Skip to content

Sword of Coming 415

บทที่ 415 ทุกข์และสุขจากการพบพรากที่แกว่งไกวอยู่บนหัวใจ

สำนักศึกษากลายเป็นฟ้าดินขนาดเล็กที่มีอริยะเฝ้าพิทักษ์ บนยอดเขาภูเขาตงหัวก็คล้ายจะเป็นฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง

หลังจากที่เหมาเสี่ยวตงโคจรวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ ภาพบรรยากาศบนยอดเขาก็กลายเป็นเหมือนอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นสีทองอร่าม

อากาศเย็นสบาย

เฉินผิงอันนั่งอยู่ทิศตะวันตก ด้านหน้าวางเตาตู้สีทองห้าสี ใช้ปราณวิญญาณที่กักเก็บไว้ในช่องโพรงน้ำมา ‘พัดลม’ ใช้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธ ‘จุดไฟ’ ผลักดันให้ในกระถางเกิดไฟที่แท้จริงซึ่งใช้ในการหลอมวัตถุลุกโชนเป็นลูกๆ

เตาหลอมโอสถพลันส่องประกายแสงเจิดจ้า ประหนึ่งดวงอาทิตย์ในโลกมนุษย์

หัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้นลอยตัวอยู่เหนือเตาหลอม แล้วค่อยๆ ลดระดับลงเบื้องล่างช้าๆ

เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน เขาจึงทำไปตามลำดับขั้นตอน ใช้คาถาหลอมวัตถุของเซียนบทที่มีต้นกำเนิดมาจากศิลาขอฝนจากเซียนหน้าศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอมาขับเคลื่อนกรวดทองไหหนึ่งที่มีขนาดเท่าฝ่ามือให้สาดลงไปในเตาหลอมโอสถ เปลวพลิงยิ่งลุกโชติช่วง สาดสะท้อนให้ใบหน้าของเฉินผิงอันเป็นสีแดงสว่างจ้า โดยเฉพาะดวงตาใสกระจ่างที่เคยเห็นขุนเขาและสายน้ำมานับพันนับหมื่นคู่นั้นที่ยิ่งงดงามเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา มือคู่นั้นที่เคยขึ้นรูปเครื่องปั้นมานับครั้งไม่ถ้วนไม่มีอาการสั่นเทาแม้แต่น้อย ทะเลสาบหัวใจใสกระจ่างดุจกระจก แล้วก็เหมือนบ่อน้ำโบราณที่ไร้ริ้วน้ำ

หัวใจบุ๋นสีทองที่ถูก ‘ควัก’ ออกมาจากหัวใจของเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในเตาหลอมโอสถ เดี๋ยวก็หมุนคว้าง เดี๋ยวก็พลิกกลับ

ในหัวใจบุ๋นมีทั้งควันธูปที่ได้รับมาปีแล้วปีเล่าเป็นเวลาหลายร้อยปีจากชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาในแคว้นไฉ่อี แล้วก็มีปราณแห่งความเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่ที่เสิ่นเวินมุ่งมั่นยึดถือเอาไว้หลังจากตายไป รวมไปถึงแสงแห่งจิตวิญญาณที่ฟูมฟักออกมาหลังจากได้อยู่กับตราประทับซึ่งแกะสลักจากฝีมือของเทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์มานานวัน พวกมันอยู่ในรูปลักษณ์จุดๆ เป็นดวงๆ ประหนึ่งดวงดาราที่ลอยอยู่กลางท้องนภายามค่ำคืน

ในบรรดาวัตถุดิบวิเศษมากมาย ก็มีเพียงดาบประจำกายของอริยะบู๊ในศาลบู๊ประจำเมืองหลวงของแคว้นหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงเขาวัวพันปียาวครึ่งจั้งที่หลอมได้ยากที่สุด

จิตใจเฉินผิงอันสงบนิ่ง เขาแค่ต้องก้าวไปทีละก้าวอย่างมั่นคงไร้ข้อผิดพลาด ใช้คาถาเซียนที่สามารถ ‘หล่อหลอมหมื่นสรรพสิ่ง’ หลอมพวกมันไปอย่างเชื่องช้า

ดาบประจำกายที่เคยติดตามอริยะบู๊ท่านนั้นมาทั้งชีวิตลอยอยู่กลางอากาศเหนือเตาหลอม ค่อยๆ ละลายไปอย่างช้าๆ โดยเริ่มจากปลายดาบ กลั่นออกมาเป็นไข่มุกสีทองเม็ดหนึ่งที่ตกลงไปในเตาตู้ทองห้าสี ยิ่งเป็นช่วงท้ายๆ ความเร็วในการหยดลงของหยดน้ำก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ติดต่อกันจนกลายเป็นเส้นสาย หากมีคนสามารถใช้วิธีการมองสำรวจภายใน นำกายมาพักพิงอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กของเตาหลอมโอสถแล้วแหงนหน้ามองไป ไข่มุกเส้นนั้นก็จะเหมือนน้ำตกสีทองที่หล่นลงจากฟากฟ้ามาสู่โลกมนุษย์

ทองคือธาตุหลักของปอด

และหากคิดจะบำรุงปอด การที่ผู้ฝึกตนคลำหากฎเกณฑ์ข้อหนึ่งที่บอกว่าต้องบำรุงมหาสมุทรลมปราณ จุดตั้นจง (จุดฝังเข็มอยู่ตรงช่วงหน้าอก) และจุงเฟ่ยอวี๋ (จุดฝังเข็มตรงปอด) ไว้ได้แต่เนิ่นๆ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างถึงที่สุด

ตอนที่เฉินผิงอันหายใจก็จะใช้วิธีโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดไปด้วยคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา ส่งลมปราณผ่านช่องโพรงลมปราณสามแห่ง ด่านทั้งสามแห่งพลันมีปราณกระบี่เหมือนสายรุ้งพาดผ่าน จากนั้นกล้ามเนื้อภายนอกของเฉินผิงอันก็กระตุกขึ้นลงเล็กน้อยประหนึ่งรัวกลองบนสนามรบ แม้ว่าบนยอดเขาตงหัวจะไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้วในร่างกายของเฉินผิงอันที่เป็นฟ้าดินขนาดเล็กกลับมีสมรภูมิรบสามแห่งที่เต็มไปด้วยปราณเข่นฆ่าสังหารซึ่งมีปราณกระบี่เป็นหลัก คล้ายซากปรักหักพังของสนามรบที่ยังคงมีจิตวิญญาณของวีรบุรุษเซียนกระบี่ที่ไม่เต็มใจจะอยู่นิ่งเฉยอย่างสงบ

การหลอมวัตถุดิบวิเศษทั้งสามสิบกว่าชิ้นล้วนจำเป็นต้องอิงตามลำดับก่อนหลัง จำเป็นต้องเอาใส่เตาตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ ผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ขนาดไฟเล็กใหญ่ในเตาหลอมก็ยิ่งไม่อาจมีข้อผิดพลาดได้

เวลานี้เหมาเสี่ยวตงมีฐานะเป็นอริยะลัทธิขงจื๊อผู้เฝ้าพิทักษ์สำนักศึกษา เขาสามารถใช้วิชาลับที่เป็นวิชาสืบทอดดั้งเดิมมาออกเสียงเอ่ยเตือน เพื่อที่ไม่ต้องคอยกังวลว่าเฉินผิงอันจะเสียสมาธิจนเป็นเหตุให้ธาตุไฟเข้าแทรก

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่ให้โอกาสนี้แก่เขาเลย

เฉินผิงอันรวบรวมสมาธิแน่วนิ่งได้ตลอดเวลา จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ใช้คาถาในการหลอมวัตถุของเซียนมาหล่อหลอมวัตถุดิบวิเศษแต่ละชิ้นจากของที่จับต้องได้จริงให้กลายเป็นภาพมายา ใช้ปราณวิญญาณในช่องโพรงน้ำกับปราณแท้จริงบริสุทธิ์ที่เกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่ามาบังคับเตาหลอมอย่างระมัดระวัง ใช้ปราณกระบี่สิบแปดหยุดมาสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ ‘สมรภูมิรบ’ ที่เป็นด่านช่องโพรงลมปราณใหญ่สามด่าน เนื่องจากการหลอมหัวใจบุ๋นสีทองดวงนี้เกี่ยวพันกับการฝึกตนของลัทธิขงจื๊อ เมื่อเทียบกับการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกลมปราณทั่วไปแล้ว ยังต้องมีเรื่องยุ่งยากที่ใหญ่เทียมฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือต้องท่องบทคาถาที่เกี่ยวพันกับธาตุทองซึ่งเป็นหนึ่งในห้าธาตุ ยกตัวอย่างเช่นบทความอริยะปราชญ์หรือบทกวีที่มีตัวอักษรคำว่าซี ชิว หรานอยู่ภายใน เกินครึ่งเป็นตัวอักษรที่เฉินผิงอันเลือกมาจากแผ่นไม้ไผ่ของตัวเอง ส่วนอีกเกือบครึ่งถึงจะเป็นตัวอักษรที่เหมาเสี่ยวตงแนะนำให้ตอนอยู่ในห้องหนังสือ

ในการฝึกตนของลัทธิขงจื๊อ ด่านนี้ถูกเรียกขานว่า ‘ใช้ถ้อยคำที่มาจากปอด เยี่ยมเยือนขอคำแนะนำจากอริยะปราชญ์’ (ถ้อยคำที่มาจากปอดเป็นคำที่แปลตรงตัวจากประโยคว่า 肺腑之言 ซึ่งถ้าแปลโดยภาพรวมจะหมายถึงถ้อยคำที่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ)

