Skip to content

Sword of Coming 426

บทที่ 426 กลับมาท่องเที่ยวที่เดิม น้ำใสลมเย็น

จูเหลี่ยนค้นพบว่าเมื่อเฉินผิงอันขี่กระบี่กลับมาที่สะพานไม้เลียบหน้าผา บนร่างของเขากลับให้ความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างออกไป

นั่นคือความรู้สึกที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง

จูเหลี่ยนเองก็อยู่กับเฉินผิงอันมานานแล้วถึงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเบาบางอันมหัศจรรย์นี้ มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับ…ลมฤดูใบไม้ผลิพัดให้ผิวน้ำในบ่อเกิดระลอกคลื่น

เฉินผิงอันบอกให้เผยเฉียนที่รอเขาอยู่นานไปนอนก่อน ก่อนจะเรียกให้จูเหลี่ยนมาดื่มด้วยกันอีกครั้งอย่างที่หาได้ยาก คนทั้งสองนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงริมหน้าผาด้านนอกสะพานไม้ จูเหลี่ยนยิ้มถามว่า “มองดูเหมือนว่านายน้อยจะอารมณ์ดี? เพราะความรู้สึกที่ได้ขี่กระบี่เดินทางไกลยอดเยี่ยมมากเป็นพิเศษ?”

เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้ายังจำเฉาสือได้ไหม?”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ชื่อนี้ บ่าวเฒ่าจะลืมได้อย่างไร ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นายน้อยแพ้เขาติดต่อกันตั้งสามครั้ง คนที่ทำให้นายน้อยยอมรับความพ่ายแพ้ได้ทั้งกายทั้งใจ บ่าวเฒ่าหวังจะให้ตัวเองได้พบหน้าเขาตั้งแต่พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ จากนั้นก็ต่อยเขาให้ตายด้วยหมัดสองหมัด วันหน้าเขาจะได้ไม่ต้องแย่งชิงโชคชะตาบู๊ของใต้หล้าไปจากนายน้อย ถ่วงรั้งไม่ให้นายน้อยเลื่อนสู่ขอบเขตสิบเอ็ด ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ในตำนาน”

เฉินผิงอันไม่ได้ถือสาคำพูดประจบเอาใจและคำหยอกล้อเหล่านี้ของจูเหลี่ยน เขาดื่มเหล้าเนิบนาบพลางกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่มีความเป็นไปได้ว่าเฉาสือจะฝ่าทะลุขอบเขตอีกครั้งแล้ว”

จูเหลี่ยนถามอย่างประหลาดใจ “แล้วทำไมนายน้อยถึงยังรู้สึกดีใจ? เก้าอี้อันดับหนึ่งของใต้หล้านี้ไม่อาจนั่งกันได้สองคน แน่นอนว่าหากจะพูดเรื่องถึงนี้ตอนนี้ ระหว่างนายน้อยกับเฉาสือก็นับว่ายังเร็วไปนัก”

เฉินผิงอันจิบเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คำเล็กๆ ถามว่า “เจ้าว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างพวกเราฝึกหมัดเรียนวรยุทธกันไปเพื่ออะไร?”

จูเหลี่ยนยิ้มตอบ “แน่นอนว่าเพื่อให้หลุดพ้น ได้รับอิสระอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดที่อยากทำก็ล้วนทำได้สำเร็จ เมื่อเจอเรื่องที่ไม่เต็มใจจะทำก็สามารถพูดคำว่า ‘ไม่’ ได้ อันดับหนึ่งในใต้หล้าทุกคนในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว แม้จะบอกว่าต่างคนต่างมีสิ่งที่ตัวเองแสวงหา แตกต่างกันออกไป แต่มองจากทิศทางคร่าวๆ แล้วกลับเหมือนกัน สุยโย่วเปียน หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยน และข้าจูเหลี่ยน ล้วนเป็นเหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรพื้นที่มงคลดอกบัวก็ยังเป็นแค่สถานที่เล็กๆ ทุกคนจึงสัมผัสถึงความเป็นอมตะมิดับสลายได้ไม่ลึกซึ้งนัก ต่อให้พวกเราจะเป็นคนที่ยืนในจุดที่สูงที่สุดของใต้หล้าแล้ว แต่ก็ยังไม่คิดไปทางนั้นให้มากความ เพราะพวกเราไม่เคยรู้ว่าที่แท้ยังมี ‘บนฟ้า’ ใต้หล้าไพศาลแข็งแกร่งกว่าพวกเรามากเกินไป ในข้อของการเยี่ยมเยียนเซียนขอความรู้ เว่ยเซี่ยนเดินไปได้ไกลที่สุด ก็คนเป็นฮ่องเต้นี้นะ ถูกขุนนางและชาวบ้านแซ่ซ้องอวยพรให้อายุยืนหมื่นปีนานวันเข้า ก็ย่อมต้องคิดอยากจะมีชีวิตยืนยาวหมื่นปี หมื่นๆ ปีบ้างล่ะ”

เฉินผิงอันชี้มาที่ตัวเอง “เรื่องราวบางอย่างในอดีต ข้าไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังมากนัก ช่วงแรกเริ่มสุดที่ข้าฝึกหมัดก็เพราะถูกคนสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะ จำเป็นต้องอาศัยการฝึกหมัดมาต่อชีวิต ก็เลยยืนหยัดฝึกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสะพายกระบี่เล่มที่หร่วนฉงหลอมเดินไปทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวเพื่อนำมันไปส่งให้กับแม่นางหนิงตามสัญญา รอจนข้าได้ออกเดินทางไกลแสนไกล ในที่สุดก็ไปถึงภูเขาห้อยหัว ข้าก็แทบจะฝึกหมัดครบหนึ่งล้านครั้งแล้ว อันที่จริงตอนนั้นลึกๆ ในใจของข้าเกิดความกังขาขึ้นมานิดๆ ในเมื่อไม่จำเป็นต้องฝึกหมัดเพื่อต่อชีวิตอีกแล้ว และข้าเฉินผิงอันก็ไม่ใช่คนที่ชอบช่วงชิงความเป็นที่หนึ่งไปซะทุกเรื่อง ถ้าอย่างนั้นอันต่อไปควรจะทำอย่างไร?”

