บทที่ 394 แสงสว่างผุดวาบ ภูเขาค่อยๆ เขียว
ปีศาจจิ้งจอกที่เรียกตัวเองว่านายท่านชิงพลันถามขึ้นว่า “สตรีต่างถิ่นอย่างเจ้าคือนักพรตเรือนซือเตาที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดินกลางจริงรึ?”
ดูเหมือนนักพรตหญิงวัยกลางคนจะรู้สึกว่าคำถามนี้น่าสนใจ มือหนึ่งจึงจับด้ามมีด อีกมือหนึ่งดีดกวานหางปลาของตัวเอง “ทำไม ยังมีใครในแจกันสมบัติทวีปกล้าสวมรอยพวกเราอีกหรือ? หากว่ามี เจ้าก็บอกชื่อแซ่มา ถือว่าเจ้าสร้างคุณความชอบครั้งหนึ่ง ข้าสามารถรับปากเจ้าได้ว่าจะให้เจ้าตายเร็วหน่อย”
เด็กหนุ่มชุดดำที่ใช้กำลังของคนคนเดียวสร้างคลื่นลมมรสุมปั่นป่วนให้สวนสิงโตวุ่นวายจุ๊ปากพูด “มีชาติกำเนิดมาจากเรือนซือเตาจริงๆ หรือนี่ เพียงแต่ไม่รู้ว่ากินโอสถทองล้ำค่าของเจ้าเม็ดนั้นไปแล้ว นายท่านใหญ่อย่างข้าจะท้องแตกตายหรือไม่”
มุมปากของนักพรตหญิงตวัดโค้งขึ้น “ไม่เสียทีที่เป็นแคว้นเล็กสุดในใต้หล้าไพศาล ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขา ขอแค่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกลมปราณ แต่ละคนล้วนความสามารถไม่มาก แต่ปากดีไม่น้อย ใช่แล้ว ข้าชื่อหลิ่วป๋อฉี การที่ข้ามาเยือนที่นี่ แรกเริ่มนั้นก็เพราะแซ่สกุลหลิ่วของสวนสิงโตแห่งนี้ ผลกลับพบว่าข้าที่โชคร้ายมาตลอดการเดินทาง ในที่สุดโชคก็เข้าข้างเสียที ข้าต้องขอบคุณเจ้า และที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็เพื่อให้ปีศาจที่ร่างจริงคือตัวทากอย่างเจ้าตายไปพร้อมกับความเข้าใจ”
เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ต่อให้คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกว่าสตรีน่ารังเกียจผู้นี้รู้ตัวตนที่แท้จริงของตนได้อย่างไร
มันไม่รู้ว่าน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดตรงเอวเฉินผิงอันใบนั้นมีเวทอำพรางตาที่สามารถบดบังการตรวจสอบของเซียนดินโอสถทองได้ แต่พอนักพรตหญิงร่ายเวทคาถากลับมองออกว่านั่นคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ไม่ธรรมดาได้ในปราดเดียว
นักพรตหญิงวัยกลางคนยังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่าภูตต้นหลิ่วนั่นไม่ต่างจากคนตาบอด เจ้าเข้าๆ ออกๆ สวนสิงโตหลายครั้งขนาดนี้ก็ยังมองรากฐานของเจ้าไม่ออก แค่อาศัยกลิ่นสาปจิ้งจอกน้อยนิดและเชือกขนจิ้งจอกไม่กี่เส้นก็เชื่อจริงๆ ว่าเจ้าคือปีศาจจิ้งจอก เข้าใจผิดไปไม่ใช่น้อยๆ คนเบื้องหลังที่สนับสนุนให้เจ้าทำร้ายสวนสิงโตก็เป็นคนตาบอดเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงถลกเอาหนังจิ้งจอกของเจ้ามานานแล้วกระมัง? ความรุ่งโรจน์และความเสื่อมถอยของชะตาบุ๋นสกุลหลิ่วน้อยนิดแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ ไหนเลยจะมีค่าเท่ากับทรัพย์สมบัติในท้องของเจ้า”
เด็กหนุ่มที่เคยป่าวประกาศว่าต่อให้ถูกก่อกำเนิดไล่ฆ่าก็ไม่กลัวบังเกิดความขลาดกลัวขึ้นมาในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ใช้น้ำเสียงปรึกษาหารือถามว่า “หากข้าไปจากสวนสิงโตเสียตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าจะปล่อยข้าไปได้หรือไม่?”
นักพรตหญิงวัยกลางคนตอบไม่ตรงคำถาม คงเป็นเพราะดูแคลนที่จะตอบคำถามที่ไม่ใช้สมองประเภทนี้ นางใช้ฝ่ามือเคาะด้ามมีดเบาๆ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “มีดอาคมที่พกติดตัวตลอดเวลาเล่มนี้มีชื่อว่าเทพเจ้าจิ้ง (จิ้งคือสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายกับเสือดาวชนิดหนึ่งในหนังสือโบราณ ซึ่งเมื่อเกิดมาแล้ว มันจะกินแต่สัตว์ประเภทเดียวกันเอง) อยู่ในอันดับที่เจ็ดของเรือนซือเตาภูเขาห้อยหัว ส่วนวัตถุแห่งชะตาชีวิตของข้าก็ยังคงเป็นมีด มีชื่อว่าเจี่ยจั้ว (เทพในตำนานโบราณที่ว่ากันว่ากินผีเป็นอาหาร) แต่เจ้าก็วางใจเถอะ เจ้าไม่ได้เห็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของข้าหรอก นี่ก็คือโชคดีใหญ่เทียมฟ้าของเจ้า”
เด็กหนุ่มเข่าอ่อนยวบ
เขาพูดอย่างน่าสงสารว่า “อดีตเจ้าของร่างปีศาจจิ้งจอกที่ข้ากินไปนี้ เดิมทีก็ไม่ใช่คนดีอะไร มันนึกอยากจะอาศัยการแต่งงานมาสร้างโอสถทอง และยังอยากจะใช้โอกาสนี้มาดูดดึงโชคชะตาบุ๋นของสกุลหลิ่ว ซ้ำยังเพ้อฝันว่าจะเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ ข้าฆ่ามัน กินมันลงท้อง อันที่จริงก็ถือว่าได้ช่วยสวนสิงโตต้านทานหายนะไปครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็แค่มีเซียนซือผู้เฒ่าแคว้นชิงหลวนคนหนึ่งที่ปรารถนาอยากครอบครองหยกลัญจกรของแคว้นที่ล่มสลายซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษสกุลหลิ่ว จึงร่วมมือกับบุคคลใหญ่ในราชสำนักที่มีวิชาอภินิหารใหญ่เทียมฟ้าคนหนึ่ง ส่วนข้าก็แค่คล้อยไปตามสถานการณ์เท่านั้น ทั้งสามฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เป็นแค่การค้าขายเล็กๆ ไม่มีค่าพอให้พูดถึง กูไหน่ไน่ (คำเรียกสตรีที่แต่งงานออกไปแล้วของคนบ้านเดิม) เจ้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ถือซะว่าข้าเป็นแค่ผายลมเถอะนะ? หากข้าไปรบกวนอารมณ์ชื่นชมทัศนียภาพของกูไหน่ไน ข้าก็ยินดีจะประคองโอสถทองครึ่งดวงของปีศาจจิ้งจอกส่งให้เจ้าด้วยสองมือ ถือเป็นของไถ่โทษ ตกลงไหม?”