อันที่จริงเหมาเสี่ยวตงค่อนข้างเป็นกังวลกับด่านนี้

ในความเป็นจริงแล้วครั้งแรกที่ไปเยือนศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงต้าสุย การที่ไม่เพียงแต่ต้องการเอาส่วนปันผลของสำนักศึกษาซานหยากลับมา ยังยืมเครื่องดนตรีและภาชนะที่ใช้ในการเซ่นไหว้เพิ่มขึ้นด้วย นั่นก็เพราะเหมาเสี่ยวตงกลัวว่าการหลอมวัตถุของเฉินผิงอันจะเกิดช่องโหว่ตรงจุดนี้ ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่เคยสัมผัสกับวิชาการฝึกตนของลูกศิษย์สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อมาก่อน อีกทั้งยังไม่มีทางลัดที่สามารถปิดฟ้าข้ามทะเลให้เดิน จึงได้แต่ใช้ภาชนะของศาลบุ๋นที่กักเก็บโชคชะตาบุ๋นไว้อย่างเข้มข้นมาเป็นตัวชดเชย พยายามฝืนฝ่าด่านไปให้ได้

แต่ยังดีที่เฉินผิงอันทำได้ดียิ่งกว่าที่ผู้เฒ่าจิตนาการเอาไว้

นี่หมายความว่าการอ่านหนังสือของเฉินผิงอันได้อ่านเข้าหัวไปจริงๆ ทั้งคนอ่านหนังสือและหลักการเหตุผลที่อยู่ในตำราต่างก็ยอมรับซึ่งกันและกัน ดังนั้นนี่จึงกลายเป็นรากฐานในการหยัดยืนของตัวเฉินผิงอันเอง ก็เหมือนกับระหว่างทางที่เหมาเสี่ยวตงพาเฉินผิงอันเดินไปศาลบุ๋นแล้วพูดชวนคุยว่า ตัวอักษรในตำราไม่มีขาให้เดินเอง ไม่อาจวิ่งเข้ามาในท้อง บินเข้ามาในหัวใจของคนได้ ต้องให้ตัวเองไป ‘ขบให้แตก’ ขบให้แตกคำเดียวกับประโยคว่าอ่านหมื่นตำราให้แตกฉาน! หลักการเหตุผลของลัทธิขงจื๊อยิบย่อยมากมายก็จริง แต่ไม่เคยเป็นกรงขังที่พันธนาการผู้คน นั่นต่างหากจึงจะเป็นรากฐานของการทำตามใจปรารถนาได้โดยไม่ละเมิดกฎเกณฑ์

เหมาเสี่ยวตงสะทกสะท้อนใจ

ศาลบุ๋นอันเป็นศาลดั้งเดิมในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแห่งนั้นมีห้องโถงความรู้แห่งหนึ่งที่ลึกลับไม่เปิดเผยแก่คนภายนอก ซึ่งภายในเต็มไปด้วยบทความและประโยคหลักการเหตุผลที่เหล่าอริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน

ตัวอักษรมีเล็กใหญ่ แสงสีทองมีทั้งเข้มข้นและบางเบา

ตัวอักษรสีทองที่อยู่ใกล้พื้นมากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วหากตัวอักษรยิ่งใหญ่เท่าไหร่ แสงที่เปล่งออกมาก็จะยิ่งสว่างบริสุทธิ์มากเท่านั้น

บรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาหรือไม่ก็ผู้มีความสามารถรุ่นหลังที่มีชื่อเสียงของเมธีร้อยสำนักจำนวนมากชื่นชมเลื่อมใสสถานที่แห่งนี้ พวกเขาสามารถร่ายใช้วิชาอภินิหารทำให้บทความในจุดสูงบางส่วนที่แต่ละตัวอักษรหนักนับหมื่นชั่ง แน่วนิ่งไม่ขยับดุจขุนเขาทั้งห้าในแผ่นดินกลาง มากพอจะทิ้งชื่อเสียงอันหอมหวนไว้ได้นานนับร้อยปีโยกคลอน หรือถึงขั้นย้ายตัวอักษรจำนวนมากในบทความไปไว้ที่อื่นได้ตามแต่ใจปรารถนา ทว่าจนถึงทุกวันนี้กลับยังไม่มีใครที่สามารถขยับเคลื่อนตัวอักษรสีทองที่เหมือนเมล็ดข้าวโพดขนาดใหญ่ยักษ์ที่อยู่บนพื้นเหล่านั้นได้เลย

เพราะนั่นคือความรู้อันเป็นรากฐานของปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ สีทองของตัวอักษรบางตัวของปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่งที่ลอยอยู่ในจุดสูงของโถงความรู้ก็ยังจืดจางและสลายหายไปด้วยตัวเอง ในประวัติศาสตร์ลับของศาลบุ๋น ครั้งแรกที่เหตุการณ์เช่นนี้ปรากฏขึ้น ทำให้เหล่าอริยะในสถานศึกษาตื่นตะลึงพรึงเพริด แม้แต่รองเจ้าขุนเขาลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์ศาลบุ๋นในเวลานั้นก็จำต้องรีบไปอาบน้ำผลัดเสื้อผ้า แล้วไปจุดธูปอัญเชิญปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง

เพียงแต่ว่าอริยะทั้งสองท่านกลับไม่เผยโฉมหน้า

และเวลานั้นเอง บัณฑิตที่ยังไม่ถูกสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อยกย่องเป็นหย่าเซิ่งก็ได้กล่าวประโยคหนึ่งว่า ‘ใต้หล้าไม่มีความรู้ใดไม่แปรเปลี่ยนนานนับหมื่นปี ใต้หล้าไม่มีบทความใดที่สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่จำเป็นต้องตื่นตะลึง ไม่อย่างนั้นคนรุ่นหลังอย่างพวกเราจะอ่านตำราสร้างวิชาความรู้กันไปทำไม?’

ด้วยเหตุนี้จิตใจของคนในศาลบุ๋นจึงสงบนิ่งลงได้

เหมาเสี่ยวตงเก็บความคิดทั้งหลายลงไปแล้วมองคนหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับตัวเอง

ว่ากันด้วยรูปลักษณ์ เขาสูงสง่าโดดเด่น ประดุจป่าแก้วต้นไม้หยก ฝุ่นธุลีมิอาจแปดเปื้อน

ว่ากันด้วยจิตใจ เขาประหนึ่งไข่มุกทอแสงยามค่ำคืน ราวกับดวงจันทร์ขนาดจิ๋วที่หล่นลงในโลกมนุษย์ ยังไม่ถูกเทพแห่งตำหนักดวงจันทร์เอากลืบคืนสู่สรวงสวรรค์ ดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนทอประกายพร่างพราวก็เพื่อห้อมล้อมดวงเดือนดวงนี้

มีศิษย์น้องเล็กแบบนี้

ในฐานะศิษย์พี่ จะไม่รู้สึกเป็นเกียรติได้อย่างไร?

นี่ไม่เกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดว่าสูงส่งหรือต่ำต้อย ไม่เกี่ยวกับตบะว่าสูงหรือต่ำ

อาจารย์ของเขาเหมาเสี่ยวตงคือเหวินเซิ่ง ศิษย์พี่มีทั้งพวกฉีจิ้งชุน จั่วโย่ว แล้วก็ได้รู้จักกับอาเหลียงตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากสถานศึกษาหลี่จี้ ถึงขั้นเคยขอวิชาความรู้จากบัณฑิตแห่งแผ่นดินกลางที่ใช้หนึ่งกระบี่เปิดถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กหวงเหอผู้นั้น

และเขาเองก็เคยได้รับโชควาสนายิ่งใหญ่มากมาย เคยเดินทางไปขอศึกษาต่อในหลายๆ สถานที่ เคยรู้จักกับยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วยังถึงขั้นเคยดื่มเหล้า เคยเดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำร่วมกับบรรพบุรุษสำนักกสิกรรมหลายครั้งหลายคราเกินคณานับ

ทว่าเหมาเสี่ยวตงกลับยังรู้สึกว่าตัวเองสู้เฉินผิงอันไม่ได้

เพราะเขาเหมาเสี่ยวตงพลาดอะไรไปหลายอย่าง ไม่อาจคว้าจับพวกมันไว้ได้อยู่มือ

ชุยตงซานเคยพูดถึงการเดินทางบนเส้นทางจิตใจที่อันตรายที่สุดครั้งหนึ่งหลังจากเฉินผิงอันเดินทางออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูโดยไม่ได้ตั้งใจ

ไม่ใช่การเข่นฆ่าแย่งชิงอะไร แต่เป็นการที่อาเหลียงไปเจอเขา

การทดสอบที่มองดูเหมือนมีเพียงโชควาสนาไม่มีอันตรายแม้แต่น้อยครั้งนั้น หากจิตใจของเฉินผิงอันเอนเอียงเพียงเล็กน้อยก็จะกลายเป็นอย่างจ้าวเหยา และในอนาคตก็อาจจะมีโชควาสนาเป็นของตัวเองเฉกเช่นจ้าวเหยา แต่เฉินผิงอันจะต้องพลาดอาเหลียง พลาดฉีจิ้งชุน พลาดโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุดซึ่งฉีจิ้งชุนช่วยช่วงชิงมาให้เขาอย่างยากลำบากครั้งนั้น พลาดซิ่วไฉเฒ่า สุดท้ายก็พลาดหญิงสาวที่ตนเองรักไป พลาดหนึ่งก้าวก็พลาดไปทุกก้าว แพ้ทั้งกระดาน

ตอนนั้นเหมาเสี่ยวตงจำต้องถามว่า ‘แล้วเฉินผิงอันอาศัยอะไรถึงข้ามผ่านอันตรายนั้นมาได้?’

