Skip to content

Sword of Coming 440

บทที่ 440 ขัดเกลากระบี่ในยามที่ไม่ฝึกกระบี่

วันนี้มีคนของห้องกระบี่มาที่หน้าเรือนเพื่อแจ้งกับเฉินผิงอันว่ามีกระบี่บินจากต่างถิ่นส่งมาถึงเกาะชิงเสียอีกครั้งแล้ว เฉินผิงอันจึงรีบออกจากห้องไปทันที

หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็น่าจะเป็นจดหมายตอบกลับมาจากจงขุย

แล้วก็จริงดังคาด เมื่อไปถึงห้องกระบี่ที่รับกระบี่บินส่งข่าวจากสี่ด้านแปดทิศ เฉินผิงอันก็ได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งที่ส่งมาจากภูเขาไท่ผิง น่าเสียดายก็แต่บนจดหมายจงขุยเขียนว่าช่วงนี้มีธุระเร่งด่วน หัวไชเท้าที่ถอนออกจากดินยังมีโคลนเกาะ (เปรียบเปรยว่าทำงานได้ไม่เรียบร้อยจึงมีปัญหาตามมา) ตามจุดต่างๆ ด้านลางภูเขาของใบถงทวีปยังมีภูตผีปีศาจออกอาละวาดอยู่ทั่ว แม้ว่าจะอันตรายไม่มากเท่าก่อนหน้านี้ แต่กลับยิ่งทำให้คนรู้สึกสะอิดสะเอียน ช่างเป็นภูตผีที่ฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่หมดไม่สิ้นสักที เขายังหาเวลาปลีกตัวมาไม่ได้ หากว่างเมื่อไหร่จะต้องรีบมาทันที แต่เฉินผิงอันก็อย่าฝากความหวังไว้มากนัก ช่วงนี้เขาจงขุยคงไม่ได้ออกจากใบถงทวีปแน่นอนแล้ว

เฉินผิงอันรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ถึงอย่างไรตอนนี้จงขุยก็ไม่เพียงแต่ถูกสำนักศึกษาถอดตำแหน่งวิญญูชนออกไปแล้ว ยังมีร่างเป็นภูตผี หากเจอกับปีศาจก่อกำเนิด ไม่มีสถานะของสำนักศึกษาก็เท่ากับว่าสูญเสียยันต์คุ้มกันกายที่ใหญ่ที่สุดไปแผ่นหนึ่งแล้ว

หลังจากความกังวลใจผ่านพ้นไป เฉินผิงอันก็เก็บจดหมายลับ เดินออกจากห้องกระบี่ เริ่มพึมพำอยู่กับตัวเอง สบถด่าจงขุยอยู่ในใจขันๆ ว่าไม่มีคุณธรรม ในจดหมายเขียนถึงข้อมูลซึ่งคล้ายคลึงกับรายงานของทะเลสาบซูเจี่ยนไว้ตั้งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เหยาจิ้นจือร่วมคัดเลือกสาวงามเข้าไปอยู่ในวัง องค์ชายทั้งสามท่านของต้าเฉวียนเริ่มพากันฉายความโดดเด่น เส้นทางชีวิตมีขึ้นมีลง เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอได้รับโชควาสนาเทียมฟ้า จวนปี้โหยวได้เลื่อนขั้นกลายเป็นตำหนักเทพปี้โหยว เรื่องอะไรทำนองนี้ล้วนเล่ามาหมด ทว่าวิชาสั่งผีออกจากใต้ดิน หรือเวทอัญเชิญจิตวิญญาณกลับคืนสู่โลกมนุษย์กลับไม่ได้เขียนลงบนจดหมายแม้แต่คำเดียว

เฉินผิงอันไปจากห้องกระบี่ได้ไม่นาน เจ้าเกาะหลิวจื้อเม่าก็มาเยือนที่แห่งนี้อย่างไม่มีลางบอกกล่าว ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนของห้องกระบี่เงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว นี่ถือเป็นเรื่องหายากที่พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้เลย สกัดคงคาเจินจวินแทบไม่เคยก้าวเข้ามาในห้องกระบี่แห่งนี้ หนึ่งเพราะเจ้าเกาะก่อกำเนิดท่านนี้มีเนินกระบี่ขนาดเล็กระดับสูงของตระกูลเซียนที่สามารถรับและส่งกระบี่บินได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นวัตถุที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำและสะดวกสบายมากกว่า สองเพราะหลิวจื้อเม่าที่อยู่บนเกาะชิงเสียแทบไม่เคยออกมาข้างนอก เว้นเสียจากว่าไปเยือนจวนชุนถิงอันเป็นที่พักของกู้ช่านในบางครั้ง ก็มีแค่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดอย่างหูเถียนจวินและเจ้าเกาะใต้อาณัติทั้งหลายที่จะมีโอกาสได้พบหน้าหลิวจื้อเม่า

หลิวจื้อเม่าไพล่สองมือไว้ด้านหลัง ค้อมเอวก้มหน้าจ้องมองกระบี่บินส่งข่าวจากภูเขาไท่ผิงที่กำลังดูดซับปราณวิญญาณจาก ‘รางหญ้า’ อยู่บนชั้นวางกระบี่ น่าจะต้องการยืนยันให้แน่ใจว่าคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิง’ นั้นเป็นจริงหรือเท็จ

ในแจกันสมบัติทวีป กระบี่บินส่งข่าวที่มาจากตระกูลเซียนสำนักใหญ่ทุกเล่มมักจะใช้เวทลับเฉพาะสลักชื่อสำนักของตระกูลตัวเองลงไปอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย เดิมทีนี่ก็เป็นการสยบขวัญที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ในแจกันสมบัติทวีป ยกตัวอย่างเช่นสำนักโองการเทพ ศาลลมหิมะและภูเขาเจินอู่ล้วนเป็นเช่นนี้ นอกจากนี้แล้ว สวนลมฟ้าที่มีหลี่ถวนจิ่งผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน อีกทั้งยังสามารถกำราบผู้คนได้เป็นอย่างดี กระบี่บินส่งข่าวครึ่งหนึ่งของสวนลมฟ้าก็เป็นหลี่ถวนจิ่งก่อกำเนิดอันดับหนึ่งที่สมศักดิ์ศรีของแจกันสมบัติทวีปที่ใช้ปลายกระบี่ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตตัวเองสลักตัวอักษรสองคำว่า ‘ลมฟ้า’ ลงไปด้วยมือตัวเอง

เพียงแต่เล่าลือกันว่าหลี่ถวนจิ่งสิ้นชีพในสนามรบและไปจุติใหม่แล้ว สวนลมฟ้าจึงมีคนหนุ่มสองคนอย่างหวงเหอและหลิวป้าเฉียวเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์รับช่วงดูแลต่อ บวกกับที่ศัตรูคู่อาฆาตอย่างภูเขาตะวันเที่ยงได้ลุกผงาดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครทัดทานได้ ต่อให้หวงเหอจะเป็นที่น่าจับตามองอย่างถึงที่สุด และหลิวป้าเฉียวก็ถือเป็นผู้ที่มีความหวังบนมหามรรคา แต่สวนลมฟ้าที่ไม่มีหลี่ถวนจิ่งจะยังเป็นสวนลมฟ้าอยู่อีกหรือ? ถึงอย่างไรพลังอำนาจของพวกเขาในทุกวันนี้ก็เทียบกับอดีตไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้ผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปต่างก็คาดเดากันว่าหวงเหอเจ้าสวนคนใหม่ที่เปิดตัวมาก็สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนบนหอเทพเซียนของศาลลมหิมะผู้นั้น จะสามารถแบกภาระหนักอึ้งได้จริงๆ เมื่อไหร่

ขอแค่เจอกับกระบี่บินที่สลักชื่อก็มีผู้ฝึกตนอิสระเพียงหยิบมือเท่านั้นที่กล้าดักเอากระบี่บินมา โดยทั่วไปแล้วแค่ได้เห็นชื่อ พวกเขาก็จะเป็นฝ่ายปล่อยกระบี่บินกลับไปเอง จะไม่กล้าทำลายตราผนึกออกโดยพลการเพื่อหาหายนะใส่ตัวเด็ดขาด

ตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งอื่นๆ ต่างก็ใจตรงกันอย่างมาก ไม่มีใครที่หน้าใหญ่พอจนกล้าทำเรื่องเช่นนี้ ทางฝั่งของสำนักกระบี่หลงเฉวียน เซียนดินต่งกู่เคยเสนอความเห็นแก่หร่วนฉงว่า ในเมื่อตอนนี้พวกเราคือสำนักที่มีอักษรคำว่าจงอยู่ในชื่อแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สามารถสลักตัวอักษรลงบนกระบี่บินส่งข่าวได้แล้วหรือเปล่า หร่วนฉงที่แม้จะไม่เคยพูดคุยเล่นหัวกับใคร แต่ก็น้อยครั้งนักที่จะชักสีหน้าใส่ลูกศิษย์ในสำนัก ตอนนั้นกลับหน้าเขียวคล้ำ ทำเอาต่งกู่ตกใจรีบเก็บคำพูดที่เหลือกลับไป และหร่วนฉงก็เอ่ยเย้ยหยันตัวเองมาหนึ่งประโยคว่า ‘สำนักที่ไม่มีก่อกำเนิดสักคนจะถือว่าเป็นสำนักที่มีอักษรคำว่าจงอยู่ในชื่อได้อย่างไร’

ผู้ดูแลห้องกระบี่ปลุกความกล้าถามขึ้นเบาๆ ว่า “เจ้าเกาะ กระบี่บินเล่มนี้ไม่เพียงแต่สลักสามคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิง’ เท่านั้น อีกฝั่งหนึ่งของตัวกระบี่ยังมีตัวอักษรสลักไว้อีก”

หลิวจื้อเม่าอืมรับหนึ่งที ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาหมุนเบาๆ กระบี่บินที่ลอยอยู่กลางรางกระบี่ก็พลิกหมุน เผยให้เห็นสามคำว่า ‘ศาลบรรพจารย์’

หลิวจื้อเม่าหรี่ตาลง ถอนหายใจอยู่ในใจ ดูท่านักบัญชีผู้นั้นจะได้รู้จักกับบุคคลที่ร้ายกาจอย่างมากในใบถงทวีป

ก่อนหน้านี้หลิวจื้อเม่าเป็นฝ่ายลดเกียรติไปขออภัยอีกฝ่ายถึงเรือนด้วยตัวเอง พูดจาตรงไปตรงมากับเฉินผิงอัน เดิมทีหลิวจื้อเม่ายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับคำกล่าวของเฉินผิงอันที่บอกว่า ‘ต้าหลีติดค้างของบางอย่างกับเขา’ ตอนนี้ก็ยังคงไม่เชื่อทั้งหมด แต่ก็ถือว่าเชื่อเพิ่มมากขึ้นอีกส่วนหนึ่ง ความสงสัยก็ย่อมต้องลดน้อยลงไปส่วนหนึ่ง

กระบี่บินส่งข่าวจากศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิง ตระกูลเซียนใหญ่อันดับที่สามของใบถงทวีป

หากนำมาวางไว้ในแจกันสมบัติทวีปที่มีอาณาเขตเล็กสุดในบรรดาเก้าทวีป ก็พอจะเทียบเท่าได้กับกระบี่บินที่ออกมาจากโถงปทุมมาลย์ในมือของฉีเจินเทียนจวินสำนักโองการเทพ

นี่น่าตกใจอย่างมาก

หลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วที่ไม่ค่อยเห็นทะเลสาบซูเจี่ยนอยู่ในสายตาอาจจะไม่สนใจ แต่เขาหลิวจื้อเม่าที่แค่จะเป็นเจ้าของร่วมของทะเลสาบซูเจี่ยนยังยากลำบากขนาดนี้กลับต้องชั่งน้ำหนักให้ดีๆ

กระบี่บินบินข้ามทวีปแล้วย้อนกลับไป ต้องเผาผลาญปราณวิญญาณเยอะมาก กินเงินเทพเซียนเยอะมาก

ผู้ฝึกตนหลายคนที่เป็นผู้ดูแลห้องกระบี่ของเกาะชิงเสียเคยปรึกษากันด้วยเรื่องนี้โดยเฉพาะ นอกจากเรื่องที่ต้องรายงานเถียนหูจวินว่ากระบี่บินบินมาจาก ‘ภูเขาไท่ผิง’ แล้ว ควรจะต้อง ‘ถือโอกาส’ พูดถึงเรื่องเงินร้อนน้อยหลายเหรียญนั่นด้วยไหม เพียงแต่ว่าพอชั่งน้ำหนักดูแล้ว ทุกคนก็กัดฟัน ตัดสินใจว่าจะไม่นำเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไปรบกวนเถียนหูจวิน สุดท้ายทุกคนของห้องกระบี่ก็ช่วยกันควักกระเป๋า จัดการกับค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินร้อนน้อยไม่กี่เหรียญนี้ไป ทุกคนทั่วทั้งเกาะชิงเสียสมควรจะช่วยกันแบ่งเบาภาระ มีทุกข์ร่วมต้านนี่นะ

หลิวจื้อเม่าดึงสายตากลับมา หันหน้าไปถาม “กระบี่บินเล่มนี้กินเงินเทพเซียนของห้องกระบี่ ท่านเฉินได้พูดอะไรหรือไม่?”

ผู้ดูแลห้องกระบี่ส่ายหน้า “ไม่เคย ดูเหมือนว่าท่านเฉินจะไม่ค่อยเข้าใจกฎของห้องกระบี่สักเท่าไหร่”

หลิวจื้อเม่ายิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าได้บอกท่านเฉินเป็นนัยๆ บ้างไหม? กฎเป็นอย่างนี้ พูดไปก็ไม่เป็นไร ไม่อย่างนั้นวันหน้าห้องกระบี่ย่อมต้องขาดทุนแน่นอน”

ผู้ดูแลหลักขนลุกขนชันอยู่ในใจ รีบตอบทันทีว่า “ทางห้องกระบี่ไม่เคยบอกเป็นนัยเลยแม้แต่นิดเดียว!”

หลิวจื้อเม่าพูดพึมพำกับตัวเอง “ท่านเฉินผู้นี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งไม่ทำตัวห่างเหินกับเกาะชิงเสียเราแล้วนะ อืม อันที่จริงก็เป็นเรื่องดี”

หลิวจื้อเม่าถามอีก “เมื่อสองวันก่อนท่านเฉินมาส่งจดหมายอีกสองฉบับกลับบ้านเกิดจากที่นี่งั้นรึ?”