นักพรตหญิงเรือนซือเตานามหลิ่วป๋อฉีหลุดหัวเราะ “เป็นเพราะรู้สึกว่าข้าไม่มีทางหาร่างจริงของเจ้าเจอก็เลยแสร้งทำเป็นบ้าบออยู่ตรงนี้ใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนสีหน้าใหม่ หัวเราะฮ่าๆ อย่างเบิกบาน “โอ้โหแหะ สตรีหน้าเหม็นอย่างเจ้าน้ำไม่ได้เข้าสมองอย่างที่ข้าคิดเลยนี่นา เรือนซือเตาแล้วอย่างไร มีดอาคมเทพเจ้าจิ้งภูเขาห้อยหัวอะไรทั้งหลายเหล่นั่น แล้วอย่างไร? อย่าลืมล่ะว่าที่นี่คือแจกันสมบัติทวีป คือแคว้นชิงหลวนที่อยู่ข้างกายสกุลเจียงอวิ๋นหลิน! นังอัปลักษณ์ นังหญิงหน้าเหม็น จะแลกเปลี่ยนกับเจ้าดีๆ แต่เจ้าไม่ยอมตอบรับ ต้องให้นายท่านชิงอย่างข้าด่าเจ้าหลายๆ คำ เจ้าถึงจะสบายใจสินะ? สมกับเป็นหญิงต่ำช้าซะจริง รีบไปไหว้พระขอพรที่เมืองหลวงซะเถอะ ไม่อย่างนั้นวันใดอยู่ในแจกันสมบัติทวีปแล้วตกอยู่ในน้ำมือของนายท่านใหญ่อย่างข้า ข้าจะต้องโบยให้เนื้อหนังของเจ้าแตกเหวอะหวะให้จงได้! ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นเจ้าอาจจะชื่นชอบก็ได้นี่นะ ถูกไหม?”
หลิ่วป๋อฉีกลับไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อย กลับกันยังยกยิ้มมีเลศนัย “คำโบราณว่าไว้ ศาลเล็กลมปีศาจแรง ช่างเป็นคำที่จี้ใจดำจริงๆ พูดคุยกับปีศาจทากอย่างเจ้าสนุกยิ่งนัก เมื่อเทียบกับพวกภูตผีปีศาจยักษ์ใหญ่หลายตนในอดีตที่พอข้าออกมีด บ้างก็โขกหัววิงวอนอย่างสุดชีวิต บ้างก็บ้าคลั่งก่อนตายแล้ว เจ้าน่าสนใจกว่ามาก”
มองดูเหมือนเด็กหนุ่มจะกำเริบเสิบสาน แต่อันที่จริงในใจกลับบ่นพึมพำไม่หยุด สตรีผู้นี้มัวอืดอาดยืดยาด ไม่เหมือนนิสัยของนางเลย หรือว่ามีกับดัก?
แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันแอบเล่นตุกติกบางอย่างบนร่างของภูตต้นหลิ่วซึ่งเป็นเทพแห่งผืนดินของที่แห่งนี้ หากสวนสิงโตมีการหมุนเวียนของลมและน้ำซึ่งความเคลื่อนไหวค่อนข้างรุนแรงเกิดขึ้น มันจะรับสัมผัสได้ทันที
หากจะบอกว่ามีแผนการร้ายรอมันอยู่ที่หอซิ่วโหลว มันก็แค่อดทนข่มกลั้นไว้ชั่วคราว ไม่ไปเก็บดอกผลชะตาบุ๋นที่วางไว้บนร่างของสตรีผู้นั้นกินก่อนก็แค่นั้น ดูแค่ว่าใครจะทนได้นานกว่ากัน นักพรตหญิงเรือนซือเตาผู้นี้กับคนหนุ่มสะพายกระบี่ผู้นั้นจะเฝ้าอยู่ในสวนสิงโตได้เป็นปีครึ่งปีเลยหรือไร?
ถ้าอย่างนั้นจะเป็นที่พึ่งแบบใดที่สามารถทำให้นักพรตหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้เกิดตบะและความอดทนขึ้นมา? จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมใช้มีดฟันร่างมายานี้ของตนเหมือนตอนที่อยู่บนกำแพงของเรือนเล็กก่อนหน้านั้น?
หลิ่วป๋อฉีเบี่ยงตัวพิงราวสะพาน ยื่นมือบอกเป็นนัยให้ปีศาจเดินข้ามสะพานมาได้ตามสบาย นางจะไม่ขัดขวางเด็ดขาด “หากเจ้าเดินไปถึงหอซิ่วโหลวก็จะรู้ความจริงเอง”
ก่อนหน้านี้หลิ่วป๋อฉีขัดขวางเอาไว้ มันนึกอยากจะฝ่าออกไปดูที่หอซิ่วโหลวให้รู้แล้วรู้รอดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้พอหลิ่วป๋อฉีเปิดทางให้ มันกลับเริ่มรู้สึกว่าสะพานโค้งเล็กๆ แห่งนี้กลายเป็นภูเขามีดทะเลเพลิง
จิตใจคนดุจผีร้าย น่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจอย่างพวกมันเสียอีก
ท่ามกลางการเวลาอันยาวนาน มันเคยเสียเปรียบครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง ไม่อย่างนั้นบางทีวันนี้ก็อาจจะคลำเจอธรณีประตูของห้าขอบเขตบนแล้วก็เป็นได้
เด็กหนุ่มหล่อเหลาที่กินปีศาจจิ้งจอก ใช้เนื้อหนังมังสาของปีศาจจิ้งจอกเป็นเวทอำพรางตาตนนี้ ไม่เพียงแต่ร่างจริงคือตัวทากที่หาได้ยาก การที่หลิ่วป๋อฉีไม่ยอมปล่อยมันไปง่ายๆ ยังมีปัจจัยใหญ่อีกข้อหนึ่ง
เพราะว่ามันคือหนึ่งในปีศาจจำแลงสมบัติที่ ‘ฟ้าดินโคจรเปลี่ยนผัน โชควาสนามากมายไร้สิ้นสุด’ เดิมทีตัวทากก็กลายเป็นภูติได้ยากยิ่งอยู่แล้ว และการที่กลายมาเป็นปีศาจจำแลงสมบัติตัวหนึ่งได้ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากบนโลก พวกมันชอบกินภูตผีปีศาจหลากหลายชนิด จุดที่มหัศจรรย์ที่สุดไม่ใช่ด้านที่มันเชี่ยวชาญการเสแสร้ง อำพราง หลบหนีและยากที่จะถูกสมบัติอาคมสังหาร
แต่เป็นข้อที่ว่าเมื่อปีศาจตนนี้กินภูตผีประหลาดไปมากมาย ก็จะได้รับโชควาสนาของสิ่งที่มันกินเข้าไปบนเส้นทางของการฝึกตน สามารถบุกรุดหน้าไปพร้อมกันบนเส้นทางหลายสาย ใช้โอสถปีศาจดั้งเดิมมาเป็นบันไดเดินทีละก้าวจนกระทั่งสร้างโอสถทองได้หลายเม็ด
ไม่ต่างจากปลาวาฬกลืนสมบัติที่มาอยู่บนแผ่นดินเลยสักนิด ใครสามารถฆ่าได้ คนผู้นั้นก็รวยเละ!
