บทที่ 417 หากชีวิตไม่มีความสุข
บนท้องนภามีดวงจันทร์ลอยอยู่สามดวง
นี่คือทัศนียภาพที่จะไม่มีทางได้เห็นในใต้หล้าไพศาล
แสงจันทร์กระจ่างบริสุทธิ์สาดส่องลงบนฟ้าดิน สาดสะท้อนลงบนหิมะหนาที่ทับถมกันจนเหมือนห่มคลุมอยู่บนเทือกเขาใหญ่แสนลี้
เพียงแต่ว่าระหว่างภูเขาลูกใหญ่ที่ทอดยาวต่อเนื่องกันไปนั้นมีเสียงครืดคราดดังอยู่ตลอดเวลา เสียงนั้นสะท้อนก้องไกลไปหลายร้อยลี้
หากมีเซียนที่สามารถทะยานลมอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆก้มหน้ามองลงมาก็จะเห็นหุ่นเชิดเกราะทองแต่ละคนที่สูงใหญ่ดุจขุนเขากำลังขับเคลื่อนภูเขาใหญ่แต่ละลูกไปอย่างเชื่องช้า
แล้วก็มีสัตว์ดุร้ายในยุคบรรพกาลที่ลำตัวยาวนับพันจั้งอีกหลายตัวที่บนร่างเต็มไปด้วยบาดแผล พวกมันทุกตัวล้วนถูกหุ่นเชิดเกราะทองที่ในมือถือแส้ยาวควบคุมให้ทำงานหนัก คอยลากภูเขาลูกใหญ่ไปโดยไม่อาจปริปากบ่น
บางครั้งเผ่าพันธุ์บรรพกาลที่จำเป็นต้องพักผ่อนชั่วครู่เหล่านี้ก็จะใช้เรือนกายที่เหนื่อยล้าหมดแรงพิงภูเขาต่างหมอนนอนงีบหลับ บนร่างของพวกมันไม่เหลือความดุร้ายที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดอยู่อีกแล้ว ทั้งหมดล้วนถูกกาลเวลาของความยากลำบากไร้ที่สิ้นสุดขัดเกลาเผาผลาญไปจนหมดสิ้น
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ เมื่ออยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ก็มีแค่การเล่าต่อกันไปปากต่อปาก กระพือข่าวลือที่มีอยู่แล้วให้แพร่กว้างออกไป ยังอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริงมากนัก
เพราะไม่มีใครกล้าทะยานผ่านท้องฟ้าเหนือขุนเขาแสนลี้แถบนี้โดยพลการ
ในประวัติศาสตร์อันยาวนานเคยมีพวกปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนบางส่วนไม่เชื่อในข้อห้ามนี้ แล้วก็ถูกหุ่นเชิดเกราะทองจำนวนนับไม่ถ้วนกระชากลงมาจากฟ้า สุดท้ายกลายเป็นหนึ่งในปีศาจใหญ่ที่ต้องใช้แรงงาน กลายมาเป็นโครงกระดูกใหญ่ยักษ์ที่ต้องนอนหลับพักตลอดกาลอยู่ท่ามกลางขุนเขาใหญ่ หรือถึงขั้นไม่ได้ไปเกิดใหม่
บนยอดเขาของกลุ่มเทือกเขามีกระท่อมเก่าโทรมอยู่หลังหนึ่ง ด้านหลังของกระท่อมคือแปลงผักสีเขียวขจีที่นับว่าหาได้ยากในพื้นที่แถบนี้ รอบกระท่อมล้อมด้วยรั้วไม้บิดๆ เบี้ยวๆ มีหมาร่างผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูกคอยนอนหมอบเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูด้วยลมหายใจแผ่วอ่อน
ผู้เฒ่าเรือนกายผอมบางคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศนอกประตู เผชิญหน้ากับภูเขาลูกใหญ่ เขายกมือเกาแก้ม ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หมาผอมแห้งตัวนั้นพลันลุกพรวดขึ้นแล้ววิ่งออกไป แผดเสียงเห่าใส่ทิศทางหนึ่ง
ลมพายุลูกใหญ่ลักษณะคล้ายมังกรม้วนตัว (หรือพายุทอร์นาโด) ลูกหนึ่งม้วนตลบออกไปด้วยพลังอำนาจยิ่งใหญ่ไพศาล ระเบิดทะเลเมฆสีดำทะมึนที่บดบังดวงจันทร์ลูกหนึ่งให้แตกกระจาย
ผู้เฒ่ายังคงไม่สะทกสะท้าน
เมื่อทะเลเมฆถูกแหวกออกแล้ว บนพื้นดินบริเวณโดยรอบที่ห้อมล้อมภูเขาใหญ่ลูกนี้ก็มีหุ่นเชิดเกราะทองหลายตนลุกขึ้นยืน แต่ละตนถืออาวุธประจำกายลักษณะใหญ่โตเกินจริงพอๆ กับเรือนร่างของพวกมัน ในบรรดานั้นก็มีอาวุธจำนวนมากที่เป็นทวนยาวซึ่งทำมาจากโครงกระดูกสีขาวหิมะของสัตว์ร้ายยุคบรรพกาล
หุ่นเชิดเกราะทองหนึ่งในนั้นขว้างทวนยาวกระดูกขาวในมือออกไป เสียงฟ้าร้องดังครืนครั่นราวกับว่ามันมีอานุภาพพอที่จะเปิดฟ้าแหวกดิน
ทวนยาวพุ่งดิ่งเข้าหาเงาร่างที่มีขนาดใหญ่เท่าเมล็ดข้าวสารสองจุดที่อยู่ห่างไปไกลแสนไกล
แขกที่มาเยือนจากทิศไกลสองคนนั้นล้วนเผยกายในร่างของมนุษย์
หนึ่งในนั้นคือผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดคลุมยาวสีแดงสด บนพื้นผิวของเสื้อคลุมคือทะเลเลือดที่เกิดริ้วกระเพื่อมเป็นระลอก ยังพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าบนเสื้อคลุมมีใบหน้าดุดันลอยขึ้นมาเป็นจำนวนมาก พวกมันพยายามจะยื่นมือออกมาจากน้ำทะเล เพียงแต่ว่าชั่วแวบเดียวก็ถูกเลือดสดกลบทับ
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนนี้รัดเข็มขัดสีดำสนิทที่ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร บนเข็มขัดฝังเลื่อมเศษชิ้นส่วนของกระบี่ยาวไว้เป็นจำนวนมาก
ข้างกายผู้เฒ่าคือเด็กรุ่นหลังที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ ตรงเอวสองข้างของเขาต่างก็ห้อยกระบี่ยาวไว้ข้างละหนึ่งเล่ม ด้านหลังยังสะพายกล่องกระบี่สีขาวหิมะไว้หนึ่งใบ เผยให้เห็นด้ามของกระบี่ยาวเล่มที่สาม
เห็นทวนยาวเล่มนั้นแหวกอากาศมาถึง สายตาคนหนุ่มฉายประกายร้อนแรง แต่กลับไม่ใช่เพราะทวนยาว แต่เพราะมองเห็นผู้เฒ่าบนยอดเขาที่ยืนหันหลังให้พวกเขา
ทวนยาวที่มีพลังอำนาจน่ากริ่งเกรงถูกผู้เฒ่าชุดแดงมองแค่แวบเดียวก็แตกสลายเป็นผุยผง เศษฝุ่นปลิวกระจายไปรอบด้าน
อาวุธชิ้นที่เหลือที่บินพุ่งเข้ามาล้วนเป็นเหมือนกันหมด ยังไม่ทันขยับเข้ามาใกล้ก็ระเบิดแตกจนสิ้น
ผู้เฒ่าชุดแดงมีโทสะเล็กน้อย สาเหตุไม่ใช่เพราะถูกการจู่โจมนี้ขัดขวาง แต่โมโหว่าวิธีที่ตาแก่นั่นใช้รับแขกช่างดูแคลนผู้อื่นยิ่งนัก แค่ให้พวกหุ่นเชิดเกราะทองเหล่านี้ลงมือ จะดีจะชั่วก็ควรจะปล่อยพวกตาแก่ที่อยู่ในกรงขังใต้ดินออกมาสิ ถึงจะถือว่าให้เกียรติกันบ้าง
ผู้เฒ่าชุดแดงแค่นเสียงเย็น “เจ้าเฒ่าตาบอด คงไม่ใช่ว่าเจ้าอยู่ในถิ่นของคนอื่นมานานเกินไปเลยลืมว่าเจ้านายที่แท้จริงของตัวเองเป็นใครหรอกนะ? เอาเจ้าพวกนี้มาทำให้ข้าเจ็บๆ คันๆ เนี่ยนะ?!”
