Skip to content

Sword of Coming 355

บทที่ 355 ลมคาวฝนเลือดของบนภูเขา

ลมพัดแรงฝนตกกระหน่ำ ตรงตีนเขา เซินกั๋วกงเกาซื่อเจินปฏิเสธร่มจากผู้ติดตามของจวน เขายืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ปล่อยให้ฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองตกกระทบลงบนร่าง

อย่าพูดถึงความจงรักภักดีต่อแคว้น พูดถึงแผ่นดินอะไรกับเขาเกาซื่อเจิน จวนเซินกั๋วกงอันใหญ่โตโอ่อ่า กลับมีบุตรชายอย่างเกาซู่อี้ที่ช่วยต่อควันธูปเพียงคนเดียว อยู่ดีๆ กลับต้องมาตายไปทั้งอย่างนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังทุ่มเทแรงกาย ทุ่มเทชีวิตและจิตใจอบรมปลูกฝังบุตรชายคนนี้ในทุกด้านมานานยี่สิบกว่าปี ในฐานะบิดา เกาซื่อเจินมองไม่เห็นตำหนิของเกาซู่อี้เลยแม้แต่น้อย ก่อนหน้าที่เขาจะได้รับจดหมายลับฉบับนั้นจากองค์ชายสามก็เชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า ในอนาคตเกาซู่อี้จะกลายมาเป็นเสาคานค้ำจุนราชสำนักของต้าเฉวียน ไม่ว่าใครจะนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร จวนเซินกั๋วกงก็จะรุ่งโรจน์สืบไป มีอำนาจใหญ่ในราชสำนัก ได้เลื่อนขั้นเป็นจวนจวิ้นอ๋อง กลายเป็นคนรู้ใจของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ฮุบกลืนแคว้นใหญ่ที่แข็งแกร่งทั้งสองแคว้นอย่างเป่ยจิ้นและหนันฉี นำพาให้ต้าเฉวียนกลายมาเป็นราชวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางของใบถงทวีป

ฮ่องเต้บอกว่าจะชดเชยให้กับจวนเซินกั๋วกง องค์ชายสามบอกว่าจะชดเชยให้แก่เขาเกาซื่อเจิน เหล่าข้ารับใช้ส่วนตัวของเชื้อพระวงศ์ เหล่ากุนซือผู้วางแผนทั้งหลายต่างก็เกลี้ยกล่อมให้เขาอดทน

สีหน้าของเกาซื่อเจินช่วงที่ผ่านมานี้มีเพียงความเย็นชานิ่งสงบ ใครก็มองไม่ออกว่าบุรุษที่สูญเสียบุตรชายเพียงคนเดียวไปผู้นี้ ก่อนหน้านั้นได้ออกมาจากวังหลวง แล้วค่อยออกมาจากจวนองค์ชาย สุดท้ายออกจากเมืองหลวงมาอย่างลับๆ ทำหน้าที่เป็นทูตลับของฮ่องเต้เดินทางไปพบเหยาเจิ้นที่จุดพักม้าเมืองฉีเฮ้อ ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่นไร้คลื่นลม จวนเซินกั๋วกงยังคงเป็นจวนกั๋วกงที่มีมนุษยธรรมสูงส่งแห่งแคว้นต้าเฉวียน เกาซื่อเจินไม่เคยผิดหวังในตัวของฮ่องเต้หลิวเจินที่แก่หง่อมใกล้ตายคนนั้น

หากไม่มีโอกาสนั้นหล่นลงมาจากฟ้า เกาซื่อเจินก็ไม่อาจสร้างคลื่นมรสุมได้จริงๆ ถึงอย่างไรเมืองหลวงก็เป็นของฮ่องเต้ เป็นของสกุลหลิวราชวงศ์ต้าเฉวียน

แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว

มีคนมาหาเขาเกาซื่อเจิน แล้วเขาก็ไปหาองค์ชายใหญ่หลิวจง หลิวจงจึงพาทหารสวมเกราะห้าพันนายเดินทางมา ส่วนเรื่องที่ว่าหลิวจงได้รวบรวมกองกำลังบนภูเขาไว้อย่างลับๆ มากน้อยแค่ไหน เกาซื่อเจินไม่สนใจ

สิงโตจับกระต่ายยังใช้แรงเต็มที่ (เปรียบเปรยว่าแม้จะเป็นเรื่องเล็กก็ยังต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีมารับมืออย่างตั้งใจ) อย่าได้สร้างปัญหาให้คนอื่นเด็ดขาด นี่ก็คือข้อห้ามใหญ่ของสำนักการทหาร

แม้แต่คนในเมืองหลวงที่กินอยู่สุขสบายอย่างเขาเกาซื่อเจินยังเข้าใจหลักการตื้นเขินนี้ เชื่อว่าองค์ชายใหญ่หลิวจงก็ยิ่งต้องทะลุปรุโปร่งมากกว่า

เกาซื่อเจินกำลังรอ รอให้หลิวจงถือศีรษะนั้นมาส่งให้เขาตอนลงจากภูเขา เขาจะได้เอากลับไปไว้หน้าหลุมศพใหม่ของเกาซู่อี้ผู้เป็นบุตรชาย

หน้าวัดร้าง เฉินผิงอันมองคนสองคนหลังสุดที่อำพรางตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ติดตามของหลิวจง

หลังจากสัมผัสได้ถึงสายตาของเฉินผิงอัน คนทั้งสองก็สบตากัน ก่อนเดินออกไปข้างหน้าหลายก้าว พวกเขาก็คือสวี่ชิงโจวแม่ทัพบู๊และเซียนซือสวีถง เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมริมชายแดน พวกเขาก็คือคนที่ประมือกับหลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน

สวี่ชิงโจวถอดเสื้อกันฝนแล้วโยนทิ้งไปด้านข้าง เผยให้เห็นชุดเกราะที่อยู่ด้านใน นอกจากจะแสร้งทำเป็นพกดาบซึ่งเป็นดาบในกองทัพชายแดนของต้าเฉวียนไว้ที่เอวแล้ว ยังพก ‘ต้าเฉี่ยว’ อาวุธสำคัญชิ้นหนึ่งของสำนักการทหารไว้ด้วย

สวี่ชิงโจวไม่เอ่ยคำใด แต่สวีถงเจ้าอารามฉ่าวมู่กลับเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายเฉิน ได้พบกันอีกครั้งแล้ว คราวก่อนอยู่ที่ชายแดนทิศใต้ ครั้งนี้อยู่ที่ชายแดนทางเหนือ ก็เหมือนกับชื่อ ‘ต้าเฉี่ยว’ (ความบังเอิญที่ยิ่งใหญ่) ดาบประจำกายที่แม่ทัพสวี่รักมากเล่มนี้ ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญมากจริงๆ”

