่งว่างเปล่าจอมปลอมอะไร ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เป็นเก้าอี้อันดับหนึ่งที่แม่ทัพฝ่ายบู๊ทุกคนหวังจะได้นั่งยามแก่ชรา

ยังคงหยุดพักที่โรงเตี๊ยมของจุดพักม้า นี่ก็คือกฎของราชสำนัก จุดพักม้าในเมืองกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก ถึงขั้นไม่เป็นรองจวนของโหวหรืออ๋องเลย เพื่อต้อนรับเหยาเจิ้น คนสนิทของจวนผู้ว่าฯ และเจ้าเมืองต่างก็วิ่งวุ่นไปเยือนจุดพักม้าอยู่หลายรอบ เก็บกวาดจุดพักม้าจนแทบจะสะอาดเอี่ยม

เรื่องมาถึงขั้นนี้ เหยาเจิ้นก็ได้แต่รับน้ำใจไว้ แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น คำที่ว่าน้ำใสเกินไปปลาก็อยู่ไม่ได้ใช้ได้ดีเป็นพิเศษในวงการขุนนาง

โดยทั่วไปแล้ว ในราชสำนักสามารถยอมรับขุนนางตงฉิน ขุนนางกังฉิน ขุนนางผู้มีความสามารถ ขุนนางผู้โง่เขลาและพวกหญ้ายอดกำแพงมากมาย มีเพียงอย่างเดียวที่ยอมรับไม่ได้ก็คือบุคคลที่เป็นดั่งอริยะผู้มีคุณธรรม

นั่นก็เหมือนการเอากระจกส่องมารมาแขวนไว้เหนือราชสำนัก ข้อบกพร่องหลากหลายชนิดของเหล่าเสาหลักแห่งแคว้นจะเปิดเผยสู่สายตาผู้คนอย่างแจ่มชัด

ในใจของแม่ทัพเฒ่าเต็มไปด้วยความปลงอนิจจัง หลักการการอยู่ร่วมกับคนบนโลกเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลานสาวเหยาจิ้นจือของเขาพูดให้ฟังตอนอายุสิบสี่สิบห้าปี

บางครั้งเหยาเจิ้นก็จะเย้ยหยันตัวเอง ตนสู้อุตส่าห์สั่งสมประสบการณ์ในชีวิตที่มาจนอายุปูนนี้ หรือจะต้องกลายเป็นหญ้าเลี้ยงม้าที่ใช้เลี้ยงม้าศึกจริงๆ ?

ยังดีที่ในขบวนเดินทางมีเฉินผิงอัน

การเดินทางขึ้นเหนือของเหยาเจิ้นครั้งนี้ เขาชอบที่จะคุยเล่นกับคนหนุ่มผู้นี้ที่สุด

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันได้ประลองฝีมือกับเหยาเซียนจือตามสัญญาและให้คำชี้แนะเขาไปบ้างแล้ว เหยาเซียนจือเห็นคำพูดของเฉินผิงอันเป็นมาตรฐานหลัก ตอนที่กลับไปพูดคุยกับท่านปู่จึงรู้สึกเศร้าโศกอย่างมาก บอกว่าวรยุทธ์ที่ตนเล่าเรียนมาชั่วชีวิตนี้ล้วนไปอยู่บนร่างสุนัขหมดแล้ว เหยาเจิ้นจึงถามเขาว่า คำว่า ‘ชั่วชีวิตนี้’ ของเจ้าหมายถึงกี่ปีกันล่ะ เหยาเซียนจืออึ้งงันพูดไม่ออก ทำเอาเหยาจิ้นจือที่นั่งต้มชาอยู่ด้านข้างขำขัน แม้ว่าเหยาจิ้นจือจะเล่นหมากล้อมไม่ชนะหลูป๋ายเซี่ยง แต่เรื่องการต้มชานี้ นางถือว่ามีฝีมือระดับแคว้นเลยทีเดียว

ในสถานที่ที่มีแต่เม็ดทรายหยาบกระด้างอย่างชายแดน ตระกูลเหยาที่ชายหญิงแต่ละรุ่นล้วนเป็นวีรบุรุษผู้องอาจห้าวหาญ สามารถอบรมสั่งสอนสตรีที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และความสามารถพิเศษเช่นนี้ได้อย่างไร?

อยู่ดีๆ เหยาเซียนจือก็โพล่งประโยคหนึ่งออกมา “พี่หญิงจิ้นจือ ข้าไม่ชอบเส้ายวนหรานผู้นั้น ข้าชอบเฉินผิงอัน”

เหยาจิ้นจือยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าชอบหรือไม่ชอบ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”

เหยาเซียนจือยังจะพูดอะไรต่อ แต่กลับถูกเหยาจิ้นจือถลึงตาใส่ ทำเอาเขาตกใจจนรีบกลืนคำพูดที่มารออยู่ตรงปากกลับลงท้องไป

เหยาเจิ้นหัวเราะชอบใจอย่างไม่มีมาดเจ้าประมุขตระกูลเหยาเลยแม้แต่น้อย

เหยาจิ้นจือพูดด้วยประโยคเรียบง่ายประโยคหนึ่งว่า “ท่านปู่ หากไม่ผิดไปจากที่คาด อีกไม่นานราชสำนักจะต้องส่งทูตมาเยือนเมืองฉีเฮ้ออย่างลับๆ ถึงเวลานั้นท่านปู่ค่อยหัวเราะก็ยังไม่สาย”

คราวนี้เหยาเจิ้นหัวเราะไม่ออกแล้ว

อยู่ในวงการขุนนางที่เหมือนแช่ตัวอยู่ในบ่อย้อมสีมาหลายสิบปี กลอุบายลึกลับซับซ้อนของพวกคนที่ฝึกวิชาการใช้อำนาจอย่างเชี่ยวชาญจนกลายเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ทำให้ผู้เฒ่าปวดหัวไม่น้อยเลยจริงๆ

เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในห้องของตัวเอง ใช้ท่าจับกระบี่เสมือนจริง หลับตาจินตนาการภาพการออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่แต่ละคนที่มีมาดแตกต่างกันออกไป

บนโต๊ะวางกระบอกไม้ไผ่ไว้อันหนึ่ง กระบอกไม้ไผ่ทำมาจากไม้ไผ่สีเขียวธรรมดาซึ่งเขาใช้มือผ่ามาจากป่าไผ่บนภูเขาเขียวระหว่างทาง

เฉินผิงอันคิดว่าจะสลักกระบอกใส่พู่กันให้เป็นของขวัญจากลา มอบให้แก่ท่านแม่ทัพผู้เฒ่าเหยา

เผยเฉียนวิ่งมาบอกว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอก เฉินผิงอันบอกให้นางไปถามหลูป๋ายเซี่ยงว่ายินดีจะพานางออกไปข้างนอกหรือไม่ หากเขาไม่ยินดี นางก็ต้องอ่านหนังสืออยู่ในห้องอย่างว่าง่าย ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันมอบตำราลัทธิขงจื๊อเล่มที่สองให้นางแล้ว เผยเฉียนท่องจำจนขึ้นใจ มีครั้งหนึ่งนางยังมาที่ห้องเฉินผิงอันด้วยสีหน้าลิงโลด บอกว่านางสามารถท่องย้อนกลับจากด้านหลังได้ด้วย เฉินผิงอันจึงหยิบตำรามา บอกให้นางลองท่องให้ฟัง นางก็ท่องตัวอักษรหนึ่งพันกว่าคำได้ไม่ผิดเลยสักคำจริงๆ จากนั้นเฉินผิงอันก็ดึงหูนาง บอกให้นางกลับห้องปิดประตูทบทวนตัวเอง พูดแค่ประโยคเดียวว่าท่องหนังสือต้องตั้งใจ เจ้าเห็นคำพูดข้าเป็นลมที่พัดผ่านหูหรือไร?

คราวนั้นเผยเฉียนกลับมาถึงห้องของตัวเองอย่างขุ่นเคือง ยืนอยู่บนเก้าอี้หลุบตาลงต่ำมองหนังสือยับๆ บนโต๊ะเล่มนั้น จับปลายคาง ขมวดคิ้วแน่น ตั้งใจ? หมายความว่าไง? ตนยังไม่ตั้งใจมากพออีกหรือ? เพื่อให้ตัวเองสามารถท่องหนังสือกลับหลังได้ตนยังใช้เวลาไปตั้งหนึ่งก้านธูปเชียวนะ นางนั่งยองลง มองชื่ออริยะปราชญ์ที่เขียนตำราผายลมสุนัขเล่มนี้แล้วจดจำเอาไว้ รอให้ตนฝึกวิชากระบี่วิชาหมัดสำเร็จเมื่อไหร่ วันหน้าจะต้องเล่นงานให้เจ้าเฒ่าสารเลวผู้นี้ร้องหาบิดามารดาเลยทีเดียว

นางลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ จึงกระโดดลงจากเก้าอี้ หยิบไม้เท้าเดินป่าที่ใช้ชีวิตพึ่งพากันและกันมานานอันนั้นขึ้นมาฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง

หลังจากฝึกเสร็จก็โยนไม้เท้าเดินป่าทิ้ง นางพลันรู้สึกว่าตัวเองขยับเข้าใกล้การได้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งอีกนิดแล้ว อารมณ์ดีขึ้นในพริบตา จึงกระโดดฟุบลงบนเตียง กรนครอกๆ หลับสนิทไปทันที

วันนี้ได้รับคำอนุญาตจากเฉินผิงอันนางจึงวิ่งตุปัดตุเป๋ไปหาหลูป๋ายเซี่ยงที่นางแอบตั้งชื่อเล่นให้อย่างลับๆ ว่า ‘เสี่ยวป๋าย’ แต่หลูป๋ายเซี่ยงกลับกำลังเล่นหมากล้อมกับสุยโย่วเปียน บอกว่าให้รอเขาครึ่งชั่วยาม เผยเฉียนหันหน้ากลับไปมองเว่ยเซี่ยนที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ อย่างเบื่อหน่าย เขาไม่เข้าใจการเล่นหมากล้อม แค่รอให้รู้ผลแพ้ชนะเท่านั้น นางกำลังจะอ้าปากพูด เว่ยเซี่ยนที่ตาจ้องกระดานหมากล้อมเขม็งพลันเอ่ยว่าไป แล้วก็ลุกขึ้นยืน เผยเฉียนเข้าใจได้ในฉับพลัน แล้วคนทั้งสองก็ออกจากจุดพักม้าไปเดินเล่นด้วยกัน

เผยเฉียนถามด้วยรอยยิ้ม “เหล่าเว่ย ที่ตัวเจ้าพกเงินมาบ้างไหม?”

