Skip to content

Sword of Coming 406

บทที่ 406 ประชันอาคมบนยอดเขา

อาจารย์ผู้เฒ่าที่มาเยือนสำนักศึกษาท่านนั้นเป็นรองเจ้าขุนเขาท่านหนึ่งของสำนักศึกษาซานหยาเชื้อเชิญมา วันนี้ตอนบ่ายจึงมาถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ลูกศิษย์อยู่ในโถงเชวี่ยนเซวี๋ย (ส่งเสริมการเรียน)

เฉินผิงอันพาเผยเฉียนเดินผ่านเส้นทางผ่านระเบียงจนกระทั่งมาหยุดอยู่นอกโถงเชวี่ยนเซวี๋ยที่มีใบไม้เขียวชอุ่มเป็นพุ่มเงา คาบเรียนเพิ่งจะจบลงพอดี เห็นเพียงว่าหลี่เป่าผิงที่อยู่ท่ามกลางคลื่นมหาชนเหมือนปลาจิ่นหลีตัวน้อยที่แหวกว่ายอย่างลิงโลด พริบตาเดียวก็วิ่งออกมาถึงหน้าประตู ออกมาจากเรือนที่ตั้งของโถงใหญ่ หลี่เป่าผิงกำมือข้างหนึ่งเป็นหมัดเพื่อใช้สิ่งนี้เป็นการชมเชยและให้รางวัลตัวเอง เพียงไม่นานก็มองเห็นเฉินผิงอันและเผยเฉียน หลี่เป่าผิงสาวเท้าก้าวเร็วๆ วิ่งมาหา เผยเฉียนมองหลี่เป่าผิงที่ปานประหนึ่งสายฟ้าแลบปลาบอยู่ในสำนักศึกษาก็ยิ่งรู้สึกเลื่อมใส พี่หญิงเป่าผิงเป็นคนไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินจริงๆ

หลังจากสามคนมารวมตัวกันแล้วก็ไปที่หอพักแขกพร้อมกัน หลี่เป่าผิงเล่าเรื่องน่าสนใจมากมายให้เฉินผิงอันฟัง ยกตัวอย่างเช่นตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าสอนหนังสือ ข้างกายเขามีกวางสีขาวหิมะนอนหมอบอยู่ด้วย ว่ากันว่าปีนั้นตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้ก่อตั้งสำนักศึกษาส่วนตัวของตัวเอง ได้เกิดความรู้สึกเชื่อมโยงกับเจตนารมณ์สวรรค์ กวางขาวจึงมาปกป้องอยู่ข้างกายอาจารย์ สำนักศึกษาที่สร้างขึ้นกลางป่าของภูเขาลึกถึงได้ไม่ถูกสัตว์ป่าลอบโจมตีและไม่ถูกภูตแห่งภูเขารุกราน

สุดท้ายหลี่เป่าผิงบอกว่ากวางขาวที่อยู่ข้างกายอาจารย์ผู้เฒ่าจ้าว มองดูเหมือนจะงดงามและมีชีวิตชีวาสู้กวางขาวตัวที่พี่หญิงเฮ้อของสำนักโองการเทพพาเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจูไม่ได้

พอเฉินผิงอันนึกถึงเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ให้รู้สึกหัวโต ยิ่งนึกถึงเรื่องหลังจากนั้นก็ยิ่งปวดหัว หวังเพียงว่าชีวิตนี้จะไม่ต้องพบเจอกับนักพรตหญิงที่ในอดีตเคยมีโชควาสนาเป็นอันดับหนึ่งในทวีปอีกแล้ว

ปีนั้นตอนอยู่บนก้อนหินใหญ่ริมลำคลองหลงซวี เฉินผิงอันได้พบหน้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพที่เป็นตัวแทนของสายเต๋าเป็นครั้งแรก แล้วก็ได้เห็นกวางขาวที่ส่องประกายแสงแวววาวมหัศจรรย์ตัวนั้น ภายหลังเขาเคยถามชุยตงซานถึงได้รู้ว่ากวางตัวนั้นไม่ธรรมดา ภาพลักษณ์ภายนอกที่เห็นเป็นสีขาวหิมะทั้งร่างเป็นเพียงแค่เวทอำพรางตาที่ฉีเจินเทียนจวินลัทธิเต๋าร่ายเอาไว้ ในความเป็นจริงแล้วมันคือกวางห้าสีตัวหนึ่งที่ต่อให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเห็นแล้วก็ยังน้ำลายสอ นับแต่โบราณกาลมาก็มีเพียงคนที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เท่านั้นถึงจะสามารถเลี้ยงไว้ข้างกายได้

ปีนั้นเจ้าลัทธิลู่เฉินใช้มรรคกถาอันสูงส่งเชื่อมโยงสะพานแห่งโชควาสนาระหว่างเขากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงเข้าด้วยกัน เป็นเหตุให้หลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมา เฉินผิงอันจึงสามารถแบ่งใช้โชควาสนากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงได้อย่างเท่าเทียม การทำเช่นนี้แน่นอนว่าต้องซ่อนแผนการลึกล้ำยาวไกลที่ลู่เฉินวางไว้เพื่อเล่นงานสายบุ๋นของอาจารย์ฉี การชักคะเย่อทางจิตใจเช่นนี้มีอันตรายอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกิดขึ้นหลายครั้งเข้า ป่านนี้ก็คงได้ไปอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของสิบสองชั้นห้านครของป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัว มองดูเหมือนมีหน้ามีตา แต่อันที่จริงกลับกลายเป็นหุ่นเชิดของคนอื่นไปแล้ว