ชุยตงซานให้คำตอบที่ไม่จริงจังนัก ‘ก็อาจารย์ของข้ารู้ว่าตัวเองโง่ไงล่ะ แน่นอนว่าโชคดีก็พอจะมีอยู่บ้าง’

เหมาเสี่ยวตงอยากจะซักถามให้ละเอียด แต่ชุยตงซานกลับไม่เต็มใจจะพูดถึงอีก

ถึงท้ายที่สุดการที่เหมาเสี่ยวตงไปขนเครื่องดนตรีและภาชนะทั้งหลายมาจากศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงก็ไม่ใช่การส่งถ่านท่ามกลางหิมะ แต่เป็นแค่การปักบุปผาบนผ้าแพรเท่านั้น

แต่ก็แน่นอนว่าตอนนี้เหมาเสี่ยวตงดีใจยิ่งกว่าอะไร

นี่หมายความว่าระดับขั้นของวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่หลอมมาจากหัวใจบุ๋นสีทองดวงนี้จะต้องสูงขึ้น

แน่นอนว่าอาจด้อยกว่าเมื่อเทียบกับตราประทับตัวอักษรน้ำ แต่ใต้หล้านี้จะไปหาตราประทับที่ฉีจิ้งชุนใช้จิงชี่เสินของตัวเองมาสลักเป็นตัวอักษรได้จากที่ไหนอีกเล่า?

ต่อให้เป็นเหมาเสี่ยวตงก็ยังรู้สึกเสียดายแทนเฉินผิงอันที่ต้องเสียตราประทับตัวอักษรภูเขาไปในร่องเจียวหลง ไม่อย่างนั้นหากสร้างสถานการณ์ที่ ‘ภูเขาและแม่น้ำแอบอิง’ ขึ้นมาได้ หลังจากหลอมตราประทับแห่งชะตาชีวิตสองชิ้นเสร็จก็ไม่ได้ง่ายดายแค่ฝ่าทะลุคอขวดของสองขอบเขต เลื่อนเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสองขั้นสูงสุดเท่านั้น แต่ต้องกลายเป็นขอบเขตสามขั้นสูงสุดอย่างแน่นอน! ต่อให้วัตถุแห่งชะตาชีวิตอีกสามชิ้นที่เหลือจะระดับแย่แค่ไหน ขอแค่รวบรวมให้ได้ครบห้าธาตุก็ต้องสามารถฝ่าธรณีประตูใหญ่ขั้นที่หนึ่งของผู้ฝึกลมปราณ ตรงดิ่งไปยังห้าขอบเขตกลางได้แน่นอน!

แต่เหมาเสี่ยวตงเองก็รู้ดีว่า การที่พกเอาตราประทับตัวอักษรภูเขาของฉีจิ้งชุนไปที่ภูเขาห้อยหัว มีความเป็นไปได้มากว่าจะเกิดอุปสรรคใหญ่หลวงขึ้น

นี่มองดูเหมือนการได้และเสีย การเลือกและการสละที่เหมือนจะไม่มีร่องรอยให้สืบสาว แต่นี่กลับเป็น ‘ความรู้อันเป็นรากฐาน’ ที่อยู่ลึกลงไปข้างในยิ่งกว่าการฝึกวิชาหมัด วิชากระบี่ การอ่านหนังสือ หรือแม้แต่หลักการความรู้บางส่วนที่เฉินผิงอันบรรลุมาได้เสียอีก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ อันที่จริงชุยตงซานมีการศึกษาค้นคว้ามากที่สุด การแบ่งแยกระหว่างคนและเทพเจ้า ส่วนลึกของจิตวิญญาณ เป็นคนควรปฏิบัติตัวอย่างไร บนเส้นทางสายเล็กที่ดำมืดสายนี้ ชุยตงซานและชุยฉานเดินไปได้ไกลอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนที่เดินไปได้ไกลที่สุดในโลก

เล่าลือกันว่าปีนั้นก่อนหน้าที่ชุยฉานจะตัดสินใจทรยศต่อสายบุ๋นเหวินเซิ่ง เขาได้ไปเยือนที่โถงความรู้ของศาลบุ๋นประจำแผ่นดินกลางแห่งนั้น เขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เอาแต่มองตัวอักษรบนพื้นที่ดุจดั่งเมล็ดข้าวโพดสีทองอยู่นานถึงสามวันสามคืน มองแค่ส่วนที่อยู่ต่ำสุด ไม่มองตัวอักษรที่อยู่สูงขึ้นไปแม้แต่ตัวเดียว

เหมาเสี่ยวตงถอนหายใจเบาๆ

ไม่ว่าอย่างไร การที่สามารถหลอมหัวใจบุ๋นสีทองดวงนี้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้อย่างราบรื่นก็ถือเป็นโชควาสนาที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่งครั้งหนึ่งแล้ว

อย่าแสวงหาความสมบูรณ์แบบ จิตใจอย่าทะเยอทะยานมากเกินไป

เหมาเสี่ยวตงไม่มัวเหม่อลอยอีก เขาทยอยเอาชะตาบุ๋นที่บรรจุอยู่ในเครื่องดนตรีและภาชนะแต่ละชิ้นกรอกเทเข้าไปในเตาหลอมโอสถตามลำดับด้วยฝีมือที่ประณีตอัศจรรย์ถึงขีดสุด

นี่จึงเป็นเหตุให้สือโหรวและเซี่ยเซี่ยได้เห็นภาพทิวทัศน์งดงามเลิศล้ำที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาบนยอดเขาถูกอาบย้อมไปด้วยประกายแสงสีทองหนึ่งชั้น

เตาหลอมโอสถที่มีปราณห้าสีลอยตลบอบอวลพลันหยุดชะงัก จากนั้นไอเมฆหมอกก็สลายหายไปจนสิ้น

หัวใจบุ๋นสีทองที่ลอยอยู่นิ่งๆ ตรงก้นของเตาตู้สีทองห้าสีกลายเป็นของเหลวสีทอง จากนั้นก็ค่อยๆ มีบัณฑิตสวมชุดขงจื๊อสะพายกระบี่สูงหนึ่งนิ้วมือ ‘เติบโต’ ขึ้นมา เพียงแต่ว่าร่างทั้งร่างเป็นสีทอง มันกระโดดผลุงทีเดียวก็มาอยู่ตรงขอบบนสุดของเตาหลอมโอสถ แหงนหน้ามองเฉินผิงอัน ใบหน้ายังคงพร่าเลือน ไม่เห็นองคาพยัพทั้งห้าอย่างชัดเจน แต่มองดูแล้วมีลักษณะเหมือนเฉินผิงอัน นอกจากจะสะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งไว้ด้านหลังแล้ว ตรงเอวยังห้อยตำราเล่มเล็กสีทองหลายเล่มที่ใช้ด้ายสีทองเส้นเล็กบางร้อยเข้าไว้ด้วยกัน คนจิ๋วสีทองที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อพูดเหมือนคนแก่ว่า “ต้องอ่านหนังสือให้มาก! อีกอย่าง เจ้าก็พูดเองว่า รู้ผิดแล้วแก้ไขจึงนับว่าประเสริฐ!”

เฉินผิงอันที่เหงื่อแตกเต็มศีรษะยกมือเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากแล้วพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ร่วมแรงร่วมใจไปด้วยกัน”

ศิษย์ลัทธิขงจื๊อสีทองตัวจิ๋วกลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่พุ่งพรวดผลุบหายเข้าไปในช่องโพรงปอดของเฉินผิงอัน มันนั่งขัดสมาธิ หยิบเอาตำราเล่มหนึ่งที่ห้อยไว้ตรงเอวขึ้นมาเปิดอ่าน

นอกจากนี้ยังมีหัวใจบุ๋นอีกดวงลอยอยู่ในถ้ำสถิต อันที่จริงหัวใจดวงนี้ก็ถือเป็นร่างเดียวกับคนจิ๋วที่สวมชุดขงจื๊อสะพายกระบี่และห้อยตำราผู้นี้

เหมาเสี่ยวตงอึ้งตะลึง จากนั้นก็เริ่มขมวดคิ้ว

เฉินผิงอันกล่าวอย่างสนเท่ห์ “มีอะไรไม่เหมาะหรือ?”

เหมาเสี่ยวตงถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หัวใจบุ๋นสีทองที่ถูกนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตก่อตัวกลายมาเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อ ข้าไม่รู้สึกว่าน่าตกตะลึงอะไร แต่ทำไมมันถึงได้พูดประโยคนั้น?”

เฉินผิงอันตั้งใจใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งถึงตอบว่า “หลังจากที่ข้าได้รู้จักตัวอักษรและอ่านหนังสือออกก็กลัวมาโดยตลอดว่าหลักการเหตุผลที่ตัวเองสรุปออกมาจะผิดพลาด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นปีนั้นที่เจอกับเด็กชายชุดเขียวหรือภายหลังที่ได้เจอกับเผยเฉียน แล้วก็ตามมาด้วยชุยตงซานที่ถามคำถามสองข้อนั้นกับข้า ข้าก็กลัวมาโดยตลอดว่าความรู้ของตัวเองจะเป็นความรู้ที่ข้าคิดไปเองว่ามีเหตุผล แต่แท้จริงแล้วกลับผิดเมื่อนำไปใช้กับคนอื่น อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ครอบคลุมมากพอ ไม่สูงส่งมากพอ ก็เลยเป็นกังวลว่าจะชักนำลูกศิษย์ไปในทางที่ผิดพลาด”

เหมาเสี่ยวตงพลันกระจ่างแจ้ง เขาคลี่ยิ้มอย่างชื่นชม “แบบนี้แหละ…ถูกต้องมากๆ แล้ว!”

