บทที่ 425 ขี่กระบี่ไปเยือนทะเลเมฆ
ยามฟ้าสาง พวกเฉินผิงอันก็เก็บสัมภาระเตรียมออกจากจวนจื่อหยาง
หวงฉู่เจ้าประมุขและเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองสองคนมาส่งด้วยตัวเอง ส่งจนกระทั่งถึงริมตลิ่งลำคลองเถี่ยเชวี่ยน เทพลำคลองของศาลจีเซียงเตรียมเรือลำหนึ่งไว้ให้เรียบร้อยแล้ว จะเดินทางทางน้ำเลียบลำคลองไปร้อยกว่าลี้ก่อน แล้วค่อยขึ้นฝั่งที่ท่าเรือแห่งหนึ่งเพื่อเดินทางไปยังชายแดนแคว้นหวงถิงต่ออีกครั้ง
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณหวงฉู่ หวงฉู่หยิบกล่องไม้ใบเล็กที่ทำจากไม้จื่อถานส่งกลิ่นหอมสดชื่นใบหนึ่งออกมา คือ ‘แท่นน้ำค้างหวาน’ สิ่งของตกแต่งชนิดหนึ่งที่มีชื่อเสียงของแคว้นหวงถิง บอกว่าเป็นน้ำใจจากบรรพจารย์
เผยเฉียนตีหน้าเคร่ง แสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่สนใจ
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ยังรับกล่องที่บรรจุสมบัติสี่ชิ้นในหอเก็บสมบัติมาไว้ กล่าวว่า “วันหน้าหากเจ้าประมุขหวงเดินทางผ่านเขตการปกครองหลงเฉวียนจะต้องไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วให้ได้”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ทำท่ายกกล่องล้ำค่าใบนั้นขึ้น พูดสัพยอกว่า “ไม่มีของขวัญล้ำค่าเช่นนี้มอบให้ แล้วก็ไม่มีสุราเจียวเฒ่าน้ำลายสออย่างในงานเลี้ยงโถงเซวี่ยหมางให้ดื่ม มีเพียงอาหารพื้นบ้านธรรมดาๆ ข้าคาดว่าต่อให้เจ้าประมุขหวงเดินทางผ่านเขตการปกครองหลงเฉวียนก็คงไม่ค่อยอยากจะแวะไปเยี่ยมหาข้าเท่าไหร่กระมัง”
หวงฉู่ยิ้มบางๆ “ขอแค่มีโอกาสได้ไปเยือนต้าหลี ต่อให้ไม่ผ่านเขตการปกครองหลงเฉวียน ข้าก็จะต้องหาโอกาสอ้อมไปรบกวนคุณชายเฉินให้จงได้”
พูดคุยกันอย่างถูกคอไปตลอดทาง จนกระทั่งหวงฉู่พาพวกเฉินผิงอันไปส่งถึงเรือข้ามฟาก เดิมทีคิดว่าจะขึ้นเรือไปส่งถึงท่าเรือของลำคลองเถี่ยเชวี่ยน แต่เฉินผิงอันยืนกรานว่าไม่ต้อง หวงฉู่จึงต้องยอมล้มเลิกความคิด
ขึ้นเรือมาแล้ว เฉินผิงอันก็มายืนอยู่ตรงหัวเรือ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่บรรจุเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอซึ่งเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณไว้จนเต็ม เรือข้ามฟากขับเคลื่อนลงสู่ตอนล่างของลำคลองอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะไปทางตำหนักจื่อชี่
บนหลังคาหอเก็บสมบัติ ผู้ฝึกตนหญิงร่างสูงโปร่งผู้หนึ่งร่ายใช้เวทอำพรางตา นางก็คืออู๋อี้ต้งหลิงเจินจวิน พอนางเห็นภาพนี้ก็คลี่ยิ้ม “เชิญเทพเจ้ามาง่าย แต่ส่งเทพเจ้ากลับไปก็ไม่เห็นจะยากสักเท่าไหร่นี่นา”
อารมณ์ของนางนับว่าไม่เลว
อู๋อี้ได้เล่าประสบการณ์ของสองวันที่ผ่านมานี้อย่างละเอียด แล้วให้กระบี่บินส่งไปยังภูเขาพีอวิ๋นเขตการปกครองหลงเฉวียน รายงานให้บิดาฟังอย่างไม่มีตกหล่นบกพร่อง
เชื่อว่าต่อให้ไม่ได้รับรางวัล อย่างน้อยก็คงไม่ถูกลงโทษ
ในสายตาของอู๋อี้ เรือข้ามฟากลำนั้นค่อยๆ เคลื่อนไปไกลจนเล็กเท่าเมล็ดงาเมล็ดหนึ่ง
หัวใจของอู๋อี้พลันหดเกร็ง ไม่กล้าขยับเขยื้อน
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข้างกายของนางมีผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อท่าทางสุภาพอ่อนโยนมาปรากฏตัว เขาทำลายค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำของจวนจื่อหยางได้อย่างง่ายดาย มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายอู๋อี้อย่างเงียบเชียบเช่นนี้
อู๋อี้ทำจิตใจให้สงบ เอ่ยเบาๆ ว่า “บุตรอกตัญญูคารวะบิดา”
ที่แท้แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็คืออดีตรองเจ้ากรมการคลังของแคว้นหวงถิง รองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋นในปัจจุบัน ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานของชีวิต ไม่รู้ว่าเจียวเฒ่าตัวนี้เปลี่ยนนามแฝงมาแล้วกี่ครั้ง
ผู้เฒ่ามองอู๋อี้แล้วก็คลี่ยิ้มให้นางอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “เจ้ายิงธนูดอกเดียว แต่ได้นกถึงสามตัว ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้ามีไหวพริบเช่นนี้?”