ผู้ดูแลหลักพยักหน้ารับ “ล้วนเป็นกระบี่บินที่ส่งข่าวไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียน แต่ว่าต่างกันเล็กน้อย ฉบับหนึ่งส่งไปภูเขาพีอวิ๋น อีกฉบับหนึ่งส่งไปที่ภูเขาลั่วพั่ว”

หลิวจื้อเม่าพลันถามว่า “พวกเจ้าคิดว่าท่านเฉินผู้นี้คบค้าสมาคมด้วยง่ายหรือไม่?”

ทุกคนของห้องกระบี่หันมามองหน้ากัน หลิวจื้อเม่าเห็นเช่นนั้นจึงโบกมือ “ช่างเถิด พวกเจ้าเดินไปไม่ถึงก้าวนั้นอยู่แล้ว”

หลิวจื้อเม่าก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็ไปจากห้องกระบี่ที่ปราณกระบี่ปะปนกันวุ่นวาย กลับไปยังจวนเหิงโปของตนโดยตรง

เถียนหูจวินที่ก่อนหน้านี้มารายงานข่าวกับเขาด้วยตัวเองยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา หลิวจื้อเม่ากล่าวว่า “ไปค้นหาตามที่เฉินผิงอันต้องการ ไม่ว่าต้องเปลืองกำลังคนและทรัพยากรมากเท่าไหร่ก็ต้องทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสียในช่วงนี้ จำไว้ว่าอย่าทำให้โจ่งแจ้งใหญ่โตเกินไปนัก แค่ทำให้สำเร็จเงียบๆ ก็พอ คราวหน้าก็พาคนกลับมาเกาะชิงเสียด้วย เฉินผิงอันฉลาดมากพอ แล้วนี่ก็ไม่ใช่การคบค้าสมาคมกับจวนชุนถิง พวกเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องวาดงูเติมขา”

เถียนหูจวินพยักหน้ารับคำสั่ง ไม่ได้พูดอะไรที่เกินความจำเป็นแม้แต่คำเดียว ถึงอย่างไรอาจารย์ของนางท่านนี้ก็ไม่ชอบฟังสิ่งเหล่านั้น แทนที่จะพูดจาประจบยกยอเป็นกระบุงโกย ไม่สู้ทำงานเล็กๆ ให้ได้รับบันทึกไว้บนบัญชีคุณความชอบ อาจารย์ต้องมองเห็นอยู่แล้ว

หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว “วันนี้ห้องกระบี่ทำเรื่องดีอย่างที่หาได้ยาก คนสี่คนที่รวมถึงผู้ดูแลหลักนับว่าฉลาดพอสมควร เจ้าไปลบบันทึกที่พวกเขาแอบยักยอกเงินในช่วงร้อยปีนี้บนเอกสารลับออกซะ ถือซะว่าเงินฝนธัญพืชที่ได้มาด้วยการไม่รักษากฎสี่สิบกว่าเหรียญนั้นเป็นค่าตอบแทนเพิ่มเติมที่แม้พวกเขาจะไม่มีคุณความชอบก็ยังมีคุณความเหนื่อยยาก”

เถียนหูจวินพยักหน้ารับ เดิมทีหากอิงตามกลยุทธ์ที่อาจารย์กำหนดไว้แล้ว หลังจากได้กลายเป็นเจ้าแห่งยุทธภพจะต้องมีการตบรางวัลให้ขุนนางผู้มีคุณความชอบและการเชือดไก่ให้ลิงดูอย่างยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง ดำเนินการสองแนวทางไปพร้อมกัน บางส่วนคือเปิดเผยอยู่บนโต๊ะ บางส่วนจัดการลับๆ อยู่ใต้โต๊ะ เพียงแต่ว่าตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป มีหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วเพิ่มมาคนหนึ่ง การทำอย่างแรกจึงไม่เหมาะสมแล้ว ได้แต่ถ่วงเวลาออกไป รอให้สถานารณ์ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน ทว่าการกระทำที่โง่เง่าของพวกไม่รู้ความบางคนชักนำให้อย่างหลังยิ่งเพิ่มระดับความยากมากขึ้น ใครจะกล้ามาหาเรื่องซวยในเวลานี้ นั่นย่อมต้องถูกคิดบัญชีย้อนหลัง บวกกับการใช้กฎอันเข้มงวดในช่วงเวลาที่วุ่นวาย คงต้องมีคนตายจริงๆ

เถียนหูจวินออกไปจากจวนเหิงโปอย่างเงียบเชียบ

กลับไปยังเกาะซู่หลินที่ตัวเองบุกเบิกพื้นที่ก่อสร้างจวน เหล่าหญิงรับใช้ในจวนที่เจอกับ ‘บรรพจารย์’ เซียนดินท่านนี้ แต่ละคนพากันมาเอาอกเอาใจ บางคนก็พอจะมีความจริงใจอยู่บ้าง แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ

สำหรับเรื่องพวกนี้ เถียนหูจวินไม่มีความชื่นชอบหรือรังเกียจเลยแม้แต่น้อย ขอข้าวกินอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ไม่ทำอย่างนี้ หากไม่ต้องเป็นวัวเป็นม้ารับใช้คนอื่นไปชั่วชีวิต อาจอนาถยิ่งกว่านั้นคือค่อยๆ หิวตาย

นางบอกให้ผู้เฒ่าคนสนิทสองคนที่ย้ายมาอยู่ที่จวนบนเกาะซู่หลินกับตนนำเรื่องที่เฉินผิงอันเสนอและหลิวจื้อเม่าสั่งความ แยกกันไปบอกกล่าวแก่ห้องตกปลาของเกาะชิงเสียที่มีประสบการณ์ในการจัดการเรื่องทำนองนี้มากที่สุด รวมไปถึงบอกแก่เกาะใต้อาณัติสองแห่งที่สนิทสนมกันดีกับนาง ให้พวกเขาร่วมมือกันไปทำเรื่องนี้ให้ดี

นางเดินอยู่บนทางลับที่ยาวหลายลี้เพียงลำพัง ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ห้องลับที่นางใช้ตั้งใจฝึกตนซึ่งตั้งอยู่กลางเกาะเบื้องใต้จวนของเกาะซู่หลิน ยิ่งเดินลงไปข้างล่าง โชคชะตาน้ำที่เกิดจากปราณวิญญาณบริสุทธิ์ก่อตัวกันก็ยิ่งเข้มข้น คำว่าห้องลับนี้ แท้จริงแล้วก็มีแค่เก้าอี้ตัวหนึ่งวางไว้ข้างลำคลองใต้ดินเส้นหนึ่งเทานั้น ตลอดทั้งพื้นที่ใต้ดินเป็นสีเขียวเข้มที่เป็นภาพการจำแลงของโชคชะตาน้ำ ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น กลางผนังเหนือศีรษะของห้องลับยังมีแสงจันทร์สีเงินยวงส่องลอดออกมาเป็นเส้นๆ จากนั้นก็พากันไหลกรูเข้าไปในปากของเจียวหลงหลายตัวที่สลักไว้บนเก้าอี้ตัวนั้น

เมื่อเถียนหูจวินนั่งลงบนเก้าอี้มังกรเก่าแก่ที่สภาพทรุดโทรมตัวนั้น นางก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม สองมือกุมที่วางแขนเก้าอี้ มีปราณของเจียวหลงและปราณวิญญาณโชคชะตาน้ำพากันแทรกซึมเข้ามากลางฝ่ามือของนางอย่างต่อเนื่อง ไหลกรูกันเข้าหาช่องโพรงลมปราณทั้งหลายในร่างอย่างบ้าคลั่ง ปราณวิญญาณสั่นกระเพื่อม ขัดเกลาตบะให้เพิ่มพูน

ใบหน้าของเถียนหูจวินบิดเบี้ยว บนใบหน้ามีทั้งความเจ็บปวดแล้วก็ความปิติสุข

เหงื่อไหลท่วมทั่วร่าง

หนึ่งชั่วยามต่อมา เถียนหูจวินลืมตาขึ้น พ่นลมหายใจสกปรกขุ่นมัวออกมาหนักๆ โบกชายแขนเสื้อเบาๆ ลมปราณขุ่นมัวเฮือกนั้นก็ไหลตามลำคลองใต้ดินหายเข้าไปยังทะเลสาบซูเจี่ยน ไม่อาจกัดเซาะแทรกซอนปราณวิญญาณอันล้ำค่าของสถานที่แห่งนี้ได้

เถียนหูจวินเหนื่อยล้าเล็กน้อย แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความพึงพอใจ บนเส้นทางของการฝึกตน ความลำบากยากเข็ญที่ต้องพบเจอทำให้คนหวาดกลัว ทว่าความสุขที่ได้จากมันก็เหนือกว่าความรักระหว่างชายหญิงบนโลก ดังนั้นในสายตาของผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางที่ผลัดครรภ์เปลี่ยนกระดูก โดยเฉพาะผู้ฝึกตนเซียนดิน คำสาบานว่าจะรักกันชั่วฟ้าดินสลายและจะยึดมั่นในสัญญาไม่แปรเปลี่ยนระหว่างชายหญิงก็แค่ทำให้เจ็บๆ คันๆ ได้เท่านั้น แต่ก็ไม่มีเรื่องใดที่ตายตัวเสมอไป หากมหามรรคาเกี่ยวพันกับด่านความรัก ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดก็ยังต้องแปดเปื้อนดินโคลนเต็มตัว แม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่ให้ตายก็ไม่ยอมดึงตัวให้หลุดพ้นออกมา

เกี่ยวกับเรื่องนี้ หลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด

ด้วยพรสวรรค์ในการฝึกตนที่เรียกได้ว่าเลิศล้ำน่าตื่นตาตื่นใจของคนผู้นี้ เดิมควรเลื่อนขั้นเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนเร็วกว่าเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะถึงจะถูก

หากเขาเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ ก้าวข้ามปราการธรรมชาตินั้นไปได้ ก็มีความเป็นไปได้มากว่าแม้แต่ขอบเขตเซียนเหรินก็อาจเป็นของในกระเป๋าของหลี่ถวนจิ่ง

ถึงเวลานั้นใครที่จะได้เป็นบุคคลอันดับหนึ่งในบรรดาผู้ฝึกตนท้องถิ่นของแจกันสมบัติทวีปอย่างแท้จริง?

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสองมีคุณสมบัติมากพอหรือไม่?

ต้องรู้ว่าฉีเจินเทียนจวินลัทธิเต๋าที่เป็นผู้นำของผู้ฝึกตนในแจกันสมบัติทวีปตอนนี้ ก็เพิ่งจะได้เลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหรินเท่านั้น

แต่หลี่ถวนจิ่งบุคคลยิ่งใหญ่ที่ได้ครออบครองโชคชะตาวิถีกระบี่ของหนึ่งแคว้นกลับไม่อาจผ่านด่านที่พวกคนอย่างเถียนหูจวินไม่ให้ความสนใจไปได้

มหามรรคายากจะคาดเดาก็เป็นเช่นนี้เอง

เถียนหูจวินเก็บความคิดทั้งหมดลง เริ่มใคร่ครวญถึงอนาคตของตัวเองอย่างละเอียด

บนมหามรรคา ทัศนียภาพงดงามอย่างไร้ขีดจำกัด แต่จะเอาแต่มองทิวทัศน์อันยิ่งใหญ่ตระการตาของคนอื่นก็ไม่ได้ ตนก็ควรมีทัศนียภาพที่ทำให้คนอื่นอิจฉาอย่างถึงที่สุดเช่นกัน นั่นต่างหากถึงจะเป็นวิถีที่แท้จริง

พอคิดถึงศิษย์น้องเล็กที่นอนป่วยอยู่บนเตียง

อารมณ์ของเถียนหูจวินก็พลันซับซ้อน

พอลุกขึ้นยืน เหงื่อและคราบสกปรกที่ติดอยู่บนชุดกระโปรงก็หายวับไปในชั่วพริบตา

นางเดินขึ้นหน้าไปหลายก้าว มาหยุดยืนอยู่ริมลำคลองใต้ดิน จมสู่ภวังค์ของความคิด

ระหว่างคู่อาจารย์และศิษย์อย่างหลิวจื้อเม่าและกู้ช่านนี้ ความรู้สึกภายในใจของเถียนหูจวิน อันที่จริงกลับโน้มเอียงไปทางศิษย์น้องเล็กกู้ช่านมากกว่า หาใช่อาจารย์ที่มีอุบายลึกล้ำ เพื่อมหามรรคาแล้วไม่ว่าใครก็ฆ่าได้ผู้นั้น อีกทั้งการเข่นฆ่าของเขายังทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก ใกล้ตายแล้วก็ยังไม่รู้สาเหตุที่ตัวเองต้องตาย นี่ต่างหากจึงจะเป็นจุดที่น่ากลัวที่สุด

หันกลับมามองกู้ช่านที่แม้จะพยศยากกำราบ ทำการค้าไม่เป็น แต่ขอแค่นางเถียนหูจวินพยายามอย่างไม่ลดละ ยอมทุ่มเทให้ไปส่วนหนึ่ง กลับง่ายกว่าที่จะได้รับสิ่งตอบแทนที่น่าประหลาดใจกลับคืนมาทั้งสองฝ่าย ถึงอย่างไรศิษย์น้องเล็กก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง สามารถรับมือกับกองกำลังฝ่ายต่างๆ ที่ภายนอกมองดูเหมือนสลับซับซ้อน แต่แท้จริงแล้วกลับยังไม่อาจเข้าใจถึงเส้นสนกลในที่ซ่อนลึกอยู่ใต้ทะเลสาบซูเจี่ยนได้อย่างแท้จริง ไม่รู้ว่านั่นต่างหากจึงจะเป็นกฎที่แท้จริงของทะเลสาบซูเจี่ยน กู้ช่านใช้คนไม่เป็น รู้จักแต่จะฆ่าคนเท่านั้น ไม่รู้จักรักษาสิ่งที่มีอยู่ ดีแต่จะกล้าได้กล้าเสียอย่างเดียว ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่แผนในระยะยาว

ดังนั้นสติปัญญาจึงบอกแก่เถียนหูจวินว่า สามารถเดิมพันก้อนใหญ่ลงบนร่างกู้ช่านได้ แต่ห้ามทุ่มหมดเนื้อหมดตัวไปสนับสนุนกู้ช่านได้เด็ดขาด เพราะเขาชอบเดินบนทางที่เสี่ยงมากเกินไป