เหมาเสี่ยวตงลุกขึ้นยืน โบกมือสลายวิชาอภินิหารของอริยะบนยอดเขาทิ้งไป แต่ฟ้าดินขนาดเล็กของสำนักศึกษายังคงอยู่ เขาเอ่ยกำชับว่า “ให้เวลาเจ้าหนึ่งก้านธูป หลังจากนี้สามารถหยิบเอาป้ายหยกสีทอง ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ แผ่นนั้นออกมาดึงเอาโชคชะตาบุ๋นที่ยังเหลืออยู่ในเครื่องดนตรีและภาชนะเซ่นไหว้ ไม่ต้องกังวลว่าหากตัวเองล้ำเส้นแล้วจะไปขโมยโชคชะตาบุ๋นและปราณวิญญาณของภูเขาตงหัวมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าจะเป็นคนชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียเอง และหลังจากนี้เจ้าก็จะกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสองที่แท้จริงแล้ว”

เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืนเอ่ยขอบคุณ

เหมาเสี่ยวตงโบกมือ บ่นว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าไอ้นิสัยขี้เกรงใจของศิษย์น้องเล็กอย่างเจ้านี่ไปเรียนรู้มาจากใคร”

เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ไม่แน่ว่าอาจจะเรียนรู้มาจากท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งก็ได้นะ?”

เหมาเสี่ยวตงรีบตีหน้าเคร่งพูดจริงจัง “ความหวังดีและตั้งใจจริงของท่านอาจารย์ เจ้าต้องหัดเรียนรู้มาให้ดี!”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าล้อเล่นนะ”

เหมาเสี่ยวตงเอ่ยสั่งสอน “การถ่ายทอดความรู้ของอาจารย์อยู่ที่คำพูด อยู่ที่การทำตัวเป็นแบบอย่าง อยู่ที่สิ่งละอันพันละน้อย ในฐานะเด็กรุ่นหลัง จะทำเป็นเล่น จะทำอย่างขอไปทีได้อย่างไร!”

เฉินผิงอันได้แต่พยักหน้ารับ

เหมาเสี่ยวตงหมุนตัวกลับ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไหนเลยจะมีท่าทางขุ่นเคืองเช่นเมื่อครู่ ศิษย์น้องเล็ก เจ้ายังอ่อนด้อยนัก

แม่น้ำแห่งกาลเวลาบนยอดเขาไหลย้อนกลับอย่างเชื่องช้า ฤดูใบไม้ร่วงสีทองอร่ามกลับคืนสู่บรรยากาศของฤดูร้อน ใบไม้ที่ร่วงหล่นย้อนกลับไปเกาะกิ่งก้าน เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีเขียวขจี

พอเหมาเสี่ยวตงจากไปแล้ว เฉินผิงอันก็หยิบแผ่นหยกสีทองมากำไว้ในมือ เริ่มดูดดึงโชคชะตาบุ๋นที่เหลืออยู่จากการหล่อหลอมของเตาโอสถ

ลำธารสีทองเส้นเล็กๆ หนาเท่านิ้วหัวแม่มือเส้นหนึ่งล้อมวนอยู่รอบป้ายหยก จากนั้นก็ไหลรินเข้าไปในแผ่นป้ายอย่างเชื่องช้า

แล้วค่อยไหลจากป้ายหยกไปยังฝ่ามือของเฉินผิงอัน มุ่งหน้าไปยังช่องโพรงลมปราณที่คนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อและหัวใจบุ๋นสีทองอาศัยอยู่

เมื่อเคลื่อนผ่านตำแหน่งหนึ่งในนั้นก็ได้ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผืนนาหัวใจของเฉินผิงอัน

เมื่อลำธารโชคชะตาบุ๋นสีทองไหลหลั่งเข้าสู่ช่องโพรงลมปราณ คนจิ๋วที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อก็ไม่อ่านหนังสืออีกต่อไป มันหัวเราะปากกว้าง กระโดดโลดเต้นโบกไม้โบกมืออย่างลิงโลด

นี่คงเป็นนิสัยเด็กๆ ที่น้อยครั้งนักจะเปิดเผยออกมาท่ามกลางช่วงเวลาการเติบโตของเฉินผิงอัน

หลังจากลำธารมาหยุดอยู่ในถ้ำสถิตแล้ว คนจิ๋วสีทองก็เดินลุยน้ำมาถึงหน้าประตูใหญ่ของจวน ตะโกนเสียงดังหนึ่งครั้งก็เห็นว่ามังกรเพลิงตัวที่จำแลงมาจากปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์พุ่งพรวดมาถึง

มันกระโดดผลุงหนึ่งทีก็ไปนั่งอยู่บนหัวมังกร ร้องตวาดออกคำสั่งแล้วควบขาสองข้างอย่างแรง ขี่มังกรลาดตระเวนไปในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างคนนี้

เฉินผิงอันใช้วิธีสำรวจภายในมองไปเห็นภาพนี้ก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย

เหตุใด ‘ตน’ ถึงได้ซุกซนขนาดนี้?

ดูเหมือนจะไม่ได้ดีไปกว่ากู้ช่านและเด็กชายชุดเขียวสักเท่าไหร่เลย?

……

อันที่จริงเหมาเสี่ยวตงลอบมองเหตุการณ์ทางฝั่งนี้อยู่เงียบๆ ตลอดเวลา

สุดท้ายเฉินผิงอันก็ใช้ป้ายหยกสีทองดูดดึงเอาโชคชะตาบุ๋นของศาลบุ๋นต้าสุยมาจนหมดไม่มีเหลือ

และถึงแม้การหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตจะเผาผลาญปราณวิญญาณที่สั่งสมในจวนน้ำแห่งนั้นไปจนสิ้น อีกทั้งตอนนี้ยังได้เป็นผู้ฝึกลมปราณตัวจริงเสียจริงแล้ว ทว่าอย่าว่าแต่โชคชะตาบุ๋นของภูเขาตงหัวเลย ต่อให้เป็นปราณวิญญาณที่เมื่อเทียบกันแล้วไม่ค่อยมีค่า แม้ว่าศิษย์พี่อย่างเขาจะเปิดปากอนุญาตแล้ว แต่เฉินผิงอันกลับไม่ยอมดึงเอาไปแม้แต่หยดเดียว

จนกระทั่งบัดนี้เหมาเสี่ยวตงถึงได้คิดว่าตัวเองน่าจะรู้แล้วว่าเฉินผิงอันข้ามผ่านเส้นทางแห่งจิตใจที่อันตรายช่วงนั้นมาได้อย่างไร

ควบคุมตน

ง่ายดายเพียงเท่านี้

คนที่รักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัดจนแทบจะเรียกได้ว่าคร่ำครึ เป็นผู้ฝึกตนแต่กลับไม่รู้จักแสวงหาโชควาสนาและผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับตัวเอง มักจะทำให้คนฉลาดบนโลกมีเหตุผลให้พูดจาเย้ยหยันเหน็บแนมใส่เสมอ

เป็นเหตุให้หลักการและเหตุผลที่พัฒนามาจากความเข้าใจของเฉินผิงอันเป็นสิ่งที่คนไร้เหตุผลรังเกียจมากเป็นพิเศษ

ในใจเหมาเสี่ยวตงพลันสั่นสะท้าน

ก้อนหินใหญ่ยักษ์บางก้อนที่กดทับอยู่บนหัวใจมานาน ก้อนหินขวางทางที่แทบจะตัดขาดการเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนของเขา เวลานี้คล้ายจะเริ่มขยับเคลื่อนคลายตัวบ้างแล้ว

หลักการเหตุผลไม่แบ่งแยกสายบุ๋น

เขาเหมาเสี่ยวตงเคารพอาจารย์ ตั้งปณิธานไว้ว่าชีวิตนี้จะติดตามอาจารย์เพียงคนเดียว แต่กลับไม่ยึดติดอยู่เฉพาะความคิดเห็นของฝ่ายตัวเอง ไม่ได้จงใจผลักไสความรู้ของสายบุ๋นหลี่เซิ่งเพียงเพื่อควันธูปชะตาบุ๋นของสำนักศึกษาสายตัวเอง

หลักการและเหตุผลบางอย่างในโลกนั้นเชื่อมโยงถึงกันและส่งเสริมกันและกัน

เหมาเสี่ยวตงนั่งอยู่ในห้องหนังสือ ปลดไม้บรรทัดลงมาวางลงบนโต๊ะเบาๆ แล้วเริ่มหลับตาเข้าฌาน

สั่งสมมากใช้ทีละน้อย เมื่อวันหนึ่งพลันตื่นรู้ ฟ้าดินเคลื่อนโคจร ลมโชยพลิ้วแสงจันทร์กระจ่าง

……

ชุยตงซานที่อยู่ในระเบียงเรือนเล็กพลันลุกขึ้นนั่ง กล่าวอย่างตกตะลึง “เจ้าตอไม้ทึ่มทื่ออย่างเหมาเสี่ยวตงก็จะผสานรวมกับมรรคาแล้วรึ?”

แล้วชุยตงซานก็ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ปัดป่ายมือเท้าสะเปะสะปะเหมือนเต่าสีขาวหิมะที่ถูกคนจับพลิกหงายท้อง…เขาแหกปากตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ทำไมข้าถึงยังเป็นก่อกำเนิดผายลมสุนัขนี่อยู่อีกเล่า วันหน้าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ข้าไม่มีหน้าไปพบอาจารย์แล้ว ใครก็ได้มาตีให้ข้าตายทีเถอะ…”

……

ท่าเรือหางผึ้ง

ผู้เฒ่าสามคนเดินเรียงเคียงบ่าไปด้วยกัน

มองดูเหมือนอายุต่างกันไม่มาก แต่แท้จริงแล้วกลับต่างกันอย่างยิ่ง

ผู้เฒ่าคนที่เกิดและเติบโตอยู่ที่นี่ ในอดีตไม่เคยเต็มใจจะเผยกาย นั่นก็เพราะเบื่อหน่ายความวุ่นวายในโลกมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น

เพียงแต่ว่าคราวนี้มีผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ยว่า เจ้าไม่ใช่หนูที่วิ่งผ่านถนนเสียหน่อย จะต้องคอยเก็บหัวเก็บหางซ่อนตัวไปไย?