อู๋อี้หวาดหวั่นไม่เป็นสุข ด้วยรู้สึกว่าบิดากำลังเหน็บแนม พูดจาแฝงความนัย เกรงว่านาทีถัดมาตนคงต้องประสบหายนะ จึงเกิดความคิดที่จะเผ่นหนีไปให้ไกลแล้ว
ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือมาวางบนราวระเบียง เอ่ยเนิบช้าว่า “เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงผู้นั้นเอาความสามารถที่ไหนมาสร้างหายนะให้แก่เซียวหลวนแม่น้ำป๋ายกู่ การเดินทางไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างเอิกเกริกคราวนั้น ก็แค่ไปดื่มเหล้ากับงูน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น กว่าที่เด็กชายชุดเขียวแห่งภูเขาลั่วพั่วที่ตบหน้าตัวเองให้กลายเป็นคนอ้วน (เปรียบเปรยถึงคนที่หน้าใหญ่ใจโต/ไม่ประมาณตน) ผู้นั้นจะขอแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งมาให้สหายได้สำเร็จ ตอนนั้นก็ต้องวิ่งชนตอไปทั่วทิศ เหนื่อยยากเปลืองแรงอยู่มาก ในความเป็นจริงแล้วก็แค่เซียวหลวนกังวลจนเสียกระบวนไปเอง เหมือนคนเป็นโรคร้ายที่หาหมอส่งเดช ถึงได้ยอมลดศักดิ์ศรีของตัวเองมาสวามิภักดิ์ต่อจวนจื่อหยางของพวกเจ้า แต่การที่เซียวหลวนตัดใจละทิ้งความสัมพันธ์ควันธูปกับสกุลหงได้ก็นับว่าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง อุทิศตนเพื่อจวนจื่อหยาง นางมีแต่จะได้รับผลประโยชน์ ส่วนเจ้าก็สามารถนอนนับเงิน ต่างคนต่างก็ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน นี่คือข้อแรก”
ผู้เฒ่าแบฝ่ามือ ก้มหน้าลงมองแล้วส่ายหน้า จากนั้นจึงไพล่สองมือไว้ด้านหลัง เอ่ยต่อว่า “วิธีการที่เจ้าใช้ประจบเอาใจเฉินผิงอันเป็นวิธีชั้นต่ำเกินไป แข็งทื่อเกินไป โดยเฉพาะในงานเลี้ยงโถงเซวี่ยหมางที่ถึงขั้นคิดจะข่มเฉินผิงอัน แต่กลับเหมือนการเข้าผิดออกผิดบนกระดานหมากล้อมที่กลับกลายเป็นว่าล้ำเลิศ ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกดีต่อเจ้าขึ้นอีกไม่น้อย เพราะหากเจ้าเอาแต่แสดงออกว่ามีจิตใจที่ลึกล้ำ เฉินผิงอันก็มีแต่จะยิ่งระแวงเจ้ามากขึ้น รู้สึกกริ่งเกรงและคอยป้องกันเจ้ากับจวนจื่อหยางอยู่ตลอดเวลา ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจผูกความสัมพันธ์ในยุทธภพอะไรกันได้เลย จุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดอยู่ที่สายฝนซึ่งเดิมทีเจ้าคิดจะช่วยอำพรางตัวเซียวหลวน สร้างภาพลวงตาว่าเทพแห่งสายน้ำเกิดความรักผลิบาน คาดไม่ถึงว่าจะกลับกลายเป็นการมอบโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุดให้แก่เฉินผิงอัน หากไม่เป็นเพราะข้าจงใจระงับเอาไว้ เกรงว่าปรากฎการณ์ประหลาดของฟ้าดินต้องเอิกเกริกกว่านี้มากนัก ไม่เพียงแต่จวนจื่อหยาง แต่ทั้งลำคลองเถี่ยเชวี่ยน หรือแม้แต่ภูตผีปีศาจและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแม่น้ำป๋ายกู่ก็ล้วนเกิดใจขานรับ ได้รับผลบุญกันถ้วนหน้า คำกล่าวที่ว่าอริยะชอบภูเขาแต่ใกล้ชิดกับสายน้ำมากกว่ามีความรู้ยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ ดังนั้นการกระทำของเจ้าทำให้พ่อประหลาดใจอย่างมาก เป็นความประหลาดใจที่แฝงไว้ด้วยความยินดี นี่ก็คือข้อที่สอง”
ผู้เฒ่าหันหน้ามายิ้มให้ “ส่วนข้อสุดท้าย ครั้งนี้ที่บอกให้เจ้าเชิญเฉินผิงอันมาเป็นแขกในจวนจื่อหยาง เป็นแผนการของใต้เท้าราชครู ราชครูชุยบอกกับข้าอย่างชัดเจนว่าจะต้องทำให้การเดินทางกลับบ้านเกิดของเฉินผิงอันช้าลงกว่าเดิม ส่วนสิ่งที่ราชครูต้องการ เขาย่อมไม่เอามาพูดกับคนนอกอย่างข้า แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากรู้ มามีส่วนร่วมกับเรื่องพวกนี้ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าทั้งเจ้าและข้าจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรด้วย แต่คราวนี้เจ้าช่วยพ่อทำเรื่องนี้สำเร็จก็เท่ากับว่าพ่อช่วยเหลือราชครูชุยไปเล็กน้อย วันหน้าจวนจื่อหยางจะต้องได้รับรางวัลจากต้าหลีแน่นอน เจ้าก็รอฟังข่าวดีเถอะ”
นี่เป็นข่าวดีที่ใหญ่เทียมฟ้า เพียงแต่อู๋อี้อดรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวไม่ได้ ให้ตายนางก็นึกไม่ถึงว่าบิดาจะเฝ้ามองเรื่องตลกครั้งนี้มาตั้งแต่ต้นจนจบ
อู๋อี้ที่เวลานี้เผชิญหน้ากับเจียวเฒ่าในระเบียงของหอสูงคงจะรู้สึกพอๆ กับตอนที่ฮูหยินเซียวหลวนเผชิญหน้ากับอู๋อี้ในเรือนเล็กกระมัง
เจียวเฒ่าที่แต่งกายไม่ต่างจากปราชญ์ผู้รอบรู้แห่งโลกมนุษย์แบมือออกอีกครั้ง หัวคิ้วขมวดแน่น “นี่จะมองอะไรออกกันนะ?”