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเข้าใจสี่คำว่า ‘โชคและเคราะห์มักมาคู่กัน’ อย่างลึกซึ้ง

เพียงแต่สภาพจิตใจของเฉินผิงอันที่แม้จะไม่ได้ถูกลู่เฉินดึงไปทางป๋ายอวี้จิง แต่ก็มี ‘ต้นตอแห่งโรค’ ที่มองไม่เห็นจำนวนมากถูกทิ้งเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นการไปเยี่ยมเยือนพื้นที่ลับอย่างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตก ในใจเฉินผิงอันจะรู้สึกมีอคติและผลักไสพวกมันให้ไกลตัวอยู่เสมอ จนกระทั่งได้เดินทางท่องเที่ยวไปพร้อมกับลู่ไถ และต่อมาก็ได้ฟังถ้อยคำที่จูเหลี่ยนพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงทำให้เฉินผิงอันเริ่มเปลี่ยนความคิด ยิ่งมั่นใจแล้วว่าจะต้องเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปสักครั้งให้จงได้

สถานที่ที่ถูกขนามนามว่ามีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า เลื่อมใสการฝึกวรยุทธ์มากที่สุดในใต้หล้าไพศาล สถานที่ที่แม้แต่อริยะสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อก็ยังหงุดหงิดจนต้องลงมือซ้อมเซียนดินอย่างหนักจึงจะพูดคุยกันด้วยเหตุผลรู้เรื่อง

เฉินผิงอันอยากจะไปฝึกกระบี่ที่นั่น

เพียงลำพัง

เป็นการฝึกกระบี่อย่างเดียวและฝึกอย่างเต็มที่ที่สุด

เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์สอนหนังสือเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลี่เป่าผิงคิดแล้วก็กล่าวว่า “ในหนังสือเล่มหนึ่งมีคนที่เลื่อมใสอาจารย์ผู้เฒ่าจ้าวท่านนี้บอกไว้ว่า การสอนหนังสือของอาจารย์ประหนึ่งนกกระเรียนเดียวดายที่บินทะยานมาทางทิศตะวันออกของมหานที เมื่อมันหยุดชะงักและส่งเสียงร้อง น้ำในแม่น้ำก็โถมตัวสูงขึ้นหาพระจันทร์กระจ่าง ข้าฟังอยู่นาน รู้สึกว่าพอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เกินจริงอย่างที่เขียนไว้ในหนังสือ ทว่าส่วนที่ร้ายกาจที่สุดของอาจารย์ท่านนี้ยังคงเป็นการตื่นรู้หลังจากที่เดินขึ้นหอสูงทอดสายตามองมหาสมุทร ยกย่องการใช้กาพย์และบทกวีในการ ‘พบปะ’ กับนักปราชญ์สมัยโบราณ ร้อยรุ่นพันปีก็ยังคงได้รับการขานรับ ช่วยอธิบายและสนับสนุนความรู้ด้านหลักการแห่งสวรรค์ของเขาให้พัฒนาไปอีกก้าว เพียงแต่ว่าการบรรยายครั้งนี้ อาจารย์ผู้เฒ่าพูดค่อนข้างละเอียด เลือกเอาแค่ตำราลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งมาเป็นเป้าหมายในการอรรถาธิบายความหมายศัพท์โบราณ ไม่ได้เอาความสามารถในสายบุ๋นของพวกเขาออกมา ข้าจึงผิดหวังเล็กน้อย หากไม่เป็นเพราะรีบร้อนอยากออกมาหาอาจารย์อาน้อย ข้าก็ยังอยากไปถามอาจารย์ผู้เฒ่าดูสักหน่อยว่าเมื่อไหร่ถึงจะสอนเรื่องใจคนและหลักการแห่งสวรรค์นั่น”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้เป็นคนของสายอริยะลู่แห่งสำนักศึกษาเอ๋อหูในทักษินาตยทวีปงั้นหรือ?”

หลี่เป่าผิงยิ้มกว้างสดใส “อาจารย์อาน้อยท่านรู้เยอะมากจริงๆ ! ใช่แล้ว อาจารย์ของอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ก็คืออริยะลู่ที่ถูกเรียกขานว่า ‘จิตใจมีใต้หล้า จิตพิศมองมหาสมุทรกว้างใหญ่’ ท่านนั้น”

เฉินผิงอันนึกถึงบันทึกใน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ เล่มที่มอบให้อวี๋ลู่ อริยะลู่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับสกุลเฉินผู้รอบรู้ ไม่รู้ว่าหลิวเสี้ยนหยางจะมีโอกาสได้พบหน้าเขาหรือไม่

เผยเฉียนอยากจะเอ่ยแทรกอยู่หลายครั้ง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบนางฟังทั้งสองคนคุยกันด้วยความมึนงง กลัวว่าหากเปิดปากพูดจะเป็นการปล่อยไก่ กลับกลายเป็นคนโง่ต่อหน้าอาจารย์และพี่หญิงเป่าผิง จึงรู้สึกห่อเหี่ยวเล็กน้อย

ยังดีที่เฉินผิงอันดึงหูเผยเฉียน เอ่ยสั่งสอนว่า “เห็นหรือยัง พี่หญิงเป่าผิงของเจ้ารู้จักสำนักฝ่ายความรู้และแก่นแท้ของการเรียนการสอนมากมายขนาดนี้ แม้เจ้าจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของสำนักศึกษา การเรียนหนังสือไม่ใช่อาชีพของเจ้า…”