เป็นเหตุให้แม้แต่หลิ่วป๋อฉีที่สายตาสูงส่งไม่เห็นหัวใครก็ยังรู้สึกอยากครอบครองเซียนดินตัวทากที่น่าหัวเราะตัวนี้ หากคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นั้นกล้ามาแย่งชิงกับนาง เทพเจ้าจิ้งมีดอาคมตรงเอวของนาง รวมไปถึง ‘เจี่ยจั้ว’ มีดโบราณอันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็คงไม่มีตาแล้วจริงๆ
หลิ่วป๋อฉีเห็นท่าทางกวาดตามองไปรอบทิศอย่างขลาดกลัวของเจ้าหมอนี่ก็ยิ้มกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าร่างจริงของเจ้าอยู่ในใต้ดินลึกบริเวณใกล้ๆ นี้ อาศัยเส้นสายลมปราณของรากภูเขามาหลบเลี่ยงการตรวจสอบของข้า”
เด็กหนุ่มเอียงศีรษะ “ในเมื่อเจ้าเก่งกาจปานนี้ ไยไม่ปล่อยมีดออกมาฟันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเล่า สถานที่ซ่อนร่างที่มีรากภูเขาและสายน้ำน้อยนิดแค่นั้นไม่อาจต้านทานการขุดดินลึกสามฉื่อของเจ้าถึงครึ่งก้านธูปหรอก ถึงเวลานั้นข้าก็ไร้ที่ให้ซ่อนตัวแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่ทำเช่นนี้เล่า? คงมีเรื่องที่เจ้าใส่ใจสินะ”
มันถามเองตอบเอง “อ้อ ข้าเดาได้ถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ถึงอย่างไรข้าก็ใส่ใจทุกการกระทำของเจ้าในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้มากกว่าการกระทำของคุณชายที่มีผู้ฝึกกระบี่เป็นสาวใช้คนนั้น”
หลิ่วป๋อฉีหรี่ตาลง
เด็กหนุ่มยกมือสองข้างขึ้น หัวเราะคิกคัก “รู้ว่าเจ้าไม่มีทางยอมให้ข้าพูดออกมาหรอก มาเถอะ เสียบมีดใส่นายท่านใหญ่สักที ให้ว่องไวหน่อย ภูเขาเขียวไม่เปลี่ยน สายน้ำมรกตไหลยาว พวกเรามาคอยดูกันไปเถอะ!”
หลิ่วป๋อฉีเงื้อมีดฟันให้ภาพลวงตาของเด็กหนุ่มที่อยู่อีกฝั่งของหัวสะพานแหลกสลายจริงๆ
ยังคงมีขนจิ้งจอกหนึ่งเส้นร่วงลงสู่พื้นดิน
หลิ่วป๋อฉีมองไกลไปรอบด้าน สี่ทิศของสวนสิงโตล้วนมีแต่ภูเขาเขียว
นางเห็นภูเขาเขียว (ชิงซาน) ที่งดงามก็เกิดความรักตั้งแต่แรกพบ
หลิ่วป๋อฉีหน้าแดงก่ำน้อยๆ โชคดีที่รอบด้านไร้ผู้คน อีกทั้งผิวนางก็ค่อนข้างคล้ำจึงไม่สะดุดตานัก
เก็บความคิดวุ่นวายนี้ไปแล้ว นางก็กลับมามีสีหน้าเย็นชาแข็งกระด้างอีกครั้ง สัมผัสถึงการไหลเวียนอย่างบางเบาของลมปราณจากสี่ด้านแปดทิศ หลิ่วป๋อฉีก็เตรียมรอดูเรื่องสนุก คราวนี้ตัวทากที่ทั่วร่างมีแต่สมบัติล้ำค่านั่นต้องสะดุดล้มหัวทิ่มแล้ว (เปรียบเปรยว่าทำบางอย่างล้มเหลวจึงได้รับบทเรียนหรือพบอุปสรรค)
ในเมื่อเป็นสถานการณ์ที่ช่วยคนอื่นแล้วยังช่วยเหลือตัวเอง ถ้าอย่างนั้นหลิ่วป๋อฉีก็ยินดีชักดึงเทพเจ้าจิ้งมีดอาคมที่มีชื่อเสียงของเรือนซือเตาออกมาจากฝัก ร่างทะยานวูบผ่านสถานที่ต่างๆ ของสวนสิงโตติดต่อกัน ครั้นจึงเริ่มออกมีดอย่างแม่นยำ หากไม่สะบั้นความเชื่อมโยงระหว่างรากภูเขาและสายน้ำก็จ้วงแทงไปยังตำแหน่งที่มีความเป็นไปได้มากสุดว่าจะเป็นที่ซ่อนตัวของปีศาจ นอกจากนี้นางยังจงใจทำให้เกิดความเคลื่อนไหวรุนแรง พายุลมกรดพัดกระโชก ลมและน้ำของสวนสิงโตถูกก่อกวนจนปั่นป่วนขุ่นคลั่กไปชั่วขณะ
ช่วยถ่วงเวลาให้คนหนุ่มชุดขาวที่ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คนนั้นต่ออีกครั้ง
มาเจอกับปีศาจเจ้าเล่ห์อย่างปีศาจตัวทากที่ฆ่าง่ายแต่จับตัวยากตนนี้ หลิ่วป๋อฉีก็ได้แต่ฝืนใจทำเรื่องที่น่าเบื่อเช่นนี้แล้ว
……
นอกห้องหนังสือที่ประตูปิดสนิท ร่างมายาของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาปรากฏตัวอีกครั้ง สองมือไพล่หลัง หนึ่งเท้าเตะเปิดประตูใหญ่ ก้าวข้ามผ่านธรณีประตูไป
สูดจมูกดมกลิ่นก็รู้สึกไม่ใคร่สบายตัวนัก มันเหลือกตามองบน พึมพำกับตัวเองว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าบรรพบุรุษของสกุลหลิ่วสะสมบุญอย่างไรถึงได้มีกลิ่นอายชะตาบุ๋นที่เข้มข้นวนเวียนอยู่ในสวนสิงโตไม่จางหายอย่างนี้ ก็ไม่แปลกที่ปีศาจจิ้งจอกขอบเขตประตูมังกรตัวนั้นจะอยากครอบครอง น่าเสียดายที่ชะตาชีวิตของมันไม่ดี ทุกอย่างที่ทำมาจึงเปลืองแรงเปล่า”
มันเริ่มเคาะตรงโน้นลูบคลำตรงนี้ กระทืบเท้าไม่หยุดนิ่งดูว่ามีพวกกลไกห้องลับอะไรหรือไม่ สุดท้ายไม่พบอะไรก็เริ่มพลิกค้นลังและชั้นวางที่ซ่อนของได้ง่าย
สมบัติชิ้นนั้นควรจะถูกซ่อนไว้ในห้องหนังสือแห่งนี้ถึงจะถูก
