Skip to content

Sword of Coming 436

บทที่ 436 ชื่อในเรื่องราว

หร่วนซิ่วเก็บ ‘กำไลข้อมือ’ กลับลงไปอีกครั้ง ร่างจริงของมังกรเพลิงที่มองดูเหมือนเล็กจ้อยน่ารักขดล้อมอยู่บนข้อมือของนางแล้วส่งเสียงกรนออกมาเบาๆ ศึกบนยอดเขาพุดตาน ลำพังเพียงแค่เซียนดินโอสถทองก็มีถึงสองคน และนี่ยังเพิ่งจะกินเด็กหนุ่มที่มีโชคชะตาบู๊ช่วงโชติเข้าไปอีกคน จึงทำให้มันอิ่มมากจริงๆ

หร่วนซิ่วถามคำถามข้อหนึ่งที่อาจารย์ซ่งตั้งรับไม่ทัน “ข้าสามารถเอาหินพุดตานส่วนหนึ่งกลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนได้ไหม ข้าอยากจะเปิดร้านขายตราประทับและหินฮวงจุ้ยร้านหนึ่งในตรอกของเมืองเล็ก”

หลางจงซ่งแห่งกรมพิธีการท่านนี้เป็นผู้มีความคิดที่เฉียบคมว่องไวจนขึ้นชื่อในราชสำนักต้าหลี เคยมีเรื่องเล่าลืออันดีงามในราชสำนักบอกว่า เขาเคย ‘ใช้เวลาหนึ่งก้านธูป ตอบคำถามสามสิบเจ็ดคำถาม’ กับฮ่องเต้ แต่เวลานี้ก็ยังตามความคิดของแม่นางหร่วนไม่ทันสักเท่าไหร่ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มกล่าวว่า “ขอแค่วัตถุจื่อชื่อของแม่นางหร่วนใหญ่พอ ต่อให้เอาไปหมดภูเขาพุดตานก็ยังไม่เป็นปัญหา”

หร่วนซิ่วที่พอได้คำตอบแล้วก็หันไปบอกให้ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวทำการ ‘เจาะภูเขา’ ทันที ในขณะที่ศิษย์น้องชายหญิงทั้งสองกำลังขุดดินทำงานหนัก หร่วนซิ่วหันมาพูดกับผู้เฒ่าว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าซ่งโปรดวางใจ จะไม่ทำให้ท่านเดินทางมาเสียเที่ยวแน่นอน นครลวี่ถงของทะเลสาบซูเจี่ยนที่พวกเราผ่านทางมา และยังมีระหว่างทางที่เดินทางกลับต้าหลี หากยังย้อนกลับไปทางเดิม ข้าจะช่วยหาคนที่เหมาะสมในการฝึกตนให้กับท่านสามคน รวมกันแล้วก็…สวีเสี่ยวเฉียว เขาชื่อว่าอะไรแล้วนะ?”

สวีเสี่ยวเฉียวที่อยู่ห่างไปไกลเอ่ยตอบเบาๆ “หันจิ้ง”

หร่วนซิ่วพยักหน้า “ใช่ ก็จะไม่แย่ว่าหันจิ้งผู้นี้แน่นอน คนหนึ่งคือหลานของผู้เฒ่าขายธูปหอมที่วัดเทพแห่งผืนดินของนครลวี่ถงที่อยู่ใกล้พวกเราที่สุด อีกคนหนึ่งก็คือเด็กหญิงที่ข้ามอบน้ำตาลปั้นให้นางตรงแผงขายน้ำตาลปั้นที่วัดกานลู่แคว้นสือหาว ก็คือเด็กหญิงที่แก้มสองข้างแดงก่ำน่ารักคนนั้นนั่นแหละ คนสุดท้ายคือเด็กชายในท้องถิ่นคนหนึ่งที่ข้าเจอตอนซื้อขนมลูกพลับห่อใหญ่ตรงท่าเรือตระกูลเซียนที่ชื่อว่าท่านเรือเหนี่ยนจื่อ ตอนนั้นเขายังแข่งกับข้าว่าใครกะเพาะใหญ่กว่ากัน สุดท้ายกลายเป็นเขาที่กินขนมจนปวดฟัน ร้องไห้วิ่งกลับไปหาพ่อแม่ที่บ้าน”

หน่วยจานกานสามคนของต้าหลีรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อ นี่ไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ ใช่ไหม?

คิดไม่ถึงว่าซ่งหลางจงจะพยักหน้าตอบรับ “รอให้ท่านต่งและแม่นางสวีขุดภูเขาพุดตานเสร็จแล้ว พวกเราจะย้อนกลับไปที่วัดเทพแห่งผืนดินของนครลวี่ถง เพื่อตามหาตัวเด็กที่ชื่อว่าถงซานผู้นั้นกันก่อน”

หน่วยจานกานมั่นใจในทันที ในเมื่อแม้แต่ซ่งหลางจงก็ยังจดจำชื่อแซ่ของเด็กคนนั้นได้ นี่ก็แสดงว่าเขาต้องเป็นหยกงามในการฝึกตนที่มีคุณสมบัติไม่ธรรมดาก้อนหนึ่งอย่างแน่นอน

หร่วนซิ่วเงยหน้ามองไปทางเกาะกงหลิ่ว เมื่อนางทำท่าเช่นนี้ มังกรเพลิงบนข้อมือที่เดิมทีคิดจะ ‘จำศีลหน้าหนาว’ ก็ลืมตาขึ้นมองไปทางด้านนั้นพร้อมกับนาง

ทายาทมังกรที่แท้จริงในยุคบรรพกาลอันห่างไกลบางตัว เกิดมาก็ชอบสังหารเผ่าพันธุ์เดียวกัน ในประวัติศาสตร์ของแคว้นสู่โบราณ สิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายอำมหิตเช่นนี้มักจะเป็นตัวเลือกแรกที่เซียนกระบี่ซึ่งออกเดินทางไกลหาประสบการณ์เลือกสังหาร

สวีเสี่ยวเฉียวพลันเอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ อาจารย์สั่งความพวกเราไว้ว่า นอกจากงานหลวงแล้ว เมื่อศิษย์พี่หญิงใหญ่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนห้าม…”

สวีเสี่ยวเฉียวเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ชำเลืองตามองต่งกู่ที่สวมชุดคลุมสีดำแวบหนึ่ง

การเปิดทางภูเขาของภูเขาพุดตานในครั้งนี้ เป็นเพราะศิษย์พี่รองร่วมสำนักผู้นี้ที่เผยร่างจริง ฝืนทำลายปราการของค่ายกล ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่เพียงแต่เขี้ยวซี่หนึ่งจะหักไป ยังสูญเสียตบะไปอย่างน้อยสี่สิบถึงห้าสิบปี

ต่งกู่ตีหน้าเคร่ง เอ่ยคำพูดที่เหลืออีกสองคำที่สวีเสี่ยวเฉียวไม่ค่อยกล้าพูดเสริมขึ้นมา “ทำตัวเหลวไหล”

หร่วนซิ่วกวาดตามองไปรอบด้านด้วยความเสียดายเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นก็เหลือค้างไว้ก่อน”

ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวพยักหน้าพร้อมกัน อาจารย์ซ่งก็พยักหน้าตามไปด้วย

หร่วนซิ่วเห็นการกระทำที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนของพวกเขาแล้วก็รู้สึกว่าน่าสนใจ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าทำอะไร เป็นไก่จิกข้าวเปลือกงั้นหรือ?”