เผยเฉียนกระทืบเท้า พูดอย่างน้อยใจ “อาจารย์ นางคือพี่หญิงเป่าผิงนะ ข้าจะเทียบกับนางได้อย่างไร หากเปลี่ยนไปเทียบกับคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นหลี่ไหวล่ะ? เขามาเรียนอยู่ในสำนักศึกษาตั้งนานขนาดนี้แล้ว หากเอาไปเทียบกับเขา ข้าก็ยังเสียเปรียบอยู่ดีนะ”

เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก หัวเราะฮ่าๆ ปล่อยมือมาตบศีรษะเผยเฉียนเบาๆ “เจ้านี่ฉลาดนักนะ”

กลับมาถึงหอพักก็เห็นว่าอวี๋ลู่มารออยู่ตรงนั้นนานแล้ว เขายืนเคียงไหล่อยู่ใต้ชายคากับจูเหลี่ยน ดูเหมือนว่าจะคุยกับจูเหลี่ยนถูกคออย่างยิ่ง

มีอวี๋ลู่อยู่ด้วย เฉินผิงอันก็วางใจได้อีกไม่น้อย

คลื่นมรสุมที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษาตอนนั้นก็เป็นอวี๋ลู่ที่เป็นผู้ตัดสินในท้ายที่สุดอย่างเงียบๆ อยู่ต่อหน้าผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง เขาก็เล่นงานนักปราชญ์หลี่ฉางอิงจนอีกฝ่ายต้องถูกคนหามลงไปจากภูเขาตงหัว

เฉินผิงอันกินข้าวแล้วก็ไปคุยกับเหมาเสี่ยวตงเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ห้องหนังสือของเขาต่อ บอกให้อวี๋ลู่ช่วยดูแลเผยเฉียน อวี๋ลู่ก็ยิ้มตอบรับ

เมื่อเฉินผิงอันจากไปแล้ว หลี่เป่าผิงก็บอกว่าจะกลับหอพักไปเขียนบันทึกเรื่องราวที่อาจารย์ผู้เฒ่าสอนในวันนี้ เผยเฉียนจึงหาข้ออ้างไม่ตามไปด้วย จากนั้นก็ไปยกหีบไม้ไผ่ออกมาจากห้องพักของเฉินผิงอัน หยิบกล่องเก็บสมบัติออกมาจากข้างใน นางกับหลี่ไหวตกลงกันอย่างลับๆ ว่าจะเปิดศึกปรมาจารย์กัน นัดรบกันที่ยอดเขาของภูเขาตงหัว

อวี๋ลู่เดินขึ้นเขาไปพร้อมเผยเฉียน จูเหลี่ยนเดินจากไปเงียบๆ ก่อนแล้ว เพราะต้องแอบไปปกป้องหลี่เป่าผิงอย่างลับๆ ตามคำสั่งของเฉินผิงอัน

พอไปถึงยอดเขาภูเขาตงหัว หลี่ไหวก็มานั่งตัวตรงอย่างสำรวมอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว ด้านหน้าของเขาคือกล่องไม้เจียวหวงที่มีที่มาไม่ธรรมดากล่องนั้น

เผยเฉียนยิ้มกว้าง วางกล่องเก็บสมบัติไว้บนโต๊ะ

อวี๋ลู่นั่งอยู่บนม้านั่งหิน มองเด็กสองคนที่คุมเชิงกัน รู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย

หลี่ไหวมองกล่องเก็บสมบัติใบนั้นด้วยท่าทางเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ “เผยเฉียน เจ้าออกกระบวนท่ามาก่อนเลย!”

เผยเฉียนหลุดหัวเราะพรืด เปิดกล่องเก็บสมบัติที่ปีนั้นเหยาจิ้นจือมอบให้ ด้านในกล่องแบ่งเป็นเก้าช่อง บรรจุหลิงจือไม้แกะสลักขนาดเล็กจิ๋วแต่งามประณีต เงินเหรียญหายากที่เหยาจิ้นจือซื้อมาเก็บไว้ มีชื่อเรียกว่าหมิงเฉวียน และยังมีป้ายลัทธิเต๋าเก่าแก่ซึ่งถูกห่อไว้อย่างแน่นหนาอีกแผ่นหนึ่ง ด้านบนสลักเป็นภาพเทวรูปหลิงกวานของลัทธิเต๋าที่ใบหน้าเป็นสีแดงก่ำ เคราดก สวมเกราะสีทองชุดคลุมสีแดง ตรงหว่างคิ้วมีตาทิพย์ เฉินผิงอันผู้เป็นอาจารย์เคยวิเคราะห์ให้ว่า นอกจากป้ายหลิงกวานและหลิงจือไม้แล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของเล่นในโลกมนุษย์ ไม่ถือว่าเป็นของวิเศษตระกูลเซียนอะไร

เผยเฉียนหยิบแผ่นป้ายนั้นออกมาวางบนโต๊ะเบาๆ “เชิญรับกระบวนท่าของข้า!”

หลี่ไหวเปิดกล่องไม้เจียวหวง หยิบหุ่นปั้นดินที่เป็นจอมยุทธ์สะพายกระบี่ออกมา ยกสองมือกอดอกกล่าวว่า “ข้ามีเซียนกระบี่คอยต้านรับศัตรู แถมยังฆ่าศัตรูได้ด้วย เจ้าจะทำอย่างไร?”