อู๋อี้แอบชำเลืองตามองมา
เห็นเพียงว่าบิดาใช้วิชาอภินิหารรวบรวมแก่นไอน้ำไอหมอกที่อยู่ท่ามกลางปราณวิญญาณฟ้าดินให้กลายเป็นหยดน้ำหลายเม็ดกลางฝ่ามือ คล้ายหยดน้ำที่ยังค้างอยู่บนใบบัวหลังจากฝนตก จากนั้นหยดน้ำทั้งหลายก็ระเบิดแตกอยู่กลางฝ่ามือของบิดาไปพร้อมๆ กัน กลายเป็นน้ำฝนหนึ่งกอง บิดาจ้องมองมันนิ่งๆ อยู่นาน ยังคงทำท่าทางฉงนไม่เข้าใจ ก่อนจะร่ายหยดน้ำหลายเม็ดขึ้นมาอีกครั้ง ในสายตาของอู๋อี้ ดูเหมือนว่าบิดาที่ความรู้ไม่เป็นรองอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อจะลังเลอยู่เล็กน้อย เขายื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมา เทหยดน้ำที่อยู่ในมือข้างเดิมลงไปยังมือข้างที่เพิ่งยื่นมา ทันใดนั้นอู๋อี้ก็เห็นว่ากลางฝ่ามือของบิดามีแสงทองเปล่งวาบหนึ่งครั้ง ไม่รอให้อู๋อี้เพ่งสายตามองให้ชัดๆ บิดาก็หุบมือกำเป็นหมัดอย่างว่องไว อู๋อี้จึงมองไม่เห็นภาพปรากฎการณ์กลางฝ่ามือของบิดาอีก
ผู้เฒ่าใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ พอคืนสติกลับมาก็ยิ้มกล่าวกับอู๋อี้ว่า “ไม่มีอะไรน่าดูหรอก”
อู๋อี้ย่อมไม่กล้าซักไซ้ไล่เรียงอยู่แล้ว
ผู้เฒ่าถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดสรรพชีวิตบนโลกถึงพากันแสวงหาเนื้อหนังมังสาของมนุษย์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย? ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าร่างกายของมนุษย์อ่อนแอถึงเพียงนั้น แม้แต่การกินอาหารเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดก็ยังกลายมาเป็นอุปสรรคในการฝึกตน ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณจึงพิถีพิถันเรื่องการหลีกเลี่ยงธัญพืชทั้งห้า ป้องกันไม่ให้กลิ่นเหม็นไปรบกวนจิตวิญญาณ ทำให้ลมปราณในครรภ์กระจัดกระจายจนไม่อาจเปลี่ยนจากคนแก่กลับคืนมาเป็นทารกที่เพิ่งก่อกำเนิดได้อีกครั้ง? หันกลับมามองเผ่าพันธุ์เจียวหลงอย่างพวกเราที่ได้รับความรักความเมตตาจากสวรรค์ ไม่เพียงแต่เกิดมาก็มีร่างกายและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง สติปัญญาก็ไม่ด้อยไปว่ามนุษย์เลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมเจ้าและข้าต่างก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยรูปลักษณ์ของมนุษย์?”
อู๋อี้รู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าเปิดปากพูดง่ายๆ เพราะเรื่องที่เกี่ยวกับช่องโพรงลมปราณของมนุษย์ หรือแม้แต่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลต่างก็กลายเป็นความรู้ทั่วไปของผู้ฝึกตนบนภูเขาและภูตผีปีศาจทั้งหมดมานานแล้ว ทว่าบิดาไม่มีทางพูดเรื่องไร้ประโยชน์เหล่านี้กับตนแน่นอน ถ้าเช่นนั้นความลี้ลับอยู่ที่ตรงใด?
ผู้เฒ่าไม่ได้ทำให้อู๋อี้ที่เป็นหนึ่งในทายาทซึ่งเหลืออยู่อีกไม่มากลำบากใจนานนัก “ความมหัศจรรย์นั้นอยู่ที่คำคำเดียว กลับคืน”
ผู้เฒ่ายื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาดวงกลมหนึ่งวงกลางอากาศ
อู๋อี้จมสู่ภวังค์ของการครุ่นคิด
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เจ้าอายุยังน้อย มีประสบการณ์ทางโลกไม่มาก อย่าว่าแต่ทัศนียภาพของเมื่อสามพันปีก่อนเลย แม้แต่เมื่อหมื่นปีก่อน หากพ่อไม่เล่าให้เจ้าฟัง เจ้าจะไปหาคำตอบมาจากที่ไหน”
อู๋อี้สีหน้าเคร่งเครียด รู้ว่าบิดากำลังมอบโอกาสในการบรรลุมรรคาให้แก่ตน!
ขอบเขตโอสถทองของนางหยุดนิ่งไม่ขยับเคลื่อนมาสามร้อยกว่าปีแล้ว วิชานอกรีตที่สามารถทำให้ผู้ฝึกตนเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดได้นั้น ในฐานะที่นางเป็นทายาทของเผ่าพันธุ์เจียวหลง เมื่อฝึกฝนมันขึ้นมา ไม่เพียงแต่ไม่เหนื่อยน้อยได้ผลสำเร็จมาก กลับกันยังมีแต่อุปสรรคติดขัด กว่าจะอาศัยความพยายามมุมานะจนเลื่อนเป็นโอสถทองขั้นสูงสุดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าร้อยกว่าปีหลังจากครั้งนั้นเป็นต้นมา คอขวดของโอสถทองที่ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยก็ทำให้นางสิ้นหวังยิ่งนัก
ผู้เฒ่าเงยหน้ามองม่านฟ้า “เจ้าไม่สงสัยบ้างเลยหรือว่าคนธรรมดามากมายที่อยู่ในสามลัทธิ เมธีร้อยสำนักและสามใต้หล้าของทุกวันนี้ มาจากที่ไหน? แล้วทำไมถึงต้องมา? สุดท้ายกลายมาเป็นเจ้าของใต้หล้าได้อย่างไร? อืม ข้อสุดท้ายนี่ในป่าเขามีข่าวลืออยู่มากมาย บ้างก็อยู่ใกล้ความจริง บ้างก็อยู่ไกลห่างออกไป เจ้าอาจจะพอเข้าใจเรื่องวงในส่วนหนึ่งได้คร่าวๆ”
อู๋อี้พยักหน้ารับ
เมื่อสามพันปีก่อน มังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายของโลกหนีออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อาศัยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่สามารถควบคุมชะตาน้ำในตอนนั้นเลือกไปขึ้นฝั่งที่นครมังกรเฒ่าทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป ระหว่างนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงร่วงลงไปยังใต้ผืนแผ่นดินใหญ่ ลอดทะลุทะลวงอยู่ใต้ดินจนเกิดเป็นเส้นทางมังกรเดินสายหนึ่ง จนกระทั่งถูกผู้ฝึกตนใหญ่ไม่ทราบชื่อแซ่คนหนึ่งใช้วิชาสยบขุนเขาซึ่งในปัจจุบันหายสาบสูญไปแล้วกำราบ จำต้องแหวกทะลุดินออกมา ก่อนจะตาย มังกรที่แท้จริงตัวนั้นเลือกทิ้งกายลงใกล้กับบริเวณของถ้ำสวรรค์หลีจูที่ปรากฎในภายหลัง แล้วก็ตายไปทั้งอย่างนั้น ผู้ฝึกตนใหญ่ใช้เวทลับสร้างถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้นขึ้นมา มันจึงเป็นดั่งไข่มุกเม็ดหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือราชวงศ์ต้าหลี
ผู้เฒ่าถอนหายใจ “ความสามารถในการตื่นรู้ของเจ้านี้ ช่างย่ำแย่ซะจริง”
อู๋อี้รู้สึกน้อยใจนิดๆ
ผู้เฒ่าโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เปลี่ยนจวนจื่อหยางให้กลายเป็นฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งในฉับพลัน แล้วจึงหยิบเอาเรือตระกูลเซียนลำเล็กที่ปีนั้นเขาเคยล่องเรือไปเยือนม่านฟ้าดาวดารดาษออกมา ก้าวขึ้นไปในเรือไม้ก่อน บอกเป็นนัยให้อู๋อี้ก้าวตามมา แล้วถึงกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเคยปรากฏขึ้นในโลก คืออะไร?”