ครั้งนี้สวนสิงโตประสบหายนะ เบื้องหลังมีผู้อาวุโสใหญ่สองคน ซึ่งมันล้วนเคยพูดคุยด้วยมาก่อน แน่นอนว่าทั้งสองคนล้วนเป็นพวกที่ตอแยด้วยยาก คนหนึ่งตบะสูงส่ง คนหนึ่งกุมอำนาจใหญ่ แม้แต่มันก็ยังไม่กล้าสนิทสนมด้วยมากนัก
ตาเฒ่าที่ชอบเก็บสะสมหยกลัญจกรของแคว้นต่างๆ ในแจกันสมบัติทวีปผู้นั้นมีจมูกเหยี่ยวงองุ้ม เวลายิ้มน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าภูตผีเสียอีก คำกล่าวถึงลักษณะหน้าตาของคนที่สำนักหยินหยางสรุปออกมาเหมาะสมกับคนผู้นี้อย่างมาก ‘จมูกเหมือนปากเหยี่ยว จิกทึ้งใจคน’ ประโยคนี้เข้าเป้าตรงเผง
ตาเฒ่าวิปริตใช้ช่องทางสนับสนุนมังกร (เปรียบเปรยถึงฮ่องเต้) ในราชสำนัก ชอบกวาดเอามรดกทรัพย์สินของแคว้นที่ล่มสลายมาที่สุด ยิ่งเป็นของเล่นที่ใกล้ชิดกับฮ่องเต้องค์สุดท้ายมากเท่าไหร่ ตาเฒ่าก็ยิ่งถูกใจและให้ราคาสูงมากเท่านั้น
ว่ากันว่าคนผู้นั้นได้เก็บสะสมตราลัญจกรหยกของฮ่องเต้หลายยุคหลายสมัยมาเกือบร้อยชิ้นแล้ว ไม่ว่ารูปแบบใดก็มีหมด แต่เขาก็มีเรื่องที่เสียดายอยู่สองเรื่องใหญ่ หนึ่งคือตราลัญจกรหยกที่ควรมีครบชุดกลับขาดไปชิ้นหนึ่ง มีข่าวลือเล็กๆ บอกว่ามันมาปรากฏอยู่ที่ท่าเรือหางผึ้ง เพียงแต่ว่าตาเฒ่าค่อนข้างกริ่งเกรงตรอกที่เคยมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนปรากฏมาก่อนเส้นนั้น จึงไม่กล้าไปปล้นชิงของของผู้อื่น
เรื่องเสียดายเรื่องที่สองก็คือ ‘ตระเวนไล่ล่าสมบัติแห่งใต้หล้า’ (ในสมัยราชวงศ์ชิงมีหยกลัญจกรทั้งหมดยี่สิบห้าชิ้น หยกตระเวนไล่ล่าสมบัติแห่งใต้หล้านี้คือหยกอันดับที่ยี่สิบ ซึ่งฮ่องเต้จะใช้ประทับยามที่มีการออกตรวจตราลาดตระเวน) ซึ่งปรารถนามานานแต่ก็ไม่อาจได้ครอบครอง สมบัติชิ้นนี้คือมรดกตกทอดของราชวงศ์ใหญ่ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปที่ล่มสลายไปแล้ว สมบัติชิ้นสำคัญที่สืบทอดต่อกันมาของแว่นแคว้นชิ้นนี้ อันที่จริงมีขนาดไม่ใหญ่นัก แค่สองชุ่นเท่านั้น ทำมาจากวัสดุสีทองอร่าม เพียงแต่ทองก้อนเล็กๆ แค่นี้กลับสามารถสลักตัวอักษรได้มากมายเป็นประโยคว่า ‘อาณาบริเวณทั่วฟ้าดิน ทวยเทพช่วยเหลืออย่างลับๆ เกราะสีทองส่องสว่างอร่ามจ้า ตระเวนไล่ล่าไปสี่ทิศ’
บางครั้งมันก็เงยหน้าขึ้นมองไปนอกหน้าต่างอยู่สองสามครั้ง
สตรีหน้าเหม็นผู้นั้นไม่ยอมเลิกราจริงๆ เริ่มใช้วิธีการที่โง่งมที่สุดมาตามหาร่างจริงของตนแล้ว ฮ่าๆ หากนางหาพบก็ถือว่านางมีความสามารถแล้ว!
มันหัวเราะชอบใจอยู่กับตัวเอง นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับนิยายจอมยุทธ์ในยุทธภพเล่มหนึ่ง ในนิยายกล่าวประโยคหนึ่งว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ประโยคนี้ยิ่งมันขบคิดใคร่ครวญก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ
มันยังคงค้นหาก้อนทองเล็กๆ ก้อนนั้นต่อ เริ่มหงุดหงิดใจน้อยๆ
เจ้าเป๋น้อยหลิ่วรู้จักซ่อนของดีจริงๆ
แม้จะบอกว่าต่อให้มันหาเจอแล้วก็ยังเอาไปไม่ได้ แต่ขอให้เห็นก่อนก็ยังดี
พูดไปแล้วอาจฟังดูไร้สาระ ตอนนี้หลังจากมีความเชื่อมโยงกับฮวงจุ้ยของสวนสิงโต มันกลับกลายเป็นคนน่าสงสารที่แม้แต่ทองก้อนเล็กๆ ก็ยังไม่อาจเคลื่อนย้ายไปได้
หากไม่สนใจผลลัพธ์ที่จะตามมาก็อาจทำได้อยู่ แต่มันไม่เต็มใจทำ บนเส้นทางการฝึกตนของปีศาจ สิ่งที่ไม่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือเวลา
นี่น่าจะเป็นการชดเชยอย่างหนึ่งที่สวรรค์มีให้เผ่าปีศาจที่ฝึกตนได้ยากกว่าเผ่าอื่นๆ กระมัง กลายมาเป็นภูตที่มีสติปัญญานั้นยาก นั่นคือธรณีประตูบานหนึ่ง หากจะจำแลงร่างกลายเป็นคนแล้วไปฝึกตนก็ยิ่งเป็นธรณีประตูอีกบานหนึ่ง สุดท้ายตามหาวิชาลับตระกูลเซียนที่ชี้ตรงไปยังมหามรรคา หรือไม่ก็เหยียบโชคขี้หมาก้อนใหญ่ ถูก ‘แต่งตั้งอย่างถูกต้องชอบธรรม’ โดยตรง ถือเป็นธรณีประตูบานที่สาม จากบันทึกที่ระบุไว้ในประวัติศาสตร์ จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ก็มีปีศาจจิ้งจอกห้าขอบเขตบนที่โชคดีอย่างถึงที่สุดอยู่ตนหนึ่ง เพียงแค่ถูกตราประทับเทียนซือประทับลงบนขนเบาๆ ทีเดียวก็ต้องเจอกับทัณฑ์สายฟ้าอันยิ่งใหญ่ที่ก่อกำเนิดทุกคนซึ่งต้องฝ่าทะลุขอบเขตต้องเจอ กระโดดโลดเต้นไม่กี่ทีก็ข้ามผ่านปราการธรรมชาติที่แทบไม่อาจก้าวข้ามไปได้ เผ่าปีศาจในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ใครบ้างที่ไม่อิจฉา?