พอนางยิ้ม เด็กหนุ่มหน่วยจานกานที่หวั่นไหวกับหร่วนซิ่วมานานแล้วผู้นั้นก็ยิ่งจิตใจเลื่อนลอย มองนางอย่างเคลิบเคลิ้ม

……

ในนครน้ำบ่อ ถนนวานรร่ำไห้ที่ขายอาวุธตระกูลเซียนโดยเฉพาะเส้นนั้นมีผู้เฒ่าที่สวมชุดตัวยาวสีเขียวคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนถนน ใบหน้าของเขาธรรมดา บุคลิกท่าทางก็สามัญทั่วไป เหมือนกับคนแก่ในตระกูลพอมีอันจะกินทั่วไป สองนิ้วของเขาลูบถูเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา เดินพลางดูไปพลาง เข้าออกอยู่หลายร้าน เพียงแต่ไม่ซื้อของ ยังดีที่บนถนนวานรร่ำไห้แห่งนี้มีเรื่องราวและคนประหลาดอยู่มากมาย จึงไม่มีใครสนใจผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนนี้เท่าใดนัก

ผู้เฒ่าเดินมาถึงร้านหนึ่ง เถ้าแก่ร้านที่ช่วงนี้ค่อนข้างจะอารมณ์ดีกำลังจิบเหล้าคำเล็กๆ มีกับแกล้มวางอยู่สองจาน คือถั่วลิสงโรยเกลือและเส้นปลาเงินที่มีเฉพาะในทะเลสาบซูเจี่ยน พอเห็นผู้เฒ่าที่สวมชุดตัวยาว เถ้าแก่ผู้เฒ่าก็ไม่แม้แต่จะเหลือบเปลือกตาขึ้นมอง

ผู้เฒ่ามีท่าทางคล้ายเสียดายเล็กน้อย ถามอย่างใคร่รู้ว่า “เถ้าแก่ กระบี่ที่เลียนแบบฉวีหวงเล่มนั้นขายไปแล้วหรือ? โอ้ ภาพสตรีงดงามก็ขายไปแล้วด้วย? เจอคนโง่ที่โดนหลอกง่ายหรือไร?”

เถ้าแก่ผู้เฒ่าที่เฝ้าร้านซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษผู้นี้มีนิสัยประหลาด เดิมทีก็ไม่ใช่คนที่ทำการค้าเป็นอยู่แล้ว หากเป็นเจ้าของร้านทั่วไป เจอกับลูกค้าที่พูดจาไม่เป็นเช่นนี้ ป่านนี้คงมองค้อนใส่หรือไม่ก็ไล่คนไปนานแล้ว ทว่าเถ้าแก่ผู้เฒ่ากลับไม่เป็นเช่นนั้น กลับกันยังเกิดอารมณ์นึกสนุก ยิ้มกล่าวว่า “ก็ใช่น่ะสิ ลูกค้าคนเดียวกันนั่นแหละ เป็นคนต่างถิ่น ดูของเก่ง ไม่ถือว่าเป็นคนโง่ที่โดนหลอกง่ายอะไรหรอก ก็แค่ทองพันชั่งยากจะซื้อความชื่นชอบก็เท่านั้น”

ผู้เฒ่าจุ๊ปากพูด “ไม่เลวๆ ฝีมือทำการค้าห่างจากปู่ของเจ้าไกลโข ทว่ากลับโชคดีกว่าเขามากนัก ขนาดของอย่างนั้นยังขายออกไปได้ ข้ายังนึกว่าพวกมันต้องอยู่กินฝุ่นไปอีกร้อยกว่าปีเสียอีก”

เถ้าแก่ผู้เฒ่าปรายตามองคนแปลกหน้าผู้นั้น “พูดจาวางโตไม่เบา เป็นเซียนซือเจ้าเกาะคนใดของทะเลสาบซูเจี่ยนงั้นรึ? เฮอะ หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าเกาะที่พอจะมีความสามารถสักหน่อย ตอนนี้ล้วนไปอยู่บนเกาะกงหลิ่วหมดแล้ว ไหนเลยจะมีเวลามาวางท่าแสร้งเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าอยู่ในร้านข้า”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างกลัดกลุ้ม “คนหลายร้อยไปกินดื่มขี้เยี่ยวอยู่บนเกาะกงหลิ่ว ที่นั่นจะไม่กลายเป็นหลุมขี้ไปเลยหรือไง”

เถ้าแก่ผู้เฒ่าอารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน “เทพเซียนที่บินไปบินมาพวกนั้นไม่ใช่คนธรรมดาอย่างเราๆ สักหน่อย เกาะกงหลิ่วกลายเป็นห้องส้วมไม่ได้หรอก อีกอย่างสถานที่ที่ไม่ต่างจากสุสานผีไร้ญาติอย่างเกาะกงหลิ่วแห่งนี้ รอให้งานประชุมจบลงเมื่อไหร่ มันจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร ใครเล่าจะสนใจ”

ผู้เฒ่าถอนหายใจ “แต่ข้ากลับสนใจ”

เถ้าแก่ผู้เฒ่ายิ่งรู้สึกว่าน่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ จึงกวักมือเรียกอีกฝ่าย “พี่ชาย มาดื่มด้วยกันสักจอกไหม?”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “รสชาติไม่ได้ดีกว่าน้ำซาวข้าวสักเท่าไหร่ ไม่ดื่มหรอก”

เถ้าแก่ผู้เฒ่าด่าขำๆ “ความหวังดีเห็นเป็นประสงค์ร้าย ไม่ดื่มก็ช่างเถิด แต่นิสัยเสียๆ ของเจ้ากลับถูกใจข้านัก ของในร้าน เชิญดูได้ตามสบาย หากถูกใจชิ้นไหนจะลดให้เจ้าเก้าส่วน”

ผู้เฒ่าโบกมือแล้วเดินออกมาจากร้าน

เขาเดินเที่ยวเล่นจนทั่วถนนวานรร่ำไห้ ไม่ได้กลับมาทะเลสาบซูเจี่ยนนานเกินไปแล้ว คนเปลี่ยนสิ่งของคงเดิม ไม่ได้เห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคยอีกแล้ว ผู้เฒ่าเดินออกจากถนนวานรร่ำไห้ มุ่งหน้ามายังตรอกแห่งหนึ่งที่เงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวายของนครน้ำบ่อ เดินมาถึงสุดปลายตรอก เขาก็ควักกุญแจออกมาไขประตูเรือน ด้านในคล้ายเป็นโลกอีกใบหนึ่ง

ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย แต่ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งจะต้องมีคนมาทำหน้าที่เก็บกวาด อีกทั้งยังตั้งใจและทุ่มเทอย่างยิ่ง ดังนั้นในเรือนที่เงียบสงัดซึ่งมีระเบียงทางเดินล้อมวนเวียนอยู่หลายชั้นแห่งนี้จึงไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่เม็ดเดียว

ผู้เฒ่าเดินมาที่ศาลาหลังหนึ่ง ผลักหน้าต่างเปิดออกแล้วตั้งใจรับฟังเสียงน้ำพุกระทบหิน เสียงสายน้ำไหลดังริกๆ

ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา ผู้เฒ่าร่างอ้วนท้วนที่ไร้สัญชาติไร้นามในนครน้ำบ่อก็มาหยุดอยู่นอกศาลา ค้อมเอวเอ่ยอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยหวังกวานเฟิงแห่งตรอกปู้ตี้คารวะท่านบรรพบุรุษหลิว”

ผู้เฒ่าหันตัวกลับมา ส่งยิ้มให้ “คือหลานของหลานเผ่าหวังสุ่ยแคว้นสือหาวกระมัง? เข้ามานั่งสิ ในอดีตสกุลหวังของพวกเจ้าเคยมีบุญคุณต่อข้า อดีตเจ้าประมุขหลายรุ่นสายสกุลหวังนครน้ำบ่อที่ย้ายออกมาจากแคว้นสือหาวอย่างพวกเจ้ารู้นิสัยของข้าดียิ่งกว่าคนหนุ่มสาวของทะเลสาบซูเจี่ยนในทุกวันนี้เสียอีก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องระมัดระวังตัวขนาดนี้”

ในศาลาไม่มีการประดับตกแต่งอะไรมากมายนัก มีเพียงเบาะรองนั่งสีขาวที่วางไว้บนพื้นไม่กี่ใบ หวังกวานเฟิงที่อันที่จริงเมื่อเทียบกับสกุลฟ่านเจ้านครน้ำบ่อแล้วยังถือว่ามีเงินมากกว่านั่งลงบนเบาะใบหนึ่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาไม่ได้ทำตัวไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเพียงเพราะผู้เฒ่ามีสีหน้าเป็นมิตรให้เห็น

ผู้เฒ่าแซ่หลิวถามสถานการณ์ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาของทะเลสาบซูเจี่ยนจากเขา หวังกวานเฟิงก็ไล่ตอบไปทีละคำถาม

หลังจากผู้เฒ่าแซ่หลิวรับฟังสถานการณ์ล่าสุดของเกาะกงหลิ่วจบก็ยิ้มกล่าวว่า “ข้าอยู่ไกลไปถึงตรอกหางผึ้งก็ยังได้ยินชื่อเสียงและบารมีอันเลื่องลือของคู่อาจารย์และศิษย์อย่างหลิวจื้อเม่ากับกู้ช่านแห่งเกาะชิงเสีย”

หวังกวานเฟิงใคร่ครวญอย่างระมัดระวังอยู่รอบหนึ่งก็ตอบว่า “ตอนนี้สกุลซ่งต้าหลีและราชวงศ์จูอิ๋งกำลังเอาทะเลสาบซูเจี่ยนมาเป็นสถานที่งัดข้อกัน พวกเราลงเดิมพันไว้ที่เกาะชิงเสีย ราชวงศ์จูอิ๋งก็น่าจะเลือกเกาะพันธมิตรทั้งสามอย่างเกาะชิงจ่ง เทียนหมู่และลี่ซู่ บุคคลสำคัญคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดมาจากเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์จูอิ๋ง มีความเกี่ยวข้องกับเกาะหวงหลี เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังตรวจสอบไม่พบว่าคนผู้นี้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด แต่ฝ่ายในของราชวงศ์จูอิ๋งคิดจะดึงกู้ช่านมาเป็นพวกหรือคิดจะฆ่าเขา น่าจะยังมีความเห็นที่ขัดแย้งกันอยู่ ไม่ได้เห็นพ้องต้องกัน ดังนั้นการลอบฆ่าครั้งก่อนในนครน้ำบ่อ กองกำลังบางกลุ่มของราชวงศ์จูอิ๋งจึงพลาดท่าครั้งใหญ่ ตัวหลิวจื้อเม่าเองยังคงเป็นขอบเขตก่อกำเนิด ไม่มีวี่แววว่าจะฝ่าทะลุขอบเขต กลับเป็นเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่อยู่ข้างกายกู้ช่านตัวนั้นที่เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดแล้ว พลังการต่อสู้น่าตื่นตะลึง แม้แต่หลิวจื้อเม่าเองก็ยังกริ่งเกรง ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจเกิดสถานการณ์ที่หางใหญ่เกินไปจนส่ายไม่ไหว (หมายถึงกองกำลังภายใต้การปกครองมีศักยภาพสูงจนกองกำลังเบื้องบนมิอาจควบคุมได้) สุดท้ายหลิวกู้สองคนต้องแบ่งทะเลสาบซูเจี่ยนกัน แต่ว่านี่คือผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อท่านบรรพบุรุษนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ”

ผู้เฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม “มารน้อยที่ชื่อว่ากู้ช่านผู้นั้น บอกว่าตัวเองคือผู้ไร้ศัตรูทัดเทียมแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างนั้นรึ?”

หวังกวานเฟิงขบคิดความนัยที่อยู่นอกเหนือจากคำพูดนี้ออก จึงถามอย่างระมัดระวัง “ท่านบรรพบุรุษต้องการให้พวกเราหันไปลงเดิมพันข้างราชวงศ์จูอิ๋งแทน?”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “มันคนละเรื่องกัน การที่หลิวจื้อเม่ามีหน้ามีตาได้อย่างทุกวันนี้ ครึ่งหนึ่งก็เพราะอาศัยกู้ช่านและเจียวหลงก่อกำเนิดตัวนั้น ให้เขาได้นั่งบนตำแหน่งของเจ้าแห่งยุทธภพทะเลสาบซูเจี่ยนสักสองสามวันก่อน ถึงเวลานั้นเมื่อกู้ช่านตายไป หลิวจื้อเม่าก็เหมือนสวะไร้ค่าไปเกินครึ่งตัวแล้ว กำแพงล้มคนช่วยกันผลัก เมื่อสองร้อยปีก่อนทะเลสาบซูเจี่ยนแซ่อะไร อีกสองร้อยปีให้หลังก็ยังคงจะเป็นแซ่นั้น”

แล้วผู้เฒ่าก็หัวเราะ “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยนไม่กลัวความตายอีกแล้ว? เด็กตัวเท่าก้นก็กล้าโอ้อวดบารมีขนาดนี้แล้วรึ?”

