บทที่ 366 จะฟังเหตุผลหรือไม่ กระบี่ก็อยู่ตรงนี้
เบื้องใต้ทะเลเมฆ ทางทิศตะวันตกของแท่นมังกร ทางทิศเหนือของท่าเรือเกาะโดดเดี่ยว ตลอดทั้งนครมังกรเฒ่าตกอยู่ในสภาพที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดชะงักไม่เดินหน้า
วินาทีที่ฟ่านจวิ้นเม่ามองเห็นเงาร่างสีขาวหิมะนั้นพุ่งทะยานลงมายังผืนดินราวกับสายรุ้ง บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความคิดถึงอย่างไร้ที่สิ้นสุด สุดท้ายน้ำตาร้อนๆ เอ่อคลอดวงตา นางลุกขึ้นยืน ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด ก่อนจะใช้ท่า ‘นั่งสงบ’ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนั่งอย่างสำรวมอยู่บนทะเลเมฆ ท่านั่งสงบสำรวมดุจศพดุจองค์เทพที่วิญญูชนลัทธิขงจื๊อในรุ่นหลังปฏิบัติตามอย่างพิถีพิถันก็เป็นท่าเดียวกันนี้
ทางฝั่งของร้านยาฮุยเฉิน เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ กำลังร่ายวิชากระบี่อันบ้าคลั่งอยู่ในตรอกนอกร้านยา ไม่รับรู้ถึงความผิดปกติของฟ้าดินเลยแม้แต่น้อย ทว่าเทพหยินแซ่จ้าวกลับแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิก
นอกเมืองมีเศรษฐีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งกำลังย่างเท้าข้างหนึ่งออกมา ทว่ากลับขมวดคิ้วแล้วหดเท้ากลับคืนไป ยืนนิ่งเฉย แต่กลับกลอกตาไปมาด้วยท่าทางครุ่นคิด จากนั้นก็ให้จิตหยินที่ถูกอำพรางตนอย่างดีออกจากช่องโพรงไปท่องเที่ยวดุจปลาได้น้ำ ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ
นอกประตูตะวันออกของนครมังกรเฒ่า หมัวมัวผู้อบรมมารยาทของสกุลเจียงอวิ๋นหลินหน้าแดงก่ำ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตส่งเสียงร้องอื้ออึงอยู่ในช่องโพรงลมปราณ เป็นเหตุให้นางที่พยายามจนสุดความสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่พร่าเลือนบางอย่าง
บรรพบุรุษแซ่ตู้ผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงหรี่ตาลง มองไปทางช่องโพรงบนกำแพงเมือง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่างเรือกลืนกระบี่หยุดลอยนิ่งอยู่ข้างกาย
ใน ‘โพรงประตู’ บนกำแพงที่ถูกทะลุทะลวงออกไปมีหญิงสาวร่างสูงใหญ่สวมชุดขาวราวหิมะ ชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างโบกสะบัดนั่งอยู่บนกองหินปรักหักพัง โอบกอดคนหนุ่มที่ชุดคลุมอาคมจินหลี่แทบจะแหลกสลายไว้ด้วยท่าทางอ่อนโยน เนื่องจากได้รับบาดเจ็บหนักเกินไป คนหนุ่มจึงหมดสติไปแล้ว นางยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาลูบหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของคนหนุ่มให้คลายลง
ห่างออกไปไม่ไกลคือผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่สวมชุดเขียวมอซอคนหนึ่ง กำลังยืนเอามือปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เจ้าเองก็บุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ความเคลื่อนไหวรุนแรงขนาดนี้ รู้หรือไม่ว่าเพื่อปกปิดร่องรอยของเจ้า แม้แต่เรี่ยวแรงตอนกินนมข้าก็ดึงออกมาใช้หมดแล้ว (มนุษย์เราแรกเริ่มดื่มนมเป็นอาหารเพื่อให้เติบโต ภายหลังหย่านม หันมากินข้าวเพื่อให้มีเรี่ยวแรง หากแม้แต่เรี่ยวแรงหลังจากกินข้าวยังเอามาใช้ไม่พอ ต้องเอาเรี่ยวแรงตอนสมัยยังกินนมมาใช้เพิ่มด้วย ประโยคนี้จึงเป็นการเปรียบเปรยว่าใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ทุ่มสุดกำลัง) หากไม่เป็นเพราะเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานยังจะพอมีน้ำใจอยู่บ้าง ยอมให้ข้ากระโดดมาถึงทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปโดยตรง ป่านนี้ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของเจ้าหมดแล้ว ถึงเวลานั้นเฉินผิงอันจะยังฝึกตนอย่างสงบอีกได้อย่างไร?”
เห็นว่าสตรีผู้นั้นไม่พูดไม่จา ซิ่วไฉเฒ่าก็ยิ่งรู้สึกร้อนตัว เขาถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยครั้งหนึ่ง ไม่มองบุคคลอันดับสองของตระกูลเซียนในอาณาเขตใบถงทวีปผู้นั้น แต่เดินมาหยุดอยู่ริมกำแพง สะกดกลั้นโทสะที่อยู่ในใจเอาไว้ “ทำไม ในเมื่อพวกเจ้าสองคนชอบดูเรื่องสนุกขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่กล้าโผล่หน้าออกมาเล่า?”
ทางทิศเหนือปรากฏเรือนกายเลือนรางเรือนกายหนึ่ง พอจะมองเห็นได้รางๆ ว่าเป็นคนของลัทธิขงจื๊อวัยกลางคน ตรงเอวห้อยหยกประดับสีทองหนึ่งแผ่น สลักอักษรคำว่า ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’
ส่วนทางฝั่งทิศใต้ก็เป็นชาวลัทธิขงจื๊อที่เรือนกายล่องลอยไม่อยู่นิ่งอีกคนหนึ่ง เพียงแต่ดูลักษณะแล้วเป็นชายชราอายุประมาณเจ็ดสิบปี ตรงเอวห้อยหยกประดับสีทองเช่นกัน แต่สลักคำว่า ‘ผู้มีคุณธรรมได้รับความช่วยเหลือมากมาย’
บุรุษจากลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนประสานมือคารวะ “คารวะท่านอาจารย์”
ทว่าชาวลัทธิขงจื๊อวัยชราที่อยู่ทางทิศใต้ผู้นั้น พอเห็นซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งแล้วกลับเฉยเมย หนังตาไม่กระตุกสักครั้ง
ซิ่วไฉเฒ่าสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ชี้ไปยังบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงผู้นั้น มองผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่ตรงเอวห้อยหยก ‘ผู้มีคุณธรรม’ แล้วถามว่า “ในฐานะอริยะผู้รับผิดชอบดูแลทางเหนือของใบถงทวีป หากถามถึงผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบและสิบเอ็ดที่เดินไปเดินมาในใต้หล้า เจ้าสามารถผลักภาระรับผิดชอบบอกว่าโลกมนุษย์มีเรื่องวุ่นวายมากมาย แสงตะเกียงนับหมื่นดวงดุจแสงดาวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า เจ้าอยู่บนฟ้าไม่มีเวลาพอมาจับตามองทุกคน แต่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตบินทะยานเช่นนี้ เจ้าตาบอดไปแล้วหรือไร? โคมไฟดวงใหญ่ลอยผ่านหน้าเจ้าไป เจ้ายังมองไม่เห็นอีกหรือ?”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อเงียบงันไม่ตอบโต้
บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนถอนหายใจหนึ่งที อันที่จริงก่อนจะเกิดเรื่องมีคนมาแจ้งเขาแล้ว บอกว่าตู้เม่าแห่งสำนักใบถงจะลงจากเขามาเยือนนครมังกรเฒ่าแห่งแจกันสมบัติทวีปซึ่งอยู่ในเขตการปกครองของเขา นี่คือหนึ่งในแผนการของสกุลซ่งต้าหลีที่อยู่ทางเหนือ อีกทั้งยังเกี่ยวพันไปถึงเรื่องราวภายในของปีศาจใหญ่ที่ก่อความวุ่นวายในสำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิง ดังนั้นก่อนหน้าที่ตู้เม่าจะออกจากสำนักจึงได้รายงานเรื่องนี้แก่ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อแล้ว เพียงแต่เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน ยังไม่ทันยื่นขอป้ายจากสถานศึกษา ดังนั้นบุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนจึงทำได้เพียงหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งเท่านั้น
สำหรับพันธนาการที่มีต่อผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานทั้งหลาย คือกฎเหล็กข้อหนึ่งที่หลี่เซิ่งตั้งเอาไว้ หลายปีที่ผ่านมาใช่ว่าจะไม่ถูกคัดค้าน แม้แต่ผู้ฝึกตนใหญ่ยังพูดเย้ยหยันอย่างเปิดเผยว่า นายท่านผู้เฒ่าหลี่เซิ่งช่างมีภราดรภาพ เลี้ยงเผ่าปีศาจไว้ในใต้หล้าไพศาลมากมายถึงเพียงนั้น ไม่ยอมเข่นฆ่าสังหารให้หมดสิ้นเป็นการตัดรากถอนโคน ไม่เพียงแต่เลี้ยงเสือเลี้ยงตะเข้ไว้ให้เป็นภัยร้ายที่อาจตามมาเบื้องหลัง กลับยังใช้กฎเข้มงวดกับคนกันเอง แค่จะยืดแขนยืดขาออกมายังต้องได้รับคำอนุญาตจากสถานศึกษาเสียก่อน ลองดูใต้หล้ามืดสลัวที่สามสายของลัทธิเต๋าเป็นผู้ปกครองบ้างสิ ขอบเขตบินทะยานอยากจะอยู่ในหอป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นก็อยู่ไป เบื่อเมื่อไหร่ก็ออกท่องไปทั่วใต้หล้าอย่างกำเริบเสิบสาน เหตุใดมีเพียงใต้หล้าไพศาลที่แค่จะจามสักทีก็ยังต้องทำตามกฎ?