“กลายเป็นจูเหอคนต่อไป? ไม่ยากแล้ว หรือว่าจะเป็นซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ยคนถัดไป ก็ไม่ถือว่ายาก หรือว่าจะยังก้มหน้าก้มตาฝึกหมัดอีกหนึ่งล้านครั้ง นั่นก็น่าจะพอมีหวังว่าจะมีมาดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองแล้วไม่ใช่หรือ? ต้องรู้ว่าตอนนั้นข้าอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ที่นั่นคือสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากที่สุดในใต้หล้า ห่างจากสถานที่ที่ข้าพักอาศัยไปไม่กี่ก้าว มีกระท่อมหลังหนึ่งที่ในนั้นมีผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่มีประสบการณ์มากที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่อาศัยอยู่ ใต้ฝ่าเท้าของข้ามีตัวอักษรที่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่สลักไว้ แล้วก็มีตัวอักษรที่อาเหลียงสลักไว้ เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากเปลี่ยนไปฝึกกระบี่หรือ? อยากมากเลยล่ะ”

“ดังนั้นตอนนั้นข้าถึงได้รีบร้อนอยากจะสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ขนาดนั้น ถึงขั้นเคยคิดว่า ในเมื่อไม่ควรทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นก็ควรล้มเลิกการฝึกหมัด พยายามอย่างเต็มที่เพื่อกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ ฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมา สุดท้ายกลายเป็นเซียนกระบี่ กลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่อย่างสมชื่อดีหรือไม่? แน่นอนว่าข้าอยากทำมาก เพียงแต่คำพูดแบบนี้ ข้าไม่กล้าพูดกับแม่นางหนิงก็เท่านั้น เพราะกลัวนางจะรู้สึกว่าข้าไม่ใช่คนที่มุ่งมั่นตั้งใจ ขนาดกับการฝึกหมัดยังทำเช่นนี้ คิดจะเลิกก็เลิก ถ้าอย่างนั้นกับนางก็จะเป็นเหมือนกันหรือไม่?”

จูเหลี่ยนดื่มเหล้าอึกใหญ่ “บ่าวเฒ่ารู้จักกับนายน้อยช้าเกินไป ถึงขนาดพลาดรสชาติชีวิตของเด็กหนุ่มที่วันหน้านายน้อยอาจจะสัมผัสไม่ได้อีกครั้งไป ต้องดื่มเหล้าดับความเสียดายในใจอึกใหญ่”

เฉินผิงอันแหงนหน้า สองแขนกอดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พลางตบเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนั้นข้าได้พบกับเฉาสือ ดังนั้นข้าจึงซาบซึ้งในตัวเขามาก เพียงแต่ไม่อาจพูดออกมาก็เท่านั้น”

เฉินผิงอันชี้มาที่ตัวเองอีกครั้ง แล้วค่อยชี้ไปยังหน้าผาของภูเขาสูงชันลูกที่อยู่ตรงข้ามกับสะพานไม้ “เฉาสืออาจจะอยู่ที่นั่น ข้าห่างชั้นกับเขาไกลนัก แม้ข้าไม่ได้ตั้งใจแสวงหาอันดับหนึ่งของขอบเขตวรยุทธอะไร แต่ข้าก็ไม่ใช่คนโง่ ใครบ้างที่ไม่เต็มใจให้ตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง? แน่นอนว่าต้องอยากเป็นอันดับหนึ่ง ข้าก็แค่…เต็มใจที่จะเป็นช้าสักหน่อย ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนราวระเบียงของหอเก็บสมบัติจวนจื่อหยาง ข้าใคร่ครวญถึงคำว่าช้าไปเรื่อยเปื่อย แต่ก็ทำให้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ขึ้นอีกไม่น้อย หากย้อนสืบสาวกันไปที่ต้นกำเนิดแล้ว อันที่จริงนับตั้งแต่ตอนที่ข้าขึ้นรูปเครื่องปั้นเมื่อครั้งยังเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร อันที่จริงก็ได้สัมผัสกับคำนี้แล้ว ผู้เฒ่าเหยารังเกียจที่ข้าไม่มีพรสวรรค์ จึงไม่เคยเต็มใจจะสอนหลักการแก่ข้า ถึงขั้นไม่ชอบพูดคุยกับข้าด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นข้าเห็นการเผาเครื่องปั้นเป็นรากฐานในการมีชีวิตอยู่ต่อไป ควรจะทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อผู้เฒ่าเหยาไม่สอน ถ้าอย่างนั้นข้าก็คอยแอบฟังเวลาที่เขาพูดคุยกับหลิวเสี้ยนหยางหรือกับลูกศิษย์คนอื่นอยู่หลายๆ ครั้ง ผู้เฒ่าเหยาบอกกับพวกเขาว่าใจต้องนิ่ง มือถึงจะมั่นคง ถึงจะเปลี่ยนจากเชื่องช้าไร้ข้อผิดพลาดไปเป็นว่องไวแต่ถูกต้อง ตามหลักแล้ว ดูเหมือนข้าก็ควรจะรู้หลักการนี้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าก็จำได้แม่นไม่ใช่หรือ? อันที่จริงกลับยังไม่ใช่ มีเพียงตอนที่ข้าได้ออกเดินทางไกล ได้พบเห็นผู้คนมากมาย หลักการเหตุผลหลายอย่างที่ไม่มีเท้าให้เดินหนีถึงจะเป็นอย่างที่เจ้าขุนเขาเหมาว่าไว้ นั่นคือเมื่ออยู่ในใจแล้ว หลักการเหตุผลนั้นถึงจะกลายมาเป็นของตัวเอง”

“เมื่อเฉาสือปรากฎตัวข้าก็รู้แล้วว่า ที่แท้ในบรรดาคนวัยเดียวกันไม่ได้มีเพียงแค่หม่าขู่เสวียน ยังมีเฉาสืออีกคน ต่อให้เฉาสือจะโดดเด่นสะดุดตาแค่ไหน ข้ากลับไม่รู้สึกรังเกียจเขา ไม่อิจฉาเขา อย่างมากก็แค่ผิดหวังเล็กน้อย อยู่ข้างกายแม่นางที่ตัวเองรัก อยู่ต่อหน้านาง แต่กลับแพ้ให้คนอื่นถึงสามครั้ง ในใจข้าย่อมไม่สบอารมณ์ ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงตัดสินใจได้ว่า สักวันหนึ่งไม่ว่าวันหน้าขอบเขตวิถีวรยุทธของเฉาสือจะสูงแค่ไหน คนนอกจะพูดว่าเขาคือตัวอ่อนโชคชะตาบู๊ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์และจะไม่ปรากฏในอนาคตอย่างไร ข้าก็จะต้องพยายามทำให้เขาแพ้ข้าสามครั้งติดให้จงได้!”

สีหน้าเฉินผิงอันเยือกเย็น แต่แววตากลับส่องประกายวาววับ “มีเพียงวิชาหมัดเหนือกว่า!”

จูเหลี่ยนตบเข่าฉาด “ประเสริฐ! ปณิธานของนายน้อยสูงส่งยาวไกลยิ่ง!”

เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ทอดสายตามองไกลๆ ไปยังหน้าผาที่อยู่ตรงข้าม ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ข้าพูดก็เพราะเมาหรอกนะ”

จูเหลี่ยนคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นดีที่สุด ไม่ทำลายบรรยากาศมากที่สุด เหล้าใหม่ไหหนึ่งเปิดผนึกดินแล้ว พอวางลงก็แค่ต้องรอก่อนเท่านั้น ไหนเลยจะต้องรีบร้อนเปิดออกมาดมซ้ำอีกรอบ ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงเริ่มเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา “ดูเหมือนว่าตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ นายน้อยจะกำลังกังวลกับอะไรบางอย่าง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าเองก็คอยจับสังเกตสถานการณ์ใหญ่ของแคว้นต้าหลีอยู่เหมือนกัน ไม่แปลกใจบ้างเลยหรือว่าทั้งๆ ที่ราชครูซิ่วหู่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการวางแผนวางหมากที่อื่นและกำลังรวบแหเก็บปลา แต่เหตุใดชุยตงซานถึงได้มาปรากฏตัวที่สำนักศึกษาซานหยา?”

จูเหลี่ยนถาม “วิชาอภินิหารห้าขอบเขตบนมิอาจจินตนาการได้ แยกวิญญาณออกจากกันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกกระมัง? ข้างกายพวกเราก็มีสือโหรวที่อาศัยอยู่ในคราบร่างเซียนนี่นา”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ชุยฉานกับชุยตงซานกลายเป็นคนสองคนแล้ว อีกทั้งยังเริ่มเดินไปบนมหามรรคาที่ไม่เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าคนสองคนที่จิตใจเหมือนกัน นิสัยเหมือนกัน วันหน้าควรจะอยู่ร่วมกันอย่างไร?”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ด้วยนิสัยของชุยตงซาน นอกจากนายน้อยที่เป็นอาจารย์แล้ว เขาไม่มีทางยอมก้มหัวให้ใครแน่นอน ต่อให้เป็น…ตัวเอง ก็ไม่ได้เหมือนกัน”

เฉินผิงอันพึมพำ “ถ้าอย่างนั้นคนที่เคยเล่นหมากล้อมเมฆหลากสีจะประลองกับตัวเองอย่างไร?”

จูเหลี่ยนเริ่มขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด หันหน้ามามองเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าเดาว่า ข้าก็คือกระดานหมากล้อมอันนั้น นับตั้งแต่ที่พวกเราไปถึงนครมังกรเฒ่า พวกเขาสองคนก็น่าจะเริ่มวางหมากกันแล้ว”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาดหนึ่งเส้นแนวตั้งและหนึ่งเส้นแนวนอนตัดสลับกัน “จุดตัดแต่ละจุด จุดที่ใหญ่หน่อยก็ยกตัวอย่างเช่นแคว้นชิงหลวน และยังมีสำนักศึกษาซานหยา จุดที่เล็กหน่อยก็อย่างเช่นสวนสิงโต เรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำใดก็ตามที่มุ่งหน้าไปยังต้าสุย และยังมีจวนจื่อหยางที่พวกเราเพิ่งผ่านมาที่ก็อาจจะเป็นไปได้เช่นกัน”

จูเหลี่ยนถาม “ชุยตงซานคงจะไม่ถึงขั้นวางแผนเล่นงานนายน้อยกระมัง?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เขาพยายามช่วยข้าอยู่ตลอดเวลา ข้อนี้ไม่ต้องสงสัยเลย”

จูเหลี่ยนลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่อยู่ เรือนกายของเขางองุ้ม พูดเสียงหนัก “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ !”

เฉินผิงอันยังคงนั่งอยู่เหมือนเดิม เขาแกว่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เบาๆ “แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ไม่เป็นไร แผนการที่ใหญ่กว่านี้ กระดานหมากล้อมที่ร้ายกาจกว่านี้ ข้าก็ล้วนเดินผ่านมาแล้ว”

จูเหลี่ยนออกเดินช้าๆ ถูฝ่ามือของมือสองข้างเข้าหากัน “ต้องใคร่ครวญให้ดีสักรอบ”

กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันเป็นคนปลอบใจจูเหลี่ยน “วางใจเถอะ ไม่ถึงขั้นตายหรอก ดังนั้นจึงไม่มีทางเกิดศึกใหญ่เป็นตายที่ทุกหมัดปะทะโดนเนื้อ แล้วก็ไม่มีทางเจอทางตันอย่างในนครมังกรเฒ่าที่จู่ๆ ก็มีบุคคลอย่างตู้เม่าโผล่มาด้วย”

จูเหลี่ยนครุ่นคิด หัวคิ้วยังคงขมวดมุ่นไม่คลาย “นี่ก็จะยิ่งยุ่งยากนี่นา ไม่ใช่ว่าบ่าวเฒ่ายิ่งไม่มีโอกาสออกแรงหรอกหรือ? หรือว่าถึงเวลานั้นจะทำได้แค่เบิกตามองอยู่ข้างๆ ? แบบนั้นจะไม่ทำให้บ่าวเฒ่าอัดอั้นตายหรือไง”

เฉินผิงอันมองไปยังหน้าผาที่อยู่ตรงข้าม ยืดเอวขึ้นตรง สองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย “ไม่สนแล้ว เดินก้าวหนึ่งก็ดูกันไปก้าวหนึ่งแล้วกัน ไหนเลยจะมีเหตุผลให้ต้องกลัวที่จะกลับบ้าน!”

จูเหลี่ยนมองใบหน้าด้านข้างของเฉินผิงอัน “ทหารมาเอาขุนพลต้านรับ น้ำมาเอาดินกลบ? นายน้อยช่างใจใหญ่ซะจริง”

อยู่ๆ เฉินผิงอันก็พูดอย่างสะท้อนใจ “รู้หลักการเหตุผลมากไป บางครั้งก็ทำให้ใจวุ่นวายเหมือนกัน”