แค่มันได้ยินคนเล่าต่อๆ กันมาก็ยังอิจฉาแทบตายอยู่แล้ว
หางตาของมันชำเลืองไปเห็นกลอนคู่ที่แขวนไว้สูงบนผนังห้องหนังสือโดยบังเอิญ เจ้าเป๋น้อยหลิ่วชิงซานเขียนด้วยตัวเอง ส่วนเนื้อความนั้นยกมาจากตำราอริยะปราชญ์หรือว่าเจ้าเป๋คิดขึ้นมาเอง มันเพิ่งเคยอ่านตำราแค่ไม่กี่เล่มย่อมไม่รู้คำตอบ
ฝั่งหนึ่งเขียนคำว่า ‘ใต้พู่กันค่ายพันทัพ บทกวีหมื่นทหารม้า’
อีกฝั่งหนึ่งเขียนว่า ‘มีคุณธรรมทัดเทียมอดีตและปัจจุบัน เก็บซ่อนตำราสอนลูกหลาน’
หนึ่งพลังอำนาจปลดปล่อยไปภายนอก อีกหนึ่งจิตใจและปณิธานเก็บไว้ภายใน
ความหมายเล็กๆ น้อยๆ นี่ มันยังพอจะมองออก
มันเงยหน้าขึ้น มองซ้ายมองขวาแล้วถ่มน้ำลายใส่กลอนคู่
จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
ได้เห็นบัณฑิตมากความรู้ที่เปี่ยมไปด้วยปณิธานอันฮึกเหิมต้องสะดุดล้มจมบ่อโคลน สภาพทุเรศยิ่งกว่าไก่ตกน้ำ หมาตกน้ำเสียอีก ช่างทำให้คนเบิกบานใจได้ดีจริงๆ
มันเดินอาดๆ อ้อมผ่านโต๊ะที่วางของตกแต่งประณีตงดงามจนเต็มมานั่งบนเก้าอี้ แหงนเงยศีรษะไปด้านหลัง ขยับก้นไปมา แต่กลับไม่รู้สึกสบายตัวสักทีจึงเริ่มสบถด่าหยาบคาย มารดามันเถอะ พวกบัณฑิตนี่แม่งดีแต่กินอิ่มแล้วไม่ทำงานทำการอะไรจริงๆ ขนาดเก้าอี้ที่นั่งสบายสักตัวก็ยังไม่เต็มใจทำ จะต้องให้คนลำบากนั่งอกตั้งหลังตรงอยู่ได้
มันจ้องเป๋งไปยังเบื้องบน
ไพล่นึกไปถึงผู้อาวุโสใหญ่อีกคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลัง ผู้เฒ่าสกุลถังที่กุมอำนาจใหญ่ของแคว้นชิงหลวน
คนผู้นี้เกลียดขี้หน้าหลิ่วจิ้งถิงมานานมากแล้ว
นี่ช่างน่าแปลกนัก ขนาดมันที่เป็นคนนอกยังรู้ว่าหลิ่วจิ้งถิงเป็นขุนนางน้ำดีมากความสามารถ คือเสาคานสำคัญที่ค้ำยันราชสำนัก เจ้าเป็นอาแท้ๆ ของฮ่องเต้สกุลถังองค์ปัจจุบัน เหตุใดถึงมองหลิ่วจิ้งถิงเป็นดั่งศัตรูคู่อาฆาตเสียเล่า?
สองปีมานี้มีปัญญาชนและชนชั้นสูงมากน้อยเท่าไหร่ที่เดินทางลงใต้เพราะชื่นชมในชื่อเสียงอันดีงามของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว?
ต่อให้มันคิดจนหัวแตกก็ยังไม่เข้าใจ
นี่กลับทำให้มันไพล่นึกไปถึงเมื่อปลายปีที่มันไปนอนอยู่บนคานแอบฟังบทสนทนาในวงเหล้าระหว่างพ่อลูกสวนสิงโต
หลิ่วจิ้งถิงและบุตรชายของเขาสองคนดื่มเหล้าพูดคุยกัน เรื่องที่คุยก็หนีไม่พ้นความกังวลต่อบ้านเมืองความเป็นห่วงปวงประชาของหลิ่วจิ้งถิง ข่าวใหม่ล่าสุดที่บุตรชายคนโตได้ยินมา รวมไปถึงการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาสังคมในปัจจุบันของหลิ่วชิงซาน
พวกปัญญาชนและขุนนางบุ๋นที่เกลียดแค้นหลิ่วจิ้งถิงที่สุดนั้นน่าสนใจมาก ไม่ใช่พวกศัตรูในราชสำนักที่ความเห็นด้านการปกครองไม่ตรงกัน แต่กลับเป็นพวกบัณฑิตที่พยายามพึ่งพารองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วแต่ไม่ได้ผล ทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อประจบเอาใจแต่กลับไม่ได้รับการตอบรับ จากนั้นก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่โต้เถียงเอาชนะคะคานกับลูกศิษย์ของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วอย่างไม่ยอมเลิกรา ถกเถียงกันในวงการวรรณกรรมจนหน้าดำหน้าแดง สุดท้ายด้วยความอับอายที่พานเป็นความโกรธจึงหันมาเคียดแค้นหลิ่วจิ้งถิงเข้ากระดูกดำตามไปด้วย
ขนาดหลิ่วจิ้งถิงเองยังรู้สึกประหลาดใจ อันที่จริงการปฏิบัติตัวที่เขามีต่อคนอื่นล้วนไม่เคยแบ่งแยกว่าตำแหน่งขุนนางสูงหรือต่ำ ชาติกำเนิดดีหรือเลว อย่างมากสุดก็แค่ไม่เอ่ยวิจารณ์ผลงานที่ใช้ถ้อยคำเลิศลอยสวยหรูเกินไป ไม่สนใจถ้อยคำที่จงใจประจบเอาใจเขา แต่ท่าทีเช่นนี้ของหลิ่วจิ้งถิงกลับทิ่มแทงใจคนบางคนมากที่สุด สำหรับเรื่องนี้ หลังจากที่หลิ่วจิ้งถิงลาออกจากราชการแล้วมีครั้งหนึ่งได้พูดคุยเรื่องวงการขุนนางกับบุตรชายคนโต นายอำเภอเล็กๆ ที่ภาพลักษณ์ภายนอกไม่โดดเด่นเท่าน้องชายหลิ่วชิงซานได้พูดหลักการเหล่านี้ให้บิดาฟังอย่างกระจ่างแจ้ง ตอนนั้นหลิ่วจิ้งถิงทำเพียงกระดกจอกเหล้าดื่มจนหมดจอกเท่านั้น
ส่วนหลิ่วชิงซานกลับไม่เห็นด้วย เขาพูดจาโผงผางตรงไปตรงมา กลับกลายเป็นตำหนิพี่ชายคนโตที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กไปคำรบหนึ่ง
ยังดีที่พี่ชายรู้นิสัยของหลิ่วชิงซานดีจึงไม่โกรธเคือง เอ่ยแค่ว่าตนเข้าไปอยู่ในอ่างโรคติดต่ออย่างวงการขุนนางแล้ว หวังว่าวันหน้าหลิ่วชิงซานอย่าได้เลียนแบบเขาก็พอ
ช่างเป็นบรรยากาศกลมเกลียวปรองดองที่บิดาเมตตาบุตรกตัญญู พี่ชายมีน้ำใจน้องชายให้ความเคารพนับถือซะจริง
อันที่จริงตอนนั้นในใจมันก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ปีศาจจิ้งจอกที่ถูกตนกินไปตนนั้นคิดจะทำตัวกลมกลืนเข้ามาในตระกูลหลิ่วของสวนสิงโตจริงๆ ใช่หรือไม่? การที่มันอยากจะสอบเคอจวี่เพราะคิดว่าวันหนึ่งจะใช้สถานะลูกเขยของหลิ่วจิ้งถิงมาสร้างคุณงามความดีในราชสำนักและด้านงานวรรณกรรม สุดท้ายหันกลับมาหล่อเลี้ยงชะตาบุ๋นของสกุลหลิ่วซะเอง?