ดังนั้นคนทั้งสามจึงมาเดินอาดๆ กันอยู่บนถนนของท่าเรือหางผึ้งเช่นนี้

ผู้เฒ่ามีนามว่าหลิวเหล่าเฉิง เขาสัมผัสได้ถึงสายตาตื่นตะลึงบางส่วน เพียงแค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พาคนข้างกายทั้งสองเดินไปยังบ้านบรรพบุรุษในตรอกเล็กเงียบๆ กระนั้นในใจก็ยังอดยิ้มฝาดเฝื่อนไม่ได้

ในใจของหลิวเหล่าเฉิงคิดว่า หากให้พวกเจ้าได้รู้ตัวตนของคนทั้งสองที่อยู่ข้างกายข้า พวกเจ้าคงตกใจจนขวัญกระเจิงเลยกระมัง

นอกจากเขาหลิวเหล่าเฉิงที่มีชาติกำเนิดอยู่ในท่าเรือหางผึ้งอันเป็นจุดเชื่อมต่อของสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว สุดท้ายกลายเป็นคนเพียงคนเดียวที่ใช้สถานะของผู้ฝึกตนอิสระเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนที่ทุกวันนี้ยังใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ของแจกันสมบัติทวีปแล้ว

คนที่เหลืออีกสองคน คนหนึ่งคือเจ้าประมุขผู้เฒ่าของพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน เกาเหมี่ยน คือผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแจกันสมบัติทวีปด้วยเรื่องที่ว่าเพื่อผดุงความยุติธรรมในยุทธภพแล้ว ถึงกับยอมให้ระดับถดถอยจากขอบเขตหยกดิบมาสู่ขอบเขตก่อกำเนิดถึงสองครั้ง

เป็นเพื่อนรักที่สนิทกับหลิวเหล่าเฉิงมาก ดังนั้นครั้งนี้ที่หลิวเหล่าเฉิงต้องการไปช่วงชิงเศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสหลังจากที่ตู้เม่าบินทะยานล้มเหลว ถึงได้ตั้งใจเรียกเกาเหมี่ยนไปด้วยกัน

เกาเหมี่ยนเรือนกายเล็กเตี้ย สวมชุดผ้าป่าน ทว่าบุคลิกท่าทางกลับป่าเถื่อนดุดัน เมื่อเทียบกับหลิวเหล่าเฉิงแล้ว เขากลับดูเหมือนผู้ฝึกตนอิสระที่ถนัดการปล้นฆ่ามากกว่าเสียอีก

ส่วนผู้เฒ่าจากทวีปอื่นที่สวมชุดคลุมยาวคนนั้น หากไม่ได้รับการยืนยันจากหลิวเหล่าเฉิงและเกาเหมี่ยนแล้วล่ะก็ เกรงว่าต่อให้เขาตะโกนบอกชื่อแซ่ของตัวเองจนคอแตกก็คงไม่มีใครยอมเชื่ออย่างแน่นอน

แซ่สวิน นามยวน

เจ้าประมุขผู้เฒ่าของสำนักกุยหยก บุคคลอันดับหนึ่งขอบเขตเซียนเหรินของใบถงทวีป

เจียงซ่างเจินเจ้าประมุขสกุลเจียงที่ได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ที่กำเริบเสิบสานถึงเพียงนั้น แต่พอเจอกับเจ้าประมุขสวินยวนก็ยังต้องทำตัวให้เป็นคนสงบเสงี่ยมสำรวม…หรือควรจะพูดว่าเป็นเทพเซียนขอบเขตหยกดิบ

มาถึงสุดปลายทางตรอกเล็กอันเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบแห่งนั้น เกาเหมี่ยนก็โหวกเหวกถามขึ้นเสียงดังว่า “หลิวเหล่าเอ๋อร์ เจ้าเด็กเจียงอวิ้นจะมาทำหน้าที่เป็นผู้ถวายงานของพรรคข้าเมื่อไหร่? หน้าตาหล่อเหลาปานนั้น คงหลอกเทพธิดามาเป็นแขกที่ภูเขาของข้าได้ไม่น้อยเลย”

หลิวเหล่าเฉิงกล่าวอย่างระอาใจ “ให้ลูกศิษย์ของข้าไปอยู่ที่พรรคหมัดเทพเพื่อให้เจ้าได้เห็นเทพธิดาหน้าตางดงามจากฝ่ายต่างๆ ให้เจริญหูเจริญตา? เรื่องเละเทะจำพวกนี้ ทำไมเจ้าไม่เปิดปากพูดกับเจียงอวิ้นเองเล่า? ไม่อย่างนั้นเจ้าก็เอาหน้าหนาๆ ของเจ้ามาให้ข้ายืมหน่อยเป็นไง?”

เกาเหมี่ยนก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูไป “อย่ามาทำตัวเสแสร้งให้ข้าดูเลย ปีนั้นที่พวกเราออกท่องยุทธภพไปด้วยกัน เจ้าเล่าเรียนวิชาลับนอกรีตวิชานั้นมาเพื่ออะไร? นอกจากขโมยสมบัติอาคมแล้วยังขโมย…ของเทพธิดามากมายด้วย”

หลิวเหล่าเฉิงเอามืออุดปากเกาเหมี่ยน อับอายจนพานเป็นความโกรธ “ใครบ้างที่ไม่เคยทำตัวเหลวใหลในวัยหนุ่ม เจ้าเอามาเล่าไม่รู้จักจบสิ้นสักที ไม่กลัวว่าจะทำให้ผู้อาวุโสสวินรังเกียจบ้างหรือไง?”

สวินยวนยิ้มตาหยี “ไม่หรอกๆ”

เกาเหมี่ยนนั่งอยู่ในลานบ้าน โบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง “หลิวเหล่าเอ๋อร์ ไปซื้อเหล้าเซียนบ่อน้ำที่รสชาติดั้งเดิมที่สุดมาสักสองสามไหสิ เหล้าที่อยู่ในบ้านต้องถูกเจียงอวิ้นดื่มไปหมดแล้วแน่ๆ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว”

หลิวเหล่าเฉิงบอกลาสวินยวนคำหนึ่ง ก่อนจะออกไปซื้อเหล้า

ตอนที่กลับมาเขาก็ได้เห็นว่าตาแก่สองคนกำลังชื่นชมบุปผาในสายน้ำจันทราในคันฉ่องที่เป็น ‘วิธีการหาเงิน’ ของภูเขาเล็กๆ จำนวนมากในแจกันสมบัติทวีปผ่านภาพวาดม้วนหนึ่งกันอีกครั้ง เกาเหมี่ยนเตรียมเงินเทพเซียนไว้กองใหญ่เรียบร้อยแล้ว ส่วนเซียนผู้เฒ่าสวินยวนก็ยิ่งมีเงินวางกองไว้บนโต๊ะเบื้องหน้ามากยิ่งกว่า

หลิวเหล่าเฉิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้จริงๆ แต่ตอนที่ส่งเหล้าเซียนบ่อน้ำกาหนึ่งไปให้สวินยวนก็ยังเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ผู้อาวุโสช่างมีอารมณ์สุนทรีจริงๆ”

สวินยวนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

บนม้วนภาพคือ ‘เทพธิดา’ คนหนึ่งที่กำลังจุดธูปหอมวาดภาพ เรือนกายของนางอรชรอ้อนแอ้น จงใจเลือกชุดกระโปรงที่รัดรึงมาสวมใส่ เนื่องจากผู้ชมสามารถปรับทิศทางของทิวทัศน์ที่ปรากฎบนม้วนภาพวาดได้ตามใจชอบ เป็นเหตุให้ท่านั่ง หรือแม้แต่ขนาดของม้านั่งที่เทพธิดาผู้นั้นเลือกใช้ล้วนพิถีพิถันมากเป็นพิเศษ เรือนกายที่อวบอิ่มของนางจึงเปิดเผยส่วนเว้าส่วนโค้งให้เห็นเด่นชัด

เกาเหมี่ยนชำเลืองตามองสวินยวนที่นั่งตัวตรงอย่างสำรวมแล้วก็หลุดหัวเราะพรืด ยื่นนิ้วไปหมุนม้วนภาพเล็กน้อยก็เห็นเป็นภาพยอดเขาด้านข้างที่น่าประทับใจทันที จากนั้นก็ใช้สองนิ้วแตะบนม้วนภาพแล้วถ่างออก ร่างของสตรีในม้วนภาพจึงขยายใหญ่ขึ้นอีกหลายส่วน ทัศนียภาพที่อยู่รอบกายนางจึงหลุดพ้นออกไปจากม้วนภาพไปด้วย

เกาเหมี่ยนไม่ลืมหัวเราะเย้ยหยัน “จะแสร้งวางท่าภูมิฐานไปไย?”