เผยเฉียนรีบหยิบหลิงจือไม้แกะสลักที่เนื้อวัสดุละเอียดเรียบลื่น รูปแบบโบราณเรียบง่ายก้อนนั้นออกมา “ต่อให้เป็นกระบี่ของเซียนกระบี่ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ใต้บัญชาการณ์ของเจ้า หลิงจือก็เป็นยาบำรุงดีเยี่ยม สามารถต่อชีวิตได้! เจ้าออกกระบวนท่ามาใหม่!”

หลี่ไหวแค่นเสียงชิชะ หยิบตุ๊กตาคนจิ๋วตัวที่สองออกมา ซึ่งก็คือคนตีฆ้องบอกเวลา “ตีกลองตีฆ้องให้เจ้าหนวกหูตาย!”

เผยเฉียนหัวเราะเสียงหยัน หยิบเหรียญหมิงเฉวียนทั้งหลายมาวางไว้บนโต๊ะ “มีเงินก็จ้างผีให้โม่แป้งได้ ระวังคนตีกลองน้อยของเจ้าจะทรยศ หันกลับมาตีฆ้องร้องป่าวอยู่นอกหน้าต่างของเจ้าเอง! ตาเจ้าแล้ว!”

หลี่ไหวหยิบตุ๊กตาดินเหนียวตัวที่สาม คือแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะ “นี่คือแม่ทัพบู๊แห่งสมรภูมิรบ จงรักภักดีต่อข้ามากที่สุด เจ้าใช้เงินก็ไม่ต่างจากโยนซาลาเปาไส้เนื้อให้สุนัข มีแต่จากไปไม่มีกลับคืน!”

จากนั้นหลี่ไหวก็หยิบตุ๊กตานักพรตที่ถือแส้ปัดฝุ่นตามมา “นี่คือท่านผู้เฒ่าเทพเซียนที่พักอยู่ในอารามเต๋าบนภูเขาท่านหนึ่ง แค่สะบัดแส้ก็สามารถคว่ำแม่น้ำพลิกมหาสมุทร เจ้าจะยอมแพ้หรือไม่?”

คราวนี้เผยเฉียนไม่ได้หยิบสมบัติออกมาจากในกล่อง แต่หยิบถุงหอมที่กุ้ยฮูหยินมอบให้ออกมาอย่างระมัดระวัง หันหลังกลับไปเทเงินเก็บส่วนตัวและกิ่งกุ้ยใบกุ้ยออกมาก่อน พอเก็บซ่อนเรียบร้อยแล้วค่อยวางถุงหอมที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่นลงบนโต๊ะ “ถุงเฉียนคุนใบนี้ของข้าไม่ว่าเวทเซียนหรือสมบัติอาคมอะไรก็ล้วนสามารถเก็บไว้ในถุง แส้ปัดขนไก่ของนักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็นคนหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้!”

จากนั้นเผยเฉียนก็วางกิ่งกุ้ยสีโปร่งใสแวววาว แค่เห็นก็ชวนชื่นชอบลงบนโต๊ะ แล้วเริ่มคุยโวต่อ “นี่คือกิ่งไม้ท่อนหนึ่งที่มาจากต้นกุ้ยในตำหนักดวงจันทร์ แค่โยนลงบนพื้น พรุ่งนี้ก็จะมีต้นกุ้ยสูงกว่าบ้านหลังหนึ่งงอกขึ้นมา!”

หลี่ไหวรีบหยิบตุ๊กตาดินเหนียวตัวสุดท้ายที่เป็นรูปเซียนขี่กระเรียนออกมาสู้ “กระเรียนเซียนที่เป็นพาหนะของหญิงสาวผู้นี้ของข้าสามารถแอบคาบกิ่งกุ้ยของเจ้าไป!”

เผยเฉียนปลดดาบและกระบี่ไม้ไผ่ตรงเอวลงมา ตบลงบนโต๊ะหนักๆ “หนึ่งกระบี่ตัดกรงเล็บกระเรียนเซียน หนึ่งดาบตัดหัวสาวใช้ของเจ้า!”

ในที่สุดหลี่ไหวก็เอาหุ่นไม้หลากสี สูงครึ่งแขน ตัวสูงใหญ่กว่าคนจิ๋วชุดนั้นที่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะมอบให้ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งใต้บัญชาการณ์ของเขาออกมา “มือหนึ่งจับกระบี่ของเจ้า มือหนึ่งกุมดาบของเจ้า!”

หลังจากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มใช้สารพัดวิธี หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล

ไม้เท้าเดินป่าที่ผ่านการหลอมเล็กมาก่อน วัตถุทั่วไปในโลกมนุษย์ที่มีราคาค่างวด แต่ไม่ช่วยในด้านการฝึกตนซึ่งเหลืออยู่ในกล่องเก็บสมบัติของเผยเฉียน

ส่วนหลี่ไหวก็หยิบเอา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนั้นออกมา แม้แต่ภูตที่ปีนั้นอาเหลียงตบเข้าไปไว้ในหนังสือก็เอามาใช้ด้วย

แต่โดยภาพรวมแล้วยังคงเป็นเผยเฉียนที่ได้เปรียบ

บนโต๊ะหินวางทรัพย์สมบัติของเผยเฉียนและหลี่ไหวไว้เต็มแน่น ละลานตา

อวี๋ลู่มองการประชันขันแข่งของเจ้าตัวน้อยทั้งสองอย่างเพลิดเพลิน

สุดท้ายหลี่ไหวถอนหายใจยาวเหยียด กุมหมัดกล่าว “ก็ได้ ข้าแพ้แล้ว ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ ความสามารถเป็นรองหนึ่งระดับ ข้าหลี่ไหวคือชายชาตรีที่สามารถค้ำฟ้าค้ำดิน ยอมรับความพ่ายแพ้ได้!”

เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก พยักหน้ารับ ใช้สายตาชื่นชมมองหลี่ไหว “ไม่เป็นไร อย่างเจ้านี้เรียกว่าแม้จะแพ้แต่ก็แพ้อย่างสมศักดิ์ศรี อยู่ในยุทธภพ วีรบุรุษชายชาตรีที่สามารถต่อสู้กับข้าได้หลายรอบขนาดนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้!”

หลี่ไหวหันหน้าไปพูดกับอวี๋ลู่ “อวี๋ลู่ เจ้าโชคดีได้ชมศึกบนยอดเขาครั้งนี้ ถือว่าเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว”

เผยเฉียนพูดเหมือนคนแก่ “ข้าไม่ใช่ชาวยุทธที่ชื่นชอบชื่อเสียงจอมปลอม ดังนั้นอวี๋ลู่เจ้าแค่จดจำไว้ก็พอ ไม่ต้องเอาไปป่าวประกาศที่อื่น”

หลี่ไหวหันมามองสบตากับเผยเฉียนแล้วยิ้มกว้างพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

บุคคลที่ฉลาดเฉียบแหลมย่อมรักบุคคลที่ฉลาดเฉียบแหลม

เผยเฉียนคิดว่าวันหน้าหากหลี่ไหวสะพายหีบหนังสือออกเดินทางไกล นางจะต้องทำให้เขารู้ให้ได้ว่าอะไรที่เรียกว่ายอดฝีมือแห่งยุทธภพที่แท้จริง อะไรที่เรียกว่าวิชากระบี่ล้ำเลิศ วิชาดาบอันเผด็จการ

หลี่ไหวคิดว่าวันหน้าเมื่อออกจากสำนักศึกษาไปทัศนาจร จะต้องลากเผยเฉียนออกไปท่องยุทธภพด้วยกัน พวกเขาพูดคุยกันถูกคอแบบนี้ เขาค่อนข้างจะสบายใจ

อวี๋ลู่ที่นั่งมองเงียบๆ อยู่ด้านข้างรู้สึกทึ่งยิ่งนัก

ทั้งทึ่งในเรื่องที่เจ้าตัวน้อยทั้งสองได้ครอบครองของล้ำค่ามากมายขนาดนี้ แล้วก็ทึ่งในความหน้าหนา นิสัยประหลาดเข้ากันได้ดีของคนทั้งสองด้วย

เพราะหลี่ไหวโดดเรียนมา ดังนั้นตอนนี้บนยอดเขาจึงไม่มีลูกศิษย์หรือนักท่องเที่ยวมาเยือน นี่ช่วยลดปัญหายุ่งยากให้กับอวี๋ลู่ได้มาก เขาปล่อยให้คนทั้งสองเริ่มเก็บสมบัติของตัวเองช้าๆ

ในฐานะรัชทยาทของราชวงศ์สกุลหลู อีกทั้งตอนนั้นสกุลหลูก็มีชื่อเสียงด้าน ‘ทรัพย์สมบัติมากมาย’ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป ในบรรดาคนกลุ่มนี้ เว้นจากเฉินผิงอันไม่นับ สายตาของเขาดีกว่าเซี่ยเซี่ยที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาเสียอีก ดังนั้นอวี๋ลู่จึงรู้ว่าสมบัติของเจ้าตัวน้อยทั้งสองแทบจะสามารถทัดเทียมกับผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร หรือแม้แต่เซียนดินก่อกำเนิดในกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระได้เลย หากไม่นับรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิต ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีสมบัติมากมายถึงเพียงนี้

อวี๋ลู่หันไปพูดล้อเล่นกับเผยเฉียน “เผยเฉียน เจ้าไม่กลัวว่าข้าเห็นสมบัติแล้วจะเกิดใจละโมบขึ้นมาหรือ?”

อวี๋ลู่รู้นิสัยของหลี่ไหวดีว่าเป็นคนที่ใจใหญ่ยิ่งกว่าท้องฟ้า ดังนั้นเขาจึงไม่ถามคำถามนี้กับหลี่ไหว

เผยเฉียนตวัดค้อนใส่อวี๋ลู่หนึ่งที ท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์เล็กน้อย รู้สึกว่าเจ้าคนที่ชื่ออวี๋ลู่ผู้นี้สมองไม่ใคร่จะดีนัก “เจ้าเป็นเพื่อนของอาจารย์ข้า ข้าจะไม่เชื่อในคุณธรรมของเจ้าได้หรือ?”

