บทที่ 400 ของขวัญ
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบนหัวเรือประหนึ่งเสียงฟ้าผ่าดังแต่ฝนกลับตกลงมาเม็ดเล็ก
เพราะว่าผู้ฝึกกระบี่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา อีกทั้งยังมีตั้งสองเล่มซึ่งผิดไปจากปกติ แต่สุดท้ายกลับไม่เห็นเลือด?
พวกผู้ชมรู้สึกยังชมได้ไม่สาแก่ใจสักเท่าไหร่
เรือข้ามฝากบรรทุกผู้โดยสารสองร้อยคน ขณะนั้นผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์ สำหรับคนของแคว้นชิงหลวนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ ผู้ฝึกตนอิสระที่แสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง หรือ ขุนนางชนชั้นสูงที่พาคนในครอบครัวออกมาเปิดโลกทัศน์ การโดยสารเรือข้ามฟากของตระกูลเซียนไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่ ภาพทัศนียภาพอันงดงามที่ทะเลเมฆเคลื่อนคล้อย นกกระเรียนสยายปีกโบยบิน มองนานไปก็เท่านั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ตื่นเต้นเร้าใจสู้เห็นคนทะเลาะวิวาทกัน แต่ละคนต่างก็ยืนกรานในความเห็นของตัวเอง เมื่อเทียบกับสองฝ่ายที่เป็นคนในเหตุการณ์ซึ่งฝ่ายหนึ่งมีท่าทางสบายๆ ผ่อนคลาย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เปิดเผยความสามารถออกมาเพียงเล็กน้อยแล้ว พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกปาก ความคิดเห็นแตกต่างหลากหลาย ถึงท้ายที่สุดความเห็นก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน ต่างก็รู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นทำอะไรเผด็จการเกินไป เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้เหตุใดต้องลงไม้ลงมือทำร้ายคน วางท่าชัดเจนว่าแค่มีตัวตนเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ จะต้องถีบให้ชายฉกรรจ์ผู้นั้นล้มลงแล้วไม่อาจลุกขึ้นได้อีก หากนี่ไม่เรียกว่าอาศัยกำลังที่มากกว่ารังแกคนอื่น จะเรียกว่าอะไร?
เพียงแต่ว่ามีแม่นางน้อยคนหนึ่งที่พ่อแม่พาออกมาท่องเที่ยวตามภูเขาแม่น้ำพูดประโยคหนึ่งอย่างไร้เดียงสาว่า ไม่ใช่คนผู้นั้นทำผิดก่อนหรอกหรือ?
พวกผู้ใหญ่ที่มายืนชมเรื่องสนุกอยู่บริเวณใกล้เคียง รวมไปถึงพ่อแม่ของนางที่มาจากตระกูลซึ่งถือว่ามีฐานะในแวดวงตระกูลชนชั้นสูงของแคว้นชิงหลวนต่างทำเป็นว่าไม่ได้ยินคำพูดไร้เดียงสาของเด็กคนนี้ ยังคงคาดเดาความเป็นมาของผู้ฝึกกระบี่คนนั้นต่อไปว่ามาจากสวนลมฟ้าของหลี่ถวนจิ่ง? หรือจากภูเขาตะวันเที่ยงที่มีปราณกระบี่พุ่งเสียดชั้นเมฆ? หากไม่พูดเหน็บแนมเสียดสีก็บอกว่าผู้ฝึกกระบี่ในตำนานก็ร้ายกาจเช่นนี้ อายุยังน้อย แต่นิสัยกลับฉุนเฉียวไม่เบา ไม่แน่ว่าวันใดที่พบเจอกับเซียนดินที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่านี้ก็อาจต้องพบเจอเรื่องยากลำบากเข้าจริงๆ
แม่นางน้อยพูดอย่างขลาดๆ อีกว่า หากพี่ชายที่สวมชุดขาวและสะพายกระบี่ไว้ด้านหลังผู้นั้นไม่มีความสามารถติดตัว ก็ต้องถูกคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นรังแกไม่ใช่หรือ?
พวกผู้ใหญ่ยังคงไม่สนใจความคิดอ่อนเยาว์ของเด็กน้อยคนหนึ่ง เด็กตัวเท่าก้นจะไปเข้าใจอะไร
ไม่มีใครสนใจนาง แม่นางน้อยรู้สึกโมโหเล็กน้อยจึงวิ่งไปยังบริเวณใกล้กับราวรั้วหัวเรือซึ่งมีคนยืนอยู่น้อย พยายามเขย่งปลายเท้ามองไปข้างนอก ก้อนเมฆเหล่านั้นราวกับขนมสายไหมที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ทำเอานางมองแล้วน้ำลายไหล ยื่นมือออกไปทำท่าคว้าจับมาไว้ในมือแล้วยัดใส่ปาก จากนั้นตบท้องด้วยความพึงพอใจ แล้วก็ไม่อารมณ์เสียกับพวกผู้ใหญ่อีก อันที่จริงนางอยากไปเล่นกับคนวัยเดียวกันที่เหมือนถ่านดำก้อนน้อยคนนั้น เพียงแต่ตอนนั้นนางไม่ค่อยกล้าสักเท่าไหร่ อีกอย่างพ่อแม่ก็กำชับนางว่า ขึ้นมาบนเรือแล้วห้ามทำตัวเหมือนเวลาอยู่ที่บ้าน ตอนหลังยังเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นขึ้น นางจึงยิ่งไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้อีก
แม่นางน้อยพลันสังเกตเห็นว่าข้างราวรั้วที่ห่างไปไม่ไกลมีคนอยู่ผู้หนึ่ง คนผู้นั้นหน้าตาดีเป็นพิเศษ เทียบกับพี่ชายที่ปกป้องนังหนูถ่านดำก่อนหน้านี้แล้วก็เหมาะสมกับคำว่ารูปงามสะโอดสะองที่บอกไว้ในตำรายิ่งกว่าเสียอีก
คนผู้นั้นอายุประมาณสามสิบปี เพียงแต่ร่างทั้งร่างกลับให้ความทรงจำที่ค่อนข้างพร่าเลือนแก่คน รู้แค่ว่าอายุน้อย เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเท่านั้น
เขาหันหน้ามาสบตานาง แม่นางน้อยรีบหันหน้าหนี แสร้งทำเป็นว่ากำลังชมทัศนียภาพ
คนผู้นั้นคลี่ยิ้ม เลียนแบบแม่นางน้อยด้วยการยื่นมือออกไปคว้าเมฆสีขาวล่องลอยลักษณะคล้ายกับยอดเขาซึ่งลอยอยู่ใกล้กับตัวเรือ จากนั้นยอดเขาสีขาวหิมะนั่นก็ส่ายไหวเล็กน้อย แล้วก็มีเส้นสีขาวที่พอถูกแสงแดดส่องก็เป็นประกายระยิบระยับเส้นหนึ่งลอยเข้ามาในมือของคนผู้นั้น ถูกเขาขยำเป็นก้อนกลม เขายิ้มพลางยื่นส่งมันมาให้แม่นางน้อย ราวกับกำลังสอบถามว่าอยากลองชิมดูไหม แม่นางน้อยส่ายหน้าอย่างแรง คนผู้นั้นจึงโยนใส่ปากตัวเอง
แม่นางน้อยรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมาก นางอ้าปากกว้าง นับถืออย่างสุดจิตสุดใจ
คือเทพเซียนที่หน้าตาดีจริงๆ
คนผู้นั้นฟุบตัวคว่ำอยู่บนราวรั้ว ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ลาหยุดเพื่อออกเดินทางครั้งนี้ ทั้งเพื่อผ่อนคลายจิตใจ แล้วก็เพราะอยากมาลองสังเกตดูคนหนุ่มที่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะมีที่มาจากสำนักเดียวกันผู้นั้นใกล้ๆ
เขาก็คือผู้บัญชาการณ์ใหญ่เหวยเลี่ยงแห่งแคว้นชิงหลวน
เป็นทั้งคนที่วางแผนล้อมสังหารวัวเหลือง ล่อผู้ฝึกตนอิสระมาสังหาร แล้วก็เป็นทั้งผู้พิทักษ์ประตูเมืองหลวงของงานโต้วาทีพุทธเต๋าแคว้นชิงหลวนในครั้งนี้ด้วย
งานโต้วาทีพุทธเต๋ายังไม่ปิดฉากลงอย่างแท้จริง ดังนั้นผู้บัญชาการณ์ใหญ่ที่อายุมากกว่าแคว้นชิงหลวน เป็นแขนซ้ายขวาคอยช่วยเหลือฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นชิงหลวน อดีตกุนซืออันดับหนึ่งอย่างเหวยเลี่ยงจึงขอลาหยุดกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เมื่อไม่มีเหวยเลี่ยงนั่งบัญชาการณ์อยู่ที่เมืองหลวง
ตอนนี้สถานการณ์ของแคว้นชิงหลวนก็ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด ข้างตั่งนอนของฮ่องเต้มีแต่เสือและหมาป่า แต่ต่อให้ถังหลีจะไม่เต็มใจมากแค่ไหน ฮ่องเต้สกุลถังผู้นี้ก็ยังคงฝืนใจตอบรับอีกฝ่าย
หลังจากที่ฮ่องเต้ไท่จู่แคว้นชิงหลวนก่อตั้งแคว้น เขาก็ได้สร้างหอเรือนและแขวนภาพเหมือนของขุนนางผู้มีคุณูปการในการต่อตั้งแคว้นไว้ยี่สิบสี่คน อันดับของ ‘เหวยเฉียน’ ไม่สูงมากนัก แต่ลูกหลานของลูกหลานขุนนางบุ๋นบู๊อีกยี่สิบสามคนที่เหลือล้วนตายไปหมดแล้ว แต่เหวยเฉียนก็แค่เปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็นเหวยเลี่ยงเท่านั้น
เรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่มีชื่อว่า ‘ชิงอี’ (ชุดเขียว) ลำนี้รูปลักษณ์เหมือนกับเรือรบของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ที่แล่นอยู่บนทะเลสาบและแม่น้ำขนาดใหญ่ ความเร็วไม่มาก อีกทั้งยังขับอ้อม นั่นก็เพื่อให้ผู้โดยสารเกินครึ่งของเรือสามารถไปหาความบันเทิงจากภูเขาทั้งหลายที่มีชื่อเสียงของตระกูลเซียน ได้ขึ้นไปบนแท่นตกปลาบางแห่งที่สูงเหนือทะเลเมฆ ใช้คันเบ็ดตกปลาที่ทำมาจากไม้พิเศษซึ่งผ่านการหลอมเล็กไปตกนกและปลาบินที่มีมูลค่าเท่ากับทองพันชั่ง ไปชมทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่งดงามยามพระอาทิตย์ขึ้นและตกบนยอดเขาสูงบางแห่งที่มีโรงเตี๊ยมตั้งเรียงราย ไปซื้อต้นไม้ดอกไม้แปลกๆ ใหม่ๆ ที่ตระกูลเซียนทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อเมล็ดพันธ์ จากนั้นก็มอบให้ผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมเป็นผู้ปลูกและดูแล หลังซื้อมาแล้วจะเอากลับไปชื่นชมที่บ้าน หรือนำไปติดสินบนในวงการขุนนางก็ได้ทั้งนั้น และยังมีภูเขาบางแห่งที่จงใจเลี้ยงสัตว์บางประเภทไว้ตามภูเขาและทะเลสาบ ซึ่งจะมีผู้ฝึกตนทำหน้าที่พาคนมีเงินที่ชอบล่าสัตว์ขึ้นเขาลงน้ำ ‘เสี่ยงอันตราย’ ไปจับพวกมันมา
ท่ามกลางกาลเวลาที่เหวยเลี่ยงใช้ชีวิตโดยมีเหล่าบุปผางามห้อมล้อม อันที่จริงเขาตัวคนเดียวมาโดยตลอด
ทุกครั้งที่จวนผู้บัญชาการณ์ใหญ่แต่งภรรยามาอย่างถูกต้องเปิดเผยล้วนเป็นเพียงแค่ข้ออ้างบังหน้าเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไร้ลูกหลาน
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว
เหวยเลี่ยงย่อตัวลงนั่งยอง ยิ้มกล่าว “แม่นางน้อย เจ้าชื่ออะไรหรือ?”
แม่นางน้อยลังเลไปชั่วขณะ “ข้าชื่อหยวนเหยียนซู่”
เหวยเลี่ยงผงกศีรษะรับ “คำพูด (เหยียน) ย่อมต้องมีเนื้อหาและเรียงลำดับ (ซู่) หากมองเช่นนี้ ในครอบครัวของเจ้าต้องมีผู้อาวุโสที่เคยเป็นผู้เลื่อมใสใน ‘หลักอี้ฝ่า’ (‘อี้’ หมายถึงเนื้อหาที่เขียนในบทความต้องอิงตามวัตถุประสงค์ของคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อ ‘ฝ่า’ หมายถึงวิธีการเขียนบทความ อี้เป็นตัวตัดสินฝ่า ฝ่าเป็นตัวแสดงออกถึงอี้ นั่นคือเรียกร้องให้เนื้อหาถูกต้อง ถ้อยคำกระชับสวยงาม) ของพรรคถงเฉิงในอดีต ความรู้สายนี้เงียบหายไปนานหลายปีแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็เดาว่าไม่น่าจะเป็นพ่อเจ้าที่ตั้งชื่อให้ แต่เป็นปู่ของเจ้ากระมัง?”