ในบรรดาคนทั้งสี่ เผยเฉียนไม่กลัวเว่ยเซียนมากที่สุด ปากคอยเรียกเขาว่าเหล่าเว่ย เว่ยเซี่ยนก็ไม่เคยทำหน้าตาไม่พอใจใส่ และในความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ

เว่ยเซี่ยนเงียบไม่ตอบ

เผยเฉียนบ่นพึม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ซื้อของเล่นสวยๆ กับของกินน่าอร่อยในถนนสายนั้นไม่ได้เลยน่ะสิ”

เว่ยเซี่ยนพลันเอ่ยขึ้นว่า “ข้าพอจะมีเงินอยู่บ้าง”

เผยเฉียนขมวดคิ้วถาม “เอามาจากไหน? ขโมยมา แย่งมา? เจ้ากับข้าแบ่งกันคนละครึ่ง แล้วข้าจะไม่บอกเฉินผิงอัน”

เว่ยเซี่ยนกล่าว “สอนวิชาหมัดให้เจ้าเด็กขาเป๋ที่โรงเตี๊ยมไปกระบวนท่าหนึ่งเลยได้เงินมาสองสามเหรียญ ช่วงนี้สอนวิชาหมัดให้เหยาเซียนจืออีกจึงได้มาอีกสิบกว่าตำลึง”

ใบหน้าเผยเฉียนเต็มไปด้วยความอิจฉา “เหล่าเว่ยเจ้าใช้ได้เลยนี่นา ไปที่ไหนก็ล้วนหาเงินได้ก้อนโต ข้อนี้ข้าต้องยอมเจ้าเลยจริงๆ”

เผยเฉียนเอาสองมือไพล่หลัง ยืดอกเดินไปข้างหน้า ไม่นานก็จุ๊ปากพูดว่า “แต่ว่านะเหล่าเว่ย การที่เจ้าหลอกเอาเงินมาจากเจ้าเป๋น้อยกลับไม่มีคุณธรรมเอาซะเลย หลอกเขาไม่สู้หลอกจิ่วเหนียง ในกระเป๋านางต่างหากที่มีเงินอย่างแท้จริง น่าเสียดายนักที่หน้าตาของเจ้าเหล่าเว่ยไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับความหล่อเหลาของพ่อข้าได้ เหล่าเว่ย เจ้าหน้าตาอัปลักษณ์ขนาดนี้ หลังจากโตมาแล้วเคยโทษพ่อแม่ของเจ้าบ้างไหม?”

ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นผู้ยิ่งใหญ่กลับถูกเด็กหญิงพูดแบบนี้ใส่ ก็นับว่าหาได้ยากที่เว่ยเซี่ยนยังคงไม่สะทกสะท้าน

บุรุษร่างเล็กเตี้ยกล่าวอย่างจริงจัง “ปีนั้นจิตรกรที่อยู่ในวังวาดภาพเหมือนให้ข้าล้วนชมว่าข้าหน้าตาหล่อเหลาองอาจ ข้ารู้สึกว่าพวกเขาพูดความจริง”

เผยเฉียนตกตะลึง “เหล่าเว่ย น้ำมันหมูบดบังใจเจ้าหรือตาพวกเขาไปงอกอยู่ที่ก้นกันแน่?”

เว่ยเซี่ยนฝึกวิชาปิดปากของตัวเองต่อไป

เมืองฉีเฮ้อไม่มีการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาล คนร่ำรวยในเมืองที่มีมากจนนับไม่ถ้วนต่างก็เต็มใจทุ่มเงินทองจับจ่ายซื้อของ

ออกจากจุดพักม้า เลี้ยวออกจากถนนเส้นหนึ่ง หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กก็เดินเข้าไปท่ามกลางฝูงชนที่เบียดเสียดกันอย่างเนืองแน่น ในกระเป๋าของเผยเฉียนไม่มีเงินสักอีแปะเดียว แต่วางมาดราวกับว่าตรงเอวผูกเงินหมื่นกว้าน

นี่ก็ไม่แปลก เพราะขนาดหลอกให้คนวัยเดียวกันกลุ่มใหญ่ในเมืองหูเอ๋อร์ที่ไม่คุ้นเคยเชื่อสนิทใจว่านางเป็นองค์หญิงที่พลัดถิ่นฐานมาอยู่ในกลุ่มพวกชาวบ้าน สุดท้ายยังสามารถปั่นหัวหลอกพวกมือปราบที่เฉลียวฉลาดและเจ้าเล่ห์ให้พานางมาส่งกลับโรงเตี๊ยมอย่างนอบน้อม นางก็ล้วนทำสำเร็จมาแล้ว

เผยเฉียนพลันเอ่ยถาม “เหล่าเว่ย ข้ามักรู้สึกว่าสายตาที่นังผู้หญิงที่วันๆ ไม่กล้าออกไปพบเจอใครมองท่านพ่อข้าออกจะผิดปกติ”

เว่ยเซี่ยนเอ่ยอย่างเฉยเมย “หลักในการจัดการเรื่องราวของฮ่องเต้ก็คือศาสตร์ทางจิต”

เผยเฉียนไม่เข้าใจ “เจ้าพูดอะไรน่ะ?”

เว่ยเซี่ยนไม่เอ่ยอะไรอีก

เผยเฉียนเองก็ไม่ซักไซ้ถามต่อ นางกลืนน้ำลายด้วยรู้สึกอยากกิน จึงยิ้มตาหยีพูดว่า “เหล่าเว่ย ซื้อน้ำตาลปั้นให้ข้าสักไม้ได้ไหม?”

เว่ยเซี่ยนส่ายหน้า

เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เหล่าเว่ย เหตุใดเจ้าถึงเป็นคนขี้งกขนาดนี้?”

เว่ยเซี่ยนคลี่ยิ้มอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ข้าไม่ได้มีความสามารถและความอดทนเหมือนเฉินผิงอัน เลี้ยงเจ้าไม่ไหวหรอก”

เผยเฉียนมึนๆ งงๆ กล่าวอย่างน่าสงสารว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าขอยืมเงินเจ้าซื้อน้ำตาลปั้น?”

เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับ “คิดตามหลักดอกเบี้ยสามส่วน”

เผยเฉียนหน้านิ่วคิ้วขมวด “แม้ข้าจะรู้ว่าดอกเบี้ยสามส่วนคิดอย่างไร แต่ข้าคิดว่าช่างมันเถอะ ไม่กินก็ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่หิวตายหรอก”

แม้จะพูดอย่างนี้ แต่นางกลับวิ่งปรู๊ดไปหยุดอยู่หน้าแผงน้ำตาลปั้นอย่างรวดเร็วราวกับมีลมผุดใต้ฝ่าเท้า จากนั้นสองขาก็เหมือนมีรากงอก ให้ตายก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปทางไหน

เว่ยเซี่ยนจะทิ้งเผยเฉียนให้อยู่ตรงนี้คนเดียวก็ไม่ได้

หากทำเผยเฉียนหายไป คนอย่างเฉินผิงอันต้องใช้หมัดคุยกับเขาแน่

ตรงร้านน้ำตาลปั้น ผู้เฒ่าปั้นน้ำตาลอย่างคล่องแคล่วมีฝีมือ เด็กเล็กๆ จึงมายืนออกันเป็นกลุ่ม แต่ละคนเบิกตากว้างน้ำลายไหล มีผู้ใหญ่ยืนอยู่ข้างกาย แต่ละคนล้วนได้น้ำตาลปั้นในรูปแบบที่ตนเองต้องการสมใจปรารถนา

แผงลอยเป็นตู้สี่เหลี่ยมทรงยาวมีชั้นวาง ด้านล่างคืออ่างไม้ทรงกลมที่ใส่เตาไฟขนาดเล็กเอาไว้ ผู้เฒ่าใช้ช้อนใหญ่ราดน้ำตาลเหนียวหนืดสีทองอร่ามลงไป หมุนๆ วนๆ พริบตาเดียวก็กลายเป็นน้ำตาลปั้นรูปทรงต่างๆ

เว่ยเซี่ยนควักเงินซื้อมาสองไม้ เผยเฉียนจ้องน้ำตาลปั้นไม้หนึ่งในมือเว่ยเซี่ยนเขม็ง

เว่ยเซี่ยนจึงยื่นให้นาง “มอบเป็นรางวัลให้เจ้า”

น้ำเสียงนี้ราวกับจักรพรรดิประทานที่ดินบรรดาศักดิ์ขนาดใหญ่ให้แก่ขุนนางอย่างไรอย่างนั้น

เผยเฉียนยิ้มหน้าบาน “กลับไปข้าจะพูดถึงเจ้าดีๆ ต่อหน้าพ่อข้าทุกวัน ตอนนี้ข้าถือเป็นบัณฑิตครึ่งตัวแล้ว พูดคำไหนเป็นคำนั้น!”

หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กแทะน้ำตาลปั้นอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองดูแล้วไม่สะดุดตานัก

ในจุดพักม้า บนกระดานหมากรู้ผลแพ้ชนะแล้ว ยังคงเป็นสุยโย่วเปียนที่แพ้

สำหรับเรื่องการประชันหมากล้อมนี้ สุยโย่วเปียนไม่ได้ยึดติดกับผลแพ้ชนะเท่าใดนัก

หลูป๋ายเซี่ยงทบทวนกระดานหมากที่เพิ่งเล่นไปเมื่อสักครู่อยู่เพียงลำพังในห้อง สายตาเขาจ้องนิ่งไปที่กระดานหมาก สองนิ้วคีบเม็ดหมากที่เหลือวางลงบนโต๊ะแล้วหมุนเบาๆ

ในห้องที่ห่างออกไปไม่ไกล เฉินผิงอันกำลังแกะสลักกระบอกไม้ไผ่ เขาพยายามจะแกะสลักบทความของอริยะปราชญ์บทหนึ่งไว้ด้านนอกของกระบอกไม้ไผ่

โชคดีที่การแกะสลักตัวอักษรบนแผ่นไม้ไผ่ตลอดหลายปีมานี้ทำให้เขาพอจะมีความคุ้นเคยอยู่บ้าง อีกทั้งยังมีพื้นฐานการขึ้นรูปเครื่องปั้นสมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม ไม่กล้าพูดว่าตัวอักษรที่สลักลงไปเปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองแห่งความมีชีวิตชีวา แต่ในระหว่างตัวอักษรก็ยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของความเป็นระเบียบเรียบร้อย รอยสลักไม่ได้ลึกลงไปในเนื้อไม้สามส่วน ไม่ได้มีพลังอำนาจแกร่งกร้าวกดดันผู้อื่น แต่กลับเหมือนธารน้ำเส้นยาวที่ไหลรินอย่างอ่อนโยน สรุปก็คือพอจะน่าสนใจอยู่บ้าง

มีคนกล่าวว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างบำเพ็ญตบะเพื่ออายุขัยที่ยืนยาว ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางแสวงหาความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเดินเพียงลำพังอยู่บนมหามรรคาที่สูงกว่าใครและทอดยาวยิ่งกว่าใครโดยที่แทบไม่เคยหยุดพักเลยแม้แต่นาทีเดียว

เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าแบบนี้มีอะไรที่ไม่ถูก ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำสิ่งที่มีประโยชน์จึงจะถือว่าไม่ผิดต่อกาลเวลา เพียงแต่ว่าบางครั้งก็ยังจำเป็นต้องหยุดเดิน บ้างก็ต้องชะลอฝีเท้า ทำจิตใจให้สงบชื่นชมทัศนียภาพที่อยู่ข้างทางบ้าง

การสลักตัวอักษรที่งดงามลงไปบนแผ่นไม้ไผ่ก็คือการทำเช่นนี้ ทำกระบอกเก็บพู่กันที่ไม่มีราคาค่างวด มีเพียงความตั้งใจจริงด้วยมือของตัวเองก็เป็นเช่นเดียวกัน