หวังกวานเฟิงอธิบาย “ไม่แน่เสนอไปว่าราชวงศ์จูอิ๋งจะไม่มีความคิดอยากผูกมัดใจของกู้ช่านให้มางัดข้อกับหลิวจื้อเม่า ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางปล่อยให้กู้ช่านทำตัวกำเริบเสิบสานถึงเพียนี้ แต่ความเร็วในการเติบโตของเจียวหลงตัวนั้นที่ไม่ถึงสามปีก็เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินก่อกำเนิด ช่างน่าเหลือเชื่อเกินไป ทำให้พวกเราทุกคนรู้สึกมึนงงมากจริงๆ”

เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าไม่ใช่ผู้ฝึกตนบนภูเขาประเภทที่ชอบตำหนิข้ารับใช้ด้วยถ้อยคำรุนแรง เขาพยักหน้าเอ่ยว่า “นี่จะโทษพวกเจ้าไม่ได้ ก่อนหน้านี้ข้าท่องเที่ยวอยู่กับสหายสองคนแล้วได้พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ขอบเขตและสายตาสูงกว้างไกลอย่างพวกเขาก็ยังมีความคิดเหมือนกับเจ้าหวังกวานเฟิง ต่างก็รู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อเหมือนกัน”

“ลงเดิมพันข้างหลิวจื้อเม่านั้นไม่มีปัญหา หากไม่กลัวว่าข้าจะหลอกเอาเงินของสกุลหวัง พวกเจ้าก็เอาทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลลงเดิมพันไปได้เลย”

สุดท้ายผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เพียงแต่ว่ากู้ช่านผู้นั้น ถึงเวลานั้นข้าจะเป็นคนสังหารเขาด้วยตัวเอง พวกเจ้าแค่ต้องแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด รอดูการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างเงียบๆ เท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรที่มากเกินความจำเป็น แค่รอเก็บเงินก็พอ”

หวังกวานเฟิงกลืนน้ำลาย

ผู้เฒ่าสีหน้าเฉยชา “ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีชีวิตของใครที่มีค่ามากกว่า ไม่มีใครที่สามารถฆ่าตั้งแต่หัวจรดหาง อย่างน้อยที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ที่ข้า ก็ไม่มีหลักการเหตุผลเช่นนี้”

หวังกวานเฟิงหมอบกราบลงกับพื้น

อันที่จริงทะเลสาบซูเจี่ยนนั้นมีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง เพียงแต่ว่าคนเฒ่าคนแก่ของทะเลสาบซูเจี่ยนไม่พูดถึง คนหนุ่มคนสาวจึงไม่รู้ก็เท่านั้น

……

ช่วงที่ผ่านมานี้หญิงชราคนเฝ้าประตูของจวนผู้ฝึกตนผีเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย เพราะทุกวันนางจะต้องเฝ้ารอให้นักบัญชีหนุ่มผู้นั้นมาเยี่ยมเยือน

ต่อให้ทุกครั้งที่ท่านเฉินมาเยี่ยมจะไปมาอย่างรีบร้อน แล้วก็ไม่ได้หยุดเท้าอยู่ที่หน้าประตูนานนัก เพียงแค่เอ่ยทักทายนางแล้วก็จากไป แทบจะไม่ชวนนางคุยเล่นแม้เพียงครึ่งคำ แต่กระนั้นหญิงชราที่มีนามว่าหงซู นางที่จะเป็นคนก็ไม่ใช่ จะเป็นผีก็ไม่เชิงกลับยังคงรู้สึกดีใจ

วันนี้หลังจากที่นักบัญชีจากไป นางยืนมองแผ่นหลังของคนผู้นั้นที่ค่อยๆ ห่างไปไกลอยู่ตรงหน้าประตู เป็นเหตุให้นายท่านของตัวเองมาปรากฎตัวอยู่ข้างกายแล้ว แต่นางก็ยังไม่รู้สึกตัว รอจนนางสะดุ้งโหยงเพราะคืนสติ ผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าก็แค่นเสียงเย็นชากล่าวว่า “ทำไม ยังหวังว่าจะได้เป็นนกกระจอกบินเหนือยอดไม้? ถูกคนอย่างเฉินผิงอันหมายตารับเป็นสาวใช้งั้นรึ?”

นางรีบหันไปยอบตัวให้ผู้ฝึกตนผี กล่าวอย่างน่าสงสารว่า “นายท่านล้อเล่นแล้ว บ่าวหรือจะกล้ามีความคิดที่สมควรถูกฟ้าผ่าเช่นนั้น”

ผู้ฝึกตนผีโยนถุงเงินเทพเซียนใบเล็กใบหนึ่งมาให้นาง “ช่วงนี้เฉินผิงอันจะยังมาเป็นแขกที่จวนบ่อยๆ ใช้เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญทุกวันก็มากพอจะทำให้เจ้ากลับคืนมามีรูปร่างเหมือนตอนก่อนตายได้ จากนั้นก็จะคงสภาพไปได้อีกประมาณสิบวัน เวลาที่เฉินผิงอันมาเยือนจะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่าจวนจูเสียนของข้าเป็นวังอเวจี แม้แต่คนเฝ้าประตูที่เป็นคนเป็นๆ สักคนก็ยังจ้างมาไม่ได้”

นางใช้สองมือประคองถือเงินเทพเซียนถุงนั้น จากนั้นก็โค้งกายขอบคุณ

แน่นอนว่านางไม่มีทางเกิดความคิดอะไรกับนักบัญชีที่ยังหนุ่มแน่นและอ่อนโยนคนนั้นจริงๆ สตรีบนโลกใบนี้ ไม่ว่าตัวเองจะงดงามหรืออัปลักษณ์ เมื่อได้พบกับบุรุษ ต่อให้เขาจะดีแค่ไหน ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องชอบ แล้วก็ไม่ใช่ว่าต่อให้เขาเลวร้ายแค่ไหนก็จะต้องชอบไม่ลงเสมอไป ผู้เฒ่าจันทราที่ผูกด้ายแดงให้กับชายหญิงบนโลก คิดดูแล้วคงจะเป็นผู้เฒ่าที่นิสัยเหมือนเด็กคนหนึ่งกระมัง

หงซูที่มีผมสีนิลเต็มศีรษะแต่ใบหน้ากลับแก่ชรา นางได้แต่เฝ้าอยู่หน้าประตูของจวนใหญ่ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่อไร้รสชาติจริงๆ กว่าจะได้พบเจอกับคนหนุ่มคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย นางย่อมทะนุถนอมเห็นค่า

ผู้ฝึกตนผีที่ไม่ค่อยชอบพูดคุยกับใคร วันนี้ก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตูอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาทอดสายตามองทัศนียภาพของทะเลสาบอันกว้างใหญ่นอกเกาะชิงเสียด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