เห็นเพียงว่าเขายกฝ่ามือข้างหนึ่งตบออกไป หุ่นเชิดเกราะทองตนหนึ่งที่อยู่บนพื้นก็พลันกระแทกจมลงในพื้นดิน ฝุ่นคลุ้งกระจัดกระจาย
หลังจากนั้นก็ลงมือไม่หยุด บนพื้นดินปรากฏเสียงประทัดแตกดังขึ้นเป็นระลอก หุ่นเชิดเกราะทองแต่ละตนที่ร่างสูงใหญ่ดุจขุนเขาล้วนถูกตบจนไม่เหลือร่องรอย
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยบนยอดเขาหันหน้ามา ‘มอง’ ปีศาจใหญ่สองตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของใต้หล้าแห่งนี้
กรอบตาของเขากลวงโบ๋ ประหนึ่งเหวลึกที่ดำมืดมองไม่เห็นก้นบึ้ง
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่ถูกเรียกว่าตาเฒ่าตาบอดคนนี้ยังคงยืนเกาแก้มอยู่อย่างนั้น
ตามหลักแล้ว หากเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสามเหมือนกัน หรือเป็นขอบเขตสิบสี่ที่อำพรางตัวลึกลับซึ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้ต่อสู้อยู่ในถิ่นของตัวเอง เว้นเสียแต่ว่าคนนอกพกพาอาวุธที่เผด็จการมาด้วย แน่นอนว่าของเล่นประเภทนี้ ต่อให้เอาหลายๆ ใต้หล้ามารวมกันก็ยังนับได้หมด เพราะนอกเหนือจากกระบี่สี่เล่มแล้ว ก็มีพวกป๋ายอวี้จิง ลูกประคำพุทธหรือหนังสือหนึ่งเล่ม นอกจากสิ่งของพวกนี้แล้ว โดยทั่วไปหากอยู่ในใต้หล้าของตัวเองก็ล้วนหยัดยืนอยู่ในสถานะมิพ่าย แม้แต่จะฆ่าอีกฝ่ายก็ยังเป็นไปได้
โดยเฉพาะเมื่อเลื่อนสู่ขอบเขตแรกของขอบเขตสองสาบสูญ หากกินอิ่มว่างงานจนมีเวลาว่างไปเที่ยวเล่นในใต้หล้าแห่งอื่น การที่จะถูกกฎเกณฑ์ของมหามรรคาในฟ้าดินแห่งนั้นสยบกำราบก็ถือเป็นเรื่องที่ ‘สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน’ มากที่สุด
เพียงแต่ว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ย่อมต้องมีข้อยกเว้นอยู่สักสองสามข้อ จะแปลกตรงไหน?
ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าคนนี้ เขาคือคนต่างถิ่นที่มาอาศัยอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่กลับใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรียิ่งกว่าเจ้าของบ้านเสียอีก
หรือยกตัวอย่างเช่นนักพรตจมูกโคหน้าเหม็นของใต้หล้าไพศาลคนนั้น
ผู้เฒ่าเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “หากเปลี่ยนเป็นคนผู้นั้นที่มาเยือนก็ยังพอทำเนา ส่วนพวกเจ้าสองคน หากยังยืนอยู่สูงขนาดนั้นอีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”
‘คนหนุ่ม’ ที่บนร่างพกกระบี่ห้าเล่มคลี่ยิ้ม
ในฐานะปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่อายุน้อยที่สุด เขาเคยเข้าร่วมศึกใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินครั้งนั้น ถึงขั้นเอาชนะเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาได้ ทำให้อีกฝ่ายจำต้องกลายเป็นหนึ่งในคนเฝ้าประตูของภูเขาห้อยหัว
เขารู้สึกว่าผู้เฒ่าตาบอดที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าคนนี้ร้ายกาจมากจริงๆ แต่กลับไม่ได้ร้ายกาจจนถึงขั้นที่ไร้ขื่อไร้แป
สีหน้าของผู้เฒ่าชุดแดงเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง กลิ่นอายดุร้ายอำมหิตทั่วร่างของเขาแทบจะทำให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลรินอยู่โดยรอบหยุดชะงัก
แต่สุดท้ายเขาก็ทำเพียงแค่แค่นเสียงดังหึหนึ่งทีแล้วหมุนตัวจากไป
ปีศาจใหญ่เซียนกระบี่หนุ่มที่มีผลงานการต่อสู้เกรียงไกรลังเลเล็กน้อย แล้วทันใดนั้นในทะเลสาบหัวใจของเขาก็มีเสียงที่ค่อนข้างร้อนรนดังขึ้นมา “รีบไป!”
ทว่าเพียงชั่วพริบตา แรงกระชากมหาศาลขุมหนึ่งก็ตรงเข้ามาม้วนหอบร่างของปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่คนนี้
ปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่เตรียมจะอาศัยโอกาสนี้ออกกระบี่ลองดูฝีมือของผู้เฒ่าตาบอดคนนั้นสักหน่อย แต่กลับค้นพบว่าผู้เฒ่าชุดแดงคำรามกร้าวอย่างเดือดดาล คว้าไหล่ของเขาแล้วกระชากเหวี่ยงออกไปให้พ้นจากม่านฟ้า
จากนั้นผู้เฒ่าชุดแดงก็สะบัดชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง ปล่อยแม่น้ำเลือดที่คลื่นโถมซัดสาดออกไป พยายามจะตัดขาดลมปราณที่หมายหัวผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นให้ได้
ฟ้าดินพลิกกลับ ลมปราณซัดปั่นป่วนวุ่นวาย
ผู้เฒ่าชุดแดงที่สัมผัสได้ว่าถูกมหามรรคากดทับไหล่จนหายใจไม่ออกหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย พยายามสะบัดชายแขนเสื้ออย่างแรง แม่น้ำเลือดสดหลายสายแทบจะรวมตัวกันกลายมาเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ยักษ์ เขาตวาดกร้าวเสียงเฉียบ “เจ้าเฒ่าตาบอด เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทำลายภูเขาสิบหมื่นของเจ้าให้พังพินาศไปพร้อมกันซะเดี๋ยวนี้เลย?!”
