Skip to content

Sword of Coming 424

บทที่ 424 โลกมนุษย์เดินช้าๆ

ฮูหยินเซียวหลวนยืนนิ่งอึ้งอยู่นอกประตู เนิ่นนานก็ยังไม่จากไป ในขณะที่นางกำลังลังเลว่าควรจะเคาะประตูอีกครั้งดีหรือไม่ หันหน้ากลับไปก็เห็นผู้เฒ่าหลังค่อมที่ไม่สะดุดตาคนนั้น

ตอนที่เดินอยู่บนระเบียงมุ่งหน้าไปร่วมงานเลี้ยงที่โถงเซวี่ยหมาง ฮูหยินเซียวหลวนเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการสังเกตสีหน้าและท่าทางของผู้คน ตอนที่เห็นคนผู้นี้เป็นครั้งแรก ดูจากลมหายใจที่ทอดยาว เสียงฝีเท้าที่สัมผัสกับพื้นอย่างเต็มเท้าก็เห็นได้ชัดว่าเขาอำพรางตัวเองอย่างลึกล้ำ ถึงขนาดจงใจรักษาตบะวิถีวรยุทธขอบเขตห้าเอาไว้ตลอดเวลา แต่ครั้งนี้ที่ผู้เฒ่ามาปรากฎตัวอยู่บนชั้นสี่อย่างเงียบเชียบกลับเผยลักษณะของวิถีวรยุทธที่คล้ายคลึงกับซุนเติงเซียน

เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นคนประเภทที่มีความคิดและกลอุบายลึกซึ้งแยบยล

ฮูหยินเซียวหลวนแค่มองออกว่าผู้ติดตามเฒ่าคนนี้คือปรมาจารย์ที่มีวรยุทธสูงกว่าซุนเติงเซียน แต่จะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทองแล้วหรือไม่ เท้าทั้งสองเริ่มก้าวไปบนขั้นบันไดของการหลอมจิตของขอบเขตปลายทางวิถีวรยุทธแล้วหรือไม่ นางกลับมองไม่ออก

มองไม่ออกถึงความตื้นลึกหนาบางของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งก็หมายความว่าเซียวหลวนต้องระวังคนผู้นี้ไว้ให้ดี

รอยยิ้มของผู้เฒ่าเกือบจะทำให้ขนทั่วร่างของเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ลุกพอง ถ้อยคำที่เขาเอ่ยก็ยิ่งทำให้นางครั่นเนื้อครั่นตัว “ฮูหยินเซียวหลวนกินน้ำแกงประตูปิดของนายน้อยข้าหรือ? อย่าเก็บไปใส่ใจเลย นายน้อยของข้าก็เป็นอย่างนี้แหละ หาใช่ตั้งใจเป็นปฏิปักษ์กับฮูหยินไม่”

ฮูหยินเซียวหลวนใคร่ครวญหาคำพูดอยู่พักหนึ่งก็ยิ้มบางๆ ด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ท่านผู้เฒ่า คืนนี้จู่ๆ ฝนก็ตกลงมา ท่านเองก็รู้ว่าข้าคือองค์เทพแห่งสายน้ำ แน่นอนว่าต้องรู้สึกชิดใกล้เป็นพิเศษ กว่าจะสลายฤทธิ์สุราไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงคิดจะใช้โอกาสนี้มาเที่ยวชมตำหนักจื่อชี่ยามค่ำคืน บังเอิญเห็นคุณชายของท่านฝึกหมัดอยู่บนระเบียงชั้นบนนี่พอดี เดิมทีข้านึกว่าคุณชายเฉินเป็นผู้ฝึกตน คือเซียนกระบี่น้อยที่มีอนาคตยาวไกลท่านหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าปณิธานหมัดของคุณชายเฉินจะเยี่ยมยุทธถึงเพียงนี้ ไม่ด้อยกว่าปรมาจารย์ในยุทธภพท่านใดของแคว้นหวงถิงพวกเราเลย ด้วยความใคร่รู้ก็เลยละลาบละล้วงมาเยือนที่นี่ เป็นข้าที่บุ่มบ่ามเอง”

จูเหลี่ยนกล่าวอย่างมีเหตุมีผล “ไม่บุ่มบ่ามๆ ใต้หล้านี้มีแต่บุรุษมุทะลุเท่านั้นที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น บุ่มบ่ามล่วงเกินสาวงาม แต่ไม่ว่าสาวงามจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็ล้วนไม่บุ่มบ่ามทั้งสิ้น!”

ฮูหยินเซียวหลวนไม่อยากจะพัวพันอยู่กับคนผู้นี้ต่ออีก เรื่องในคืนนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องจบลงอย่างค้างคา จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่

อีกอย่างคิดว่านางไม่รู้จักละอายบ้างเลยหรือ? องค์เทพที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องของแม่น้ำใหญ่ลำดับที่สามแคว้นหวงถิง เมื่อเทียบกับองค์เทพห้าขุนเขาของแคว้นก็ไม่เป็นรองสักเท่าไหร่ หากไม่เป็นเพราะอู๋อี้และจวนจื่อหยางมีอำนาจยิ่งใหญ่เกินไป อีกทั้งวันนี้ยังเป็นผู้คุมสถานการณ์ใหญ่ สวามิภักดิ์กับราชวงศ์ต้าหลี หาไม่แล้วหากเปลี่ยนให้เซียวหลวนไปอยู่ในงานเลี้ยงใดก็ตามของแคว้นหวงถิงก็ล้วนต้องได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นที่เฉินผิงอันได้รับในค่ำคืนนี้

ดังนั้นนางจึงพูดจาตามมารยาทไปสองสามคำ แล้วเตรียมจะผละจากไป

มาเยือนจวนจื่อหยางแห่งนี้ ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ราบรื่นเอาเสียเลย วันนี้เมื่อไปจากหอเก็บสมบัติแห่งนี้แล้วก็ยังมีเรื่องปวดหัวรอนางอยู่อีกเช่นกัน

จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ขอฮูหยินโปรดรอสักครู่”

ในใจเซียวหลวนลุกโชนไปด้วยโทสะ เพียงแต่ภายนอกยังคงวางท่าสุขุมเยือกเย็น กล่าวอย่างกังขา “ท่านผู้เฒ่ามีธุระอะไรหรือ? หากไม่รีบร้อน พรุ่งนี้ค่อยไปคุยกับข้าก็ได้”

จูเหลี่ยนยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาโบก “ท่านผู้เฒ่าอะไรกัน เมื่อเทียบกับกาลเวลาอันยาวนานในชีวิตของฮูหยินเซียวหลวนแล้ว ข้าก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่หน้าแก่คนหนึ่งเท่านั้น ฮูหยินเซียวหลวนเรียกข้าว่าเสี่ยวจูก็ได้ จูจากประโยคผมสีกาน้ำ พวงแก้มแดงปลั่ง หมึกดำชาดแดงน่ะ (จูของชื่อจูเหลี่ยนแปลว่าสีแดง/สีชาด) ก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรหรอก เพียงแต่ตอนอยู่โถงเซวี่ยหมาง ข้าน้อยไม่มีความกล้าจะดื่มสุราคารวะฮูหยิน ตอนนี้ค่ำมืดดึกดื่น ไม่มีคนนอกพอ จึงเกิดอารมณ์อยากออกมาเที่ยวเล่นจวนจื่อหยางไม่ต่างจากฮูหยิน ไม่ทราบว่าฮูหยินคิดเห็นเช่นไร?”

เซียวหลวนรู้สึกพะอืดพะอมยิ่งกว่าตอนดื่มสุราเจียวเฒ่าน้ำลายสอสี่ไหเสียอีก

นางยังคงคลี่ยิ้มส่งมาให้ “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้ายังต้องออกจากจวนจื่อหยาง ย้อนกลับไปยังแม่น้ำป๋ายกู่ ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อนให้เร็วสักหน่อย หวังว่าท่านจะให้อภัย”

จูเหลี่ยนกลับก้าวยาวๆ ออกไปเบื้องหน้าแล้ว “ย่อมต้องให้อภัยฮูหยินอยู่แล้ว! ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ข้าได้คุ้มครองฮูหยินไปส่งที่พัก ฮูหยินกลับไปคนเดียว ข้าไม่วางใจจริงๆ ฮูหยินมีรูปโฉมงดงาม แม้จะบอกว่ามีมาดน่าเกรงขามของสุดยอดสาวงามผู้มากความสามารถ แต่ข้ากลับรู้สึกว่าต่อให้พวกผู้ฝึกตนของจวนจื่อหยางที่ลาดตระเวนแค่มองฮูหยินนานหน่อย ข้าก็เจ็บปวดใจแทบแย่แล้ว ไม่ได้ๆ ฮูหยินไม่ต้องกลัวว่าข้าจะลำบากหรอก ข้าจะต้องไปส่งฮูหยินให้จงได้!”