ก่อนหน้านี้หลิวจื้อเม่าลงมือกับเจ้าเกาะผู้เฒ่าแห่งเกาะเทียนหมู่อย่างจริงจัง ทำให้น้ำสมองของฝ่ายหลังเกือบจะได้กลายมาเป็นโจ๊กขาวอาหารมื้อดึกของเกาะกงหลิ่วในคืนนั้น แม้ว่าภายนอกจะช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้แก่ฝั่งพันธมิตรของเกาะชิงเสีย แต่คนที่สายตาดีล้วนรู้ว่าโศกนาฎกรรมบนภูเขาพุดตาน ไม่ว่าจะใช่หลิวจื้อเม่าที่ลงมืออย่างอำมหิตอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เส้นทางการเดินสู่ยอดเขาที่มีบัลลังก์เจ้าแห่งยุทธภพรออยู่ของหลิวจื้อเม่าครั้งนี้ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคไม่น้อย และได้สูญเสียการปกป้องจากเจ้าเกาะเล็กๆ จำนวนไม่น้อยไปแล้วโดยที่มองไม่เห็น

เพราะทะเลสาบซูเจี่ยนมีกฎเหล็กอยู่สองข้อที่ต่อให้ผ่านมานานแค่ไหนก็ไม่เคยเสื่อมลง หนึ่งคือช่วยญาติไม่ช่วยผดุงคุณธรรม อีกหนึ่งคือช่วยคนอ่อนแอไม่ช่วยคนแข็งแกร่ง

ดังนั้นหลายวันมานี้บรรยากาศบนเกาะชิงเสียจึงค่อนข้างจะตึงเครียด งานเลี้ยงฉลองบนเกาะใหญ่ทั้งสิบสองเกาะก็ลดน้อยลงไปมาก

เฉินผิงอันยังคงมาเยือนสถานที่ทั้งสามแห่งอย่างจวนจูเสียน เกาะตะขอจันทร์และเกาะกาหยกอยู่บ่อยๆ อวี๋กุ้ยแห่งเกาะตะขอจันทร์เป็นคนที่พูดง่ายที่สุด การค้าขายแลกเปลี่ยนก็ราบรื่นมากที่สุด ผู้ฝึกตนใหญ่สำนักหยินหยางแห่งเกาะกาหยกผู้นั้นก็พอใช้ได้ แม้จะไม่ถึงขั้นกระตือรือร้น แต่ก็มีมาดของสำนักการค้าที่พูดจาตรงไปตรงมาน่าเชื่อถือ คนที่เฉินผิงอันรับมือได้ยากที่สุดกลับกลายเป็นผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าที่ตบะต่ำที่สุดคนนี้ เขายังคงยืนกรานว่า เว้นเสียแต่เฉินผิงอันจะสามารถเกลี้ยกล่อมหลิวจ้งรุ่นเจ้าเกาะจูไชได้ หาไม่แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคุยกัน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงต้องทำตัวเหมือนพ่อสื่อ คอยเทียวไปเทียวมาอยู่ระหว่างเกาะจูไช หลิวจ้งรุ่นนั้นใจแข็งยิ่งกว่าผู้ฝึกตนผีเสียอีก หากเจ้าเฉินผิงอันไม่พูดถึงคนแบกอาหารผู้นั้น เจ้าก็คือแขกผู้มีเกียรติของเกาะจูไช หอไข่มุกมีสุราดีชาเลิศรสและสาวงามพร้อมรอปรนนิบัติ แต่หากเจ้ามาทำหน้าที่เป็นคนพูดแทนนักการชั้นต่ำของเชื้อพระวงศ์สกุลหลิวในปีนั้น ก็อย่าหวังว่าจะได้เข้าประตูภูเขาของเกาะจูไชมา

เฉินผิงอันที่ดื้อดึงก็ไม่เข้าประตูภูเขาจริงๆ แต่ละครั้งจะทำเพียงแค่พูดคุยกับหลิวจ้งรุ่นที่ท่าเรือสองสามคำ แล้วก็พายเรือกลับ

อันที่จริงคนทั้งสองก็น่าจะคุยกันถูกคอ คราวนั้นเขาได้เดินทางท่องผ่านกาลเวลาเกือบสามร้อยปีในพื้นที่มงคลดอกบัว ได้เห็นเรื่องราวของวงการขุนนางและในตระกูลเชื้อพระวงศ์มาแล้วมากมาย เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันในตอนนี้ไม่ยินดีจะแบ่งสมาธิ แล้วก็ไม่สามารถแบ่งสมาธิไปให้ความสนใจเรื่องอื่นได้ ทว่าวันใดที่ต้องไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน เฉินผิงอันจะต้องมาเยี่ยมเยือนเกาะจูไช แล้วสอบถามผู้ฝึกตนหญิงที่ปีนั้นเกือบจะได้เป็นจักรพรรดินีคนแรกของแจกันสมบัติทวีปอย่างหลิวจ้งรุ่นถึงข้อสงสัยบางอย่างที่อยู่ในใจอย่างแน่นอน

แต่ถึงแม้จะไม่สามารถขอจิตหยินมาจากผู้ฝึกตนผีแซ่หม่ามาได้อย่างราบรื่น กระนั้นก็ยังแลกเปลี่ยนเวทคาถาวิชาผีบางส่วนต่อกันได้ เทียบกับอวี๋กุ้ยคนปลิ้นปล้อนที่สามารถพูดจาไร้แก่นสารได้เป็นสองชั่วยามแล้วกลับมีความหมายมากกว่า ส่วนผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางของเกาะกาหยกคนนั้นก็ไม่ใช่คนชอบพูดคุย ต่อให้เฉินผิงอันอยากจะคุยด้วยก็ง้างปากเขาไม่ออก ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมาเยือนจวนจูเสียนแห่งนี้มากกว่า อีกทั้งจวนนี้ก็ตั้งอยู่บนเกาะชิงเสีย เวลาเดินเล่นหลังกินข้าวมักจะมีเรื่องราวที่ขบคิดแล้วไม่เข้าใจ พอเงยหน้าขึ้นก็มาถึงที่นี่แล้ว

วันนี้ยามสนธยา เฉินผิงอันเพิ่งจะได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งจากกระบี่บินส่งข่าวของเรือนกระบี่ แล้วก็มาผ่อนคลายจิตใจที่จวนจูเสียนแห่งนี้

ทางฝ่ายของฟ่านจวิ้นเม่าแห่งนครมังกรเฒ่าตอบกลับมาแล้ว แต่มีแค่สี่คำเท่านั้น ไม่มีอะไรให้บอก

เฉินผิงอันเองก็จนปัญญา

องค์เทพขุนเขาใต้ของต้าหลีในอนาคต คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับต้นของทวีปที่สามารถทัดเทียมได้กับเว่ยป้อ แล้วนับประสาอะไรกับที่ฟ่านจวินเม่าใจแคบกว่าเว่ยป้อมากนัก จะไปแหยมกับนางไม่ได้เด็ดขาด

แต่ตอนนั้นเฉินผิงอันเขียนไว้บนจดหมายอย่างชัดเจนว่า นี่เป็นทั้งเขาเฉินผิงอันกำลังขอร้องให้ช่วย และก็ยิ่งเป็นการค้าแลกเปลี่ยนของทั้งสองฝ่ายด้วย ตามหลักแล้วฟ่านจวิ้นเม่าไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ถึงจะถูก