สวินยวนยิ้มอายๆ ดูเหมือนจะไม่กล้าเถียงกลับ

หลิวเหล่าเฉิงดื่มเหล้าอยู่กับตัวเองด้วยความระอาใจ

ว่ากันว่าคนบนเส้นทางเดียวกันที่มาจากต่างทวีปสองคนนี้ แรกเริ่มสุดถือเป็นคนประเภทที่หากไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน ในยุทธภพของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของแจกันสมบัติทวีปนี้ เกาเหมี่ยนที่ใช้ฉายาว่าหนุ่มน้อยหน้าหยกและอีกฉายาหนึ่งคืออู่สือจิ้ง (วรยุทธ์ขอบเขตสิบ) นั้น การกระทำและคำพูดเหมือนกับตัวตนแท้จริงที่เป็นเจ้าประมุขพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานทุกประการ นิสัยฉุนเฉียวขี้โมโห มักจะด่าคนอื่นเป็นประจำ ชอบด่าพวกเทพธิดาที่คอยทำตัวเสแสร้ง อีกทั้งในสายตายังมีแต่เรื่องของผลประโยชน์ ทนเห็นท่าทางประจบยกยอสุดฤทธิ์สุดเดชยามที่พวกนางคว้าตัวเจ้าบุญทุ่มสองคนเอาไว้ไม่ได้มากที่สุด เขาจะต้องเปิดปากด่าอย่างเปิดเผย ไม่เห็นหัวผู้ชมคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ส่วนสวินยวนที่มีฉายาว่าทวนหนึ่งฉื่อกลับทำเพียงแค่ทุ่มเงินเทพเซียนอยู่เงียบๆ หากเจอคนที่ไม่ชอบก็ไม่พูดอะไร

เพียงแต่เมื่อคนทั้งสองทุ่มเงินมากขึ้นเรื่อยๆ ชื่อเสียงจึงโด่งดังมากขึ้นทุกที สุดท้ายมีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีการโต้เถียงกันว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพกับซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยง ใครกันที่เป็นเทพธิดาอันดับหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป คนทั้งสองได้ ‘ลงไม้ลงมือตีกันอย่างหนัก’ หนึ่งคนหนึ่งประโยค ทุกครั้งต้องจ่ายเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ ทุ่มเงินไปกองใหญ่ ทำให้ผู้คนทอดถอนใจด้วยความตื่นตะลึง ชั่วเวลานั้นผู้คนต่างก็พากันคาดเดาว่าทั้งสองท่านนี้เป็นบรรพบุรุษจากสำนักใดกันแน่ ถึงได้จ่ายเงินมือเติบขนาดนี้ ใช้เงินร้อนน้อยราวกับเป็นแค่เงินเกล็ดหิมะที่ละลายไปพร้อมกับสายน้ำ แต่กลับไม่เคยมีเรื่องซุบซิบนินทาเกี่ยวกับเหล่าเทพธิดาแพร่งพรายออกมาแม้แต่น้อย

ผู้ฝึกตนหญิงบนภูเขาเล็กๆ จำนวนมาก เพื่อช่วยหาเงินให้แก่สำนัก ถึงขั้นยินยอมหรือไม่ก็ถูกบังคับให้ไปหาผู้ฝึกลมปราณนอกรีตที่เชี่ยวชาญวิชาคลำกระดูกเพื่อเปลี่ยนแปลงหน้าตาและรูปร่างที่มีมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนเรื่องที่ว่าจะเกี่ยวพันกับชะตาชีวิต จะทำลายตบะบนมหามรรคาหรือไม่ ล้วนไม่สนใจ เพราะหมดหนทางแล้วจริงๆ จึงได้แต่ปล่อยให้ผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ลงมีดกับใบหน้าของตนเอง มีครั้งหนึ่งหนุ่มน้อยหน้าหยกมาพบเจอกับทวนหนึ่งฉื่อโดยบังเอิญอีกครั้ง ตอนนั้นผู้ชมหลายคนตาดี มองปราดเดียวก็สังเกตเห็นว่าเทพธิดาของสำนักตระกูลเซียนลำดับสามบางคนโฉมหน้าเปลี่ยนแปลงไปมาก จึงพากันพูดจาเย้ยหยันทำร้ายจิตใจ คำพูดแปลกแปร่งระคายหูสาดมาให้ได้ยินไม่หยุด

เทพธิดาผู้นั้นอับอายเจ็บแค้นเหลือประมาณ แต่กลับไม่กล้าตอบโต้แม้เพียงครึ่งคำ นางได้แต่เอ่ยขอโทษและขอโทษอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเป็นเช่นนี้คำเสียดสีคำด่าทอจึงมากยิ่งกว่าเดิม กำเริบเสิบสานไร้ยำเกรงขึ้นทุกที

คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ หนุ่มน้อยหน้าหยกจะทุ่มเงินเปิดปากพูดเพื่อทวงความเป็นธรรม ด่ากราดพวกผู้ชมเหล่านั้นไปรอบหนึ่ง ทวนหนึ่งฉื่อก็ตามมาติดๆ เพราะมีศัตรูร่วมกัน คู่กัดสองคนจึงปรองดองสามัคคีกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

สุดท้ายหลังจากหนุ่มน้อยหน้าหยกทุ่มเงินหมดแล้วก็ด่าต่อว่า “หาเงินไม่ง่าย ฝึกตนก็ไม่ง่าย แม่นางน้อยผู้นี้ไปช่วงชิงกับพวกเจ้าบนมหามรรคา หรือไปฆ่าล้างโคตรพวกเจ้ากันแน่? พวกเจ้าถึงต้องเอาคำพูดมาย่ำยีนางอย่างไม่จบไม่สิ้นเช่นนี้? ตะพาบน้อยอย่างพวกเจ้าไม่ควรเกิดมาเลยจริงๆ หากข้าผู้อาวุโสมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่จะต้องย้อนทวนกลับขึ้นไปบนแม่น้ำแห่งกาลเวลา ตอนที่พ่อแม่ของพวกเจ้าทำสงครามกันบนเตียง ข้าจะตบให้เตียงพังเลย”

สุดท้ายหนุ่มน้อยทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้ทวนหนึ่งฉื่อว่า “เจ้าถือว่าจะพอมีความกล้าหาญอยู่บ้าง เพียงแต่สายตาแย่ไปสักหน่อย ถึงได้ชอบเฮ้อเสี่ยวเหลียงมากกว่าซูเจี้ย แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกไม่ได้ดิบไม่ได้ดีด้านการฝึกตน”

หลังจากนั้นมาทวนหนึ่งฉื่อก็กลายมาเป็น ‘ลูกสมุน’ ของหนุ่มน้อยหน้าหยก ขอแค่ได้เจอกัน ทวนหนึ่งฉื่อก็จะทำตัวไม่ต่างจากสุนัขรับใช้อีกฝ่าย

ก่อนที่เกาเหมี่ยนกับสวินยวนจะทุ่มเงินก็มีคนเริ่มใช้คำพูดสัพยอกเทพธิดาผู้นั้นแล้ว ถึงอย่างไรการชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำนี้ พวกผู้ชมก็ไม่มีทางรู้ว่าใครเป็นใคร ส่วนใหญ่จึงมักจะทำตัวโอหังไร้ยำเกรง เคยชินที่จะใช้หัวล่างมากกว่าหัวบน เวลาที่ชมภาพวาดหรือดูผ่านน้ำในถ้วย หลายคนก็มักจะวางนิยายรักหวือหวาซึ่งเป็นที่นิยมในโลกมนุษย์หลายเล่มไว้ข้างมือ

คงเป็นเพราะติดอยู่ในร่างแหเดียวกัน สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างเทพธิดาที่กำลังแสดงความสามารถจึงเดือดร้อนไปด้วย

สาวใช้มีนามว่าสือชิว คือลูกศิษย์ที่เพิ่งได้รับการบันทึกชื่อของสำนักเมื่อไม่นานมานี้ ทุกครั้งที่เจ้านายเผยตัว นางก็จะมาปรากฎตัวในภาพวาดบ้างเป็นบางครั้ง หากไม่ยกน้ำส่งชาก็ทำงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างหยิบของส่งให้

อันที่จริงเรือนกายของนางโดดเด่นงดงามยิ่งกว่าเทพธิดาท่านนั้น ทว่าการฝึกตนบนภูเขามักจะอาศัยพรสวรรค์และขอบเขตมากำหนดสถานะเสมอ

สำหรับเรื่องพวกนี้เกาเหมี่ยนและสวินยวนเป็นคนเก่าคนแก่ในยุทธภพจึงเคยชินกับมันแล้ว โดยทั่วไปขอแค่ไม่มากเกินพอดีก็จะไม่พูดอะไร

ทว่าสาวใช้นามว่าสือชิวคนนั้นคงยังไม่ชินกับการถูกหลู่เกียรติที่เกินจะทนเหล่านั้น ดวงตาของนางจึงแดงน้อยๆ กัดริมฝีปากแน่น

แล้วก็ผีซ้ำด้ำพลอยเข้าไปอีก เพราะพอมองจากมุมนี้ของภาพวาด เกาเหมี่ยนก็เห็นพอดีว่า เทพธิดาที่บางทีอาจเป็นเพราะกรุ่นโกรธที่สาวใช้ทำลายบรรยากาศจึงแอบเหยียบเท้าของสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างรวดเร็วอยู่ใต้โต๊ะ

เดิมทีเกาเหมี่ยนอยากจะเริ่มโยนเงินเทพเซียนลงไปในม้วนภาพแล้ว แต่พอเห็นภาพนี้ก็โยนเงินเกล็ดหิมะกำใหญ่ที่อยู่ในมือกลับเข้าไปบนกองเงิน

หยิบกาเหล้ามาดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วเกาเหมี่ยนก็แค่นเสียงหยันว่า “สตรีประเภทนี้อีกแล้ว เสียดายกลิ่นอายตำราน้อยนิดที่พวกนางพกพาจากตระกูลใหญ่ในโลกมนุษย์ไปอยู่บนภูเขาจริงๆ”

สวินยวนยิ้มบางๆ

เกาเหมี่ยนรู้สึกหมดสนุกจึงเอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว

หลิวเหล่าเฉิงเอ่ยเตือนว่า “เหล่าเกา เจ้าเพลาๆ ลงน้อย หากไม่ดื่มเหล้า เจ้าก็คือแจกันสมบัติทวีป แต่หากลงได้ดื่มเหล้าขึ้นมา ตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปก็ล้วนเป็นของเจ้า แต่ที่นี่คือบ้านบรรพบุรุษของข้า ไม่อาจทนรับการอาละวาดเวลาเจ้าเมาได้หรอกนะ!”

เกาเหมี่ยนแค่นเสียงเย็นชา พลันถามขึ้นว่า “เสี่ยวเฟยเซิง (บินทะยานน้อย) เจ้าคิดว่าชื่อพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานนี้เป็นเช่นไร?”

สายตาของสวินยวนจับจ้องไปที่ม้วนภาพวาดตลอดเวลา ปากก็ตอบอย่างไม่ลังเลว่า “แข็งแกร่ง ไร้เทียมทาน เผด็จการ ดุจดั่งนกกระเรียนท่ามกลางฝูงไก่ โดดเด่นไม่เหมือนใครในแจกันสมบัติทวีป!”