อู๋อี้กล่าวอย่างขลาดๆ “บรรพจารย์ของสามลัทธิ? แล้วก็ยังมีเหล่าผู้อาวุโสใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่ไม่ยินดีเผยกายบนโลก? ฝ่ายแรกขอแค่อยู่ในฟ้าดินของตัวเองก็จะไม่ต่างจากเทพเทวดาบนสรรค์ ส่วนฝ่ายหลัง ถึงอย่างไรก็หลุดพ้นจากขอบเขตของการแบ่งแยกระดับสูงต่ำทั้งหลายไปแล้ว และก็มีวิชาเซียนอภินิหารอันน่าเหลือเชื่อ…”
ผู้เฒ่าไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เขาชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่งของลำคลองเถี่ยเชวี่ยนอย่างไม่ใส่ใจ ยิ้มกล่าวว่า “ศาลจีเซียง ศาลเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่ห่างไป ขยับไปไกลอีกนิดก็คือจวนแม่น้ำหันสือของน้องชายเจ้า รวมไปถึงศาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาที่อยู่รอบด้าน มีอะไรที่เหมือนกัน? ช่างเถิด ข้าพูดตรงๆ เลยดีกว่า ด้วยสมองนี้ของเจ้า กว่าเจ้าจะได้คำตอบก็คงต้องสิ้นเปลืองปราญวิญญาณที่ข้าสะสมมาอย่างเสียเปล่า ข้อที่เหมือนกันก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาในสายตาของคนบนโลกเหล่านี้ ขอแค่มีศาลแล้วก็ต้องสร้างร่างทอง ต่อให้ตอนมีชีวิตอยู่คุณสมบัติในการฝึกตนของเจ้าจะย่ำแย่แค่ไหน หากกลายมาเป็นองค์เทพที่มีร่างทองได้ นั่นก็เรียกว่าเดินขึ้นสวรรค์ในก้าวเดียว หลังจากนั้นยังต้องฝึกตนอีกไหม? ก็แค่กินควันธูปเท่านั้น ยิ่งกินมากเท่าไหร่ตบะก็ยิ่งสูง ความเร็วในการเสื่อมสภาพของร่างทองก็ยิ่งช้าลง วิธีนี้กับการฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณคือเส้นทางใหญ่สองเส้น ดังนั้นนี่จึงเรียกว่าเทพเซียนมีความต่าง เมื่อทำได้แล้วค่อยหันกลับมาพูดถึงคำว่ากลับคืนอีกครั้ง เข้าใจแล้วหรือยัง?”
อู๋อี้ส่ายหน้า “ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างสะท้อนใจ “หากวันใดที่เจ้าหายเข้ากลีบเมฆไปก็คงเพราะโง่จนตายแน่ๆ รู้หรือไม่ว่าเหตุใดเพื่อเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดเหมือนกันแล้ว น้องชายของเจ้าถึงได้อำมหิตต่อตัวเองมากกว่าเจ้า ยอมสละวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตมากมายของเผ่าพันธ์เจียวหลง ทำให้ตัวเองกลายเป็นเทพวารีของแม่น้ำสายหนึ่งที่ถูกพันธนาการมือเท้า?”
ดวงตาอู๋อี้เป็นประกาย “หากพวกเราอยาก ‘กลับคืน’ สู่ทารกก่อกำเนิด ก็ต้องกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์?”
ผู้เฒ่าใช้สายตาเวทนามองบุตรสาวคนนี้ เขาเริ่มรู้สึกหมดอารมณ์จะพูดคุย สมกับเป็นไม้ผุที่มิอาจแกะสลักจริงๆ “ทิศทางของน้องชายเจ้านั้นถูกต้องแล้ว เพียงแต่ว่าสุดโต่งเกินไป กลายเป็นว่าตัดขาดมหามรรคาของเผ่าพันธ์เจียวหลงไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นข้าจึงหมดหวังกับเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางมาพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า เจ้าตั้งใจศึกษาวิชานอกรีต ยืมหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยก ก็ถือว่าทำถูกเหมือนกัน เพียงแต่ยังไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เดินยังไม่ไกลมากพอ แต่จะดีจะชั่วเจ้าก็ยังพอมีโอกาสเหลืออีกเสี้ยวหนึ่ง”
ผู้เฒ่ายื่นนิ้วมือข้างหนึ่งออกมาเคาะราวระเบียง “ไม่ใช่สองฝั่ง แต่อยู่ตรงนี้ อยู่ระหว่างเทพและคน นี่จึงจะเป็นรากฐานมหามรรคาที่สอดคล้องกับเผ่าพันธ์เจียวหลงมากที่สุด นี่ก็คือขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของบรรพบุรุษพวกเราเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ช่วงเวลานั้นเจียวหลงปกครองห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทรในใต้หล้า ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ ลำคลอง ลำธาร ทุกสถานที่ที่มีน้ำล้วนเป็นอาณาเขตของพวกเรา เพียงแต่น้องชายของเจ้าฉลาดเกินจนเสียรู้ เข้าใจผิดคิดว่าการ ‘แต่งตั้ง’ ตามระบบที่ถูกต้องของวิถีเทพไม่แตกต่างจากการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ของราชสำนักในทุกวันนี้ คิดอย่างนั้นก็คือไร้ทางเยียวยาแล้ว นี่ทำให้เขาเดินไปบนทางแยกสายนั้น เพียงแต่ทุกวันนี้กฎเกณฑ์ของฟ้าดินเปลี่ยนไป ส่งผลกระทบต่อพวกเรามาก เพราะหายนะนองเลือดของปีนั้น พวกเราจึงถูกมหามรรคาที่มองไม่เห็นรังเกียจเดียดฉันท์ ดังนั้นการเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดจึงลำบากแสนเข็ญ…”
ในที่สุดอู๋อี้ก็อดไม่ไหวถามว่า “ท่านพ่อ ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าควรจะฝึกตนอย่างไรถึงจะเป็นก่อกำเนิดได้ ท่านพูดกับลูกมาตรงๆ เถอะ!”