วันนี้เฉินผิงอันยังคงเอ่ยทักทาย ‘หญิงชรา’ คนเฝ้าประตูอยู่เหมือนเดิม ก่อนจะไปหาผู้ฝึกตนผีแซ่หม่า

เขาไม่ได้หยุดเดิน ไม่ได้ชวนคุยอะไรมากมาย หงซูที่รูปโฉมกลับคืนมาเป็นสตรีแต่งงานแล้วอายุสี่สิบปีก็ไม่รู้สึกผิดหวัง นางคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีมากแล้ว น่าแปลกที่มันกลับยิ่งทำให้นางสบายใจ

วันนี้หลังจากที่เฉินผิงอันออกมาจากจวนจูเสียนก็สังเกตเห็นว่ากู้ช่านกับหนีชิวน้อยมายืนอยู่ตรงปลายทางสายเล็ก กู้ช่านถามเฉินผิงอันว่าคืนนี้ว่างหรือไม่ บอกว่าท่านแม่เขาทำอาหารอีกแล้ว

เฉินผิงอันบอกว่าคืนนี้ไม่ได้ เขายังต้องไปดูที่เกาะอีกสองแห่งซึ่งค่อนข้างห่างจากเกาะชิงเสียไปไกล ตอนกลับมาต้องดึกมากแน่ๆ ต่อให้เป็นอาหารมื้อดึกก็คงมาไม่ทัน

กู้ช่านผิดหวังเล็กน้อย

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

กู้ช่านพาเฉินผิงอันมาส่งที่ด้านนอกเรือนตรงหน้าประตูภูเขา เขาพลันถามว่า “เฉินผิงอัน อันที่จริงเจ้ามีความเห็นบางอย่างกับท่านแม่ของข้า ใช่ไหม?”

เฉินผิงอันลูบศีรษะของเขา “เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องคิดมาก หากมีเรื่องและปัญหาจริงๆ ข้าจะหาเวลาและหาโอกาสไปพูดคุยกับท่านอาหญิง แต่เมื่ออยู่กับเจ้า ข้าจะไม่มีทางพูดอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับแม่เจ้าเด็ดขาด”

กู้ช่านคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ จากนั้นเขาก็พาหนีชิวน้อยจากไป

เฉินผิงอันเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วก็ก้มหน้าก้มตาอยู่กับกองตำรา

……

ในหอสูงของนครน้ำบ่อ

ชุยฉานวางจดหมายลับฉบับหนึ่งลง

เขานวดคลึงหว่างคิ้วแล้วขบคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด

ชุยตงซานยังคงอยู่ในบ่อสายฟ้าสีทองแห่งนั้น ไม่ได้เดินห่างออกมาแม้แต่ก้าวเดียว แต่ตอนนี้กำลังตั้งท่าฟ้าดินเลียนแบบเฉินผิงอัน

ทิศทางการเดินไปของเรื่องราวบนโลกและความขึ้นๆ ลงๆ ของจิตใจคนล้วนมีร่องรอยให้ตามหา นี่เป็นความรู้ของตัวเขาเองที่ชุยฉานให้การศึกษาค้นคว้าอย่างลึกซึ้งมาโดยตลอด

ชุยฉานพูดพึมพำกับตัวเอง “ด้านหนึ่งเพราะเฉินผิงอันมาถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ นี่เป็นเพราะสมองของกู้เทา แน่นอนว่ายังมีสมองของตัวเฉินผิงอันเองที่ดีกว่าเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวา เป็นเหตุให้ความเป็นไปได้ที่ทั้งหร่วนซิ่วและกู้ช่านจะบาดเจ็บสาหัสพ่ายแพ้กันไปทั้งคู่ถูกลบเลือนหาย แต่เดิมทีนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการฝ่าทำลายสถานการณ์ของเฉินผิงอันอยู่แล้ว ต่อให้เจ้าไม่อยู่ ข้าก็ไม่มีทางขัดขวาง”

“อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะข้าดูแคลนความอดทนของกู้ช่านไปสักหน่อย เขาไม่ได้ลงมืออย่างบุ่มบ่าม ไม่ได้สั่งให้หนีชิวตัวนั้นไปท้าทายหร่วนซิ่วในคืนนั้นโดยตรง ส่วนความรู้สึกอันดีที่หร่วนซิ่วมีต่อเฉินผิงอัน ทำให้ความสนใจของนางย้ายไปจากตัวของหนีชิว รวมไปถึงความทะเยอทะยานของเจ้าเกาะกงหลิ่วอย่างหลิวเหล่าเฉิง ทั้งสองฝ่ายล้วนมากกว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแปรที่ไม่เล็ก”

“ตามผลการอนุมานจากคลื่นมรสุมในตรอกฉีหลงปีนั้น พอจะได้ข้อสรุปคร่าวๆ อย่างหนึ่งว่า หร่วนซิ่วคือบุคคลที่เสินจวินผู้เฒ่าให้ความสำคัญอย่างมาก ถึงขั้นมากกว่าหลี่หลิ่วและฟ่านจวิ้นเม่าด้วยซ้ำ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่านางจะเป็นท่านผู้นั้นซึ่งเป็นหนึ่งในจิตวิญญาณใหญ่แห่งวิถีเทพ เป็นเหตุให้นางสามารถมองเห็นผลบุญกรรมจากร่างของคนอื่นได้ มีนางอยู่ด้วย ก็เท่ากับว่าเฉินผิงอันได้รู้หัวข้อการสอบเคอจวี่ล่วงหน้า ข้อยากข้อที่สี่นี้ ยากตรงที่มีความยากนับไม่ถ้วน ทว่าความยากนี้ได้ถูกลดทอนไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ข้าก็ยังคงปล่อยให้หร่วนซิ่วที่หาข้ออ้างมากมายเพื่อเสียเวลาอยู่ในนครลวี่ถงไม่ยอมจากไปได้อยู่ต่อในทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างถูกต้องเหมาะสม ทำให้เจ้าต้องยอมแพ้ทั้งกายและใจ”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยฉานก็ยิ้มมองชุยตงซาน

ในเมื่อหลิวเหล่าเฉิงแอบเข้ามาในอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างลับๆ แต่กลับไม่ได้อาศัยช่องทางใดๆ แจ้งข่าวให้สายลับต้าหลีรู้