แม่นางน้อยเบิกตากว้าง ยิ่งรู้สึกนับถือคนผู้นี้เข้าไปใหญ่ เรื่องนี้ก็เดาได้ด้วย?
เหวยเลี่ยงยิ้มถาม “พวกเรามาคุยกันหน่อยดีไหม?”
แม่นางน้อยวิ่งเหยาะๆ สองสามก้าวมานั่งยองอยู่ข้างกายเขา “ท่านอาจารย์พูดมาเถอะ ข้าจะรับฟังก็แล้วกัน”
ห่างออกไปไกล มารดาของแม่นางน้อยมีสีหน้าเป็นกังวล เตรียมจะไปพาตัวลูกสาวกลับมาอยู่ข้างกาย
สามีของสตรีแต่งงานแล้วคือปัญญาชนลัทธิขงจื๊อวัยกลางคน เขาเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน อยู่บนเรือข้ามฟากตระกูลเซียน ล้วนไม่มีใครที่เป็นคนธรรมดาเรียบง่าย
เพียงแต่ว่าเค่อชิงผู้เฒ่าของในตระกูลที่ติดตามพวกเขามาด้วยกลับส่ายหน้าให้ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อ เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่แน่ว่าอาจเป็นโชควาสนาตระกูลเซียนครั้งหนึ่ง ทางที่ดีที่สุดพวกเราคอยสังเกตการณ์ไปเงียบๆ ดีกว่า”
สองสามีภรรยาถึงได้พอจะวางใจลงได้ ขณะเดียวกันก็แอบรู้สึกคาดหวัง
เหวยเลี่ยงถือโอกาสนั่งลงขัดสมาธิ ฝ่ามือสองข้างวางค้ำหัวเข่า เรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำนี้ขับเคลื่อนเข้ามาเหนือทะเลเมฆแถบหนึ่ง นอกราวรั้วประหนึ่งแม่น้ำสายยาวสีขาวโพลน สมกับคำว่าเรือข้ามฟากอย่างแท้จริง
เหวยเลี่ยงถามความเห็นของแม่นางน้อยหยวนเหยียนซู่เกี่ยวกับข้อพิพาทก่อนหน้านี้ แม่นางน้อยจึงพูดความคิดของตัวเองออกมา
เห็นว่าเทพเซียนท่านนี้ผงกศีรษะ หยวนเหยียนซู่ก็รู้สึกดีใจ ในที่สุดก็มีคนยอมรับในความคิดของตนแล้ว
เหวยเลี่ยงเอ่ยเนิบช้า “เด็กน้อยที่ยังเข้าใจเรื่องทางโลกได้ไม่ลึกซึ้งอย่างพวกเจ้านี้ ล้วน…จะพูดอย่างไรดีล่ะ ก็เหมือนกับเครื่องกระเบื้องชิ้นหนึ่งที่งดงามที่สุดแต่กลับเปราะบางที่สุด ในอนาคตจะได้เข้าไปอยู่ในห้องโถงใหญ่งดงาม หรือจะกลายเป็นเพียงไหแตกที่ถูกทิ้งอยู่ข้างทางก็ล้วนต้องดูว่าได้รับการอบรมสั่งสอนมาดีหรือไม่ หากได้รับการสั่งสอนมาดี รูปร่างก็ตั้งตรงถูกต้อง แต่หากสอนไม่ดี รูปร่างก็เอนเอียงบิดเบี้ยว”
“ทำตัวเป็นแบบอย่างทั้งคำพูดและการกระทำ ซึ่งจะต้องเน้นอย่างหลังเป็นสำคัญ คำพูดเป็นมายา การกระทำเป็นของจริง เพราะไม่แน่เสมอไปว่าเด็กๆ จะฟังหลักการที่พวกผู้ใหญ่พูดเข้าใจ แต่พวกเขากลับมีความสงสัยใคร่รู้ต่อโลกใบนี้มากที่สุด ต้องการให้เด็กๆ ฟังเข้าหู บรรจุหลักการเหตุผลไว้ในหัวนั้นยากมาก ในสายตาของเด็กๆ เห็นอะไรได้มากกว่า จดจำภาพลักษณ์คร่าวๆ ของวิถีแห่งโลกใบนี้ได้ง่ายกว่า พวกเขามองอย่างตื้นๆ แยกแยะดำขาวชัดเจน ไร้เดียงสาแต่กลับล้ำค่า ซึมซับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมและสิ่งอื่น ๆ เข้าไปโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ทีละเล็กทีละน้อย เป็นเดือนเป็นปี ภาพของโลกในใจก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว และยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้อีก”
“ดังนั้นคนหลายคนที่พอเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วกลับมีการกระทำที่ผิดแผกแปลกประหลาดซึ่งผิดต่อความทรงจำที่คนอื่นจำได้ อันที่จริงสิ่งเหล่านี้ล้วนมีร่องรอยให้ค้นหามาตั้งแต่แรกแล้ว ในช่วงเวลาสำคัญของการขัดเกลานิสัยคนให้เป็นรูปเป็นร่าง การกระทำและคำพูดของพ่อแม่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
การสั่งสอนอบรมที่เพราะทำความผิด แต่กลับด่าไม่ตรงจุด หรือทำผิดแล้ว แต่กลับรู้สึกว่าลูกของตัวเองอายุน้อยเกินไปจึงเลือกจะมองข้าม สุดท้ายก็ไม่เท่ากับทำร้ายคนอื่น ทำร้ายตัวเอง และทำร้ายบุตรชายบุตรสาวของตัวเองหรอกหรือ ดังนั้นการลงโทษและให้รางวัลจะต้องแยกแยะอย่างชัดเจน พ่อแม่ต้องรู้จักตั้งกฎเกณฑ์ให้กับบุตร การอบรมสั่งสอนเมตตาธรรมคุณธรรมคือวิธีอันเป็นรากฐานในการปกครองสังคม การพันธนาการและการลงโทษคือวิธีรองลงมาในการปกครองสังคม”
น้ำเสียงในการพูดของเหวยเลี่ยงราบเรียบ ไม่เร็วไม่ช้า
แม่นางน้อยตั้งใจฟังอย่างยิ่ง บางครั้งก็กะพริบตาปริบๆ
เหวยเลี่ยงเอ่ยต่อว่า “ดังนั้นตอนที่ยังเด็ก พ่อแม่จึงต้องใช้การกระทำสอนคุณธรรมและเมตตาธรรมแก่บุตร พอโตขึ้นมาหน่อย อาจารย์ก็สอนคุณธรรมและเมตตาธรรมในตำราให้แก่ลูกศิษย์ ทั้งสองฝ่ายช่วยเหลือเกื้อกูลอัน ฝ่ายแรกมุ่งเน้นไปทางปฏิบัติ ฝ่ายหลังมุ่งเน้นสู่การยกระดับ จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ ยิ่งไม่ควรขัดแข้งขัดขากันเอง”
แม่นางน้อยนั่งฟังเงียบๆ อยู่ตลอดเวลา ก็ไม่รู้ว่านางฟังเข้าใจบ้างหรือไม่
แต่แม่นางน้อยก็ยังเข้าใจว่าเวลาที่คนอื่นพูดต้องตั้งใจฟัง ห้ามพูดแทรก
เหวยเลี่ยงหันหน้ามายิ้มถาม “รู้หรือไม่ว่าคนแบบไหนที่ค่อนข้างชอบฟังคนอื่นพูดถึงหลักการและเหตุผล?”
แม่นางน้อยส่ายหน้า
เหวยเลี่ยงจึงถามเองตอบเอง “ช่วงแรกเริ่ม ลูกฟังพ่อแม่ หลังจากนั้นนักเรียนก็ฟังอาจารย์ พอเติบโต คนอ่อนแอต้องฟังคนแข็งแกร่ง คนจนฟังคนรวย ขุนนางฟังกษัตริย์ หรืออย่างล่างภูเขาที่ต้องฟังบนภูเขา บนภูเขาต้องฟังยอดเขา ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็มาแล้ว หากคนแข็งแกร่งทำไม่ถูก แต่คนอ่อนแอกลับเชื่อมั่นยึดถือในเหตุผลของผู้แข็งแกร่งอย่างสุดจิตสุดใจ จะทำอย่างไร? คุณธรรมและเมตตาธรรมนั้นยากที่จะเอามาใช้ให้เกิดผลแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ บนโลกมีของสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเคารพนับถือได้มากกว่าวิชาคาถาตระกูลเซียนทั้งหมดบนภูเขา ทำให้ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างก็รู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ทำให้คนเหล่านี้เหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วกลัวคำตำหนิของพ่อแม่ เหมือนไม้ปัดขนไก่และไม้บรรทัดของอาจารย์สอนหนังสือที่หากทำผิดก็จะตีลงมากลางฝ่ามือ รู้จักความเจ็บปวด”
เหวยเลี่ยงยิ้มเจิดจ้า “ฟังไม่เข้าใจ ใช่ไหม?”
แน่นอนว่านางฟังไม่เข้าใจ ในศีรษะเล็กๆ เหมือนมีแต่แป้งเปียก “อืม!”
เหวยเลี่ยงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อันที่จริงเจ้าฟังเข้าหัวไปแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่เข้าใจก็เท่านั้น แต่มันอยู่ในใจของเจ้าแล้ว เก่งกว่าผู้ใหญ่หลายๆ คนเสียอีก พวกเขาส่วนใหญ่มักจะดีแต่อวดฉลาดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หลังจากเคยเสียเปรียบมาก่อน แม่นางน้อย แม้ว่าพรสวรรค์ในการฝึกตนของเจ้าจะธรรมดา แต่ตอนนี้ฐานะครอบครัวของเจ้าดี ไม่ต้องทุกข์ใจเรื่องการกินการอยู่ ไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องซึ่งทำให้นิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปมาก วันหน้าค่อยแต่งงานให้กับบุรุษดีๆ ชีวิตนี้ก็คงไม่ย่ำแย่ไปยังไงแล้ว”
หยวนเหยียนซู่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
เรื่องอย่างการแต่งงานนี้ นางก็เคยเล่นเป็นพ่อแม่ลูกกับคนวัยเดียวกันมากก่อน ทุกครั้งจะต้องหาผ้าต่วนสีแดงมาชิ้นหนึ่ง แล้วคลุมลงบนศีรษะเป็น ‘เจ้าสาว’ หาก ‘สามี’ คือหนอนหนังสือตัวน้อยที่อยู่ในตระกูลหลิวจวนติดกันผู้นั้น นางจะยิ้มมากหน่อย แต่หากเป็นเจ้าอ้วนน้อยของจวนหม่า นางกลับไม่เต็มใจจะยิ้มแล้ว
เหวยเลี่ยงยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมา “เห็นแก่ที่เจ้าเฉลียวฉลาดและรู้ความ จงจำไว้เรื่องหนึ่ง รอจนเจ้าเติบใหญ่แล้ว หากเจอกับด่านยากใหญ่เทียมฟ้าที่เจ้ารู้สึกว่าคนในตระกูลไม่อาจรับมือได้ จำไว้ว่าจงไปที่จวนผู้บัญชาการใหญ่ทางทิศใต้ของเมืองหลวง ไปหาคนที่ชื่อเหวยเลี่ยง อืม หากเป็นเรื่องเร่งด่วน แค่ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปก็พอ”
หยวนเหยียนซู่กล่าวอย่างขลาดกลัว “อาจารย์ นั่นเป็นเรื่องอีกตั้งกี่ปีให้หลัง ช่างมันดีกว่าไหม?”