เซียวหลวนยิ้มรับ ด้วยความสามารถในการวางตัวของนางก็ยังเกือบจะอดไม่ไหวชักสีหน้าใส่อีกฝ่าย

นางหมุนตัวกลับทันที ทั้งไม่ปฏิเสธและไม่ได้รับปาก ทะยานวูบออกไปจากหอเรือน เรือนกายอรชรที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งแจ่มชัดพลันกลายร่างเป็นสายรุ้งที่พุ่งออกไป หากเจ้ามีปัญญาก็ตามมาให้ทันแล้วกัน

คิดไม่ถึงว่าเพียงชั่วพริบตาจูเหลี่ยนจะมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายนาง ทะยานลมไปพร้อมกันกับนาง!

จิตใจเซียวหลวนสั่นสะเทือน เกือบจะพลัดตกลงมาบนพื้น

ขอบเขตเดินทางไกล!

เจ้าเฒ่าหื่นกามผู้นี้เป็นถึงผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตแปดเชียวหรือ?!

บุคคลอันดับหนึ่งด้านวิถีวรยุทธซึ่งมีชื่อเสียงอยู่ในยุทธภพของแคว้นหวงถิงมาสี่สิบกว่าปีก็ยังเป็นแค่ขอบเขตร่างทองเท่านั้น

จูเหลี่ยนที่อยู่ข้างฮูหยินเซียวหลวนกล่าวว่า “ฮูหยิน ข้าอ่านเจอจากหนังสือเบ็ดเตล็ดเล่มหนึ่ง บอกว่าเผ่าพันธ์เจียวหลงและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำ หากเกิดความรักขึ้นมาก็จะมีฝนหวานน้ำค้างฉ่ำชื้นโปรยลงมาบนโลกมนุษย์ ไม่ทราบว่าจริงหรือเท็จ?”

ฮูหยินเซียวหลวนทั้งอับอายและแค้นเคืองอย่างถึงที่สุด เกลียดคนที่บงการอยู่เบื้องหลังผู้นั้นยิ่งนัก และยิ่งอยากจะตบเจ้าเฒ่าลามกผู้นี้ให้หัวทิ่มลงไปยังก้นแม่น้ำป๋ายกู่ จากนั้นนางจะค่อยๆ สาวเอาดวงวิญญาณของคนผู้นี้ออกมา ขมวดให้กลายเป็นไส้ตะเกียงหลายๆ เส้น แล้วเอาตะเกียงที่ทำเสร็จแล้วแขวนไว้สูง จุดให้จวนน้ำของนางสว่างไสวเรืองรอง!

จูเหลี่ยนยังคงพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ได้เที่ยวชมจวนจื่อหยางยามค่ำคืนร่วมกับฮูหยินเซียวหลวน ช่างเป็นเรื่องที่น่าปิติยินดียิ่งนัก พูดไปแล้วก็ไม่กลัวว่าฮูหยินจะหัวเราะเยาะ ข้าเสี่ยวจูชอบเขียนบันทึกท่องเที่ยว บันทึกเรื่องประหลาดและคนมหัศจรรย์ที่พบเจอท่ามกลางพันภูเขาหมื่นสายน้ำมากที่สุด คิดมาตลอดว่าวันใดวันหนึ่งจะจัดพิมพ์บันทึกท่องเที่ยวเล่มนี้ ข้ารู้สึกว่าเรื่องในคืนนี้ที่ข้าโชคดีได้ท่องเที่ยวเคียงคู่อยู่กับฮูหยิน ก็ต้องเขียนบรรยายไว้ในบันทึกท่องเที่ยวเล่มนั้นสักหน่อย รอให้รวมเล่มจัดพิมพ์เมื่อไหร่ ข้าจะต้องเอาไปมอบให้ฮูหยินเล่มหนึ่งถึงจวนเลยล่ะ!”

ฮูหยินเซียวหลวนโมโหจนกัดฟันกรอดๆ เป็นเหตุให้ลมหายใจไม่มั่นคง หน้าอกจึงกระเพื่อมขึ้นลง อีกทั้งเดิมทีอาภรณ์บนร่างที่นางรู้สึกว่าร้อนแรงเกินไปตัวนี้ก็ถูกคนผู้นั้นทิ้งไว้ บังคับให้นางสวมใส่

จูเหลี่ยนชำเลืองตามองทัศนียภาพอันงดงามตระการตาที่ราวกับว่าฟ้าดินอยู่ใกล้ในระยะประชิดแล้วรีบหันหน้ากลับไปมองทางลำคลองเถี่ยเชวี่ยนอย่างว่องไว พูดด้วยเสียงอันดังว่า “ทัศนียภาพช่างงดงามนัก!”

……

จูเหลี่ยนกลับไปยังที่พักในชั้นสองของหอเรือนนานแล้ว

ในห้องของหอเก็บสมบัติ เฉินผิงอันไม่รู้สึกง่วงอีกแล้ว เขาจึงลุกขึ้นมาจุดตะเกียง เริ่มอ่านหนังสือ อ่านไปได้พักหนึ่งก็พูดขึ้นอย่างคนที่หวาดผวาไม่คลาย “ในนิยายจอมยุทธเล่มหนึ่งกล่าวไว้ว่าอย่างไรแล้วนะ วีรบุรุษยากจะผ่านด่านสาวงาม? เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้ช่าง…ช่างไม่มีคุณธรรมในยุทธภพเกินไปแล้ว! ตอนอยู่ที่โถงเซวี่ยหมางข้าอุตส่าห์ช่วยเจ้าด้วยความหวังดี มีอย่างที่ไหนที่เจ้าจะมาเล่นงานข้าเช่นนี้! เคยได้ยินแต่ประโยคว่าผู้มีคุณธรรมไม่มีความแค้นชั่วข้ามคืน ต้องสะสางกันภายในคืนนั้นเลย แต่เจ้ากลับดีนัก ตอบแทนบุญคุณคนอื่นเช่นนี้หรือ? มารดามันเถอะ หากไม่เพราะกังวลว่าจูเหลี่ยนจะเข้าใจผิดคิดว่าข้าร้อนตัว ตบเจ้าทีหนึ่งยังเบาไปเลย…หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ใช่ว่าในกางเกงข้าเต็มไปด้วยดินเหลือง ไม่ใช่ขี้ แต่คนอื่นก็มองว่าข้าขี้หรอกหรือ?”

เฉินผิงอันปาดเหงื่อบนหน้าผาก บ่นพึมพำพลางสบถด่าเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ผู้นั้นไม่หยุด

สุดท้ายเฉินผิงอันก็ได้แต่หาข้ออ้างมาปลอบใจตัวเอง “เดินทางท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาในพื้นที่มงคลดอกบัว ถือว่าไม่เสียเที่ยว นี่หากเปลี่ยนมาเป็นเมื่อก่อน ไม่แน่ว่าข้าอาจเปิดประตูให้นางเข้ามาในห้องอย่างโง่งมไปแล้ว”

เมื่อจิตใจเริ่มสงบลง เฉินผิงอันก็เริ่มรวบรวมสมาธิอ่านหนังสือ นั่นคือคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่ง ตอนนั้นเขายืมตำรามาจากหอเก็บหนังสือของสำนักศึกษาซานหยามาหกเล่ม ไม่ว่าจะเป็นตำราของลัทธิขงจื๊อ พุทธ เต๋า สำนักนิติธรรมหรือสำนักโม่ก็ล้วนมีครบหมด เจ้าขุนเขาเหมาบอกว่าไม่ต้องรีบร้อนส่งคืน เมื่อใดที่เขาเฉินผิงอันทำความเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้วค่อยส่งกลับคืนมายังสำนักศึกษาก็ยังไม่สาย