เกาเหมี่ยนพยักหน้ารับ “ถือว่าเจ้าดูทิศทางลมเป็น รู้จักพูดกับข้าด้วยคำพูดที่ออกมาจากใจจริง”

หลิวเหล่าเฉิงทนมานาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหว พูดกับสวินยวนว่า “ผู้อาวุโสสวิน ท่านคิดอะไรอยู่ หากเป็นเรื่องอื่นๆ ก็ปล่อยไปตามใจตาแก่เกานี่เถอะ แต่เขาตั้งชื่อพรรคเหมือนผายลมสุนัขเช่นนี้ ทำร้ายให้ลูกศิษย์ในสำนักแต่ละคนเงยหน้าไม่ขึ้น ผู้อาวุโสสวินยังจะชื่นชมเขาอย่างหน้ามืดตามัวเช่นนี้ ข้าหลิวเหล่าเฉิง…ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ !”

หลิวเหล่าเฉิงแห่งท่าเรือหางผึ้ง บุคคลอันดับหนึ่งในบรรดาผู้ฝึกตนอิสระของแจกันสมบัติทวีป ในฐานะผู้ฝึกตนใหญ่ที่อาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวเข่นฆ่าสังหารฝ่าเส้นทางเลือดจนขึ้นสู่ขอบเขตหยกดิบจึงได้เห็นเรื่องราวและคนประหลาดมามากมาย

ทว่าคนอย่างสวินยวนและเกาเหมี่ยน คนหนึ่งคือผู้นำเซียนซือแห่งใบถงทวีปที่มีขอบเขตเซียนเหริน อีกคนหนึ่งคือบรรพบุรุษของสำนักในแจกันสมบัติทวีปที่ขอบเขตถดถอยมาสู่ก่อกำเนิด หากจะบอกว่าแค่พบหน้าก็รู้สึกเหมือนสนิทสนมกันมานาน นิสัยประหลาดเข้ากันได้ดี อันที่จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากแล้ว การที่พวกเขาไม่สนใจความต่างของสองขอบเขต ไม่ถือสาความต่างของรากฐานของทั้งสองสำนัก หลิวเหล่าเฉิงก็ยังพอจะเข้าใจได้ แต่สวินยวนเจ้าจำเป็นต้องยกย่องชมเชยบุรุษหยาบกระด้างที่ไร้อารยธรรมอย่างเกาเหมี่ยนผู้นี้ไปทุกเรื่องด้วยหรือ?

แรกเริ่มเดิมทีหลิวเหล่าเฉิงยังกลัวว่าสวินยวนจะมีจุดประสงค์อย่างอื่น แต่สวินยวนถึงขนาดกล้าคุมเชิงกับฉีเจินเทียนจวินลัทธิเต๋า อีกทั้งยัง ‘บินทะยานน้อย’ ไปยังม่านฟ้า เพื่อปรึกษาหารือกับอริยะที่เฝ้าพิทักษ์ว่าเศษซากถ้ำสวรรค์แห่งนั้นควรจะตกเป็นของใคร บวกกับหลังจากนั้นคนทั้งสามไม่มีอะไรทำจึงจับมือกันออกท่องเที่ยว ต่อให้เป็นหลิวเหล่าเฉิงที่รอบคอบขี้ระแวงก็ยังจำต้องยอมรับการประจบสอพลอที่สวินยวนมีต่อเกาเหมี่ยน และการวางอำนาจที่เกาเหมี่ยนมีต่อสวินยวน

คนทั้งสองถึงขนาดปฏิบัติต่อกันด้วย…ความจริงใจ

สวินยวนยิ้มบางๆ ให้กับหลิวเหล่าเฉิง “ข้ารู้สึกว่าตั้งชื่อพรรคว่าพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานนั้นดีมากจริงๆ”

หลิวเหล่าเฉิงถอนหายใจหนึ่งที กุมหมัดยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “นับถือๆ”

เกาเหมี่ยนพูดขึ้น “หลิวเหล่าเฉิง เรื่องอื่นๆ เจ้าดีว่าเสี่ยวเฟยเซิงทุกอย่าง มีเพียงเรื่องความสามารถในการประเมินความงามนี่แหละที่เจ้าสู้เสี่ยวเฟยเซิงไม่ได้เลย”

สวินยวนตบเข่าหนึ่งที “ใช่ๆๆ ประโยคนี้ของหนุ่มน้อยทำให้สติปัญญาของข้าเปิดโล่ง เดิมทีข้ายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดบนเส้นทางการฝึกตน ข้าถึงต้องอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังมาโดยตลอด คำกล่าวของหนุ่มน้อยในวันนี้เป็นการเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ ก็เพราะความสนใจและความสามารถในการประเมินความงามของข้าเป็นเหตุ ถึงทำให้ข้ายิ่งอยู่สูงก็ยิ่งหนาว! หากไม่เป็นเพราะได้พบเจอกับหนุ่มน้อย…”

เกาเหมี่ยนตบโต๊ะดังปัง “ใครต้องการคำพูดประจบยกยอของเจ้า? อยู่ในพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน ข้าผู้อาวุโสได้ฟังมานานจนหูด้านชาแล้ว!”

สวินยวนจึงได้แต่ปิดปากให้สนิท

วันนี้ไม่มีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่น่าชมอีก เกาเหมี่ยนจึงตั้งใจถอนวิชาอภินิหารของผู้ฝึกลมปราณออก ดื่มเหล้าจนตัวเองเมามาย แล้วจึงไปนอน

สวินยวนถึงได้กล้าโยนเงินร้อนน้อยสองสามเหรียญเข้าไปในม้วนภาพวาดแล้วเปิดปากพูด บอกว่าหากวันหน้าแม่นางสือชิวสามารถมาปรากฎตัวอยู่ในม้วนภาพวาดได้เพียงลำพัง เขาทวนยาวหนึ่งฉื่อยินดีจะให้การสนับสนุน

จากนั้นสวินยวนก็เก็บม้วนภาพวาด

ความสุขความทุกข์บนโลกมนุษย์มีมากมายดุจขนวัว สวินยวนไม่ยินดีจะเดินไปจมบ่อโคลนของโลกมนุษย์ใบนี้ ทุกเรื่องจึงหยุดแค่พอสมควร

หลิวเหล่าเฉิงลังเลอยู่นานมากกว่าจะพูดว่า “ผู้อาวุโสสวิน ในฐานะเพื่อนของเกาเหมี่ยน ข้าหลิวเหล่าเฉิงอยากจะขอละลาบละล้วงถามสักคำ ท่านผู้อาวุโสเป็นเจ้าประมุขพรรคกุยหยก ไม่มีแผนการอะไรต่อเกาเหมี่ยนจริงๆ หรือ?”

สวินยวนส่ายหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เคยมีจริงๆ แค่เพราะชีวิตหยุดนิ่งมานานเลยอยากจะหาจุดเปลี่ยนบ้างเท่านั้น นึกอยากลองมาเดินเที่ยวในแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้าดู แล้วก็บังเอิญว่าที่นี่มีเกาเหมี่ยนเป็นสหายแค่คนเดียว หากไม่มาหาเขาจะไปหาใคร?”

หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ

สวินยวนจึงกล่าวต่อว่า “แต่ว่าความคิดที่เห็นแก่ตัวก็ยังพอมีอยู่บ้าง ผู้ฝึกลมปราณอยากเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนย่อมแสวงหาคำว่าผสานมรรคา อาศัยสิ่งนี้มาทลายจิตมารซึ่งเป็นดั่งธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง จะว่าอย่างไรดีล่ะ นี่ก็เหมือนกับการยืมของบางอย่างมาจากสวรรค์ที่ต้องคืนระหว่างที่อยู่ในขอบเขตเซียนเหริน และหากขอบเขตเซียนเหรินคิดอยากจะพัฒนาไปอีกขั้น ก็หนีไม่พ้นการฝึกตนเพื่อแสวงหาความจริง ซึ่งเน้นที่คำว่าจริงคำนี้คำเดียว”

หลิวเหล่าเฉิงลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างนอบน้อม “ได้รับคำชี้แนะแล้ว”

สวินยวนส่ายหน้ายิ้ม “คำพูดเก่าแก่ล้าสมัยพวกนี้ เจ้าหลิวเหล่าเฉิงมีพรสวรรค์โดดเด่นเลิศล้ำ จะได้รับคำชี้แนะอะไร? แล้วข้าจะชี้แนะอะไรเจ้าได้?”

หลิวเหล่าเฉิงยิ้มกลับไปนั่งที่เดิม “หากไม่มีเกาเหมี่ยน เชื่อว่าชั่วชีวิตนี้ข้าก็คงไม่มีโอกาสได้มานั่งดื่มเหล้ากับผู้อาวุโสสวินหรอกกระมัง?”

สวินยวนพยักหน้ารับ “เพราะพวกเราไม่มีทางเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการทำความรู้จักกัน ข้ายอมรับในตัวเจ้าหลิวเหล่าเฉิง”

หลิวเหล่าเฉิงกล่าว “ถือเป็นความโชคดีของผู้น้อย!”

สวินยวนพลันเอ่ยขึ้นว่า “ในอนาคตอีกร้อยปีข้างหน้า ข้าคิดว่าจะสร้างสำนักภายใต้การปกครองของสำนักกุยหยกขึ้นในแจกันสมบัติทวีป โดยให้เจียงซ่างเจินเป็นเจ้าสำนักรุ่นแรก เจ้ายินดีจะรับผิดชอบเป็นหัวหน้าผู้ถวายงานหรือไม่?”

หลิวเหล่าเฉิงกล่าวอย่างตกตะลึง “เกาเหมี่ยนรู้เรื่องนี้หรือไม่?”