เหวยเลี่ยงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “จะคิดแบบนี้ไม่ได้ วันเวลาผ่านไปดุจสายน้ำไหล เพียงชั่วพริบตาเจ้าก็เติบใหญ่แล้ว และอีกชั่วพริบตา…”
ก็อาจจะแก่และตายไปแล้ว
เพียงแต่ว่าคำพูดที่ไม่ถูกกาลเทศะเช่นนี้ เหวยเลี่ยงไม่ได้พูดมันออกมา
เหวยเลี่ยงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คนดีถูกรังแก ก็จะไม่เป็นคนดีแล้วหรือ? คนชั่วย่อมไม่มีจุดจบที่ดี ก็จะไปเป็นคนเลวแล้วอย่างนั้นหรือ? วิญญูชนหลอกได้ด้วยวิธีการที่สมเหตุสมผล ก็รู้สึกว่าต้องรังแกวิญญูชนแล้วอย่างนั้นหรือ? แบบนี้ไม่ถูกต้อง”
“เพียงแต่ว่าหากจะพูดถึงความดีความเลวของคน เป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินไป ต่อให้แน่ใจว่าผิดหรือถูก แต่จะจัดการอย่างไรก็ยังเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้า ก็เหมือนความขัดแย้งบนเรือข้ามฟากในวันนี้ หากคนหนุ่มที่สะพายกระบี่ผู้นั้นอดทนใช้เหตุผลมาพูดคุยกับคนกลุ่มนั้น แล้วพวกเขาจะฟังหรือ? แม้ปากจะบอกว่าฟัง แต่ในใจยอมรับหรือไม่? ถ้าอย่างนั้นพูดหรือไม่พูดจะมีความหมายอะไร? เพราะสิ่งที่คนกลุ่มนั้นเต็มใจฟังหาใช่หลักการเหตุผลที่แท้จริงไม่ แต่เป็นเพราะสถานการณ์ในตอนนี้พาไป เมื่อสองฝ่ายต่างคนต่างแยกย้ายกัน สันดอนขุดได้สันดานขุดยาก ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่แน่ว่าการที่นั่งลงพูดคุยกันด้วยเหตุผลดีๆ อาจจะกลับกลายเป็นว่าทำให้ตัวเองต้องเสียเปรียบ…ช่างเถิด ไม่คุยเรื่องพวกนี้แล้ว พวกเรามองทะเลเมฆให้สบายใจดีกว่า”
อันที่จริงบทสนทนาครั้งนี้เป็นเหวยเลี่ยงที่พูดคุยกับตัวเองมากกว่า เขายิ่งไม่คาดหวังว่าแม่นางน้อยจะฟังเข้าใจ
ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้เปลี่ยนมาเป็นพ่อแม่ของหยวนเหยียนซู่ที่มานั่งฟังก็ยังไม่มีประโยชน์อยู่ดี ใช่ว่าฟังไม่เข้าใจ แต่เพราะรู้สึกว่าวิถีบนโลกก็เป็นเช่นนี้ พูดคุยเรื่องพวกนี้ยังไม่น่าสนใจเท่าคุยเรื่องหลักการอันลี้ลับซับซ้อนที่อยู่ห่างไกลจากพื้นดินหมื่นลี้เลย
เมื่อสองร้อยปีก่อนเหวยเลี่ยงก็เป็นเซียนดินคนหนึ่งแล้ว แต่เพื่อผลักดันความรู้ของตัวเองจึงคิดจะถ่ายโอนผ่านขนบธรรมเนียมประเพณีของหนึ่งแคว้น ขณะเดียวกันก็นำมาเป็นการบรรลุมรรคาและโอกาสในการพิศมรรคาของตนด้วย ดังนั้นตอนนั้นเขาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น ‘เหวยเฉียน’ มาเยือนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ช่วยไท่จู่สกุลถังแคว้นชิงหลวนบุกเบิกแคว้น หลังจากนั้นก็ประคับประคองช่วยเหลือฮ่องเต้สกุลถังรุ่นแล้วรุ่นเล่าก่อตั้งกฎหมาย ก่อนจะมีงานโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้เกิดขึ้น เหวยเลี่ยงไม่เคยใช้สถานะผู้ฝึกตนเซียนดินของตัวเองไปเล่นงานขุนนางในราชสำนักและผู้ฝึกตนมาก่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงไม่เพียงแต่เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ความก้าวหน้ายังเป็นไปอย่างเชื่องช้า ถึงขั้นที่ว่าในช่วงเวลาระหว่างฮ่องเต้สองยุคเขายังต้องเดินย้อนกลับมาทางเดิมเป็นระยะทางช่วงใหญ่
นี่ทำให้เหวยเลี่ยงผิดหวังอย่างมาก
สุดท้ายเหวยเลี่ยงจากไปด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่เตือนแม่นางน้อยว่าให้เก็บเรื่องจดหมายและเรื่องจวนผู้บัญชาการไว้เป็นความลับ
หลังจากที่เงาร่างของเหวยเลี่ยงหายไป พ่อแม่ของหยวนเหยียนซู่และเค่อชิงของตระกูลถึงเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กหญิง เริ่มถามถึงรายละเอียดบทสนทนาของทั้งสอง
แม่นางน้อยไม่กล้าปิดบัง แต่ตอนแรกนางก็อยากรักษาความลับเรื่องที่รับปากกับอาจารย์ท่านนั้นว่าจะไม่พูดถึงเรื่องจวนบัญชาการและจดหมาย
เพียงแต่หลุดปากบอกออกไปโดยไม่ทันระวัง ทำให้เค่อชิงผู้เฒ่าของตระกูลจับเบาะแสได้ เขาหลอกถามนางด้วยสีหน้าเมตตาอ่อนโยนแต่กลับซุกซ่อนความนัยลี้ลับเอาไว้ หยวนเหยียนซู่คิดไม่ตกอยู่นาน แต่ก็ไม่อาจต้านทานการซักถามอย่างกระตือรือร้นจากพ่อแม่ได้ จึงได้แต่พูดออกมาอย่างหมดเปลือก
เค่อชิงผู้เฒ่าดีใจสุดขีด หันไปกระซิบกับชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อเบาๆ บอกว่าคนผู้นั้นต้องเป็นผู้ฝึกตนที่ถวายการรับใช้อยู่ในจวนผู้บัญชาการใหญ่อย่างแน่นอน! ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนดังที่อยู่ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่เหวยเลี่ยงก็เป็นได้!
ตระกูลหยวนโชคดีแล้ว!
เค่อชิงผู้เฒ่าตระกูลหยวนกำชับชายลัทธิขงจื๊อผู้นั้นอีกว่า นิสัยของพวกเทพเซียนบนภูเขายากจะคาดเดา ไม่อาจใช้หลักเหตุผลทั่วไปมาประเมินได้ ดังนั้นห้ามวาดงูเติมหางอย่างการไปเยี่ยมเยือนถึงบ้านเพื่อขอบคุณอะไรเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาดเชียว ตระกูลหยวนแค่ทำเป็นว่าไม่รู้อะไรก็พอ
สองสามีภรรยาปลาบปลื้มดีใจอย่างถึงที่สุด
มีเพียงแม่นางน้อยที่เต็มไปด้วยความละอายใจต่อเทพเซียนท่านนั้น นางนั่งยองอยู่ข้างราวรั้ว รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
เหวยเลี่ยงที่เดินจากไปไกลแล้วถอนหายใจหนึ่งที
เรื่องเล็กแค่นี้ไม่อาจทำให้เหวยเลี่ยงผิดหวังได้ ยิ่งไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง แค่ไม่มีความปิติยินดีก็เท่านั้น วันหน้าหากตระกูลหยวนที่ถือว่าเป็นแค่ตระกูลลำดับรองของเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนเจอกับปัญหา ต่อให้จดหมายฉบับนั้นส่งไปไม่ถึงจวนผู้บัญชาการ เขาเหวยเลี่ยงก็ยังจะลงมือช่วยเหลือครั้งหนึ่ง
แต่แม่นางน้อยที่ชื่อว่าหยวนเหยียนซู่ผู้นั้นก็ได้สูญเสียโชควาสนาของตระกูลเซียนที่สามารถเหยียบย่างไปบนเส้นทางของการฝึกตนแล้ว
เพียงแต่เหวยเลี่ยงก็รู้ด้วยว่า สำหรับหยวนเหยียนซู่แล้ว นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายจริงๆ เสมอไป
การที่ได้มีชีวิตอย่างสงบสุขมั่นคงอยู่บนโลกก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
ขึ้นเขามาฝึกตน กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณ หากเริ่มงัดข้อกับสวรรค์เมื่อไหร่ ไม่พูดถึงความดีความเลวของคน แต่ขอแค่เป็นคนที่ไม่มีจิตมุ่งมั่นก็ยากที่จะได้พบจุดจบที่ดีในบั้นปลายชีวิต
……
เฉินผิงอันจูงมือเผยเฉียนกลับไปยังห้องบนเรือ
วันนี้เผยเฉียนบอกว่าตัวเองจะคัดตัวอักษรห้าร้อยตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เฉินผิงอันไม่ได้ขัดขวาง แค่เตือนว่าวันนี้เขียนเยอะแล้ว แต่ก็ไม่อาจนำไปนับรวมกับวันพรุ่งนี้ได้
เผยเฉียนยืดอกตั้งพูดว่า นั่นมันแน่อยู่แล้ว
ตอนที่คัดตัวอักษรนางก็วางน้ำเต้าน้อยสีเหลืองไว้ข้างมือ
เฉินผิงอันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ พลิกเปิดตำราสำนักนิติธรรมเล่มหนึ่งที่ซื้อมาหลังจากได้รับคำแนะนำจากชุยตงซานต่ออีกครั้ง ไม่ใช่ตำราที่มีเล่มเดียวหายากอะไร แต่กลับเป็นหนึ่งในตำรา ‘ดั้งเดิม’ ประเภทที่สามารถสนับสนุนประคับประคองรากฐานของสามลัทธิร้อยสำนักเอาไว้ได้ เกี่ยวกับเรื่องของการอ่านหนังสือนี้ ลู่ไถเคยแนะนำเฉินผิงอันมาก่อน และเฉินผิงอันก็จดจำไว้ขึ้นใจเสมอ ยกตัวอย่างเช่นวิธีการอ่านหนังสือคือควรอ่านเล่มหนาก่อนแล้วค่อยอ่านเล่มบาง รวมไปถึงการ ‘ไล่ตามเส้นเบาะแสไปหาเครือญาติ’ และยังมีเคล็ดลับในการเลือกหนังสือ อย่าเห็นว่าความรู้ของเมธีร้อยสำนักปะปนกันหลากหลาย มีหนังสืออยู่หลายประเภทจนแทบจะเรียกได้ว่ามหาสมุทรตำราอันไร้ขอบเขตสิ้นสุด อันที่จริงแล้วต่อให้เป็นความรู้ของสามลัทธิอย่างขงจื๊อ พุทธ เต๋าที่ตำราได้รับความนิยมมากที่สุด ทว่าหนังสือที่คู่ควรแก่สี่คำว่า ‘เปิดตำรามีประโยชน์’ อย่างแท้จริง รวมกันแล้วกลับไม่เกินห้าสิบเล่ม มนุษย์ธรรมดาที่มีอายุเจ็ดสิบปีทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนสามารถอ่านอย่างละเอียดและอ่านทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้
ดังนั้นตำราสามเล่มนี้ของสำนักนิติธรรมที่เฉินผิงอันเลือกมาจึงเป็นเพียงตำราที่แน่ใจว่าการพิมพ์ไม่มีจุดผิดพลาดเท่านั้น
เรื่องราวในคืนนี้ สิ่งที่เฉินผิงอันรู้สึกปลาบปลื้มใจในตัวเผยเฉียนมากที่สุดยังคงเป็น ‘การกระทำจากใจจริง’ ที่เฉินผิงอันเคยบอกกับเผยเฉียนไปก่อนหน้านี้
เมื่อทำผิดก็ควรขอโทษผู้อื่นก่อนด้วยความจริงใจ
นอกจากนี้ก็คือเผยเฉียนในเวลานี้กับเผยเฉียนในตอนแรกราวกับเกิดฟ้าพลิกดินคว่ำ ยกตัวอย่างเช่นตั้งแต่เกิดเรื่องจนจบเรื่อง ความคิดเดียวของเผยเฉียนก็คือคัดตัวอักษร
ไม่ใช่หันกลับไปด่าคนกลุ่มนั้นด้วยคำพูดทำนองว่าจะไม่ตายดี
เฉินผิงอันถาม “เผยเฉียน ถูกเจ้าหมอนั่นกดหัว เกือบจะผลักเจ้ากระเด็นออกไป เจ้าไม่โกรธหรือ?”