เฉินผิงอันพลันปิดหน้าหนังสือ เดินออกมาจากห้อง มาหยุดอยู่ตรงราวรั้วของระเบียง

เหตุการณ์ราบรื่นเกินไปย่อมไม่ปกติ

ฝนนอกหอเรือนหยุดตกแล้ว ม่านราตรีดำมืด

เฉินผิงอันยื่นมือมาจับราวระเบียง เดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า ฝ่ามือล้วนเต็มไปด้วยน้ำฝนที่หลังจากแตกกระจายแล้วก็มารวมกันเป็นหนึ่ง จึงรู้สึกเย็นเล็กน้อย

เฉินผิงอันแบฝ่ามือออก ก้มหน้าลงมอง

เขากระโดดขึ้นไปบนราวระเบียงแล้วเดินช้าๆ ทอดสายตามองไปยังทิศไกล มองไปยังลำคลองเถี่ยเชวี่ยนนอกจวนจื่อหยาง และนอกลำคลองก็มีขุนเขาเขียว

ตอนนี้เขาอยู่ในแคว้นหวงถิง ในจวนจื่อหยาง ในหอเก็บสมบัติสูงชั้นของตำหนักจื่อชี่ อยู่บนราวระเบียงใต้ชายคา

ความคิดล่องลอยไปไกล

เฉินผิงอันคิดถึงการเดินทางไปเยือนแคว้นชิงหลวนก่อนหน้านี้แล้วได้ยินชาวบ้านในพื้นที่ที่มากินอาหารในเหลาสุราพูดถึงงานโต้วาทีพุทธเต๋า นึกถึงเรื่องเล่าที่บอกว่ามีภิกษุยืนกางร่มอยู่ข้างนอก บัณฑิตหลบฝนอยู่ใต้ชายคา

หากระหว่างที่เดินทางมีฝนตก ย่อมต้องหาชายคาให้หลบฝนเป็นธรรมดา

แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตอนอยู่ในเรือนหลังเล็กของป้อมอินทรีบิน ลู่ไถเคยทอดถอนใจบอกว่า ความน่าเสียดายบนโลกมนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่สามคำว่า ‘รั้งไว้ไม่อยู่’ ถ้อยคำที่ออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจก็เป็นแค่ประโยคหนึ่งที่กล่าวกับแต่ละทัศนียภาพ แต่ละบุคคลว่าให้เดินช้าๆ

ลู่ไถยังพูดอีกว่า ยากนักที่พวกเราจะรู้สึกร่วมไปกับเรื่องราวความทุกข์ยากมากมายในโลกมนุษย์เหมือนได้ประสบพบเจอกับตัวเองอย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อความยากลำบากเกิดขึ้นกับใครเข้าจริงๆ ไม่ว่าใครก็ล้วนรับมือไม่ทันทั้งสิ้น

เดินช้าๆ

ช้า

เจ้าลัทธิผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า นักพรตผู้เฒ่าไร้นามที่ใช้ความหลากหลายของสรรพสิ่งในพื้นที่มงคลดอกบัวมาพิศดูมรรคา ผู้ที่มีมรรคกถาเลิศล้ำค้ำฟ้า เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถควบคุมแม่น้ำแห่งกาลเวลาของพื้นที่มงคลดอกบัวไว้ได้ สามารถทำให้มันเร็ว ทำให้มันช้า ทำให้มันหยุดนิ่งไม่เดินหน้า

ทว่ากระแสแห่งแม่น้ำกาลเวลาของสี่ใต้หล้า อย่าว่าแต่ควบคุมเลย คิดจะไปขวางมันไว้ ว่ากันว่าแม้แต่มรรคาจารย์เต๋าก็ยังทำไม่ได้ เป็นเหตุให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่พิศสายน้ำเคยบรรลุธรรมจึงกล่าวว่า กาลเวลาไหลรินไม่หยุดนิ่งดั่งสายน้ำ จากไปแล้วไม่หวนกลับมา

ชุยตงซานเคยบอกว่าตระกูลเซียนบนภูเขาและนครทั้งหลายในโลกมนุษย์ล้วนมีความลี้ลับ รวมถึงสงครามและความรู้ของเมธีร้อยสำนักที่ต่างก็เกี่ยวพันกับความเร็วในการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลา คือสิ่งที่เหล่าอริยะหวังจะเปลี่ยนวิธีการมาทำให้มันช้าลง

อริยะสามลัทธิที่ยืนอยู่สูงขนาดนั้น มองเห็นได้กว้างไกลขนาดนั้น เหตุใดถึงยืนกรานจะทำให้มันช้าลงให้ได้?

ปรมาจารย์มหาปราชญ์ ศาสดาพุทธ มรรคาจารย์เต๋า ในสายตาของอริยะผู้บุกเบิกฟ้าดินทั้งสามท่านนี้ พวกเขามองเห็นอะไรกันแน่? ถึงต้องให้โลกมนุษย์ของใต้หล้าทั้งสามแห่ง ‘เดินช้าๆ ’?

ครั้งแรกที่เดินทางไปถึงแคว้นหวงถิงพร้อมกับชุยตงซาน มีครั้งหนึ่งตอนที่อยู่บนยอดเขา ชุยตงซานฝึกวิชาหมัดเป็นเพื่อนเขาและเคยพูดด้วยรอยยิ้มว่า ยามที่กงล้อแห่งประวัติศาสตร์เคลื่อนไปเบื้องหน้า ย่อมต้องบดขยี้ดอกไม้ใบหญ้าไปมากมาย

นี่ไม่ใช่คำพูดไร้เมตตาของผู้ที่มีจิตใจของกษัตริย์ แต่เป็นถ้อยคำจากความเศร้าอาดูรของผู้รอบรู้แห่งแผ่นดินกลางท่านหนึ่ง บัณฑิตคนนั้นหวังให้ผู้มีอำนาจทุกคน หรือไม่ก็บุคคลยิ่งใหญ่ที่ตอนนั้นนั่งอยู่บนรถม้าคันนั้นซึ่งได้เห็นประโยคนี้ จะก้มหน้าลงมองต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกบดจนเละสักครั้ง

วิถีทางโลกค่อยๆ ดีขึ้น ต้องเป็นกังวลด้วยหรือ? ขอแค่มันเปลี่ยนไปดีขึ้น ทิศทางถูกต้อง ต่อให้ช้าแค่ไหนก็ไม่เป็นไร แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องกังวล

หากวิถีทางโลกเปลี่ยนไปเป็นแย่ยิ่งกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่นล้อรถแห่งประวัติศาสตร์เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว บดขยี้ต้นไม้ใบหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วนไปตลอดทาง ต่อให้มีคนอยากจะก้มหน้าลงมองก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเห็นได้ชัดเจน

แล้วจะชดเชยอย่างไร?

ดังนั้นถึงต้องให้ช้าลงอีกหน่อย?

เพราะหากเดินไปอย่างเชื่องช้า ต่อให้เดินแยกไปบนมหามรรคาที่ผิดและเริ่มทำพลาด ก็หมายความว่ายังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงแก้ไขใช่หรือไม่? หรือไม่ความทุกข์ยากบนโลกมนุษย์ก็จะลดน้อยลงไปอีกหน่อย?