เพียงแต่ว่าตอนนั้นมันน้ำลายสอมากจริงๆ จึงกินปีศาจจิ้งจอกที่ยังไม่ทันสร้างโอสถทองตนนั้นหมดในคำเดียว จำได้ว่าตัวเองยังเรออยู่อีกหลายทีด้วยนี่นะ?
มันหันหน้ากลับไป รับสัมผัสได้ถึงการออกมีดของสตรีหน้าเหม็นเรือนซือเตาที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะกลับไปมือเปล่า พูดอย่างเคียดแค้น “หน้าตาอัปลักษณ์ถึงเพียงนั้น คู่กับเจ้าคนขาเป๋ก็เหมาะสมกันพอดี!”
น่าเสียดายที่มันไม่ใช่อริยะลัทธิขงจื๊อที่แค่เอื้อนเอ่ยก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้
ทอดถอนใจหนึ่งที ก่อนจะดึงสายตากลับมา กวาดตามองไล่ไปบนสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือจำนวนมากมายที่ไร้ราคาเหล่านั้นอย่างไม่มีอะไรทำ
มันพลันเบิกตากว้าง ยื่นมือไปคลำกล่องใบเล็กที่อยู่ด้านข้างที่ทับกระดาษไม้ทรงยาว
ร้อนลวกมือ!
มันรีบหดมือกลับมา อารมณ์ผ่อนคลายอย่างยิ่งยวด ด่ายิ้มๆ ว่า “เจ้าหลิ่วชิงซานผู้นี้ ร้ายนักนะ!”
……
ทางฝั่งของศาลบรรพชนสกุลหลิ่ว
อาจารย์สอนหนังสือสองคน อาจารย์วัยชราคอยอยู่ข้างกายหลิ่วจิ้งถิง
หลิ่วจิ้งถิงยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ลำบากอาจารย์ฝูแล้ว”
ผู้เฒ่าแค่ส่ายหน้า
นอกจากสอนหนังสือแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้แทบไม่เคยพูดจา แล้วสีหน้าก็แทบไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง
อันที่จริงคนตลอดทั้งสวนสิงโตต่างก็หวาดกลัวอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้
ส่วนอาจารย์หลิวที่เป็นศิษย์ลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนผู้นั้น แม้จะไม่ถือว่าน่าใกล้ชิดสนิทสนมเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นคนที่เข้มงวดกับกฎระเบียบอย่างมาก ลูกหลานสกุลหลิ่วและลูกหลานบ่าวรับใช้ที่เคยเรียนหนังสือกับเขาล้วนถูกเขาตีและสั่งสอนอบรมมาแทบทุกคน แต่กระนั้นก็ยังน่าเข้าใกล้ยิ่งกว่าผู้เฒ่าแซ่ฝู
เวลานี้ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อเดินมาที่หน้าประตูศาลบรรพชน รอคอยให้หลิ่วชิงซานกลับมา
พอเห็นว่าหลิ่วชิงซานกลับมาจากหอซิ่วโหลวอย่างปลอดภัย อาจารย์หลิวท่านนี้ก็ยังมีสีหน้าไร้อารมณ์ จนกระทั่งหลิ่วชิงซานที่เดินกะเผลกคารวะเขาด้วยพิธีการที่ศิษย์คารวะอาจารย์ เขาถึงได้ผงกศีรษะตอบรับ
หลิ่วชิงซานข้ามธรณีประตูเข้ามา เดินไปหาหลิ่วจิ้งถิงผู้เป็นบิดา
ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อยังคงยืนอยู่หน้าประตู จากนั้นสายตาของเขาก็ไล่มองขึ้นไปเบื้องบน มองเห็นเงาร่างสองเงาที่หอเก็บตำรา นั่นคือคู่นายบ่าวที่มาจากภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายตาของชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อไม่ดีหรือเห็นแล้วแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น เพราะเพียงไม่นานเขาก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในศาลบรรพชน
ตรงราวระเบียงใต้ชายคาหอเก็บตำรา สาวใช้เหมิงหลงยิ้มถามว่า “คุณชาย ท่านว่าฝูเซิงกับคนแซ่หลิวผู้นี้จะเป็นยอดฝีมือนอกโลกเหมือนพวกเราหรือเปล่า?”
คุณชายตู๋กูหัวเราะขำคำพูดอีกฝ่าย “เจ้าอธิบายให้คุณชายอย่างข้าฟังก่อนเถอะว่า พวกเราเป็นยอดฝีมือนอกโลกตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เหมิงหลงคลี่ยิ้มรู้ใจ ก่อนจะฟุบตัวบนราวระเบียงทอดสายตามองไปไกล
ในแจกันสมบัติทวีป พวกเขาไม่นับเป็นยอดฝีมือนอกโลกหรอกหรือ?