“โกรธสิ ตลอดทางที่เดินกลับมานี่ในใจข้าก็ด่าเขาตลอดทางเลยไงล่ะ เจ้าคนสารเลวทั้งแปดคนนั้น วิธีตายของแต่ละคนที่ข้าคิดไว้ล้วนไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นเจ้าคนที่ถูกอาจารย์สั่งสอนนั่นออกจากบ้านไม่ทันระวังสะดุดล้มร่วงลงไปจากเรือข้ามฟาก กระแทกลงบนพื้นจนร่างเหลกเหลว ส่วนสตรีหน้าเหม็นคนที่หากอิงตามการบรรยายหน้าตาที่พ่อครัวเฒ่าเคยเล่าให้ข้าฟังก็ต้องเรียกว่ายิ้มทีถุงใต้ตาปูดบวมผู้นั้น ข้าหวังให้นางอยู่ดีๆ ก็ไปทะเลาะกับคนอื่น แล้วถูกคนเขาตบหน้าหันซ้ายหันขวา สุดท้ายถูกคนตบจนฟันร่วงหมดปาก ฮ่าๆ แล้วก็ยังมีเจ้าคนปากแหลมแก้มลิงผู้นั้น ให้เขาท้องเสีย อยู่บนเรือข้ามฟากไม่มีหมอช่วยจึงต้องนอนกลิ้งร้องโอดโอยอยู่บนพื้น…”
เผยเฉียนมัวแต่มุ่งมั่นคัดตัวอักษร ไม่ทันระวังจึงหลุดปากพูดความในใจออกมา เพิ่งจะรู้ตัวในฉับพลัน จึงพูดหน้าม่อยว่า “อาจารย์ เขกมะเหงกหรือดึงหู ท่านตัดสินใจเอาเลย”
เฉินผิงอันไม่ได้โกรธสักเท่าไหร่ เขายิ้มถามว่า “งั้นถ้าเกิด…”
ดูเหมือนเผยเฉียนจะรู้ว่าเฉินผิงอันจะถามอะไร จึงยืดเอวตั้งตรง “อาจารย์ท่านวางใจเถิด ข้าก็แค่คิดในใจหาความบันเทิงให้ตัวเองเท่านั้น ต่อให้วันใดข้าฝึกวิชากระบี่ล้ำโลกและวิชาหมัดไร้เทียมทานสำเร็จแล้ว แล้วได้มาเจอกับเจ้าคนพวกนี้ก็ไม่มีทางทำอะไรพวกเขาหรอก! อย่ามากก็แค่ถีบพวกเขาทีหนึ่งเหมือนที่อาจารย์ทำ”
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมล่ะ?”
เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้ามีเหตุมีผล “ก็ข้าคือลูกศิษย์ของอาจารย์อย่างไรล่ะ แถมยังเป็นลูกศิษย์เปิดขุนเขาด้วย! หากข้าถือสาพวกเขา จะไม่ทำให้อาจารย์ขายหน้าหรอกหรือ? อีกอย่าง นี่มันเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเอง ตอนเด็กข้าถูกคนเตะคนถีบก็ถมเถไป ตอนนี้ข้าเป็นคนมีเงินแล้ว แถมยังเป็นคนในยุทธภพครึ่งตัวแล้วด้วย แน่นอนว่าต้องเป็นคนใจกว้าง!”
จูเหลี่ยนพาสือโหรวผลักประตูเดินเข้ามาพอดี เขายกนิ้วโป้งให้นาง “ความสามารถในการประจบสอพลอของจอมยุทธ์หญิงเผย ยิ่งนานวันยิ่งเข้าขั้นสุดยอดแล้ว”
เผยเฉียนก้มหน้าก้มตาคัดตัวอักษรต่อ วันนี้นางอารมณ์ดีมาก จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพ่อครัวเฒ่าแล้ว
เฉินผิงอันพูดกับจูเหลี่ยน “อีกเดี๋ยวคนกลุ่มนั้นต้องมาขออภัยแน่นอน เจ้าช่วยขวางไว้ให้ข้าที บอกให้พวกเขาไสหัวไปไกลๆ”
เผยเฉียนถามขึ้น “อาจารย์ ทำไมถึงไม่พบ จะได้พูดคุยกับพวกเขาด้วยเหตุผลไงล่ะ?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เจ้าจะไปเข้าใจกับผายลมอะไร”
เผยเฉียนไม่ได้เถียงกลับอย่างที่หาได้ยาก นางแสยะปากแอบหัวเราะ
คราวก่อนตอนที่เดินอยู่บนทางเล็กหลังออกจากสวนสิงโต นางก็กุมตดเอาไปให้จูเหลี่ยนกับสือโหรวเดา ดังนั้นพ่อครัวผู้เฒ่า เจ้าเข้าใจผายลมดีจริงๆ
จูเหลี่ยนยืนอยู่ข้างเผยเฉียน มองดูนางคัดตัวอักษร วิธีที่นางใช้เขียนตัวอักษรน่าจะเรียนรู้มาจากเฉินผิงอัน ตอนนี้ก็พอจะถือว่าเขียนได้บรรจงเป็นระเบียบแล้ว
จูเหลี่ยนมองนางเขียนตัวอักษรแต่ละตัวอย่างจริงจังตั้งใจพลางพูดไปด้วยว่า “นายน้อยพูดจาดีๆ กับคนประเภทนี้ ภายนอกพวกเขาต้องทำเป็นว่ายอมศิโรราบให้ทั้งกายและใจ ปากยังจะพูดคำพูดเหลวไหลทำนองว่าวันหน้าจะไม่ทำแบบนี้อีกเด็ดขาด แต่พอหันหลังกลับไปก็เดินเหยียบจมูกขึ้นหน้า (เปรียบเปรยว่าฝ่ายหนึ่งให้หน้าไม่ถือสาอีกฝ่าย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งไม่เพียงแต่ไม่รับน้ำใจกลับยังทำตัวกำเริบเสิบสาน) ไม่แน่ว่าอาจจะเห็นเรื่องครั้งนี้เป็นความภาคภูมิใจ เวลาเจอคนอื่นก็จะบอกว่าหากไม่ตีกับนายน้อยก็คงไม่ได้รู้จักกัน พอลงจากเรือก็ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพของพวกเขาต่อไป ในเมื่อมีสหายเป็นผู้ฝึกกระบี่ซึ่งคนทั้งเรือต่างก็เป็นพยานให้ได้แล้ว นี่จะไม่ทำให้คนอื่นๆ กริ่งเกรงหรอกหรือ เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กหรือไง?”
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างกังขา “จะเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร พวกเราไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกับพวกเขาหรอกหรือ?”
จูเหลี่ยนนั่งลงด้านข้าง พูดด้วยเสียงเรียบเฉย “พวกเรารู้ แต่ยุทธภพไม่รู้”
เผยเฉียนหยุดมือที่เขียนพู่กัน นางโมโหจนต้องเอามืออีกข้างหนึ่งตบโต๊ะ “เหตุใดยุทธภพถึงได้เส็งเคร็งเช่นนี้!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตั้งใจคัดตัวอักษรไป พยายามเขียนให้เสร็จรวดเดียว อย่าอืดอาดยืดยาดระหว่างเขียน”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็คัดตัวอักษรต่ออีกครั้ง
แล้วก็จริงดังคาด
ระเบียงด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาเป็นระลอก คนส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามสี่ มีแค่คนเดียวที่เป็นขอบเขตห้า
พวกเขาเริ่มเคาะประตู
หลังจากจูเหลี่ยนไปเปิดประตูก็ถีบคนหนึ่งในนั้นกระเด็นออกไป “อย่ามารบกวนความสงบสุขของนายน้อยข้า หากยังมาให้เกะกะสายตา ข้าเห็นใครก็จะตบคนคนนั้นให้ตาย”
คนกลุ่มนั้นหวาดผวาพรั่นพรึง ก้มหน้าค้อมเอวต่ำ บอกลาแล้วเฮโลกันจากไป
ห้องที่อยู่ใกล้เคียงกับระเบียงเส้นนี้มีถึงครึ่งหนึ่งที่เปิดประตูออก พวกเขาต่างก็สงสัยใคร่รู้กันอยู่แล้วว่าอันดับต่อไปจะเป็นการพูดจาไม่เข้าหูเลือดก็กระเด็นไกลสามฉื่อ หรือจะเป็นตำนานอันงดงามในยุทธภพอย่างที่กล่าวถึงในตำรา
ผลกลับกลายเป็นว่าเกิดภาพเหตุการณ์นี้ขึ้น ทุกคนต่างก็รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย
แต่ก็มีผู้ฝึกตนอิสระหลายคนที่รู้สึกดีไม่น้อย
หากคนมุทะลุกลุ่มนั้นได้รับโชคดีหลังโชคร้าย ได้ปีนป่ายพึ่งพาผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้งผู้นี้จริงๆ พวกเขาก็ไม่ต้องอิจฉาตาร้อนจนตายหรอกหรือ
มองเฉินผิงอันที่กำลังมองเผยเฉียนคัดตัวอักษร ดูว่าแต่ละขีดแต่ละเส้นที่นางเขียนมีข้อผิดพลาดหรือไม่
สือโหรวพลันรู้สึกอย่างหนึ่งว่า เวลาหลายร้อยปีที่ตนเป็นผีมานี้เหมือนเอาชีวิตไปใช้บนร่างสุนัขโดยแท้
เขายังไม่ทันอายุยี่สิบเลยไม่ใช่หรือ?
ไม่ควรมองจุดที่ละเอียดอ่อนที่สุดในใจคนได้อย่างทะลุปรุโปร่งขนาดนี้กระมัง
เฉินผิงอันหันขวับกลับมา ยิ้มถามว่า “เจ้ามองข้าอยู่นานแล้ว มีอะไรหรือ?”
สือโหรวเขินอายเล็กน้อย ส่ายหน้าตอบรับ
เห็นเฉินผิงอันมีสีหน้าประหลาด สือโหรวก็กลัวว่าเขาจะคิดไปไกล เข้าใจผิดคิดว่าตนมีความคิดที่ไม่ถูกไม่ควร สือโหรวยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง พลันลุกพรวดขึ้นยืน หมุนตัวเดินจากไปทันที
เฉินผิงอันมึนงงไม่เข้าใจ
เขารู้สึกว่าถูก ‘ตู้เม่า’ จ้องมองแบบนี้ ขนบนตัวเขาก็ลุกพรึ่บไปหมด
จูเหลี่ยนพูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “นายน้อยสมกับเป็นหงส์มังกรในกลุ่มคนจริงๆ สตรีบนโลกที่ได้พบบุคคลเฉกเช่นนายน้อยจะไม่ยอมเสียเวลาทั้งชีวิตเพื่อเฝ้ารอนายน้อยหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “จูเหลี่ยน บางครั้งคำประจบของเจ้าก็ฟังรื่นหูไม่เท่าของเผยเฉียนจริงๆ”
จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ “ถึงอย่างไรเรื่องการประจบสอพลอนี้ เผยเฉียนก็มีพรสวรรค์โดดเด่นไม่ธรรมดา บ่าวเฒ่าก็แค่เพิ่งจะมาขยันหมั่นเพียรเอาในภายหลังเท่านั้น”
เผยเฉียนก้มหน้าคัดตัวอักษร ไม่แม้แต่จะเงยหน้า ทว่ากลับพูดด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “พ่อครัวเฒ่า เจ้ารอก่อนเถอะ รอให้ข้าคัดตัวอักษรเสร็จก่อน ยังเหลืออีกหนึ่งร้อยยี่สิบห้าตัว ถึงเวลานั้นเจ้าแย่แน่”
จูเหลี่ยนพูดกลั้วหัวเราะ “ทำไม จะแข่งกินขี้กับข้าหรือ หรือว่าจะแข่งกันด่าคน?”