ตู้เม่าแห่งสำนักใบถงเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว มือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งเกาหัว เงยหน้ามองซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้น “เจ้าก็คือเหวินเซิ่ง?”
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ซิ่วไฉเฒ่ายังไม่ปรายตามองคนผู้นี้แม้แต่น้อย เขาหันไปพูดกับหนึ่งในเจ็ดสิบสองปราชญ์ที่มีรูปปั้นตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อซึ่งทำหน้าที่พิทักษ์อยู่บนแผ่นฟ้าทั้งสองท่านคนละประโยคว่า “พวกเจ้าสองคนต่างก็เป็นศิษย์ที่ภาคภูมิใจของเหล่าซาน คืออริยะ เหล่าซานควรจะสอนพวกเจ้ามาก่อน พวกเจ้าก็ยิ่งควรจะจดจำเอาไว้ ความเห็นอกเห็นใจคือสิ่งที่ทุกคนควรมี!”
“ละอายต่อความผิดบาป คือสิ่งที่ทุกคนควรมี!”
ประโยคแรกพูดกับบุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนที่เป็นผู้บัญชาการทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป
ส่วนประโยคหลังพูดกับผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่ปล่อยให้ตู้เม่าลงจากภูเขาข้ามทวีปมายังนครมังกรเฒ่า
บัณฑิตที่สามารถเลื่อนขั้นเข้าไปอยู่ในศาลบุ๋น มีรูปปั้นตั้งวางอยู่เคียงข้างปรมาจารย์มหาปราชญ์ได้ ย่อมคู่ควรกับคำว่าอริยะที่แท้จริง ยกตัวอย่างเช่นอริยะลัทธิขงจื๊อซึ่งเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อที่ยิ่งมีน้ำหนักมาก ทว่าระบบสืบทอดดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อในใต้หล้าไพศาลยังคงยืนกรานที่จะเรียกพวกเขาว่าเจ็ดสิบสองปราชญ์
ซิ่วไฉเฒ่าพูดต่อว่า “อาจารย์ของพวกเจ้าก็เคยพูดไว้ว่า ชีวิต คือสิ่งที่ข้าต้องการ คุณธรรมก็คือสิ่งที่ข้าต้องการ หากไม่อาจมีทั้งสองอย่างได้ในเวลาเดียวกัน ถ้าเช่นนั้นข้าก็ได้แต่สละชีวิตเพื่อเลือกคุณธรรมแล้ว! ตอนนี้เฉินผิงอันกำลังสอนให้พวกเจ้ารู้ว่าเป็นคนควรปฏิบัติตนเช่นไร! ถึงอย่างไรเหล่าซานก็สอนไม่ดี ถ้าอย่างนั้นก็ให้เด็กคนหนึ่งที่เรียนหนังสือมาไม่มากสอนพวกเจ้าก็แล้วกัน”
ผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบสีหน้าเคร่งขรึม เปิดปากพูดอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าไม่ได้อยู่ในศาลบุ๋นแล้ว ไม่มีเทวรูปตั้งอยู่ข้างในนั้นอีก ระบบการเรียนการสอนสายบุ๋นของเจ้าก็ขาดลง ควรจะเรียกอาจารย์ของข้าอย่างเคารพว่าหย่าเซิ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าโกรธจนเป่าหนวดถลึงตา “ข้าไม่ได้เรียกเขาว่าตะพาบเฒ่าก็ถือว่าให้หน้าที่ใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าแก่เขาแล้ว! เจ้าจะนับเป็นตัวอะไรได้?! ก็แค่อาศัยบทความคุณธรรม ความรู้ผายลมสุนัขที่ไร้ประโยชน์พวกนั้นเข้าไปกินหัวหมูเย็นๆ อยู่ในศาลบุ๋นเท่านั้น”
ผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบยังคงสีหน้าไร้อารมณ์ดังเดิม เพียงแต่มุมปากกระตุกน้อยๆ คล้ายกำลังเย้ยหยัน
ซิ่วไฉเฒ่าตบอก พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ต้องใช้เหตุผลทำให้คนสยบ ใช้คุณธรรมทำให้คนยอมศิโรราบ”
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจหนึ่งที “เป็นเพราะพวกเจ้าสองคนรู้ดีว่าตอนนี้ข้าไม่อาจทำอะไรพวกเจ้าได้ ถึงได้มีท่าทางไร้ยำเกรงเช่นนี้ ถูกไหม?”
บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนส่ายหน้า “มิกล้า แล้วก็ไม่เต็มใจจะทำเช่นนั้นด้วย”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อกลับหัวเราะเสียงเย็น “ความรู้ของเจ้าก็คือไม้กวนอาจม เหม็นโฉ่จนแมลงวันตอม ทำลายผลงานใหญ่พันปีของระบบลัทธิขงจื๊อของพวกเรา”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่ห้อยแผ่นหยกสีทองสลักคำว่า ‘ผู้มีคุณธรรมได้รับความช่วยเหลือมากมาย’ ไม่เพียงไม่ถอยหนีกลับยังเดินขึ้นหน้าเข้าหาอีกหนึ่งก้าว “ข้าพูดอย่างนี้ต่อหน้าเจ้า เจ้าจะทำอะไรได้?”