ผู้เฒ่าตาบอดหยุดเกาแก้ม
และเวลานี้เอง น้ำเสียงที่มากบารมีก็ดังลอดเข้ามาใน ‘ฟ้าดินขนาดเล็ก’ ที่ใหญ่มากแห่งนี้ “พอได้แล้ว”
ผู้เฒ่าชุดแดงหยุดมืออย่างขุ่นเคือง เก็บวิชาอภินิหารลงไป แม่น้ำเลือดสดสายยาวย้อนกลับเข้ามาในชายแขนเสื้อกว้างใหญ่
ผู้เฒ่าตาบอดเอื้อมมือคว้าหนึ่งครั้ง ปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นก็ถูกกระชากมาที่ข้างเท้าของเขา เขาย่อตัวลงนั่งยอง ปีศาจหนุ่มที่ใบหน้ามีแต่ความตะลึงพรึงเพริดค้นพบว่าตัวเองกระดุกกระดิกไม่ได้ ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยยื่นมือมาควักดวงตาข้างหนึ่งของเขาโยนใส่ปากเคี้ยวหยับๆ ก่อนจะหันหน้าไปถ่มทิ้งบนพื้น ผลกลับลายเป็นว่าหมาแก่ที่ผอมแห้งตัวนั้นเกิดน้ำลายสอ วิ่งพรวดมาขย้ำกลืนลงท้องไป
ผู้เฒ่าตาบอดยืดตัวขึ้นตรง ดีดปลายเท้าเตะปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่ที่เหลือดวงตาแค่ข้างเดียวกระเด็นไปกลางอากาศ “นี่เพราะเห็นแก่หน้าของเจ้าหรอกนะ”
ฟ้าดินกลับคืนมาเงียบสงัดอีกครั้ง
ผู้เฒ่าตาบอดเอาสองมือไพล่หลัง เดินไปทางประตูเรือน มองหมาแก่ตัวนั้นแล้วหลุดหัวเราะพรืด “หมาเปลี่ยนสันดานชอบกินขี้ไม่ได้จริงๆ”
แล้วก็เริ่มเกาแก้มต่ออีกครั้ง เขาหมุนตัวเดินไปที่ยอดเขา รู้สึกอยู่ตลอดว่าบนม้วนภาพวาดนี้มีบางจุดที่ยังต้องลดหรือไม่ก็ต้องเพิ่ม ‘น้ำหมึก’
เขาจึงยืนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ผู้เฒ่าตาบอดพลันขมวดคิ้ว ลังเลอยู่เล็กน้อยก็ขยับนิ้วเบาๆ หุ่นเชิดเกราะทองทั้งหลายกลับเข้าตำแหน่งกันอีกครั้ง
คราวนี้แขกที่มาเยือนคือหนึ่งผู้เฒ่ากับหนึ่งเด็กสาว พวกเขามาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
ผู้เฒ่าเผยรอยยิ้มที่แม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกแปลกแปร่งให้กับเด็กสาวที่มีท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทางคนนั้น เกรงว่าไม่ว่าใครที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาก็มีแต่จะรู้สึกขนลุกด้วยความหวาดกลัว
จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองผู้เฒ่าคนนั้น พูดอย่างกรุ่นโกรธว่า “เฉินชิงตู อย่ามากวนใจข้า! ครั้งนี้ไม่ว่าใครข้าก็ไม่ช่วยทั้งนั้น!”
ผู้ฝึกกระบี่ใหญ่วัยชราจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินชิงตู
เฉินชิงตูถาม “เจ้ายังเป็นคนอยู่ไหม?”
ผู้เฒ่าตาบอดตอบ “เจ้าลองถามใจตัวเองดูสิ พวกเรายังเป็นคนอยู่ไหม?”
เฉินชิงตูพยักหน้า “ข้ายังเป็น”
ผู้เฒ่าตาบอดเงียบงันไปชั่วขณะก็ถามว่า “ต่อให้ใต้หล้าทั้งสองจะสู้รบกันดุเดือดแค่ไหน แต่จะดุเดือดเท่าปีนั้นได้หรือ? อย่างมากก็แค่ทำให้หนึ่งนั้นแหลกสลายลง ปีนั้นเป็นเช่นนี้ หนึ่งพันหนึ่งหมื่นปีให้หลังจะเปลี่ยนไปเป็นอะไรได้อีก? โลกก็ยังห่วยแตกอยู่เหมือนเดิมไม่ใช่หรือ? มีความหมายตรงไหน? ไม่แน่ว่าทำลายให้พังพินาศไปทั้งหมดเลยถึงจะดี จะได้ย้อนกลับไปนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง”
เฉินชิงตูกล่าว “เจ้าสมควรตาบอดแล้ว”
ผู้เฒ่าตาบอดพลันหัวเราะ “ถึงอย่างไรก็ดีกว่าหมาเฝ้าบ้านที่ขายชีวิตให้คนอื่นอย่างเจ้ากระมัง ได้กระต่ายแล้วก็เอาหมาล่าเนื้อมาฆ่ากิน ครั้งเดียวไม่พอ ยังจะลองลิ้มรสชาติดูอีกครั้งงั้นหรือ? ข้าว่าการที่ปีนั้นพวกชาวบ้านที่มีโทษทัณฑ์ติดตัวอย่างพวกเจ้าตกอยู่ในสภาพเช่นทุกวันนี้ก็เพราะถูกคนอย่างพวกเจ้าเฉินชิงตูทำให้เดือดร้อน รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ แต่กลับไม่ยินดีจะเดินทางขึ้นเหนือไปดู เพราะข้ากลัวว่าไปดูแล้วจะได้เห็นเรื่องตลกที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าอย่างพวกเจ้า แล้วข้าก็จะหัวเราะจนตาย”
ผู้เฒ่าตาบอดชี้ไปยังหมาแก่หน้าประตูที่ตัวสั่นสะท้าน “เจ้าดูสิว่าเจ้าเฉินชิงตูดีกว่ามันตรงไหน?”