เฉินผิงอันรู้สึกทนฟังไม่ค่อยได้จึงหยิบเอายันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีที่มีมูลค่าควรเมืองแผ่นนั้นและแผ่นหยกที่สลักคำว่าวังมังกรชิ้นนั้นออกมา
เพราะถูกหลี่เป่าเจิน ‘เปิดประตู’ ไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งเฉินผิงอันก็ไม่รู้วิธีปิดประตู ปราณวิญญาณที่อยู่ในวัตถุสองชิ้นนี้จึงไหลหายไปตลอดเวลา เพียงแต่เมื่อเทียบกับความเปี่ยมล้นของปราณวิญญาณในตัวยันต์และแผ่นหยกเองแล้วก็แทบจะมองข้ามไปได้เลย
ก็เหมือนมีคนใช้จอบขุดร่องน้ำเล็กๆ ปล่อยน้ำออกไปจากทะเลสาบนอกสวนสิงโตที่มีพงต้นกกต้นอ้อแห่งนั้น
นี่จึงยิ่งขับดันให้เห็นถึงช่องโหว่ร้ายแรงถึงชีวิตจากการที่ผู้ฝึกยุทธ์เป็นคนวาดยันต์
หนึ่งคือน้ำมันเดือดพล่านไฟแรง ประหนึ่งสี่ฤดูที่หมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน กาลเวลาไม่รั้งรอ
หนึ่งคือสายน้ำเส้นเล็กไหลยาว ดุจถ้ำสถิตตระกูลเซียน สี่ฤดูล้วนเขียวขจี
จูเหลี่ยนจุ๊ปากพูด “แผ่นหยกนี้มองไม่ออกถึงความเป็นมา แต่ยันต์ล้ำค่าของคุณชายรองตระกูลหลี่แผ่นนี้น่าจะถือว่าเป็น…สมบัติอาคมในสมบัติอาคมของตระกูลเซียน?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “สายยันต์คือสายใหญ่สายหนึ่งของลัทธิเต๋า การเปลี่ยนแปลงพันหมื่นอย่างล้วนเป็นเจตนารมณ์สวรรค์ หลังจากนำมาใช้จนคล่องแคล่วคุ้นเคยแล้วก็มากพอจะทำให้ผู้ฝึกตนเดินทางท่องไปสี่ทิศได้อย่างไม่กริ่งเกรง ต่อให้เจอกับผู้ฝึกกระบี่ที่กินเงินมากที่สุด พลังพิฆาตสูงที่สุดก็ยังมียันต์อักษรบ่อน้ำ ยันต์พันธนาการกระบี่ที่สามารถรับมือด้วยได้ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ ที่หวาดกลัวผู้ฝึกกระบี่เหมือนกลัวเสือแล้ว ถือว่าดีกว่ามากแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังสามารถสยบกำราบภูตผี ดังนั้นผู้ฝึกตนทั่วไปจึงมักจะพกยันต์ติดกายไว้หลายแผ่นเพื่อเตรียมไว้ใช้ในช่วงเวลาที่จำเป็น ส่วนจำนวนมากน้อย ระดับสูงหรือต่ำก็ต้องดูที่เงินในกระเป๋าของแต่ละคน”
สังเกตเห็นว่าจูเหลี่ยนมองมาทางตน
ศึกที่สวนสิงโต นอกจากเฉินผิงอันจะใช้ทองวาดยันต์แล้ว ยังควักยันต์ระดับสูงที่ล้ำค่าออกไปอีกปึกใหญ่
เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลัง เมื่อไปถึงภูเขาลั่วพั่วเขตการปกครองหลงเฉวียน ถึงเวลานั้นค่อยเล่าให้เจ้ากับเผยเฉียนฟัง สรุปก็คือนี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ข้าไม่ได้สังหารหลี่เป่าเจิน”
จูเหลี่ยนไม่ถามให้มากความอีก เขาถูมือกล่าวว่า “นายน้อย ให้โอกาสข้าได้ป้อนหมัดหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ลุกขึ้นยืน “คราวนี้เจ้าลงมือหนักๆ หน่อย ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะรับไหวหรือไม่ เจ้าจูเหลี่ยนไม่รู้หรอกว่าปีนั้นข้าถูกคนป้อนหมัดอย่างไร หากได้เห็นก็จะรู้ว่าตอนที่เจิ้งต้าเฟิงป้อนหมัดให้พวกเจ้าในร้านยานครมังกรเฒ่าก็ช่าง…อืม หากอิงตามคำพูดของเจ้าจูเหลี่ยนก็คือบุรุษวาดคิ้วให้สตรี วิธีการอ่อนโยนนุ่มนวล”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ก็นั่นน่ะสิ ตอนนั้นบ่าวเฒ่าก็รู้สึกแล้วว่าไม่สาแก่ใจมากพอ เพียงแต่ว่ามีสุยโย่วเปียนอยู่ด้วย บ่าวเฒ่าจึงไม่อยากพูดอะไรมาก”
เผยเฉียนคัดตัวอักษรเสร็จแล้ว
เฉินผิงอันกล่าว “กลับไปที่ห้องตัวเอง ไม่อย่างนั้นถึงเวลานั้นเจ้าต้องตกใจมากแน่”
เผยเฉียนเอ่ยรับรอง “ไม่มีทาง!”
เฉินผิงอันหยิบยันต์ขจัดสิ่งสกปรกแผ่นหนึ่งออกมาแปะไว้ในห้องก่อน
ผลคือพอผ่านไปหนึ่งก้านธูป เผยเฉียนที่มองคนทั้งคู่ประมือกันก็เหงื่อแตกเต็มไปทั้งศีรษะ อกสั่นขวัญผวาสุดขีด ภายหลังจึงวิ่งไปตรงมุมห้อง พลิกเปิดหีบไม้ไผ่ใบนั้นของเฉินผิงอัน หยิบเอากล่องเก็บสมบัติของตนออกมา
หากนางเองก็ต้องฝึกวรยุทธ์ด้วยวิชาหมัดเช่นนี้กว่าจะได้กลายเป็นยอดฝีมือล้ำโลกตามความคิดของตน เผยเฉียนจะต้องแสร้งทำเป็นว่าวรยุทธ์ไม่มีอยู่จริง ยุทธภพในใต้หล้าอะไรที่กล่าวถึงในตำรา แค่เปิดหนังสืออ่านเอาก็พอแล้ว
ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่เฉินผิงอันสวมไว้บนร่างสามารถลดปัญหายุ่งยากไปได้มาก
เขากลับมานั่งข้างโต๊ะพร้อมกับจูเหลี่ยน หยิบเอาเหล้าอู้ซงกาหนึ่งที่ซื้อมาจากเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนออกมา แล้วรินให้จูเหลี่ยนหนึ่งถ้วย
จูเหลี่ยนกระดกดื่มรวดเดียวหมด ไม่ต้องให้เฉินผิงอันรินเหล้าให้ก็หยิบกาเหล้ามาเทเหล้าใส่ถ้วยให้ตัวเองจนเต็ม
เผยเฉียนเอ่ยเตือน “พ่อครัวเฒ่าเจ้าดื่มให้น้อยๆ ลงหน่อย ดื่มเหล้ามากไปทำร้ายร่างกาย อีกอย่างเหล้าอู้ซงหนึ่งกาก็ตั้งสามตำลึงเชียวนะ”
จูเหลี่ยนเริ่มดื่มช้าลง ถามเบาๆ ว่า “คุณชายคิดจะฝ่าคอขวดเลื่อนสู่ขอบเขตหกตอนไหน?”
ในใจเฉินผิงอันตัดสินใจได้นานแล้ว เขาตอบว่า “รออีกหน่อยเถอะ มีโชควาสนาหนึ่งที่สามารถลองช่วงชิงมาได้”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอย่างละเอียดว่าโชควาสนาที่ว่านั้นคืออะไร เพราะถึงอย่างไรคำว่า ‘แข็งแกร่งที่สุด’ ก็เป็นมายาเลื่อนลอยยิ่งกว่าชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้นที่สามารถจำแลงออกมาเป็นภาพปรากฎการณ์เสียอีก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากจะให้ข้าไปตามพื้นที่ลับ ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตกพังทลายไปแล้วเพื่อช่วงชิงโชควาสนา แย่งสมบัติอาคม หวังว่าจะพบเจอกับเซียนหรือมรดกตกทอดรูปแบบต่างๆ ข้าไม่ค่อยกล้าเท่าใดนัก”
แต่หากจะให้อาศัยรากฐานของวิถีวรยุทธ์ที่มาจากการสั่งสมหมัดแล้วหมัดเล่า เรื่องแบบนี้เฉินผิงอันรู้สึกว่าลองทำดูก็ไม่มีปัญหา
แต่เฉินผิงอันเองก็รู้ว่าขอแค่เฉาสือยังเป็นขอบเขตห้า อย่าว่าแต่เขาเฉินผิงอันเลย ใครก็ไม่มีความหวังทั้งนั้น
ขนาดผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ก็ยังเคยพูดกับปากตัวเองว่า การฝึกวรยุทธ์และการอบรมบ่มเพาะตัวเองของเฉาสือทิ้งห่างจากผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดียวกันไปมากเกินไป ทุกขอบเขตของเขาล้วนมีแต่จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
ตอนนั้นหนิงเหยาไม่ใคร่จะยินยอมนัก บอกว่าต่อให้อาจารย์ของเฉาสือคืออันดับหนึ่งบนวิถีวรยุทธ์ของใต้หล้าทั้งสี่ อีกทั้งโชคชะตาบู๊ยังสามารถจำแลงออกมาเป็นรูปธรรม แต่ฟ้าดินกว้างใหญ่ ทุกวันล้วนมีเรื่องที่ไม่อาจคาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เฉาสือจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละขอบเขตไปทุกครั้งได้อย่างไร? หรือว่าบรรพบุรุษแต่ละรุ่นของเขาเฉาสือเป็นคนเปิดร้าน ครอบครองกิจการใหญ่เพียงลำพัง ผูกขาดโชคชะตาบู๊ของใต้หล้าไปแล้ว?
ตอนนั้นเฉินชิงตูพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
‘เฉาสือก็แข็งแกร่งเช่นนี้แหละ ตั้งแต่ฐานกระดูก พรสวรรค์ไปจนถึงนิสัย หรือแม้แต่โชคชะตาบู๊ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งหมด ไม่มีเหตุผลให้ต้องพูดกันอีก’
ตอนนั้นเฉินผิงอันเพิ่งจะแพ้ให้เฉาสือสามครั้งติดต่อกัน ตัวเขาเองไม่ได้รู้สึกอะไร แต่หนิงเหยากลับโกรธไม่น้อย
เห็นหนิงเหยามีท่าทางเช่นนั้น เฉินผิงอันก็อารมณ์ดีอย่างมาก ผลคือพอหนิงเหยาเห็นเขาเป็นแบบนั้นก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่
คราวนี้จูเหลี่ยนหลุดปากพูดออกมาว่า “นายน้อยคือบุคคลที่มีโชควาสนายิ่งใหญ่เทียมฟ้า มีหรือจะเข้าไปในภูเขาสมบัติแล้วกลับมามือเปล่า ตอนนี้จะดีจะชั่วบ่าวเฒ่าก็เป็นขอบเขตร่างทอง พอจะเข้าใจพื้นที่ลับถ้ำสถิตที่เกิดขึ้นหลังจากพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์ปริแตกอยู่บ้าง รู้ดีว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเข้าไปไม่ได้ พอเข้าไปแล้วพื้นที่ลับจะไม่มั่นคง ง่ายที่จะปริแตก ง่ายที่จะถูกแม่น้ำแห่งกาลเวลาไร้ระเบียบเหล่านั้นห่อหุ้มเอาไว้ ร้ายแรงหน่อยก็ตบะถูกสลาย เมื่อไม่มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคอยจับจ้อง อีกทั้งยังมีบ่าวเฒ่าให้การช่วยเหลือ ตอนนี้นายน้อยก็สามารถลองไปเสี่ยงดวงดูได้แล้ว คราวหน้าหากพบเจอสถานที่ทำนองนี้อีก ไม่สู้นายน้อยพาบ่าวเฒ่าไปด้วย ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องถูกสถานที่เช่นนี้พันธนาการ”
เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ากล่าวว่า “มีเหตุผล เป็นข้าเคยชินที่จะหลีกเลี่ยงสถานที่พวกนี้ ตอนนี้ลองมานึกดูแล้วก็ควรต้องปรับเปลี่ยนความคิดในอดีตสักหน่อย”
เดิมทีพอเผยเฉียนได้ยินคำว่า ‘โชควาสนายิ่งใหญ่เทียมฟ้า’ ก็ขมวดคิ้วขนคิ้วตั้งชันทันที เพียงแต่พอได้ยินคำพูดในประโยคหลังของจูเหลี่ยน หัวคิ้วถึงได้คลายออก
จูเหลี่ยนขบคิดใคร่ครวญ
จากนั้นกาลเวลาบนเรือข้ามฟากตระกูลเซียนก็ผ่านไปอย่างเชื่องช้า
สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่เป็นสถานที่แนะนำของตระกูลเซียนบนภูเขาไม่อาจสร้างท่าเรือตระกูลเซียนที่ต้องเผาผลาญเงินเทพเซียนไปอย่างไม่มีหยุดยั้งได้ ดังนั้นเรือข้ามฟากลำนี้จึงไม่สามารถ ‘จอดเทียบท่า’ แต่ก็ได้เตรียมเรือตระกูลเซียนที่สามารถล่องลอยกลางอากาศทะยานไปตามสายลมพาผู้โดยสารบนเรือข้ามฟากที่มาถึงจุดหมายไปส่งยังท่าเรือเล็กๆ บนภูเขาไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนที่ผ่านแท่นตกปลาที่มีชื่อเสียงซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ทางเหนือของแคว้นชิงหลวน คนที่ลงจากเรือมีมากเป็นพิเศษ เฉินผิงอันกับพวกเผยเฉียนจูเหลี่ยนมาที่หัวเรือ เห็นว่าระหว่างภูเขาใหญ่สูงตระหง่านสองลูกมีทะเลเมฆล่องลอยผ่านไปประหนึ่งธารน้ำไหลริน แท่นตกปลาขนาดใหญ่สองฝั่งซ้ายขวาที่ตั้งคุมเชิงกันอยู่นั้นสร้างขึ้นบนยอดเขาใหญ่ริมฝั่งทะเลเมฆ บางครั้งก็มองเห็นนกหลากสีสยายปีกโบยบินแหวกทะเลเมฆ วาดตัวเป็นเส้นโค้งแล้วผลุบจมหายไปในทะเลเมฆอีกครั้ง
เผยเฉียนมองอย่างเพลิดเพลิน เจ็บใจก็แต่ตนไม่สามารถบังคับลมเดินไปได้ ไม่อย่างนั้นเสียงสวบหนึ่งที นางก็คงพุ่งพรวดไป ใช้ไม้เท้าเดินป่าที่ถือไว้ในมือทุบตีไปบนตัวนกและปลาบินเหล่านั้น จากนั้นค่อยจับพวกมันกลับมาที่เรือ น่าจะเอาไปขายได้หลายตัง ไม่แน่ว่าวิ่งไปกลับหลายๆ รอบ นางก็อาจจะซื้อกล่องเก็บสมบัติสักใบหนึ่ง หรือแม้แต่ชั้นเก็บสมบัติก็อาจจะซื้อได้
จูเหลี่ยนคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด แต่ตลอดทางที่ติดตามเฉินผิงอันมานี้ เขาเอาแต่เดินเท้าตลอดเวลา ไม่เคยมีประสบการณ์ทะยานลมเดินทางไกลเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “จูเหลี่ยน เจ้าไม่คิดอะไรบ้างหรือ? ไม่รู้สึกผิดต่อขอบเขตของตัวเองหรือไร?”