หนึ่งค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบสุข

เฉินผิงอันนั่งแกะสลักกระบอกไม้ไผ่อยู่จนเกินครึ่งคืน

นอนหลับไปสองชั่วยามก็ตื่นขึ้นมาฝึกท่าหมัดพร้อมกับท่าจับกระบี่เสมือนจริงต่ออีกครั้ง

ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว

ไม่รู้ว่าจะโชคดีได้เห็นหิมะใหญ่ครั้งแรกของปีที่ท่าเรือข้ามฟากนอกเมืองซิ่นจิ่งหรือไม่

ว่ากันว่าเมืองเซิ่นจิ่งที่อยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลนงดงามราวกับดินแดนแห่งเซียน

ตอนที่กินอาหารเช้า เฉินผิงอันรู้ว่าขบวนเดินทางตระกูลเหยาจะหยุดพักอยู่ในเมืองฉีเฮ้อสองวันก็ไม่ได้ใส่ใจนัก

เหยาเซียนจือวิ่งมาหาเฉินผิงอัน บอกว่าทุกคนนัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะไปเที่ยวภูเขาลูกเล็กที่เซียนผู้นั้นขี่กระบี่บินทะยาน อีกทั้งผู้ว่าฯ ของเมืองก็มาแจ้งกับจุดพักม้าไว้นานแล้วว่า ไม่ว่าแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาจะไปหรือไม่ไปที่นั่น วันนี้บริเวณใกล้เคียงกับภูเขาเล็กก็จะถูกปิด ไม่อนุญาตให้คนอื่นขึ้นเขา

พอไปรวมตัวกัน เฉินผิงอันถึงได้สังเกตเห็นว่าคนที่จะไปเที่ยวมีอยู่ไม่น้อย สามเหยาวัยเดียวกัน เส้ายวนหรานนักพรตเต๋าที่สวมชุดสีเขียว และยังมีสุยโย่วเปียนที่น้อยครั้งจะปรากฏตัวด้วย

เว่ยเซี่ยงกับหลูป๋ายเซี่ยงเลือกจะอยู่ที่จุดพักม้า เพียงแต่ว่าท่านแม่ทัพผู้เฒ่าที่ชอบท่องเที่ยวตามภูเขาและแม่น้ำมาตลอดทางกลับไม่ได้ไปด้วยในครั้งนี้ ออกจะผิดปกติอยู่บ้าง

ออกจากจุดพักม้าในวันนี้ เฉินผิงอันเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ขอบเขตสูงขึ้นไปอีกระดับแล้ว ดังนั้นเขาจึงปรากฏตัวในชุดขาว หากมีคนตั้งใจสังเกตก็จะเห็นว่าบนมวยผมยังปักปิ่นหยกสีขาวชิ้นหนึ่งด้วย

ราชวงศ์ต้าหลีอยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป เดิมทีบุรุษหนุ่มวัยฉกรรจ์ก็มีเรือนกายที่สูงใหญ่อยู่แล้ว สูงกว่าคนทางใต้อย่างนครมังกรเฒ่าอย่างน้อยก็ครึ่งศีรษะ อีกทั้งบุรุษที่อายุสิบห้าสิบหกปีก็แต่งงานมีครอบครัวกันได้แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้บ่อยในชนบทของแจกันสมบัติทวีป มีเพียงตระกูลชนชั้นสูงและตระกูลปัญญาชนเท่านั้นที่จะพิถีพิถันเรื่องที่ต้องรอให้บุรุษอายุยี่สิบปีก่อนจึงจะแต่งงาน

หลังจากที่เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดมา เรือนกายของเขาก็สูงชะลูดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็มีรูปลักษณ์ของคนหนุ่มอย่างแท้จริงแล้ว

ด้านหลังมีเผยเฉียนที่ร่างผอมแห้งผิวดำเกรียมตามก้นมาด้วย

มีเพียงอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเท่านั้น นางถึงจะไม่รู้สึกกลัวจูเหลี่ยน

คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกเล็กที่อยู่ใจกลางเมือง ตอนที่เดินผ่านศาลบู๊ของเขตการปกครองได้เห็นคนประหลาดคนหนึ่งและเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง

นั่นคือเด็กหนุ่มร่างสูงกำยำที่บนกายมีคราบเลือด เขาบุกเข้าไปในศาลบู๊ ผลกลับถูกคนเฝ้าศาลพาคนมาช่วยกันจับเขาโยนออกมาจากประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว

ศาลบุ๋นบู๊สองแห่งของเขตการปกครองไม่ใช่สถานที่ที่คนไม่เกี่ยวข้องจะไปก่อความวุ่นวายได้

หลังจากที่เด็กหนุ่มคนนั้นถูกโยนออกไปนอกประตู เขาก็โขกหัวให้กับทางศาลบู๊อย่างแรงเสียงดังตึงๆ เป็นการวิงวอนขอร้อง

คนเฝ้าศาลคือผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนหนึ่ง เขายืนอยู่บนบันไดขั้นสูงสุด ตวาดใส่เด็กหนุ่มด้วยสีหน้าดุดัน “ดาบที่อริยะของศาลบู๊ถือไว้ในมือจะปล่อยให้มนุษย์ธรรมดามาแตะต้องได้อย่างไร?! เห็นแก่ที่เจ้าอายุน้อยไม่รู้ความ เรื่องที่บุกเข้ามาในศาล ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า รีบไปซะ หยุดคิดเพ้อเจ้อได้แล้ว!”