เฉินผิงอันค้อมเอวลง วางสองมือทับซ้อนกัน ฝ่ามือดันอยู่ปลายด้านบนของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ “เส้นทางที่ตัดสลับบนกระดานหมากล้อมก็คือกฎเกณฑ์ข้อแล้วข้อเล่า กฎเกณฑ์และหลักการเหตุผลล้วนเป็นของตาย ตรงไปตรงมา แต่วิถีบนโลกจะทำให้เส้นตรงพวกนี้โค้งงอ หรือถึงขั้นที่ว่าเส้นในใจของคนบางคนอาจเปลี่ยนไปเป็นวงกลมที่บิดๆ เบี้ยวๆ ก็ยังได้ นี่เรียกว่ากลบเกลื่อนคำโกหกของตัวเองกระมัง ดังนั้นใต้หล้าจึงมีคนเยอะขนาดนั้นที่แม้จะอ่านหนังสือมาเยอะ แต่ก็ยังคงไม่มีเหตุผล และคนที่พูดเองเออเองก็มีมากเหมือนกัน ซึ่งพวกเขาต่างก็มีชีวิตที่ดี เพราะการทำเช่นนั้นก็ทำให้ใจตัวเองสงบและมั่นคงได้เช่นกัน ถึงขั้นที่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่รักษากฎเกณฑ์แล้วยังมีพันธนาการน้อยกว่า จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ก็แค่ทำตามที่ใจตัวเองปรารถนา ไม่ว่าจะมองอย่างไรตัวเองก็มีเหตุผล ทำให้ตัวเองใช้ชีวิตได้สบายใจมากขึ้น หรือไม่ก็อาศัยสิ่งนี้มาปกปิด ทำให้ตัวเองใช้ชีวิตได้ดียิ่งกว่าเดิม สามลัทธิร้อยสำนักมีหนังสือมากมายขนาดนั้น ยกเอามาสักสองสามประโยค ยืมหลักการที่ตัวเองต้องการมาใช้ชั่วคราวก็ได้แล้ว มีอะไรยาก ไม่ยากเลยสักนิด”

จูเหลี่ยนทอดถอนใจ

กลับไปนั่งข้างกายเฉินผิงอันใหม่อีกครั้ง วางกาเหล้าที่ดื่มหมดไปแล้วโดยไม่รู้ตัวลง จูเหลี่ยนวางหมัดสองข้างไว้บนหัวเข่า ผู้เฒ่าร่างผอมแห้งที่หลังงองุ้มรู้สึกเศร้าเล็กน้อย

คำพูดจากใจจริงเหล่านี้ หากเฉินผิงอันพูดกับพวกสุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยง คนทั้งสามคงไม่คิดอะไรลึกซึ้งนัก จิตกระบี่ของสุยโย่วเปียนใสกระจ่าง มุ่งมั่นอยู่แต่กับกระบี่ เว่ยเซี่ยนก็ยิ่งเป็นศัตรูของคนนับหมื่นบนสนามรบซึ่งเคยนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร หลูป๋ายเซี่ยงเองก็เป็นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกลัทธิมาร อันที่จริงการพูดเรื่องพวกนี้ล้วนไม่มีความหมายเหมือนกับ…พูดกับจูเหลี่ยน

มองดูเหมือนจูเหลี่ยนเป็นคนไม่ใส่ใจอะไร ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ล้วนเผชิญกับพวกมันได้อย่างง่ายๆ สบายๆ ไม่เคยเก็บเอาไปใส่ใจ แต่จูเหลี่ยนต่างหากที่เป็นคนซึ่งเคยพบเจอความหลากหลายในโลกมนุษย์ของพื้นที่มงคลดอกบัวมามากที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่

มีชาติกำเนิดจากตระกูลชั้นสูงที่สืบทอดตำแหน่งขุนนางต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย รู้ถึงรสชาติของความร่ำรวยที่แท้จริงในใต้หล้า เคยเห็นกษัตริย์ แม่ทัพ อัครเสนาบดีในระยะประชิด ตั้งแต่เด็กก็มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธที่โดดเด่น และบนเส้นทางของการฝึกยุทธก็ยิ่งทิ้งห่างทุกคนไปไกลไม่เห็นฝุ่น ทว่ากลับยังคงทำตามขนบธรรมเนียมของตระกูล เข้าร่วมการสอบเคอจวี่ ได้อันดับที่สองมาครองอย่างง่ายดาย และนี่ยังคงเป็นเพราะขุนนางใหญ่ในสำนักคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นผู้คุมสอบซึ่งสนิทสนมกับผู้อาวุโสในตระกูลจงใจกดระดับขั้นของจูเหลี่ยนเอาไว้ หาไม่แล้วต่อให้ไม่ได้เป็นจ้วงหยวนก็ต้องได้เป็นปั้งเหยี่ยน ตอนนั้นจูเหลี่ยนก็คือบุรุษรูปงามที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองหลวง แค่จรดพู่กันก็สามารถเขียนบทความ เขียนงานประพันธ์ที่ยอดเยี่ยมออกมาได้ เดินทางไปท่องเที่ยวชานเมืองในฤดูใบไม้ผลิครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำให้หญิงสาวชนชั้นสูงกี่มากน้อยจิตใจหวั่นไหว แต่ผลกลับกลายเป็นว่าจูเหลี่ยนรับตำแหน่งขุนนางว่างงานที่สถานะสูงศักดิ์แค่ไม่กี่ปีก็หาข้ออ้างออกเดินทางท่องเที่ยวไปไกลนับหมื่นลี้เพียงลำพัง แต่แท้จริงแล้วก็คือออกไปเที่ยวเล่น หาประสบการณ์อยู่ในยุทธภพ

อยู่ไปอยู่มา คุณชายสูงศักดิ์เสเพลอยู่ดีๆ ก็กลายมาเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า นั่นทำให้เขากลายเป็นหลุมในใจที่เทพธิดาในยุทธจักรและจอมยุทธหญิงในยุทธภพจำนวนนับไม่ถ้วนข้ามผ่านไปไม่ได้

ภายหลังแต่ละแคว้นเกิดศึกวุ่นวาย ภูเขาแม่น้ำแตกแยกพังภินท์ จูเหลี่ยนจึงถอนตัวจากยุทธภพกลับบ้านเกิด เข้าร่วมกองทัพทำสงคราม กลายมาเป็นแม่ทัพผู้มีความรู้ที่โดดเด่น หกปีที่ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้า จูเหลี่ยนใช้แค่กลศึกเท่านั้น ไม่เคยอาศัยวรยุทธ พยายามกอบกู้สถานการณ์อย่างสุดกำลัง แล้วก็ช่วยให้ราชวงศ์ที่เหมือนอาคารใหญ่กำลังจะพังถล่มยืนหยัดมาได้อีกหลายปี เพียงแต่ด้วยแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ ภายหลังไม่ว่าจูเหลี่ยนจะตั้งใจประคับประคององค์ชายท่านหนึ่งเท่าไหร่ ช่วยเขาจัดการงานบ้านงานเมืองมากแค่ไหน ก็ยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงจุดจบที่ชะตาแคว้นต้องขาดสะบั้น สุดท้ายจูเหลี่ยนช่วยจัดการตำแหน่งที่ทางของตระกูลให้เรียบร้อย แล้วเขาก็ย้อนกลับคืนสู่ยุทธภพอีกครั้ง ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพียงลำพัง

ตามคำบอกของจูเหลี่ยน ตอนที่เขาอายุสี่สิบห้าสิบปียังคงหล่อเหลาสง่างาม เสน่ห์ของชายแก่ที่เหมือนสุรารสชาติเข้มข้นของเขายังคงทำให้เขาเป็น ‘จูหลาง’ (หลางเป็นคำเรียกบุรุษ/คำที่ผู้หญิงใช้เรียกสามีหรือคู่รักของตน) ในใจของดรุณีวัยแรกแย้มมากมาย

เฉินผิงอันกล่าวว่า “หลังจากนี้พวกเราจะต้องเดินทางผ่านจวนหลังหนึ่งที่มีผีสาวเป็นเจ้าของ หน้าจวนแขวนป้าย ‘น้ำใสลมเย็น’ เอาไว้ ข้าคิดว่าจะพาเจ้าไปคนเดียวเท่านั้น ให้สือโหรวพาเผยเฉียนเดินอ้อมภูเขาแถบนั้นตรงไปรอพวกเราอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเมืองหงจู๋”

จูเหลี่ยนยิ้มถามอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ “อืม ก่อนหน้านี้นายน้อยแค่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ว่าตอนนั้นไม่ได้เล่าอย่างละเอียด ตอนนี้มาลองนึกดูแล้ว คงจะมีความเสี่ยง แต่ไม่ได้อันตรายมากใช่ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ผีสาวสวมชุดเจ้าสาวที่อาศัยอยู่ในจวนหลังนั้นเคยมีเรื่องกับพวกข้าเมื่อครั้งที่ข้ากับพวกเป่าผิงเดินทางผ่าน ข้าก็เลยอยากจะยุติเรื่องที่ค้างคาสักหน่อย”

จูเหลี่ยนกล่าวอย่างกระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่าช่วงนี้นายน้อยถึงซักถามวิชาแห่งชะตาชีวิตบางอย่างของพวกภูตผีปีศาจจากสือโหรวอย่างละเอียด แถมยังเดินๆ หยุดๆ ก็เพื่อรวบรวมพลังให้พรั่งพร้อม จะได้เขียนยันต์กระดาษเหลืองไว้ได้หลายๆ แผ่น”

เฉินผิงอันพลันยกฝ่ามือขึ้น “หุบปาก”

จูเหลี่ยนขุ่นเคืองเล็กน้อย ไม่เสียแรงที่เป็นนายน้อยของตน เข้าใจตนดีจริงๆ

คราวก่อนไม่ได้ถามนายน้อยว่าหน้าตาของผีสาวสวมชุดเจ้าสาวงดงามหรืออัปลักษณ์ ผอมหรืออ้วน? นี่จึงทำให้ในใจจูเหลี่ยนคันคะเยออยู่ตลอดเวลา

ถึงอย่างไรตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ยังไม่เคยมีผีสาวหน้าตางดงามที่มีสุสานเป็นบ้านชื่นชมเลื่อมใสตนมาก่อน มาถึงใต้หล้าไพศาลแล้วจะพลาดได้ไง?

แต่เจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ผู้นั้นก็ไม่ต่างจากสือโหรวเท่าไหร่ หนึ่งองค์เทพหนึ่งผีสาว ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกใจตนนัก จูเหลี่ยนลูบคลำปลายคาง พูดเสียงขุ่นว่า “อะไรกัน สตรีของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นผีหรือเทพก็ล้วนชอบคนที่หน้าตากันหมดเลยหรือ?”

เฉินผิงอันยกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้น “ดื่ม”

จูเหลี่ยนชำเลืองตามองกาเหล้าที่อยู่ข้างเท้า พูดหน้าม่อย “นายน้อย กาเหล้าของข้าว่างเปล่าแล้ว”

จูเหลี่ยนถูมือยิ้มหน้าเป็น “นายน้อย ไม่ต้องกังวลว่าบ่าวเฒ่าคออ่อนหรือคอแข็ง หากใช้คำพูดของเผยเฉียนก็คือไม่มีปัญหา! ขออีกสักกาสิ สามารถดับกระหายได้พอดี สองกาเมากรึ่มๆ สามกาก็ยิ่งแช่มชื่น”

เฉินผิงอันหัวเราะหึๆ อ้าปากกว้าง โคลงศีรษะทำท่าสูบลม จากนั้นก็หันหน้ามาทำสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ดื่มลมตะวันออกเฉียงเหนือไปก่อนเถอะเจ้า” (ดื่มลมตะวันออกเฉียงเหนือเปรียบเปรยว่าคนที่ไม่มีอะไรจะกิน ได้แต่กินลมให้อิ่มท้อง)

จูเหลี่ยนอดกลั้นมานาน คิดว่าจะเป็นขุนนางซื่อสัตย์ที่ยอมตายเพื่อถวายคำทัดทาน แต่ให้ตายก็จะไม่ยอมเป็นขุนนางชั่วช้าที่ชอบประจบยกยอสักครั้งหนึ่ง จึงพูดด้วยท่าทางจริงจังว่า “นายน้อย คำพูดล้อเล่นที่ไม่ตลกแม้แต่น้อยแบบนี้ บ่าวเฒ่ายากที่จะพูดประจบท่านได้จริงๆ”

จิตของเฉินผิงอันเคลื่อนไหวเล็กน้อย กาเหล้าใบหนึ่งก็ถูกเรียกออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เขาโยนมันให้จูเหลี่ยนแล้วถามว่า “จูเหลี่ยน เจ้ารู้สึกว่าข้าเป็นคนอย่างไร?”

จูเหลี่ยนรับสุรามาแล้วก็พูดอย่างไม่ต้องหยุดคิด “เป็นคนดี”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “งั้นเหล้านี้ก็ไม่เสียเปล่าที่มอบให้เจ้า”

จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ต่อให้ไม่มีกาเหล้ากานี้ ข้าก็จะพูดแบบนี้”

เฉินผิงอันพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ก็ข้าเป็นคนดีอยู่แล้วนี่นา”

จูเหลี่ยนหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ “ถ้าอย่างนั้นนายน้อยก็คิดซะว่าข้าพูดประจบอีกครั้งแล้วกัน อย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง ดื่มเหล้าๆ !”

ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเศรษฐีมีอันจะกิน คนหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นเด็กบ้านนอกจากตรอกยากจน อันที่จริงคนทั้งสองไม่ได้เก็บเอาสถานะนายบ่าวมาใส่ใจนัก พวกเขาค่อยๆ ลิ้มรสสุรารสเลิศอยู่ริมหน้าผาเคียงข้างกันไปช้าๆ

จูเหลี่ยนเช็ดมุมปาก พลันเอ่ยขึ้นว่า “นายน้อย บ่าวเฒ่าร้องเพลงบ้านเกิดเพลงหนึ่งให้ท่านฟังดีไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ดีสิ”

จูหลี่ยนรีบจิบเหล้าคำเล็กหนึ่งคำเพื่อทำให้ลำคอชุ่มชื้น จากนั้นถึงได้เริ่มคลอเพลงออกมาพลางโคลงศีรษะตามไปด้วย เพลงที่เขาร้องเป็นภาษาทางการของราชวงศ์หนึ่งที่ดับสูญไปนานแล้วในพื้นที่มงคลดอกบัว

เฉินผิงอันย่อมฟังไม่เข้าใจ เพียงแต่จูเหลี่ยนร้องได้อย่างเคลิบเคลิ้ม ต่อให้ไม่รู้เนื้อหาของเพลง เฉินผิงอันก็ยังคงรับฟังอย่างเพลิดเพลิน

จูเหลี่ยนร้องจบไปท่อนหนึ่งก็ถามว่า “นายน้อย เป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันพยักหน้าให้ “ไม่เลวๆ”

จูเหลี่ยนแกว่งกาเหล้าที่เหลือเหล้าอยู่ครึ่งกา “หากนายน้อยมอบเหล้าให้ข้าอีกกาเป็นรางวัล บ่าวเฒ่าก็จะร้องออกมาเป็นภาษาทางการต้าหลี”

เฉินผิงอันไม่พูดไม่จาก็โยนกาเหล้าให้จูเหลี่ยนกาหนึ่งทันที

จูเหลี่ยนวางกาเหล้าใบนั้นไว้ด้านข้าง คลอเพลงในลำคอเบาๆ “แสงตะเกียงในค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิดุจดวงตาของคน มองหญิงสาวผู้นั้นถอดกระดุม นิ้วที่เรียวยาวดุจต้นหอมขยับปลดปมผ้า หน้าอกขาวผ่องตระหง่านดุจขุนเขา ผิวหน้าท้องเนียนนุ่มอ่อนละมุน แสงน้อยนิดอันน่าสงสารส่องไม่ถึงแผ่นหลังเรียบลื่น เอวเล็กคอดบางห้อยน้ำเต้าใบใหญ่ สาวน้อยเอ๋ยคิดถึงชายในดวงใจที่จากไปไกลยังไม่ย้อนกลับมา หัวใจดุจมีกวางวิ่งชน ความคิดวกวนผูกปมนับพันอยู่ในใจ…สตรีบิดเอวหันหน้าไปมองหมอนคู่ ปลายนิ้วกุมยอดอกเศร้าอาลัย ในเมื่อหนึ่งเค่อมีค่าเท่ากับทองพันชั่ง แล้วใครจะหาเงินหมื่นตำลึงมาให้?”

จูเหลี่ยนหยุดร้อง ดื่มเหล้าหนึ่งอึก รู้สึกมีความสุขและพึงพอใจอย่างยิ่ง

เฉินผิงอันถาม “จบแค่นี้หรือ?”

จูเหลี่ยนประหลาดใจอย่างมาก พูดด้วยน้ำเสียงกังขา “นายน้อยไม่คิดจะตัดบทข้าหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด “เดินผ่านเส้นทางบนยุทธภพมามากมายขนาดนั้น ข้าเคยเห็นโลกกว้างมาแล้ว นี่จะนับเป็นอะไรได้ เมื่อก่อนตอนอยู่ในเส้นทางมังกรเดินใต้ดิน ข้าโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำหนึ่ง ห้องโดยสารเหนือหัวของข้ามีเทพเซียนตีกันทั้งวันทั้งคืนด้วยซ้ำ หึหึ”

นี่เรียกว่าความรู้สึกช้า อันที่จริงก็ต้องยกคุณความชอบให้กับจูเหลี่ยน รวมไปถึงการเดินทางท่องผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลาในพื้นที่มงคลดอกบัวครั้งนั้น

จูเหลี่ยนถาม “ไหนลองเล่าให้ฟังบ้างสิ?”

เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “ได้สิ แต่ว่าต้องคืนเหล้ากานั้นมาให้ข้า”

จูเหลี่ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะส่งกาเหล้าคืนให้กับเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเก็บเหล้าไปในวัตถุจื่อชื่อแล้วถึงกล่าวว่า “นั่นเป็นการสังหารที่ดุเดือดรุนแรงสาสมใจในทุกครั้งอย่างแท้จริง”

จูเหลี่ยนรออยู่นานก็ไม่ได้ยินประโยคถัดมา “จบแล้วรึ?”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ไม่จบแล้วจะยังเป็นยังไงได้อีกล่ะ?”

จูเหลี่ยนรีบลุกขึ้น เดินตามเฉินผิงอันไปติดๆ “นายน้อย คืนเหล้ามาให้ข้า! เล่าแค่ไม่กี่คำแบบนี้ พูดก็เหมือนไม่ได้พูด ไม่มีค่าเท่าเหล้าหนึ่งกา!”

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจจูเหลี่ยน

บนสะพานไม้เลียบหน้าผา เขาพลันพลิกตัวกลับ ใช้ท่าฟ้าดินเดินกลับหัว

จูเหลี่ยนยืนอยู่ที่เดิม เจ็บใจอย่างถึงที่สุด แล้วก็พลันหันหน้าไปมองสือโหรวที่กำลังนั่งฝึกตบะอย่างลืมตน แล้วจูเหลี่ยนก็แสยะยิ้มกว้าง

สือโหรวลืมตา พูดอย่างขุ่นเคือง “ไสหัวไปไกลเลยๆ !”