ผู้ติดตามสิบคนที่อยู่ด้านหลังหลิวจง นอกจากสวี่ชิงโจวและสวีถงแล้ว คนที่เหลืออีกแปดคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีประสบการณ์บนสนามรบในชายแดนทางเหนือมาอย่างโชกโชน สงครามชายแดนของราชวงศ์ต้าเฉวียน อันที่จริงแล้วมีแค่สองสถานที่อย่างเหนือและใต้ซึ่งเป็นเขตชายแดนเชื่อมต่อกับเป่ยจิ้นและหนันฉีเท่านั้น ทางทิศใต้มีกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาช่วยปกป้องบ้านเมืองให้แก่สกุลหลิว ส่วนทางเหนือก็เป็นกองทัพชายแดนหนึ่งแสนสองหมื่นนายภายใต้การนำขององค์ชายใหญ่ พวกเขาทำศึกกับหนันฉีตลอดทั้งปี สงครามปะทุขึ้นบ่อยครั้ง มักจะกรีฑาทัพขึ้นเหนือไปบุกหน้าด่านศัตรู ยังไม่ต้องพูดถึงพลังการต่อสู้ว่าสูงหรือต่ำ ลำพังเพียงแค่จำนวนครั้งที่ชักดาบก็มากกว่ากองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยามากแล้ว

แม่ทัพบู๊สวี่ชิงโจวเดินทางขึ้นเขามาล้อมปราบกลุ่มของเฉินผิงอันในครั้งนี้ เป้าหมายของเขาชัดเจนยิ่ง เขาต้องการเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ไม่ธรรมดาชิ้นนั้น ทางที่ดีที่สุดคือได้ดาบเล่มนั้นมาอยู่ในกระเป๋าไปพร้อมกันด้วย

ทว่าหลิวจงแค่รับปากว่าจะมอบเสื้อเกราะให้เขา ส่วนดาบแคบต้องซื้อเท่านั้น ถึงเวลานั้นก็ค่อยมาดูกันว่าสวี่ชิงโจวและตระกูลแม่ทัพของเขาจะสามารถเอาความจริงใจออกมา ‘ซื้อ’ ได้มากแค่ไหน

เซียนซือสวีถงผู้สวมกวานสูง เจ้าอารามฉ่าวมู่ตระกูลเซียนอันดับหนึ่งในขอบเขตของต้าเฉวียน เชี่ยวชาญวิชาอสนี ถนัดด้านการหลอมยาที่สามารถต่ออายุขัยให้ยืนยาว จึงใช้สิ่งนี้มาผูกสัมพันธ์กับขุนนางและชนชั้นสูงจำนวนนับไม่ถ้วน ชุดคลุมอาคมที่เขาสวมอยู่ใต้เสื้อกันฝนตัวนั้น ยามที่ปราณวิญญาณไหลรินจะฉายภาพเมฆหมอกห้าสีทอประกาย ราวกับม้วนภาพวาดภูเขาและแม่น้ำที่ลงสีสันงดงามภาพหนึ่ง และในความเป็นจริงแล้วชุดคลุมอาคมซึ่งเป็นของวิเศษตัวนี้ก็มีชื่อว่า ‘ยอดเขาห้าสี’ คือสมบัติสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของอารามฉ่าวมู่ มีระดับขั้นใกล้เคียงกับสมบัติอาคมมากแล้ว

เซียนซือสวีถงต้องการชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่เมื่อกลับคืนสู่สภาพเดิมจะเป็นเหมือนมังกรสีทองตัวหนึ่งที่อยู่บนร่างของเฉินผิงอัน

น้ำลายไหลยืดสามฉื่อ ปรารถนาอยากจะครอบครองแม้ในยามหลับฝัน!

เฉินผิงอันมองหลิวจง ถามว่า “เพื่อเก้าอี้ตัวนั้นน่ะหรือ?”

หลิวจงพูดเสียงกร้าว “ถ้าไม่ใช่เพื่อสิ่งนั้นแล้วจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ? เจ้าคิดว่าชีวิตของเหล่าทหารชายแดนห้าพันนายของข้าไม่มีค่างั้นรึ?!”

กล่าวมาถึงตรงนี้ องค์ชายใหญ่ท่านนี้ก็พูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หากวันนี้ข้าเดินมาไม่ถึงหน้าประตูวัดร้างแห่งนี้ ไม่ได้เห็นเจ้าเฉินผิงอันกับตาตัวเอง ในใจของข้า…”

เขาชี้ไปที่หัวใจของตัวเอง “รู้สึกไม่สาแก่ใจ!”

เฉินผิงอันกล่าว “ไม่สาแก่ใจ? เจ้ารนหาที่เองไม่ใช่หรือ? ทหารชายแดนห้าพันนายของต้าเฉวียนต้องมาตายอยู่บนภูเขาเล็กๆ ลูกนี้…ช่างเถอะ อันที่จริงเจ้าเข้าใจเหตุผลดี แต่เจ้าคงจะบอกกับตัวเองว่า ผู้ที่จะทำเรื่องใหญ่ให้ประสบความสำเร็จได้ต้องไม่สนเรื่องเล็กน้อย รอให้เจ้าได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ทหารห้าพันนายนี้ก็คือคนที่พลีชีพเพื่อบ้านเมือง ตายอย่างคุ้มค่า”

เฉินผิงอันแกว่งกิ่งไม้ที่อยู่ในมือเบาๆ “คำถามสุดท้าย ทำไมเจ้าถึงได้คิดว่าแผ่นป้ายตรงเอวของข้าเป็นของปลอม?”

หลิวจงพูดคุยมากมายขนาดนี้อาจเพราะต้องการเพิ่มความกล้าให้ตัวเอง แล้วก็อาจเพราะต้องการข้ามผ่านหลุมในใจของตัวเองไปให้ได้

เฉินผิงอันยินดีพูดคุยเรื่องพวกนี้กับหลิวจงก็เพื่อถามคำถามข้อสุดท้าย

เป็นคำถามที่สำคัญมากที่สุด

คนที่ต้องการศีรษะของเขาย่อมต้องเป็นเซินกั๋วกงเกาซื่อเจิน คนที่ต้องการของชิ้นนั้นจากจวนปี้โหยว เฉินผิงอันคาดเดาไว้ในใจได้นานแล้ว แต่ใครกันแน่ที่ต้องการน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่?

ตั้งแต่ออกจากจุดพักม้าเมืองฉีเฮ้อ เฉินผิงอันก็แขวนป้ายหยกแล้ว

พอมาถึงท่าเรือเถาเย่ ขณะที่กำลังจะจากลากับขบวนเดินทางตระกูลเหยา วันนั้นเฉินผิงอันก็หันป้ายด้านคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิงข้าคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง’ ให้คนใต้หล้าได้เห็น นี่เท่ากับเป็นการบอกให้รู้ถึงสถานะ ‘ผู้สืบทอดสายตรงของศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิง’ เพราะหวังว่าจะสามารถช่วยลดแรงกดดันให้กับเหยาเจิ้นที่อยู่ในเมืองหลวงต้าเฉวียน หากแม้แต่ป้ายหยกชิ้นนี้ ศัตรูในเมืองเซิ่นจิ่งที่หมายมั่นปั้นมืออยากจะเล่นงานเหยาเจิ้นก็ยังไม่รู้จัก ถ้าอย่างนั้นตระกูลเหยาก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล

เพราะคนที่รู้จักป้ายหยกส่วนใหญ่ล้วนเป็นยอดฝีมือที่มิอาจดูแคลน และเมื่อเห็นป้ายหยกนี้แล้วพวกเขาจะรู้ถึงความยากลำบากแล้วถอยออกไปเอง ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนั้นในเรืออูเผิงลำเล็กตรงท่าเรือเถาเย่ ตู้หันหลิงเจ้าอารามจินติ่งที่ใช้วิชาอภินิหารมองแม่น้ำภูเขาผ่านฝ่ามือก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนี้ พอเขาเห็นป้ายหยกแผ่นนั้น ต่อให้จะทำให้หลายฝ่ายในเมืองเซิ่นจิ่งไม่สบอารมณ์ แต่เขากลับยังยืนกรานจะพาตัวออกไปจากสถานการณ์ในครั้งนี้

สายตาของหลิวจงฉายแววประหลาด เขาให้คำตอบเฉินผิงอันแค่ครึ่งเดียว

“แผ่นป้ายศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิงชิ้นนี้เป็นของจริง จริงแท้แน่นอน เพียงแต่ว่าขณะเดียวกันก็เป็นของปลอม อันที่จริงหากเจ้าไม่ห้อยมันไว้อาจดีกว่า พอเอามาห้อยไว้บนเอว ข้าก็ขอคืนสองคำนั้นกลับไปให้เจ้า ‘รนหาที่ตาย’!”