ผู้เฒ่าหัวเราะ ย้อนถามว่า “เจ้ากับข้าคือพ่อลูกกัน เจ้าก็เลยรู้สึกว่าเจ้าฝึกตน ข้าถ่ายทอดวิชา เป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว?”
อู๋อี้รู้สึกเหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ รู้สึกว่าอีกเดี๋ยวตนต้องเจ็บตัวแน่
แล้วก็จริงดังคาด ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงหยัน “บิดาเมตตาบุตรกตัญญู ความคิดเช่นนี้เป็นลัทธิขงจื๊อที่สอนเจ้า ไม่ใช่พ่อที่สอนเจ้า พ่อไม่เคยคาดหวังว่าลูกหลานจะกตัญญูและนอบน้อมเชื่อฟัง ข้อนี้เจ้าควรจะรู้ชัดเจนดีกว่าพี่น้องชายหญิงที่อยู่ในท้องของพ่อไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าควรจะทำตัวเป็นบุตรสาวอย่างไรจึงจะถูกต้อง?”
อู๋อี้หน้าซีดขาว
ผู้เฒ่าแสยะปากเผยให้เห็นฟันสีขาวหิมะ “ภายในเวลาร้อยปี หากเจ้ายังไม่อาจกลายเป็นก่อกำเนิดได้ ข้าจะกินเจ้าซะ ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะสิ้นเปลืองปราณเจียวหลงของข้าไปเปล่าๆ เห็นแก่ที่เจ้าทำงานได้ดี จะบอกข่าวหนึ่งแก่เจ้า บนร่างของเฉินผิงอันยังมีหินดีงูก้อนที่ก่อตัวขึ้นมาจากแก่นเลือดของมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้าย มีหลายก้อนที่คุณภาพดีเยี่ยม เมื่อเจ้ากินเข้าไปแล้ว แม้จะไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด แต่จะดีจะชั่วก็สามารถยกระดับพลังการต่อสู้ของเจ้าได้อีกขั้นหนึ่ง เมื่อถึงวันที่ข้ากินเจ้าลงท้อง เจ้าก็สามารถดิ้นรนขัดขืนได้มากหน่อย เป็นอย่างไร พ่อเมตตาต่อเจ้ามากเลยใช่ไหม?”
อู๋อี้ที่มีเรือนกายสูงเพรียวตัวสั่นเทิ้ม
ผู้เฒ่าพลันพูดอย่างสะท้อนใจว่า “เจ้ากินเผ่าน้ำที่กลายเป็นภูตจนอิ่มท้อง ส่วนข้าก็กินพวกเจ้า รวบรวมโชคชะตาเอาไว้ด้วยกัน ชุยตงซานที่ได้ครอบครองคราบร่างบรรพกาลก็ย่อมสามารถกินข้าได้ จะทำอย่างไรดี?”
ผู้เฒ่าส่งยิ้มให้อู๋อี้ “ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าตบะสูง ความสามารถมาก นี่ต่างหากที่ร้ายกาจอย่างแท้จริง ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าภูเขาลูกหนึ่งเสมอ ฉะนั้นแล้วพวกเราจึงยังต้องขอบคุณกฎที่เหล่าอริยะลัทธิขงจื๊อตั้งขึ้น ไม่อย่างนั้นเจ้ากับน้องชายคงกลายเป็นอาหารในจานของพ่อนานแล้ว ส่วนข้าก็น่าจะกลายเป็นของในกระเป๋าของชุยตงซาน อย่ามองว่าแต่ละแคว้นที่อยู่ตีนเขาของใต้หล้าในทุกวันนี้ตีกันไปตีกันมา พรรคบนภูเขาก็แย่งชิงกันไม่หยุด เมธีร้อยสำนักเองก็ปัดแข้งปัดขากัน แต่นี่สมควรใช้คำว่ากลียุคแล้วหรือ? ฮ่าๆ ไม่รู้ว่าหากเหตุการณ์ของเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนปรากฎขึ้นอีกครั้ง ทุกคนที่อยู่ในยุคปัจจุบันจะพากันวิ่งไปที่ศาลบุ๋นของแต่ละเขตการปกครองเพื่อโขกหัวคำนับหรือไม่?”
สำหรับ ‘เรื่องใหญ่’ พวกนี้ อู๋อี้กลับไม่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งอะไรด้วยนัก
จิตใจของนางยังคงพะวงถึงวิธีการเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด
ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “เจ้ามอบของอะไรสี่ชิ้นให้เฉินผิงอัน?”