ซิ่วไฉเฒ่าโมโหจัดจนกลายเป็นขำ “ปีนั้นช่วงเวลาที่ข้าเป็นดั่งตะวันกลางนภา เจ้าเองก็ตั้งใจมานะศึกษาตำราความรู้ของสายข้า เจ้าลืมไปแล้วหรือไร? หากข้าจำไม่ผิด เจ้ายังวิ่งเคยไปขอความรู้จากชุยฉานด้วย? แต่ผลล่ะเป็นเช่นไร? หนึ่งในเรื่องดีไม่กี่เรื่องที่ชุยฉานทำมาตลอดชีวิตนี้ก็คือด่าว่าเจ้าเรียนรู้อะไรไม่ได้สักอย่าง รู้จักแต่การแสร้งวางตัวภูมิฐานเหมือนเหล่าซาน แถมยังเสนอแนะให้ลัทธิขงจื๊อแจกจ่ายตำแหน่ง ‘วิญญูชนจอมปลอม’ ให้ทัดเทียมกับวิญญูชนเจิ้งเหริน ช่างแทงใจดำดีจริงๆ”
บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนยิ้มจืดเจื่อน
ทว่าผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อกลับมีตบะดีเยี่ยม ถูกซิ่วไฉเฒ่าหมิ่นเกียรติถึงเพียงนี้ แต่สีหน้ากลับยังคงผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ
ซิ่วไฉเฒ่าเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าสูง พึมพำกับตัวเองว่า “วิญญูชนสามารถใช้เหตุผลที่เหมาะสมมาหลอกลวงคนอื่น เหล่าซานพูดประโยคนี้ด้วยตัวเอง ข้ารู้ เจ้าต้องการเพิ่มโซ่ตรวนอีกชั้นหนึ่งให้แก่บัณฑิต คิดจะให้สอดคล้องกับประโยคของปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่บอกว่า ‘ควบคุมตนเองแล้วจึงดำเนินไปในจริยธรรม นั่นก็คือ เมตตาธรรม’ แต่ตอนนี้เจ้าลองดูใต้หล้าแห่งนี้สิ มันสอดคล้องกับเจตนาเดิมของเจ้าหรือไม่? ไม่ต้องมองคนอื่น แค่มองลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเจ้าคนนี้ก็พอแล้ว เพราะเป็นเช่นนี้ ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้ที่ยิ่งใหญ่ ลูกศิษย์ในสำนักของหลี่เซิ่งถึงต้องทำหน้าหนาไปขอร้องให้ป๋ายเจ๋อลงมือ ผลคือคนเขาพูดว่าอย่างไร? ‘ค่อยดูอีกที’ ค่อยดูอะไร ข้าว่าไม่ต้องดูแล้ว วิถีบนโลกก็ไม่ได้ความอย่างนี้แหละ เพราะจิตใจคนไม่เหมือนในอดีต ดุจสายน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ! ตอนนั้นพวกเราประชันแลกเปลี่ยนความรู้ พูดกันว่าอย่างไรแล้วนะ ต่อให้มหามรรคาแตกต่าง แต่ทุกคนกลับมองว่า ‘ไม่แน่เสมอไปว่าคนในปัจจุบันต้องด้อยกว่าคนในอดีต’ ตลกนัก ตลกจริงๆ!”
บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนหันไปมองผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อผู้นั้นแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ไม่สู้ยอมรับผิดกับท่านอาจารย์ดีกว่าไหม?”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อถามกลับ “มีความผิดอะไร?”
บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “สะบั้นควันธูปสายบุ๋นของผู้อื่น ควรจะลงมือในด้านของความรู้ ควรจะเริ่มจากการเลือกของปวงประชาและแผ่นดิน ไม่ควรใช้กำลังสยบผู้อื่น ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง อาศัยข้ออ้างมาท้าทายเสินจวินผู้เฒ่าที่อริยะสี่ท่านให้การยอมรับ สังหารคนหนุ่มคนหนึ่งที่ ‘มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง’ อย่างกำเริบเสิบสาน ไม่สอดคล้องกับหลักการ ไม่สอดคล้องกับมารยาท!”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้ามองไปถึงผลงานยิ่งใหญ่พันปี มองไปถึงชะตาสายบุ๋นหมื่นปี”
บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนส่ายหน้าเบาๆ ไม่เอ่ยอะไรอีก
ซิ่วไฉเฒ่านั่งแปะลงบนริมขอบช่องโพรงของกำแพงที่ปริแตก “จะพูดกันด้วยเหตุผลหรือไม่ ใครจะเป็นคนพูดถึงเหตุผลนี้ คนอื่นจะฟังหรือไม่ แต่บางเหตุผลก็ยังคงอยู่ พวกเจ้าไม่เข้าใจ”
น้ำเสียงเย็นชาใสกระจ่างดังขึ้นจากด้านหลัง “พูดจบแล้ว?”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ ห่อไหล่สองข้าง เอาฝ่ามือทั้งสองวางทับซ้อนกันบนหัวเข่า พูดอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “พูดจบแล้ว เดินทางมาไกลขนาดนี้ แถมยังต้องปกปิดลมปราณของเจ้ามาตลอดทาง มาถึงยังต้องพูดพล่ามไร้สาระอีกตั้งมากมาย ไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว ปรมาจารย์มหาปราชญ์ หลี่เซิ่ง เหล่าซาน หลักการเหตุผลดีๆ ทั้งหลายที่พวกเขาศึกษาใคร่ครวญออกมาอย่างยากลำบาก ข้าว่าคงต้องเอากลับคืนให้แก่ฟ้าดินแห่งนี้ อย่าไปแตะต้องจะดีกว่า”
สตรีชุดขาวร่างสูงใหญ่วางร่างเฉินผิงอันลงเบาๆ ลุกขึ้นยืน เดินเอื่อยเฉื่อยมาหยุดอยู่ข้างกายซิ่วไฉเฒ่า “ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่ข้าต้องพูดเหตุผลของข้าบ้างแล้ว บอกไว้ก่อนว่า หากเจ้ากล้าขัดขวาง แม้แต่เจ้าข้าก็จะ…”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “ไม่ขวางหรอก เป็นเพราะตาแก่อย่างข้าไร้ความสามารถ ถึงทำร้ายให้เสี่ยวฉีต้องร่างมอดม้วยมรรคาสลาย ถึงทำร้ายให้ผิงอันน้อยต้องประสบเคราะห์กรรมครั้งนี้ เป็นข้าที่ผิดต่อลูกศิษย์ทั้งสองคน คนบางคนอยากจะกินอาจม ข้าขวางไว้ไม่อยู่ แล้วข้าจะต้องขวางเจ้าที่มีเหตุผลไปทำไม?”
ตู้เม่าที่ยืนมองเรื่องสนุกอยู่ที่เดิมตลอดเวลาพูดด้วยรอยยิ้ม “ทำไม เจ้าก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เก็บตัวอย่างสันโดษเหมือนกันหรือ? ขอบเขตเซียนเหริน? คงไม่ใช่ขอบเขตบินทะยานที่วิ่งมาจากภูเขาห้อยหัวหรอกกระมัง?”
บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนมีสีหน้าประหลาด ชำเลืองตามองผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่อยู่ทางทิศใต้แวบหนึ่ง ฝ่ายหลังมีสีหน้าเครียดขรึม เห็นได้ชัดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับนาง เขารู้สึกกดดันยิ่งกว่าตอนเผชิญหน้าซิ่วไฉเฒ่าอดีตเหวินเซิ่งมากนัก
สตรีชุดขาวหาวหวอด เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทะยานดิ่งเป็นเส้นตรงลงมาด้านล่างของกำแพงแล้วเดินมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
ตรงเอวห้อยกระบี่โบราณที่ไร้ฝักและไร้ด้าม สนิมขึ้นเกรอะกรัง มีเพียงส่วนปลายกระบี่ที่แหลมคมเพราะถูกขัดเกลาให้เกิดประกายเจิดจ้า
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อพูดเสียงหนัก “หากเจ้ากล้าลงมือก็เท่ากับทำลายกฎของฟ้าดินแห่งนี้!”