ที่แท้เด็กหนุ่มบุกเข้าไปในศาลบู๊ก็เพราะอยากจะยืมดาบของอริยะ

เด็กหนุ่มโขกหัวจนศีรษะบวมแดงและมีเลือดไหลลงมาเป็นทางแล้ว เขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความสิ้นหวัง พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “อาจารย์คือชาวบ้านของเขตการปกครองแห่งนี้ มุ่งมั่นอยากกำจัดปีศาจปราบความชั่วร้าย ตอนนี้ถูกกักตัวอยู่ในป่าเขาวงกต ชีวิตตกอยู่ในอันตราย! หลังจากที่อาจารย์ส่งข้าพ้นจากไอพิษหมอกภูเขามาแล้วก็บอกว่ามีเพียงขอยืมดาบยาวเล่มนั้นจากนายท่านในศาลบู๊มา ถึงจะมีโอกาสสังหารปีศาจใหญ่ดุร้ายที่สร้างหายนะให้แก่ผู้คนตนนั้น! ท่านผู้เฒ่าผู้เฝ้าศาล ข้าขอร้องท่านล่ะ นี่เป็นเรื่องของการทำความดีสั่งสมบุญกุศล นายท่านอริยะบู๊ไม่มีทางโกรธแน่…”

ผู้เฒ่าที่มากบารมีหัวเราะเสียงเย็น “นายท่านอริยะบู๊จะโกรธหรือไม่โกรธ เจ้าเป็นคนตัดสินใจเองได้งั้นหรือ?! เอาอาวุธของอริยะศาลบู๊ท่านหนึ่งไปใช้กับเรื่องส่วนตัว ตามกฎหมายของต้าเฉวียนแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีโทษเช่นไร?! หากเป็นขุนนางในพื้นที่หรือนายอำเภอจะต้องถูกถอดออกจากตำแหน่ง! เจ้าเมืองต้องถูกลดระดับขั้น ผู้ว่าฯ ถูกปรับเงินเดือนสามปี!”

เด็กหนุ่มพึมพำอย่างร้าวรานใจสุดขีด “ในท้องถิ่นมีปีศาจออกอาละวาดทำร้ายผู้คน เหล่าขุนนางไม่สนใจก็ช่างเถิด ทว่าตอนนี้แม้แต่นายท่านอริยะบู๊ก็ยังไม่คิดจะสนใจอีกหรือ?”

ผู้เฒ่ามองดูเหมือนพูดจาดุดัน สายตาเย็นชา แต่ความจริงกลับถอนหายใจอยู่ในใจ

เด็กหนุ่มเอ๋ย เรื่องราวในโลกง่ายดายอย่างที่เจ้าคิดซะเมื่อไหร่

จูเหลี่ยนเลิกเปลือกตาขึ้นชำเลืองมองเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าเขา

เฉินผิงอันกำลังจะยกเท้าขึ้น เส้ายวนหรานกลับก้าวยาวๆ ออกไปก่อนแล้ว เฉินผิงอันจึงหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองลงอย่างเงียบเชียบ

เส้ายวนหรานมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กหนุ่ม ย่อตัวลงถาม “อาจารย์ของเจ้าถูกกักตัวอยู่ที่ไหน รู้หรือไม่ว่าปีศาจมีตบะอยู่ในขั้นใด?”

เด็กหนุ่มตอบทุกคำถามอย่างละเอียด

เส้ายวนหรานยื่นมือประคองเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้น มือข้างหนึ่งจับไหล่เขา ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าจะไปช่วยอาจารย์ของเจ้า ช่วยเขากำจัดปีศาจ”

เส้ายวนหรานหันหน้ากลับมามองเหยาจิ้นจือที่สวมผ้าคลุมหน้า เอ่ยขออภัย “แม่นางเหยา เกรงว่าข้าคงไปภูเขาลูกเล็กด้วยไม่ได้แล้ว”

เหยาจิ้นจือพยักหน้ารับเบาๆ มองเห็นใบหน้าที่อยู่ใต้ผ้าคลุมได้ไม่ชัดเจน

เส้ายวนหรานจับตัวเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วกระโดดพรวดขึ้นไปบนหลังคาที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นกระโดดเหมือนกบแตะผิวน้ำอีกไม่กี่ครั้งก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เหยาหลิ่งจือเด็กสาวห้อยดาบเลื่อมใสอยู่ในใจ ความประทับใจที่มีต่อข้ารับใช้หนุ่มของต้าเฉวียนอย่างเส้ายวนหรานดีขึ้นมาหลายส่วน

ก่อนหน้านี้เผยเฉียนหรี่ตามองเจ้าคนแซ่เส้าผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา นางเอียงศีรษะ พูดอะไรไม่ออก

มีเรื่องนี้เกิดขึ้น การขึ้นเขาไปเที่ยวหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจสักเท่าไหร่ อีกอย่างภูเขาเล็กลูกนี้ก็เล็กมากจริงๆ ไม่มีสถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจอะไรเลย

มีเพียงสุยโย่วเปียนที่สะพายกระบี่อยู่ด้านหลังที่พอมายืนอยู่บนยอดเขา แหงนหน้ามองผืนฟ้าแล้วสายตาฉายประกายร้อนแรง

นอกจากเฉินผิงอันจะเสียดายที่ทัศนียภาพรอบด้านธรรมดาไม่น่าตื่นเต้นแล้วก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมามากนัก

……

เทพภูเขาลงน้ำ เทพวารีขึ้นภูเขาก็ดี หรือเด็กหนุ่มแห่งเมืองฉีเห้อมาขอยืมดาบจากศาลบู๊ก็ช่าง สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาเรื่องหนึ่ง

สำนักต้าฝูเดินทางไปรวมตัวกับภูเขาไท่ผิง ร่วมมือกันขัดขวางไม่ให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองตนนั้นหนีลงมหาสมุทรไปต่างหากถึงจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างแท้จริง