เถียนหูจวินอยู่ไกลเกินกว่าจะงัดข้อกับอาจารย์อย่างหลิวจื้อเม่าได้ และมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่า ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่มีหวังว่าจะทำได้

อันที่จริงเถียนหูจวินเสียดายอย่างมาก เสียดายที่เวลาสั้นๆ เพียงแค่สามปี กู้ช่านก็สามารถรวบรวมแผ่นดินเล็กๆ มาให้ตัวเองได้แล้ว แต่พอขึ้นไปอยู่บนตำแหน่งสูงเข้าจริง กลับไม่เคยคิดว่าควรจะรักษาแผ่นดินนั้นไว้อย่างไร อันที่จริงนางค่อยๆ สอนเขาไปทีละนิดได้ ถ่ายทอดประสบการณ์ที่ตัวเองใคร่ครวญมาอย่างยากลำบากสองร้อยกว่าปีให้แก่เขา แต่กู้ช่านเติบโตเร็วเกินไป เร็วจนแม้แต่หลิวจื้อเม่าและคนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนต่างก็รับมือไม่ทัน กู้ช่านจะยอมรับฟังความเห็นจากเถียนหูจวินได้อย่างไร? บางทีหากมีเวลาอีกหลายสิบปีให้กู้ช่านที่ทั้งคุณสมบัติ นิสัยและพรสวรรค์ล้วนดีเยี่ยมค่อยๆ ขัดเกลาตัวเองไป ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าเขาอาจจะสามารถนั่งอยู่ในระดับทัดเทียมกับหลิวจื้อเม่าผู้เป็นอาจารย์ได้จริงๆ

น่าเสียดายที่หลิวเหล่าเฉิงกลับมา

เพียงชั่วพริบตาก็เล่นงานให้ทั้งกู้ช่านและหนีชิวตัวนั้นกลับคืนสู่สภาพเดิม

ในตำราประวัติศาสตร์กล่าวว่าความล้ำค่าของแคว้นที่ตั้งตัวเป็นอิสระนั้นอยู่ที่ว่า มีกองกำลังเป็นของตัวเอง ผู้ปกครองกุมอำนาจตัดสินเป็นตาย

แต่จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นไม่ได้ ถึงอย่างไรทะเลสาบซูเจี่ยนก็เป็นพื้นที่แถบหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งยังต้องเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบพันปี ความอันตรายใหญ่หลวงและโชควาสนายิ่งใหญ่มาพร้อมกัน

กองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็ดี ราชวงศ์จูอิ๋งก็ช่าง ไม่ว่าสุดท้ายแล้วใครที่จะได้กลายเป็นไท่ซ่างหวงแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน ก็ล้วนหวังว่าจะได้ครอบครอง ‘อ๋องเจ้าเมือง’ คนหนึ่งที่สามารถควบคุมสถานการณ์ของทะเลสาบซูเจี่ยนเอาไว้ได้ หากทำไม่ได้ ต่อให้ได้เป็นเจ้าแห่งยุทธภพแล้วก็ยังต้องถูกเปลี่ยนอยู่ดี และต้องถูกตัดสินเป็นตายเพียงชั่วเวลาลัดนิ้วมือ

เถียนหูจวินไม่เคยรู้สึกว่าศิษย์น้องเล็กกู้ช่านทำได้แย่ ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่กู้ช่านทำมากพอจะทำให้นางหวาดหวั่นและเคารพยำเกรงได้แล้ว เพียงแต่ดูเหมือนว่าเขายัง…ทำได้ไม่ดีพอ อีกทั้งสถานการณ์ใหญ่ก็ไม่เคยรอใคร

ตอนนี้สถานการณ์ใหญ่ม้วนหอบมาถึงแล้ว จะทำอย่างไรดี?

เถียนหูจวินพลันนึกถึงนักบัญชีหนุ่มที่พักอยู่ตรงหน้าประตูภูเขาคนนั้น

เขามีความสามารถมากพอจะหยุดยั้งไม่ให้สถานการณ์ใหญ่ท่วมทับทะเลสาบซูเจี่ยนและเกาะชิงเสียหรือไม่ เขาจะชดเชยช่วยเหลือได้จริงๆ หรือ?

เถียนหูจวินส่ายหน้า

ยากเกินไปแล้ว

……

เฉินผิงอันกลับเข้ามาในห้อง นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ เอกสารที่ควรรวบรวมและเรียบเรียงล้วนจัดการเสร็จสิ้นหมดแล้ว

ภูตผีวัตถุหยินที่พอจะรวบรวมมาได้ก็ล้วนพูดคุยกับอวี๋กุ้ยแห่งเกาะตะขอจันทร์และผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางเกาะกาหยกเรียบร้อยแล้ว หม่าหย่วนจื้อแห่งจวนจูเสียนยังไม่รับปากว่าจะขายให้ แต่ก็รับปากแล้วว่าจะรวบรวมและคัดเลือกวัตถุหยินเอาไว้ให้ก่อน ขอแค่เฉินผิงอันทำเรื่องนั้นได้สำเร็จ จวนจูเสียนก็สามารถนำวัตถุหยินทั้งหมดที่เตรียมพร้อมไว้ออกมา ถึงเวลานั้นควรจะจ่ายด้วยราคากี่เหรียญเงินเทพเซียนก็คือเท่านั้น ทว่าเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ยิ่งเฉินผิงอันไปชนตอบนเกาะจูไชของหลิวจ้งรุ่นบ่อยครั้งขึ้น ดูเหมือนว่าหม่าหย่วนจื้อผู้ฝึกตนผีก็เริ่มจะหมดอาลัยตายอยากแล้วเหมือนกัน เริ่มยอมอ่อนให้ คิดว่าจะถอยให้ก้าวหนึ่ง ขอแค่เฉินผิงอันเชิญหลิวจ้งรุ่นให้มาเยือนเกาะชิงเสียได้ เขาก็สามารถมอบวัตถุหยินครึ่งหนึ่งที่สะสมไว้ในธงเรียกวิญญาณและบ่อน้ำ ถือเป็นค่ามัดจำไว้ก่อน

จดหมายที่เฉินผิงอันส่งไปให้เว่ยป้อบนภูเขาพีอวิ๋น หลักๆ แล้วคือสอบถามเรื่องการซื้อภูเขาและมีเรื่องเล็กๆ อีกสองสามเรื่องให้เว่ยป้อช่วยเหลือ

จดหมายทางบ้านที่ส่งไปยังภูเขาลั่วพั่วก็คือบอกจูเหลี่ยนว่าไม่ต้องเป็นห่วง ตนที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนไม่มีอันตราย ไม่ต้องมาหาเขาที่นี่ แล้วก็ให้จูเหลี่ยนบอกเผยเฉียนว่าให้รออยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างสบายใจ แค่อย่าลืมว่าวันที่สามสิบวันสิ้นปีของปีนี้ต้องเรียกเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูไปเฝ้าคืนที่บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงด้วยกัน หากกลัวหนาวก็ไปหาซื้อถ่านไม้ดีๆ มาจากเมืองเล็ก ตอนกลางคืนที่เฝ้าคืนจุดไฟไว้สักกระถางหนึ่ง พอพ้นยามจื่อไปแล้ว หากง่วงจริงๆ ก็นอนหลับได้เลย แต่วันที่สองอย่าลืมติดกลอนคู่ปีใหม่และตัวอักษรฝูด้วย สิ่งของพวกนี้ห้ามจ่ายเงินซื้อเด็ดขาด ผู้เฒ่าแซ่ชุยบนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่เขียนตัวอักษรได้สวยงาม ให้เขาช่วยเขียนก็ได้แล้ว กระดาษพื้นสีแดงที่ใช้เขียนกลอนคู่และตัวอักษรฝูของเมื่อปีก่อนยังใช้ไม่หมด ส่วนที่เหลือเก็บไว้ยังมีพอให้ใช้ เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูรู้ว่าเก็บไว้ที่ไหน สุดท้ายกำชับเผยเฉียนว่าเช้าตรู่ของวันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง ตอนที่จุดประทัดในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงอย่าเล่นสนุกเกินไปนัก เพื่อนบ้านในตรอกหนีผิงมีแต่เรือนหลังเล็ก ตรอกก็คับแคบ อย่าจุดประทัดมากเกินไป หากยังรู้สึกไม่สาแก่ใจก็ให้กลับไปจุดที่ภูเขาลั่วพั่ว อยู่ที่นั่นจะจุดประทัดมากเท่าไหร่ก็ได้ ไม่เป็นไร แต่หากคิดว่าตัดไม้ไผ่มาทำประทัดยุ่งยากเกินไป ก็ไปหาซื้อเอาจากที่ร้านในเมืองเล็ก เงินเล็กน้อยแค่นี้ไม่ต้องประหยัดให้มากเกินไป อีกอย่างคือเรื่องเกี่ยวกับหงเปา (ซองแดง/อั่งเปา/เงินแต๊ะเอีย) ปีใหม่ ต่อให้เขาเฉินผิงอันไม่อยู่ที่บ้านเกิดก็ยังต้องมี วันที่หนึ่งหรือวันที่สอง สหายของเขาอย่างเว่ยป้อต้องมาเยี่ยมเยียน ถึงเวลานั้นทุกคนล้วนต้องได้รับ แต่เวลาที่ขอหงเปาจากคนอื่น ทุกคนก็ห้ามลืมพูดจาเป็นมงคลให้เยอะๆ กับเว่ยป้อก็ยิ่งห้ามไร้มารยาท

เฉินผิงอันหยิบพู่กันปลายแหลมเล็กที่ตัวด้ามทำจากไม้ไผ่ม่วงซึ่งวางอยู่บนแท่นวางพู่กันขึ้นมาเป่าลมใส่เบาๆ แต่กลับนิ่งอึ้งไป พอวางพู่กันลงแล้ว เขาก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ที่มากว่านั้นคือรู้สึกผิด

แท่นวางพู่กันบนโต๊ะเฉินผิงอันเป็นคนทำขึ้นเอง ส่วนตัวพู่กันนั้นเจ้าเกาะไผ่ม่วงเป็นผู้มอบให้ ตอนนั้นเฉินผิงอันเปิดปากของไม้ไผ่ม่วงสามลำมากจากเขา เจ้าเกาะเป็นคนดีแล้วก็เป็นให้ถึงที่สุด ยังมอบพู่กันที่ทำขึ้นด้วยวิธีเฉพาะของเกาะไผ่ม่วงให้เฉินผิงอันอีกสองด้าม แน่นอนว่าเป็นพู่กันไผ่ม่วงชั้นเยี่ยมที่มีคุณภาพสูงสุด ปลายพู่กันส่วนเล็กๆ ที่แหลมคมยังโปร่งใส มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด ทำมาจากเวทลับไม่แพร่งพรายของเจ้าเกาะไผ่ม่วง ต่อให้เป็นแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง แต่ขอแค่เป่าปราณวิญญาณลงไปเบาๆ ก็สามารถทำให้มันเหมือนถูกจุ่มหมึกจนชุ่มฉ่ำ ตวัดพู่กันได้อย่างอิสระเสรี ลายหมึกส่งกลิ่นหอม ถึงขั้นช่วยป้องกันไม่ให้กระดาษที่เขียนถูกมอดกัดได้นานเป็นร้อยปี เป็นเหตุให้ ‘พู่กันไผ่ทะเลสาบ’ ด้ามนี้ถูกนำไปส่งขายไกลถึงบนและล่างภูเขาของราชวงศ์จูอิ๋ง คือของตกแต่งบนโต๊ะหนังสืออันดับหนึ่งของเหล่าขุนนางชนชั้นสูง ต่อให้ไม่สามารถนำมาเขียนได้ แต่แค่วางอวดไว้บนแท่นวางพู่กันก็ทำให้เจ้าของพึงพอใจได้แล้ว

ตอนนั้นเฉินผิงอันทำหน้าหนารับเอาไว้ และยังขอพู่กันปลายเล็กที่เหมาะสำหรับเขียนตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวันอีกสองด้าม

เหล็กหมาดหิมะที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ในปีนั้นก็มีความมหัศจรรย์คล้ายคลึงกันนี้ แค่เป่าลมก็ชุ่มด้วยหมึก หลังจากเป่าลมใส่แล้ว หากปราณวิญญาณชุ่มโชกเกินไป ก็แค่ต้องวางไว้บนแท่นวางพู่กันหรือแท่นห้อยพู่กันเท่านั้น จะไม่มีทางมี ‘น้ำหมึก’ หยดลงมา แต่หากน้อยเกินไป เขียนไปได้ครึ่งหนึ่งหมึกหมด ก็แค่ต้องเป่าลมใส่เบาๆ อีกครั้ง สะดวกสบายอย่างมาก อีกทั้งหากเป็นห้าธาตุที่ออกมาจากช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิต รอยหมึกก็จะมีสีสันแตกต่างกันไป มีประโยชน์อย่างมาก ดังนั้นผู้ฝึกตนหญิงบนภูเขาหลายคนจึงมีงานอดิเรกคือการเขียนจดหมายหากัน

เฉินผิงอันไม่ฝึกหมัด ไม่ฝึกลมปราณมานานมากแล้ว อีกทั้งหลังจากผ่านศึกใหญ่ครั้งนั้นกับหลิวเหล่าเฉิงมา ร่างกายก็ค่อยๆ ประสานตัวหายดี ทว่าจนกระทั่งบัดนี้เขาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตทั้งสองของตนแห้งขอดลงถึงขั้นนี้แล้ว ช่องโพรงที่เดิมทีมีหัวใจบุ๋นสีทองอยู่ เวลานี้เต็มไปด้วยหลุมบ่อ สภาพเละเทะไม่เหลือชิ้นดี ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าคืนนั้นเพื่อจับเจี้ยนเซียน ไม่ต่างจากการสูบน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา การเผาป่าให้ราบเพื่อล่าสัตว์ แล้วก็สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงให้กับ ‘จวนน้ำ’ ที่มีคนจิ๋วชุดเขียวอยู่กันหลายคนด้วย เพียงแต่ว่าผลกระทบนี้มากกว่าที่เฉินผิงอันคาดการณ์ไว้ ถึงขั้นที่ว่าปราณวิญญาณในจวนน้ำไม่เหลือเลยแม้แต่หยดเดียว

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนอย่างไม่ลังเล พายเรือข้ามฟากธรรมดาๆ ที่คนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนรู้จักกันเกือบหมดลำนั้นไปเยือนเกาะซู่หลิน ขอพบเถียนหูจวิน