สตรีชุดขาวเดินมาข้างหน้าเนิบช้า ยกมือตบปากตัวเองเบาๆ ราวกับคนที่เพิ่งตื่นนอน
กระบี่โบราณเล่มนั้นถูกผูกไว้ตรงเอวไม่แน่นหนานัก เมื่อนางเยื้องย่างก้าวเดิน ปลายกระบี่ก็แกว่งไกวเบาๆ แสงกระบี่สีขาวหิมะเปล่งวูบวาบไม่หยุดนิ่ง
ตู้เม่าใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว หดมือไว้ในชายแขนเสื้อ คิดจะอนุมานความลับสวรรค์ แต่พลันค้นพบว่าฟ้าดินแถบนี้ถูกคนร่ายตราผนึกเอาไว้ ไม่อาจอนุมานประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของสตรีร่างสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าได้อีก
ระหว่างที่นางเดินมาข้างหน้าก็หันไปพูดกับบุรุษวัยกลางคนว่า “เห็นแก่ไม่กี่ประโยคที่เจ้าพูดมา ออกไปซะ!”
บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนขมวดคิ้วน้อยๆ แต่กลับสังเกตเห็นว่าซิ่วไฉเฒ่ากำลังโบกมือให้เขา หลังจากลังเลเล็กน้อยก็สลายร่างไปจาก ‘ฟ้าดินขนาดเล็ก’ ที่เป็นดั่งเสากลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา
สายตาของนางเหลือบมองไปทางทิศใต้เล็กน้อย ชำเลืองตามองผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบปีผู้นั้น “ไสหัวออกไป”
คราวนี้ซิ่วไฉเฒ่าไม่ทำท่าทางใดๆ อีก
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อซักถาม “เจ้าคิดจะงัดข้อกับมหามรรคาของใต้หล้าแห่งนี้จริงๆ หรือ?”
สตรีร่างสูงใหญ่เอียงศีรษะ ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมากดลงบนปลายกระบี่โบราณเบาๆ “ขัดเกลามาได้เล็กน้อยแค่นี้ แต่หากคิดจะผ่าภูเขาห้อยหัวทั้งลูกก็น่าจะได้อยู่ ถ้าอย่างนั้นให้ข้าเป็นคนเปิดประตูระหว่างใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วกัน”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง “ไม่ได้นะ!”
นางมีอารมณ์มาสนใจเจ้าหมอนี่เสียที่ไหน
ผลักกระบี่โบราณออกมาเบาๆ หนึ่งที
แสงหนึ่งพุ่งวูบออกไป
ม่านฟ้าของฟ้าดินที่เป็นดั่งเสาหินกลางแม่น้ำแห่งนี้ถูกฟันให้เกิดช่องโพรงขนาดใหญ่ กระบี่บินพุ่งตรงไปยังภูเขาห้อยหัว พริบตาเดียวก็ห่างไปหมื่นลี้และอีกหมื่นลี้
ซิ่วไฉเฒ่าไม่แยแสแม้แต่น้อย
ถึงอย่างไรเขาก็คือบัณฑิตผู้ไม่เคยสนใจสิ่งใด ซึ่งปีนั้นก่อนจะได้เป็นอริยะก็วิ่งไปบนม่านฟ้า ตะโกนคอยืดคอยาวบอกให้เต๋าเหล่าเอ้อร์ฟันกระบี่ลงมาที่นี่
บนน่านน้ำมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ระหว่างนาตยทวีปกับใบถงทวีป ผู้ฝึกกระบี่ผู้หนึ่งที่ตีตัวออกห่างจากโลกมนุษย์พลันเงยหน้าขึ้นมอง
พริบตานั้นเห็นเพียงว่าทะเลใหญ่ห่างออกไปพันลี้เบื้องหน้าคล้ายถูกกระบี่บินเล่มหนึ่งฟันออกเป็นสองท่อน คลื่นยักษ์สูงราวขุนเขาที่กำลังกดทับลงมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ไม่เป็นกังวลกับพลังอำนาจของคลื่นเหล่านี้แม้แต่น้อย เพียงพวกมันขยับเข้ามาใกล้ร่างเขาในรัศมีร้อยลี้ก็ระเบิดแตกด้วยตัวเอง ทว่าพลังอำนาจของกระบี่บินเล่มนั้นต่างหากที่ทำให้เขาอกสั่นขวัญผวาเล็กน้อย
ใต้หล้าไพศาลมีผู้ฝึกกระบี่แบบนี้ด้วยหรือ?
อาเหลียงถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์ต่อยกลับลงมาอีกหรือไร?
ทว่าตอนนี้อาเหลียงยังไม่มีกระบี่แบบนี้กระมัง? และในความเป็นจริงแล้วตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขาก็ไม่เคยได้ครอบครองกระบี่เช่นนี้
กระบี่สี่เล่มที่ดีที่สุดในใต้หล้าทั้งสี่แห่ง เล่มหนึ่งอยู่ในมือของเทียนซือใหญ่แต่ละสมัยของจวนเทียนซือทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เล่มหนึ่งห้อยอยู่ตรงเอวของบัณฑิตที่บอกว่าตัวเอง ‘โง่เขลาไร้พรสวรรค์ ไม่อาจได้ครอบครองความรู้อันเลิศล้ำของลัทธิเต๋า’ ทว่าหนึ่งกระบี่ของเขากลับฟันผ่าแม่น้ำหวงเหอพุ่งตรงสู่ชั้นฟ้า เล่มหนึ่งอยู่ในมือของเต๋าเหล่าเอ้อร์ หลังจากที่อาเหลียงไปจากภูเขาห้อยหัว ว่ากันว่าไปตามหากระบี่เล่มสุดท้ายที่ ‘พลังพิฆาตสูงเหนือนอกฟ้า’ เล่มนั้น! เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด อาเหลียงที่คู่ควรกับกระบี่เล่มนั้นมากที่สุดในใต้หล้า ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับต้องกลับมามือเปล่า บินทะยานไปยังฟ้านอกฟ้า
เขาไม่ได้ไล่ตามกระบี่บินที่พลังสังหารไร้ที่สิ้นสุดนั้นไป แต่พลันสะดุ้งคืนสติ รีบมุ่งหน้าตรงไปยังทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปทันที
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อชี้หน้าหญิงสาวร่างสูงใหญ่ พูดอย่างเดือดดาล “เจ้าบ้าไปแล้ว!”
นางยังคงเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า
ตู้เม่ากลืนน้ำลาย “ในเมื่อเจ้าโยนกระบี่ทิ้งไปแล้ว ยังจะต่อสู้สุดชีวิตกับข้าอีกจริงๆ หรือ?”
นางคล้ายได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในใต้หล้า “สู้สุดชีวิต? เจ้าคงไม่รู้เรื่องเก่าแก่ปีมะโว้เรื่องหนึ่ง ถึงอย่างไรเจ้าก็อายุยังน้อย ข้าไม่โทษเจ้าหรอก”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันหัวเราะก๊าก เรียกได้ว่าหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง “ปลาวาฬกลืนสมบัติตัวที่ใหญ่ที่สุดในยุคบรรพกาลตัวนั้นถูกใครฆ่า เจ้ารู้หรือไม่?! ข้ารู้ แต่ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”
นางเดินเป็นแนวเส้นตรงอย่างนี้จนกระทั่งไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเทพเซียนขอบเขตบินทะยาน ระยะห่างพอๆ กับตำแหน่งที่ตู้เม่ายืนอยู่หน้าเจิ้งต้าเฟิงก่อนหน้านี้
เพียงแต่เพราะสตรีชุดขาวร่างสูงใหญ่ ดังนั้นนางจึงต้องหลุบตาลงต่ำ มองตาแก่หนังเหนียวสมควรตายผู้นี้ด้วยสายตาเย็นชา “ไม่สู้เจ้าลองบังคับอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตชิ้นนี้ของเจ้าดู? ข้าจะยืนอยู่นิ่งๆ ไม่โกหกเจ้าหรอก”
“นังผู้หญิงบ้า เจ้ารนหาที่ตาย!”