อวี๋ลู่อึ้งงันไร้คำพูดตอบโต้

……

ทางฝั่งของห้องหนังสือ หลังจากที่คนทั้งสองอนุมานรายละเอียดทั้งหมดในการหลอมวัตถุเสร็จแล้ว เหมาเสี่ยวตงก็ตบไม้บรรทัดตรงเอว วัตถุดิบวิเศษแต่ละชิ้นที่ใช้ในการหลอมหัวใจบุ๋นสีทองก็ลอยออกมาจากไม้บรรทัด พากันร่วงลงบนโต๊ะ มีทั้งหมดสิบแปดชนิด ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่านั้น ราคาก็มีสูงมีต่ำ ตอนนี้ยังขาดอีกหกอย่าง สี่อย่างในนั้นอีกไม่นานก็จะส่งมาถึงสำนักศึกษาซานหยา ยังมีอีกสองชิ้นที่ค่อนข้างยุ่งยาก ไม่ใช่ว่าไม่สามารถหาอย่างอื่นมาแทนที่ได้ เพียงแต่ว่าจะส่งผลต่อระดับขั้นในท้ายที่สุดหลังจากหลอมหัวใจบุ๋นสีทองเสร็จไม่มากก็น้อย ถึงอย่างไรเหมาเสี่ยวตงก็ฝากความหวังไว้กับเรื่องนี้สูงมาก หวังว่าเฉินผิงอันจะสามารถหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่สมบูรณ์แบบไร้ตำหนิที่ช่วยพิทักษ์ช่องโพรงลมปราณแห่งที่สองได้บนภูเขาตงหัวที่มีตนเฝ้าบัญชาการณ์

เหมาเสี่ยวตงเก็บกลั้นคำพูดบางอย่างไว้ในใจ ไม่ได้เอ่ยกับเฉินผิงอัน หนึ่งเพราะอยากจะทำให้เฉินผิงอันตกตะลึงระคนดีใจ สองเพราะกังวลว่าเฉินผิงอันจะเป็นกังวลกับเรื่องนี้มากเกินไป เอาแต่พะวงถึงผลได้ผลเสียกลับจะกลายเป็นเรื่องไม่ดี

หากหลอมหัวใจบุ๋นสีทองได้สำเร็จก็จะเหมือนอ๋องโหวชนชั้นสูงสร้างจวน แล้วก็เหมือนแม่ทัพใหญ่ชูธงขึ้นในสนามรบ สามารถเพิ่มความเร็วในการดูดซับปราณวิญญาณเมื่ออยู่ในสถานที่หรือช่วงเวลาที่พิเศษ ยกตัวอย่างเช่นแผนภูมิสวรรค์ (คือระบบเลขฐาน 60 แบบวนรอบที่เขียนด้วยอักษรจีน ซึ่งประกอบด้วยส่วนย่อย 2 ส่วน ได้แก่ภาคสวรรค์ เรียกว่า ‘ราศีบน’ มี 10 ตัวอักษร และภาคปฐพี เรียกว่า ‘ราศีล่าง’ มี 12 ตัวอักษร) ของธาตุทองในห้าธาตุอันได้แก่เกิง (ภาคสวรรค์ธาตุหยาง ธาตุทอง) ซิน (ภาคสวรรค์ธาตุหยิน ธาตุทอง) เซิน (ปีวอก 15.00-17.00 น.) โหย่ว (ปีระกา 17.00-19.00 น.) สถานที่ที่เหมาะแก่การดูดซับปราณวิญญาณก็คือทิศตะวันตกและทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสถานที่ที่มีภูเขาเขียวน้ำใส นอกจากนี้ความหมายของทองก็คือการพิชิตสังหาร หากผู้ฝึกตนเป็นพวกชอบผดุงคุณธรรมช่วยเหลือคนอ่อนแอ นิสัยแข็งกร้าว มีปราณสังหารที่เข้มข้นก็จะเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ประสบความสำเร็จเป็นเท่าตัว เป็นเหตุให้ถูกขนานนามว่า ‘ลมฤดูใบไม้ผลิพัดกระโชกแรง เสียงดังดุจลั่นระฆัง ไยต้องกลัดกลุ้มว่าจะไร้ชื่อเสียงโด่งดังในราชสำนัก’

เพียงแต่ความลี้ลับเหล่านี้คือศักยภาพแฝงของวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุทองบนโลกแทบทั้งหมด ทว่าหัวใจบุ๋นสีทองของเฉินผิงอันกลับมีโชควาสนาที่เก็บซ่อนอำพรางไว้เป็นความลับอีกชั้นหนึ่ง

เหมาเสี่ยวตงเองก็เพิ่งจะรู้เรื่องวงในเหล่านี้หลังจากอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดที่มีเพียงเล่มเดียวซึ่งค่อนข้างจะเอนเอียงคลุมเครืออย่างยิ่ง ต่อให้เป็นชุยตงซานก็ยังไม่รู้

หลอมหัวใจบุ๋นสีทองที่ระดับขั้นสูงสุดดวงหนึ่งเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตล้ำค่าตรงที่ว่ามันแทบจะเป็นสิ่งที่ได้แต่ปรารถนา มิอาจได้มาครอบครอง แล้วก็ต้องหลอมให้ได้สมบูรณ์แบบไร้ตำหนิเท่านั้น นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญในสำคัญก็คือคนที่หลอมวัตถุชิ้นนี้ไม่เพียงแต่ต้องเป็นผู้ฝึกตนที่มีโชควาสนาดีและเชี่ยวชาญด้านการเข่นฆ่าสังหาร จิตใจยังต้องเชื่อมโยงสอดคล้องกับชะตาบุ๋นที่ซ่อนอยู่ในหัวใจบุ๋นด้วย อีกทั้งยังต้องใช้วิชาหล่อหลอมวัตถุชั้นสูง เมื่อปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องกันนี้ไม่มีข้อผิดพลาดใด สุดท้ายหัวใจบุ๋นสีทองที่หลอมออกมาได้ถึงจะสามารถไต่ไปถึงระดับที่ลี้ลับเกินจะหยั่งอย่าง ‘เป็นคนดีมีคุณธรรมสูงส่ง ย่อมไม่ถูกวัตถุนอกกายล่อลวง!’