ผู้ดูแลจวนตอบกลับมาอย่างขออภัยว่าเจ้าเกาะปิดด่าน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะปรากฎตัว เขาไม่กล้าไปรบกวนโดยพลการ แต่หากมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ ต่อให้หลังจบเรื่องเขาจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักก็จะต้องไปแจ้งเจ้าเกาะให้ท่านเฉินให้จงได้

ปิดด่านได้แค่ครึ่งเดียว คือข้อห้ามใหญ่สำหรับการฝึกตน

เฉินผิงอันไม่ใช่นกน้อยที่เพิ่งหัดบินในยุทธภพ จึงรีบยิ้มพูดกับผู้ฝึกตนเฒ่าที่ใบหน้าเต็มไปด้วย ‘ความกล้าหาญพร้อมยอมตาย’ ผู้นั้นว่าไม่มีเรื่องเร่งด่วน ก็แค่เขามาเยือนเกาะซู่หลินหลายครั้งแล้ว แต่กลับไม่เคยนั่งลงพูดคุยกับเจ้าเกาะเถียนดีๆ เลยสักครั้ง ช่วงนี้รบกวนเจ้าเกาะเถียนอยู่บ่อยครั้ง วันนี้พอมีเวลาว่างก็เลยมาเยือนเพื่อขอบคุณ เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนการปิดด่านฝึกตนของเจ้าเกาะอยู่แล้ว

ผู้ฝึกตนที่เป็นผู้ดูแลจวนรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เฉินผิงอันเตรียมจะจากไป แต่จู่ๆ ก็ยิ้มถามว่า “ได้ยินว่าที่จวนเก็บชากูเหนียงของเกาะเฉาเอ๋อเอาไว้ บางครั้งก็จะเอาออกมารับรองแขก ในเมื่อข้าก็มาแล้ว จะขอรบกวนดื่มชาสักถ้วยให้หายคอแห้งก่อนจะกลับไปได้หรือไม่? หากหลังจบเรื่องเจ้าเกาะเถียนโกรธ ผู้อาวุโสก็บอกว่าข้าตื๊อไม่เลิกรา ป่าวประกาศว่าหากไม่ได้ดื่มชาจะไม่ยอมจากไป ผู้อาวุโสถึงจำต้องยอมสิ้นเปลืองสักครั้ง”

ผู้ฝึกตนเฒ่าของจวนหัวเราะปากกว้าง รีบพานักบัญชีท่านนี้เข้าไปในจวน และไม่นานก็ยกชากูเหนียงเกาะเฉาเอ๋อที่เปี่ยมล้วนไปด้วยปราณน้ำตามธรรมชาติมากาหนึ่ง

เฉินผิงอันดื่มชาพลางชวนผู้ฝึกตนเฒ่าคุยเล่นไปด้วย

ทั้งสองฝ่ายคุยกันถูกคออย่างยิ่ง

หลังจากเฉินผิงอันกล่าวอำลา ผู้ฝึกตนเฒ่าก็เดินไปส่งเขาถึงท่าเรือเกาะซู่หลินด้วยตัวเอง โบกมือลานักบัญชีท่านนั้นอย่างแรง

ระหว่างที่เดินกลับจวน ผู้ฝึกตนเฒ่าฮึกเหิมอย่างยิ่ง แม้จะเป็นช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บ ทว่าบนใบหน้าของผู้เฒ่ากลับเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาดุจวสันต์ฤดู

วันนี้ตนช่างมีหน้ามีตาใหญ่โตซะจริง

หลังออกมาจากเกาะซู่หลิน เฉินผิงอันก็ไม่ได้ย้อนกลับไปที่เกาะชิงเสีย แต่ไปที่เกาะจูไช

น้ำชาของเกาะเฉาเอ๋อหนึ่งกา สำหรับจวนน้ำที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นแล้ว ไม่ต่างจากการใช้น้ำหนึ่งแก้วดับไฟท่วมเกวียนหนึ่งคัน ยังจำเป็นต้องซื้อยาลับที่รวบรวมโชคชะตาน้ำไว้ได้อย่างเข้มข้นมาอีกส่วนหนึ่ง

ในเมื่อเถียนหูจวินปิดด่าน ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่มาหาหลิวจ้งรุ่นแล้ว

ว่ากันว่าปีนั้นที่แคว้นของหลิวจ้งรุ่นล่มสลาย นางได้แอบเก็บเอาของดีๆ ออกมาจากคลังลับของราชวงศ์มากมาย ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ เฉินผิงอันไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น

หลังจากได้พูดคุยกับหม่าหย่วนจื้อแห่งจวนจูเสียน บวกกับที่ได้เรียบเรียงประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของทะเลสาบซูเจี่ยน เขาก็ค้นพบว่าหลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชแห่งนี้ถือเป็นผู้ฝึกตนที่ทำการค้าอย่างยุติธรรม สองร้อยปีกว่าที่ผ่านมา ไม่เคยมีประวัติเสียหายมาก่อน

หากเป็นเพราะหลิวจ้งรุ่นมีชาติกำเนิดจากตระกูลเชื้อพระวงศ์ เกิดมาจึงมีความสามารถในการเก็บงำอำพราง เป็นเหตุให้สองร้อยกว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยเผยพิรุธเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบุคคลเบื้องหลังที่มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่จนสามารถคำนวณถึงความคิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของเขาที่คิดจะมาซื้อยากับหลิวจ้งรุ่นในวันนี้ได้ ถ้าอย่างนั้นเขาเฉินผิงอันก็ยอมรับชะตากรรม

วันนี้หลิวจ้งรุ่นไม่ได้มารับเขาด้วยตัวเอง

เป็นเรื่องปกติอย่างมาก คาดว่าคงเป็นเพราะรำคาญการกระทำที่เป็นดั่งพ่อสื่อแม่ชักของนักบัญชีท่านนี้จริงๆ

สองครั้งก่อนหน้านี้เฉินผิงอันนำเรือมาจอดเทียบท่า หลิวจ้งรุ่นก็คร้านจะปรากฏตัวแล้ว แต่ส่งลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่รูปโฉมงดงามโดดเด่นอย่างถึงที่สุดคนหนึ่งให้ทำหน้าที่เป็นผู้ ‘ขัดขวาง’ ตรงท่าเรือแทน เฉินผิงอันจำชื่อนางไม่ได้ เพราะการกระทำของคนตลอดทั้งเกาะจูไชยังพอจะถือว่าบริสุทธิ์ผุดผ่อง เมื่ออยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนก็นับว่าไม่ง่ายเลย เมื่อเทียบกับเกาะอวิ๋นอวี่ที่มีผู้ฝึกตนหญิงมากมายเช่นกัน แต่กลับถูกผู้ฝึกตนชายของทะเลสาบซูเจี่ยนหัวเราะหยันเรียกว่าเป็น ‘เกาะคณิกา’ แล้ว ชื่อเสียงของสองฝ่ายเรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว ตอนนั้นเฉินผิงอันขึ้นฝั่งที่นี่ก็เพราะอยากรู้เรื่องบางอย่างจากหลิวจ้งรุ่นเจ้าของเกาะ ส่วนผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ของเกาะจูไช เฉินผิงอันไม่อยากคบค้าสมาคมด้วยแม้แต่น้อย

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเฉินผิงอันสูงส่งถึงเพียงไหน แต่เป็นเพราะเขารู้ดีว่าทุกคำพูดและทุกการกระทำของตนที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนจะต้องนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่อาจคาดการณ์หลากหลายรูปแบบ ต่อให้เป็นเรื่องดี ก็แค่เหมือนปักบุปผาลงบนผ้าแพรเท่านั้น แต่หากเป็นเรื่องร้าย นั่นก็คือหายนะที่นำความตายมาสู่ตัว

คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก หากเมื่อไหร่ที่ตกอยู่ในหลุมพรางทางตัน จำต้องเดินลงเนินไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลายครั้งที่จะเดินหน้าหรือถอยหลังก็มักขาดฐานให้พึ่งพิง จะหันซ้ายหรือหันขวาก็ล้วนยากลำบาก ง่ายที่จะทำให้คนเคว้งคว้าง

ตอนนี้นอกจากจะต้องพิจารณาถึงผลได้ผลเสียของตนอย่างรอบคอบ รวมไปถึงชั่งน้ำหนักวิธีการฝ่าทลายสถานการณ์อย่างระมัดระวังแล้ว หากยังมีเวลาคิดพิจารณาเพื่อคนที่อยู่รอบด้าน ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะพาตัวออกไปจากวงล้อมนี้ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำผิดแล้วผิดอีก ผิดซ้ำซาก

เฉินผิงอันบอกจุดประสงค์การมาเยือนอย่างชัดเจน

ผู้ฝึกตนหญิงหน้าตางดงามบุคลิกไม่ธรรมดาผู้นั้นยิ้มถาม “ท่านเฉิน ครั้งนี้ไม่ได้มาพูดแทนผู้ฝึกตนผีคนนั้นจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับรอง “ไม่ใช่จริงๆ”

นางกระทืบเท้าเบาๆ อย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย พูดบ่นว่า “ท่านเฉินทำให้ข้าต้องแพ้พนันเงินเกล็ดหิมะตั้งสิบเหรียญเชียวนะ”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “หากข้าพูดว่าสมน้ำหน้า ข้ายังจะได้ไปพบอาจารย์เจ้าเกาะของเจ้าอยู่ไหม?”

ผู้ฝึกตนหญิงตอบอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก “ได้สิ”

เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “สมน้ำหน้า”

ผู้ฝึกตนหญิงหลายคนของเกาะจูไชที่แอบอยู่ในมุมมืดห่างไปไกลพากันส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลิวจ้งรุ่น บางคนก็เป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่เพิ่งมาอยู่บนเกาะได้ไม่นาน อายุไม่มากเท่าไหร่ ถึงได้กล้าทำเช่นนี้

ผู้ฝึกตนหญิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าอย่างนั้นท่านเฉินไปที่หอแสงอัญมณีที่ยอดเขาเอง ได้ไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ได้สิ”

ผ่านประตูภูเขามา นางก็ทิ้งเฉินผิงอันไว้คนเดียวจริงๆ ส่วนตัวเองวิ่งไปซุบซิบกับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่อยู่ในห้องข้างตรงประตูภูเขา หลังจากนั้นผู้ฝึกตนหญิงบางคนที่ลงเดิมพันผิดข้างเหมือนนางก็พากันควักเงินเกล็ดหิมะออกมาให้คนที่ชนะแต่โดยดี

เด็กสาวผู้โชคดีคนหนึ่งที่ได้เงินมาจนสองมือแทบจะรองรับไว้ไม่อยู่ยื่นหน้าออกมา พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังใส่แผ่นหลังของนักบัญชีหนุ่ม “ท่านเฉิน ขอบคุณนะ!”

นักบัญชีที่เดินขึ้นเขาไปช้าๆ ไม่ได้หันกลับมา เพียงแค่ยกมือขึ้นโบก น่าจะเป็นการบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ

ในห้องข้างของประตูภูเขา ผู้ฝึกตนหญิงเจ็ดแปดคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่แพ้หรือชนะล้วนหัวเราะครืนเสียงดัง

เฉินผิงอันมาพบกับหลิวจ้งรุ่นที่สวมชุดชาววังหรูหราในหอแสงอัญมณี คนทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน ฝ่ายหลังชงชาอย่างคล่องแคล่ว ทุกการกระทำล้วนเผยให้เห็นถึงความสูงศักดิ์สง่างามที่แท้จริง

มิน่าเล่าถึงได้ยินว่าในอดีตจวนชุนถิงเคยเชิญหลิวจ้งรุ่นอยู่สองครั้ง แต่นางกลับปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม

หลิวจ้งรุ่นถาม “ท่านเฉินไม่เป็นห่วงสภาพร่างกายของตัวเองในตอนนี้สักนิดเลยหรือ?”

เฉินผิงอันจึงพูดเข้าประเด็นทันที “เป็นห่วงสิ นี่ข้าก็มาที่เกาะจูไชของพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ อยากจะขอซื้อยาวิเศษที่เหมาะแก่การบำรุงปราณน้ำในจวนลมปราณจากเจ้าเกาะหลิวสักหน่อย หากข้าจำไม่ผิด บ้านเกิดของเจ้าเกาะหลิวในปีนั้นเคยมีตำหนักวารีหนึ่งหลังและเรือมังกรหนึ่งลำที่เจ้าเกาะหลิวสร้างขึ้นด้วยตัวเอง ทั้งสองอย่างนี้ล้วนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป”

หลิวจ้งรุ่นพยักหน้ารับ “ยาที่เหมาะกับการบำรุงช่องโพรงธาตุน้ำและวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเซียนดิน ข้าไม่เพียงแต่มี อีกทั้งยังมีอยู่หลายชนิดด้วย แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของราคาว่าสูงหรือต่ำ อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ของล้ำค่าเช่นนี้ ข้ากลับไม่กล้าเอาออกมาขาย เพราะหากมันเผยตัวขึ้นบนโลก เว้นเสียแต่ว่าข้าจะสามารถเอาออกมาขายได้เรื่อยๆ แล้วล่ะก็ ไม่อย่างนั้นก็มีแต่คำว่าตายอย่างเดียวเท่านั้น เชื่อว่าด้วยสติปัญญาของท่านเฉินย่อมเข้าใจปมของปัญหาเรื่องนี้”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าก็คงรู้สึกร้อนลวกมือเหมือนกัน หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ จะไม่มีทางเอาออกมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินฝนธัญพืชเด็ดขาด”

หลิวจ้งรุ่นส่งชาตระกูลเซียนของเกาะหงอิ๋นที่มีไอน้ำลอยอบอวลถ้วยหนึ่งมาให้ ภายใต้แสงแดดสาดส่อง บนถ้วยชาถึงขั้นมีสายรุ้งขนาดจิ๋วยาวประมาณหนึ่งนิ้วมือเส้นหนึ่งลอยขึ้นมา

หลิวจ้งรุ่นยิ้มถามว่า “ท่านเฉินเป็นคนเข้าใจอะไรได้ดี ถ้าอย่างนั้นลองบอกสิว่า เหตุใดข้าต้องเปิดปากบอกราคาแก่เจ้าด้วย?”

เฉินผิงอันครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเกาะหลิวต้องการอะไรถึงจะยอมขาย ลองว่ามาสิ”

หลิวจ้งรุ่นพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เกาะจูไชต้องการย้ายออกจากทะเลสาบซูเจี่ยน ท่านเฉินคิดว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “เกาะจูไชไม่เคยข้องเกี่ยวกับเรื่องใด วางตัวเป็นกลางมาโดยตลอด แทบจะไม่มีศัตรูคู่แค้น ถ้าอย่างนั้นที่พักพิงสุดท้ายของทะเลสาบซูเจี่ยนจะเป็นสกุลซ่งต้าหลีหรือราชวงศ์จูอิ๋ง ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเจ้าเกาะหลิวสักเท่าไหร่ ก็แค่เกาะจูไชไม่ได้ส่วนแบ่งอย่างคนอื่นเขา แต่กระนั้นก็ไม่ชักนำภัยมาสู่ตัว หลังจากนั้นแล้วทะเลสาบซูเจี่ยนจะเริ่มเข้าสู่ความมีระเบียบ กฎเกณฑ์จะยิ่งคล้ายคลึงกับราชวงศ์ที่เป็นเมืองเอกเทศ และเจ้าเกาะหลิวก็คุ้นเคยกับกฎประเภทนี้ดีที่สุด เหตุใดถึงยังยืนกรานจะย้ายถิ่นฐานอีกเล่า?”

มือสองข้างของหลิวจ้งรุ่นประคองถ้วยชา หลุบตาลงต่ำ เหนือขนตาคือไอน้ำที่ลอยมาจากถ้วยชา มองแล้วดูชุ่มชื้น

เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งรองถ้วยชา มืออีกข้างประคองถ้วยกระเบื้องที่มีสีสันเหมือนฟ้าหลังฝน สายตาจ้องนิ่งไปที่เจ้าเกาะจูไชท่านนี้

ไม่มีความคิดชั่วร้าย ยิ่งไม่มีความรักความเอ็นดู

หลิวจ้งรุ่นเงยหน้าขึ้นน้อยๆ ประสานสายตากับเขา ครู่หนึ่งต่อมานางกลับเป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อนด้วยการก้มหน้าดื่มชาหนึ่งอึก “ข้ากลัวก็แต่ว่าหากสุดท้ายเป็นเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์จูอิ๋งที่ได้ทะเลสาบซูเจี่ยนไปครอง เรื่องลับทางประวัติศาสตร์บางอย่างในวังหลวงที่มองดูเหมือนเหลวไหล แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นความจริงพอดี”

เฉินผิงอันเริ่มค้นหาเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์จูอิ๋ง เกาะจูไชและแคว้นบ้านเกิดของหลิวจ้งรุ่นที่อยู่ในสมองตัวเอง

การที่คนทั้งเกาะชิงเสียไปจนถึงคนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนมองเขาเป็นนักบัญชี อันที่จริงไม่ใช่แค่คำเรียกขานเล่นๆ ไปเสียทั้งหมด

เพียงแต่ว่าเรื่องราวความลับของเกาะชิงเสียที่ถูกวางไว้บนชั้นในห้องหน้าประตูภูเขา รวมไปถึงเกร็ดพงศาวดารที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เหล่านั้นกระจัดกระจายเกินไป อีกทั้งข่าวเล็กๆ จำนวนมากก็ยังปะปนไปด้วยความจริง

เฉินผิงอันคิดไปคิดมาก็ไม่สามารถเรียบเรียงความเป็นมาที่พอจะสมเหตุสมผลได้

ถึงอย่างไรเกาะจูไชแห่งนี้ก็ไม่ใช่ ‘สนามรบ’ สำคัญที่เฉินผิงอันจำเป็นต้องให้ความสนใจ สิ่งที่เฉินผิงอันรู้จึงนับว่าน้อยมาก

หลิวจ้งรุ่นถามคำถามที่ไม่ควรถามที่สุดในทะเลสาบซูเจี่ยน “ข้าเชื่อในนิสัยใจคอของท่านเฉินได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าแล้วก็พยักหน้า เอ่ยเนิบช้าว่า “อย่าเชื่อในนิสัยใจคอของข้า แต่เมื่อเทียบกับนิสัยการทำการค้าของผู้ฝึกตนในทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้า อย่างเช่นว่าชอบชักสีหน้าใส่ ต่อยตีกันเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์แล้วล่ะก็ ทำการค้ากับข้าเฉินผิงอันย่อมต้องดีกว่าเล็กน้อย ดีกว่าเล็กน้อย”

หลิวจ้งรุ่นยิ้มขื่น “แค่ดูจากการที่ท่านเฉินไม่เคยใช้อำนาจกดขี่ผู้อื่น กินน้ำแกงประตูปิดอยู่ที่ท่าเรือตั้งหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยอับอายจนพานเป็นความโกรธ ข้าก็ยินดีเชื่อมั่นในนิสัยใจคอของท่านเฉินแล้ว”

เฉินผิงอันดื่มชาหนึ่งอึกแล้วมองหลิวจ้งรุ่น “เป็นเพราะหายนะแฝงที่เกาะจูไชต้องเผชิญใหญ่หลวงเกินไป เกินกว่าขอบเขตที่เจ้าเกาะหลิวจะรับได้ ดังนั้นจึงจำต้องเดิมพันกับนิสัยใจคอของข้ามากกว่ากระมัง?”

ถูกคนมองทะลุความคิดในใจ สีหน้าของหลิวจ้งรุ่นจึงกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

เฉินผิงอันถาม “เป็นเพราะรู้ประวัติความเป็นมาของข้าคร่าวๆ เลยคิดจะย้ายไปอยู่ที่ภูเขาทางทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียน?”

เฉินผิงอันพูดพึมพำกับตัวเอง “ผู้ฝึกตนบนเกาะจูไชมีน้อย เซียนดินที่มีให้เห็นภายนอกก็มีแค่เจ้าเกาะหลิวคนเดียวเท่านั้น ไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนที่มีปราณวิญญาณเข้มข้น แค่เช่าภูเขาที่ไม่ใหญ่มากสักลูกสองลูกก็สามารถลงหลักปักฐานได้แล้ว อีกทั้งยังถือว่าเป็นการสวามิภักดิ์ต่อสกุลซ่ง ไม่เพียงแต่หลุดพ้นไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ยังสามารถอาศัยสิ่งนี้มาหลีกลี้หนีห่างจากภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่เต็มไปด้วยไฟสงครามได้อีกด้วย ต่อให้ราชวงศ์จูอิ๋งรบชนะ แต่หากคิดจะไปหาเรื่องเจ้าเกาะหลิวถึงต้าหลี ต่อให้แส้ยาวแค่ไหนก็เอื้อมไปไม่ถึง…”

แรกเริ่มหลิวจ้งรุ่นยังตั้งใจฟัง ไม่ยอมให้พลาดไปแม้แต่คำเดียว แต่พอฟังมาถึงช่วงท้ายๆ บนใบหน้าหลิวจ้งรุ่นก็เผยความอับอายที่พานมาเป็นความโกรธ ถลึงตาจ้องมองเฉินผิงอันอย่างดุดัน

เฉินผิงอันประหลาดใจเล็กน้อย “เป็นอะไรไป?”

หลิวจ้งรุ่นมองชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าฝ้ายตัวยาวตรงหน้า จ้องดวงตาของเขาเขม็ง ราวกับต้องการหาเบาะแสออกมาจากดวงตาของเขา จากนั้นนางจะได้ชักสีหน้า ออกคำสั่งไล่แขกกับเขา

หลิวจ้งรุ่นมองเบาะแสอะไรไม่ออก จึงอดทนข่มกลั้นเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว “เฉินผิงอัน! เจ้าไม่เคยได้ยินประวัติศาสตร์ที่เล่าถึงบุญคุณความแค้นระหว่างราชวงศ์จูอิ๋งกับแคว้นบ้านเกิดของข้าบ้างเลยหรือ?”

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “ทุกอย่างที่ข้ารู้เกี่ยวกับเจ้าเกาะหลิว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหม่าหย่วนจื้อแห่งจวนจูเสียนที่เล่าให้ข้าฟัง ซึ่งเป็นเรื่องความมีหน้ามีตาของเจ้าเกาะหลิวในอดีต เขาไม่ได้เล่าเรื่องความแค้นระหว่างราชวงศ์จูอิ๋งมากนัก รู้แค่ว่าผู้ฝึกตนผีหม่าหย่วนจื้อมองราชวงศ์จูอิ๋งเป็นศัตรูคู่แค้น หลายครั้งที่ออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนก็เพื่อแฝงตัวเข้าไปยังชายแดนของราชวงศ์จูอิ๋งอย่างลับๆ สังหารแม่ทัพชายแดนได้สำเร็จหลายคน ทำให้ราชวงศ์จูอิ๋งเกิดคดีที่ปิดไม่ลงหลายคดี คดีเหล่านั้นล้วนเป็นฝีมือของหม่าหย่วนจื้อ แต่ในเรื่องนี้ซุกซ่อนปมในใจแบบใดไว้ ข้าไม่รู้จริงๆ”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าเกาะหลิวกำลังกริ่งเกรงบุคคลยิ่งใหญ่บางคนที่กุมอำนาจอยู่ในราชวงศ์จูอิ๋งงั้นหรือ? อีกทั้งนี่ยังเกี่ยวพันกับสาเหตุที่แคว้นบ้านเกิดของเจ้าเกาะหลิวล่มสลายด้วย?”

หลิวจ้งรุ่นเขวี้ยงถ้วยชาในมือกระแทกลงพื้น เกิดเสียงแตกลั่นดังเพล้ง

หญิงงามรูปร่างอวบอิ่มซึ่งชาติกำเนิดเต็มไปด้วยสีสันของความมหัศจรรย์ท่านนี้สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เมื่อเห็นว่าคนหนุ่มตรงหน้ายังคงมีสีหน้าเป็นปกติ หลิวจ้งรุ่นก็ทอดถอนใจ เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “ขอโทษที เป็นข้าที่ฝึกฝนจิตใจได้ไม่ดีพอ เสียกิริยาต่อหน้าท่านเฉินแล้ว”

เฉินฺผิงอันโบกมือบอกให้รู้ว่าไม่เป็นไร

หลิวจ้งรุ่นเอ่ยเนิบช้า “ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินหนังเหนียวคนหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋ง ปีนั้นเขามาเยือนที่เมืองหลวงแคว้นข้า เจ้าพอจะจินตนาการออกไหม ในขณะที่เขามาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ข้าหลิวจ้งรุ่นยังที่ขาดอีกแค่ชุดคลุมมังกรหนึ่งตัวและบัลลังก์มังกรหนึ่งตัวก็จะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินีกลับเกือบจะถูกเขาที่บุกเข้าวังขืนใจ นับตั้งแต่องค์รักษ์ของวังหลวงไปจนถึงผู้ถวายงานในราชสำนักล้วนไม่มีใครกล้าขัดขวาง เขาทำไม่สำเร็จ แต่ในขณะที่เขาสวมกางเกงช้าๆ นั้นยังจงใจกระตุกท่อนล่าง ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า จะให้ข้าได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าแส้ยาวเอื้อมไปถึง อะไรที่เรียกว่าแส้ยาวใต้หว่างขาที่สามารถข้ามผ่านเมืองหลวงสองแคว้นมาได้ ปีนั้นแคว้นของพวกเราถูกทำลายล้าง คนผู้นี้ปิดด่านอยู่พอดี ไม่อย่างนั้นเกรงว่าท่านเฉินก็คงไม่ได้ดื่มชาถ้วยนี้ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว แต่ตอนนี้คนผู้นี้ได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาที่มีอำนาจของราชวงศ์จูอิ๋งแล้ว คือไท่ซางหวงของแคว้นใต้อาณัติแห่งหนึ่ง ไม่บังเอิญเลยก็คือ แคว้นของเขาดันไม่ต่างจากแคว้นสือหาวที่อยู่ติดกับทะเลสาบซูเจี่ยนพอดี!”

เฉินผิงอันเงียบงันไม่พูดไม่จา

หลิวจ้งรุ่นกัดฟัน ตัดสินใจเด็ดขาด นางกระดกก้นขึ้นเล็กน้อย ยืดอกตั้ง พูดเสียงหนัก “ขอแค่ท่านเฉินยอมตกลงเรื่องจัดการหาภูเขาในเขตการปกครองหลงเฉวียนและเรื่องการย้ายถิ่นฐานให้กับเกาะจูไชโดยเร็ว หลิวจ้งรุ่นยินดีเสนอตัวนอนเคียงหมอน! วันนี้เลย ขอแค่ท่านเฉินชอบ จะทำตรงนี้ก็ยังได้!”

สายตาของนางเด็ดเดี่ยวเปิดเผย

สายตาของเฉินผิงอันนิ่งสนิท ดุจบ่อโบราณไร้ริ้วคลื่น

จากนั้นเขาก็เอ่ยด้วยประโยคหนึ่งที่ทำลายบรรยากาศได้ดียิ่งกว่าการเอ่ยปฏิเสธนางเสียอีก “ทำไมถึงไม่ไปหาหลิวจื้อเม่าหรือหลิวเหล่าเฉิง?”

สีหน้าของหลิวจ้งรุ่นหม่นหมองลงไปมาก แต่จากนั้นความฮึกเหิมก็กลับคืนมาสู่สายตาของนางอีกครั้ง นางหัวเราะหยันกล่าวว่า “ไปหาหลิวจื้อเม่า รอให้เขาเล่นจนเบื่อแล้วย่อมต้องเปลี่ยนมือขายข้าต่อให้ราชวงศ์จูอิ๋งแน่นอน ส่วนบรรพบุรุษหลิวของเกาะกงหลิ่วผู้นั้น ข้าคาดว่าแม้แต่หน้าของเขา ข้าก็คงไม่ได้พบกระมัง อีกทั้งต่อให้หลิวเหล่าเฉิงยินดีพบข้า ขอแค่ข้ากล้าเปิดปากเอ่ยเช่นนี้ เขาคงตบข้าให้กลายเป็นเนื้อเละๆ กองหนึ่งด้วยฝ่ามือเดียวเลยกระมัง”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าเกาะหลิวเคยมีบุรุษที่ชอบหรือไม่?”