นี่หมายความว่าหลังจากผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนอย่างหลิวเหล่าเฉิงท่านนี้ไปสนิทสนมกับสวินยวนบรรพจารย์แห่งสำนักกุยหยกแล้ว ก็ได้คิดที่จะทุบหม้อข้าวจมเรือ เลือกที่จะเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดของทะเลสาบซูเจี่ยนมาเป็นเดิมพัน เพื่อเป็นใบรับรองให้สำนักกุยหยกมาสร้างสำนักเบื้องล่างที่ทะเลสาบซูเจี่ยน โดยทั่วไปแล้วหากหลิวจื้อเม่าที่บัญชาการณ์เกาะชิงเสียรวบรวมทะเลสาบซูเจี่ยนให้เป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ ในฐานะที่หลิวเหล่าเฉิงคือเจ้าเกาะกงหลิ่ว จึงยังมีความสัมพันธ์เก่าแก่ที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำอีกมากมาย ขอแค่ที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกคือทะเลสาบซูเจี่ยน หลิวเหล่าเฉิงก็ไม่ขาดทุน แถมยังได้กำไรนิดๆ หน่อยๆ อีกด้วย ก็แค่กำไรก้อนใหญ่ล้วนถูกหลิวจื้อเม่าและสกุลซ่งต้าหลีที่อยู่เบื้องหลังคว้าไปก็เท่านั้น เพียงแต่ว่าคนที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ หากเป็นสถานการณ์ดีที่มีโอกาสชนะห้าต่อห้า ใครเล่าจะไม่ยอมเดิมพัน? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุคคลอันดับหนึ่งในบรรดาผู้ฝึกตนอิสระแห่งแจกันสมบัติทวีปอย่างหลิวเหล่าเฉิงนี่เลย บวกกับที่ต่อให้หลิวจื้อเม่าจะมีกองกำลังแข็งแกร่งมากพอ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลิวเหล่าเฉิงที่มีรากฐานลึกล้ำอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน หากฝ่ายหลังคอยก่อกวน ก็ไม่แน่เสมอไปว่าฝ่ายแรกจะยินดีเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ

นี่ก็คือสถานการณ์ใหญ่

ที่อยู่บนร่างของหลิวเหล่าเฉิง

คนคนหนึ่งที่ได้ยึดครองแนวโน้มของสถานการณ์ที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อไว้เพียงลำพัง

นี่เป็นเรื่องยากถึงเพียงใด

หลิวจื้อเม่ายังห่างชั้นไกลนัก ผลงานครึ่งหนึ่งล้วนอาศัยลูกศิษย์อย่างกู้ช่านและสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง มีพลังอำนาจน้อยนิดราวกับสตรีที่ค่อยๆ เก็บหอมรอมริบทรัพย์สมบัติให้ครอบครัวตัวเอง จะมาเปรียบเทียบกับตะพาบเฒ่าอย่างหลิวเหล่าเฉิงที่ขี่ม้าถือทวนบุกเดี่ยวเข่นฆ่าจนเกิดทางสายโลหิตได้หรือ? ตบะ นิสัยใจคอ ฝีมือ ล้วนไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน หากให้เวลาหลิวจื้อเม่าอีกสักร้อยสองร้อยปี รวบรวมเส้นสายสร้างกิจการของตน จากนั้นเลื่อนเป็นห้าขอบเขต ถึงจะพอเป็นไปได้

หันกลับมามองหลิวเหล่าเฉิง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นวีรบุรุษของพื้นที่แถบหนึ่งที่ตัวชุยฉานเองชื่นชมอย่างมาก

ชุยตงซานเดินกลับหัว เอ่ยชวนคุยว่า “หร่วนซิ่วอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนต่อ เจ้าก็สามารถคล้อยไปตามสถานการณ์ได้เหมือนกัน ตัวแปรที่เกิดจากการชักนำของหมากสำคัญตัวสองตัวที่พัฒนาไปด้วยตัวเอง ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อสถานการณ์ใหญ่เลยแม้แต่น้อย สามารถถ่ายโอนเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ใหญ่ที่เจ้าต้องการได้เหมือนกัน”

ชุยตงซานพลิกตัวกลับมายืนนิ่งอีกครั้ง พูดด้วยสีหน้าไม่อนาทรร้อนใจว่า “แค่หาข้ออ้างให้เจ้าคนแซ่ซ่ง บอกให้พวกเขารีบไปจากนครลวี่ถงก็สิ้นเรื่อง”

ชุยฉานถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมต้องทำแบบนี้? เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าได้กำไรก้อนเล็กไป แต่เจ้าไม่ต้องการหรือ?”

ชุยตงซานขยี้ซีกหน้าตัวเองอย่างแรง “แน่นอนว่าข้าต้องการเดิมพันครั้งใหญ่! หากแพ้ อย่างมากก็แค่ล้มละลาย หากชนะ ข้าก็จะไปจากสำนักศึกษาซานหยา ช่วยเจ้าวางแผนรับมือกับสถานการณ์ใหญ่ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป”

คราวนี้ชุยฉานคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ จำต้องถามว่า “แล้วทำไมต้องทำแบบนี้?”

ชุยตงซานตอบอย่างหน้าไม่อายว่า “ข้าชอบ! ชอบเห็นเวลาที่เจ้าคิดคำนวณไปมา แต่ผลกลับพบว่าตัวเองคำนวณเจอแต่ผายลม”

ชุยฉานหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องผิดหวังแล้ว”

ชุยตงซานออกหมัดมั่วซั่วคำรบหนึ่ง คราวนี้เป็นฝ่ายที่เขาต้องถามบ้าง “ทำไมล่ะ?”

ชุยฉานยิ้มตาหยี “เจ้าลองเดาดูสิ”

ชุยตงซานพลันถามว่า “หากหลิวเหล่าเฉิงสังหารกู้ช่าน สถานการณ์ครั้งนี้จะไม่กลายเป็นหัวเสือหางงูหรอกหรือ?” (เริ่มต้นได้สวยงามแต่จบลงแบบแย่)

ชุยฉานถามกลับ “คนที่ต้องร้อนใจจริงๆ คือข้างั้นหรือ? ต้องเป็นเจ้าไม่ใช่หรือไง?”

ชุยตงซานหัวเราะหึๆ

ชุยฉานยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องเอ่ยถ้อยคำที่เป็นการทำลายบรรยากาศแล้ว หากเฉินผิงอันเริ่มเผชิญหน้ากับผีที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมซึ่งมีมากมหาศาลเหล่านั้นอย่างตรงไปตรงมาเมื่อไหร่ จะต้องมีเรื่องราวที่น่าสนใจเกิดขึ้นอีกมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ ต่อให้มีเพียงวัตถุหยินตนเดียว หรือญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ของวัตถุหยินตนหนึ่งที่เอ่ยถามเฉินผิงอันต่อหน้าว่า ‘ขอโทษ? ไม่จำเป็น ชดใช้? ก็ไม่จำเป็นอีกเหมือนกัน คิดจะใช้ชีวิตแลกชีวิต เจ้าทำได้หรือ?’ เมื่อถึงเวลานั้น เฉินผิงอันจะจัดการอย่างไร? หลุมในใจหลุมนี้ ควรจะข้ามไปอย่างไร? นี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในความยากที่มีมากมายนับไม่ถ้วนเท่านั้น”

ชุยตงซานกระโดดเหยงๆ ใช้สองมืออุดหู “ไม่ฟังๆ ตะพาบเฒ่าท่องคัมภีร์ไม่น่าฟังเลยจริงๆ”