เฉินผิงอันมององค์ชายใหญ่ที่ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผล

พวกคนที่เกิดมาในตระกูลเชื้อพระวงศ์นี่คุยด้วยยากจริงๆ

คนแรกสุดที่เขาเจอมาก็คือเพื่อนบ้านซ่งจี๋ซิน

ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเหตุผล แม้ว่าจะมีถูกผิด มีก่อนหลังและมีเล็กใหญ่ แต่หลิวจงกับทหารสวมเกราะห้าพันนาย รวมถึงผู้ฝึกลมปราณและปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่ซ่อนตัวอยู่ล้วนเป็นดั่งลูกธนูขึ้นสายที่ไม่ยิงออกไปไม่ได้แล้ว อีกอย่างคือยังมีสถานการณ์ใหญ่บางอย่างผลักดันหลิวจงอยู่เบื้องหลัง จะให้เฉินผิงอันพูดกับทุกคนด้วยความปรองดองว่าเชิญเข้าไปกินข้าวในวัดก่อนแล้วค่อยแยกย้ายกันไป การช่วงชิงบัลลังก์มังกรต้องใช้วิธีที่เปิดเผยตรงไปตรงมาอะไรทำนองนั้น ก็คงไม่ได้ เฉินผิงอันไม่อยากเปลืองน้ำลายพูดเรื่องพวกนี้ หากได้ผลเขาก็เต็มใจที่จะพูด แต่คนเขาไม่ยินดีจะฟังก็ทำอะไรไม่อยู่ดี

เฉินผิงอันใช้กิ่งไม้จิ้มไปที่หลิวจงสองที

ผู้เฒ่าหลังค่อมที่อยู่ข้างกายกระโจนออกไปก่อนใคร จะจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรให้ได้ก่อน ต่อให้เป็นหลุมพรางแล้วจะอย่างไร เขาจูเหลี่ยนก็อยากจะขอความรู้ด้านแผนการร้ายบนภูเขาของฟ้าดินแถบนี้บ้างเหมือนกัน!

สุยโย่วเปียนที่ยืนอยู่ทางขวา หลูป๋ายเซี่ยงที่ยืนอยู่ทางซ้ายก็พากันพุ่งออกไป

เว่ยเซี่ยนสวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้าง ก้าวยาวๆ ตามคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่ชิงพุ่งตัวตัดหน้าคนอื่นไปก่อน ตอนนี้เขาจะยังไม่ทะลวงขบวนรบก่อนชั่วคราว หลักๆ คือต้องปกป้องวัดร้างแห่งนี้ไว้ให้ได้

ส่วนเฉินผิงอันทำใจเย็นรอให้อีกฝ่ายปล่อยท่าไม้ตายออกมา

……

บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่สูงกว่ายอดเขาซึ่งมีวัดร้างตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขา

บนนั้นมีคนยืนอยู่สองคน จะใช่ยอดฝีมือนอกโลกหรือไม่ ยังไม่อาจบอกได้ แต่อย่างน้อยตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ตอนนี้ก็ถือว่าสูงมากพอแล้ว

ผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อคนหนึ่ง ตรงเอวไม่ได้ห้อยป้ายหยกที่สำนักศึกษามอบให้ เมื่ออยู่ในราชสำนักต้าเฉวียน เขายืนอยู่ตรงไหนก็ไม่มีใครกล้าสงสัยในตัวเขา ต่อให้ผู้เฒ่าจะยืนอยู่บนหลังคาของตำหนักจินหลวน (ท้องพระโรงที่ฮ่องเต้ใช้ออกว่าราชการ พบปะกับขุนนางในราชสำนัก) ในเมืองเซิ่นจิ่งก็ตาม

ข้างกายผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อมีชายฉกรรจ์ที่กล้ามเนื้อปูดนูนเป็นมัดๆ คนหนึ่งยืนอยู่ กลิ่นอายป่าเถื่อนทั่วร่างของเขาราวกับไม่ใช่กลิ่นอายของมนุษย์

เรื่องคราวนี้สำคัญมาก ผู้เฒ่าจึงยังต้องถามคำถามที่ฟังดูแล้วไม่ค่อยมีความเคารพสักเท่าไหร่ “นายท่านของเจ้าคงจะรักษาคำพูดกระมัง?”

คำตอบของชายฉกรรจ์ตรงไปตรงมาและไร้มารยาทยิ่งกว่า “นายท่านของข้าจะทำอย่างไร ข้าหรือจะกล้าเอามาพูดส่งเดช หากเจ้าแน่จริงก็ไปถามนายท่านเอาเอง แต่ก่อนจะทำเช่นนั้นได้เจ้าต้องมีความกล้านี้เสียก่อน”

ผู้เฒ่าพูดพึมพำกับตัวเอง “ข้าทำอะไรโดยยึดถือคุณธรรมเป็นหลัก ถือว่าชอบด้วยเหตุผล ต่อให้หลังจบเรื่องสำนักศึกษาจะถูกภูเขาไท่ผิงพาลโกรธ ลงโทษให้ปลดบรรดาศักดิ์ของข้า…ก็ไม่เป็นไร”

ชายฉกรรจ์พูดเสียดสี “แสร้งวางท่าให้ดูภูมิฐาน ประโยคนี้คงหมายถึงบัณฑิตอย่างเจ้ากระมัง?”

ผู้เฒ่ายิ้มขื่น “รู้จักแก้ไขเมื่อทำผิดนับว่าประเสริฐ ข้าอ่านตำรามาไม่ใช่แค่หมื่นเล่ม ความรู้ของร้อยสำนักก็ล้วนอ่านผ่านๆ ตามาหมด มีเพียงคำสอนของอริยะฝ่ายตัวเองประโยคนี้ที่ข้ามไป”

ชายฉกรรจ์ไม่คิดได้คืบจะเอาศอก ทำให้ตาแก่ที่อยู่ข้างกายผู้นี้ลำบากใจ หากอีกฝ่ายเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน ตาสว่างขึ้นมา จะไม่ทำลายแผนการที่คิดขึ้นได้ฉับพลันของนายท่านหรอกหรือ ดังนั้นจึงพูดปลอบใจด้วยถ้อยคำน่าฟัง “สมบัติชิ้นนั้นมีค่ามากแค่ไหน อย่าว่าแต่เจ้าที่หวั่นไหว ต้องทุ่มเทคิดแผนการยากลำบากนี้มาตั้งนานเลย อันที่จริงแม้แต่ข้าก็ยังอยากได้ รอให้เจ้าได้มาครองแล้ว ข้าจะทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้า สมบัติอาคมที่นายท่านมอบให้ข้าชิ้นนั้น ข้าจะยกให้เจ้า เจ้าแค่ถ่ายทอดมาให้ข้าครึ่งบท ต่อชีวิตให้เจ้าอีกหกสิบปี หลังจากนั้นเจ้าค่อยถ่ายทอดอีกครึ่งบทที่เหลือให้ข้า เป็นไง?”