เมื่อเข้าไปในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสนียดจัญไรกลิ่นอายสกปรก ไม่กล้าพูดว่าหมื่นความชั่วร้ายมิอาจรุกราน ภูตผีปีศาจทั้งหมดบนโลกพากันถอยหนีไกลสามฉื่อ แต่กระนั้นก็มีพลังสยบกำราบตามธรรมชาติ สามารถสยบสิ่งมีชีวิตที่ใต้หล้าไพศาลมองเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมได้

ประสิทธิผลประเภทนี้คล้ายคลึงกับเจียวหลงในแม่น้ำ ทะเลสาบและมหาสมุทรของยุคบรรพกาลที่เกิดมาก็สามารถขับไล่ สยบพิฆาตเผ่าพันธ์สิ่งมีชีวิตในน้ำได้นับพันนับหมื่นเผ่า

เหมาเสี่ยวตงเก็บความคิดที่วุ่นวายลงไป ในขณะที่เฉินผิงอันมองประเมินวัตถุดิบวิเศษเหล่านั้นอย่างละเอียด เขาก็เอ่ยช้าๆ ว่า “หลายวันมานี้ข้าพยายามหลบเลี่ยงช่วงกลางวันที่ผู้คนมากสายตาเยอะ ไปเยือนสถานที่ที่มีโชคชะตาบุ๋นเข้มข้นอย่างศาลบุ๋นและสถานที่แห่งอื่นของเมืองหลวงต้าสุยยามค่ำคืน ข้าจำเป็นต้องเอาชะตาบุ๋นบางส่วนกลับมาและเบิกใช้ล่วงหน้า บางส่วนก็เหมือนกับว่าสำนักศึกษาของพวกเรา… ‘ฝากเก็บไว้’ ไปพูดจาเหมือนพ่อค้าหน้าเลือดกับพวกเขา แต่อันที่จริงกลับถือว่าพวกเขาได้เงินปันผลที่ได้จากการค้าขาย สำหรับเรื่องนี้เชื้อพระวงศ์สกุลเกาและที่ว่าการของกรมพิธีการต้าสุยก็ทำได้แค่หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ถึงอย่างไรข้าก็แค่เอากลับมาภูเขาตงหัวเท่านั้น ก็เหมือนอย่างที่เจ้าบอก ภูเขาตงหัวยังคงตั้งอยู่บนแผ่นดินของต้าสุย”

เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเตือน “ช่วงเวลาระหว่างนี้ เจ้าแค่ยืนอยู่ข้างกายข้าก็พอ ไม่ต้องพูดอะไร การที่ข้าพาเจ้าไปด้วยก็เพราะอยากลองหยั่งเชิงดูโชควาสนาชะตาบุ๋นที่เป็นของเจ้าว่ามีหรือไม่มี ทำไม เจ้ารู้สึกพิกล? เฉินผิงอัน เจ้าคิดผิดแล้ว อันที่จริงตอนนี้เจ้ารู้เรื่องการช่วงชิงบนสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อแค่ผิวเผินเท่านั้น เห็นแค่ภายนอก ไม่รู้ความหมายของมัน สรุปก็คือตอนนี้เจ้ายังไม่ต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้ แค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอ ไม่ได้บอกให้เจ้าไปรับสายบุ๋นสายไหนเป็นบรรพบุรุษสักหน่อย ไม่ต้องตื่นเต้น”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”

เหมาเสี่ยวตงพูดตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อมอีกว่า “ตอนนี้ลมปีศาจฝนชั่วร้ายกำลังตั้งเค้าอยู่ในเมืองหลวงต้าสุย เหตุการณ์ไม่สงบสุขอย่างยิ่ง ครั้งนี้ข้าพาเจ้าออกไปจากสำนักศึกษาเพราะยังมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถือว่าช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบากสองอย่าง เพียงแต่ว่าจะอันตราย อีกทั้งยังไม่ใช่น้อยๆ ด้วย เจ้ามีความคิดอะไรหรือไม่?”

เหมาเสี่ยวตงวางท่าชัดเจนว่าจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ

เฉินผิงอันกล่าวอย่างเป็นกังวล “ข้าย่อมต้องยินดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเจ้าขุนเขาเหมาออกไปจากสำนักศึกษาก็เท่ากับว่าออกไปจากฟ้าดินของอริยะ หากอีกฝ่ายเตรียมการมาก่อน แรกเริ่มสุดคนที่พวกเขาต้องการเล่นงานก็คือเจ้าขุนเขาเหมาที่อยู่ในสำนักศึกษา แบบนี้เจ้าขุนเขาเหมาจะไม่เสี่ยงอันตรายมากหรอกหรือ?”