อู๋อี้ตอบไปตามตรง “เลือกอย่างละชิ้นจากแต่ละชั้น หนึ่งคือเหล็กอุกกาบาตที่ฟูมฟักท่ามกลางเสียงฟ้าร้องแรกในฤดูใบไม้ผลิ แล้วหล่นลงมาในโลกมนุษย์ ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ หนักหกจิน ชิ้นหนึ่งคือชุดคลุมอาคมชั้นเยี่ยมที่ทำจากหญ้าวสันต์เป็นเสื้อตัวบางๆ ยันต์ ‘คนงามหนังจิ้งจอก’ หกแผ่นที่สกุลซวี่นครลมเย็นทำขึ้นเป็นพิเศษ เมล็ดบ๊วยสีเขียวชิ้นหนึ่งที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น พอฝังไว้ใต้ดิน ระยะเวลาหนึ่งปีก็เติบโตกลายเป็นต้นหยางเหมยที่มีอายุยาวนานเป็นพันปี ทุกๆ ครั้งที่ถึงวันเปลี่ยนยี่สิบสี่ฤดูกาลก็จะแผ่ปราณวิญญาณออกมา ก่อนหน้านี้พรรคหลิงอวิ้นได้ส่งบรรพจารย์คนหนึ่งมา หมายจะทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อไป แต่ข้าก็ตัดใจขายไม่ลง”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “แรงไฟกำลังพอดี” (อุปมาถึงความชำนาญ/เปรียบเปรยถึงช่วงเวลาสำคัญที่กำลังคับขัน)
ผู้เฒ่าพลันหัวเราะ “อย่าทิ้งสายตาให้คนตาบอดดูอีกเลย องค์เทพขุนเขาเหนือเว่ยป้อย่อมต้องอธิบายให้เฉินผิงอันฟังอย่างชัดเจน แต่ก่อนที่จะเป็นเช่นนั้น…เฉินผิงอันต้องเดินทางไปให้ถึงภูเขาลั่วพั่วเสียก่อน นี่ก็คือผลลัพธ์จากการประลองฝีมือระหว่างราชครูชุยฉานกับชุยตงซาน”
อู๋อี้ฟังความนัยที่น่าตะลึงในคำพูดนี้ออก ชุยฉานกับชุยตงซานประลองฝีมือกัน? แต่นางยังคงยึดติดอยู่กับคำกล่าวที่ว่า ‘ระหว่างคนและเทพ’ จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปการวิงวอนขอร้อง “ท่านพ่อ หากข้าสามารถเลื่อนขั้นสู่ก่อกำเนิดได้จะไม่ยิ่งช่วยท่านพ่อทำธุระได้มากกว่าเดิมหรอกหรือ?”
ผู้เฒ่ากลับเก็บเรือลำเล็ก สลายวิชาอภินิหารฟ้าดินขนาดเล็กทิ้งไป ทะยานร่างวูบย้อนกลับไปยังภูเขาพีอวิ๋นของต้าหลี
ทิ้งอู๋อี้ที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มและหวาดกลัวไว้เพียงลำพัง
ระยะเวลาร้อยปี
คืออายุขัยยาวนานที่คนธรรมดาปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน แต่ในสายตาของอู๋อี้ จะนับเป็นอะไรได้?
……
เทพลำคลองศาลจีเซียงกระตือรือร้นเกินความจำเป็นมาตลอดทาง เฉินผิงอันจึงได้แต่เอาจูเหลี่ยนออกมาต้านรับหายนะครั้งนี้แทน
เพียงไม่นานจูเหลี่ยนก็เรียกขานกับเทพวารีลำคลองเถี่ยเชวี่ยนเป็นพี่เป็นน้อง พอไปถึงท่าเรือ คนทั้งสองต่างก็อาลัยอาวรณ์ที่จะต้องแยกจากกัน เทพลำคลองเรียกจูเหลี่ยนว่าพี่ใหญ่ได้อย่างคล่องปากและจริงใจยิ่ง
เทพลำคลองขับเรือข้ามฟากกลับไป เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนดึงสายตากลับมา เฉินผิงอันยิ้มถามว่า “คุยอะไรกันถึงได้ถูกคอกันขนาดนี้”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “ผู้ชายยังจะคุยอะไรกันได้อีกเล่า ก็เรื่องผู้หญิงไง พูดถึงฮูหยินเซียวหลวนนั่นมาเสียครึ่งทาง”
เฉินผิงอันจึงคร้านจะพูดอะไรอีก
จูเหลี่ยนพลันกล่าวด้วยสีหน้าเขินอาย “นายน้อย วันหน้าหากเจอเหตุการณ์ที่ยุทธภพอันตรายอีก ขอให้บ่าวเฒ่าช่วยแบ่งเบาภาระได้หรือไม่? บ่าวเฒ่าเองก็ถือว่าเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพแล้ว ไม่กลัวที่จะฝ่าลมฝ่าคลื่นมรสุมมากที่สุด องค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำอย่างฮูหยินเซียวหลวนนี้ บ่าวเฒ่ากลับไม่กล้าคาดหวังว่าจะคว้ามาไว้ในมือได้สำเร็จ แต่ขอแค่ปลดปล่อยฝีมืออย่างเต็มที่ งัดเอาความมีเสน่ห์น้อยนิดของปีนั้นออกมาจากซอกเล็บ สาวใช้ที่อยู่ข้างกายฮูหยินเซียวหลวน และยังมีพวกผู้ฝึกตนหญิงของจวนจื่อหยางพวกนั้น อย่างมากสุดก็แค่สามวัน…”
เฉินผิงอันรีบตัดบทคำพูดของจูเหลี่ยน ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็ยังอยู่ข้างกาย อายุของแม่หนูน้อยยังไม่มาก แต่กลับจะยิ่งจดจำคำพูดเหล่านี้ได้ดีเป็นพิเศษ ตั้งใจยิ่งกว่ายามเรียนหนังสือเสียอีก
จูเหลี่ยนยังคงไม่ยอมแพ้ พูดพึมพำว่า “นายน้อย น้ำและดินของสถานที่หนึ่งเลี้ยงผู้คนแบบหนึ่ง ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนอันเป็นบ้านเกิดคงต้องมีสาวงามมากมายดุจก้อนเมฆเลยกระมัง?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “หากพูดถึงเรื่องหน้าตาแล้ว ดูเหมือนจะไม่ต่างจากพวกชาวบ้านในเมืองเล็กสักเท่าไหร่”
จูเหลี่ยนทอดถอนใจ “ความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบแท้ๆ”