เฉินผิงอันเดินไปบนราวระเบียงอย่างเชื่องช้ารอบแล้วรอบเล่า เดินไปถึงปลายทางก็จะย้อนกลับมา จากปลายขวาสุดไปปลายซ้ายสุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เฉินผิงอันในเวลานี้ไม่รู้เลยสักนิดว่าทุกครั้งที่ความคิดอันลึกซึ้งบังเกิดขึ้น พวกมันก็เหมือนเมล็ดพันธ์ที่แตกหน่อขึ้นมาในผืนนาหัวใจส่วนลึกของตัวเขาเอง ต้นกล้าเหล่านั้นอาจจะตายไประหว่างทาง แต่ก็มีบางส่วนที่วันใดวันหนึ่งจะแตกดอกออกผล

เฉินผิงอันยิ่งไม่มีทางรู้ว่าตัวอักษรที่เขาใช้มีดแกะลงไปบนแผ่นไม้ไผ่ซึ่งถูกเขานำมาขบคิดใคร่ครวญและท่องพึมพำซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในวันที่อากาศดีแสงแดดสดใสยังให้เผยเฉียนนำแผ่นไม้ไผ่ที่บันทึกตัวอักษรซึ่งเขายอมรับจากใจจริง และมองว่าพวกมันเป็นถ้อยคำที่งดงามออกไปตากแดด

ไม่ว่าตัวอักษรเหล่านั้นจะดีหรือเลว หลักการเหตุผลจะผิดหรือถูก สิ่งเหล่านี้ก็เป็นดั่งเมล็ดพันธ์ที่หว่านลงบนผืนนาหัวใจของเขาเสียแล้ว

เฉินผิงอันไม่ใช่ตัวอย่างเพียงหนึ่งเดียว ในความเป็นจริงแล้วคนบนโลกล้วนเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะใช้วิธีการแกะสลักลงบนแผ่นไม้ไผ่มาทำให้มันเป็นรูปธรรม บางประโยคที่พ่อแม่พร่ำบ่น บางประโยคที่อาจารย์สั่งสอน ประโยคบนตำราที่อ่านผ่านแล้วย้อนกลับมาอ่านซ้ำอีกครั้ง คำพูดเก่าแก่โบราณ หลักการเหตุผลบางอย่างที่ฟังมาหลายรอบและในที่สุดก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ภูเขาเขียวน้ำใสที่เคยเห็น สตรีในดวงใจที่เคยพลาดไป สหายที่แยกย้ายกันไปคนละทาง ล้วนเป็นเมล็ดพันธ์ที่อยู่ในผืนนาหัวใจของทุกคน เมล็ดพันธ์ที่รอวันจะผลิบานเป็นบุปผา

เฉินผิงอันยังคงไม่ล่วงรู้ เขาเพียงแค่เดินไปช้าๆ บนราวระเบียง คิดเพียงว่าออกมาเดินเล่นผ่อนคลายจิตใจ

ในฟ้าดินขนาดเล็กของร่างคน กลางจวนน้ำที่มีอักษรน้ำตัวนั้นอยู่ เหล่าเด็กจิ๋วชุดเขียวต่างก็กำลังง่วนทำงานในมือของตัวเอง แต่ละคนกลั้นหายใจทำสมาธิ

ทางฝั่งจวนที่มีหัวใจบุ๋นสีทอง ด้านนอกมีมังกรเพลิงปราณที่แท้จริงกำลังนอนหลับขดล้อมอยู่ ส่วนในจวน คนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อที่สะพายกระบี่ยาว ตรงเอวห้อยตำราเล่มเล็กสีทองไว้หลายเล่มก็มีประกายแสงสีทองแผ่เรืองรองออกมา มองดูประหนึ่งร่างทองของเทวรูปองค์หนึ่ง

เพียงแต่ว่าคนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อที่มีแสงสีทองไหลรินไปทั่วร่างนั้นกลับมีสะเก็ดแสงสีทองเหมือนดวงดาวสลายหายไปอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าปรากฎการณ์นี้ไม่มั่นคง

มันเต็มไปด้วยความคาดหวัง คาดหวังให้เฉินผิงอันหยุดเดินบนราวระเบียงเสียที

เฉินผิงอันยังคงเดินไปอย่างเชื่องช้า

ออกมาจากสำนักศึกษาซานหยาครั้งนี้ ระหว่างทางเฉินผิงอันได้ถามจูเหลี่ยนและสือโหรวด้วยคำถามหนึ่ง

หากสังหารคนดีที่ไม่เคยทำความผิดแล้วสามารถช่วยคนได้สิบคน จะช่วยหรือไม่ช่วย คนทั้งสองต่างก็ส่ายหน้า รอจนเฉินผิงอันเพิ่มจำนวน เปลี่ยนจากสิบคนเป็นพันคนหมื่นคน สือโหรวกลับเริ่มลังเลใจ

มีเพียงจูเหลี่ยนที่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ต่อให้ช่วยคนได้ทั้งใต้หล้า เขาก็ไม่ฆ่าคนผู้นั้น

เฉินผิงอันจึงถามว่าทำไม

ตอนนั้นจูเหลี่ยนยิ้มและให้คำตอบว่า ‘ข้ากังวลว่าตัวเองจะกลายเป็นคนที่ถูกฆ่า’

แล้วจูเหลี่ยนก็หันกลับมาขอคำตอบจากเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันบอกว่าตัวเองก็ให้คำตอบไม่ได้ เว้นเสียจากว่าจะเดินไปถึงก้าวนั้นจริงๆ ถึงจะพอรู้เจตจำนงและการเลือกของตัวเอง

ในช่องโพรงลมปราณ คนจิ๋วสวมชุดลัทธิขงจื๊อสีทองเริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว มีหลายครั้งที่นึกอยากจะออกไปจากประตูใหญ่ของจวน วิ่งออกไปนอกฟ้าดินขนาดเล็กร่างคนนี้เพื่อเขกมะเหงกใส่เฉินผิงอันสักหลายๆ ที บอกเขาว่า เจ้าคิดส่งเดชแล้ว คิดปัญหายากใหญ่เทียมฟ้าที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าตอนนี้จะไม่มีทางได้ผลลัพธ์ไปเพื่ออะไร? อย่าได้ทำเรื่องที่ไม่เป็นการเป็นงาน อย่าได้พลาดโอกาสที่พันปียากจะพานพบไป! ทิศทางคร่าวๆ ที่เจ้าคิดไว้ก่อนหน้านี้นั่นต่างหากที่ถูกต้อง! รีบกลับไปคิดถึงคำว่าช้าที่สำคัญอย่างถึงที่สุด ตัวอักษรที่ฟ้าดินในโลกมนุษย์มองเมินข้ามตัวนั้นให้ไกลอีกหน่อย คิดให้ลึกซึ้งขึ้นอีกนิด! ขอแค่คิดตกแล้ว แรงบันดาลใจจะพลันบังเกิด นี่ก็คือโชควาสนาบนมหามรรคาที่จะทำให้เจ้าเฉินผิงอันเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้ในอนาคต!

เพียงแต่เรื่องวงในเหล่านี้ หากมันบอกกับเฉินผิงอันไปตามตรง กลับยิ่งจะทำให้เฉินผิงอันจมสู่สภาวะจิตใจที่ย่ำแย่เกินจะเปรียบมากกว่าเดิม

ในที่สุดเฉินผิงอันที่อยู่บนราวระเบียงก็หยุดเดิน

คนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อสีทองและเหล่าคนจิ๋วชุดเขียวที่อยู่ใจวนสองแห่งต่างก็เต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย

ก่อนที่พวกเด็กๆ ชุดเขียวจะหันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะครืนขึ้นมาเสียงดัง

ที่แท้หลังจากเฉินผิงอันผู้นั้นยืนนิ่งแล้ว ความคิดที่บังเกิดขึ้นในเวลานั้นกลับกลายเป็นว่าเขาเริ่มคิดถึงแม่นางคนหนึ่ง อีกทั้งความคิดของเขายังไม่เป็นวิญญูชนอย่างยิ่ง ถึงขนาดคิดว่าคราวหน้าเมื่อพบนางอีกครั้งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะแค่จับมือกันอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องใจกล้ากว่าเดิมสักหน่อย หากแม่นางหนิงไม่เต็มใจ อย่างมากก็แค่ถูกด่าหรือถูกตีรอบหนึ่ง เชื่อว่าคนทั้งสองจะยังได้อยู่ด้วยกัน แต่หากแท้จริงแล้วแม่นางหนิงเองก็เต็มใจอย่างยิ่ง เพียงแต่รอให้เขาเฉินผิงอันเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเล่า? เจ้าเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวนะ ไม่มีความกล้าเลยสักนิด เอาแต่อิดออดกระมิดกระเมี้ยน มันเข้าท่าแล้วหรือ?