หลิวจ้งรุ่นส่ายหน้า “ไม่เคยมี! หากเคยมี ต่อให้ข้าหลิวจ้งรุ่นกายดับมรรคาสลาย ต่อให้นับจากนี้เกาะจูไชจะต้องล่มสลายเหมือนแคว้นบ้านเกิด ข้าก็ไม่มีทางเอ่ยประโยคว่าจะเสนอตัวร่วมเรียงเคียงหมอนเช่นนี้!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “น่าจะไม่เคยมีจริงๆ ไม่อย่างนั้นหากเจ้าเกาะหลิวมีคนที่ชอบจริงๆ จะไม่มีทางพูดจาน่าเกลียดแบบนี้กับข้าเด็ดขาด”

หลิวจ้งรุ่นกล่าวอย่างมีโทสะ “เฉินผิงอัน เจ้าอย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก! บุรุษฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ แม้ข้าหลิวจ้งรุ่นจะเป็นสตรี แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องทนให้เจ้าพูดจาสั่งสอนหรือหมิ่นเกียรติเช่นนี้!”

เฉินผิงอันดื่มชาหนึ่งอึก รู้สึกระอาใจเล็กน้อย “ไหนบอกว่าต่อให้ทำการค้าไม่สำเร็จ มิตรภาพก็ยังคงอยู่อย่างไรล่ะ?”

หลิวจ้งรุ่นจึงคลายโทสะได้เล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็รักษาสีหน้าไว้ไม่อยู่ จึงสบถด่าอย่างขุ่นเคือง “ผู้ชายไม่มีดีสักคน หากไม่มีความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มท้อง ปรารถนาอยากจะให้สตรีทุกคนกลายเป็นของเล่นบนเตียงของพวกเขา ก็เป็นประเภททำตัวเสแสร้งอย่างเจ้า น่ารังเกียจนัก!”

เฉินผิงอันยื่นถ้วยชาที่ว่างเปล่าส่งมาให้ เป็นการบอกให้รู้ว่าขอเติมอีกถ้วย หลิวจ้งรุ่นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่มีมือไม่มีเท้ารินเองหรือไง?”

เฉินผิงอันจึงได้แต่รินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย ไม่ลืมหยิบถ้วยใบใหม่มาให้นาง รินน้ำชาใส่แล้วยื่นส่งไปให้เบาๆ หลิวจ้งรุ่นรับถ้วยกระเบื้องมาแล้วกระดกดื่มรวดเดียวหมดราวกับเป็นสุรา

ขอแค่อีกฝ่ายใจเย็น ต่อให้อีกฝ่ายจะมีโทสะอัดแน่นเต็มอกแค่ไหน อารมณ์ก็ไม่มีทางปะทุโชนมากไปกว่าเดิม

ในขณะที่หลิวจ้งรุ่นรินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วยแล้วค่อยๆ จิบ เฉินผิงอันถึงได้เปิดปากถาม “เจ้าเกาะหลิวรังเกียจหย่วนจื้อขนาดนี้ เพียงแค่เพราะในอดีตเขามีสถานะเป็นคนแบกอาหารอย่างนั้นหรือ? ข้าคิดว่าไม่น่าจะใช่ เจ้าเกาะหลิวดูไม่เหมือนว่าจะเป็นคนเช่นนั้น”

หลิวจ้งรุ่นเอ่ยเนิบชา “เขาอัปลักษณ์ไงล่ะ แค่เห็นหน้าเขา ข้าก็รังเกียจแล้ว ปีนั้นเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็ยิ่งเป็นเช่นเดียวกัน ดวงตาสุนัขคู่นั้นของเขาชอบมองหน้าอกและก้นของสตรี ยิ่งใหญ่อวบอิ่มเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งชอบมากเท่านั้น! ยิ่งสถานะของสตรีสูงศักดิ์เท่าไหร่ เจ้าคนแบกอาหารผู้นี้ก็ยิ่งน้ำลายสอมากเท่านั้น!”

เฉินผิงอันคิดว่าตนไม่พูดอะไรเลยจะดีกว่า

จะไม่มีทางวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้เด็ดขาด

และต่อให้เป็นหลังจากนี้ก็ไม่คิดจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

หลิวจ้งรุ่นวางถ้วยชาลง พูดเสียงหยัน “ไม่ใช่ว่าบุรุษทำเพื่อสตรีอย่างพวกเรามากมาย แล้วสตรีจะต้องชอบเขาเสมอไป ใต้หล้าไม่มีเหตุผลเช่นนี้!”

แต่แล้วหลิวจ้งรุ่นก็ถอนหายใจ “แต่เขาทำเพื่อข้ามากมายขนาดนั้น ข้าย่อมรู้ชัดเจนอยู่แล้ว ชัดเจนอย่างมาก ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าทำไมข้าต้องทนกับเขา ยอมให้เขาแขวนป้ายคำว่าจวนจูเสียนนั่นมานานหลายปีขนาดนี้? เพียงแต่ว่าบางครั้งที่คิดถึงความรู้สึกเหล่านี้ของเขา ก็อดที่จะเกิดความซาบซึ้งซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความรักชายหญิงไม่ได้…แต่พอคิดมากหน่อย แล้วไพล่นึกไปถึงหน้าตาที่มีฟันเหลืองเต็มปากของเขา ข้าก็กินข้าวไม่ลงจริงๆ”

เฉินผิงอันปิดปากเงียบ

หลิวจ้งรุ่นกลับไม่คิดจะปล่อยนักบัญชีหนุ่มผู้นี้ไปง่ายๆ นางชำเลืองตามองใบหน้าผอมตอบที่ซีดขาวของเขา “หากท่านเฉินก็หน้าตาเหมือนแตงเบี้ยวพุทราแตกอย่างเขา เจ้าก็คอยดูเถอะว่าข้าจะยินดีปรากฎตัวที่ท่าเรือหลายครั้งขนาดนั้นหรือไม่ อย่างมากสุดก็มาพบเจ้าแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น เจ้าคิดว่าสตรีในหมู่ชาวบ้านและผู้ฝึกตนหญิงบนภูเขาชอบมองคนอัปลักษณ์ ไม่ชอบมองบุรุษหน้าตาหล่อเหลางั้นหรือ? นี่ก็คือหลักการเดียวกับที่บุรุษอย่างพวกเจ้าห้ามสายตาไม่ได้ ชอบมองสตรีงดงามมองโฉมสะคราญนั่นแหละ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือต้องดูว่าบุรุษสามารถห้ามความคิดและของที่อยู่ในกางเกงตัวเองได้หรือไม่”

หลิวจ้งรุ่นยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ จากนั้นยิ้มตาหยีถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านเฉินห้ามของในกางเกงและห้ามความคิดของตัวเองได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันตอบกลับด้วยสายตาใสกระจ่าง “ไม่ต้องห้าม”

หลิวจ้งรุ่นเห็นว่าเขาไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำ อีกทั้งยังเข้าใจความหมายในคำพูดของเขาก็อดทดท้อและอัดอั้นตันใจนิดๆ ไม่ได้ “เจ้าเป็นรูปปั้นพระโพธิสัตว์จริงๆ ? หรือเพราะข้าหลิวจ้งรุ่นคือคนแก่ไข่มุกเหลืองในสายตาเจ้าแล้ว?”

เฉินผิงอันวางถ้วยชาลง กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าเกาะหลิวเปิดราคามาแล้ว ข้าก็สามารถลองติดต่อกับทางต้าหลีดูได้”

หลิวจ้งรุ่นกดเสียงลงต่ำ “เจ้าเกาะลี่ซู่?”

เฉินผิงอันไม่ได้แสร้งอมพะนำ พยักหน้ารับเบาๆ

ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นคนที่สายตาแจ่มชัดของทะเลสาบซูเจี่ยน

หลิวจ้งรุ่นเอ่ยเตือน “บอกไว้ก่อนว่า ท่านเฉินอย่าได้ปล่อยไก่เด็ดขาดเชียว ไม่อย่างนั้นถึงเวลานั้นอาจทำให้คนของเกาะจูไชพวกเราต้องตายได้”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าจะระวัง ต่อให้ไม่สามารถคลี่คลายปัญหาที่เป็นดั่งไฟลามขนคิ้วให้เจ้าเกาะหลิวได้ แต่ก็ไม่มีทางเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะให้เกาะจูไชเด็ดขาด”

หลิวจ้งรุ่นกล่าวอย่างมีเลศนัย “ไม่ทราบว่าท่านเฉินไปเอาความมั่นใจจากไหนมาพูดประโยคนี้?”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “เมื่อเทียบกับเรื่องบางเรื่องที่ข้ากำลังทำอยู่ตอนนี้ เกาะจูไชจะอยู่หรือไปก็เป็นแค่ของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เป็นแค่ส่วนเพิ่มเติมที่ทั้งสามฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์เท่านั้น”

สีหน้าของหลิวจ้งรุ่นแปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “ไม่เชื่อ? ถึงอย่างไรเกาะจูไชก็กำลังเดิมพัน ในเมื่อเดิมพันแล้วก็ไม่มีทางถอยเหลืออยู่มากนัก ไม่เชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ รักษาม้าตายดั่งม้าเป็น ถ้าอย่างนั้นก็ลองเชื่อหมอที่ฝีมือรักษาห่วยแตกอย่างข้าดู ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องไม่คาดฝันที่ทำให้ยินดีเกิดขึ้น ดีกว่าที่ข้าเป็นพ่อสื่ออยู่มาก”

หลิวจ้งรุ่นพลันเผยสีหน้ากระเง้ากระงอดของเด็กสาวซึ่งราวกับว่าพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก “หากตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจ คิดว่าข้าแค่มานั่งดื่มชากับท่านเฉินเฉยๆ ยังทันหรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ยังทัน ข้าไม่ใช่เจ้าเกาะหลิว ข้ายังคงรักษากฎข้อที่ว่าการค้าไม่สำเร็จมิตรภาพยังคงอยู่”

หลิวจ้งรุ่นกัดฟันกรอดๆ ด้วยความโมโห คนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ร้อยพิษมิอาจกล้ำกราย เกลือน้ำมันสาดไม่เข้าจริงๆ !

หลิวจ้งรุ่นยกมือทั้งสองข้างขึ้น ข้อศอกของแขนข้างหนึ่งบดเบียดหน้าอกให้เกิดทัศนียภาพยิ่งใหญ่ตระการตาคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา นางคลี่ยิ้มหวาดหยดย้อยให้เฉินผิงอัน ปรบมือหนึ่งครั้ง แล้วบอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่

ไม่นานก็มีหมัวมัวแก่หง่อมคนหนึ่งถือขวดกระเบื้องใบหนึ่งเดินเข้ามาในเรือน นางส่งมอบขวดกระเบื้องให้กับหลิวจ้งรุ่นอย่างนอบน้อม แล้วจึงเดินออกจากเรือนไปเงียบๆ อีกครั้ง

เฉินผิงอันรู้ว่าหมัวมัวที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำผู้นี้ ต่อให้บนร่างจะแผ่ปราณแห่งความเสื่อมโทรมอย่างที่ไม่อาจปกปิดได้มิด แต่กลับเป็นบุคคลอันเป็นรากฐานที่ตั้งตระหง่านไม่ล้มลงของเกาะจูไช

ไม่แน่ว่าปีนั้นการที่หลิวจ้งรุ่นสามารถรอดพ้นหายนะจากเงื้อมมือของเซียนดินราชวงศ์จูอิ๋งที่เสียสติอยู่ในวังหลวงบ้านเกิดของนางมาได้ อาจต้องยกคุณความชอบให้กับหมัวมัวท่านนี้

หลิวจ้งรุ่นโยนขวดยาให้เฉินผิงอัน “ท่านเฉินเก็บไว้ให้ดีล่ะ นี่คือหนึ่งในยาที่ดีที่สุดซึ่งเก็บรักษาไว้อย่างเป็นความลับของตำหนักวารีในปีนั้น สามารถชดเชยบำรุงปราณวิญญาณในจวนน้ำและซ่อมแซมวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุน้ำได้ ขอแค่โยนยาขวดนี้ไปในทะเลสาบซูเจี่ยนก็สามารถก่อให้เกิดคลื่นโถมตัวสูงร้อยจั้งได้ ไม่ว่าเซียนดินโอสถทองท่านใดก็ล้วนน้ำลายสออยากครอบครอง นี่ก็คือค่ามัดจำ คือความจริงใจที่เกาะจูไชควรแสดงให้เห็น หลังจากนี้ก็ต้องดูว่าท่านเฉินมีความสามารถเทียมฟ้าพอจะเปลี่ยนของเน่าเปื่อยให้กลายเป็นของดีได้หรือไม่ เมื่อทำสำเร็จ สี่คำก่อนหน้านั้นจะยังคงใช้ได้ผลตราบเท่าที่ข้ายังไม่ไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ในอนาคตเมื่อย้ายไปอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียนจะไม่ได้ผล เลยเวลาก็ไม่รอแล้ว!”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดประโยคหลัง เขาเปิดขวดกระเบื้องออกตรงนั้น เทยาสีเขียวมรกตเม็ดหนึ่งออกมา หลับตาอยู่ชั่วครู่ พอลืมตาขึ้นก็ส่งยิ้มบางๆ ให้หลิวจ้งรุ่นแล้วโยนเข้าปากโดยตรง

หลิวจ้งรุ่นถามอย่างประหลาดใจ “ยาขวดนี้ย่อมไม่เคยผ่านมือใครมาก่อน แต่เหตุใดท่านเฉินถึงตัดสินใจรวดเร็วขนาดนี้?”

เฉินผิงอันไม่มีทางบอกคำตอบแก่นางอยู่แล้ว นี่เป็นเรื่องวงในที่เกี่ยวพันกับเด็กๆ ชะตาน้ำชุดเขียวที่พักพิงอยู่ในจวนน้ำของตน เพียงตอบไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “ในเมื่อข้ามาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม เดิมพันมากก็ได้เงินเดิมพันก้อนใหญ่”

หลิวจ้งรุ่นเลิกคิ้วสูง แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก

เฉินผิงอันถาม “ข้าอยากถามถึงประวัติศาสตร์ของแคว้นบ้านเกิดเจ้าเกาะหลิวกับราชวงศ์จูอิ๋งอย่างละเอียด อาจต้องรบกวนเวลาเจ้าเกาะหลิวไม่น้อย ได้หรือไม่?”