แต่เพียงไม่นานจูเหลี่ยนก็กล่าวว่า “บ่าวเฒ่าบังอาจพูดคุยถึงเรื่องบางอย่างของซุนเติงเซียนกับน้องเล็กเทพลำคลองโดยพลการ คาดว่าวันหน้าต่อให้ซุนเติงเซียนไปเจอปัญหาในแคว้นหวงถิง ขอแค่น้องเล็กเทพลำคลองที่เชี่ยวชาญการศึกษาค้นคว้าได้ยินเข้า ไม่แน่ว่าอาจจะพอช่วยซุนเติงเซียนได้บ้าง เพียงแต่ว่านายน้อยเองก็ต้องเตรียมตัวให้ดี ต่อให้อยู่ห่างไกล มีพันภูเขาหมื่นแม่น้ำกางกั้น เทพลำคลองศาลจีเซิงก็คงยังไปขอความดีความชอบจากนายน้อยอยู่บ่อยครั้ง”
เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้จูเหลี่ยน “เรื่องนี้ทำได้ดีเยี่ยม”
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างสงสัย “เหตุใดนายน้อยถึงได้เลื่อมใสซุนเติงเซียนมากขนาดนี้?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่ลังเล “เพราะเขาคือจอมยุทธใหญ่อย่างไรล่ะ พวกเราท่องอยู่ในยุทธภพ ไม่เลื่อมใสจอมยุทธใหญ่ หรือจะให้ไปเลื่อมใสโจรเด็ดบุปผาเล่า”
จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นายน้อย ข้าจูเหลี่ยนไม่ใช่โจรเด็ดบุปผานะ! ข้าเป็นคนมีเสน่ห์โด่งดัง…”
ประโยคเดียวของเฉินผิงอันก็ทำให้จูเหลี่ยนชะงักได้ทันที “เจ้าโม้มากกว่ากระมัง”
เผยเฉียนโคลงศีรษะ พูดราดน้ำมันลงบนกองเพลิงด้วยน้ำเสียงเลียนแบบเฉินผิงอัน “เจ้าโม้มากกว่ากระมัง”
จูเหลี่ยนทำท่ายกเท้า ทำเอาเผยเฉียนตกใจรีบวิ่งหนีไปไกล
เฉินผิงอันยังคงไม่เลือกด่านเหย่ฟูเป็นเส้นทางเข้าอาณาเขตเฉกเช่นครั้งแรกที่เดินทางกลับจากต้าสุยไปถึงบ้านเกิด
ไปถึงอำเภอเฟิงหย่าที่อยู่ริมชายแดนแคว้นหวงถิงอีกครั้ง เมื่อมาถึงที่นี่ก็หมายความว่าอยู่ห่างจากเขตการปกครองหลงเฉวียนไม่ถึงหกร้อยลี้
เมื่อขยับเดินหน้าไปอีกนิดก็จะผ่านสะพานไม้เลียบติดหน้าผาระยะทางยาวไกลเส้นหนึ่ง ครั้งนั้นข้างกายมีเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู ท่ามกลางลมหิมะหวีดหวิว เฉินผิงอันหยุดพักเท้าก่อไฟ แล้วก็ได้พบกับนายบ่าวคู่หนึ่งที่ผ่านทางมาโดยบังเอิญ
ยิ่งเฉินผิงอันใคร่ครวญถึงสีหน้าอันอบอุ่นและบุคลิกอันสุขุมเยือกเย็นของบุรุษผู้นั้นก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นยอดฝีมือที่ฝีมือสูงส่งมากคนหนึ่ง
ผ่านอำเภอเฟิงหย่าไป ท่ามกลางแสงสนธยา คนทั้งกลุ่มก็มาถึงสะพานไม้เลียบหน้าผาที่คุ้นเคยดีเส้นนั้น
เฉินผิงอันเลือกตำแหน่งที่กว้างขวาง คิดจะพักแรมที่นี่ กำชับเผยเฉียนว่าตอนที่ฝึกวิชากระบี่มารคลั่งอย่าได้อยู่ใกล้กับขอบของสะพานไม้มากนัก
เผยเฉียนถามอย่างใคร่รู้ “ถึงอย่างไรพ่อครัวเฒ่าก็บินได้ ต่อให้ข้าตกลงไปโดยไม่ทันระวัง เขาก็คงช่วยข้าได้กระมัง?”
เฉินผิงอันตอบอย่างเรียบง่าย “คิดจะบังคับลมทะยานไกลก็บอกให้จูเหลี่ยนช่วยเจ้าได้โดยตรง แต่เวลาฝึกกระบี่แล้วต้องระวัง มันเป็นคนละเรื่องกัน”
เผยเฉียนร้องอ้อรับหนึ่งที
เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่า แล้วก็เริ่มฟาดฟ้าฟาดดินฟาดภูตผีปีศาจของตัวเองไป
แต่ละครั้งทำเอาจูเหลี่ยนเห็นแล้วแสบตายิ่งนัก
แต่สือโหรวกลับชอบดูการเล่นสนุกของเผยเฉียน จึงนั่งลงบนก้อนหินก้อนหนึ่ง ชื่นชมวิชากระบี่ของเผยเฉียน
ฝึกฝนอย่างยากลำบากไปคำรบหนึ่งจนเหงื่อแตกเต็มตัว เผยเฉียนถึงวางไม้เท้าเดินป่าลง หยิบหีบไม้ไผ่ของอาจารย์มาวางตั้งขวาง ทำเป็นโต๊ะหนังสือ พอหยิบทรัพย์สมบัติของตัวเองออกมาแล้วก็ฉวยโอกาสที่ยังมีแสงอาทิตย์อัสดงเสี้ยวสุดท้าย นั่งลงตรงนั้นแล้วเริ่มคัดตัวอักษร
คัดตัวอักษรเสร็จ จูเหลี่ยนก็หุงข้าวเสร็จพอดี เผยเฉียนและสือโหรวหยิบชามและตะเกียบออกมา ส่วนจูเหลี่ยนก็หยิบจอกเหล้ามาสองใบ เฉินผิงอันเอาเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ คนทั้งสองจะจิบเหล้าเบาๆ เป็นบางครั้ง
เผยเฉียนกินข้าวถ้วยใหญ่หมดไปหนึ่งถ้วยอย่างรวดเร็วปานพายุลมกรด เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนเพิ่งจะเริ่มดื่มจอกที่สอง นางก็ยิ้มตาหยีถามเฉินผิงอันว่า “อาจารย์ ขอข้าดูกล่องไม้จื่อถานใบเล็กนั่นหน่อยได้ไหม หากของข้างในหายไป พวกเราก็จะได้รีบย้อนกลับไปตามหาทางเดิมไงล่ะ”
เฉินผิงอันซดเหล้าดังซวบ ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “ไปดูเองเลย”
เผยเฉียนจึงหยิบกล่องไม้ใบเล็กงดงามออกมาจากในหีบไม้ไผ่ กอดมันมานั่งขัดสมาธิตรงหน้าเฉินผิงอัน พอเปิดออกดูก็ไล่นับไปทีละชิ้น ก้อนเหล็กขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือแต่กลับหนักอึ้ง เสื้อสีเขียวตัวหนึ่งที่ทบซ้อนกันแล้วก็ยังหนักไม่ถึงสองตำลึง ยันต์ที่วาดเป็นรูปสาวงามหนึ่งปึก นางทำท่าพลิกไปพลิกมาอย่างละเอียดราวกับกลัวว่าพวกมันจะมีขาวิ่งหนีไป แล้วจู่ๆ เผยเฉียนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึงว่า “อาจารย์ อาจารย์ เม็ดบ๊วยนั่นหายไปแล้ว! จะทำอย่างไรดีๆ จะให้ข้าย้อนกลับไปหาดูดีไหม?”