เฉินผิงอันกระโดดลงจากราวระเบียง เขาเริ่มง่วงแล้ว ตอนที่เดินเข้าไปในห้องก็ใช้หมัดทุบฝ่ามือ ให้กำลังใจตัวเองไม่หยุดว่า “ไม่เข้าท่า ไม่เข้าท่าเลยสักนิด! อีกอย่างตอนที่อยู่ภูเขาห้อยหัวก็ใช่ว่าจะไม่เคยกอดแม่นางหนิงสักหน่อย เพียงแต่ว่าคราวนั้นเอาแต่อึ้งตะลึง ความรู้สึกเป็นอย่างไรก็จำไม่ได้แล้ว แบบนี้จะได้อย่างไร? จุมพิตที่ริมฝีปากนางเบาๆ สักที…เฉินผิงอันเจ้ารนหาที่ตายงั้นหรือ? จะคิดเรื่องนี้ไม่ได้ นี่ออกจะเร็วไปสักหน่อย เมื่อครู่นี้เจ้าคิดถึงคำว่าช้าอยู่ไม่ใช่หรือ? กับแม่นางหนิงก็ต้องช้าหน่อย ไฟอ่อนตุ๋นนานก็ดีเหมือนกัน…ดีกะผีอะไรล่ะ…”

พวกเด็กจิ๋วชุดเขียวพากันกุมท้องหัวเราะก๊าก ขำกลิ้งกันไปหมด

ไม่ใช่ว่าพวกมันจะรู้ทุกความคิดของเฉินผิงอัน เพียงแต่ว่าคืนนี้เป็นข้อยกเว้น เพราะสิ่งที่เฉินผิงอันคิดเกี่ยวพันกับสภาพจิตใจลึกซึ้งเกินไป เกี่ยวพันไปถึงรากฐาน อีกทั้งความคิดของเขายังใหญ่มาก จิตวิญญาณสั่นสะเทือนรุนแรงจนแทบจะปกคลุมฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างคนนี้ทั้งหมด

คนจิ๋วสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยแสงสีทองเข้มข้นจนแทบจะก่อตัวกลายเป็นโอสถสีทองเม็ดหนึ่งขึ้นกลางหัวใจทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง แล้วก็อดด่าขึ้นมาไม่ได้ “เฉินผิงอัน ท่านปู่เจ้าเถอะ!”

ด่าจบมันกลับหัวเราะคิกคัก

แม้ว่าการ ‘ผลิดอกออกผล’ ของคืนนี้จะไม่สมบูรณ์แบบมากพอ อยู่ไกลเกินกว่าจะใช้คำว่าไร้ข้อตำหนิได้ แต่อันที่จริงแล้วไม่ว่าจะกับเฉินผิงอันหรือกับมันก็ล้วนเป็นประโยชน์มหาศาล

ยกตัวอย่างเช่นเค้าโครงของโอสถทองที่ก่อร่างขึ้นมาตรงหัวใจของคนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อสีทอง นั่นก็คือความหวังอย่างใหญ่หลวงที่สุดที่เหมาเสี่ยวตงมีต่อเฉินผิงอันยามที่เขาหลอมหัวใจบุ๋นสีทองของเสิ่นเวิน

……

ฮูหยินเซียวหลวนและสาวใช้ สองนายบ่าวพักอาศัยอยู่ในเรือนเดี่ยวหลังหนึ่งในแถบห่างไกลของจวนจื่อหยาง

หากจัดให้พวกนางพักร่วมกับพวกซุนเติงเซียนสามคน ต่อให้ฮูหยินเซียวหลวนที่ใจเย็นก็คงต้องชักสีหน้าให้เห็นกันบ้าง

เวลานี้ฮูหยินเซียวหลวนยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ ใครคนหนึ่งนั่งอยู่ ส่วนสาวใช้ถูกคนผู้นั้นร่ายเวทลับให้จมอยู่ในสภาพหลับลึก

คนผู้นั้นชำเลืองตามองเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่สวมชุดกระโปรงรัดรึงแนบไปทุกสัดส่วนแล้วคลี่ยิ้มประหลาด

ใบหน้าของฮูหยินเซียวหลวนเต็มไปด้วยความอิหลักอิเหลื่อ

คนผู้นี้ก็คืออู๋อี้ที่เรียกขานตนเองว่าต้งหลิงเจินจวิน คือเจ้าของจวนจื่อหยางที่แท้จริง

ต่อให้ฮูหยินเซียวหลวนจะใจกล้าแค่ไหนก็ไม่มีทางกล้าบุกเข้าไปในตำหนักจื่อชี่โดยพลการ แถมยังกล้าสวมชุดที่แทบไม่ต่างจากคณิกาในหอโคมเขียวไปเคาะประตูห้องของเฉินผิงอันเช่นนี้

ล้วนเป็นความต้องการของอู๋อี้

อู๋อี้ไม่ได้ใช้ตบะข่มผู้อื่น เพียงแค่มอบเงื่อนไขที่ฮูหยินเซียวหลวนไม่อาจปฏิเสธได้

เกี่ยวพันกับเรื่องที่เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงหมายจะใช้ความสัมพันธ์ของเขตการปกครองหลงเฉวียนมาทำร้ายจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่

หวงฉู่ผู้เป็นเจ้าประมุขได้รับปากฮูหยินเซียวหลวนแล้วว่าจะช่วยทำให้เทพวารีผู้นั้นหยุดการกระทำอันชั่วร้ายลับหลังโดยเร็ว

ด้วยสาเหตุนี้ต่อไปทุกๆ ระยะเวลาสิบปี จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่จึงจำเป็นต้องมอบเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ให้แก่จวนจื่อหยาง นับจากนี้แม่น้ำป๋ายกู่ก็เป็นเหมือนลำคลองเถี่ยเชวี่ยนที่ต่างก็กลายเป็นผู้พึ่งพาใต้อาณัติของจวนจื่อหยาง ทว่าทางฝ่ายของจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ก็ใช่ว่าจะจ่ายเงินฟาดเคราะห์ไปเสียทั้งหมด ข้อดีของการคลี่คลายปัญหาที่เป็นดั่งไฟลามขนคิ้วครั้งนี้ก็คือ หลังจากสวามิภักดิ์ต่อจวนจื่อหยางแล้ว แม้จะบอกว่าต้องห่างเหินกับฮ่องเต้สกุลหงองค์ปัจจุบันไปทุกขณะ ต้องขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์ต่อกัน แต่หวงฉู่ก็รับรองกับฮูหยินเซียวหลวนว่าภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยปีจะทำให้แม่น้ำป๋ายกู่ที่ยาวไม่ถึงเก้าร้อยลี้ขยับขยายออกไปถึงหนึ่งพันสองร้อยลี้! เงิน ทางจวนเทพวารีต้องเป็นผู้จ่าย แต่อุปสรรคขัดขวางทั้งหมดที่มาจากราชสำนักแคว้นหวงถิง เหล่าองค์เทพภูเขาแม่น้ำที่ถูกช่วงชิงโชควาสนาไปจนหมดซึ่งจะต้องแว้งกลับมาโจมตีเอาชีวิต ทางจวนจื่อหยางก็จะช่วยจัดการให้เอง จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่แค่ต้องออกเงินตามราคาตลาดจ้างผู้ฝึกตนของจวนจื่อหยาง เพียงเท่านี้ก็สามารถบดขยี้สังหารไปได้ตลอดทางแล้ว

เงินเทพเซียนนั้นหาได้ง่าย ทว่าระดับความยาวของแม่น้ำป๋ายกู่ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินว่าโชคชะตาน้ำของสายน้ำจะใหญ่มากหรือน้อย จะหนาหรือบาง ไม่ใช่แค่ว่าทางราชสำนักพยักหน้าอนุญาตแล้วก็จะสามารถเจาะช่องทางน้ำได้ เพราะระหว่างนี้ยังต้องเจอกับหายนะและการขัดขวางจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่แข็งแกร่งอีกมากมาย ไม่ใช่ว่าแค่มีเงินทุกอย่างก็เรียบร้อย อีกทั้งเมื่อแม่น้ำป๋ายกู่ยาวหนึ่งพันสองร้อยลี้แล้ว อาณาเขตการปกครองของแม่น้ำป๋ายกู่ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย เขตการปกครอง นครและเมือง รวมถึงภูเขาเขียวน้ำใสที่อยู่โดยรอบลำน้ำล้วนถูกควบรวมเข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ทั้งหมด ถึงเวลานั้นรายรับของแต่ละปีย่อมน่าดูชม นี่คือเรื่องที่ฮูหยินเซียวหลวนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน อีกร้อยปีให้หลัง อย่าว่าแต่แซงหน้าแม่น้ำอวี้เจียงเลย ให้เลื่อนขั้นกลายเป็นแม่น้ำใหญ่อันดับที่สองของแคว้นหวงถิง สลัดแม่น้ำหันสือทิ้งไว้เบื้องหลังไปพร้อมกันในคราวเดียว หรือแม้กระทั่งเลื่อนขั้นเป็นตำหนักเทพวารีก็ยังพอจะวาดฝันได้

นี่ต่างหากจึงจะเป็นสาเหตุแท้จริงที่ว่าเหตุใดฮูหยินเซียวหลวนถึงได้ยอมอ่อนข้อเจียมตัวขนาดนั้นตอนอยู่ในโถงเซวี่ยหมาง

นางจะต้องคว้าอนาคตนี้เอาไว้ให้แน่น!