ผู้เฒ่าใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้าตอบรับ “ตกลงตามนี้!”

ชายฉกรรจ์เอ่ยเตือน “ก่อนที่นายท่านของข้าจะออกเดินทางได้กำชับข้าไว้ว่า เว้นเสียจากช่วยชีวิตของเจ้าแล้วก็ห้ามลงมือเด็ดขาด ทางที่ดีที่สุดเจ้าเองก็อย่าลงมือง่ายๆ เหมือนกัน ต่อให้ลงมือก็ต้องช้าหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะดึงดูดความสนใจจากอริยะศาลบุ๋นท่านนั้น แม้จะบอกว่าตอนนี้อริยะท่านนั้นยุ่งอยู่กับการตามหาวานรเฒ่าของภูเขาไท่ผิง แต่หากเขาย้อนกลับมาเร็วแล้วเดินทางมาที่นี่ พวกมดตัวเล็กๆ อย่างหลิวจงยังพูดง่าย แต่พวกเราสองคนย่อมไม่อาจแบกรับผลที่ตามมาได้ไหวแน่”

พอชายฉกรรจ์พูดถึงอริยะท่านนั้น โดยเฉพาะอริยะที่มีคำว่า ‘ศาลบุ๋น’ ต่อท้าย ก็ทำให้อารมณ์ที่เดิมทีก็เคร่งเครียดอยู่แล้วของผู้เฒ่าดิ่งลงเหวเข้าไปใหญ่ อริยะเจ็ดสิบสองท่านที่ตั้งบูชาไว้ใน ‘สำนักดั้งเดิมอันสง่างาม’ ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง มีใครบ้างที่ควรไปมีเรื่องด้วย พวกเขาไม่ใช่พวกเจ้าขุนเขาแห่งสำนักศึกษาทั้งเจ็ดสิบสองแห่ง ไม่ใช่ ‘อริยะ’ แห่งสำนักศึกษาที่ราชวงศ์ในโลกมนุษย์เรียกอย่างประจบยกยอ แต่เป็นอริยะลัทธิขงจื๊อตัวจริงเสียงจริง! สีหน้าผู้เฒ่ามืดทะมึน พยักหน้ารับ “เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิต ข้าย่อมเข้าใจ”

ลมฝนบนภูเขายิ่งรุนแรงมากขึ้น เพียงแต่ว่าเม็ดฝนคล้ายตกลงบนร่มน้ำมันที่มองไม่เห็นคันหนึ่งจึงแตกกระเซ็นออกไปสี่ทิศเหนือศีรษะของคนทั้งสอง

ชายฉกรรจ์อ้าปากหาว อันที่จริงเขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก ด้วยสถานะและความสามารถของนายท่าน เหตุใดถึงต้องรู้สึกกระวนกระวายใจเพราะคนหนุ่มผู้หนึ่งด้วย

หากเปลี่ยนไปเป็นยอดฝีมือหลายคนก่อนหน้านี้ของสำนักใบถงและสำนักกุยหยกที่อยู่ทางใต้สุดและเหนือสุดของทวีปก็ยังพอจะเข้าใจได้ หรือไม่ก็น่าจะเหมือนจงขุยวิญญูชนใหญ่แห่งต้าฝู ว่าที่ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาบางแห่งในลัทธิขงจื๊อที่ถูกวานรเฒ่าสะพายกระบี่สังหารอย่างว่องไวที่ถึงจะมีคุณสมบัติมากพอ

น่าเสียดายก็แต่นายท่านวางแผนมาอย่างรัดกุมรอบคอบ แทบจะกวาดเอาตลอดทั้งใบถงทวีปเข้ามารวมในแผนการด้วย ทว่าอยู่ดีๆ ทางฝ่ายของสำนักฝูจีกลับมีเด็กหนุ่มนักการฝ่ายนอกคนหนึ่งโผล่ออกมา จับผลัดจับผลูไปค้นพบการดำรงอยู่ของผู้อาวุโสขอบเขตสิบสองท่านนั้น กระตุกผมเส้นเดียวก็สะเทือนไปทั้งร่าง ก่อกวนให้แผนการอันยิ่งใหญ่ตระการตาที่นายท่านวางแผนมานานครั้งนี้ยุ่งเหยิงไปอย่างสิ้นเชิง

หรือว่าโชคชะตาของใบถงทวีปจะหนาข้นถึงเพียงนั้น? แม้แต่นาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดก็ยังเทียบไม่ได้?

ต้องรู้ว่าผู้เฒ่าเฉินของทักษินาตยทวีปที่บนไหล่มีทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ผู้นั้น หากว่ากันตามคำพูดของนายท่านแล้ว แม้แต่ที่บ้านเกิดของเขา อีกฝ่ายก็ยังมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่มาก ถูกมองเป็นคนที่ต่อกรด้วยยากอันดับต้นๆ ขนาดนายท่านเองก็ยังบอกว่า ขอแค่ตัวเขาอยู่ในใต้หล้าไพศาลย่อมไม่ทางเอาชนะเฉินชุนอันลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อผู้รอบรู้ได้แน่นอน

มีนักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวคนหนึ่งเดินทางมาถึงเมืองเล็กชายแดนทางใต้ของต้าเฉวียน เขาไม่ได้เดินเข้าไปในเมืองหูเอ๋อร์ เพียงแค่เดินช้าๆ เลียบไปตามกำแพงดินนอกเมืองที่ไม่ถือว่าสูงเท่าใดนัก ขณะที่เดินก็ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาลูบไล้ผ่านผนังที่หยาบหนาเบาๆ ใบหน้าแต้มยิ้มบางๆ

สุดท้ายเขาเดินเลียบทางหลวงไปจนถึงโรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้กับเมืองเล็ก กิจการของโรงเตี๊ยมซบเซา เด็กหนุ่มขาเป๋นอนงีบหลับฟุบอยู่บนโต๊ะ ผู้เฒ่าหลังค่อมนั่งสูบยาอยู่ตรงผ้าม่าน สตรีแต่งงานแล้วนั่งคิดบัญชีอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน คิดไปคิดมานางก็นึกอยากจะยกลูกคิดขึ้นทุบนัก

นักพรตหนุ่มเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา สายตาของเขาอ่อนโยน เอ่ยเรียกเบาๆ ว่าจิ่วเหนียง จิ่วเหนียง

เด็กหนุ่มขาเป๋เงยหน้าขึ้นอย่างสะลึมสะลือ รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เหตุใดบัณฑิตตกอับคนหนึ่งจากไปแล้ว แต่กลับยังมีนักพรตหนุ่มที่ปรารถนาในความงามของเถ้าแก่เนี้ยะโผล่มาอีกคนหนึ่ง? ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีหน้าตาดีหลงเหลือแล้วหรือไง?! ถึงต้องมาคอยตามตอแยเถ้าแก่เนี้ยะของพวกเขาอยู่ได้?