จูเหลี่ยนกลอกตามองบน
สือโหรวหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ นังหนูนี่เวลาหลอกคนอื่น ช่วยเก็บซ่อนรอยยิ้มในดวงตาให้ดีหน่อยได้ไหม?
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที “ไม่เป็นไร ตอนนี้อาจารย์มีเงิน หายแล้วก็หายไปเถอะ”
เผยเฉียนส่งเสียงหัวเราะดังฮิ พลันพลิกข้อมือ แบมือออกแล้วกล่าวว่า “อาจารย์ ดีใจหรือไม่ เมื่อครู่นี้พวกเราต่างก็คิดว่ามันหายไปแล้ว ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าตอนนี้พวกเรามีเม็ดบ๊วยเพิ่มขึ้นมาอีกเม็ดหนึ่งแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เผยเฉียนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อาจารย์ ท่านนี้โง่จริงๆ มันไม่ได้หายไปสักหน่อย แค่นี้ท่านก็มองไม่ออกหรือ”
เฉินผิงอันดีดหน้าผากเผยเฉียนหนึ่งที
เผยเฉียนไม่สะทกสะท้าน ทำท่ากดลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน “ไม่เจ็บเลยสักนิด!”
จูเหลี่ยนอดทนมานานจนทนไม่ไหวอีกต่อไป ดีดนิ้วกลางอากาศหนึ่งที
ความเจ็บมาเยือนกะทันหันจนเผยเฉียนไม่ทันได้ตั้งตัว นางเก็บเม็ดบ๊วยใส่กลับไว้ในกล่องใบเล็กแล้วรีบก้มตัวย้ายกล่องไปวางด้านข้าง จากนั้นก็ยกสองมือกุมหัว ร้องไห้จ้าเสียงดัง
เฉินผิงอันหัวเราะปากกว้าง
พอเห็นว่าอาจารย์ไม่สงสารนาง เผยเฉียนที่แอบมองอาจารย์ผ่านร่องนิ้วก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
เฉินผิงอันจึงรีบเก็บรอยยิ้ม ถามว่า “อยากเห็นอาจารย์ขี่กระบี่เดินทางไกลไหม?”
มุมปากเผยเฉียนเบะลง พูดอย่างน้อยใจ “ไม่อยาก”
เฉินผิงอันได้แต่ยิ้มบางๆ
เผยเฉียนพลันคลี่ยิ้มกว้างสดใส “อยากเห็นมากเลยล่ะ”
เฉินผิงอันจึงปลดเจี้ยนเซียนอาวุธกึ่งอาคมที่อยู่ด้านหลังลง แต่ไม่ได้ชักกระบี่ออกจากฝัก พอยืนขึ้นแล้วก็หันหน้าออกไปนอกหน้าผา จากนั้นก็ขว้างมันออกไป
เฉินผิงอันก้าวเร็วๆ ไปเบื้องหน้า ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง พุ่งตัวออกไปเหยียบลงบนกระบี่ยาวเล่มนั้นแล้วทะยานจากไปไกล
เผยเฉียนอ้าปากกว้าง รีบลุกขึ้นยืน วิ่งมาที่หน้าผา เบิกตากว้างมองแผ่นหลังสง่างามที่กำลังขี่กระบี่นั่น
จูเหลี่ยนกับสือโหรวย่อมรู้ว่ากลเม็ดที่เฉินผิงอันใช้ก็คือให้กระบี่บินชูอีกับสืออู่ซ่อนตัวอยู่ด้านใต้เจี้ยนเซียนเล่มนั้น
เผยเฉียนตะโกนเสียงดัง “อาจารย์ อย่าบินไปไกลนักนะ”
ท่ามกลางลมภูเขา เฉินผิงอันงอเข่าน้อยๆ เหยียบอยู่บนกระบี่เจี้ยนเซียน จิตของเขาเชื่อมโยงกับกระบี่บิน ปลายฝักของกระบี่เจี้ยนเซียนที่ตวัดขึ้นด้านบนเล็กน้อยพลันแหงนทะยานขึ้นสูง เฉินผิงอันและกระบี่ยาวใต้ฝ่าเท้าแหวกทะเลเมฆชั้นหนึ่ง แล้วก็ต้องหยุดลอยนิ่งอย่างอดไม่ได้ ใต้ฝ่าเท้าก็คือทะเลเมฆสีทองท่ามกลางแสงสุดท้ายที่เหลืออยู่ มองไปเห็นแต่ความกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ระหว่างฟ้าดินมีเพียงความงดงามที่มิอาจบรรยายได้
เฉินผิงอันถึงได้ค้นพบว่าที่แท้สิ่งที่มองเห็นระหว่างการที่ตัวเองขี่กระบี่ท่องเที่ยว กับการที่โดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนก้มหน้าลงมองทะเลเมฆ คือทัศนียภาพและความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เฉินผิงอันมองทะเลเมฆอยู่นาน เมื่อดวงอาทิตย์เหมือนจมหายลงไปในมหาสมุทร แสงสุดท้ายที่เหลือก็ค่อยๆ สลายหายไป สุดท้ายเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนกระบี่เล่มยาวหลับตาลง กลั้นหายใจทำสมาธิ ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
เฉินผิงอันเก็บท่าเจี้ยนหลู ทันใดนั้นความรู้สึกบางอย่างพลันเกิดขึ้นในใจ เขาพึมพำว่า “เฉาสือฝ่าทะลุขอบเขตอีกแล้วหรือ?”