นี่ไม่ใช่แค่ว่าอดทนรอให้คลื่นลมสงบเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แต่เป็นการอดทนแค่ชั่วครู่ชั่วยามที่พาให้ตัวเองเดินตรงไปบนมหามรรคา ได้รับควันธูปโชติช่วงไพศาล

ดังนั้นพออู๋อี้มาหาฮูหยินเซียวหลวน เสนอข้อแลกเปลี่ยนอย่างที่สอง ฮูหยินเซียวหลวนที่เต็มไปด้วยความคาดหวังต่ออนาคต หลังจากชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียและลังเลอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงเลือกที่จะข่มกลั้นความน้อยเนื้อต่ำใจ ความเจ็บแค้นโกรธเคืองและความอับอายทั้งหลายในใจลงไป พยักหน้าตอบรับแต่โดยดี

อู๋อี้บอกว่าขอแค่คืนนี้ฮูหยินเซียวหลวนยินดีปีนขึ้นเตียงของเฉินผิงอัน หาความสุขร่วมกันหนึ่งคืนก็เท่ากับว่าช่วยนางอู๋อี้และจวนจื่อหยางไว้ครั้งหนึ่ง อู๋อี้จะบอกให้ลำคลองเถี่ยเชวี่ยนยอมกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่น้ำป๋ายกู่อย่างเต็มตัว ศาลจีเซียงจะไม่สามารถทำตัวเป็นจิ้งจอกห่มหนังพยัคฆ์ ใช้ศาลเทพลำคลองแห่งหนึ่งไปงัดข้อกับศาลเทพวารีสายน้ำใหญ่ได้อีก และนับจากนี้ไป นางอู๋อี้ก็จะช่วยพูดถึงเรื่องดีๆ ของเซียวหลวนและศาลเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ต่อหน้าราชวงศ์ต้าหลี ส่วนเรื่องที่ว่าสุดท้ายแล้วจะแลกเอาป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งมาได้หรือไม่ นางอู๋อี้ไม่คิดจะตบอกรับรอง แต่อย่างน้อยนางก็จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

ดังนั้นจึงมีเหตุการณ์ที่ฮูหยินเซียวหลวนเดินทางไปเยี่ยมเยือนยามค่ำคืนเกิดขึ้น

แม้แต่ฝนที่ตกปรอยๆ ลงมานั้นก็ยังเกิดจากการร่ายวิชาอภินิหารของอู๋อี้ นางร่ายใช้เวทบังตาภายในอาณาเขตของจวนจื่อหยางก็เพื่อพิสูจน์ให้เฉินผิงอันรู้ว่าฮูหยินเซียวหลวนเกิดอารมณ์รักใคร่ชอบพอเขาขึ้นมาจริงๆ เจ้าแม่เทพวารีท่านหนึ่งที่เคารพเลื่อมใสจนเกิดเป็นรักแรกพบต่อเจ้าจากใจจริงยอมเสนอตัวให้ มีความสัมพันธ์ข้ามคืนที่ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ ไยจะไม่เต็มใจรับไว้เล่า? นอกจากนี้ยังมีความลี้ลับอีกอย่างหนึ่ง ก่อนหน้านั้นอู๋อี้จงใจพูดถึงเรื่องผลกรรมที่เกิดจากการสังหารปีศาจเผ่าพันธุ์เจียวหลง นางไม่ได้พูดปด ในความเป็นจริงแล้วนางมองออกว่าบนร่างของเฉินผิงอันมีเวรกรรมติดอยู่จริงๆ จะแก้ไขอย่างไร? แน่นอนว่าย่อมต้องใช้ผลบุญจากควันธูปที่มาจากตัวของเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ช่วยขจัดให้ ความเสียหายในส่วนนี้ อู๋อี้ก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าจะชดใช้ให้ฮูหยินเซียวหลวนด้วยเงินเทพเซียน ฝ่ายหลังใคร่ครวญแล้วก็ตอบตกลง

น่าเสียดายก็แต่ฮูหยินเซียวหลวนกลับมาพร้อมความล้มเหลว

เฉินผิงอันผู้นั้นไม่ยอมแม้แต่จะให้นางเข้าประตูไปด้วยซ้ำ

อู๋อี้เอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้า “เซียนหลวน โชควาสนาใหญ่ถึงเพียงนน เจ้ากลับคว้าไว้ไม่อยู่ เจ้านี่มันไร้ประโยชน์จริงๆ”

ฮูหยินเซียวหลวนได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน

อู๋อี้พลันถามขึ้นว่า “หรือเฉินผิงอันไม่สนใจสตรีอย่างเจ้า? สาวใช้คนนั้นของเจ้ามองดูแล้วอ่อนเยาว์กว่า หน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้ ให้นางไปลองดูดีไหม?”

ฮูหยินเซียวหลวนส่ายหน้า “คาดว่าแม้แต่หอเรือนหลังนั้นของหยวนจวินนางก็ยังเข้าไปไม่ได้ เจ้าคนที่ชื่อจูเหลี่ยนผู้นั้นคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล เขามาตอแยข้าอยู่นาน มองดูเหมือนต้องการหยอกเย้า แต่แท้จริงแล้วในช่วงเวลาสุดท้ายกลับเกิดจิตคิดสังหารข้า อีกทั้งจูเหลี่ยนจงใจเปิดเผยความคิดนั้นให้ข้าเห็น ดังนั้นหากเปลี่ยนให้นางไป ไม่แน่ว่าอาจจะตายอยู่นอกหอเรือนเลยก็ได้ ถ้าอย่างนั้นศพของนางหากไม่ถูกโยนทิ้งไว้นอกตำหนักจื่อชี่ก็อาจถูกโยนลงลำคลองเถี่ยเชวี่ยน ปล่อยให้ไหลตามกระแสน้ำไปถึงแม่น้ำป๋ายกู่ของข้าได้พอดี”

อู๋อี้นวดคลึงหว่างคิ้ว “เฉินผิงอันผู้นี้คิดอะไรอยู่กันแน่?”

สีหน้าของฮูหยินเซียวหลวนเผยความจนใจ ตอนนั้นเจ้าคนผู้นั้นไม่พูดไม่จาก็ปิดประตูใส่หน้านางแล้ว นางจะไม่รู้สึกอับอายจนพานเป็นความโกรธได้หรือ?

อู๋อี้มองประเมินฮูหยินเซียวหลวน “ด้วยรูปโฉมของเจ้าเซียวหลวนก็ถือว่าเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งของแคว้นหวงถิงเราแล้วกระมัง? แล้วข้าจะไปหาสตรีที่หน้าตาดีจากไหนมาให้เขาได้อีก? สตรีในหมู่ชาวบ้านด้านล่างภูเขา แม้ว่ามองดูแล้วจะไม่เลว แต่ใครบ้างที่เนื้อหนังมังสาไม่เหม็นคาวจนเกินจะทน เซียวหลวน เจ้าว่าจะเป็นเพราะสตรีวัยกลางคนหุ่นอวบอิ่มอย่างเจ้าไม่ใช่รสนิยมของเฉินผิงอันหรือไม่? หรือเขาจะชอบแต่สาวน้อยร่างเล็กกะทัดรัด หรือไม่ก็คนที่รูปร่างสูงโปร่งมากเป็นพิเศษ?”

ฮูหยินเซียวหลวนส่ายหน้า

นางไม่รู้จริงๆ

อู๋อี้ถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าว่าเฉินผิงอันใช่บุรุษปกติหรือไม่?”

ฮูหยินเซียวหลวนเอ่ยเบาๆ “น่าจะใช่กระมัง”

อู๋อี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าคิดว่าข้าเป็นอย่างไร?”