สตรีแต่งงานแล้วเงยหน้าขึ้น ถามอย่างสงสัย “นักพรตน้อย พวกเรารู้จักกันหรือ?”

นักพรตหนุ่มที่หน้าตาไม่โดดเด่น นอกจากจะสวมกวานเต๋าที่ค่อนข้างพบเห็นได้ยากแล้ว ด้านอื่นๆ ล้วนไม่สะดุดตา หน้าตาธรรมดา ตัวไม่สูงไม่เตี้ย ชุดนักพรตก็ค่อนไปทางเก่าซีดอย่างเห็นได้ชัด

สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกว่าสายตาของคนผู้นี้ประหลาดมาก ทั้งไม่มีความลามกหยาบโลนเหมือนชายฉกรรจ์ในเมืองหูเอ๋อร์ แล้วก็ไม่มีความลุ่มหลงที่ทำให้คนไม่เข้าใจอย่างจงขุย แต่เป็นสายตาของคนรู้จักที่จากกันไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง แม้ปากจะเอ่ยทักทาย และก็เห็นอยู่ว่าสายตาของเขามองมาที่นาง แต่กลับเหมือนมองผ่านไปไกลยิ่งกว่านั้น

จิ่วเหนียงรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย หลังจากนางถามไป นักพรตหนุ่มคนนั้นก็แค่ยิ้มมองตน สายตาของเขายิ่งแจ่มจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งทำให้คนหวั่นใจมากขึ้น

อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลอาบหน้านักพรตหนุ่ม แต่เขากลับถามด้วยรอยยิ้มว่า “จิ่วเหนียง พวกเรากลับบ้านกันไหม?”

ไม่รอให้จิ่วเหนียงเปิดปากด่า

นักพรตหนุ่มก็เช็ดคราบน้ำตา พูดเยาะหยันตัวเอง “เป็นข้าที่จำคนผิดเอง โปรดอภัยด้วยๆ”

เขานั่งลงข้างโต๊ะตัวหนึ่ง ควักเศษเงินไม่กี่เม็ดออกมาจากชายแขนเสื้อ ตบลงบนโต๊ะ พูดพลางยิ้มบางๆ “เงินทั้งหมดนี้ใช้ซื้อเหล้า ซื้อได้กี่กาก็ซื้อเท่านั้น”

โรงเตี๊ยมตั้งอยู่ริมชายแดน มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันสัญจรผ่านไปมา มักจะมีนักเดินทางที่รับมือไม่ง่ายมาเยือนเป็นประจำ เด็กหนุ่มขาเป๋ทำงานอยู่ในโรงเตี๊ยมมานานหลายปี เคยเห็นแขกที่น้ำเข้าสมอง (เปรียบเปรยว่าสมอง/ความคิดมีปัญหา) มาเยอะแล้ว แล้วก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องคิดอะไรให้มากความ จึงหยิบเงินมา พูดว่า “เหล้าบ๊วยของโรงเตี๊ยมเรา หากเป็นเหล้าบ๊วยที่ดีที่สุด ลูกค้าสามารถซื้อได้แค่ไหเดียว…”

นักพรตหนุ่มไม่รอให้เด็กหนุ่มขาเป๋กล่าวจบก็ชิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นก็เอาเหล้าบ๊วยที่ดีที่สุดมาหนึ่งไห”

ออกจากบ้านเกิดเดินทางไกล ฟ้าดินกว้างใหญ่ ไม่ว่ากับใครก็มิอาจสนิทสนม เดินทางหาประสบการณ์อย่างเงียบเหงายิ่งกว่าเหล่าอริยะปราชญ์เช่นนี้ ไม่ดื่มเหล้าจะได้อย่างไร

เขาดื่มเหล้าชั้นดีและชั้นเลวมาเกือบทั่วทั้งใบถงทวีปแล้ว

เขาชอบดื่มเหล้า มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ระดับขั้นพอใช้ได้มาเป็นกาเหล้าก็พอดีเลย

ส่วนกระบี่บินสองเล่มที่มีความเป็นมาประหลาดในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น หากถูกทำลายไปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ายังเก็บไว้ได้ก็ยิ่งดี

หลังจากกลับคืนสู่บ้านเกิด เอาพวกมันไปมอบเป็นของขวัญให้แก่เด็กรุ่นหลังในตระกูล ก็ถือว่าเป็นการชดเชยเล็กๆ น้อยๆ ที่พลาดพิธีการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของพวกเขาไป ที่บ้านเกิดของเขา การมอบกระบี่ให้ดีกว่ามอบอะไรทั้งหมด

เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงในใบถงทวีปครั้งนี้ เจตนารมณ์สวรรค์ได้ถูกเปิดเผยออกมาตั้งนานแล้ว ลูกน้องสองคนไม่สามารถซุ่มจำศีลได้ถึงท้ายที่สุด ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เป็นเพราะคำว่าฟ้าอำนวยยังคงอยู่ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ตอนนี้ก็ต้องดูที่ว่าในนาตยทวีปและฝูเหยาทวีปจะราบรื่นกว่านี้หรือไม่

เดิมทีทั้งภูเขาไท่ผิงและสำนักฝูจีต่างก็ควรพินาศย่อยยับไปแล้ว เทียนจวินบรรพจารย์และเจ้าสำนักของภูเขาไท่ผิง สองสามีภรรยาจีไห่ต้องตายกันทั้งหมด ลูกรักแห่งสวรรค์ที่ยึดครองโชคชะตาจำนวนมากของหนึ่งทวีปไปเพียงลำพังอย่างนักพรตหญิงหวงถิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ส่วนจงขุยวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาต้าฝูผู้นั้น อันที่จริงในใบลำดับรายชื่อของนักพรตหนุ่มภูเขาไท่ผิงคนนี้ อีกฝ่ายก็อยู่ในอันดับต้นๆ เช่นกัน

จงขุยตายไปคนหนึ่ง มีความหมายยิ่งใหญ่ไม่เป็นรองภูเขาไท่ผิงถูกถล่มราบเลย

ดังนั้นตอนที่เขาออกคำสั่งแก่วานรขาวสะพายกระบี่ ต่อให้ใช้ชีวิตแลกด้วยชีวิตก็ยังไม่ขาดทุน หากหลังจบเรื่องสามารถหลบหนีเข้าไปในเส้นทางมังกรที่แตกพังแห่งนั้นได้สำเร็จ ไม่ว่าจะบาดเจ็บหนักแค่ไหนก็ล้วนถือว่าได้กำไรก้อนโตแล้ว หลังจากนั้นแค่หลบซ่อนตัวให้ดีก็พอ ไม่อย่างนั้นเขาเองก็ปกป้องวานรเฒ่าไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็สามารถพาคนจากใต้หล้าไพศาลไปได้แค่คนเดียว หากวานรเฒ่าไม่ถูกทำร้ายจนเสียหายไปถึงรากฐานแห่งมหามรรคาก็ยังเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตสิบสอง เขาอาจจะพามันไปด้วยกัน ไม่ใช่คิดถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนจนต้องมาดื่มเหล้าดับทุกข์อยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้

เดิมทีจงขุยควรจะมีชีวิตอยู่ได้นานอีกนิด ได้เป็นคนลุ่มหลงในรักนานอีกหน่อย

ท่านปู่สามผู้เฒ่าหลังค่อมใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่จิ่วเหนียงว่าให้ระวังคนผู้นี้ ทว่าสตรีแต่งงานแล้วยังยืนกรานจะถือกาเหล้าและถ้วยขาวสองใบมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนักพรตหนุ่มคนนั้นด้วยตัวเอง

จิ่วเหนียงรินเหล้าใส่ถ้วยทั้งสอง ถามด้วยรอยยิ้มว่า “นักพรตน้อยจำคนผิดหรือว่ารู้จักกับข้าจริงๆ ?”