อีกทั้งการที่วิญญูชนจงขุยไปเยือนภูเขาไท่ผิงก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก

นอกจากวิญญูชนอีกสองท่าน นักปราชญ์สามคนและลูกศิษย์ในสำนักศึกษาต้าฝูอีกยี่สิบกว่าคนแล้ว บัณฑิตของสำนักศึกษาเหวินยวนที่อยู่ไปทางใต้ยิ่งกว่าก็ยิ่งส่งคนไปเยือนภูเขาไท่ผิงเป็นจำนวนมาก มากถึงห้าสิบกว่าคน น่าเสียดายที่มีผู้เฒ่าซึ่งมียศวิญญูชนอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาคนอื่นๆ ต่างก็มีตบะเทียบชั้นกับคนของสำนักศึกษาต้าฝูไม่ได้

นี่ก็คือจุดที่ทำให้สำนักศึกษาเหวินยวนกระอักกระอ่วนใจ ชื่อเสียงของสำนักแห่งนี้ไม่โด่งดังนัก เป็นสำนักที่ไร้คนมีพรสวรรค์มากที่สุดในบรรดาสำนักศึกษาใหญ่สี่แห่งของใบถงทวีป มักจะมีข่าวลือจากบนภูเขาเป็นประจำว่าสำนักศึกษาเหวินยวนแห่งนี้น่าจะใกล้ถูกถอดยศออกจากหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาเต็มที เพราะสำนักศึกษาแห่งนี้ไม่มีวิญญูชนคนใหม่มาเกือบร้อยปีแล้ว เจ้าขุนเขาและรองเจ้าขุนเขาสามท่านก็ไม่สามารถเขียนบทความอริยะปราชญ์ที่น่าสนใจออกมาได้ คนบนโลกที่เดินทางไปเที่ยวชมสำนักศึกษาเหวินยวนล้วนไม่ใช่เพื่อไปหาอริยะปราชญ์ แต่ไปเพราะหอเหวินหยวนมีตำราจำนวนนับไม่ถ้วนเก็บสะสมไว้

จงขุยไปถึงภูเขาไท่ผิงแล้วก็ทำตามคำสั่งของอาจารย์อย่างเคร่งครัด บอกให้ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาต้าฝูทุกคนเชื่อฟังการจัดการจากนักพรตของภูเขาไท่ผิง ห้ามตัดสินใจทำอะไรเองโดยพลการเด็ดขาด

แม้ว่าปัญหาวุ่นวายจะเกิดขึ้นทั่วทุกสารทิศไม่หยุดหย่อน ทว่าไม่ว่าจะเป็นนักพรตรุ่นไหนของภูเขาไท่ผิงต่างก็ไม่มีใครที่ตระหนกลนลาน แต่ละคนตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดและเป็นระบบระเบียบ ผู้ฝึกลมปราณกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าลงจากภูเขาไปล้อมปราบภูตผีปีศาจในสถานที่ต่างๆ บ้างก็เกิดความเสียหาย ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย คนที่รบตายส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักพรตของภูเขาไท่ผิง นี่ทำให้ผู้ฝึกลมปราณของสำนักศึกษาใหญ่สองแห่งและคนจากตระกูลเซียนอีกมากมายเกิดความเคารพเลื่อมใส ยิ่งให้ความร่วมมืออย่างจริงใจมากขึ้น ระหว่างการเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง คนที่ทุกคนซึ่งมาจากหลากหลายสถานที่แต่กลับมีศัตรูร่วมกันพูดถึงมากที่สุดย่อมต้องเป็นเด็กหนุ่มนักการฝ่ายนอกของสำนักฝูจีที่เพียงแค่การกระทำเดียวก็ได้กลายเป็นคนมีชื่อเสียง ว่ากันว่าเจ้าสำนักฝูจีได้รับเขาไว้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายแล้ว อีกทั้งยังมอบอาวุธกึ่งเซียนที่หล่อหลอมมาร้อยปีซึ่งเคยเป็นของคู่บำเพ็ญตนของเขาให้เด็กหนุ่มด้วย

หากไม่เป็นเพราะเด็กหนุ่มคนนี้ไปเจอกับแผนการชั่วร้ายของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองตนนั้นโดยบังเอิญ เป็นเหตุให้ปีศาจใหญ่ต้องออกฤทธิ์ก่อเรื่องก่อนถึงเวลาที่วางแผนไว้ ผลลัพธ์ที่จะตามมาย่อมร้ายแรงอย่างที่ใครก็ไม่อาจคาดฝัน บ่ออเวจีที่ใช้สยบภูตผีปีศาจของภูเขาไท่ผิงบ่อนั้น เกรงว่าจะไม่ใช่แค่ปีศาจเกินครึ่งที่หนีไปได้ แต่ต้องเป็นทั้งหมดที่ได้เห็นแสงตะวันใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะปีศาจหลายตนที่อยู่ชั้นล่างสุดที่ตบะลึกล้ำ ต่ำสุดก็เป็นก่อกำเนิด

ในช่วงสิบวันที่ผ่านมานี้มีภูตผีปีศาจที่อำพรางตัวอยู่ในที่ต่างๆ ทยอยกันโผล่ออกมาสร้างหายนะให้กับพื้นที่แต่ละแถบอย่างกำเริบเสิบสาน อีกทั้งภูตผีปีศาจกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นขอบเขตประตูมังกรและขอบเขตโอสถทอง จึงล้อมปราบได้ยากยิ่ง

ภูเขาไท่ผิงไม่กล้าประมาท ไม่ว่าจะเป็นนักพรตของสำนักหรือคนบนเส้นทางเดียวกันที่มาให้ความช่วยเหลือภูเขาไท่ผิงก็ล้วนถูกระดมตัวออกไปแทบทั้งหมด