คุณชายก็แค่ถ่อมตัวเท่านั้น
ราชวงศ์จูอิ๋งที่นางอยู่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า จำนวนผู้ฝึกกระบี่มากเป็นอันดับหนึ่งของทวีป กองกำลังของแคว้นก็แข็งแกร่ง ลำพังเพียงแค่แคว้นใต้อาณัติก็มีมากหลายสิบแคว้น
ในบรรดาลูกหลานมังกรที่ตัดสินใจสละตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์มาตั้งแต่เนิ่นๆ คนหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบ เคยประมือกับหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าที่เคยเป็นก่อกำเนิดอันดับหนึ่งในแจกันสมบัติทวีปมาสามครั้ง แม้ว่าจะแพ้ทุกครั้ง แต่ก็ไม่มีใครกล้าสงสัยในพลังการต่อสู้ของผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ ในแจกันสมบัติทวีปมีเซียนดินสักกี่คนที่กล้าต้านรับหนึ่งกระบี่จากหลี่ถวนจิ่ง? หลี่ถวนจิ่งใช้หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ข่มกำราบภูเขาตะวันเที่ยงมาหลายร้อยปี ถ้าเช่นนั้นหลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่ของราชวงศ์จูอิ๋งผู้นี้พ่ายแพ้ไปแล้ว แต่กลับยังสามารถทำให้หลี่ถวนจิ่งรับปากจะต่อสู้กับเขาอีกสองครั้งก็แสดงให้เห็นแล้วว่าวิชากระบี่ของเขาสูงส่งเพียงใด
ยังมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าอีกสองคน คือคู่รักเทพเซียนที่มองข้ามความสัมพันธ์ทางสายเลือด ด้วยเหตุนี้จึงแตกหักกับราชวงศ์จูอิ๋ง อย่างน้อยภายนอกก็เป็นเช่นนี้ สามีภรรยาคู่นี้ปรากฏตัวน้อยครั้ง พวกเขาเอาแต่มุ่งมั่นฝึกฝนวิถีกระบี่ เล่าลือกันว่าอันที่จริงแล้วฮ่องเต้ราชวงศ์จูอิ๋งได้มอบท้องพระคลังให้คนทั้งสองช่วยดูแล มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแซ่ใหญ่หลายแซ่ในนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางทิศใต้สุด เงินทองจึงไหลมาเทมาไม่ขาดสาย
เหมิงหลงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “คุณชาย ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปเผด็จการเกินไปแล้วจริงๆ โดยเฉพาะเทียนจวินลัทธิเต๋าที่สมควรโดนแทงพันครั้งนั่น”
คุณชายตู๋กูยิ้มบางๆ “พวกเราก็เป็นอย่างนี้ในสายตาของภูตผีปีศาจบนภูเขาที่พวกเราไปถอนรากถอนโคน เหมือนกันไม่ใช่หรือ? หรือว่าพวกนักการพวกสาวใช้ที่ตายใต้ฝ่าเท้าเทพท่องราตรีของเจ้าตนนั้นล้วนสมควรตาย? แน่นอนว่าไม่ใช่ เพียงแต่ว่าพวกเราคร้านจะสนใจก็เท่านั้น”
เหมิงหลงสะอึกอึ้งพูดไม่ออก
ได้แต่ใช้ปลายเท้าเตะราวระเบียงของหอสูงอย่างขุ่นเคือง
……
เฉินผิงอันไม่ได้วาดยันต์บริเวณใกล้เคียงของหอซิ่วโหลวต่อ แต่พาสือโหรวตรงดิ่งไปที่ประตูใหญ่ของสวนสิงโต
ปราณวิญญาณของเทพทวารบาลหลากสีสันสององค์บางเบาจนไม่อาจประคับประคองให้พวกมันปกป้องสกุลหลิ่วได้อีก
เฉินผิงอันพึมพำถ้อยคำขออภัย จากนั้นก็เริ่มวาดยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจไว้บนประตูใหญ่สองบาน
ไม่เหมือนกับ ‘การละเล่นเล็กๆ น้อยๆ’ ที่หอซิ่วโหลว ยันต์สยบปีศาจสองแผ่นบนประตูจวนต่างก็ถูกวาดเสร็จในรวดเดียว เปิดอย่างยิ่งใหญ่และปิดอย่างยิ่งใหญ่ ประหนึ่งเทพสาดน้ำหมึก
สือโหรวที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันแอบพยักหน้ากับตัวเอง หากไม่เป็นเพราะวัสดุของพู่กันที่อยู่ในมือธรรมดาเกินไป อีกทั้งสีทองในไหก็ไม่ถือว่ามีคุณภาพยอดเยี่ยม อันที่จริงยันต์ที่เฉินผิงอันวาดก็ถือว่ามีจิตวิญญาณแห่งยันต์เปี่ยมล้น และยังสามารถเพิ่มพลานุภาพให้มากขึ้นไปได้อีก
หลังจากวาดยันต์เสร็จแล้ว เฉินผิงอันก็ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ยืนเคียงไหล่อยู่กับสือโหรว เมื่อแน่ใจว่าไร้ช่องโหว่แล้วถึงได้เดินตามทางที่ปูด้วยก้อนหินริมกำแพงรอบนอกออกไป ห่างไปประมาณห้าสิบกว่าก้าวก็วาดยันต์ต่ออีกครั้ง
ระหว่างที่เดิน เฉินผิงอันหันไปพูดกับสือโหรวที่เงียบงันมาตลอดทางว่า “ระหว่างที่ข้าวาดยันต์จำเป็นต้องรวบรวมสมาธิ อาจไม่สามารถค้นพบร่องรอยของปีศาจตนนั้นได้ทันที ดังนั้นเจ้าต้องระวังไว้ให้มาก”
สือโหรวพูดอย่างเฉยเมย “ไม่พูดถึงหน้าที่ที่ต้องช่วยแบ่งเบาความกลัดกลุ้มให้กับนายท่าน นี่ยังเกี่ยวพันไปถึงชีวิตของบ่าวเองด้วย แน่นอนว่าต้องไม่กล้าประมาทอยู่แล้ว นายท่านไม่ต้องเป็นกังวลให้มากความ”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองนางแวบหนึ่ง “เป็นเพราะคนคนหนึ่งยากจนจนหวาดกลัวไปแล้ว อยู่ดีๆ มีเงินขึ้นมาก็เลยกลายเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวสินะ”
สือโหรวฟังความหมายเหน็บแนมบางเบาในคำพูดนี้ออก แต่ไม่คิดจะโต้เถียง
ไม่ใช่ว่านางกระดากใจหรือละอายใจ แต่สาเหตุเป็นเพราะข้อความในกระดาษแผ่นนั้น
หลังจากเปิดกระดาษพับรูปม้าที่ชุยตงซานฝากไว้ที่จูเหลี่ยน เนื้อหาในกระดาษแผ่นนั้นกระชับเรียบง่าย มีแค่ประโยคเดียว หกคำเท่านั้น
“น้องสาวเอ๋ย อย่ารนหาที่ตาย”
มองดูเหมือนเป็นคำเย้าหยอก แต่กลับทำให้สือโหรวที่อยู่ในคราบร่างเซียนรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว
เฉินผิงอันวาดยันต์แต่ละครั้งอย่างรวดเร็ว น่าจะเป็นเพราะเคยฝึกฝนอย่างยากลำบากมาก่อน ไม่อย่างนั้นก็เป็นเพราะมีอาจารย์เป็นผู้สูงส่ง
สือโหรวจำต้องยอมรับในความทนทานของเฉินผิงอัน ไม่ว่าจะความมั่นคงของจิงชี่เสินในทุกลมหายใจ หรือความนิ่งของร่างกายและจิตวิญญาณก็ล้วนเป็นตัวช่วยที่สำคัญ จะขาดข้อใดไปไม่ได้เลย
การวาดยันต์เผาผลาญพลังกายใจที่สุด
นี่เป็นประโยคแห่งสัจธรรมแท้จริงที่โด่งดังและแพร่หลายของพรรคมหายันต์
หนึ่งเค่อต่อมา สือโหรวฉวยโอกาสที่เฉินผิงอันเพิ่งวาดยันต์แผ่นใหม่ล่าสุดเสร็จ กำลังเอนหลังพิงผนังหายใจหอบรัว เอ่ยถามขึ้นเบาๆ ว่า “นายท่านกำลังสร้างค่ายกลหรือ?”
