บทที่ 453 ขี่ม้าลงใต้เพียงลำพัง
จางเย่ที่เดินทางมาไกลและเฉินผิงอันที่จูงม้าเดินเคียงไหล่กันเลียบลำคลองที่ไหลรินประหนึ่งผ้าแพรต่วนสีเขียวมรกตสายนั้นไป
อาจเป็นเพราะดินแดนสุขาวดีแห่งนี้มีทัศนียภาพที่งดงาม ชวนให้จิตใจของคนสงบผ่อนคลาย หรือบางทีอาจเป็นเพราะข้างกายมีนักบัญชีที่ถือเป็นคนกันเองครึ่งตัว จางเย่ที่เดิมก็เป็นผู้ฝึกตนผู้เฒ่าซึ่งผ่านคลื่นมรสุมมาหลากหลายรูปแบบจึงค่อยๆ สงบจิตสงบใจลงได้ แล้วเริ่มเล่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในทะเลสาบซูเจี่ยนให้เฉินผิงอันฟัง
ที่แท้หลังจากยึดเมืองหลวงแคว้นสือหาวมาได้อย่างไม่เปลืองแรงเป่าฝุ่นแล้ว ซูเกาซานที่ทุกคนดูแคลน หนึ่งในแม่ทัพหลักกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่สายตาจับจ้องอยู่ที่ราชวงศ์จูอิ๋งตลอดเวลาผู้นั้นก็ไม่เพียงแต่ไม่ชักม้าหันหัวกลับ กองทัพม้าเหล็กใต้บังคับบัญชาของเขายังถือโอกาสนี้บุกเข้าไปยังแคว้นใต้อาณัติอีกแห่งหนึ่งของจูอิ๋ง ต่อให้สงครามจะดุเดือดแค่ไหน แต่เขาก็ยังมี ‘อารมณ์ผ่อนคลาย’ มาเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนด้วยตัวเอง อีกทั้งยังเปิดเผยตัวตนอย่างโจ่งแจ้ง ป่าวประกาศว่าจะกวาดล้างทะเลสาบซูเจี่ยนให้ราบคาบ ผู้ที่เชื่อฟังรุ่งเรือง ผู้ที่ต่อต้านต้องตาย เหตุผลง่ายดายเพียงแค่นี้ คำว่าเชื่อฟังและต่อต้านก็ยิ่งตรงไปตรงมา ผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยนที่ยินมอบสมบัติทั้งหมดในสำนักมาให้สามารถมีชีวิตรอดออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนอย่าง ‘ตัวเปล่าเล่าเปลือย’ ได้ ผู้ฝึกตนอิสระที่ยินดีมอบสมบัติให้กึ่งครึ่ง ในขณะเดียวกันก็กลายมาเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองระดับขั้นต่ำที่สุดของต้าหลี ร่วมมือกับต้าหลีโจมตีราชวงศ์จูอิ๋งจะสามารถอยู่ต่อในทะเลสาบซูเจี่ยนได้ชั่วคราว แต่หลังจากนั้นภูเขาที่พวกเขาอยู่ในปัจจุบันจะตกไปเป็นของใคร จะต้องย้ายสำนักและศาลบรรพจารย์หรือไม่ก็ล้วนต้องคอยฟังคำสั่งจากกองทัพม้าเหล็กต้าหลี
ส่วนทางฝั่งของเกาะกงหลิ่ว ปลายฤดูใบไม้ผลิของปีนี้มีผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่ปิดบังอำพรางตัวตนกลุ่มหนึ่งมาเป็นแขกของบนเกาะ หลังจากที่ซูเกาซานปรากฏตัว ป่าวประกาศข้อเรียกร้องแก่ผู้ฝึกตนหลายหมื่นคนในทะเลสาบซูเจี่ยน ค่ำคืนนั้นเอง ภายใต้การนำของหลิวเหล่าเฉิง พวกเขาก็ร่วมมือกันกระโจนเข้าใส่เกาะชิงเสียอย่างไม่มีลางบอกเหตุ หลังจากที่หลิวเหล่าเฉิงทำลายค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำของเกาะชิงเสียได้แล้ว ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งในนั้นก็ร่ายวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน เพียงแค่โจมตีอย่างเต็มแรงครั้งเดียวก็แทบจะทำลายจวนเหิงโปทั้งหลังให้พังภินท์ หลังจากนั้นผู้ฝึกตนที่เฝ้าตอรอกระต่ายผู้นี้ก็ใช้สมบัติอาคมสิบกว่าชิ้นมาสร้างเป็นค่ายกล สกัดจับดักตัวหลิวจื้อเม่าที่พลังการต่อสู้อ่อนด้อยกว่าจึงคิดจะหลบหนีไปเอาไว้ได้ แล้วจับตัวไปขังไว้ที่เกาะกงหลิ่ว จางเย่เห็นท่าไม่ดีก็ไม่ได้พาตัวไปตาย แต่แอบใช้เส้นทางลับใต้น้ำแห่งหนึ่งของเกาะชิงเสียหนีออกมา แล้วรีบร้อนเดินทางมาที่แคว้นสือหาว อาศัยแผ่นหยกผู้ถวายงานแผ่นนั้นมาตามหาตัวเฉินผิงอันจนเจอ
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว หลังจากฟังจางเย่อธิบายเรื่องทุกอย่างจนจบถึงได้เอ่ยถามว่า “หลิวเหล่าเฉิงมีท่าทีอย่างไร?”