หลิวจ้งรุ่นรู้สึกสงสัย “เพื่ออะไร? เกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าวางแผนจะทำหลังจากนี้หรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “แทบไม่เกี่ยวข้องกันเลย เพียงแต่ข้าอยากรู้ถึงความคิดของคนในสถานการณ์ตอนนั้นที่มีต่อ…กองกำลังใหญ่บางแห่ง ข้าเคยแต่รับฟัง รับชมภาพเหตุการณ์และการถามตอบในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้ จึงสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งนัก ตอนนี้ก็เลยอยากรู้ให้มากขึ้นอีกหน่อย”

หลิวจ้งรุ่นลังเลเล็กน้อย ก่อนพยักหน้ารับ “ได้สิ แม้ว่าเอาเรื่องเก่ามาพูดใหม่จะทำให้ข้าไม่สบายใจ แต่ขนาดเรื่องสกปรกพรรค์นั้นยังเล่าให้ท่านเฉินฟังแล้ว เรื่องราวอื่นๆ ในราชสำนักและสนามรบจึงไม่ถือเป็นอะไรได้เลย”

เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณ

หลิวจ้งรุ่นตวัดตามองค้อนใส่เขาอย่างทรงเสน่ห์ไปหนึ่งคำรบ

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

หลังจากนั้นสองชั่วยามเต็ม หลิวจ้งรุ่นก็เล่าสถานการณ์ใหญ่ๆ ของบ้านเกิด นับตั้งแต่การก่อตั้งแคว้นอย่างรุ่งโรจน์ จนกระทั่งค่อยๆ ตกต่ำ แล้วถูกกอบกู้คืนมาสู่ความเฟื่องฟูอีกครั้ง ประเพณีเสียๆ ที่ทำกันมานานจนแก้ไขยาก การพยายามรักษาประคับประคอง สุดท้ายก็ล่มสลาย

หลิวจ้งรุ่นไม่ใช่องค์หญิงใหญ่ท่านนั้นมานานแล้ว ตอนนี้เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน นางเล่าอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ เฉินผิงอันก็รับฟังอย่างตั้งใจแล้วจดจำเอาไว้เงียบๆ ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย บางครั้งได้ยินมาถึงจุดสำคัญก็ถึงกับเอากระดาษและพู่กันออกมาจากวัตถุจื่อชื่อแล้วเขียนบันทึกลงไป หากหลิวจ้งรุ่นเล่าถึงส่วนที่ลี้ลับมหัศจรรย์หรือจุดที่ฟังไม่เข้าใจ เฉินผิงอันก็จะสอบถาม

การกระทำเช่นนี้ทำให้หลิวจ้งรุ่นอึดอัด ในใจไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เหตุใดตนถึงได้คล้ายกลายมาเป็นอาจารย์ในโรงเรียนที่ช่วยถ่ายทอดความรู้และไขข้อข้องใจให้กับลูกศิษย์ที่ตั้งใจเรียนเลยเล่า?

นี่เป็นความรู้สึกที่นางเพิ่งประสบพบเจอเป็นครั้งแรกในชีวิต

ในขณะที่หลิวจ้งรุ่นรู้สึกอับจนคำพูดนั้นเอง

เฉินผิงอันกลับบอกว่าคราวหน้าที่มาเยือนหอแสงอัญมณีจะยังสอบถามเรื่องของการขนส่งเสบียงทางน้ำและเสมียนชั้นผู้น้อยจากเจ้าเกาะหลิวอย่างละเอียดอีกที

หลิวจ้งรุ่นฉิวจึงพูดขึ้นอย่างขันๆ ปนฉิว “เฉินผิงอัน เจ้าทำตัวน่ารำคาญอะไรอย่างนี้?! อยากปีนขึ้นเตียงของข้า เจ้าก็แค่พูดมาตรงๆ ไม่ได้หรือ จะต้องอ้อมไปอ้อมมาแบบนี้ทำไม? สนุกนักหรือ? ทำไม อยากจะได้ทั้งกายและใจเลยรึ ดีนักนะ เจ้าเฉินผิงอันกะเพาะใหญ่ยิ่งกว่าใครเลยนี่! เจ้าเฒ่าบ้าตัณหาสองคนอย่างเซียนดินจูอิ๋งและคนแบกอาหารรวมกันยังสู้เจ้าคนเดียวไม่ได้เลย!”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าด้วยใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนสี “เจ้าเกาะหลิว เมื่อครู่นี้ตอนที่เจ้าเล่าถึงสถานการณ์ใหญ่ของแผ่นดิน มีเสน่ห์อย่างมาก เหมือนกับจักรพรรดิแคว้นล่มสลายที่ ‘ความผิดมิได้อยู่ที่ตัวกษัตริย์’ ท่านหนึ่งกำลังย้อนเล่นหมากล้อมกระดานเดิมกับข้า คอยให้คำชี้แนะข้า ทำให้ข้านับถือยิ่งนัก แต่ตอนนี้กลับห่างชั้นไกลเหลือเกิน ดังนั้นคราวหน้าอย่าพูดจาประหลาดแบบนี้อีก ได้หรือไม่?”

หลิวจ้งรุ่นคล้ายจะเสียใจเล็กน้อย นางใช้มือข้างหนึ่งกำคอเสื้อ กัดริมฝีปาก

เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้าน เตรียมจะลุกขึ้นยืนเพื่อบอกลา

หลิวจ้งรุ่นพลันเอ่ยเรียกเสียงอ่อนหวาน “เฉินผิงอัน”

เฉินผิงอันได้แต่นั่งลงที่เดิมด้วยความงงงัน “หืม?”

แล้วหลิวจ้งรุ่นก็กระชากคอเสื้อตัวเองออกด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

ไม่เสียแรงที่เฉินผิงอันคือผู้อาวุโสในยุทธภพที่ผ่านการเข่นฆ่ามานับครั้งไม่ถ้วน เขาเองก็หลับตาลงแล้วลุกพรวดขึ้นยืนด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบเช่นกัน “คราวหน้าห้ามทำแบบนี้อีก! ไม่อย่างนั้นการค้าของพวกเราถือเป็นโมฆะ!”

หลิวจ้งรุ่นหัวเราะคล้ายกิ่งบุปผาที่ส่ายไหว มองแผ่นหลังของคนหนุ่มที่รีบร้อนจากไปก็เอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน “ไม่สู้เจ้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เจ้าคนที่อยู่จวนจูเสียนฟัง? ดูสิว่าเขาจะอิจฉาเจ้าหรือไม่?”

เฉินผิงอันหยุดเดิน พูดเบาๆ ทั้งที่ยังหันหลังให้นาง “หลิวจ้งรุ่น แบบนี้ไม่ดีเลย”

หลิวจ้งรุ่นหยุดเสียงหัวเราะ แค่นเสียงดังหึ “โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปส่ง!”

ในขณะที่เฉินผิงอันเดินออกจากยอดเขา ตรงไปที่ท่าเรือ พายเรือกลับเกาะชิงเสีย

หมัวมัววัยชราผู้นั้นก็เดินเข้ามาในเรือน มองหลิวจ้งรุ่นที่คล้ายจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วถามว่า “องค์หญิงใหญ่เชื่อใจคนต่างถิ่นที่เพิ่งมาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนได้ไม่ถึงครึ่งปีคนนั้นจริงๆ หรือเจ้าคะ? แล้วนับประสาอะไรกับที่คนผู้นี้ยังเด็กถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นคนที่มีความคิดละเอียดรอบคอบ ทำอะไรมั่นคงเชื่อถือได้ แต่อายุน้อยก็หมายความว่ารากฐานตื้นเขิน นี่คือหลักการที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนมานับแต่โบราณกาล ไม่อย่างนั้นปีนั้นเจ้าเศษสวะน้อยที่องค์หญิงใหญ่อุ้มส่งให้ขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรด้วยมือของตัวเองจะอดทนข่มกลั้น แสร้งโง่แกล้งบ้ามานานหลายปีขนาดนั้นหรือ? แล้วยังเกือบจะถูกเจ้าเศษสวะน้อยนั่นทำเรื่องน่าสะอิดสะเอียนที่แม้แต่เจ้าผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนนั้นยังทำไม่ได้ ได้สำเร็จ?”

สีหน้าของหลิวจ้งรุ่นกลับคืนมาเป็นปกติ นางเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “รู้หรือไม่ว่าคนแบบใดในใต้หล้าที่คู่ควรแก่การทำการค้าด้วยที่สุด?”

หญิงชราถาม “ขอองค์หญิงใหญ่โปรดชี้แนะ”

หลิวจ้งรุ่นลุกขึ้นยืน นางที่เรือนกายเพรียวบางมีพลังอำนาจอย่างเปี่ยมล้น สีหน้านิ่งสนิทราวผิวน้ำ กัดฟันกล่าวว่า “คนที่มีทั้งสามอย่างคือฉลาด ดีและมีขีดจำกัด หากเมื่อก่อนเจ้าเศษสวะน้อยนั่นไม่ถูกคนเป่าหูจนจงใจปฏิบัติตัวผิดทำนองคลองธรรม ความสามารถเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือเป็นปรปักษ์กับข้า ทำให้คนในราชสำนักและคนในกองทัพต้องตายไปคนแล้วคนเล่าอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีคนแบบนี้ แคว้นของพวกเราจะต้องล่มสลายหรือ?!”

หญิงชราไม่วิจารณ์เรื่องในอดีตเหล่านี้ ต่อให้ออกมาจากวังหลวงแห่งนั้นหลายปีแล้ว นางก็ยังคงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนดขึ้นในวัง ไม่พูดในสิ่งที่ไม่สมควร ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง

หญิงชราเพียงแค่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “องค์หญิงใหญ่ เอ่ยประโยคที่ไม่เคารพสักคำ การที่ท่านพูดอย่างนั้น และทำเรื่องอย่างนั้นกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมขนขึ้นไม่ครบผู้นั้น ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน”

หลิวจ้งรุ่นวิ่งปรู๊ดออกไป ก้มหัวค้อมเอวกอดแขนของหญิงชราไว้เบาๆ พลางพูดออดอ้อน “ก็สนุกนี่นา แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว คราวหน้าไม่มีอีกแล้ว”

หญิงชราพยักหน้ารับ “อยู่ในเรือนลึกจึงเงียบเหงา นี่คือความกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ของหญิงชาวบ้านร้านตลาด ตอนนี้องค์หญิงใหญ่คือเซียนดินโอสถทองแล้ว อย่าเกเรเหมือนตอนยังเป็นเด็กสาวอีกเลย อีกอย่าง วัวแก่กินหญ้าอ่อนก็ไม่ดี”

ใบหน้าของหลิวจ้งรุ่นแดงก่ำ ปล่อยแขนหญิงชรา หายเข้าไปในหอแสงอัญมณีไม่ยอมพบหน้าใครราวกับแง่งอน

พอหลิวจ้งรุ่นแอบไปหลบซ่อนตัว หญิงชราถึงได้คลี่ยิ้มออกมา เพียงแต่ครู่เดียวก็หุบยิ้ม

หญิงชรารู้ดีว่าหาใช่เพราะองค์หญิงใหญ่คิดอะไรกับคนหนุ่มผู้นั้น หรือตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็นจริงๆ แต่เป็นเพราะตอนนี้บนบ่าขององค์หญิงใหญ่มีแรงกดดันมากเกินไป อีกทั้งยังไม่มีคนที่สามารถพึ่งพาได้ ย่อมกระทำหรือพูดจาที่เกินเหมาะเกินควรไปบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ครึ่งปีมานี้ ภาชนะล้ำค่าในหอแสงอัญมณีที่ถูกขว้างแตกมีน้อยนักหรือ? และเมื่อแสงแห่งความหวังเสี้ยวหนึ่งโผล่ขึ้นมากะทันหัน ก็ยิ่งทำให้จิตใจของคนแกว่งไกว ทันใดนั้นความสุขและความทุกข์ทั้งหลายก็ยิ่งแสดงให้เห็นจิตใจและนิสัยอันดั้งเดิมของคนผู้นั้น ต่อให้เป็นเซียนดินโอสถทองก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น

องค์หญิงใหญ่ที่นางเห็นอีกฝ่ายเติบโตมาผู้นี้ มีนิสัยซุกซนเกเร ไร้ขื่อไร้แปมาตั้งแต่เด็ก พวกหมัวมัวในวังที่สอนมารยาทให้กับนาง เวลาที่ต้องสั่งสอนอบรมองค์หญิงใหญ่ แต่ละคนปวดหัวกันไม่น้อย

และก็มีแต่นางที่อยู่เคียงข้างองค์ใหญ่มาโดยตลอด ทั้งสองฝ่ายมีชีวิตพึ่งพาอาศัยกันและกัน จนกระทั่งเดินมาถึงก้าวนี้

และการที่โอสถทองของนางเสื่อมโทรมใกล้จะแหลกสลาย ก็ได้กลายมาเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เกือบจะกดทับให้จิตใจขององค์หญิงใหญ่พังทลาย

ต้องมามองเห็นคนสนิทกลายเป็นกองกระดูกขาวโพลนคาตาตัวเอง คือความเจ็บปวดที่ผู้ฝึกตนเซียนดินทุกคนต้องเผชิญ

เกินครึ่งจะไม่ใช่คนรุ่นพ่อแม่ แต่เป็นอาจารย์และศิษย์ บ้างก็คู่รัก บ้างก็เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคากับผู้ปกป้องมรรคา

ยิ่งสนิทกันเท่าไหร่ จิตมารก็ยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น

ก็เหมือนกับหลิวเหล่าเฉิงที่ปีนั้นไปจากเกาะกงหลิ่ว

จำต้องลงมือสังหารคู่รักที่จิตมารเข้าแทรกด้วยมือของตนเอง

แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องเล่าลือนี้เป็นจริงหรือเท็จ แต่นี่ก็เป็นข้อห้ามใหญ่อันดับหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน

แต่หมัวมัววัยชราผู้นี้กลับเชื่ออย่างสุดใจ

……

เฉินผิงอันกลับมาถึงเกาะชิงเสียก็เป็นยามพลบค่ำแล้ว

เขากลืนยาที่ตำหนักวารีเก็บซ่อนไว้เป็นความลับลงไปอีกหนึ่งเม็ด เฉินผิงอันหยิบพู่กันไผ่ม่วงด้ามหนึ่งขึ้นมา เป่าลมใส่หนึ่งครั้งแล้วเริ่มเขียนเรื่องราวที่รับรู้มาจากเกาะจูไชลงไป

การที่เขาสอบถามและขอความรู้เรื่องสถานการณ์ใหญ่ของสองแคว้นจากหลิวจ้งรุ่น ก็เพราะเขาต้องการเห็นเส้นที่สามที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้น ห่างไกลจากตอนนี้มากที่สุด แต่มีความเป็นไปได้ว่าจะได้นำมาใช้ในอีกไม่นานนี้

เส้นแรกก่อนหน้านี้ก็คือกู้ช่านและผู้คนที่อยู่รอบกายเขาซึ่งซับซ้อนยากจะเข้าใจมากที่สุด

เส้นที่สองก็คือคู่พ่อลูกที่กลับมาพบกันอีกครั้งในนครอวิ๋นโหลวซึ่งง่ายดายและชัดเจนมากที่สุด

ความเป็นไปเป็นมา

เส้นสายเรื่องราว

นี่คือข้อสรุปที่ใหญ่ที่สุดที่เฉินผิงอันได้รับมาจากการย้อนทบทวนการเดินทางในพื้นที่มงคลดอกบัวของตัวเอง ได้เห็นผู้คนมากมายเรื่องราวหลากหลาย ข้าแค่ต้องพุ่งเข้าไปให้ตรงประเด็น โยนความดีความเลวทั้งหมดทิ้งไปชั่วคราว แค่สืบสาวดูว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงพูดอย่างนี้ ทำเรื่องนี้ มีความคิดเช่นนี้

หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้ทุกคนล้วนเป็นเหมือนกระบี่ชือซินเล่มนั้น

ก็ล้วนสามารถถูกข้านำมาใช้ได้

แต่ท่ามกลางขั้นตอนอันยาวนานที่เปลืองแรงใจที่สุดนี้ เขาเฉินผิงอันจำเป็นต้องคิดให้มากกว่าเดิมและเดินให้ช้ากว่าในอดีต!