จูเหลี่ยนยกมือขึ้น ทำท่าจีบนิ้วโบกใส่สือโหรว “น่าเบื่อ”

สือโหรวสะอิดสะเอียนเต็มทน

ทันใดนั้นสือโหรวที่ปรายตามองก็ต้องอึ้งตะลึงเป็นไก่ไม้

ที่แท้จูเหลี่ยนใช้นิ้วข้างหนึ่งวางไว้ตรงจอนผม แล้วก็ทำท่าสองอย่าง ท่าแรกฉีกออก ท่าสองปิดทับ ระหว่างกลางที่ทำสองท่าเขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย

ผู้เฒ่ากระตุกมุมปากให้สือโหรว จากนั้นก็หมุนตัวกลับ เอาสองมือไพล่หลัง เดินหลังค่อมอย่างเชื่องช้า เริ่มสาวเท้าเดินเล่นอยู่ท่ามกลางม่านราตรี

ทิ้งอดีตผีสาวโครงกระดูกที่ทำท่าเหมือนคนเห็นผีไว้เพียงลำพัง

จูเหลี่ยนที่ห่างไปไกลจิ๊ปากพูด “น่าเบื่อจริงๆ”

……

เดินผ่านสะพานไม้เลียบหน้าผามาแล้วก็ข้ามเส้นพรมแดนระหว่างแคว้นหนันเยวี่ยนกับราชวงศ์ต้าหลีมา ท่ามกลางเทือกเขาสูงตระหง่านแถบหนึ่ง เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนสองคนเดินอยู่บนเส้นทางภูเขา

สือโหรวพาเผยเฉียนอ้อมไปแล้ว ซึ่งจะอ้อมผ่านแม่น้ำซิ่วฮวาตรงดิ่งไปที่เมืองหงจู๋ ถึงเวลานั้นทั้งสองฝ่ายจะไปรวมตัวกันที่นั่น เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันบอกสือโหรวว่าสามารถร่ายใช้วิชาอภินิหารแบกเผยเฉียนไปได้ หากไม่ผิดไปจากที่คาด สือโหรวกับเผยเฉียนต้องไปถึงที่เมืองหงจู๋ก่อนแน่นอน

เฉินผิงอันยิ้มพลางเล่าเรื่องในอดีต ปีนั้นได้พบกับอาจารย์และศิษย์สามคนโดยบังเอิญบนทางภูเขาเส้นนี้ ซึ่งกลายเป็นว่าเขากับเด็กหนุ่มขากะเผลกคนหนึ่งที่แบกธงผ้าขาดวิ่นเขียนคำว่า ‘สยบปีศาจจับผี กำจัดความชั่วร้ายผดุงคุณธรรม’ ได้กลายมาเป็นคู่พี่น้องร่วมทุกข์ยากที่ต่างก็ถูกผีสาวสวมชุดแต่งงานจับตัวไปยังจวนที่แขวนโคมไฟสีแดงใบใหญ่ไว้นับไม่ถ้วน ยังดีที่สุดท้ายทั้งสองฝ่ายต่างก็ปลอดภัย ตอนที่จากกัน นักพรตเฒ่ายากจนยังมอบภาพค้นภูเขาแผ่นหนึ่งที่สืบทอดมาจากเหล่าบรรพบุรุษของสำนักให้ แต่อาจารย์และศิษย์สามคนนั้นเดินทางผ่านเขตการปกครองหลงเฉวียนก็จริง ทว่ากลับไม่ได้อยู่ต่อในเมืองเล็ก พวกเขาได้พบกับแม่นางหร่วนซิ่วที่ร้านในตรอกฉีหลง สุดท้ายก็ออกเดินทางขึ้นเหนือมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงต้าหลี บอกว่าจะไปลองเสี่ยงดวงดูที่นั่น

จงใจเลือกขึ้นเขายามพลบค่ำ พอเดินมาถึงทางภูเขาสายเล็กที่ตอนนั้นเคยถูกผีพรางตา เฉินผิงอันก็หยุดเดิน กวาดตามองไปรอบด้าน ไม่พบสิ่งผิดปกติ

เฉินผิงอันสะพายเจี้ยนเซียนและหีบไม้ไผ่ รู้สึกว่าจะดีจะชั่วตนก็ดูคล้ายบัณฑิตอยู่ครึ่งตัว

แต่การที่ผีสาวสวมชุดแต่งงานตนนั้นไม่เคลื่อนไหวก็เป็นเรื่องปกติ ตอนนั้นเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะใช้หนึ่งกระบี่แหวกม่านฟ้า อีกทั้งยังมีจอมยุทธสวี่รั่วออกโรง คิดดูแล้วผีสาวสวมชุดแต่งงานที่เคยเสียเปรียบครั้งใหญ่มาก่อน ทุกวันนี้คงไม่กล้าทำร้ายบัณฑิตที่เดินทางผ่านมาอย่างส่งเดชอีกแล้ว

เฉินผิงอันคิดแล้วก็พูดกับจูเหลี่ยนว่า “เจ้าขึ้นไปดูบนจุดสูงของท้องฟ้าก่อน ดูสิว่าสามารถมองเห็นจวนหลังนั้นได้หรือไม่ แต่ข้าคาดว่าความเป็นไปได้มีไม่มาก ต้องมีเวทอำพรางตาบังไว้แน่นอน”

จูเหลี่ยนจึงทะยานร่างขึ้นสู่เบื้องบน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นทิศใดของฟ้าดินก็ล้วนไปเยือนได้ทั้งสิ้น

ครู่หนึ่งต่อมา จูเหลี่ยนกลับมาที่ทางสายเล็ก ส่ายหน้ากล่าวว่า “มองไม่เห็นจริงๆ คงต้องให้นายน้อยเปลืองยันต์สักสองแผ่นแล้วล่ะ”

เฉินผิงอันหยิบยันต์สองแผ่นออกมาด้วยรอยยิ้ม ยันต์ปราณหยางส่องไฟกับยันต์ทำลายค่ายกลแห่งภูเขาและแม่น้ำ แยกกันคีบไว้นิ้วละแผ่น ยันต์ทั้งสองล้วนวาดลงบนกระดานสีเหลืองในปึกที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้

กรอกปราณวิญญาณที่สะสมอยู่ในช่องโพรงลมปราณซึ่งมีหัวใจบุ๋นสีทองลอยอยู่ใส่ลงไปในยันต์ปราณหยางส่องไฟ

เปลวไฟลุกไหม้เบาบางมาก

เฉินผิงอันพุ่งตัวขึ้นไปบนกิ่งไม้ เดินวนไปรอบหนึ่ง จับสังเกตความเร็วในการเผาไหม้ของยันต์ปราณหยางส่องไฟที่อยู่บนปลายนิ้วอย่างละเอียด ขนาดเล็กใหญ่ของเปลวเพลิงสามารถช่วยตัดสินทิศทางในท้ายที่สุดได้คร่าวๆ

เขาจึงอาศัยการชี้นำจากยันต์ปราณหยางส่องไฟไปตามหาสิ่งกีดขวางระหว่างแม่น้ำและภูเขาที่ช่วยอำพรางจวนหลังนั้น ประหนึ่งคนธรรมดาที่ถือตะเกียงเดินทางในยามค่ำคืน ใช้ตะเกียงในมือส่องสว่างเส้นทาง