ตู้เม่าระเบิดเสียงคำรามอย่างคลั่งแค้น ร่างโฉบวูบออกไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าเรือกลืนกระบี่กลับเป็นดั่งสายฟ้าแลบที่พุ่งแทงเข้าสู่ศีรษะของหญิงประหลาด
เดิมทีก็ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว อีกทั้งยังเป็นอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่ง
ทว่าจิตใจของตู้เม่ากลับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ส่วนผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อกลับเริ่มหนังตากระตุก
เห็นเพียงว่าเรือกลืนกระบี่ลำนั้นตัวสั่นสะท้านหยุดนิ่งอยู่หน้าหว่างคิ้วของนาง เต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่เกิดจากสัญชาตญาณ รวมไปถึงความเศร้าโศกระคนแค้นเคืองที่มีต่อเจ้านายอย่างตู้เม่า
สตรีร่างสูงใหญ่ยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง แล้วชี้ลงด้านล่าง “เด็กดี อย่ามาอยู่ให้เกะกะสายตา ขยับลงไปข้างล่างหน่อย”
เรือกลืนกระบี่เริ่มลดระดับลงต่ำอย่างว่าง่ายจริงๆ สุดท้ายหยุดอยู่ข้างเท้าของนาง ผลกลับกลายเป็นว่าถูกนางที่พูดอย่างมีโทสะเตะกระเด็น “ไม่รู้จักจำ”
ตู้เม่ายื่นนิ้วออกมาเช็ดมุมปากอย่างเคยชิน คู่ต่อสู้ที่คุ้นเคยกับ ‘ผู้เฒ่าวิปริตของสำนักใบถง’ เป็นอย่างดีจะรู้ว่า เมื่อตู้เม่าทำท่าทางเช่นนี้ แสดงว่าเขาเตรียมจะสู้สุดชีวิตแล้ว
สตรีร่างสูงใหญ่ถอนหายใจ พูดกับตู้เม่าว่า “เจ้าโชคดีไม่น้อย แค่ถูกทำลายวัตถุแห่งชะตาชีวิตไปชิ้นหนึ่ง เดิมทีกระบี่เมื่อครู่นี้ของข้าควรมอบให้เจ้า แต่ว่ารอให้คราวหน้าข้าไปปรากฏตัวที่ใบถงทวีป เจ้าคงไม่โชคดีแบบนี้อีกแล้ว”
และเวลานี้เอง ตรงช่องโหว่ที่เปิดอ้าระหว่างฟ้าดินก่อนหน้านี้ก็มีมือใหญ่จากชายแขนเสื้อสีเขียวยื่นออกมาข้างหนึ่ง สองนิ้วคีบกระบี่โบราณเล่มนั้นเอาไว้ มือนั้นสั่นเทา ชายแขนเสื้อพลิกตลบปั่นป่วน
เห็นได้ชัดว่าต่อให้แค่ควบคุมกระบี่โบราณที่ปลายกระบี่ถูกขัดเกลาให้แหลมคมส่วนเดียวเล่มนี้ไว้ชั่วคราว ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องง่ายดายนัก
น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยบารมีดังจากฟ้าดินด้านนอกเข้ามาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ “เหลวไหล คราวหน้าห้ามทำอีก”
สตรีร่างสูงใหญ่หันหน้ามองไป “ทำไม ต้องการให้ข้าถือกระบี่ก่อนแล้วค่อยปล่อยกระบี่ออกไปอีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นข้าจะเปิดทางให้ใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้ามืดสลัวเชื่อมโยงกันดีไหม?”
นางกวักมือหนึ่งครั้ง กระบี่โบราณก็หลุดพ้นจากการควบคุมของมือข้างนั้น แล้วถูกนางกุมไว้ในมือ
เจ้าของมือข้างนั้นไม่ได้เผยกาย แต่สะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง ลมเย็นในชายแขนเสื้อมารวมตัวกันเหมือนสายน้ำที่กลิ้งซัดตลบ ตรงเข้ามาห่อหุ้มผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบไว้ภายใน แล้วพูดว่า “ตามข้าไปที่ศาลบุ๋น ปิดประตูทบทวนตัวเอง”
ซิ่วไฉเฒ่าจุ๊ปาก “คราวนี้แม้แต่หัวหมูเย็นๆ ก็ไม่ได้กินแล้ว”
คนผู้นั้นแค่นเสียงเย็นคล้ายพูดกับซิ่วไฉเฒ่า “เรื่องในวันนี้ ซิ่วไฉเฒ่าเจ้าเป็นคนเก็บกวาดซะ ทางฝ่ายของศาลบุ๋นจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก”
ซิ่วไฉเฒ่าเต้นผาง โวยวายเสียงดังสนั่น “ข้าผู้อาวุโสไม่ยอม! เอาผลประโยชน์มาให้ด้วย! ไม่อย่างนั้นคอยดูเถอะว่าข้าจะไปเยือนศาลบุ๋น นอกจากรูปปั้นของตาเฒ่าแล้ว รูปปั้นเจ็ดสิบกว่าองค์ที่เหลืออยู่ซึ่งรวมถึงของหลี่เซิ่งและของเจ้าจะถูกย้ายออกไปหมด จากนั้นค่อยย้ายรูปปั้นของข้าเข้าไป ถึงอย่างไรเดิมทีตาเฒ่าก็ถูกชะตากับข้าที่สุดอยู่แล้ว…”
หลังจากที่คนผู้นั้นเก็บผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อไว้ในชายแขนเสื้อแล้วก็ถอนหายใจหนึ่งที “เอาไป”
เพียงขาดคำ
ช่องโพรงบนม่านฟ้าของฟ้าดินขนาดเล็กก็หุบเข้าหากัน มีเพียงแผ่นหยกสีทองแผ่นหนึ่งที่ปลิวลงมา แต่กลับไม่ใช่ ‘ผู้มีคุณธรรมได้รับความช่วยเหลือมากมาย’ ของผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อเฒ่า แต่เป็นแผ่นหยก ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ ของบุรุษวัยกลางคนแทน
ซิ่วไฉเฒ่ารับมาไว้ในมือแล้วถึงได้กล่าวอย่างพึงพอใจ “คราวนี้ถือว่ายังพอยุติธรรม พอจะมีความดีเล็กๆ อยู่บ้าง”
ดูเหมือนคำว่า ‘ความดีเล็กๆ’ จะทำให้คนผู้นั้นโมโห เขาไม่ได้กลับไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางทันที แต่กลับทิ้งปราณแห่งความเที่ยงธรรมที่มหาศาลขุมหนึ่งไว้นอกฟ้าดินขนาดเล็ก ซิ่วไฉเฒ่ายืดคอตะเบ็งเสียง “ทำไม เจ้าเองก็ไม่ยอมเหมือนกันหรือ? ไม่อย่างนั้นให้ข้าพูดถึงศึกตรีจตุครั้งนั้นกับเจ้าดีไหมว่าทำไมข้าถึงได้แพ้? เป็นเพราะความรู้ของเจ้าสูงกว่าข้าจริงๆ งั้นหรือ? หากไม่เป็นเพราะในบรรดาลูกศิษย์ของข้าคือฉีจิ้งชุน คือจั่วโย่ว…”
ในขณะที่ดูเหมือนว่าซิ่วไฉเฒ่ากำลัง ‘พูดจาเหลวไหล’ เขากลับสะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง งอเข่าลงเล็กน้อย ทำท่าจะนั่งถกปัญหาอย่างจริงจัง
มีเพียงอริยะลัทธิขงจื๊อและเซียนห้าขอบเขตบนในแผ่นดินกลางเท่านั้นที่เคยเห็นและเคยได้ยินความรู้ของคนบางคนในปีนั้นมากับหูและกับตาตัวเองว่าประหนึ่งดวงตะวันกลางนภาขนาดไหน สามารถกดกำราบเหล่าอริยะของสองลัทธิอย่างเต๋าและพุทธได้อย่างไร!