ผู้เฒ่าตาบอดย้ายเส้นสายตามองไปยังเด็กสาวคนนั้น พูดกลั้วหัวเราะเสียงแหบแห้งกับนาง “นังหนูหนิง เจ้าอย่าได้รำคาญไปเลย นี่ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้ายังถือว่าไม่เลว”
หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไร
เพียงไม่นานเฉินชิงตูก็พาหนิงเหยาจากไป
ผู้เฒ่าตาบอดถอนหายใจเบาๆ ไม่มีอารมณ์มาชื่นชมภาพวาดแห่งภูเขาแม่น้ำที่ยังวาดไม่เสร็จอีกแล้ว เขาเดินออกจากประตูเรือน มองไปเห็นหมาแก่ที่เงยหน้าแลบลิ้นอย่างประจบ ผู้เฒ่าตาบอดพลันยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นกระทืบลงบนสันหลังของหมาแก่อย่างแรง มันส่งเสียงร้องคร่ำครวญทันใด ผู้เฒ่าตาบอดกระทืบกระดูกสันหลังทั้งแถบของปีศาจใหญ่ยุคบรรพกาลที่พลังชีวิตแข็งแกร่งอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ตัวนี้เต็มแรง ถึงอย่างไรเมื่ออาศัยดวงตาข้างนั้นของปีศาจหนุ่ม เพียงไม่นานมันก็สามารถฟื้นตัวได้อยู่แล้ว
ผู้เฒ่าตาบอดพึมพำพลางเดินกลับเข้าบ้าน
บนกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ผู้ฝึกกระบี่ใหญ่วัยชรานั่งขัดสมาธิ หนิงเหยานั่งดื่มเหล้า
เฉินชิงตูเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ไม่ต้องรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนข้า เจ้าเฒ่าตาบอดต่างหากที่เป็นคนเจ็บปวดที่สุด ไม่ใช่อย่างที่โลกภายนอกเล่าลือกันว่า เขาสูญเสียดวงตาทั้งสองข้างเพราะศึกใหญ่กับบรรพบุรุษเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่เป็นเพราะเขาลงมือควักลูกตาตัวเองเมื่อนานมากแล้ว ตาข้างหนึ่งโยนทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล อีกข้างหนึ่งขว้างไปใต้หล้ามืดสลัว ครั้งนี้ที่ข้าไปหาเขาก็เพราะต้องการได้ยินประโยค ‘ไม่ช่วยใครทั้งนั้น’ ของเขากับหูตัวเอง แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ
หนิงเหยาดื่มเหล้าไปได้ครึ่งกาก็หันหน้ามามองผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่
เฉินชิงตูหัวเราะอย่างฉุนๆ “นังหนูหนิง ข้าไม่ได้จะว่าเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าอยากดูก็กลับไปดูที่บ้านเจ้าสิ ที่นี่มันถิ่นของท่านปู่เฉินอย่างข้า มีอย่างที่ไหนที่เจ้าจะมาไล่ให้ข้าไป?”
แม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่ผู้เฒ่าก็ยังกระโดดลงจากหัวกำแพง เดินกลับกระท่อมของตัวเองไป
อันที่จริงเขาเองก็รู้เหตุผล เพราะเจ้าเด็กนั่นเคยฝึกหมัดอยู่บนหัวกำแพงแถบนี้นี่นะ
หนิงเหยาหยิบม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ วางกาเหล้าไว้อีกด้านหนึ่ง จากนั้นก็ฟุบตัวนอนคว่ำบนหัวกำแพง คลี่ภาพม้าวิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาม้วนนั้นออก นี่เป็นภาพที่สามหรือภาพที่สี่แล้วนะ?
บนภาพวาด ทัศนียภาพคือสุสานเทพเซียนที่นางเองก็เคยไปเยือนมาก่อน เด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นว่าวกัน มีเด็กชายตัวดำผอมแห้งนั่งอยู่เพียงลำพังไกลๆ เห็นได้ชัดว่าโดดเดี่ยวเดียวดาย ระหว่างที่คนวัยเดียวกันวิ่งห้อปล่อยว่าวอย่างสนุกสนาน หากวิ่งผ่านเด็กคนนั้นก็จะกระตุกว่าวเลี้ยงเอาไว้ จากนั้นจึงย่อตัวลงหยิบก้อนดินขึ้นมากำหนึ่งแล้วขว้างออกไปอย่างแรง เมื่อเห็นว่าเด็กคนนั้นหมุนกายวิ่งจากไป เด็กร่างสูงใหญ่ที่ในมือถือว่าวก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
หนิงเหยายื่นนิ้วเคาะลงบนภาพวาด จิ้มไปโดนหน้าผากของเด็กร่างสูงใหญ่คนนั้นพอดี พึมพำบางอย่างไปด้วย
จากนั้นนางก็ดึงมือกลับแล้วจ้องมองภาพในม้วนภาพวาดเงียบๆ จนจบ
อันที่จริงในวัตถุจื่อชื่อยังมีม้วนภาพอีกไม่น้อย ทว่าทุกครั้งนางจะดูแค่ภาพนี้
นางพลิกตัวกลับ สองมือสอดทับกันวางไว้ใต้ท้ายทอย กระดิกขาข้างหนึ่งเบาๆ
ชอบเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับม้วนภาพ
ได้ดูม้วนภาพม้วนแล้วม้วนเล่าก็มีแต่จะเปลี่ยนจากชอบไปเป็นชอบมากกว่าเดิม
นางหนิงเหยาจะชอบใคร ไม่เกี่ยวอะไรกับฟ้าดิน
เฉินผิงอันสามารถฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้งอย่างโง่งมเพื่อนาง
นี่ก็สุดยอดมากแล้วไม่ใช่หรือ?
หนิงเหยาลืมตาขึ้น นางรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองตายไปหนึ่งล้านครั้งก็ยังคงชอบเขาอยู่เสมอ
เหมาเสี่ยวตงบอกกับเฉินผิงอันว่าคลื่นใต้น้ำของเมืองหลวงต้าสุยไม่ส่งผลกระทบต่อสำนักศึกษาซานหยาอีกต่อไป คนที่ดีใจที่สุดย่อมต้องเป็นหลี่เป่าผิง นางลากเอาเฉินผิงอันเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองหลวงด้วยกัน เลี้ยงข้าวเขาในร้านเล็กสองแห่งในตรอกที่นางมักไปกินเป็นประจำ ไปเที่ยวชมซากโบราณสถานที่มีชื่อเสียงแห่งต่างๆ ของต้าสุย ใช้เวลาหมดไปเกินครึ่งเดือน ขนาดหลี่เป่าผิงบอกว่ายังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกเกือบครึ่งที่ยังไม่เคยไป แต่จากการพูดคุยกับชุยตงซานทำให้รู้ว่าตอนนี้อาจารย์อาน้อยเพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสอง เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จำเป็นต้องดูดซับเอาปราณวิญญาณจากฟ้าดินมาทั้งวันทั้งคืน หลี่เป่าผิงจึงคิดจะทำตามกฎของบ้านเกิดที่บอกว่า ‘เหลือไว้ก่อน’