นักพรตหนุ่มยกเหล้าบ๊วยขึ้นดื่มหนึ่งอึกแล้วเอ่ยชมว่าเป็นเหล้าดี ก่อนจะยกหลังมือเช็ดปาก “เป็นข้าที่จำคนผิด”

จิ่วเหนียงยิ้มตาหยีถามว่า “นักพรตน้อยช่างกล้าหาญ ใจกล้าไม่เบา ระหว่างที่เอ่ยพูดไม่เคยเรียกตัวเองว่านักพรตผู้ต่ำต้อย หรือว่าเป็นนักพรตตัวปลอมที่สวมรอยเป็นเทพเซียนของภูเขาไท่ผิง?”

นักพรตหนุ่มส่ายหน้า “เป็นนักพรตจริงจนจริงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แค่หาเนื้อหนังมังสามาสวมวิญญาณ ฝึกตนอยู่บนภูเขาไท่ผิงมาร้อยปีถึงได้รับป้ายหยกแผ่นนั้น ภายหลังระหว่างที่ลงจากเขามาหาประสบการณ์ได้ตายไป แม้แต่โครงกระดูกก็ไม่เหลือ ทางสำนักเองก็ไม่มีแม้แต่โอกาสได้เก็บแผ่นหยกนั้นกลับไป น่าอนาถมากเลยล่ะ หลังจากนั้นมาข้าก็เปลี่ยนโฉมใหม่ ออกเดินทางไปทั่วทิศ แล้วก็เริ่มหาเหล้าดื่ม สุดท้ายกลับมาที่ต้าเฉวียน ท่องไปตามสถานที่ดีๆ มากมาย ยกตัวอย่างเช่นลำคลองหมายเหอ แล้วยังได้เจอบัณฑิตคนหนึ่งที่ชื่อหวังฉีในเมืองเซิ่นจิ่ง ตอนนั้นคนผู้นั้นอายุไม่น้อยแล้ว ตั้งชื่อได้ไม่เลว ฉีคำนี้สามารถใช้คำว่าอริยะมาอธิบายได้ ฝึกบำเพ็ญร่างกาย จิตใจก็เด็ดเดี่ยวซื่อตรง”

“เขื่อนยาวพันลี้ยังพังลงได้ด้วยรังมด น่าเสียดายที่วิญญูชนผู้ยิ่งใหญ่กลับต้องมาถูกทำลายเพราะความโลภเพียงคำเดียว”

ตอนที่ยกถ้วยเหล้าขึ้น ข้อมือของจิ่วเหนียงสั่นเบาๆ

นางพลันกระดกเหล้าดื่มจนหมด พอวางถ้วยลงแล้วถึงถามว่า “เหตุใดต้องพูดเรื่องพวกนี้กับข้า คิดจะฆ่าข้ารึ?”

นักพรตหนุ่มคล้ายได้ยินเรื่องตลกที่สุดในใต้หล้า เขาพึมพำว่า “บอกแต่แรกแล้วว่าจำคนผิด ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า คนที่ข้ารู้จักผู้นั้นมีเก้าชีวิต จะฆ่าได้อย่างไร? ฆ่าเจ้าครั้งหนึ่ง นายท่านผู้เฒ่าป๋ายก็จะเกิดจิตเชื่อมโยงครั้งหนึ่ง เจ้าไม่รู้อะไร นายท่านผู้เฒ่าป๋ายเล่นงานพวกเราอย่างน่าอนาถแค่ไหน ต่อให้อริยะลัทธิขงจื๊อฆ่าข้า ข้าก็แค่ร่อแร่ใกล้ตาย ช่วยให้ข้าได้กลับบ้านเร็วหน่อยเท่านั้น แต่ขอแค่นายท่านผู้เฒ่าป๋ายเห็นข้า ต่อให้มีหนึ่งใต้หล้าขวางกั้น เขาก็ยังสามารถทำให้กระดูกของข้าป่นเป็นผุยผงได้อยู่ดี”

เขาพูดสะท้อนใจด้วยน้ำเสียงเศร้าอาลัย “ข้าเองก็ตัดใจฆ่าไม่ลงด้วย”

‘นักพรตหนุ่ม’ ที่สามารถบงการให้ปีศาจใหญ่สองตัวทุ่มสุดชีวิตเพื่อตัวเองคลี่ยิ้ม ยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบหนึ่งคำ “ใบถงทวีปเผชิญกับหายนะใหญ่ครั้งนี้ วันหน้าหากย้อนกลับมาดูจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นความโชคดีในความโชคร้าย”

คลื่นยักษ์ถาโถมอยู่ในใจของจิ่วเหนียง

“ไม่ต้องกังวล ข้าได้ดื่มเหล้ารสเลิศ ได้บ่นเรื่องพวกนี้ไปแล้ว พวกเจ้าจะจำอะไรไม่ได้สักอย่าง” นักพรตหนุ่มวางถ้วยเหล้าลง ยื่นนิ้วออกมาวาดวงกลมบนขอบถ้วย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน หมุนตัวเดินไปจากโรงเตี๊ยม

ภาพเหตุการณ์ในโรงเตี๊ยมแปลกประหลาดยิ่ง ราวกับว่ากาลเวลาหมุนย้อนกลับ จิ่วเหนียง ท่านปู่สามและเด็กหนุ่มขาเป๋เริ่มพูดจาและทำท่าทางต่างๆ ย้อนกลับหลัง

สุดท้ายเมื่อนักพรตหนุ่มข้ามธรณีประตูโรงเตี๊ยมออกไป ทุกอย่างจึงกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม เด็กหนุ่มขาเป๋นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ ผู้เฒ่าหลังค่อมสูบยาอยู่ตรงผ้าม่านหน้าประตู จิ่วเหนียงยังคงดีดลูกคิด

ทุกอย่างหยุดนิ่ง

มีเพียงถ้วยเหล้าใบนั้นของนักพรตหนุ่มที่เหลือค้างอยู่บนโต๊ะ

เขาเอี้ยวตัวมาด้านหลัง มองไปทางโต๊ะคิดเงิน

‘จิ่วเหนียง’ เงยหน้ามองประสานสายตากับนักพรตหนุ่มด้วยสายตาเย็นชา

นักพรตหนุ่มมองไปยังด้านหลังของ ‘จิ่วเหนียง’ หางสีขาวหิมะหลายหาง ใหญ่ประดุจต้นเสาเบียดเสียดกันอยู่ด้านหลังของสตรีแต่งงานแล้ว

นักพรตหนุ่มนับหางจิ้งจอกแล้วขมวดคิ้ว แต่ไม่นานหัวคิ้วก็คลายออก เขาคลี่ยิ้มแล้วจากไป

‘จิ่วเหนียง’ พูดเสียงเย็น “สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องถูกลากตัวออกมา”