“คิดจะเล่นงานข้า ต่อให้ข้าออกจากภูเขาตงหัว อีกฝ่ายก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบถึงจะมีความมั่นใจนั้น”

เหมาเสี่ยวตงหัวเราะฮ่าๆ “แต่เจ้าคิดว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของแจกันสมบัติทวีปเหมือนของเล่นที่หลี่ไหวกับเผยเฉียนเก็บสะสมไว้ คิดจะเอาออกมาโอ้อวดตอนไหนก็ได้งั้นหรือ? ขอบเขตหยกดิบเพียงหนึ่งเดียวของต้าสุยคือบรรพบุรุษสกุลเกาเหอหยาง อีกทั้งยังเป็นนักเล่านิทานที่ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า และเขาก็ไปเยือนภูเขาพีอวิ๋นบ้านเกิดของเจ้านานแล้ว บวกกับที่นักพรตใหญ่ขอบเขตบินทะยานของใบถงทวีปผู้นั้นร่างดับมรรคาสลาย เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสร่วงกระจายกลางอากาศเหนือแจกันสมบัติทวีป พวกตะพาบเฒ่าอายุพันปีที่มีคุณสมบัติไปช่วงชิงมันมาอย่างฉีเจินเทียนจวินสำนักโองการเทพ บรรพบุรุษสกุลเจียงที่มีข่าวลือว่าแอบเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหรินนานแล้ว ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบของท่าเรือหางผึ้งที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระ คนเหล่านี้ต่างก็กำลังยุ่งอยู่กับการประชันสติปัญญาความรู้ คนที่เหลืออยู่อย่างเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป เตรียมจะลงมือต่อสู้กับเซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีป”

เหมาเสี่ยวตงพูดอย่างปลงอนิจจัง “ราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติน้อยใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปมีมากถึงสองร้อยกว่าแคว้น แต่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่เกิดและเติบโตมาในทวีปนี้มีแค่กี่คนกันเชียว? สองมือนับยังพอ ก่อนที่ชุยฉานและฉีจิ้งชุนจะมาแจกันสมบัติทวีป ช่วงที่โชคไม่ดีก็อนาถยิ่งกว่านี้เสียอีก แค่มือเดียวก็นับได้หมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้ฝึกตนทวีปอื่นจะดูแคลนแจกันสมบัติทวีป เพราะเทียบกับคนอื่นไม่ติดจริงๆ และทุกด้านก็ล้วนเป็นเช่นนี้ อืม ควรจะพูดว่าเว้นจากวิถีวรยุทธ์ ถึงอย่างไรซ่งจ่างจิ้งและหลี่เอ้อร์ก็ปรากฎตัวติดๆ กัน อีกทั้งยังอายุน้อยขนาดนี้ ถือว่าน่าตกตะลึงมากแล้ว”

เฉินผิงอันจึงพูดถึงเรื่องที่มีคนติดประกาศเสนอรางวัลค่าหัวซ่งจ่างจิ้งที่เรือนซือเตาภูเขาห้อยหัว

เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “ใต้หล้าไพศาลเคยชินที่จะดูแคลนแจกันสมบัติทวีปแล้ว รอวันหน้าเจ้าไปหาประสบการณ์ที่ทวีปอื่น หากบอกว่าตัวเองมาจากแจกันสมบัติทวีปที่เล็กที่สุดจะต้องถูกคนดูถูกบ่อยๆ แน่ ตอนที่สำนักศึกษาซานหยาเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องเดียวที่ฉีจิ้งชุนทำสำเร็จในช่วงเวลายี่สิบสามสิบปีนั้นคืออะไร?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้”

เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้มบางๆ “นั่นก็คืออบรมปลูกฝังเมล็ดพันธ์บัณฑิตกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าให้แก่ราชวงศ์ต้าหลีอย่างเหนื่อยยาก แต่กลับมีคนหัวแหลมคนแล้วคนเล่าคิดอยากจะไปเรียนที่สำนักศึกษากวานหูซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ฉีจิ้งชุนก็ไม่ขัดขวาง ที่น่าหัวเราะที่สุดก็คือ ฉีจิ้งชุนยังต้องเขียนจดหมายแนะนำให้บัณฑิตหนุ่มเหล่านั้น ช่วยพูดเรื่องดีๆ แทนพวกเขาด้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่ในสำนักศึกษากวานหูอย่างราบรื่น”

เฉินผิงอันตะลึงพรึงเพริด

เหมาเสี่ยวตงสีหน้าเฉยชา “ราชวงศ์ต้าหลีในเวลานั้นแทบจะเป็นบัณฑิตกันทุกคน ผู้คนต่างก็รู้สึกว่าวิญญูชนและนักปราชญ์ของสำนักศึกษากวานหูอธิบายหลักการและเหตุผลได้ดีกว่าเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาซานหยา”

ในห้องหนังสือไร้สรรพสำเนียงอยู่นาน

เหมาเสี่ยวตงหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง เอ่ยเยาะหยันตัวเอง “ดังนั้นตั้งแต่อาจารย์ของพวกเรามาจนถึงฉีจิ้งชุน สุดท้ายมาถึงข้าเหมาเสี่ยวตงล้วนไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า ใครกันที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์สายตรงที่ถูกต้องเหมาะสม มีกี่คนกันแน่ที่ถือเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดวิชาความรู้อย่างสมชื่อ แล้วใครที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่แท้จริง เฉินผิงอัน เจ้าว่าตลกหรือไม่? หันกลับไปมองสายบุ๋นสายอื่น นั่นต้องเรียกว่าสืบทอดกันอย่างเป็นระบบระเบียบ กฎเกณฑ์เข้มงวด ประหนึ่งหมู่มวลดาราที่งดงามตระการตา”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งคำ

เหมาเสี่ยวตงเดินไปหยุดที่หน้าต่าง โดยไม่ทันรู้ตัวด้านนอกก็เป็นภาพที่ดวงจันทร์และดวงดาวส่องแสงระเรื่อแล้ว

ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่หันหน้ากลับไปก็เห็นว่าคนหนุ่มที่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองคือศิษย์น้องเล็กของตนกำลังสองจิตสองใจว่าควรจะดื่มเหล้าต่อไปดีหรือไม่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!