เฉินผิงอันจึงได้เริ่มฝึกตนอย่างจริงจัง
ตอนกลางวันใช้ปราณหยางที่บริสุทธิ์ตามช่วงเวลาที่กำหนดมาหล่อเลี้ยงบำรุงความอบอุ่นให้กับอวัยวะภายในและโครงกระดูก ต้านทานการรุกรานจากปราณชั่วร้าย ปราณขุ่นมัวที่มีต่อช่องโพรงลมปราณ
ตอนกลางคืนใช้ปราณหยินที่สะอาดไร้มลทินซึ่งดูดซับได้เฉพาะบางเวลามาหล่อเลี้ยงช่องโพรงสองแห่งที่ถูกบุกเบิกและเก็บวัตถุแห่งชะตาชีวิตเอาไว้
เนื่องจากการหลอมหัวใจบุ๋นสีทองเกี่ยวพันกับการฝึกตนของลัทธิขงจื๊อในระดับสูง เหมาเสี่ยวตงจึงเอาบทรวบรวมกวีเล่มหนึ่งออกมาด้วยตัวเอง แล้วชี้แนะเฉินผิงอันว่าให้อ่านกวีนอกด่านร้อยกว่าบทที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์
พอรู้ว่าเฉินผิงอันเดินทางมาตั้งไกล ท่องผ่านอาณาบริเวณของสองทวีป แต่กลับไม่เคยเข้าไปเยี่ยมชมซากปรักหักพังของสมรภูมิรบยุคบรรพกาลเลยแม้แต่ครั้งเดียว แค่เคยเห็นภาพที่กลุ่มภิกษุสวดมนต์อยู่บนสนามรบจากในพื้นที่มงคลดอกบัวเล็กๆ เท่านั้น เหมาเสี่ยวตงก็อบรมเฉินผิงอันไปอีกหนึ่งคำรบ
ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีได้ถูกเหมาเสี่ยวตง ‘ปิดประตู’ ไปแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้ระดับขั้นของยันต์จะสูงแค่ไหน การไหลหายไปของปราณวิญญาณจะช้าแค่ไหน แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องดี
ส่วนวิธีเปิดประตูนั้นก็ได้มาจากชุยตงซาน หลังจากเฉินผิงอันอธิบายประวัติความเป็นมาของยันต์ร่างจริงให้ชุยตงซานฟังอย่างละเอียดแล้ว เขาก็เอากลับไปศึกษาพิจารณามารอบหนึ่ง สุดท้ายก็ใช้การได้จริงๆ
ชุยตงซานตีหน้าประจบพูดว่าอยากลองเปิด ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ อ่านบ้าง เขายินดีจะจ่ายเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญให้กับอาจารย์สำหรับทุกหน้าที่เปิดอ่าน
เฉินผิงอันไม่ได้รับปาก
เผยเฉียนออกไปเที่ยวเล่นกับเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงอยู่สองสามครั้ง แต่กลับรู้สึกว่าอยู่ในสำนักศึกษาสบายมากกว่า ทุกวันต้องเดินไปเดินมา ออกแต่เช้าตรู่ กลับเย็นย่ำค่ำมืด เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ไหนเลยจะสุขสบายเท่าคุยโม้ให้พวกหลี่ไหวฟังหรือเล่นหมากห้าเม็ดกับพวกเขา ภายหลังจึงหาข้ออ้างอยู่ในสำนักศึกษา เฉินผิงอันเองก็รู้สึกว่าเผยเฉียนเดินทางมาตั้งไกล ไม่ได้น้อยไปกว่าพวกเขาแม้แต่ก้าวเดียว
เลยปล่อยให้เผยเฉียนเล่นสนุกอยู่ในสำนักศึกษา แต่ทุกวันก็ยังตรวจตัวอักษรของเผยเฉียน แล้วก็บอกให้จูเหลี่ยนคอยดูเผยเฉียนฝึกเดินนิ่ง ฝึกดาบและกระบี่ เกี่ยวกับเรื่องของการฝึกตนนี้ เผยเฉียนจะตั้งใจหรือไม่ ไม่สำคัญ เฉินผิงอันไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้นัก แต่ต้องห้ามขาดการฝึกแม้แต่ก้านธูปเดียว
เหมาเสี่ยวตงมักจะมาพูดคุยกับเฉินผิงอันอยู่เป็นประจำ ประโยคหนึ่งในนั้นที่เขาเอ่ยก็คือ ‘คำสั่งก็คือเครื่องมือในการปกครองบ้านเมือง หาใช่ต้นตอของการสร้างความแจ่มชัดหรือขุ่นมัวให้แก่สังคมไม่’
คงเป็นเพราะเหมาเสี่ยวตงกังวลว่าศิษย์น้องเล็กอย่างเฉินผิงอันจะไม่ทันระวังเดินออกห่างไปไกลบนเส้นทางของสำนักนิติธรรมมากขึ้นทุกที จึงจำเป็นต้องเอ่ยเตือน
ตอนนั้นเหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าวว่า “ประโยคนี้ไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของพวกเราเป็นผู้กล่าวไว้ หาใช่จงใจจะกดสำนักนิติธรรมให้ต่ำลงแล้วยกย่องลัทธิขงจื๊อให้สูงส่งไม่ แต่เป็นขุนนางอำมหิตของสำนักนิติธรรมในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ผู้หนึ่งกล่าวไว้เอง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
ในเรือนพักของชุยตงซาน เผยเฉียนกับหลี่ไหวมักจะจับคู่อยู่ด้วยกัน สุมหัวกันอ่านนิยายของจอมยุทธในยุทธภพ บ้างก็อ่านเร็ว บ้างก็อ่านช้า ดังนั้นจึงมักจะทะเลาะกันด้วยเรื่องที่ว่าควรเปิดหน้าต่อไปดีหรือไม่เป็นประจำ บางครั้งหลี่เป่าผิงก็มาอ่านด้วยพักหนึ่ง แต่เผยเฉียนกับหลี่ไหวชอบอ่านฉากที่มีแสงดาบเงากระบี่ เศษเลือดเศษเนื้อปลิวว่อน ต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดมากกว่า
หลี่เป่าผิงก็อ่านเรื่องพวกนี้ได้ เพียงแต่นางจะชอบตัวละครที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่มีมากกว่า จากนั้นก็มาคาดเดาเอาเองส่งเดชว่าทำไมคนผู้นี้ถึงพูดจาเช่นนี้ กระทำการเช่นนี้ในสถานที่นี้
วันหนึ่งจูเหลี่ยนหยิบบทร่างที่ตัวเองเขียนออกมาปึกหนึ่ง เป็นนิยายน้ำเน่าที่มีเนื้อหากล่าวถึงจอมยุทธหญิงหลายคนที่ต่างก็ตกทุกข์ได้ยาก แล้วถูกพวกคนต่ำช้าไร้ที่พึ่งไร้แซ่ไร้นามในยุทธภพรังแกย่ำยี อวี๋ลู่แอบขโมยอ่านแล้วก็ให้ตกตะลึงนัก
จูเหลี่ยนรู้สึกว่าไม่เสียแรงที่อวี๋ลู่คือคนรู้ใจของตน นิสัยจึงเข้ากันได้ดีอย่างถึงที่สุด
ในห้องหนังสือของชุยตงซานก็กองเต็มไปด้วยภาพโบราณที่มีกลิ่นอายแห่งเซียนล้อมเวียนวน ในม้วนภาพแต่ละม้วนมีทั้งเสียงนกร้องกลิ่นบุปผาหอมโชย มีทั้งอากาศสดชื่นบนภูเขาหลังฝนตก แล้วก็มีทั้งภาพผู้เฒ่านั่งตกปลาในแม่น้ำช่วงฤดูหนาว