ต่อให้เป็นชุยฉานราชครูต้าหลีที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพบุรุษ เวลาพูดถึงประวัติศาสตร์ฝุ่นเกาะช่วงนี้ก็ยังมีสีหน้าฮึกเหิม
คนผู้นั้นจากไปทันที
ซิ่วไฉเฒ่าหยุดการกระทำข่มขู่คนอื่นลง ถลึงตามองท้องฟ้าอยู่ครู่ใหญ่ เห็นว่าไม่มีความเคลื่อนไหว น่าจะไปจริงๆ แล้วถึงได้กัดแผ่นหยกสีทองแผ่นนั้น “โอ้โห ของจริงซะด้วย ถือว่าพอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง น้ำลายอ่างใหญ่นี้ของข้าไม่เสียเปล่าแล้ว”
ออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูคราวนี้ หลังจากที่สตรีร่างสูงใหญ่ถือกระบี่โบราณไว้ในมือตามความหมายที่แท้จริงเป็นครั้งแรกก็พูดกับตู้เม่าด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะโชคร้ายกว่าที่ข้าคิดเอาไว้”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “รังเกียจที่ขอบเขตบินทะยานทำอะไรได้ไม่เต็มที่นักไม่ใช่หรือ เล่นงานให้ขอบเขตเขาถดถอยลงมาที่ขอบเขตหยกดิบ หรือไม่ก็ขอบเขตก่อกำเนิดเสียเลย เขาอยากไปที่ไหนก็จะได้ไปที่นั่น! คิดจะทำลายควันธูปสายบุ๋นของข้าไม่ใช่หรือ? ฮ่าๆ คราวนี้เดินมาชนตอเข้าอย่างจังแล้วไง ไม่ถูกสิไม่ถูก ต้องบอกว่าเดินมาเตะกระบี่โบราณเล่มหนึ่งเข้าอย่างจัง ตู้เม่า โชคชะตาของเจ้านี้ เป็นเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวในรอบหมื่นปีจริงๆ วันหน้าออกจากบ้านยังสามารถเอาไปคุยอวดคนอื่นได้…”
สตรีร่างสูงใหญ่หันหน้ากลับมา หรี่ดวงตาที่คมกริบลง กล่าวว่า “ดูแลเจ้านายของข้าให้ดี!”
ซิ่วไฉเฒ่าทำคอย่น “วางใจเถอะ ข้าเองก็เป็นห่วงผิงอันน้อยไม่น้อยไปกว่าเจ้าหรอก”
ตู้เม่าม้วนชายแขนเสื้อขึ้น พูดเนิบช้า “ไม่มีเรือกลืนกระบี่ แต่ข้ายังคงเป็นขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง!”
ซิ่วไฉเฒ่ากระตุกมุมปาก โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เปิดม่านฟ้าของฟ้าดินขนาดเล็กที่อยู่เหนือศีรษะของตู้เฒ่าออก ให้ตู้เม่าได้เห็นฟ้าดินของใต้หล้าไพศาลอีกครั้ง
ในที่สุดตู้เม่าก็เริ่มเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ การที่ขอบเขตบินทะยานหดหัวอยู่ในกระดองไม่ยอมออกมาจากถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล นอกจากจะเป็นเพราะง่ายต่อการชักนำให้โชคชะตาของฟ้าดินวุ่นวาย และยังถูกกฎเกณฑ์ของลัทธิขงจื๊อพันธนาการแล้ว ยังเป็นเพราะตัวของพวกเขาเองไม่กล้าเผยโฉมหน้าง่ายๆ ด้วยกลัวจะชักนำให้มหามรรคาพุ่งตรงมาบดขยี้!
สตรีร่างสูงใหญ่วางกระบี่พาดขวางไว้เบื้องหน้า พูดอย่างเฉยเมยว่า “ปิดลง”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับแล้วปิดช่องโหว่บนม่านฟ้าลงอีกครั้งจริงๆ
คราวนี้ตู้เม่าถึงเริ่มตระหนกลนขึ้นมาบ้างแล้ว เพียงแต่ว่าแววดุร้ายบนใบหน้ากลับไม่ลดน้อยลง “ในเมื่อให้ความสำคัญกับคนหนุ่มผู้นั้นขนาดนี้ เจ้าจะยอมตัดใจแลกตบะกับข้าได้ลงจริงๆ หรือ?”
สตรีร่างสูงใหญ่พูดกลั้วหัวเราะ “ตอนนี้เริ่มคุยกับข้าด้วยเหตุผลแล้วรึ?”
ผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ
ตู้เม่าเดินทางขึ้นเหนือในครั้งนี้มีจุดประสงค์อยู่สามอย่าง มีโอกาสจะสะบั้นควันธูปสายของเหวินเซิ่ง แล้วถือโอกาสขอความรู้จากกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วสักหน่อย สองคือมีคนคิดจะหยั่งเชิงขีดจำกัดของเสินจวินเฒ่าของถ้ำสวรรค์หลีจูผู้นั้น สามก็เพื่อให้สำนักใบถงแทรกซึมเข้ามาในแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป
ตอนนี้เขาทำสำเร็จไปสองเป้าหมายแล้ว ข้อแรกจะมีหรือไม่มีก็ได้ เดิมทีเขาก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ ไม่จำเป็นต้องเผาผลาญตบะของตัวเองเพื่อสิ่งนี้
การฝึกตนบนภูเขา เคารพในผู้แข็งแกร่ง
อย่างน้อยที่สุดเขาตู้เม่าก็ยึดมั่นในความคิดนี้มาโดยตลอด
ผู้ชนะเรืองอำนาจ ผู้ชนะตนเองบรรลุมรรคา
ข้อแรกคือของจริงแท้แน่นอน หากได้เข้ามาอยู่ในกระเป๋าย่อมสบายใจ ส่วนข้อหลัง ในสายตาของตู้เม่าคือคำพูดเหลวไหลที่ยิ่งใหญ่แต่กลับไม่อาจเป็นจริงได้ ขอแค่ตายอยู่บนมหามรรคา ต่อให้จะคู่ควรกับคำว่าสละตนเพื่อคุณธรรม แต่สุดท้ายก็ยังตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
นางกำกระบี่โบราณเล่มนั้นเบาๆ “ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้านายของข้าอยู่ต่อหน้าเจ้า เจ้าได้ใช้เหตุผลพูดคุยกับเขาหรือไม่?”
ตู้เม่าสมกับเป็นคนถ่อยอย่างแท้จริง “ตบะของเขาในตอนนี้ก็คือเศษสวะคนหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะต้องการล่อให้ผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วปรากฎตัว เขายังไม่มีคุณสมบัติจะพูดกับข้าแม้แต่คำเดียวด้วยซ้ำ แต่เจ้ามี!”