ฮูหยินเซียวหลวนเย็นวาบไปทั้งสันหลัง นับแต่เฉินผิงอันไปจนถึงจูเหลี่ยนผู้ติดตามของเขา มาจนถึงบรรพจารย์จวนจื่อหยางตรงหน้าท่านนี้ ล้วนเป็นพวกคนบ้าที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้จริงๆ

นางจึงได้แต่ใคร่ครวญหาถ้อยคำที่เหมาะสม เอ่ยประโยคน่าฟังอย่างระมัดระวัง “หยวนจวินมีฐานะสูงส่งถึงเพียงนี้ จะย่ำยีตนเองด้วยการทำเช่นนั้นไปไย?”

อู๋อี้โบกมือ รู้สึกหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย “ช่างเถิด ถึงอย่างไรก็ไม่ควรต้องให้ถึงขั้นที่เจ้าเซียวหลวนบุกเข้าไปในหอเรือนแล้วขืนใจเฉินผิงอันผู้นั้น”

อู๋อี้ลุกขึ้นยืน “ถึงแม้ว่าการค้าครั้งนี้จะไม่สำเร็จในคืนนี้ แต่ก็ยังมีผลในช่วงเวลาถัดจากนี้ไปอีกระยะหนึ่ง เจ้ายังมีโอกาส เซียวหลวน เจ้าตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”

ทันใดนั้นอู๋อี้และเซียวหลวนต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึมไล่ตามกันมาติดๆ ทั้งคู่ต่างก็สัมผัสได้ถึง…ลมปราณแห่งมหามรรคาที่ไม่ปกติขุมหนึ่ง

สูงส่งยาวไกล ล่องลอยแผ่วพลิ้ว มากอำนาจบารมี ยิ่งใหญ่ไพศาล มากมายหลากหลาย มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยาย

คนทั้งสองต่างก็พอจะคาดเดาต้นสายปลายเหตุได้บางส่วน

อู๋อี้พลันเอ่ยเสียงเฉียบ “เซียวหลวน! ว่าอย่างไร?”

จิตวิญญาณของเซียวหลวนหวั่นไหวไม่อยู่นิ่ง นางไม่เหลือความลังเลอีกต่อไป พลันเปลี่ยนมาเป็นห้าวเหิม คำตอบในใจของเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ท่านนี้แข็งแกร่งมิสั่นคลอน

เมื่อเทียบกับปีนั้นตอนที่พบกับบรรพบุรุษฮ่องเต้สกุลถังที่ ‘พบกันโดยบังเอิญ’ ริมแม่น้ำป๋ายกู่แล้ว ความรู้สึกของฮูหยินเซียวหลวนกลับกระตือรือร้นเร่าร้อนกว่ามาก

อู๋อี้ก้าวยาวๆ จากไป ฮูหยินเซียวหลวนก็กลับเข้าไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง นางนอนพลิกตัวอย่างกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง มิอาจข่มตาหลับ

คืนนี้จวนจื่อหยางมีฝนตกลงมาอีกครั้ง

จูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ในระเบียงใต้ชายคาของชั้นที่สองหัวเราะเสียงแปลกแปร่ง “ดีนักนะ คราวนี้ของจริงแล้ว”

……

เฉินผิงอันไม่รู้เรื่องพวกนี้

เขากลับเข้ามาในห้อง ตะเกียงบนโต๊ะยังคงสว่างไสว

เฉินผิงอันเริ่มอ่านหนังสือ อ่านไปอ่านมาก็อาศัยแสงตะเกียงเหลืองนวล เงยหน้ามองไปรอบด้าน

ในตำราบอกว่าจิตใจของคนบางคนก็เหมือนกระจกส่องมารบานหนึ่งที่ทำให้ภูตผีปีศาจรอบด้านไร้ที่ให้หลบเร้นกาย

แต่เฉินผิงอันกลับคาดหวังให้จิตใจของตัวเองเป็นเพียงแค่ตะเกียงดวงหนึ่ง วางมันไว้บนโต๊ะของบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงที่มีเพียงผนังสี่ด้าน ตนสามารถอาศัยแสงสว่างเพียงน้อยนิดนั้นมองไปเห็นฝุ่นผงและแมลงวันที่อยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างตน หากมีแขกมาเยือนที่บ้านก็จะมองเห็นว่าบนขอบหน้าต่างดินเหนียว เขาเฉินผิงอันวางอ่างดินเผาขนาดเล็กที่ปั้นอย่างหยาบๆ เอาไว้หนึ่งใบ ด้านในมีต้นหญ้าต้นเล็กส่ายไหวไปตามลมอย่างมีชีวิตชีวา

เฉินผิงอันฟุบตัวลงบนโต๊ะ

วางคางไว้บนหลังมือของตัวเอง เขาจ้องนิ่งไปยังเปลวไฟในตะเกียงดวงนั้น

อันที่จริงเขาพอจะรู้ว่ามีเรื่องหนึ่งที่กำลังรอให้ตนไปเผชิญหน้า

เฉินผิงอันคิดถึงความเป็นไปได้มากมายหลายอย่างโดยที่เขาไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย

มีเพียงเรื่องเดียวและคนคนเดียว

ที่เฉินผิงอันไม่กล้าคิดให้ลึกซึ้ง

หลักการเหตุผลของใต้หล้านี้ไม่แบ่งแยกว่าใกล้ชิดหรือห่างเหิน เขาเฉินผิงอันเป็นคนพูดเอง

……

เผยเฉียนสะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้นนั่ง ดูเหมือนว่านางจะฝันร้าย

นางย้อนนึก แต่กลับลืมเนื้อหาในฝันนั่นไปแล้ว ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก ยังสะลึมสะลืออยู่เล็กน้อย จึงลุกไปหยิบยันต์แผ่นหนึ่งมาแปะไว้บนหน้าผากแล้วนอนหลับต่ออีกครั้ง

นางสามารถมองทะลุใจคนไปเห็นสภาพภายในจิตใจของคนผู้หนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นหอเรือนสูงตระหง่านเพียงหลังเดียวที่ตั้งอยู่ท่ามกลางลมคาวฝนเลือดของพ่อครัวเฒ่าจูเหลี่ยน ยกตัวอย่างเช่นบ่อน้ำดำมืดของชุยตงซานที่ข้างบ่อวางตำราสีทองกระจัดกระจายไว้หลายเล่ม

ในใจของนางซุกซ่อนความลับที่ใหญ่ที่สุดไว้อย่างหนึ่ง ต่อให้เฉินผิงอันผู้เป็นอาจารย์ นางก็ไม่เคยบอก

ขอแค่นางตั้งใจมองเฉินผิงอันก็จะเหมือนว่านางอยู่ในบ่อน้ำขนาดเล็กแห่งหนึ่งแล้วกำลังแหงนหน้ามองไป คงเป็นเพราะบนปากบ่อน้ำวางตะเกียงไว้ดวงหนึ่ง เดิมทีแสงสว่างกลุ่มเล็กๆ ควรทำให้นางที่เป็นคนขี้ขลาดกลัวผีกลัวความมืดสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและใฝ่หา ทว่านางกลับรู้สึกเหมือนหลายๆ ครั้งที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวแล้วเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ร้อนแรงกลางท้องนภา นางจะต้องรู้สึกแสบตาจนน้ำตาไหลพราก แต่ทุกครั้งที่บาดแผลหายดีแล้วนางก็จะลืมความเจ็บปวด ทำให้อดไม่ไหวคอยแหงนหน้าขึ้นมองมันอยู่ตลอดเวลา

เมื่อนางก้มหน้าลงมอง ใต้บ่อปรากฏเป็นดวงจันทร์ที่กระเพื่อมไปตามผิวน้ำ ขยับลงไปด้านล่างอีกนิดก็จะมองเห็นได้รางๆ ว่าเหมือนจะมีเจียวหลงตัวหนึ่งที่เดิมทีควรจะน่ากลัวมาก แต่นางกลับรู้สึกใกล้ชิดคุ้นเคยกับมันมากเป็นพิเศษ

บ่อน้ำบ่อนี้ในใจของอาจารย์ น้ำในบ่อคอยไต่ระดับขึ้นสู่เบื้องบนอย่างเชื่องช้า

บางทีวันหนึ่งดวงจันทร์ในน้ำก็อาจจะได้ไปพบเจอกับตะเกียงดวงที่ตั้งอยู่บนปากบ่อ

เผยเฉียนที่กำลังหลับสนิทยื่นมือไปวางตรงหัวใจตามจิตใต้สำนึก ตรงนั้นซ่อนถุงผ้าแพรใบเล็กที่ชุยตงซานมอบให้กับนาง เขาบอกว่าวันใดที่อาจารย์ของนางเสียใจอย่างถึงที่สุด หรือโกรธมากๆ นางจะต้องเอามันออกมาให้อาจารย์