เฉินผิงอันถลึงตามองนาง รีบยกนิ้วมาวางไว้บนริมฝีปาก บอกให้รู้เป็นนัยว่าความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย และตอนที่ก้าวเดินไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง คงเป็นเพราะโมโหมากจริงๆ จึงหันกลับมาถลึงตาใส่สือโหรวที่ปากไม่มีหูรูดซ้ำอีกที
สือโหรวที่มือโอบอุ้มไหของเหลวสีทองเหนียวหนืดข้างละไหเดินติดตามไปด้านหลังเฉินผิงอันแต่โดยดี นึกไปด้วยว่าเจ้าหมอนี่ก็มีช่วงเวลาที่ตระหนกลนกับเขาด้วย มุมปากของนางตวัดโค้งบางๆ แต่ก็ถูกนางกดลงอย่างรวดเร็ว
อาณาบริเวณของสวนสิงโตนั้นกว้างขวางมาก เฉินผิงอันที่พยายามวาดยันต์สร้างค่ายกลเงียบๆ อย่างยากลำบาก หมายฉวยโอกาสตอนที่ปีศาจใหญ่ตนนั้นยังสัมผัสไม่ได้วาดยันต์ให้สำเร็จ ก็เรียกได้ว่าทุ่มสุดชีวิตไว้บนปลายพู่กันที่ตวัดลงบนผนังสีขาวแล้วจริงๆ
ไม่ได้ผ่อนคลายกว่าการรบราเข่นฆ่ากับใครเลย
สือโหรวไม่เหมือนกับคนทั้งสี่ในภาพวาด นางไม่เคยผ่านคลื่นมรสุมลูกแล้วลูกเล่าติดต่อกัน ยิ่งไม่มีประสบการณ์เดินทางข้ามผ่านสองทวีปใหญ่อันยาวนาน ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคยกับนิสัยใจคอและความสามารถที่แท้จริงของเฉินผิงอันได้เหมือนพวกจูเหลี่ยน แต่เกี่ยวกับเรื่องสมบัติพัสถานของเฉินผิงอัน สือโหรวกลับเข้าใจค่อนข้างมาก จิตหยางกายนอกกายของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานหนึ่งร่าง ลูกศิษย์อย่างชุยตงซานหนึ่งคน แค่สองอย่างนี้เท่านั้น ไม่มีมากกว่านี้อีกแล้ว
แต่เมื่อเห็นว่าเฉินผิงอันพยายามปิดประตูตีสุนัข และเอามานึกเชื่อมโยงกับการจัดการในหอซิ่วโหลวและศาลบรรพชนสกุลหลิ่วก่อนหน้านี้
สือโหรวกลับรู้สึกนับถือการกระทำของเจ้าหมอนี่จากใจจริง
รอบคอบรัดกุมจนแม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่อาจลอดผ่าน
หากจะบอกว่าวิญญูชนควรอยู่ให้ห่างจากสถานที่อันตราย ถ้าอย่างนั้นหากเฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าจะไปเยือนสถานที่อันตราย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าความตั้งใจเดิมเป็นเช่นไร ลำพังแค่การจัดการทั้งหลายแหล่หลังจากนั้น เขาก็เป็นคนประเภทที่ว่าแทบอยากจะจัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อมสรรพครบถ้วน ประมาณว่ากางร่มแล้วก็ยังจะสวมงอบ หรือห่มเสื้อเกราะเพิ่มเติมเข้าไปอีก
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่อาจคาดเดาความคิดของสือโหรวได้
สิ่งหนึ่งมักจะสยบสิ่งหนึ่งได้เสมอ ก็ให้ชุยตงซานเป็นคนจัดการสือโหรวแล้วกัน
เมื่อเฉินผิงอันเดินวนรอบสวนสิงโตครบหนึ่งรอบ วาดยันต์แผ่นสุดท้ายเสร็จก็รู้สึกว่านี่อาจจะยังไม่พอ จึงเดินวนซ้ำอีกหนึ่งรอบ เอายันต์จำนวนมากที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีซึ่งวาดเสร็จนานแล้วแต่กลับไม่มีโอกาสเอามาใช้ออกมากรอกลมปราณที่แท้จริงเข้าไป แล้วแปะไปทั่วทุกหนแห่งบนกำแพงโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
นี่คือการค้าที่ขาดทุนย่อยยับ
เฉินผิงอันพุ่งตัวขึ้นไปบนหัวกำแพง ในใจคิดว่าจะต้องหาข้ออ้างไปดึงหูเผยเฉียนสักที
ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนนี่นะ ต่อให้ไม่ใช่เหตุผลกับนางในบางเรื่องก็ไม่เป็นไรหรอก!
เฉินผิงอันยืดแขนบิดขี้เกียจ ยิ้มมองไปรอบด้าน
นี่เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว ภูเขาเริ่มเขียวทีละน้อย
สือโหรวที่ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันยังคงอุ้มไหสองใบเอาไว้
เห็นสีหน้าผิดปกติของเฉินผิงอัน สือโหรวก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันเอื้อมสองมือผ่านไหล่ สิบนิ้วสอดประสานกัน ฝ่ามือแนบติดกับด้ามกระบี่ ‘เจี้ยนเซียน’ ที่อยู่ด้านหลังพอดี
สะพายกระบี่เจี้ยนเซียน (เซียนกระบี่) แล้วเมื่อไหร่จะได้เป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริงกันนะ?
จำได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือข้ามฝากแล้วก้มหน้ามองพื้นที่บางแห่งของแจกันสมบัติทวีป มีคนคลี่ยิ้มหวานพูดพลางชี้มือไปยังพื้นดิน บอกว่าราชวงศ์ใหญ่สองแห่งใต้ฝ่าเท้าของพวกเราที่สู้รบกันเอาเป็นเอาตายยังจะนับเป็นอะไรได้ หากเรือข้ามฝากเคลื่อนลงใต้ไปอีกนิดก็จะมีราชวงศ์จูอิ๋ง เป็นราชวงศ์ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากที่สุดในแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้า เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเกิดของนางแล้วกลับเหมือนฝนปรอยๆ เท่านั้น นางยังบอกเฉินผิงอันว่าหากวันหน้ามีโอกาสต้องไปเยือนราชวงศ์จูอิ๋งก่อน แล้วค่อยไปเยือนอุตรกุรุทวีป แล้วก็จะรู้เองว่าที่ไหนถึงจะเรียกว่าผู้ฝึกกระบี่มากดุจต้นไม้ในผืนป่า ที่ไหนถึงควรจะใช้คำเปรียบเปรยว่าอันดับหนึ่งของทวีปอย่างแท้จริง
สำหรับอุตรกุรุทวีปแห่งนั้น เฉินผิงอันรู้สึกเลื่อมใสอยู่บ้าง
เก็บความคิดที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจเหล่านี้ลงไปแล้ว เฉินผิงอันก็ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘เจียงหู’ ลงมา แต่กลับไม่ได้ดื่มเหล้า
เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ก่อนจะเก็บมันไปเงียบๆ หวังว่าสือโหรวจะไม่เห็น
สือโหรวรู้สึกตลก แล้วก็ถามขึ้นอย่างไม่ดูกาลเทศะ “ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปเอาเหล้าสักกามาให้นายท่านดีไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง
บนผนังด้านนอกของสวนสิงโต ยันต์แต่ละแผ่นพลันมีแสงสว่างวาบขึ้นตรงใจกลางอันเป็นจิตวิญญาณของแผ่นยันต์
ส่องประกายแสงสีทองเจิดจ้าบาดตาออกมาในเวลาเดียวกันประหนึ่งรับคำสั่ง