ผลกลับกลายเป็นว่าคืนนั้นถูกหลี่ไหวกับเผยเฉียน ‘วาดงูเติมหาง’ พวกเขาพากันขีดๆ เขียนๆ ลงบนภาพวาดที่มีชื่อเสียงสืบทอดกันมาหลายรุ่น ทำลายบรรยากาศงดงามเสียจนสิ้น
ยกตัวอย่างเช่นเผยเฉียนช่วยวาดกรงนกบิดๆ เบี้ยวๆ ให้กับนกกระจอกที่อยู่บนภาพวาด เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากกรงหลวนในห้องคุณหนูสกุลหลิ่วแห่งแคว้นชิงหลวน
ในภาพคนพายเรือสวมงอบยืนอยู่บนเรือเล็ก หลี่ไหวก็วาดปลาประหลาดที่ตัวใหญ่ยิ่งกว่าเรือไว้ข้างตัวเรือ
ชุยตงซานเห็นแล้วกลับไม่โกรธ
วันหนึ่งชุยตงซานหยิบภาพวาดวังหลวงที่แปลกประหลาดม้วนหนึ่งออกมา เป็นภาพโครงกระดูกภูตผีคลายร้อน ภาพนี้วาดได้อย่างมีชีวิตชีวาและรื่นเริง บอกว่าจะให้เผยเฉียนได้เปิดหูเปิดตา
เผยเฉียนมองอย่างละเอียด ผลกลับกลายเป็นว่าโครงกระดูกตนหนึ่งในภาพพลันขยายร่างใหญ่จนแทบจะทะลุออกมาจากภาพวาด นางตกใจจนเกือบขวัญกระเจิง ถึงขนาดไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหน ได้แต่นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม หลั่งน้ำตาเงียบๆ
จนกระทั่งเห็นเฉินผิงอันก็ยังทำแค่เม้มปาก
ชุยตงซานจึงถูกเฉินผิงอันไล่ตี เขาสาวหมัดต่อยยกเท้าถีบ สบถด่าหยาบคายเสียงดัง แม้แต่ภาษาถิ่นของบ้านเกิดที่เขตการปกครองหลงเฉวียนก็ยังหลุดปากออกมา คว้าไม้กวาดด้ามหนึ่งขึ้นมาได้ก็ฟาดเข้าที่ท้ายทอยของชุยตงซาน ร่างชุยตงซานปลิวหวือออกไปกระแทกพื้น ต้องแกล้งตายถึงจะผ่านพ้นหายนะมาได้อย่างหวุดหวิด
บางครั้งชุยตงซานก็พูดเรื่องเป็นการเป็นงาน
วันนี้ในขณะที่ไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงพูดเรื่องอายุขัยของคน ชุยตงซานก็ยิ้มกล่าวว่า “คงจะรู้จักการลอกคราบของงูกระมัง? อาจารย์เกิดและเติบโตมาจากบ้านป่า น่าจะเคยเห็นมาไม่น้อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หลี่เป่าผิง เผยเฉียนและหลี่ไหวก็พยักหน้าหงึกๆ
ชุยตงซานยิ้มตาหยี “หากจะบอกว่าจิตวิญญาณของคนเป็นรากฐาน กล้ามเนื้อ กระดูกและเนื้อหนังคืออาภรณ์ ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าลองเดาดูสิว่า คนธรรมดาคนหนึ่งมีชีวิตอยู่ถึงหกสิบปี ชั่วชีวิตที่ผ่านมาเขาต้องเปลี่ยน ‘เสื้อผ้าหนังคน’ กี่ตัว?”
เผยเฉียนรู้สึกว่าคำกล่าวเช่นนี้ทำให้นางขนลุกขนพอง
ชุยตงซานยิ้มตาหยียื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว
เผยเฉียนเบิกตากว้าง “สิบตัว?”
หลี่เป่าผิงขมวดคิ้ว “หนึ่งร้อย?”
หลี่ไหวคิดแต่จะขัดขาคนอื่นท่าเดียว เขาชอบเถียงหลี่เป่าผิงกับเผยเฉียนที่สุด จึงพูดขึ้นเสียงดังว่า “หนึ่งพัน!”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ชั่วชีวิตนี้ของคนเราต้องเปลี่ยนอาภรณ์หนังคนโดยที่ไม่รู้ตัวหนึ่งพันชุด”
ชุยตงซานกล่าวต่อว่า “บวกกับช่องโพรงลมปราณที่สอดคล้องกับฟ้าดินโดยที่มองไม่เห็นเหล่านั้นอีก ดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาทั้งหมดบนโลก หลังจากกลายเป็นภูตแล้วก็ล้วนยินดีที่จะจำแลงกายกลายเป็นคน”
“เครื่องกระเบื้องสำหรับเชื้อพระวงศ์ที่สร้างขึ้นจากเตามังกรบ้านเกิดของพวกเจ้า ทั้งๆ ที่เปราะบาง ไม่อาจต้านทานการโจมตี กลัวการกระทบกระแทกขนาดนั้น แต่ทำไมฮ่องเต้ถึงยังต้องสั่งให้คนสร้างขึ้น? ทำไมถึงไม่เอาดินบนภูเขาไปใช้โดยตรง หรือไม่ก็ใช้ไหดินที่ ‘ร่างกาย’ แข็งแกร่งกว่า?”
หลี่ไหวหัวเราะร่า “ก็เพราะว่าสวยน่ะสิ แล้วก็มีค่าด้วย ชุยตงซานทำไมเจ้าต้องถามคำถามไร้สมองแบบนี้ด้วย?”
ชุยตงซานสบถ “ใช่ๆๆ มีแต่เจ้าที่มีสมอง หัวพยัคฆ์สมองเสือ (มาจากประโยค虎了吧唧 เป็นภาษาถิ่นของตงเป่ย ใช้บรรยายถึงคนโง่ หัวทึ่มทึบ) ฉลาดสุดๆ”
หลี่ไหวแลบลิ้นปลิ้นตาหัวเราะหน้าเป็น “ไม่ฟังๆ ตะพาบท่องคัมภีร์”
เฉินผิงอันยิ้มขำ
มีวันหนึ่งเฉินผิงอันนั่งอยู่ในระเบียงเรือนชุยตงซาน ปลดน้ำเต้าลงมา แต่กลับไม่ได้ดื่มเหล้า เขาใช้ฝ่ามือดันปากน้ำเต้าแล้วแกว่งกาเหล้าเบาๆ
ตอนนี้ในเรือนเล็กไม่มีคนอยู่ เป็นความเงียบสงบที่หาได้ยาก
หลังจากที่หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตอย่างธาตุน้ำและทองได้สองชิ้น การหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามที่เป็นหนึ่งในห้าธาตุจึงกลายมาเป็นหลุมใหญ่ที่อ้อมผ่านไปไม่ได้
แต่ตามคำบอกของจางซานเฟิง ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตแค่สามชิ้นก็พอแล้ว หนึ่งโจมตีหนึ่งป้องกัน ส่วนชิ้นสุดท้ายก็คือช่วยให้ผู้ฝึกลมปราณดูดดึงปราณวิญญาณมาได้เร็วขึ้น แค่นี้ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จที่นับว่าไม่ธรรมดาสำหรับผู้ฝึกตนที่ขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินแล้ว
เกี่ยวกับเรื่องที่ว่ากระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีและสืออู่จะเอามาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันเองได้หรือไม่นั้น ชุยตงซานก็เคยพูดถึงแต่ไม่ละเอียดนัก บอกแค่ว่าหลังจากเขามอบกระบี่บินหลีหว่อของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเล่มนั้นให้เซี่ยเซี่ยไป ต่อให้นางสามารถนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้สำเร็จ แต่เมื่อเทียบกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่แล้ว แม้จะมองดูเหมือนว่าความต่างมีไม่มาก แต่แท้จริงกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว ค่อนข้างจะเป็นซี่โครงไก่ แต่คำว่าซี่โครงไก่นี้ใช้เปรียบเทียบกับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเท่านั้น เซียนดินทั่วไปหากได้พบวาสนาเช่นนี้ สามารถช่วงชิงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนหนึ่งเอามาให้ตัวเองใช้ได้ ก็ต้องจุดธูปกราบไหว้บรรพบุรุษกันแล้ว