สุดท้ายเฉินผิงอันมาหยุดอยู่ตรงหน้าหน้าผาแถบหนึ่งที่ขวางทาง เปลวไฟพลันระเบิดเผาไหม้ เฉินผิงอันสะบัดข้อมือ แก่นของยันต์ทำลายค่ายกลแห่งภูเขาและแม่น้ำถูกกรอกปราณวิญญาณจนเต็มล้น มันพลันส่องแสงสว่างจ้า เฉินผิงอันเอายันต์แผ่นนี้แปะไว้บนหน้าผา ภาพด้านหน้าพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หน้าผาเหมือนกองหิมะที่เจอกับเปลวเพลิงจึงหลอมละลายอย่างว่องไว ปรากฏเป็นช่องโพรงขนาดเท่าฝ่ามือ มองทะลุช่องโพรงออกไปก็จะสามารถมองเห็นทางเส้นเล็กระหว่างหุบเขาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งลมปราณมืดทะมึนอึมครึมเหล่านั้นไหลพรั่งพรูออกมาข้างนอกอย่างต่อเนื่อง

รอจนยันต์ทำลายค่ายกลแห่งภูเขาและแม่น้ำเผาไหม้จนเกือบหมดแล้ว ช่องโพรงก็กลายมามีขนาดเท่าประตูเรือนหลังหนึ่ง เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนจึงก้าวเข้าไปข้างใน

ท่ามกลางภูเขาที่มีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า เฉินผิงอันยังคงถือยันต์ปราณหยางส่องไฟที่ยังเหลืออีกเกินครึ่งแผ่นไว้ในมือ พาจูเหลี่ยนพุ่งทะยานไปข้างหน้า

เท้าของจูเหลี่ยนที่ตามอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันไม่ติดพื้น

เฉินผิงอันไม่ได้เล่าเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างตนกับผีสาวสวมชุดแต่งงานผู้นั้นอย่างละเอียด

แต่ก่อนหน้านี้จูเหลี่ยนไม่เคยเห็นเฉินผิงอันยึดมั่นเอาจริงเอาจังกับ ‘เรื่องเล็กๆ ’ ถึงเพียงนี้มาก่อน

เพื่อตามหาผีสาวสวมชุดแต่งงานตนนั้น เฉินผิงอันจัดการวางแผนและวิธีการต่างๆ ไว้ล่วงหน้าหลายอย่าง จูเหลี่ยนเคยผ่านหายนะในนครมังกรเฒ่ากับเฉินผิงอันมาก่อน รู้สึกว่าตอนที่อยู่ในร้านยาฮุยเฉิน เฉินผิงอันระมัดระวังรอบคอบมาก ไม่ว่าเรื่องใดก็ละเอียดลออ ทุกเรื่องล้วนผ่านการชั่งน้ำหนัก ทั้งสองเรื่องนี้มองดูเหมือนคล้ายกัน แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เหมือนกันทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่นดูเหมือนว่าเฉินผิงอันรอคอยวันนี้มานานมากแล้ว และเมื่อวันนี้มาถึงจริงๆ สภาพจิตใจของเฉินผิงอันกลับแปลกประหลาดอย่างมาก นี่ก็เหมือนกับ…ท่าหมัดวานรของเขาจูเหลี่ยน ที่ก่อนจะออกหมัดยามเจอศึกใหญ่ จะต้องงอตัว หดย่อปณิธานหมัดเอาไว้ ไม่ใช่อย่างผู้ฝึกยุทธทั่วไปที่ปล่อยปณิธานหมัดให้ไหลพรั่งพรูออกมาภายนอก

การเผาไหม้ของยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นนั้นเปลี่ยนมาเป็นรวดเร็ว เมื่อขี้เถ้าเสี้ยวสุดท้ายลอยล่อง

ในที่สุดคนทั้งสองก็มายืนอยู่หน้าลานกว้างแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าก็คือจวนอันโอ่อ่าน่าเกรงขามที่แขวนกรอบป้าย ‘น้ำใสลมเย็น’ ซึ่งตัวอักษรประดุจลายมือของเซียน หน้าประตูมีสิงโตหินขนาดใหญ่ยักษ์อยู่สองตัว

เฉินผิงอันหรี่ตาลง แหงนหน้ามองไปยังกรอบป้ายนั้น

เคยมีผีสาวสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดลอยตัวอยู่ตรงนั้น

นางลุ่มหลงในรัก นางเคยเป็นผีที่มีนิสัยเมตตาดีงาม นางมีเหตุผลของตัวเองอยู่เสมอ

ว่ากันว่าในอดีตเคยมีบัณฑิตคนหนึ่งเดินทางในยามค่ำคืน ท่องกวีและบทความของอริยะปราชญ์เสียงดังอยู่บนเส้นทางเพื่อเพิ่มความกล้าหาญให้ตัวเอง จึงถูกใจนางเข้า

บัณฑิตกับผีสาว สองฝ่ายอยู่กันคนละภพ แต่กลับยังคงตกหลุมรักซึ่งกันและกัน นางยังคงยินดีสวมชุดแต่งงานสีแดงสดตัวนั้น

เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก

หลักการเหตุผลไม่แยกว่าใกล้ชิดหรือห่างเหิน เขาเฉินผิงอันเป็นคนพูดเอง

ไม่มีเหตุผล ทุกอย่างเอาตามที่เจ้าพอใจ ใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข ต่างคนต่างเดินบนเส้นทางของตัวเอง แต่หากวันใดเมื่อเจอกับคนที่มีเหตุผล อีกทั้งหมัดยังแข็งกว่าเจ้า ถ้าอย่างนั้นชาติหน้าก็ขอให้เจ้าได้ไปเกิดในครรภ์ที่ดี นี่ก็เป็นเฉินผิงอันที่พูดเช่นกัน

เฉินผิงอันเอาแต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

จนจูเหลี่ยนอดไม่ไหวหันกลับมามอง

ต่อให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลอย่างจูเหลี่ยนก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังอันแปลกประหลาดขุมหนึ่งจากบนร่างของเฉินผิงอัน

นี่ก็คือกลิ่นอายของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตห้าขั้นสมบูรณ์แบบอย่างนั้นหรือ?

ประดุจดวงจันทร์ที่ลอยขึ้นสูงกลางนภา

แต่นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ เมื่อเทียบกับเรื่องที่ยังคงถือว่าอยู่ในขอบเขตของการเรียนวรยุทธแล้ว สิ่งที่ทำให้เฉินผิงอันน่าตกตะลึงยิ่งกว่านั้นอยู่ที่สภาพจิตใจและพลังอำนาจของเขาที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน

ดวงจันทร์ดวงนั้น เหมือนไข่มุกสุกสกาวที่เจียวหลงคาบไว้ในปาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!