เฉินผิงอันหยุดเขียนชั่วคราว หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่วางไว้ด้านข้างขึ้นมาดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้ววางลง

สีหน้าของเขายิ่งอิดโรย ข้างแก้มซูบตอบ ถึงขั้นที่บนใบหน้าเริ่มมีหนวดขึ้นให้เห็นประปรายแล้ว ทว่าเมื่อเขาจับพู่กันเขียนตัวอักษร ดวงตากลับฉายประกายเจิดจ้า

……

บนยอดเขาของขุนเขาแห่งหนึ่งที่สูงตระหง่านโอฬารมากที่สุดของแผ่นดินกลาง

ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อท่าทางยากจนคนหนึ่งกำลังนับนิ้วคำนวณพลางลูบหนวดนิ่วหน้า ปากก็บ่นพึมพำไปด้วย “แบบนี้ไม่ค่อยจะดีแล้ว”

องค์เทพเกราะทองร่างกำยำนั่งอยู่ห่างไปไม่ไกล กำลังก้มหน้าลงมองพื้นที่ในอาณาเขตที่กว้างขวางของตน “ในเมื่อสถานการณ์ไม่ดี อีกทั้งเจ้ายังมองไม่เห็นรูปธรรม เหตุใดไม่แอบกลับไปซะล่ะ? ถึงอย่างไรเจ้าก็ชอบทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ไม่มีใครรู้สึกแปลกใจหรอก แถมเจ้าก็หน้าหนา ต่อให้โดนเด็กรุ่นหลังในศาลบุ๋นชี้หน้าด่าก็ยังไม่สนใจ”

ซิ่วไฉเฒ่ามองค้อนใส่ “หุบปาก คุยกับเจ้าก็เหมือนคุยกับตาแก่ตงไห่ผู้นั้นนั่นแหละ สีซอให้ควายฟังแท้ๆ”

องค์เทพเกราะทองไม่ถือสา

หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าขอบเขตบินทะยานคนใดก็ตามที่กล้ามาสั่งให้องค์เทพ ‘สูงสุด’ แห่งภูเขาสุ้ยซานผู้อยู่เหนือเทพภูเขานับพันนับหมื่นของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางท่านนี้หุบปาก คาดว่าคงถูกผ่าซีกตายไปแล้ว

ส่วนขอบเขตบินทะยาน หนึ่งกระบี่ฟันออกไปจากอาณาเขตของภูเขาสุ้ยซานจะยากตรงไหน

ซิ่วไฉเฒ่าโยนหินกำใหญ่ลงบนพื้น พึมพำว่า “เจ้าคิดว่านักพรตจมูกโคของอารามกวานเต๋าผู้นั้นมอบร่มใบถงคันนั้นให้เปล่าๆ อย่างนั้นหรือ? กาลเวลาสามร้อยปีนั้น ให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าดูโดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนงั้นหรือ? ทุกอย่างล้วนแอบซ่อนจิตมาร แฝงความอันตรายที่ชั่วร้ายเอาไว้ทั้งนั้น”

เทพเกราะทองเอ่ยเย้ยหยัน “ก็ไม่ใช่เพราะเจ้าหาเรื่องใส่ตัวหรือไร”

ซิ่วไฉเฒ่าด่ากราด “นอกจากเจ้าจะมีเรี่ยวแรงไม่กี่จินแล้ว จะไปเข้าใจกะผายลมอะไร”

เทพเกราะทองร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ออกไปจากภูเขาสุ้ยซานซะสิ หย่าเซิ่งส่งให้คนนำความมาบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เจ้าไปพูดคุยกันที่ศาลบุ๋น?”

ซิ่วไฉเฒ่ายักไหล่ พูดอย่างลำพองใจ “หึ ข้าไม่ไปซะอย่าง ข้าจะรอต่ออีกหน่อย เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”

องค์เทพเกราะทองชำเลืองตามองซิ่วไฉเฒ่า ลังเลเล็กน้อยก่อนถามว่า “เม็ดกระบี่ก้อนเงินนั่น เจ้ารู้ผลกรรมก่อนหน้านี้ของมันมาตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม?”

ซิ่วไฉเฒ่าเก็บรอยยิ้ม พยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

เทพเกราะทองหัวเราะทันใด “เจ้าช่างใจใหญ่นัก”

ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะหยัน “หากข้าไม่ใจใหญ่ จะรองรับบัณฑิตจอมปลอมมากมายขนาดนั้นที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลได้อย่างไร?”

เทพเกราะทองเอ่ยถาม “ในเมื่อฉีจิ้งชุนไม่อยู่แล้ว เจ้าไม่กลัวจริงๆ หรือว่าลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ไม่ยอมรับเจ้าเป็นอาจารย์ผู้นั้นจะหลงเดินทางผิด?”

ซิ่วไฉเฒ่าลุกพรวดขึ้นยืน ก้าวเดินยาวๆ มาหยุดตรงหน้าเทพเกราะทองที่นั่งขัดสมาธิ คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน เขาจึงใช้นิ้วจิ้มหัวอีกฝ่ายรัวๆ พลางสบถด่าได้อย่างพอดิบพอดี “เจ้าสามารถดูแคลนความรู้และตบะของข้าได้ แต่ห้ามดูหมิ่นสายตาในการรับลูกศิษย์ของข้าเด็ดขาด!”

เทพเกราะทองที่ถูกจิ้มหมวกเกราะทีเดียวสิบกว่าครั้งรวดเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “เจ้าลองจิ้มดูอีกครั้งสิ?”

แล้วซิ่วไฉเฒ่าก็จิ้มจริงๆ แต่จากนั้นก็กระโดดผลุงถอยไปด้านหลัง พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าพูดเองนะ จะโทษข้าไม่ได้”

เทพเกราะทองถอนหายใจ หันหน้ามาเอ่ยขอร้องอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ถือว่าข้าขอร้องเจ้าล่ะ เจ้ารีบไสหัวออกไปจากภูเขาสุ้ยซานของข้าสักทีเถอะนะ?”

อยู่ดีๆ ซิ่วไฉเฒ่าก็โมโหอย่างไม่ทราบสาเหตุ “หากขอร้องคนอื่นแล้วได้ผล ข้าจะต้องมาหลบซ่อนอยู่ในบ้านเจ้าไหม? หา? ป่านนี้ข้าคงไปคุกเข่าโขกหัวให้ตาเฒ่า โค้งคำนับให้หลี่เซิ่งนานแล้ว! มันได้ผลไหม?”

เทพเกราะทองหันหน้ากลับมา “โมโหก็อย่ามาพานเอากับข้า”

ซิ่วไฉเฒ่าถูมือหัวเราะคิก “ไม่เอาเจ้าเป็นตัวระบายความโกรธ จะให้ข้าไประบายใส่ตาเฒ่ากับหลี่เซิ่งหรือไง ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย”

เทพร่างทองอดทนมานานจนเกินจะทนแล้ว จึงลุกขึ้นยืนช้าๆ ในมือมีกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งโผล่มา คิดไม่ถึงว่าซิ่วไฉเฒ่าจะล้มตัวลงนอนกับพื้น “โอ้ย เรื่องการอนุมานคิดคำนวณนี่ช่างเปลืองแรงใจซะจริง เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ข้าของีบสักแปบ ถ้าข้ากรน เจ้าก็ทนเอาหน่อยแล้วกัน”

เทพร่างทองสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง นั่งกลับลงไปที่เดิม เงียบไปนาน ก่อนจะถามว่า “จะปล่อยให้ผู้อำนวยการใหญ่ท่านนั้นกินลมเย็นอยู่นอกประตูใหญ่ภูเขาสุ้ยซานจริงๆ หรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่าหันหลังให้องค์เทพใหญ่แห่งขุนเขาท่านนี้ นอนกรนครอกๆ ทว่าสองมือกลับทำมุทราไม่หยุด ไม่ลืมตอบเจ้าร่างยักษ์ผู้นั้นด้วยว่า “ข้าหลับไปแล้ว ดังนั้นคำถามที่เจ้าถามข้า ข้าไม่ตอบก็ถือว่ามีเหตุผลให้อภัยได้”

……

ทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา

นี่อาจจะเป็นความกว้างไกลยิ่งใหญ่ที่เหนือยิ่งกว่าม่านฟ้าใดๆ ของใต้หล้าไพศาล หรืออาจถึงขั้นหนือกว่าใต้หล้าทั้งสี่แห่งด้วยซ้ำ

สตรีร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ในมือถือร่มกระดาษน้ำมันใบถง ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งค้ำกระบี่ปักตรึงอยู่บนสะพานสีทอง

ราวสะพานยาวสีทองที่กระบี่ยาวปักอยู่นั้นมีแสงสว่างพร่างพราวดุจแสงดวงตะวันสาดส่องออกมาตั้งแต่ตรงปลายกระบี่

ราวกับว่ากำลังขัดเกลาความคมของกระบี่อยู่ตลอดเวลา

ไม่ใช่ว่านางเดินออกไปไม่ได้

เพียงแต่ว่าเมื่อหลายปีก่อน คนคนหนึ่งที่ใกล้จะตายได้มายืนอยู่บนสะพานโค้งสีทองแห่งนี้ พูดความในใจให้นางฟัง

‘หินลับกระบี่ที่ดีที่สุดในโลก ไม่ใช่แท่นสังหารมังกร’

‘สำหรับคนที่สมบูรณ์แบบ หินลับกระบี่ที่ดีที่สุดในโลกก็คือความคิดชั่วร้ายมากมายในส่วนที่บริสุทธิ์ที่สุดของใจคน ในทางกลับกันก็ยังคงเป็นเช่นนี้ ล้วนสามารถขัดเกลาออกมาเป็นจิตแห่งกระบี่ที่บริสุทธิ์ที่สุดได้ ผู้ฝึกกระบี่นับพันนับหมื่นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ มีทั้งคนดีและเลว ทว่าปราณกระบี่ก็ยังคงทะยานไกลเปี่ยมอำนาจ นี่ก็คือหลักฐานที่พิสูจน์ให้เห็นอย่างแน่ชัด’

‘ก่อนที่เฉินผิงอันจะเติบใหญ่ อย่างมากที่สุดเลยคือเจ้าจะออกกระบี่ได้แค่ครั้งเดียว กะน้ำหนักให้พอดี อีกทั้งข้าก็หวังว่าการออกกระบี่ครั้งนี้ยิ่งช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ให้ดีที่สุดคือหลังจากสร้างโอสถ ก่อนเป็นหยกดิบ หากช้าไปกว่านั้นจะไม่มีผลอะไรแล้ว’

‘หากมีครั้งที่สองก็จะไม่ใช่ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาใดหรือรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋น หรือหย่าเซิ่งที่ย้อนกลับสู่ใต้หล้าไพศาลอีกครั้งแล้ว’

ปีนั้นบุรุษลัทธิขงจื๊อที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลาชี้ไปยังท้องฟ้า ‘กฎเกณฑ์ของหลี่เซิ่งใหญ่ที่สุดและมั่นคงที่สุด หากเขาเผยตัว…’

‘กลัวหรือไม่กลัว คุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่า สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงขอผู้อาวุโสโปรดคิดให้มาก คิดแล้วคิดอีก’

หลังจากเอ่ยประโยคเหล่านี้แล้วยังมีประโยคอีกบางส่วน

ซึ่งประโยคหนึ่งในนั้นทำให้นางหวั่นไหวมากที่สุด

‘ตอนนั้นผู้อาวุโสเลือกเฉินผิงอันที่ไม่ได้รู้สึกเกลียดและไม่ได้รู้สึกดีด้วยให้เป็นเจ้านายคนใหม่ แน่นอนว่าเหตุผลเพียงแค่เพราะข้าฉีจิ้งชุนพูดเกลี้ยกล่อมให้ผู้อาวุโสลงเดิมพันหนึ่งในหมื่นส่วนนั้น แต่ผู้อาวุโสไม่อยากยืนยันให้แน่ใจด้วยตัวเองจริงๆ หรือว่า เฉินผิงอันมีค่าพอให้ผู้อาวุโสฝากความหวังทั้งหมดไว้หรือไม่ หลังจากนี้ต่อให้ผ่านไปร้อยปีพันปี หรือผ่านไปอีกหมื่นปี ท่านจะไม่มีทางผิดหวังจริงหรือไม่?!’

และอีกสองประโยคหลังก็ทำให้นางทั้งหวั่นไหว และประทับใจ

‘ตอนนั้นผู้อาวุโสคงไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ แต่ผู้อาวุโสจำเป็นต้องรู้ไว้ว่า ส่วนลึกในหัวใจของเฉินผิงอัน เขาหวังยิ่งกว่าใครๆ ว่าจะพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเองไม่เคยทำให้ข้าฉีจิ้งชุน ทำให้ท่านผิดหวัง’

‘ต่อให้ถึงเวลานั้นเฉินผิงอันจะผิดหวังกับตัวเองแล้วก็ตาม’

คิดมาถึงตรงนี้

สตรีร่างสูงใหญ่ก็เพิ่มแรงกดลงบนกระบี่ยาวเบาๆ ทว่าปลายกระบี่รวมถึงตัวกระบี่แถบใหญ่ล้วนผลุบหายปักตรึงลงไปกลางราวสะพานโค้งสีทอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!