ไฟ ดิน ไม้
วัตถุแห่งชะตาชีวิตสามชิ้นที่เหลืออยู่
ความคิดที่จะนำดินห้าสีของผืนแผ่นดินราชวงศ์ต้าหลีมาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต เฉินผิงอันล้มเลิกไปนานแล้ว
เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าเคยบอกให้นักพรตน้อยที่สะพายน้ำเต้าลูกใหญ่ยักษ์นำความมาบอก เรื่องหนึ่งในนั้นคือพูดถึงว่ามังกรเพลิงของแม่นางหร่วนซิ่วสามารถนำมาหลอมได้ แต่เฉินผิงอันไม่ได้เสียสติ อย่าว่าแต่การกระทำที่เหมือนคนสติวิปลาสเช่นนี้เลย ลำพังแค่คิดถึงแววตาระแวดระวังของหร่วนฉง เฉินผิงอันก็จนใจมากแล้ว เกรงว่าหากปล่อยให้หร่วนฉงรับรู้ว่าเขามีความคิดเช่นนี้ ตนคงต้องถูกอริยะสำนักการทหารท่านนี้เอาค้อนตีเหล็กที่ใช้หลอมกระบี่มาทุบเขาจนเละเป็นเนื้อบดแน่นอน
ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเพิ่งไปคิดถึงไฟของห้าธาตุ
เพราะฉะนั้นก็เหลืออย่างสุดท้าย นั่นก็คือไม้
อันที่จริงเฉินผิงอันพอจะมีความคิดบางอย่าง ก็คือต้นไหวโบราณที่ถูกโค่นล้มต้นนั้น แต่ว่าตอนนั้นพวกชาวบ้านก็แบ่งกันไปจนหมดแล้ว กระบี่ไม้ไหวที่ทิ้งไว้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือหนึ่งในกิ่งไหวที่ปีนั้นเขาบอกให้เป่าผิงน้อยไปแบกกลับมา
ซ่งจี๋ซินเคยพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของบ้านเกิด เห็นได้ชัดว่าทุกวันนี้ชาวบ้านแต่ละคนฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งสายตาของร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยวก็ไม่แย่ ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหลือโอกาสให้เฉินผิงอันได้ไปเก็บของดี
เฉินผิงอันกลัดกลุ้มจนต้องยกมือเกาหัว
เขาทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง
ตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตห้าขั้นสูงสุด
ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสอง ทุกเรื่องล้วนยากลำบากในตอนเริ่มต้น ตัวเฉินผิงอันเองก็รู้ดีว่าผู้ฝึกตนขอบเขตสองนี้ได้มาไม่ง่าย
กระบี่เจี้ยนเซียนอาวุธกึ่งเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลัง หากไม่ใช่ศึกตัดสินเป็นตาย คิดจะชักออกจากฝักก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มีกระบี่บินอยู่สองเล่ม สืออู่ที่มีชื่อเดิมว่าเสี่ยวเฟิงตูนั้นยังนับว่าดี แต่ชูอีกลับใกล้จะก่อกบฏเต็มที เนื่องด้วยจิตใจเชื่อมโยงอยู่กับเฉินผิงอัน แทบทุกวันมันจะต้องโวยวายว่าจะกินแท่นสังหารมังกรก้อนยาวก้อนสุดท้าย ซึ่งก็คือก้อนที่ใหญ่ที่สุดนั่น
สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ ยังดีที่ก่อนจะถึงขอบเขตเจ็ด หากสวมไว้จะไม่เป็นอะไร กลับกันยังสามารถช่วยให้ดูดดึงปราณวิญญาณฟ้าดินได้เร็วขึ้น เท่ากับว่าช่วยชดเชยช่องโหว่ร้ายแรงด้านพรสวรรค์ในการฝึกตนหลังจากที่สะพานแห่งความเป็นอมตะของเฉินผิงอันหักขาดไปได้ในระดับใหญ่ แต่ทุกครั้งที่ใช้วิธีมองภายในตรวจตราช่องโพรงลมปราณ เหล่าคนจิ๋วสวมชุดสีเขียวที่ก่อตัวจากโชคชะตาน้ำทั้งหลายก็ยังคงมีสายตาตำหนิติเตียนให้เห็น เห็นได้ชัดว่าการที่ปราณวิญญาณในจวนน้ำเกิดชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำให้พวกมันตกอยู่ในสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนประหนึ่งสตรีผู้มีฝีมือ แต่ไร้วัตถุดิบให้ปรุงอาหาร ดังนั้นพวกมันจึงน้อยเนื้อต่ำใจมากเป็นพิเศษ
กลับเป็นคนจิ๋วชุดขงจื๊อที่จำแลงมาจากหัวใจบุ๋นสีทองที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกดีใจอย่างคาดไม่ถึง มันขี่มังกรเพลิงที่ก่อตัวขึ้นจากปราณแท้จริงบริสุทธิ์โอ้อวดบารมีอยู่ทุกวัน มีชีวิตอย่างอิสระเสรีมีความสุข ช่วยเฉินผิงอันตรวจสอบฟ้าดินขนาดเล็กในร่างของตน การกระทำนี้สามารถบำรุงจิตวิญญาณ ช่วยให้เฉินผิงอันขยับขยายเส้นเอ็นและชีพจร อีกทั้งปราณสกปรกขุ่นมัวที่เป็นซากตะกอนของโรคซึ่งเหลือทิ้งไว้หลังจากผ่านศึกใหญ่เป็นตายครั้งแล้วครั้งเล่าที่มักจะซ่อนตัวอยู่ตามจุดลึกของจิตวิญญาณ พอเจ้าตัวจิ๋วขี่มังกรเพลิงผ่านไปก็เหมือนแม่ทัพใหญ่ที่ถืออาวุธบุกเข้าจู่โจมเมืองหน้าด่านเพียงลำพังแล้วทำการกวาดล้างพวกกบฏที่ซ่อนตัวอยู่ตามภูเขาป่าลึกจนสิ้นซากอย่างขยันขันแข็ง
แต่เห็นได้ชัดว่ามันกับมังกรเพลิงไม่ถูกกับเด็กจิ๋วชุดเขียวที่อุตสาหะดูแลงานในบ้านของตัวเองเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายวางท่าไว้แล้วว่าต่อให้ตายก็จะไม่ยอมคบค้าสมาคมกันเด็ดขาด
หลังจากล้มลุกคลุกคลานกว่าจะกลายมาเป็นผู้ฝึกลมปราณได้ไม่ใช่เรื่องง่าย อันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันรู้สึกเคว้งคว้าง
เขาต้องตัดสินใจว่าจะเลือกและสละอะไร
เพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตอยู่ต่อ ฝึกหมัดเดินนิ่งอย่างยากลำบาก เฉินผิงอันไม่เคยลังเลใจ
แต่ตอนนี้ชีวิตไม่มีอันตรายใดให้ต้องกังวล ขอแค่ยินดี หากเขาจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นขอบเขตหกในทันทีก็ไม่ยาก อารมณ์เหมือนคนรวยที่ยังต้องหงุดหงิดว่าจะเลือกหาทองหรือหาเงินดี นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง
ลึกลงไปถึงกระดูกเขาเคยชินที่จะเป็นคนยากจนเสียแล้ว มักจะรู้สึกว่าเหรียญทองแดงหนึ่งถุงที่กำแน่นไว้ในมือ หรือไม่ก็ข้าวสารชั้นบางๆ ที่เหลืออยู่ในถังข้าว นั่นต่างหากถึงจะเป็นของของตนอย่างแท้จริง
ต่อให้ข้างกายมีภูเขาเงินภูเขาทอง แต่ก็ยังรู้สึกว่าต่อให้วันนี้พวกมันเป็นของตน พอตื่นขึ้นมา พรุ่งนี้ก็จะเป็นของคนอื่นแล้ว
เฉินผิงอันรู้ดีว่าคิดแบบนี้ไม่ถูก ทว่าสันดอนขุดง่ายสันดานขุดยาก สำหรับในเรื่องนี้จะพูดว่าไม่ขยับเดินหน้าเลยสักนิดไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรการพัฒนาก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า
อันที่จริงในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เฉินผิงอันรู้ดีว่าตัวเองได้เปลี่ยนไปในหลายๆ เรื่อง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่ว่าหากไม่สวมรองเท้าสาน เปลี่ยนมาสวมรองเท้าหุ้มข้อจะรู้สึกแปลกๆ จนแทบจะเดินไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ ปักปิ่นหยกบนศีรษะ มักจะรู้สึกว่าตัวเองก็คือลิงสวมมงกุฎที่กล่าวถึงในตำรา หรือยกตัวอย่างเช่นเพื่อความฝันที่เคยเล่าให้ลู่ไถฟัง จึงได้ซื้อของไม่มีประโยชน์ที่สิ้นเปลืองเงินทองมาไว้มากมาย หวังว่าสักวันหนึ่งจะมีบ้านหลังใหม่ที่กิจการรุ่งเรืองในเขตการปกครองหลงเฉวียน
เฉินผิงอันยกขาขึ้นไขว่ห้าง แกว่งขาเบาๆ
คนจิ๋วดอกบัวผุดศีรษะออกมาจากใต้ดินด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ แล้ววิ่งปรู๊ดขึ้นบันไดมา สุดท้ายปีนขึ้นมานั่งบนหลังเท้าเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยื่นนิ้วมาตั้งที่ปากของตน เป็นการบอกมันว่าห้ามพูด
นับตั้งแต่ชุยตงซานปรากฏตัวในหมู่บ้านแคว้นชิงหลวนเป็นครั้งแรก คนจิ๋วดอกบัวก็แทบไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็น นี่เป็นสิ่งที่เฉินผิงอันบอกให้มันทำ แม้มันจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังยอมทำตาม
คนจิ๋วดอกบัวที่เหลือแขนเพียงข้างเดียวยื่นมือมาอุดปาก ยิ้มพลางพยักหน้ารับอย่างแรง
เฉินผิงอันแกว่งเท้า เจ้าตัวน้อยจึงเหมือนได้โล้ชิงช้า หากไม่เป็นเพราะปิดปากเอาไว้ตลอดเวลา ป่านนี้คงได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ ของมันแล้ว
มองคนจิ๋วดอกบัวที่มีความสุข จิตใจของเฉินผิงอันพลันสงบขึ้นเยอะมาก ความคิดวุ่นวายและความกลัดกลุ้มกังวลทั้งหลายล้วนหายไปเกลี้ยง
เฉินผิงอันหลับตาลง ผ่านไปไม่นานนักก็รู้สึกว่าหลังเท้าเบาลง หันหน้าไปมองจึงเห็นว่าเจ้าตัวน้อยลงมานอนไขว้ขาเลียนแบบเขา
พอถูกเฉินผิงอันจับได้ มันก็ยิ้มตาหยี
เฉินผิงอันพลิกตัวนอนตะแคง มันก็เลียนแบบตาม
เฉินผิงอันเริ่มส่ายศีรษะ มองดูเหมือนกำลังบ่นพึมพำอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่ได้ส่งเสียง
เจ้าตัวน้อยก็ทำท่าทำทางตามเฉินผิงอันไปด้วย
หนึ่งคนตัวโตหนึ่งคนตัวจิ๋ว อันที่จริงต่างก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังบ่นอะไรอยู่
เฉินผิงอันไม่รู้ว่า
ชุยตงซานอยู่นอกกำแพงของเรือนหลังเล็กนั่นเอง เขาเอียงศีรษะแนบติดกำแพง ร่างกายจึงมองดูคล้าย…เนินลาดเอียง
ชุยตงซานรู้ว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงจงใจบอกให้คนจิ๋วดอกบัวหลบเลี่ยงตน
เพราะในสายตาของเฉินผิงอัน คนจิ๋วดอกบัวที่ตอนนี้ไร้ทุกข์ไร้กังวลถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
เขาถึงขั้นไม่อยากรับรู้ แล้วก็ไม่ยินดีจะรับรู้ว่าคนจิ๋วดอกบัวใช่ภูตที่หาได้ยากมากหรือไม่ มีมูลค่าควรเมืองหรือไม่ มีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงหรือไม่
ดังนั้นชุยตงซานที่ต้องเก็บปากเก็บคำจึงค่อนข้างจะอึดอัดเล็กน้อย
เพราะเขาอยากบอกเฉินผิงอันมากๆ ว่า เจ้าตัวเล็กนั่น ไม่ธรรมดามากๆๆ จริงๆ
แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ชุยตงซานคิดไปคิดมา แม้จะรู้ดีว่าบอกหรือไม่บอก สุดท้ายเรื่องนี้เมื่อเกิดกับเฉินผิงอันก็ได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน แต่ชุยตงซานคิดแล้วก็พลันรู้สึกว่าในเมื่อไม่ให้เขาพูด เขาก็ไม่พูด อันที่จริงไม่พูดก็ดีเหมือนกัน
พอชุยตงซานคิดตกในข้อดี ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม อารมณ์กลับคืนมาเป็นปกติ ศีรษะเอนไปด้านหลังเบาๆ ลำตัวเหยียดตรง พลิ้วกายจากไปเบื้องหน้าอย่างเงียบเชียบ
ตอนนี้ชุยตงซานมีความสุขมาก เพราะขอแค่เอาประโยคนี้ไปขอความดีความชอบกับเป่าผิงน้อย ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจถูกตบด้วยตราประทับน้อยลง
ดังนั้นชุยตงซานจึงบินทะยานไปหยุดอยู่นอกหน้าต่างของห้องเรียน ยักคิ้วหลิ่วตาให้กับแม่นางน้อยที่สวมชุดกระโปรงสีแดงสด
ผลคือถูกอาจารย์ที่กำลังสอนหนังสือตวาดใส่อย่างเดือดดาล