เขาออกไปจากโรงเตี๊ยมไกลมากแล้ว ทว่าเสียงของเขากลับยังดังก้องอยู่ในโรงเตี๊ยม “ปรารถนาแต่มิอาจได้มาครอง หาไม่แล้วเหตุใดข้าต้องทำเรื่องเกินความจำเป็นเพื่อเล่นงานคนหนุ่มผู้หนึ่งที่แม้แต่ภูเขาไท่ผิงก็ยังคิดจะปกป้องด้วยเล่า”

ครู่หนึ่งต่อมา

เด็กหนุ่มขาเป๋ส่งเสียงกรนเบาๆ ต่ออีกครั้ง หมอกควันลอยอบอวล เสียงดีดลูกคิดของสตรีแต่งงานแล้วดังขึ้นอย่างสะเปะสะปะ

ผ่านไปอีกนานมาก สตรีแต่งงานแล้วถึงชำเลืองมองไปยังถ้วยขาวบนโต๊ะแล้วใช้ฝ่ามือตบลงบนลูกคิด กล่าวเสียงขุ่น “เจ้าเป๋น้อย เจ้าตาบอดหรือไง ทำไมไม่เก็บถ้วยเหล้าบนโต๊ะ?!”

เด็กหนุ่มขาเป๋สะดุ้งตื่นทันที เห็นว่าอยู่ดีๆ บนโต๊ะก็มีถ้วยเหล้าใบหนึ่งโผล่มาเลยเกาหัว เขาจำได้ว่าเก็บกวาดจนสะอาดหมดแล้วนะ แต่เพราะไม่กล้าเถียงเถ้าแก่เนี้ยะที่กำลังอารมณ์ไม่ดีจึงลุกมาเก็บถ้วยเหล้าเอาไปไว้ในห้องครัว

ชายแดนที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มีคนหนุ่มคนหนึ่งที่สวมกวานเต๋าบิดเบี้ยวเดินไปพลางร้องเพลงเสียงดัง “เก็บน้ำเต้า เก็บน้ำเต้าบรรจุเหล้าเอย เก็บน้ำเต้าบรรจุเหล้าเอามาใส่เหล้า มือเล็กของสาวงามผู้เป็นที่รักยามรินสุราอ่อนนุ่มดุจหยกขาวดุจรากบัว…”

……

นอกวัดร้าง ลมฝนพัดกระโชกแรง

ทว่าถึงแม้จะมีฝนตกกระหน่ำขนาดนี้กลับยังมีกลิ่นคาวเลือดลอยมาให้ได้กลิ่น

สุยโย่วเปียนพุ่งตัวไปทางด้านหนึ่ง วันนี้นางไม่ได้ควบคุมกระบี่ยาวเหมือนอาจารย์กระบี่อย่างตอนศึกในโรงเตี๊ยม แต่ถือกระบี่ชือซินไว้ในมือ เรือนกายเคลื่อนไหวปราดเปรียวดุจลิงป่า พลิกตัวหมุนตีหลังกากลับไปกลับมาอยู่ท่ามกลางผืนป่า ทุกครั้งที่เสือกกระบี่ออกไป ปราณกระบี่ที่พุ่งนำจะต้องผ่าร่างของทหารชายแดนต้าเฉวียนที่สวมเสื้อเกราะเหล่านั้นออกเป็นสองท่อน

หลูป๋ายเซี่ยงไปยังทิศทางตรงข้ามกับสุยโย่วเปียน เขาเดินก้าวยาวๆ ขอแค่มีทหารสวมเสื้อเกราะถือดาบขยับเข้ามาใกล้ก็จะโบกดาบอย่างไม่ใส่ใจหนึ่งครั้ง ไม่เหมือนสุยโย่วเปียนที่ตวัดกระบี่ฉวัดเฉวียนอย่างเต็มที่ หลูป๋ายเซี่ยงนั้นไม่ว่าจะเป็นคมดาบหรือพายุลมกรดที่เล็กบางดุจเส้นขนก็ล้วนเลือกแค่ลำคอของพลทหารราบ หรือไม่ก็ใช้ปลายดาบ ‘ชี้’ ไปที่หน้าผากของเหล่าทหารชายแดนเท่านั้น

ระหว่างนี้ในผืนป่าสองข้างฝั่งก็จะมียอดฝีมือวิถีวรยุทธ์และผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่หลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มทหารธรรมดาคอยฉวยโอกาสลอบโจมตีหลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน

และยิ่งมีธนูที่ถูกเหนี่ยวเต็มแรงสาดยิงออกมา

ปราณเฉียบคมทั่วร่างของสุยโย่วเปียนกลับเข้มข้นยิ่งกว่าปราณกระบี่ชือซินที่อยู่ในมือเสียอีก

ไม่เสียแรงที่เป็นเซียนกระบี่หญิงคนแรกที่พยายามจะใช้กระบี่แหวกม่านฟ้า พาเรือนกายที่มีเลือดเนื้อบินทะยาน

หลูป๋ายเซี่ยงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสบายอารมณ์

ทหารสวมเสื้อเกราะที่ถือเป็นยอดฝีมือในโลกมนุษย์เหล่านี้ ต่อให้มีศัตรูที่รับมือได้ยากหลายคนปะปนอยู่ด้วย แต่จะคู่ควรกับคำว่า ‘ล้อมสังหาร’ ได้อย่างไร? ไม่รู้หรือว่าศึกสุดท้ายในชีวิตก่อนของหลูป๋ายเซี่ยงต้องเจอกับปรมาจารย์ยอดฝีมือจากทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมที่รวมตัวกันมามากแค่ไหน?

อีกอย่าง

วันนี้คนสามคนที่เดินออกมาจากม้วนภาพวาดในโรงเตี๊ยมนอกเมืองหูเอ๋อร์ และรวมถึงตัวจูเหลี่ยนเองด้วยต่างก็แตกต่างไปจากวันวาน

สุยโย่วเปียนตั้งใจฝึกวิชากระบี่ ปรับตัวเข้ากลับการไหลเวียนของลมปราณในใต้หล้าไพศาลอย่างรวดเร็ว จูเหลี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยงหรือจะเกียจคร้าน? พวกเขาเองต่างก็ต้องแบ่งสมาธิไปปรับตัวเข้ากับขอบเขตหกของผู้ฝึกยุทธ์ที่ถูกปราณวิญญาณของฟ้าดินแห่งนี้กรอกเทเข้าร่าง และผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกขั้นสูงสุดที่ต้องสร้างขอบเขตให้มั่นคง ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างมาก

หน้าประตูของวัดร้าง

เฉินผิงอันแค่ให้กระบี่บินชูอีสืออู่ร่วมมือกับจูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธ์ลอบโจมตีองค์ชายหลิวจงกะทันหันครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ลงมืออีก ยังคงถือกิ่งไม้ยืนอยู่ใต้ชายคา

สวี่ชิงโจวที่สวมเสื้อเกราะจินอูจิงเหว่ยของสำนักการทหาร และสวีถงเซียนซือจากอารามฉ่าวมู่ บวกกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่คอยปกป้องอยู่เบื้องหน้าหลิวจง ต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นมัลละตนหนึ่งจากยันต์ของสวีถงและชีวิตของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนหนึ่งถึงจะสกัดกั้นการลอบโจมตีครั้งนี้ได้

ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นเพื่อรับมือกับขันทีชุดหม่างหลี่หลี่ เฉินผิงอันได้ใช้ทุกวิธีการที่ตัวเองมี ทั้งสวี่ชิงโจวและสวีถงต่างก็รู้ชัดเจนดี ดังนั้นพวกเขาจึงคาดการณ์ถึงชูอีกับสืออู่กระบี่บินสองเล่มที่ผลุบโผล่อย่างลึกลับไว้ได้ก่อนแล้ว

หลิวจงทั้งรบทั้งถอย สวี่ชิงโจวและสวีถงคอยปกป้องอยู่ข้างกายองค์ชายใหญ่ท่านนี้ตลอดเวลา

ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนอื่นที่มีประสบการณ์ในสนามรบมานานก็พยายามต้านทานการกระโจนเข้าสังหารของผู้เฒ่าหลังค่อมตลอดเวลา แล้วยังต้องคอยระวังชายร่างเล็กเตี้ยแต่กำยำที่สวมเสื้อเกราะสีขาวหิมะที่อยู่ด้านหลังซึ่งยังไม่ลงมือคนนั้นด้วย

ทหารสวมเกราะสองพันนายบนภูเขา รวมไปถึงอีกสามพันนายที่อาจขึ้นเขามาให้ความช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ บวกกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพและยอดฝีมือในยุทธภพที่ถูกจ้างมาด้วยเงินก้อนใหญ่ หลิวจงไม่ได้เพ้อฝันว่าขบวนทัพเช่นนี้จะสามารถสังหารเฉินผิงอันและปรมาจารย์ผู้ติดตามเขาอีกสี่คนได้ แต่ขอแค่สังหารหรือทำร้ายคนสองสามคนให้ได้รับบาดเจ็บก็ถือว่ากุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคงแล้ว

จูเหลี่ยนในเวลานี้ไม่ผิดต่อฉายา ‘ผู้บ้าคลั่งวรยุทธ์’ ของตัวเองแม้แต่น้อย

พละกำลังแผ่ไปทั่วแปดทิศรอบกายเขา ร่างทั้งร่างประหนึ่งสปริงดีด ว่องไวดุจสายฟ้า

พอมีลมพัดใบไม้ไหว ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีความสามารถก้นกรุเป็นวิชาลอบโจมตีจะต้องขนตั้งชันดุจง้าวศึก ขยับหลบได้อย่างแม่นยำเหมือนรู้ล่วงหน้า

ตอนที่จูเหลี่ยนกระโจนเข้ามาเข่นฆ่า ผู้เฒ่าหลังค่อมจะต้องค้อมเอวต่ำกว่าปกติด้วยความเคยชิน มือทั้งสองข้างแตะพื้น ทุกครั้งที่เท้าเหยียบพื้นก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นดั่งลูกธนูที่ยิงไปยังทิศทางใด เรือนกายของเขาเคลื่อนไหวว่องไวเกินไปจริงๆ

ครั้งหนึ่งคว้าโอกาสได้ จูเหลี่ยนจึงมาโผล่อยู่ตรงหน้าผู้ฝึกตนติดตามกองทัพวัยกลางคนคนหนึ่งอย่างลึกลับ ปล่อยหมัดใส่หน้าท้องของคนผู้นี้ จากนั้นก็ใช้ศพที่ตายคาที่เป็นโล่บังสกัดกั้นมีดใหญ่จากมัลละเกราะเงินของสวีถงที่ฟันผ่าเข้ามา ครั้นจึงโยนศพทิ้งแล้วขยับไปข้างหน้าอีกหลายก้าวในเสี้ยววินาที เหวี่ยงมือปาดไปกระแทกเข้าที่ศีรษะของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนหนึ่งโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว ผู้ฝึกตนกลายเป็นศพไร้หัวที่ร่วงกระแทกบนพื้นห่างไปไกลหลายจั้ง

บนร่างของเว่ยเซี่ยนสวมซีเยว่หนึ่งในแปดบรรพบุรุษของเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน ใช้มือคว้าจับอาวุธวิเศษของผู้ฝึกตนที่พุ่งสวนไหล่กับจูเหลี่ยนไป ขอแค่ถูกเขาคว้าไว้ในมือ หากไม่ถูกบีบให้ระเบิดแตกก็ต้องถูกเขาใช้สองมือหักให้งอ

นอกจากนี้ยังมีทหารสวมเกราะถือดาบวิ่งกรูกันมาจากเส้นทางสองฝั่งอย่างต่อเนื่อง

เว่ยเซี่ยนจึงเริ่มก้าวถอยหลัง

จูเหลี่ยนมักจะใช้มือตบใช้เท้าเตะอาวุธวิเศษที่เหล่าผู้ฝึกตนเป็นผู้ควบคุมให้ลอยไปหาเว่ยเซี่ยน เว่ยเซี่ยนจึงต้องสังหารทหารที่กระโจนเข้าใส่วัดร้าง แล้วยังต้องคอยเก็บกวาดเรื่องเละเทะที่จูเหลี่ยนโยนมาด้วย

ห่างออกไปไกลบนภูเขา หลิวจงที่พยายามมองไปทางสนามรบตรงจุดนั้นถามด้วยสีหน้าเป็นปกติ “หรือว่าคนห้าพันคนของข้าต้องตายกันหมดจริงๆ ? ต้องใช้ชีวิตทั้งห้าพันชีวิตมากองกันเพื่อสังเวยในการสังหารคนเหล่านี้?”

สวี่ชิงโจวเอ่ยเสียงหนัก “คงต้องเป็นเช่นนี้ ข้าและสวีถง รวมไปถึงคนสามคนที่องค์ชายจัดหามาก่อนหน้านี้จะพยายามคว้าโอกาสเหมาะโจมตีเอาชีวิตพวกเขาในช่วงเวลาที่คนทั้งสี่ผลัดเปลี่ยนลมปราณ ไม่ให้คนเหล่านี้ต้องตายไปอย่างเสียเปล่าก็แล้วกัน”

หลิวจงกำดาบประจำตัวที่ห้อยไว้ตรงเอวแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดโปน “เหตุใดศักยภาพแท้จริงของปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์สี่คนที่อยู่ตรงหน้าถึงได้แตกต่างจากข้อมูลที่สายลับรายงานมามากขนาดนี้?!”

เซียนซือสวีถงยิ้มจืดเจื่อน “อันที่จริงข้ากับแม่ทัพสวี่สงสัยมากกว่าองค์ชายเสียอีก ตอนนั้นที่อยู่ในโรงเตี๊ยม พวกเรายังสามารถต่อสู้กันได้อย่างสูสี แต่คืนนี้หากจับคู่เข่นฆ่ากัน ข้ากับแม่ทัพสวี่ย่อมตายอย่างมิต้องสงสัย”

หลิวจงพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที “ไม่โทษพวกเจ้า เป็นเพราะเฉินผิงอันผู้นั้นอำพรางตนได้ลึกล้ำเกินไป ไม่เป็นไร ต่อให้ฝ่ายเราจะบาดเจ็บล้มตายมากแค่ไหนก็ล้วนใช้ร่างของไอ้หมอนี่ชดเชยกลับคืนมาได้!”

ใต้ชายคาวัดร้าง เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองป้ายหยกศาลบรรพจารย์ที่นักพรตหนุ่มของภูเขาไท่ผิงนำมามอบให้ตนแล้วจมอยู่ในภวังค์ของการครุ่นคิด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!