จูเหลี่ยนส่ายหน้ายิ้มตอบ “นายน้อย ตอนที่บ่าวเฒ่าอยู่ที่บ้านเกิดก็เอียนกับสายตาตกอกตกใจของคนรอบข้างมากพอแล้ว ไม่มีอารมณ์จะทำเรื่องไร้สาระเช่นนั้นจริงๆ”
สือโหรวที่อยู่ด้านข้างชมทัศนียภาพเงียบๆ
สำหรับความคิดที่ผิดแผกไปจากคนอื่นของจูเหลี่ยน นางไม่รู้สึกประหลาดใจเพราะเคยชินเสียแล้ว
……
ในขณะที่พวกเฉินผิงอันชมทิวทัศน์กันอยู่นั้น
เหวยเลี่ยงนั่งอยู่ข้างโต๊ะหนังสือในห้อง กำลังเขียนอะไรบางอย่าง ข้างมือวางกล่องไม้จื่อถานโบราณที่ส่งกลิ่นหอมไว้ใบหนึ่ง ด้านในบรรจุมีดตัดกระดาษที่เป็น ‘อาวุธของวิญญูชน’ ไว้จนเต็ม
เขาหยิบมีดแกะสลักไม้ไผ่เหลืองเล่มหนึ่งออกมาจากในนั้น เอามาทำเป็นที่ทับกระดาษชั่วคราว
แม้ว่าเหวยเลี่ยงจะออกจากเมืองหลวงโดยใช้เหตุผลว่าจะไปท่องเที่ยวเพื่อผ่อนคลายจิตใจ แต่อันที่จริงตลอดทางมานี้เขากลับทำเรื่องเรื่องหนึ่งอยู่ตลอดเวลา
เกี่ยวกับแคว้นชิงหลวน จะบอกว่าเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่ เรื่องเล็กก็ไม่เล็ก
เขากำลังช่วยคนผู้หนึ่งรวบรวมระดับขั้นของเซียนซือเทียบวงศ์ตระกูลในแจกันสมบัติทวีป ซึ่งจำเป็นต้องจับจุดสำคัญแล้วชี้สาระสำคัญออกมา
เหวยเลี่ยงกำหนดกรอบของเค้าโครงตั้งต้นไว้เป็นระบบเก้าขั้น
ขั้นแรก มีเพียงขอบเขตเซียนเหรินซึ่งเป็นหนึ่งในห้าขอบเขตบนของแจกันสมบัติทวีปเท่านั้นที่สามารถเลื่อนขั้นมาอยู่ในลำดับนี้ได้
ขั้นสอง ขอบเขตหยกดิบของห้าขอบเขตบน หรือเป็นผู้ที่สร้างคุณความชอบดับแคว้นให้แก่กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีที่กรีฑาทัพลงใต้
ขั้นสาม ขอบเขตก่อกำเนิด หรือผู้ที่มีคุณความชอบเท่ากับผู้บุกเบิกพื้นที่ของหนึ่งเขต
ขั้นสี่ ขอบเขตโอสถทอง
แล้วค่อยๆ ลดระดับลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงขั้นเก้าซึ่งเป็นขอบเขตท้ายสุด
การแบ่งอย่างละเอียดค่อนข้างซับซ้อน ไม่ได้เชื่อมโยงกับขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณเสมอไป ต้องอิงตามคุณูปการน้อยใหญ่ของผู้ฝึกตนที่ราชสำนักต้าหลีบันทึกไว้ โดยเฉพาะระหว่างที่กองทัพของพวกเขากรีฑาทัพลงใต้ในครั้งนี้
หร่วนฉงแห่งสำนักกระบี่ของหลงเฉวียนเป็นทั้งอันดับหนึ่งในขั้นสอง แล้วก็เป็นทั้งผู้ครองอันดับสูงสุดของผังเซียนที่ในอนาคตจะถูกสกุลซ่งต้าหลีมองเป็นสมุดบันทึกคุณความชอบนี้ชั่วคราว
นอกจากนี้ก็มีสองปฐมสำนักของสำนักการทหารอย่างภูเขาเจินอู่และศาลลมหิมะ รวมไปถึงพรรคใหญ่ของผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองแห่งอย่างสวนลมฟ้าและภูเขาตะวันเที่ยง
เลื่อนลงไปอีกก็เป็นพวกตำหนักฉางชุนของต้าหลี ภูเขาเมฆาเรือง สกุลสวี่แห่งนครลมเย็น
พวกเขาเหล่านี้ล้วนต้องได้รับเกียรติเดินเข้าสู่ผังนี้คนหรือสองคนอย่างแน่นอน อีกทั้งระดับขั้นยังไม่ต่ำด้วย
ส่วนพวกผู้ฝึกตนที่ได้รับป้ายสงบสุขปลอดภัยซึ่งทางกรมอาญาของต้าหลีมอบให้ก็ต้องได้ติดอันดับเช่นกัน
หลังจากนี้เซียนซือของแต่ละฝ่ายที่สวามิภักดิ์ต่อต้าหลีก่อน ไม่ว่ามีชาติกำเนิดเช่นไร จะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหรือผู้ฝึกตนอิสระก็ล้วนสามารถเลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในนั้นได้
ช่วงที่ผ่านมานี้เหวยเลี่ยงคอยปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลา นี่จำเป็นต้องให้คนผู้นั้นมอบข้อมูลจำนวนมากให้กับเขา ซึ่งอาจถึงขั้นเกี่ยวพันกับโชคชะตาของหนึ่งแคว้นและเรื่องวงในเกี่ยวกับความเป็นความตายของกษัตริย์
เหวยเลี่ยงวางพู่กันในมือลงบนแท่นวางพู่กัน ลุกขึ้นยืน สาวเท้าเดินช้าๆ อยู่ในห้อง
การที่เขาเต็มใจทำเรื่องนี้
หาใช่เพราะถูกบีบให้คล้อยไปตามสถานการณ์ใหญ่จึงจำเป็นต้องพึ่งพาซิ่วหู่ผู้นั้นไม่ แต่ในความเป็นจริงแล้วด้วยนิสัยของเหวยเลี่ยง หากชุยฉานไม่สามารถพูดโน้มน้าวให้ตนเชื่อถือได้ เขาเหวยเลี่ยงก็สามารถสละกิจการสองร้อยกว่าปีที่ก่อตั้งไว้ในแคว้นชิงหลวนไปก่อร่างสร้างตัวใหม่ที่ทวีปอื่น ยกตัวอย่างเช่นกุรุทวีปที่ยิ่งไร้ขื่อไร้แปมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นใบถงทวีปที่สถานการณ์ค่อนข้างมั่นคง มีรากฐานอยู่ที่แคว้นชิงหลวนแล้วก็แค่ต้องเสียเวลาอีกหนึ่งถึงสองร้อยปีเท่านั้น
แต่ครั้งนี้ชุยฉานเดินทางมาที่แคว้นชิงหลวนด้วยตัวเอง คนแรกที่เขามาหาก็คือเขาเหวยเลี่ยง ชุยฉานกับเขาเคยพูดคุยกันอย่างเปิดอกครั้งหนึ่ง เหวยเลี่ยงที่พอรู้ทิศทางของแผนการสร้างความมั่นคงให้แก่แคว้นของราชครูต้าหลีและราชวงศ์ต้าหลีคร่าวๆ แล้วก็ตัดสินใจที่จะร่วมมือด้วย
ร่วมมือ ไม่ใช่สวามิภักดิ์
เหวยเลี่ยงไม่ได้กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย ยิ่งไม่ได้ต่อรอง ชุยฉานเองก็ไม่รู้สึกสงสัยกับสิ่งที่เขาตัดสินใจแม้แต่น้อย
จำต้องยอมรับว่าสิ่งที่ชุยฉานต้องการนั้นลึกล้ำและยาวไกลยิ่งกว่าเขาเหวยเลี่ยง ดังนั้นเหวยเลี่ยงจึงคาดหวังอย่างยิ่งว่าวันหนึ่งจะได้เห็นภาพที่ชุยฉานกล่าวถึงมาปรากฏขึ้นจริงตรงหน้าตัวเอง
“นำกฎหมายของแคว้นต้าหลีสลักลงบนป้ายศิลา ตั้งป้ายศิลาไว้บนยอดเขาสูงสุดเหนือกลุ่มขุนเขาของแจกันสมบัติทวีป!”
เหวยเลี่ยงเดินมาที่หน้าต่าง สายตาของเขาฉายประกายร้อนแรง ความฮึกเหิมพลุ่งพล่านซัดตลบอยู่ในใจ
เหนือกว่าทะเลเมฆกลิ้งหลุนๆ ที่ไหลรินอยู่ระหว่างภูเขาใหญ่สองลูกนั้นเสียอีก
ชายชาตรีควรเป็นเช่นนี้ ถึงจะไม่ผิดต่อการมีชีวิตในชาตินี้ ไม่ผิดต่อความรู้ที่มีอยู่เต็มตัว!