มีเพียงวิญญูชนจงขุยที่เลือกจะอยู่ในภูเขาไท่ผิง

ทุกคนต่างก็ไม่มีความเห็นต่าง การเดินทางกำจัดปีศาจปราบมารทั่วสารทิศในครั้งนี้ จงขุยคือคนที่สังหารฝ่ายศัตรูได้มากที่สุด อีกทั้งเขายังไม่ได้แค่ปกป้องลูกศิษย์ในสำนักศึกษาของตัวเองเท่านั้น หลายครั้งที่การเข่นฆ่าด้านล่างภูเขาเผชิญกับความอันตราย เขาก็จะเป็นฝ่ายเสนอตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มของผู้ฝึกลมปราณสำนักอื่น ดังนั้นก่อนจะลงไปจากภูเขาด้วยตัวเอง เซียนดินก่อกำเนิดของภูเขาไท่ผิงที่เดิมทีรับผิดชอบควบคุมสถานการณ์ใหญ่จึงพูดกับจงขุยด้วยรอยยิ้มว่า คงต้องฝากสำนักให้ท่านอาจารย์ขุยช่วยดูแลชั่วคราวแล้ว

เซียนดินก่อกำเนิดผู้นั้นเปิดเผยกับจงขุยเป็นการส่วนตัวว่า อีกไม่นานบรรพาจารย์ของภูเขาไท่ผิงท่านนั้นก็จะกลับมาแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะพานักพรตหญิงหวงถิงกลับมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวด้วย

จงขุยจึงหัวเราะเสียงดังพูดว่ารีบกลับมาสิถึงจะดี เขาจะได้ไม่ต้องคอยจับจ้องบ่ออเวจีนั่นทุกวัน

หลังจากนั้นมาทุกวันจงขุยจะต้องเดินไปสำรวจชั้นใต้ดินของบ่ออเวจีเพียงลำพังทุกวัน

กลางดึกคืนนี้เขาเพิ่งจะเดินออกมาจากบ่ออเวจีก็ได้เห็นปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่…เคยได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือ แต่กลับไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

อันที่จริงอย่าว่าแต่เขาจงขุยที่เป็นคนนอกเลย ต่อให้เป็นนักพรตของภูเขาไท่ผิงหลายคนที่มีตบะสูงมากก็ยังไม่เคยพบเจอปีศาจใหญ่ที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาไท่ผิงตนนี้

นั่นคือวานรขาวสะพายกระบี่ สวมชุดดำตนหนึ่ง

ความสูงเท่าเทียมกับบุรุษวัยผู้ใหญ่ทั่วไป เพียงแต่ว่าวานรขาวที่ตบะสูงล้ำกลับไม่ได้จำแลงร่างกลายเป็นคน กลับยังคงสภาพร่างวานรขาวดั้งเดิมของตัวเองเอาไว้

แม้ว่าวานรเฒ่าจะเป็นปีศาจใหญ่ที่มีชื่อเสียงไปทั่วใบถงทวีป แต่ก็เป็นข้ารับใช้ที่พิทักษ์ภูเขาของภูเขาไท่ผิงด้วย ไม่พูดถึงอายุในการบำเพ็ญเพียรของวานรเฒ่าก่อนหน้านี้ ลำพังเพียงแค่เรื่องที่ช่วยคุ้มครองภูเขาไท่ผิงก็ยาวนานถึงสามพันปีแล้ว

อายุของวานรเฒ่าตนนี้สูงกว่าบรรพจารย์ที่หลงเหลืออยู่เพียงคนเดียวของภูเขาไท่ผิงซึ่งลงจากเขาเดินทางไปข้างนอกด้วยซ้ำ การสร้างบ่ออเวจีเป็นฝีมือที่ใหญ่เทียมฟ้าของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาไท่ผิง ทว่าในกาลเวลาอันยาวนานหลังจากนั้น เรื่องของการเฝ้าบ่ออเวจีนี้ล้วนมอบให้กับวานรขาวที่ชอบสะพายกระบี่ น้อยครั้งจะเผยตัวบนโลกผู้นี้ ภูตผีปีศาจใหญ่ที่หนีไปได้แค่ไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์ล้วนถูกวานรขาวจัดการด้วยมือตัวเองอย่างไม่มีข้อยกเว้น เขาจัดการเสียจนสะอาดเอี่ยมจนถึงขั้นที่ว่าแม้แต่เซียนดินหลายท่านของภูเขาไท่ผิงก็ไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องเกิดขึ้นมาก่อน

ความวุ่นวายครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นตรงกับช่วงเวลาที่วานรเฒ่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบปิดด่าน พยายามจะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเซียนเหรินพอดี

คาดไม่ถึงว่าปิดด่านแค่สามปีห้าปี วานรเฒ่าก็ออกจากด่านแล้ว หรือเป็นเพราะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกจึงจำเป็นต้องปรากฎตัวล่วงหน้า?

ลมฤดูใบไม้ร่วงเยียบเย็น ผืนป่าบนภูเขาเงียบสงัด

ต่อให้วานรเฒ่าแค่ยืนอยู่ข้างกายก็ยังคงทำให้คนรู้สึกเหมือนมีภูเขาสูงใหญ่อยู่ด้านข้าง

จงขุยยังคงสวมชุดสีเขียวตัวเดียวกับตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมริมชายแดน เอ่ยถามว่า “เป็นเจ้า ใช่ไหม?”

วานรขาวสะพายกระบี่ไม่เอ่ยคำใด

เพียงแค่ใช้ปราณกระบี่ที่พุ่งทะยานเป็นสายรุ้งไปจากด้านหลังเป็นคำตอบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!