……

ทางฝั่งหน้าประตูเรือนจูเสียน

วันนี้เฉินผิงอันมานั่งอยู่บนธรณีประตู สตรีที่มีนามว่าหงซูผู้นั้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่อาศัยปราณวิญญาณที่ดูดซับจากเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญทุกวันมารักษาความเยาว์เอาไว้ ทำให้เพียงไม่นานนางก็กลับคืนมามีลักษณะเป็นหญิงชราเหมือนตอนที่ได้พบกันครั้งแรกอีกครั้ง

และวันนี้จู่ๆ เฉินผิงอันก็ควักกระดาษและพู่กันออกมา ยิ้มกล่าวว่าอยากถามเรื่องในอดีตบางอย่างจากนาง ไม่รู้ว่าจะเหมาะหรือไม่ แต่เขาไม่มีความหมายอย่างอื่น ขอนางอย่าได้เข้าใจผิด

ก่อนจะตอบคำถาม นางที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องด้านข้างอันมืดมิดยิ้มถามว่า “ท่านเฉิน ท่านคือคนของสำนักนักประพันธ์ในบรรดาเมธีร้อยสำนักจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่ แต่ข้ามีสหายคนหนึ่งที่ชอบเขียนบันทึกแห่งภูเขาและแม่น้ำ เขียนได้ดีมากด้วย ข้าหวังว่าในอนาคตเมื่อได้เจอกับสหายคนนี้อีกครั้ง จะเอาเรื่องที่ได้พบเห็นและได้ยินมาไปเล่าให้เขาฟัง หรือไม่ก็บันทึกเอาไว้แล้วเอาให้เขาอ่าน”

นางจับชายกระโปรง เดินเร็วๆ มาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามว่า “นั่งได้ไหม?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ที่นี่คือบ้านเจ้านะ”

นางนั่งลงพร้อมรอยยิ้ม ห่างจากเฉินผิงอันมาระยะหนึ่ง

นางกล่าวอย่างลำบากใจเล็กน้อย “ท่านเฉิน บอกไว้ก่อนเลยนะว่า ข้าไม่มีเรื่องราวอะไรให้เล่ามากนักหรอก หากท่านเฉินฟังจบแล้วอาจจะรู้สึกผิดหวัง อีกอย่างๆ ชื่อของข้าจะไปปรากฏบนหนังสือเล่มนี้ได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ต้องได้แน่อยู่แล้ว ขอแค่เจ้าไม่ถือสา อีกทั้งเมื่อคุยกันจบแล้ว เจ้าต้องเตือนข้าด้วยว่าเรื่องไหนเขียนได้ เรื่องไหนเขียนไม่ได้ เรื่องราวและบุคคลใดที่เขียนได้มากเขียนได้น้อย ถึงเวลานั้นข้าจะได้กำชับเพื่อนคนนั้นของข้า”

สองมือของนางที่กำแน่นวางไว้บนหัวเข่า สีหน้าสดใสเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา

ใบหน้าของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองนางด้วยสายตาที่อ่อนโยนและใสกระจ่าง ประหนึ่งกำลังมองแม่นางที่ดีงามคนหนึ่ง

นางรีบลุกขึ้นยืน ยอบตัวคารวะอย่างลิงโลดและซุกซนหนึ่งทีถึงได้นั่งลง คลี่ยิ้มราวบุปผาผลิบาน

แล้วนางก็เริ่มพูดจ้อถึงเรื่องราวของตัวเอง ถึงขั้นนึกถึงบุคคลและเรื่องราวมากมายที่นางเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองลืมไปนานแล้ว

เฉินผิงอันจดลงไปทีละเรื่อง

บางครั้งพูดเหนื่อยแล้วนางก็จะจ้องเป๋งไปยังนักบัญชีที่ใบหน้าซีดขาวน้อยๆ ซึ่งกำลังก้มหน้าตั้งใจเขียนตัวอักษรโดยที่ไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรไม่เหมาะสม

สุดท้ายเฉินผิงอันเก็บพู่กันและกระดาษ กุมหมัดคารวะเอ่ยขอบคุณ

นางปิดปากหัวเราะคิกคักไม่หยุด จากนั้นก็เอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน จำไว้ว่าบอกเพื่อนท่านสักคำว่า ต้องจัดพิมพ์เป็นหนังสือด้วยนะ หากไม่ได้จริงๆ ข้าสามารถช่วยออกเงินเกล็ดหิมะได้สองสามเหรียญ”

เฉินผิงอันยู่หน้า “ไหนเลยจะกล้ารับเงินจากเจ้าอย่างไร้มโนธรรมเช่นนั้น วางใจเถอะ เงินเล็กน้อยแค่นี้สหายข้ายังพอมี อีกอย่างเจ้าเองก็ต้องเชื่อในความสามารถด้านการประพันธ์ของเขา ต้องมีร้านขายหนังสือยินดีซื้อไปขายต่อแน่นอน”

หลังจากเฉินผิงอันจากไปแล้ว

‘หญิงชรา’ คนเฝ้าประตูก็ยังมีรอยยิ้มเต็มหน้า ถึงขั้นอดใจไม่ไหวกระโดดโลดเต้นอยู่ตรงที่เดิม

ผลกลับพบว่านายท่านแห่งจวนจูเสียนมายืนอยู่ข้างกาย

นางรีบหุบรอยยิ้ม

คิดไม่ถึงว่านายท่านผู้เคร่งขรึมเย็นชาจะถามนางว่า “คราวหน้าเจ้าบอกกับเฉินผิงอันหน่อยว่า เรื่องระหว่างข้ากับองค์หญิงใหญ่หลิวจ้งรุ่นก็เขียนลงไปได้เหมือนกัน ขอแค่เขายินดีเขียน ข้าจะให้เงินร้อนน้อยเจ้าหนึ่งเหรียญเป็นค่าตอบแทน”

นางกล่าวอย่างขลาดๆ “หากบ่าวพูดเกลี้ยกล่อมท่านเฉินไม่ได้ล่ะ? นายท่านจะลงโทษบ่าวหรือไม่?”

ผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าสบถด่า หมุนตัวก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูไป “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเขาหูหนวกตาบอด ไม่เกี่ยวกับหญิงอัปลักษณ์อย่างเจ้า มารดามันเถอะ เรื่องราวหยุมหยิมไร้สาระของเจ้าจะสามารถเทียบกับบุญคุณความแค้นที่ฟังแล้วฮึกเหิมระหว่างข้าผู้อาวุโสกับหลิวจ้งรุ่นได้หรือ? เขาเฉินผิงอันไม่ใช่คนโง่สักหน่อย…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้ฝึกตนผีก็กระแอมหนึ่งที หันหน้ามาพูดว่า “เวลาที่เจ้าพูดเรื่องนี้กับเฉินผิงอัน จำไว้ว่าต้องพูดให้ดีๆ พยายามเกลี้ยกล่อมเขาให้ได้”

นางเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก รีบพยักหน้ารับอย่างแรง

แต่จากนั้นนางก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อย เอ๊ะ? นายท่านของตนหัดเข้าอกเข้าใจคนอื่นและเป็นคนมีเหตุผลแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!