……
เฉินผิงอันเคยนั่งเรือข้ามฟากข้ามทวีปมาแล้วสามครั้ง รู้ดีว่าเดิมทีเรือข้ามฟาก ‘ชิงอี’ ลำนี้ก็ช้าอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะอ้อมมากขนาดนี้ หลังจากจงใจจอดตามเส้นทางเดินเรือทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศเหนือของแคว้นชิงหลวนเพื่อส่งผู้โดยสารหลายกลุ่มแล้ว กว่าจะออกมาจากอาณาเขตของแคว้นชิงหลวนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เดิมทีนึกว่าจะเร็วกว่าเดิมสักหน่อย แต่นี่กลับแล่นๆ หยุดๆ อยู่ในอาณาบริเวณของแคว้นใต้อาณัติแห่งหนึ่งทางทิศเหนือของแคว้นอวิ๋นเซียวอีก สุดท้ายยามเที่ยงของวันนี้ก็ถึงกับจอดลอยนิ่งอยู่ในพื้นที่ขุนเขากลางของแคว้นเล็กๆ แห่งนี้ บอกว่าพรุ่งนี้ยามสนธยาถึงจะออกเดินทางต่อ ผู้โดยสารสามารถไปชมทิวทัศน์ของภูเขากลางลูกนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มาเจอกับการเดิมพันหินที่หนึ่งปีจะมีสี่ครั้งพอดี มีโอกาสจะต้องลองเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้ หากไปเจอกับโชคดีครั้งใหญ่เข้าก็ยิ่งเป็นเรื่องดี หินติดไฟของภูเขากลางในแคว้นเฉิงเทียนแห่งนี้ถูกขนานนามว่า ‘ภูเขาเมฆาเรืองน้อย’ หากลงเดิมพันได้ถูกต้อง จ่ายราคาต่ำด้วยเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญก็สามารถเปิดมาเจอไขหินติดไฟชั้นสูงได้ ขอแค่มีขนาดใหญ่เท่ากำปั้น นั่นก็คือเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าที่ทำให้คนเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน เมื่อสิบปีก่อนก็มีผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งใช้เงินเกล็ดหิมะที่มีเหลืออยู่แค่ยี่สิบหกเหรียญบนร่างมาซื้อหินติดไฟขนาดเท่าฐานหินที่ไม่มีใครสนใจก้อนหนึ่ง ผลกลับกลายเป็นว่าเปิดออกมาเจอไขหินติดไฟสีแดงสดประหนึ่งกองไฟที่มีมูลค่าเท่ากับเงินร้อนน้อยสามสิบเหรียญ
แน่นอนว่าหากผู้โดยสารไม่อยากลงจากเรือก็สามารถพักผ่อนบนเรือข้ามฟาก ‘ชิงอี’ ได้
เฉินผิงอันได้ยินคำอธิบายจากสาวใช้ของเรือข้ามฟากแล้วก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ หลังจากที่สาวใช้คนนั้นจากไป เฉินผิงอันก็เดินไปหยุดตรงหน้าต่าง มองขุนเขากลางของหนึ่งทวีปที่ห่างไปไม่ไกลลูกนั้นอย่างไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เรียกว่าขุนเขากลาง แต่อย่าว่าจะเทียบกับภูเขาพีอวิ๋นของบ้านเกิดเลย แม้แต่ภูเขาลั่วพั่วที่เป็นของเขาเฉินผิงอันเพียงผู้เดียวลูกนั้นก็ยังยิ่งใหญ่กว่าภูเขาลูกนี้อยู่มาก
เฉินผิงอันจึงได้แต่พาคนทั้งสามลงจากเรือ รอให้เรือเล็กย้อนกลับมาพาพวกเขาไปเยือน ‘ภูเขาใหญ่’ ซึ่งเป็นขุนเขากลางของแคว้นเฉิงเทียนลูกนั้น
เฉินผิงอันใช้ก้นคิดก็ยังรู้ว่าองค์เทพของขุนเขากลางแห่งนี้คือคู่หูทำธุรกิจที่มีผลประโยชน์ร่วมกับเจ้าของเรือข้ามฟาก ‘ชิงอี’ ลำนี้
ในขณะที่พวกเฉินผิงอันรอให้เรือเล็กมารับคน พวกผู้โดยสารที่รอเรืออยู่เหมือนกันต่างก็พากันหลีกเลี่ยงออกห่างจากพวกเขาโดยไม่รู้ตัว แม้จะไม่ได้ชี้ไม้ชี้มือใส่ แต่หันไปซุบซิบกันเองกลับเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้
ก่อนหน้านี้หลังจากพวกคนในยุทธภพที่เสียเปรียบด้วยน้ำมือของ ‘ผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม’ ไปเยือนถึงห้องเพื่อขอโทษแต่กลับไร้ผล พวกเขาก็รีบร้อนเผ่นลงจากเรือ ไม่กล้าอยู่ต่อให้นานกว่านั้น
แต่ละคนต่างก็มีความคิดต่างกันออกไป
เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อย ส่วนใหญ่ล้วนอิจฉาเฉินผิงอันที่สามารถหล่อเลี่ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ถึงสองเล่ม เพียงแต่ว่าเก็บงำความรู้สึกไว้ได้ดีมาก
ผู้ฝึกตนอิสระกลับหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
คนมีเงินบนโลกที่หลังจากได้ยินได้ฟังมาจากคนของหลายฝ่ายที่โดยสารเรือข้ามฟากแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนรู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่กำเริบเสิบสานเหมือนอย่างที่เล่าลือกันในตำนานจริงๆ
มีเพียงทางฝั่งของเรือข้ามฟากเท่านั้นที่ช่วงที่ผ่านมานี้ค่อนข้างจะพินอบพิเทาต่อกลุ่มของเฉินผิงอัน ตั้งใจเลือกสตรีหน้าตางดงามคนหนึ่งให้คอยมาเคาะประตูห้อง นำผลไม้ตระกูลเซียนสดใหม่ถาดหนึ่งมามอบให้เป็นประจำ
บนเรือข้ามฟากยังมีหอเรือนเล็กๆ แห่งหนึ่งที่งดงามสมชื่อว่า ‘เรือนไอเซียน’ ซึ่งมีไว้เพื่อให้แขกผู้มีเกียรติบางท่านที่โดยสารเรือข้ามฟากชิงอีทิ้งผลงานเอาไว้
เฉินผิงอันปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม เพียงแค่บอกให้จูเหลี่ยนไปเขียนกลอนสักบทให้จบๆ เรื่องกันไป
เรือเล็กล่องลมที่ใต้ท้องเรือสลักอักขระยันต์มีประกายแสงสีทองไหลเวียนวนลอยมาหยุดอยู่ตรงตีนเขาของขุนเขากลางแห่งนั้น
ผู้มีจิตศรัทธาจริงๆ ที่มาเยือนมีไม่มาก แต่กลับมีลูกหลานชนชั้นสูงแคว้นเฉิงเทียนและเหล่าผู้กล้าในยุทธภพที่มาเยือนเพราะหวังจะเดิมพันหินค่อนข้างมาก
เพียงแต่ว่าบุคคลที่อยู่ในราชวงศ์โลกมนุษย์ซึ่งเคยชินที่จะเชิดหน้ามองฟ้าเหล่านี้ เวลาเจอกับผู้โดยสารที่เดินลงมาจากเรือเล็กแต่ละลำ เวลาเดินและพูดคุยกลับเบาเสียงลงกว่าปกติเยอะมาก
บนเรือข้ามฟากก็มีคนส่งธูปสามคนที่มาจากศาลเจ้าสามแห่งที่แตกต่างกันของภูเขากลางมารออยู่ก่อนแล้ว เพื่อแย่งชิงตัวลูกค้า อีกนิดเดียวก็เกือบจะต่อยตีกันแล้ว พ่อค้าควันธูปของศาลเทพขุนเขากลางนิสัยฉุนเฉียวมากที่สุด ส่วนพ่อค้าควันธูปของอารามเต๋ากึ่งกลางภูเขาและวัดตรงตีนเขา แม้มองดูเหมือนว่าจะยอมอ่อนข้อให้ แต่คำพูดคำจากลับเหมือนมีดอ่อนที่บินว่อนไปทั่ว สรุปก็คือคนทั้งสามต่างก็มีความถนัดในแบบของใครของมัน ทุกคนต่างก็ได้รับผลเก็บเกี่ยว ครั้งนี้พวกเขาโดยสารเรือลำเล็กมาก็เพื่อจะพาผู้โดยสารที่เต็มใจจะไปจุดธูปไหว้พระลงจากเรือไปด้วยกัน
ผู้ดูแลเรือข้ามฟากตั้งใจพาคนส่งธูปของศาลเทพภูเขาขุนเขากลางเดินมาหาพวกเฉินผิงอันแล้วเอ่ยแนะนำให้รู้จักกัน
พอชายฉกรรจ์ผู้นั้นได้ยินว่าเฉินผิงอันยังไม่มีความคิดจะเชิญธูปก็ยังมีสีหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจประมาณว่าคุณชายเฉินเดินทางมาเยือนก็ถือว่าเป็นเกียรติของที่แห่งนี้แล้ว
รอจนสองขาของเฉินผิงอันสัมผัสพื้น พ่อค้าควันธูปที่ยังยืนอยู่ตรงราวรั้วของเรือข้ามฟากก็ถ่มน้ำลายทิ้งมาด้านนอกแรงๆ
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยี “นายน้อยเอาอย่างไรดี? ไม่สู้ให้บ่าวเฒ่าทะยานลมกลับไปมอบฝ่ามือเป็นรางวัลให้ชายฉกรรจ์ผู้นี้หน่อยไหม?”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่แน่ว่าชั่วชีวิตนี้อาจได้เจอกันแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ไร้บุญคุณไร้ความแค้น จะถือสาเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไปไย”
เผยเฉียนถามอย่างใคร่รู้ “มีอะไรหรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มถาม “มีคนมาขี้อยู่บนหัวเจ้า รีบเงยหน้าขึ้นเร็วเข้า”
เผยเฉียนกลอกตามองบน
ตีนเขามีถนนสายยาวที่สร้างขึ้นไว้เพื่อการเดิมพันหินโดยเฉพาะ ร้านรวงน้อยใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่หลายสิบร้าน
ด้านในและนอกร้านล้วนกองเต็มไปด้วยหินติดไฟสีเทา ขนาดเล็กสุดใหญ่แค่ฝ่ามือ ใหญ่สุดสูงเท่าตัวคน หนักถึงหมื่นกว่าจั้ง หินยักษ์เช่นนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสมบัติพิทักษ์ร้านของร้านแต่ละแห่ง การที่หินซึ่งผลิตขึ้นในขุนเขากลางของแคว้นเฉิงเทียนประเภทนี้ถูกตั้งชื่อให้ว่าหินติดไฟนั้น เป็นเพราะไขของหินติดไฟที่ระดับขั้นสูงที่สุดในตำนานมีสีแดงสดดุจเลือด เข้มข้นอย่างถึงที่สุด ไม่มีสิ่งเจือปนเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเหมือนเปลวไฟที่ส่ายไหว แค่ถือไว้ในมือหนึ่งก้อนก็สามารถสยบพวกภูตผีเสนียดจัญไรได้ตามธรรมชาติ
และส่วนที่พิเศษของมันก็คือก่อนที่จะเปิดหินออก แม้แต่ผู้ฝึกตนเซียนดินก็ยังไม่อาจมองทะลุไปเห็นสีสันที่อยู่ภายในได้
เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขามอบเงินให้เผยเฉียนสามคนคนละสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ บอกให้พวกเขาไปเลือกหินและเปิดหินกันเอาเอง
ส่วนเขาเดินขึ้นเขาไปเพียงลำพัง คิดอยากจะไปเยือนศาลขุนเขากลางบนยอดเขาดูสักหน่อย จึงนัดหมายกับคนทั้งสามว่าจะมาพบกันในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งตรงตีนเขายามสนธยา
เผยเฉียนอึกอักอยู่เล็กน้อย ถามว่าไม่ซื้อหินได้หรือไม่
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม บีบแก้มดำเกรียมของนาง “ถึงอย่างไรเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญนั่นก็เป็นของเจ้าแล้ว อยากเอาไปซื้ออะไรก็ตามใจเจ้า”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที
รอจนเฉินผิงอันเดินไปไกล เริ่มเดินขึ้นเขาไปแล้ว
เผยเฉียนก็กระโดดเหยงด้วยความลิงโลด แสยะปากกางกรงเล็บร่ายกระบวนท่าเวทกระบี่มารคลั่งไปหนึ่งคำรบ
จูเหลี่ยนยังเดินเข้าร้านได้ไม่ถึงสองร้านก็ซื้อหินติดไฟที่ต้องชะตามาก้อนหนึ่ง พอเปิดออกดูก็ต้องขาดทุนยับเยิน
ทำเอาเผยเฉียนโมโหจนเกือบจะสู้ตายกับเขา
จูเหลี่ยนเอามือกดหัวเผยเฉียนไว้ ปล่อยให้นางแกว่งเท้าแกว่งมืออุตลุด
สือโหรวถือเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญไว้ในมือ นางมองอย่างละเอียด ฟังอย่างตั้งใจ เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ มักจะหยิบหินติดไฟก้อนหนึ่งขึ้นมาพิจารณาอยู่นานแล้วก็วางลง ไม่ยอมจ่ายเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกไปเสียที
จูเหลี่ยนเอ่ยชื่นชม “เข้าใจใช้ชีวิตจริงๆ”
เผยเฉียนติดตามอยู่ข้างกายสือโหรว ทุกครั้งที่มองหินติดไฟขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน นางก็นึกอยากจะเอาลูกตาไปแนบติดก้อนหินเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ก้นถูกจูเหลี่ยนถีบอยู่หลายที แถมยังถูกจูเหลี่ยนเอ่ยเยาะเย้ยว่าในตามีแต่เงินก็แล้วไปเถิด แต่ในตามีแต่หินนี่มันจะเป็นยังไง
แต่ไม่นานจูเหลี่ยนก็รู้สึกเสียใจภายหลังที่ไม่ได้ตามเฉินผิงอันขึ้นเขาไปด้วยกัน
สตรีใหญ่สตรีน้อยอย่างสือโหรวและเผยเฉียนสองคนนี้ เวลาเดินซื้อของขึ้นมาก็ช่างมีเรี่ยวแรงและความเด็ดเดี่ยวล้นเหลือ ไม่เพียงแต่จะต้องเดินเข้าทุกร้าน ยังไล่มองหินติดไฟไปทีละก้อนๆ บวกกับที่ขอแค่มีลูกค้าซื้อหินติดไฟแล้วบอกให้ทางร้านช่วยเปิดหินให้ ขาของคนทั้งสองก็จะปักตรึงอยู่กับที่ไม่ขยับเดินหน้า ตั้งแต่ต้นจนจบมีสีหน้าเคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง ราวกับว่าให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ยิ่งกว่าพวกลูกค้าที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อหินติดไฟเสียอีก
จูเหลี่ยนเดินไม่เหนื่อย แต่เหนื่อยใจนัก
ผลคือรอจนจูเหลี่ยนเงยหน้ามองสีท้องฟ้า ก็ประมาณการณ์เอาว่าแม้แต่คุณชายเฉินก็คงลงเขามาจนใกล้จะถึงตีนเขาแล้วกระมัง
ในที่สุดสือโหรวก็ยอมซื้อหินติดไฟขนาดเท่าฝ่ามือมาก้อนหนึ่ง ตามราคาที่ทางร้านกำหนดไว้ต้องจ่ายเป็นเงินเกล็ดหิมะสองเหรียญ
ก้อนหินที่เปิดออกมากลับเป็นไขหินติดไฟสีแดงเพลิงขนาดเท่าหัวแม่มือ แม้แต่เถ้าแก่ร้านก็ยังตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
ไม่ใช่ว่าไขหินติดไฟก้อนเล็กแค่นี้มีมูลค่าควรเมืองมากแค่ไหน แต่เป็นเพราะหินติดไฟใหญ่แค่นี้ ทว่ากลับเปิดมาเจอไขหินมากมายขนาดนี้ เป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ
สือโหรวยิ้มบางๆ ไม่คิดจะขายไขหินติดไฟสีแดงเข้มข้นก้อนนั้นต่อ
พอเดินออกมานอกร้าน เผยเฉียนก็พลันกระตุกชายแขนเสื้อสือโหรว พูดเบาๆ “พี่หญิงสือโหรว เจ้าให้ข้ายืมเงินเกล็ดหิมะแปดเหรียญได้ไหม?”