สวินยวนส่ายหน้า “ไม่ได้บอกเขา เพราะข้าเห็นเขาเป็นเพื่อนจริงๆ แต่เจ้าหลิวเหล่าเฉิงนั้นไม่ใช่ ดังนั้นพวกเราสามารถคุยเรื่องพวกนี้กันได้”

หลิวเหล่าเฉิงเริ่มชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย

สวินยวนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก่อนที่ข้าจะไปจากท่าเรือหางผึ้ง เจ้าค่อยให้คำตอบที่แน่ชัดกับข้าก็แล้วกัน วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางบังคับให้เจ้าลำบากใจ อีกอย่างความสามารถของเจ้าหลิวเหล่าเฉิงก็นับว่าไม่น้อยจริงๆ”

หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ “ขอให้ข้าได้พิจารณาอีกสักหน่อย”

ต่อให้สวินยวนจะเป็นเซียนที่มีเวทคาถาค้ำฟ้าก็ไม่มีทางรู้เลยว่าการกระทำเล็กๆ น้อยๆ เมื่อครู่นี้ของเขา

จะทำให้สาวใช้นามว่าสือชิวผู้นั้นยืนนิ่งไม่ขยับหลังจากทางสำนักแจ้งแก่นางว่านางสามารถ ‘เปิดภาพ’ ได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินเทพเซียนก้อนหนึ่ง จากนั้นนางก็ถูกเทพธิดาผู้นั้นตบหน้าไปสิบกว่าที ด่านางว่าแพศยานับครั้งไม่ถ้วน สือชิวไม่เอ่ยอะไรสักคำ จนกระทั่งเทพธิดาผู้นั้นระบายโทสะเสร็จแล้วหมุนกายเดินจากไปไกลมากแล้ว นางถึงได้กล้ายกมือเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก กลับเข้าไปในห้องที่เล็กแคบของตัวเอง นางปิดประตูลง ทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบถุงผ้าแพรใบหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง กำไว้ในมือแน่น นางใช้อีกมือหนึ่งอุดปากตัวเอง มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ดังลอดร่องนิ้วออกมา

……

ที่แคว้นชิงหลวน รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วจิ้งถิงจากที่เป็นผู้นำของปัญญาชน เป็นเจ้าประมุขด้านวัฒนธรรม จู่ๆ กลับเปลี่ยนไปมีชื่อเสียงเน่าเหม็น กลายเป็นตัวตลกของคนทั้งราชสำนัก

ต่อให้เป็นพวกพ่อค้าหาบเร่ก็ยังเริ่มพูดคุยเรื่องรักใคร่ของเหล่าปัญญาชนอย่างคะนองปาก

สวนสิงโตปิดประตูไม่ต้อนรับแขก หลิ่วจิ้งถิงไม่เคยอะไรกับคนภายนอกแม้แต่คำเดียว

หลี่เป่าเจินทำงานใหญ่ประสบความสำเร็จ เป็นเหตุให้เหล่าปัญญาชนที่เดินทางลงใต้สูญเสีย ‘พันธมิตรวงการวรรณกรรม’ ในนามไป จำต้องหันไปหาคนอื่น หางูเจ้าถิ่นแห่งวงการวรรณกรรมของแคว้นชิงหลวนที่สามารถสยบผู้คนและรวบรวมใจคนให้เป็นหนึ่งเดียวได้ เพียงแต่ว่าเคราะห์ภัยที่หลิ่วจิ้งถิงต้องเผชิญทำให้พวกผู้รอบรู้ทั้งหลายที่เดิมทีหมายมั่นปั้นมืออยากเล่นงานอีกฝ่ายเกิดความกังวลใจ ตระกูลใหญ่ชนชนสูงที่ย้ายมาอยู่แคว้นชิงหลวนก็ได้แต่ต้องถอยไปก้าวหนึ่ง หวังจะหาผู้นำจากภายในกันเอง เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนี้ สถานการณ์จะซับซ้อนยิ่งขึ้น อันที่จริงเจ้าประมุขของตระกูลใหญ่หลายแห่งก็มีชื่อเสียงไม่เป็นรองหลิ่วจิ้งถิง แต่ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นคนต่างถิ่น ล้วนเป็นมังกรที่ข้ามแม่น้ำมาเหมือนกัน แล้วใครเล่าจะยินดียอมอยู่ต่ำกว่าคนอื่นระดับหนึ่ง? ใครบ้างที่ไม่เป็นกังวลว่าคนผู้นั้นที่ถูกแนะนำมาจะไม่แอบเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมไปใช้ส่วนตนลับหลังทุกคน?

กลุ่มปัญญาชนในท้องถิ่นของแคว้นชิงหลวนจึงเกิดความโกลาหลวุ่นวาย พวกคนเบื้องหลังที่เดิมทียังคิดจะควบคุมหลิ่วจิ้งถิงให้เป็นหุ่นเชิด เพื่อใช้เขาคานอำนาจกับตระกูลต่างถิ่นของฮ่องเต้สกุลถังแคว้นชิงหลวนก็ไม่ได้อยู่อย่างสงบเช่นกัน

วันนี้หลี่เป่าเจินไปเยี่ยมเยือนหลิ่วชิงเฟิงที่ที่ว่าการอำเภอ คนทั้งสองเดินเล่นอยู่ด้วยกันท่ามกลางแสงสนธยา หลี่เป่าเจินคลี่ยิ้มให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแก่พวกปัญญาชนที่เดินทางลงใต้ซึ่งเป็นดั่งฝูงมังกรไร้หัวว่า “ซิ่วไฉก่อกบฏ สามปีก็ไม่สำเร็จ”

หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เป่าเจินกว้างขวางเบิกบาน

ทว่าในใจกลับเยียบเย็น

คืนนั้นหลังจากที่หลิ่วชิงเฟิงจากไป เพียงไม่นานหลี่เป่าเจินก็ทำการตรวจสอบและชดเชยช่องโหว่ใน ‘ขวานสามกระบวน’ (เปรียบเปรยถึงวิธีการแก้ปัญหาที่มีไม่เยอะ แต่กลับได้ผลดี หรือสร้างอานุภาพข่มขวัญคนอื่นก่อน แต่กลับไม่มีวิธีรับมือในภายหลัง) ของหลิ่วชิงเฟิง เพื่อทำให้แผนการครั้งนี้สมบูรณ์แบบไร้ข้อผิดพลาด

ตอนนั้นเจ้าพวกสมองหมูและพวกห่อหญ้าใบใหญ่ (เปรียบเปรยถึงคนหรือสิ่งของที่ไร้ค่า) ที่อยู่ในห้องโถงต่างก็เลื่อมใสหลี่เป่าเจินอย่างถึงที่สุด พูดชื่นชมกันไม่หยุดปาก มองดูแล้วก็เหมือนจะมีความจริงใจอยู่หลายส่วน

ทว่าหลี่เป่าเจินกลับยิ่งรู้สึกหนาวเยือกไปทั้งกาย

เพราะหลี่เป่าเจินฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าช่องโหว่เล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นเป็นเศษน้ำแกงที่หลิ่วชิงเฟิงจงใจเหลือไว้ให้เขา

เป็นพื้นที่ว่างที่ให้เขายืมมาสร้างบารมีของตัวเอง

นี่ก็คือการเหลือพื้นที่ (มาจากประโยค 做人留一线,日后好相见แปลตรงตัวเป็นคนควรเหลือที่ว่าง วันหน้าจึงจะเจอกันได้ใหม่ ความหมายก็คือคนเราไม่ควรพูดจาแล้งน้ำใจ หรือทำอะไรที่เด็ดขาดใจดำเกินไป ควรจะเหลือหนทางให้กับผู้อื่นบ้าง วันหน้าเมื่อพบเจอกันจะได้เข้าหน้ากันติด) อย่างไร้เสียงของหลิ่วชิงเฟิง

ตอนที่หลี่เป่าเจินเดินออกมาจากที่ว่าการ เขาอดหันหน้ากลับไปมองซุ้มป้ายของที่ว่าการอีกครั้งแล้วพึมพำกลั้วเสียงหัวเราะไม่ได้ว่า “ยังดีที่ทำงานในที่ว่าการไม่อาจฝึกฝนให้เกิดมหามรรคาอมตะอะไรได้”

พอนึกถึงพวกเสมียนนักการที่เดิมทีชื่นชมเลื่อมใสและนับถือนายอำเภอหลิ่วจากใจจริง ทว่าตอนนี้สายตาของแต่ละคนกลับเปลี่ยนมาเป็นซับซ้อน ในใจเกิดความห่างเหิน หรือบางคนถึงขั้นไม่ปกปิดความเวทนาเอาไว้

หลี่เป่าเจินก็เริ่มอารมณ์ดี เดินเร็วๆ ออกไปจากที่ว่าการด้วยฝีเท้าที่เบาและไวขึ้นอีกหลายส่วน

หลิ่วชิงเฟิงกลับไปยังที่พักของตัวเอง ตรวจสอบเอกสารคดีความที่เหลืออยู่ จู่ๆ ก็นึกถึงเลขานุการฝ่ายบู๊ของต้าหลีที่มีชื่อจริงว่าหวังอี้ฝู่ผู้นั้นขึ้นมา ในอดีตเขาเคยเป็นขุนพลผู้แกล้วกล้าอันดับหนึ่งของราชวงศ์สกุลหลูที่อยู่ทางเหนือสุด ซึ่งอีกไม่นานกำลังจะกลายมาเป็นหัวหน้ามือปราบประจำอำเภอที่คอยดูแลรักษาความปลอดภัย จับโจรผู้ร้ายในอำเภอ นึกถึงว่าคนที่มีความสามารถมากพอจะดำรงตำแหน่งเสาคานค้ำยันราชสำนักต้าหลี กลับต้องกลายมาเป็นหัวหน้ามือปราบประจำอำเภอในแคว้นชิงหลวน?

นายอำเภอหลิ่วผู้นี้ก็หัวเราะออกมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!