สตรีร่างสูงใหญ่มือหนึ่งถือกระบี่ มือหนึ่งยกขึ้นทำสัญญาณมืออย่างหนึ่ง
ซิ่วไฉเฒ่าหยิบม้วนภาพวาดแม่น้ำและภูเขาม้วนนั้นออกมาอย่างน่าสงสาร “อย่ารุนแรงนักล่ะ”
พอตู้เม่าเห็นม้วนภาพวาดที่ไม่ธรรมดาม้วนนั้นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เก็บอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตที่ไม่มีพื้นที่ให้ใช้กลับเข้าไปในช่องโพรงลมปราณ ขณะเดียวกันก็ร่ายกายธรรมร่างทอง ไหล่ข้างหนึ่งชนกระแทกให้ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้เปิดอ้า แล้วบินทะยานไปทางทะเลทิศใต้
นางไม่ได้ไล่ตามไป
ซิ่วไฉเฒ่าคลี่ยิ้มแล้วโยนม้วนภาพวาดนั้นออกไปอย่างง่ายๆ
ร่างของสตรีสูงใหญ่หายไปตามหลังกายธรรมร่างทองของตู้เม่า
จากนั้นม้วนภาพภูเขาและแม่น้ำก็มาลอยอยู่ตรงหน้าซิ่วไฉเฒ่า ส่วนฟ้าดินขนาดเล็กในนครมังกรเฒ่าแห่งนี้ก็ปิดประกบเข้าหากันอย่างไร้รอยต่ออีกครั้ง นอกนครมังกรเฒ่า นอกจากหมัวมัวผู้อบรมมารยาทที่พอจะกะพริบตาได้เล็กน้อยแล้ว คนอื่นๆ ล้วนยังอยู่ในสภาพแน่นิ่งไม่ขยับ
บนม้วนภาพมีเสียงผ้าฉีกขาดดังขึ้นมาเป็นระลอก เป็นกายธรรมร่างทองของตู้เม่าที่พยายามดันให้ฟ้าดินของม้วนภาพอ้าขยาย และยิ่งเป็นเพราะถูกกระบี่แล้วกระบี่เล่าพุ่งแหวกอากาศมาโดน
ทำเอาซิ่วไฉเฒ่าที่มองดูอยู่เจ็บปวดหัวใจอย่างถึงที่สุด
เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ซิ่วไฉเฒ่าที่พอจะแน่ใจได้แล้วจึงงอนิ้วเคาะไปมุมหนึ่งของม้วนภาพ จากนั้นก็เก็บม้วนภาพไว้ในชายแขนเสื้อ
สตรีร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากความว่างเปล่าช้าๆ กระบี่โบราณห้อยอยู่ที่เอว ปลายกระบี่เล็กๆ ที่ถูกลับจนแหลมคมหม่นแสงลงหลายส่วน
นางอ้าปากหาว ในมือลากขาข้างหนึ่งมาด้วย
ตู้เม่าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานของใบถงทวีปถูกนางกระชากลากถูออกมาจากม้วนภาพวาดเหมือนหมาตายตัวหนึ่งทั้งอย่างนี้
นางเอ่ยถาม “เพียงแต่ว่าเจ้านี่…ชื่ออะไรแล้วนะ?”
ซิ่วไฉเฒ่าเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ตู้เม่า ใบถงทวีปนอกจากนักพรตเฒ่าตงไห่แล้วก็คือเขาที่แข็งแกร่งที่สุด”
นางร้องอ้อหนึ่งที โยน ‘ศพ’ นั้นไว้ด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ “เขาพอจะมีวิชาอภินิหารนอกรีตติดตัวอยู่บ้าง วินาทีที่กระแทกชนให้ม่านฟ้าเปิด จิตหยินก็น่าจะกลับคืนสู่ตำแหน่งแล้ว ศพนี้เป็นเพียงแค่…กายนอกกายของจิตหยางใครสักคนเท่านั้น”
ซิ่วไฉเฒ่ากระจ่างแจ้งทันควัน “เป็นเพียงกายนอกกายเท่านั้นหรือ มิน่าเล่าคนของลัทธิขงจื๊อที่พิทักษ์แผ่นฟ้าถึงได้ยอมพยักหน้าตอบรับ หากพวกเราไม่ได้โวยวายจนเกิดเรื่องครั้งนี้ เกรงว่าคงพอจะอุดปากสถานศึกษาให้ผ่านไปได้”
เพียงแต่ไม่นานซิ่วไฉเฒ่าก็ทำสีหน้าจนคำพูด “แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ตู้เม่าก็มีตบะขอบเขตสิบสองไม่ใช่หรือ”
นางนั่งขัดสมาธินั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน โอบกอดเฉินผิงอันไว้ในอ้อมกอดอย่างระมัดระวังอีกครั้ง นางเงยหน้ามองทิศไกล เอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “อยู่ต่อหน้ากระบี่ของข้า สิบสอง สิบสาม ต่างกันตรงไหนหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าถามเสียงเบา “เรือกลืนกระบี่ลำนั้นล่ะ?”
นางตอบอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ข้าสลายพันธนาการที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของมันเอาไว้แล้ว ปล่อยให้จิตหยางของเขาใช้อาวุธชิ้นนี้ จากนั้นข้าก็ทำลายจนระเบิดแตก ไม่อย่างนั้นข้าก็ออกมาตั้งนานแล้ว ข้าก็แค่อยากรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘อาวุธเซียน’ ในทุกวันนี้ ร้ายกาจแค่ไหนกันแน่”
ซิ่วไฉเฒ่าปาดเหงื่อบนหน้าผาก “ตัวเจ้าล่ะเป็นอย่างไร?”
สตรีร่างสูงใหญ่ก้มหน้าลงเพ่งพิศดวงหน้าของคนหนุ่มที่ค่อนข้างจะซีดขาวราวกับกำลังตกอยู่ในฝันร้าย แม้ว่าจะถูกซิ่วไฉเฒ่าช่วยหยุดอาการบาดเจ็บไว้ก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังทุกข์ทรมาน นางยื่นนิ้วออกมานวดคลึงตรงหว่างคิ้วของเขาเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หน้าผาหินกลางภูเขาใหญ่ของถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้น คือการแข็งตัวของปณิธานกระบี่เจ้านายคนเดิมข้า ซึ่งเดิมทีก็คือของของข้า เพียงแต่ว่าผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว ข้าคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ ภายหลังข้าทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ กับหร่วนอะไรสักอย่างนั่น เขาจึงยึดครองแท่นสังหารมังกรก้อนนั้นไปสามส่วน”
ซิ่วไฉเฒ่าชำเลืองตามองปลายกระบี่ของกระบี่โบราณที่ห้อยอยู่ตรงเอวนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าจึงใช้แท่นสังหารมังกรของหร่วนฉงมาลับกระบี่?”
นางเอ่ยอย่างเฉยเมย “ใช้แถบของภูเขาเจินอู่ แถบของหร่วนฉงนี้ต้องเก็บไว้ให้ผิงอันน้อยของข้า”
ซิ่วไฉเฒ่าเหงื่อไหลราวกับฝนตก
นางมองไปทางทิศใต้ “เรื่องนี้ยังไม่จบ”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “อย่า อย่าเด็ดขาดเชียว ยังไม่จบก็ยังไม่จบ แต่เจ้าจะลงมืออีกไม่ได้แล้ว ปล่อยให้ข้าจัดการเถอะ ทำอย่างนี้ก็เพราะหวังดีต่อผิงอันน้อย”
นางพยักหน้ารับ “ข้ากลับไปคราวนี้คงออกมาไม่ได้ชั่วคราว หากออกมาคราวหน้าแล้วพบว่าคำว่าหวังดีของเจ้า ดีแค่นิดเดียว ข้าจะไปหาเจ้า เจ้าน่าจะรู้ดีว่า เมื่อเจ้ากับมหามรรคาของใต้หล้าไพศาลผสานรวมเป็นหนึ่ง บนโลกนี้มีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถสังหารเจ้าได้”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะแห้งๆ “พวกเราเป็นคนกันเองนี่นา จะต้องทำท่าดุร้ายแบบนี้ไปไย?”
สตรีร่างสูงใหญ่ที่ชายแขนเสื้อสีขาวโบกไสวแม้ไร้ลม ส่ายหน้า “เดิมทีก็ดีอยู่หรอก แต่เป็นเพราะเจ้ายืนกรานจะรับเขาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายให้ได้ ถึงได้มีหายนะอย่างในวันนี้ หากไม่ถือว่าเป็นคนกันเองครึ่งตัว เจ้าก็คือคนแรกที่ต้องตาย”
ซิ่วไฉเฒ่าถลึงตาใส่ “อย่าพูดจาใส่อารมณ์อย่างนี้สิ อีกอย่าง เจ้ากล้าพูดจาเหลวไหลแบบนี้ต่อหน้าเจ้านายของเจ้าด้วยหรือ?”
นางตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่พูด แต่จะแอบทำ ถึงเวลานั้นเฉินผิงอันจะยอมรับข้าหรือไม่ เขาก็ยังเป็นเจ้านายของข้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
ซิ่วไฉเฒ่าบื้อใบ้พูดไม่ออก
นางกวักมือหนึ่งครั้ง หลังจากของขวัญชิ้นเล็กที่นางมอบให้เฉินผิงอันในปีนั้นแตกออก ก็มีก้อนหินสีดำรูปทรงยาวสามก้อนร่วงลงมาจากข้างใน ล้วนเป็นแท่นสังหารมังกรที่ผู้ฝึกกระบี่ในโลกใฝ่หาแม้ในยามหลับฝัน ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ก้อนเล็กเหมือนไม้บรรทัด ก้อนใหญ่เหมือนแผ่นอิฐที่ปูลงบนพื้นของพระราชวัง นางส่งตัวเฉินผิงอันให้แก่ซิ่วไฉเฒ่า “ข้าจะออกไปจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างขลาดๆ “มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน”
คราวนี้สตรีร่างสูงใหญ่ไม่ได้เดินหายไปที่ไหน นางแค่ก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว มาหยุดอยู่ตรงหน้าคนบางคน
ก็คือหมัวมัวผู้อบรมมารยาทซึ่งเป็นเซียนกระบี่ก่อกำเนิดท่านนั้น
สตรีร่างสูงใหญ่ยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว กระชากดึงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมาจากช่องโพรงหัวใจของหมัวมัวผู้อบรมมารยาท สองนิ้วคีบไว้ตรงหัวและปลายของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้น ออกแรงเล็กน้อยก็บีบให้กระบี่บินโค้งงอ
ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ สายตาของหญิงชราที่ร่างกายมิอาจขยับเขยื้อนได้เต็มไปด้วยแวววิงวอน
สตรีร่างสูงใหญ่เบี่ยงหน้ามามอง “ขอร้องข้า? ไม่อย่างนั้นก็ทำเหมือนเจ้านายข้า พูดเหตุผลที่ถูกต้องให้ข้าฟัง แล้วข้าจะรับปากว่าจะไม่บีบกระบี่บินเล่มนี้ให้หัก”
นี่เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะใช้เหตุผลแล้ว
รออยู่ครู่หนึ่ง หมัวมัวผู้อบรมมารยาทของสกุลเจียงอวิ๋นหลินผู้นี้จะไปหาวิชาอภินิหารขอบเขตเซียนเหรินจากที่ไหนมาทำให้ตัวเองเอ่ยคำพูดในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ได้ ดังนั้นสตรีร่างสูงใหญ่จึงเพิ่มแรงขึ้นอีก กระบี่โค้งงอมากขึ้นทุกที เสียงเปาะหนึ่งทีก็หักครึ่ง
เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของหมัวมัวผู้อบรมมารยาท โอสถทองเกิดรอยปริร้าว ทารกก่อกำเนิดก็ยิ่งร้องโหยหวนไม่หยุด
สตรีร่างสูงใหญ่หลุดหัวเราะพรืด “อันที่จริงข้าชอบหลักการเหตุผลของพวกเจ้ามาโดยตลอด ฉวยโอกาสตอนที่ผิงอันน้อยของข้ายังไม่ฟื้นขึ้นมา ข้าต้องรีบทำก่อนแล้วค่อยบอกทีหลัง เพราะวันหน้าอาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว”
พอนางพูดจบก็บินทะยานเป็นเส้นตรงขึ้นไปบนทะเลเมฆที่ลอยอยู่เหนือนครมังกรเฒ่า
ฟ่านจวิ้นเม่าหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวยังคงค้างอยู่ในท่านั่งประหลาดนั้น พอเงยหน้าขึ้น สายตาก็ฉายประกายเร่าร้อน อีกทั้งจิตใจยังเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง ประโยคแรกของฟ่านจวิ้นเม่าก็คือ “ข้าไม่รู้มาก่อนว่าคนหนุ่มผู้นั้นคือเจ้านายคนใหม่ของเจ้า!”
หญิงสาวสูงใหญ่ห้อยกระบี่โบราณไว้ตรงเอว ยืนอยู่ตรงหน้าฟ่านจวิ้นเม่า ถามด้วยรอยยิ้ม “คนไม่รู้คือคนไม่ผิด?”
ฟ่านจวิ้นเม่าส่ายหน้า “ไม่รู้ก็คือผิดมหันต์ ข้ายอมรับผิด!”
สตรีสูงใหญ่ยื่นมือมานวดคลึงหว่างคิ้ว “เหตุใดเจ้าถึงเหมือนเมื่อก่อนเปี๊ยบ วันๆ เอาแต่ทำตัวน่าสงสาร? หากไม่แอบไปร้องไห้บนทะเลเมฆที่อยู่ตรงข้ามกับสะพานโค้งก็มานั่งคุกเข่าอยู่บนทะเลเมฆอย่างวันนี้ แล้วจะให้ข้าฆ่าเจ้าอย่างไร?”
สีหน้าของฟ่านจวิ้นเม่ามีชีวิตชีวา “ฆ่าข้าก็ฆ่าสิ มีเจ้าอยู่ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!”
สตรีร่างสูงใหญ่ร้องอ้อหนึ่งที ใช้ฝ่ามือตบช่วงปลายของกระบี่โบราณเบาๆ หนึ่งที ปลายกระบี่ดีดขึ้นสูง หมุนตวัดกลับมาหนึ่งรอบ จากนั้นปลายกระบี่ก็แทงเข้าที่หัวใจของฟ่านจวิ้นเม่า ยกตัวนางลอยขึ้นกลางอากาศช้าๆ “พอไหม? เจ้าไม่รู้หรือว่าปีนั้นข้าฆ่าคนที่เป็นแบบเจ้าไปมากน้อยเท่าไหร่?”
เลือดสดไหลซึมลงมาจากมุมปากของฟ่านจวิ้นเม่า ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับมีเพียงความสุข “เจ้าไม่ได้เปลี่ยน เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลย ข้ารู้ดี หนึ่งหมื่นปีแล้ว ยังคงเป็นเช่นนี้ ต่อให้ผ่านไปอีกหนึ่งหมื่นปี เจ้าก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไป…ขอแค่เจ้ายินดีเอาจิตวิญญาณนี้ออกมา ใต้หล้าก็จะ…”
สตรีร่างสูงใหญ่หันหน้าไปมองตรงกำแพงเมืองของนครมังกรเฒ่า พลิ้วกายจากทะเลเมฆกลับลงไปบนพื้นดิน กระบี่โบราณก็ดึงตัวออกจากหัวใจของฟ่านจวิ้นเม่า กลับมาอยู่ที่เอวของนาง
ฟ่านจวิ้นเม่าเซล้มลงบนทะเลเมฆ ยกมืออุดตรงหัวใจ หมดสติไปทันที ทว่าทะเลเมฆกลับเริ่มไหลกรูเข้าหาร่างกายนางอย่างบ้าคลั่ง
ตรงช่องโพรงกำแพงเมืองของนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันฟื้นคืนสติกลับมาแล้ว เขายังคงเลื่อนลอยอยู่เล็กน้อย
ซิ่วไฉเฒ่าไม่รู้ว่าหายไปไหน
แต่จากนั้นเขาก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยค่อยๆ พลิ้วกายลงมาตรงหน้าของเขา หยุดลอยอยู่กลางอากาศสูงนอกช่องโพรงของกำแพง
คนหนุ่มที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มผอมแห้งยากจนแห่งตรอกหนีผิงอีกต่อไปถามเบาๆ ว่า “ข้าทำผิดใช่ไหม?”
นางส่ายหน้า
คนหนุ่มพูดรับรอง “คราวหน้าข้าจะระวังให้มากกว่านี้ ยกตัวอย่างเช่นจะหัดเรียนวิชาคำนวณของสำนักหยินหยาง เดิมทีนึกว่าตัวเองสามารถแก้ไขปัญหาได้ คิดไม่ถึงว่าขอบเขตของผู้ฝึกตนคนนั้นจะสูงขนาดนี้…”
นางยังคงส่ายหน้า
คนหนุ่มถาม “ไม่ผิดหวังในตัวข้าหรือ?”
นางส่ายหน้าอีกครั้ง
ดังนั้น
เฉินผิงอันจึงยิ้มตาหยี
สตรีร่างสูงใหญ่ก็ทำแบบเดียวกัน