สือโหรวถามอย่างสงสัย “เจ้าไม่ได้จะซื้อก้อนหินสักหน่อย จะยืมเงินไปทำไม?”
เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะซื้อก้อนหินน่ะสิ!”
สือโหรวยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ “เดินจนครบทุกร้านแล้ว ร้านมีมากมายขนาดนี้ เจ้าจำได้หรือว่าก้อนไหน?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง
สือโหรวจึงยิ้มแล้วมอบเงินเกล็ดหิมะแปดเหรียญที่เหลือให้เผยเฉียน
เผยเฉียนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วสาวเท้าวิ่งห้อออกไป
สือโหรวกับจูเหลี่ยนมองหน้ากัน รีบก้าวเร็วๆ ตามไป
ไม่รู้ว่าเผยเฉียนคิดจะทำอะไรกันแน่
สุดท้ายคนทั้งสองพบว่าเผยเฉียนอยู่ในร้านขนาดใหญ่ที่มีหินติดไฟหลากหลายสีสันกองทับถมกันเป็นภูเขา นางยืนอยู่ในมุมหนึ่ง กำลัง ‘ดึง’ หินติดไฟก้อนหนึ่งออกมาอย่างเปลืองแรง หินติดไฟก้อนนี้ค่อนข้างใหญ่ สองมือของนางไม่แน่เสมอไปว่าจะโอบอุ้มมันได้ไหว
แม้ว่าคนจะมองสภาพภายในของหินติดไฟไม่ออก แต่ด้วยประวัติศาสตร์การขุดค้นที่มีมานานหลายร้อยปี สายหินหลายสายที่อยู่ในรากภูเขากลางก็มีส่วนที่ต้องพิถีพิถันเช่นกัน บวกกับที่สั่งสมประสบการณ์ในการเปิดหาไขหินมาอย่างต่อเนื่อง คนดูหินที่สายตาดีช่างสังเกตของแต่ละร้านจะมีการประมาณการณ์ไว้คร่าวๆ อาจผิดพลาดไปบ้างก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีไม่มาก พลาดไปเล็กๆ น้อยๆ นั้นมี แต่กลับแทบไม่เคยเปิดโอกาสให้คนซื้อได้เปรียบครั้งใหญ่
ดังนั้นจึงมีหินติดไฟไม่น้อยที่แม้จะมีขนาดใหญ่ แต่ราคากลับต่ำมาก หินบางส่วนมีขนาดไม่ใหญ่ แต่กลับกลายเป็นว่ามีราคาสูง
หินติดไฟข้างเท้าของเผยเฉียนที่นั่งยองอยู่ก้อนนี้ขนาดใหญ่มาก ทว่ากลับมีราคาแค่เงินเกล็ดหิมะยี่สิบเหรียญเท่านั้น
มันวางอยู่ในร้านแห่งนี้มาหนึ่งร้อยกว่าปีแล้วโดยที่ไม่มีใครถามถึงสักคำ
เผยเฉียนเริ่มหั่นราคาต่อรองกับเถ้าแก่อย่างจริงจัง นางบอกว่านางมีแค่สิบห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เป็นเงินทั้งหมดที่นางเก็บสะสมอย่างยากลำบากมานานหลายปีแล้ว
เถ้าแก่วัยชรารู้สึกว่าแม่หนูคนนี้น่าสนใจไม่น้อย มองดูแล้วไม่เหมือนเด็กจากครอบครัวชนชั้นสูงที่มีฐานะ ตัวก็ดำเมี่ยม แต่กลับมีเงินเกล็ดหิมะถึงสิบห้าเหรียญ หากหักเป็นเงินขาวก็เท่ากับหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงเลยทีเดียว หากอยู่ในอำเภอหรือเขตการปกครองของแคว้นเฉิงเทียนก็ถือว่าเป็นเศรษฐีได้แล้ว
อันที่จริงเถ้าแก่วัยชราคิดว่าต่อให้อีกฝ่ายหั่นราคาเหลือแค่ห้าเหรียญหรือสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ราคานี้เขาก็ไม่ขาดทุนแล้ว ไม่อย่างนั้นหินติดไฟขนาดใหญ่ที่คนดูหินประเมินราคาให้เขาฟังเป็นการส่วนตัวว่ามีค่าแค่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะก้อนนี้ก็อาจต้องวางไปอีกหนึ่งร้อยปี ร้านตกทอดไปถึงมือของหลานเขาแล้วก็ยังขายไม่ออก
แต่ผู้เฒ่าก็ยังตั้งราคาสูงเทียมฟ้ากับเผยเฉียน ส่วนเผยเฉียนก็มุ่งมั่นจะต่อราคา ต่างคนต่างวางอุบายกันประมาณครึ่งก้านธูป เถ้าแก่วัยชราอยากจะลองดูว่าเพื่อประหยัดเงินเกล็ดหิมะห้าเหรียญนั่น นังหนูผู้นี้จะคิดข้ออ้างและเหตุผลอะไรออกมาได้
สุดท้ายเถ้าแก่ผู้เฒ่าก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ยอมตกปากรับคำอีกฝ่าย ผลกลับเห็นว่าหลังจากแม่หนูตัวดำควักเอาเงินเกล็ดหิมะกองใหญ่ออกมาก็หยิบกลับไปเก็บใส่ชายแขนเสื้อตัวเองสามเหรียญ เหลือสิบห้าเหรียญมอบให้เขา
ผู้เฒ่ามุมปากกระตุก
แม่นางน้อยเจ้าไม่มีคุณธรรมสักเท่าไหร่เลยนะ
เผยเฉียนยิ้มกว้างแกล้งโง่
สือโหรวแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเผยเฉียน
ส่วนจูเหลี่ยนยกนิ้วโป้งให้นาง “ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา”
เถ้าแก่วัยชราไม่โกรธเคือง กลับกันยังรู้สึกว่าแม่นางน้อยที่เฉลียวฉลาดคือตัวอ่อนที่ดีของคนทำธุรกิจ จึงยิ้มถามว่า “ต้องการให้ร้านของพวกเราช่วยเปิดหินของเจ้าหรือไม่?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “เปิดสิ ไม่อย่างนั้นหินหนักขนาดนี้ข้ายกไม่ไหวแน่ ตามกฎของร้านพวกเจ้า หินติดไฟที่ราคาต่ำกว่ายี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะไม่มีค่าเปิดหิน อีกอย่างหากเปิดมาเจอหินดี จะตกรางวัลให้ทางร้านหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของคนซื้อ ถึงเวลานั้นหากข้าไม่ตกรางวัลให้ท่านผู้เฒ่า ท่านก็ห้ามโกรธนะ”
เถ้าแก่วัยชราหัวเราะชอบใจ พยักหน้าตอบตกลง
เผยเฉียนพลันบอกให้เถ้าแก่เฒ่ารอสักครู่ แล้วนางก็หันไปมองจูเหลี่ยน
จูเหลี่ยนเข้าใจความต้องการของนางได้ทันที เขาผงกศีรษะรับ “เปิดเถอะ นายน้อยไม่อยู่ มีข้าอยู่”
เผยเฉียนเอียงศีรษะ ยิ้มกว้าง หันขวับกลับมาโบกมือเป็นวงกว้างให้เถ้าแก่ผู้เฒ่า “เปิดหิน!”
จากนั้นนางก็คืนเงินเกล็ดหิมะสามเหรียญที่เหลือให้กับสือโหรว พูดเบาๆ ว่า “ยังติดเจ้าอยู่ห้าเหรียญ วันหน้าจะคืนให้เจ้านะ”
หนึ่งก้านธูปต่อมา
ถนนยาวทั้งสายที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขาก็สั่นสะเทือนไม่หยุด
เผยเฉียนที่เดิมทีสะพายห่อสัมภาระพาดเอียงไว้บนบ่า ตอนนี้กลับมีสัมภาระหนักอึ้งเพิ่มขึ้นมาอีกใบ
เถ้าแก่วัยชราของร้านที่ยืนอยู่ด้านหลังตีอกชกตัวด้วยความเสียดายอย่างถึงที่สุด
ไขหินติดไฟที่ร้อยปียากจะพานพบสักครั้ง!
มูลค่าสามเหรียญเงินฝนธัญพืช!
จูเหลี่ยนประสานมือสองข้างสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเดินอาดๆ ตามไปด้านหลังเผยเฉียนอย่างเนิบช้า
สือโหรวรู้สึกเพียงว่าน่าเหลือเชื่อ
เฉินผิงอันเพิ่งลงจากภูเขามาถึงสุดปลายทางของถนนพอดี
เห็นเผยเฉียนที่เป็นจุดรวมสายตาของทุกคน เฉินผิงอันก็ใจสั่นสะท้าน
พอเผยเฉียนเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยก็วิ่งตะบึงเข้าไปหาทันที วิ่งจนหอบหายใจดังฮักๆ
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เกิดอะไรขึ้น เป็นจูเหลี่ยนหรือสือโหรวที่เก็บของดีได้?”
เผยเฉียนเอาแต่ยิ้ม
จูเหลี่ยนกับสือโหรวเดินมาหยุดอยู่ข้างกายสองอาจารย์และศิษย์ จูเหลี่ยนพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “นายน้อย เจ้าตัวขาดทุนผู้นี้ใช้เงินเกล็ดหิมะสิบห้าเหรียญเปิดเจอไขหินติดไฟก้อนหนึ่งที่มีมูลค่าอย่างน้อยก็สามเหรียญเงินฝนธัญพืช”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ลูบหัวเผยเฉียน “เก่งขนาดนี้เชียว”
ดีใจก็ส่วนดีใจ แต่ไม่ถึงขั้นตกตะลึงหรือปิติยินดีอย่างยิ่งยวดอะไร
ดวงตาทั้งคู่ของเผยเฉียนหรี่ลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว เอียงศีรษะ ปลดสัมภาระห่อนั้นลงมาอย่างกินแรง ยื่นมันส่งให้กับเฉินผิงอัน “อาจารย์ มอบให้ท่าน”
เฉินผิงอันยิ้มพลางโบกมือ “เจ้าเก็บไว้เองเถอะ วันหน้ารอให้เจ้าเก็บเงินซื้อชั้นวางสมบัติได้แล้ว วางไว้ในตำแหน่งที่สะดุดตาที่สุดก็ดีมากไม่ใช่หรือ ใครเห็นก็ล้วนอิจฉา แล้วก็รู้ด้วยว่าเจ้าเป็นเศรษฐีตัวน้อย”
เผยเฉียนส่ายหน้าอย่างแรง อธิบายว่า “ข้านึกออกแล้ว วันที่ข้าจับภูเขากระโดดแล้วปล่อยมันไป เดิมทีเป็นวันเกิดของอาจารย์พอดี และนี่ก็ถือเป็นของขวัญวันเกิดที่ข้ามอบให้อาจารย์”
เฉินผิงอันตกตะลึง เงียบงันไปนาน ก่อนจะวางฝ่ามือไว้บนศีรษะเล็กๆ ของเผยเฉียน ถึงขั้นยิ้มจนตาหยีอย่างที่หาได้ยาก “แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็รับไว้แล้วนะ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่จูเหลี่ยนเห็นเฉินผิงอันดีใจขนาดนี้
เผยเฉียนพยักหน้า เอ่ยขออภัย “แต่อาจารย์ วันที่ห้าเดือนห้าของปีหน้า ข้าคงไม่สามารถมอบของขวัญที่ดีขนาดนี้ให้ท่านได้เสมอไปนะ?”
เฉินผิงอันรับห่อสัมภาระใบนั้นมา วางใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ จากนั้นก็จูงมือเผยเฉียนเดินไปบนถนนด้วยกัน
เผยเฉียนเล่าภาพเหตุการณ์ที่ทุกคนเบิกตากว้างมองหินที่เปิดออกของนางให้เขาฟังอย่างอารมณ์ดี
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ รับฟังคำพูดเจื้อยแจ้วของเผยเฉียน
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องมาจากทางทิศตะวันตก
แสงสว่างเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ของวันส่องให้เงาร่างหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ยืดยาวออกไป
จูเหลี่ยนยังคงสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ สือโหรวมีสีหน้าอ่อนโยน