……

เฉินผิงอันไม่ได้หลับเลยตลอดทั้งคืน

เพราะความคิดที่เกิดขึ้นกะทันหัน เขาจึงเตรียมจะออกเดินทาง ไม่รั้งอยู่ในจวนจื่อหยางอีกต่อไป จึงบอกให้จูเหลี่ยนไปแจ้งแก่ผู้ดูแล ถือเป็นการบอกกล่าวแก่อู๋อี้

คิดไม่ถึงว่าเจ้าประมุขหวงฉู่จะมาถึงอย่างรวดเร็ว พยายามรั้งเฉินผิงอันไว้สุดกำลัง บอกว่าหากเฉินผิงอันไปจากจวนจื่อหยางทั้งอย่างนี้ เจ้าประมุขอย่างเขาก็คงต้องลาออกจากตำแหน่งแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ขอให้เฉินผิงอันอยู่ต่อสักวันสองวัน เขาจะได้พาเฉินผิงอันไปชมทัศนียภาพบริเวณใกล้เคียงกับจวนจื่อหยาง นอกจากนี้ยังบอกข่าวหนึ่งแก่เฉินผิงอัน บรรพจารย์หยวนจวินเดินทางไปแม่น้ำหันสือแล้ว แต่ก่อนจะจากไปบรรพจารย์กล่าวว่า ตอนที่พวกเฉินผิงอันไปจากจวนจื่อหยาง สามารถเลือกของตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นสี่ของหอเก็บสมบัติจวนจื่อหยางไปได้คนละชิ้น ถือเป็นของขวัญที่จวนจื่อหยางมอบให้ หากเฉินผิงอันไม่รับไว้ก็ได้ เขาที่เป็นเจ้าประมุขจะเลือกของที่แพงที่สุดสี่ชิ้นมาทุบให้เละต่อหน้าเฉินผิงอันไปเลยก็แล้วกัน

เฉินผิงอันยิ่งเดาไม่ออกว่าอู๋อี้คิดจะทำอะไรกันแน่

การต้อนรับขับสู้ที่กระตือรือร้นจนแทบจะเรียกได้ว่าหน้ามึนเช่นนี้ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ต่อให้เป็นเว่ยป้อก็ไม่มีทางได้รับเกียรติขนาดนี้

เฉินผิงอันย่อมอยากไปจากสถานที่ที่เป็นปัญหายุ่งยากแห่งนี้ในทันที จะสนไปไยว่าเจ้าหวงฉู่จะทุบทำลายสมบัติสี่ชิ้นหรือไม่ ก่อนหน้านี้อู๋อี้กระวีกระวาดมาต้อนรับเขาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ภายหลังฮูหยินเซียวหลวนยังมาเคาะประตูยามค่ำคืน ในใจเฉินผิงอันจึงเกิดเงามืดต่อจวนจื่อหยางแห่งนี้

แต่ดูเหมือนหวงฉู่จะคาดการณ์ไว้ได้ล่วงหน้าแล้ว เขาถึงขั้นไม่คิดจะรักษาหน้าตาของตัวเองแม้แต่น้อย วางท่าหน้าด้านหน้าทนเลียนแบบบรรพจารย์ของตน บอกว่าข้าหวงฉู่จะยังเป็นเจ้าประมุขได้หรือไม่ล้วนอยู่ที่ความคิดเดียวของคุณชายเฉิน หรือแค่อยู่เที่ยวเล่นตามแม่น้ำและภูเขา ให้จวนจื่อหยางได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี คุณชายเฉินก็ยังไม่เต็มใจจะรับน้ำใจ? จะทนเห็นเขาหวงฉู่สูญเสียตำแหน่งประมุขได้คาตาตัวเองเชียวหรือ?

หลังจากที่เฉินผิงอันปรึกษากับจูเหลี่ยนและสือโหรวแล้วก็ตัดสินใจว่าจะรับมือไปตามสถานการณ์ ตอบรับหวงฉู่ว่าจะอยู่อีกหนึ่งวันเพื่อชมทัศนียภาพในบริเวณใกล้เคียง

ผลกลับกลายเป็นว่าเมื่อทางจวนจื่อหยางส่งคนผู้หนึ่งมาทำหน้าที่เป็นผู้นำทาง เฉินผิงอันก็ให้เสียใจจนไส้เขียว ส่วนจูเหลี่ยนก็ทำท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องร้ายอะไร

ที่แท้ฮูหยินเซียวหลวนที่กลับคืนมามีท่าทางสุภาพเยือกเย็นก็เป็นคนทำหน้าที่พาเฉินผิงอันท่องเที่ยว

เฉินผิงอันจึงแข็งใจนั่งโดยสารเรือหอเรือนลำหนึ่งที่จอดอยู่ริมตลิ่งลำคลองเถี่ยเชวี่ยนมุ่งหน้าไปยังตอนบนของลำคลอง

ท่ามกลางม่านราตรี

คนทั้งกลุ่มเดินทางกลับมายังจวนจื่อหยาง

อู๋อี้ยืนอยู่ในลานหลังเล็กที่พักของเซียวหลวน ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นอย่างไร?”

ฮูหยินเซียวหลวนทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป

อู๋อี้กล่าวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “พูดมาตามตรง!”

ฮูหยินเซียวหลวนถอนหายใจ “ตลอดทางมานี้ ไม่ว่าข้าจะพยายามบอกเป็นนัยแค่ไหน หรือแม้กระทั่งภายหลังที่เปิดเผยความรู้สึกชื่นชมเขาอย่างตรงไปตรงมา เฉินผิงอันกลับไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้ข้าเห็น แล้วก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่ว่าก่อนที่จะลงจากเรือ เฉินผิงอันได้พูดกับข้าอยู่สองประโยค”

อู๋อี้ถามอย่างใคร่รู้ “สองประโยคไหน”

ฮูหยินเซียวหลวนยิ้มขื่น “ประโยคแรก ‘ฮูหยินเซียวหลวน เจ้าคิดจะทำร้ายข้าให้ตายใช่หรือไม่?’”

อู๋อี้ได้ยินแล้วก็มึนงงไม่เข้าใจ

ส่วนฮูหยินเซียวหลวนกลับมีท่าทางหวาดหวั่นไม่สบายใจ “ประโยคที่สอง เฉินผิงอันพูดอย่างจริงจังมาก ‘หากเจ้ายังตอแยข้าไม่เลิก ข้าจะต่อยเจ้าให้ตายด้วยหมัดเดียว’”

อู๋อี้ยื่นสองนิ้วมานวดคลึงจุดไท่หยาง

ฮูหยินเซียวหลวนปิดปากหัวเราะ เสน่ห์อันน่าหลงใหลในตัวนางพลันปรากฏเด่นชัด แต่จากนั้นนางก็เก็บสีหน้าเย้ายวนใจ ตบอกเอ่ยเบาๆ ว่า “รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ข้ากลัวก็จริง แต่กลับยังไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ ทว่าข้าเองก็รู้ว่าคราวนี้ข้าคงถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องพลาดโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ไป”

ฮูหยินเซียวหลวนโค้งตัวคำนับขออภัยอู๋อี้อย่างนอบน้อม

อู๋อี้ชำเลืองตามองฮูหยินเซียวหลวน “นับว่าเจ้ารู้ความสามารถของตัวเอง”

เซียวหลวนอึ้งตะลึง ทันใดนั้นก็พลันกระจ่างแจ้ง แอบชำเลืองตามองอู๋อี้ที่มีเรือนกายสูงเพรียวออกผอม ก่อนที่นางจะรีบเก็บสายตา รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

อู๋อี้กล่าวอย่างขุ่นเคือง “เขาเฉินผิงอันน่ะตาบอด!”

……

จูเหลี่ยนแอบขำอยู่ตลอดเวลา เวลานี้เขายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันในระเบียงชั้นสี่

สุดท้ายจูเหลี่ยนก็หลุดถามกลั้วเสียงหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ว่า “นายน้อย เจอกับดวงความรักที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุเช่นนี้ รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน “ยุทธภพอันตราย!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!