จางเย่ส่ายหน้า “ดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นติดต่อกันในทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนี้ถึงได้รู้ว่า ที่แท้นับตั้งแต่ที่ผู้ฝึกตนซึ่งเป็นเซียนดินแทบทุกคนเริ่มขึ้นเกาะกงหลิ่ว จนกระทั่งจับเจ้าเกาะไปไว้ที่เกาะกงหลิ่ว หลิวเหล่าเฉิงไม่พูดอะไรสักคำ และยิ่งไม่เห็นผู้ฝึกตนของทะเลสาบซูเจี่ยนปรากฎตัวแม้แต่คนเดียว”
จางเย่เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “แม้ข้าจะเกลียดแค้นหลิวเหล่าเฉิงอย่างถึงที่สุด แต่ก็จำต้องยอมรับว่านี่ต่างหากจึงจะเป็นฝีมือที่ผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนคนหนึ่งสมควรมี”
เฉินผิงอันเอ่ย “ผู้ฝึกตนอิสระหลายคนในทะเลสาบซูเจี่ยนเวลานี้น่าจะแอบด่าหลิวเหล่าเฉิงในใจว่าเป็นกบฏของทะเลสาบซูเจี่ยน และเป็นสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งของต้าหลีกระมัง”
จางเย่ยิ้มขมขื่น “เกาะพันกว่าเกาะ ผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคน แต่ละคนแทบจะเอาตัวไม่รอด แล้วก็ขวัญหนีดีฝ่อกันไปเกือบหมดแล้ว คาดว่าตอนนี้แค่พูดถึงหลิวเหล่าเฉิงและซูเกาซานก็หวาดกลัวจนตัวสั่นกันแล้วกระมัง”
แต่แล้วจางเย่ก็ส่ายหน้าเบาๆ “ความกล้าหาญและขวัญกำลังใจที่เหลืออยู่ไม่มากของทะเลสาบซูเจี่ยนนับว่าสูญหายไปหมดสิ้นแล้ว เหมือนกับการร่วมมือกันอย่างจริงใจที่เต็มไปด้วยอันตรายครานั้น ร่วมแรงกันสังหารผู้ฝึกตนก่อกำเนิดและผู้ฝึกตนโอสถทองแล้ว วันหน้าเมื่ออยู่บนโต๊ะสุราก็ไม่มีทางพูดถึงอีก หลิวเหล่าเฉิง โจรหลิวเหล่า! ข้าจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าต้องเป็นผลประโยชน์มากมายแค่ไหนถึงทำให้หลิวเหล่าเฉิงทำเช่นนี้ได้ เขาถึงขนาดยอมขายทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนโดยไม่เสียดาย! สตรีคนเฝ้าประตูของจวนจูเสียน หงซูผู้นั้น ปีนั้นก็เป็นข้าที่ได้รับคำสั่งให้ออกไปตามหานางอยู่ข้างนอก ตามหาอย่างยากลำบากเกือบสิบปีถึงตามหาคนที่เป็นอดีตเจ้าแห่งยุทธภพหญิงคนก่อนมาจุติได้เจอ แล้วพานางกลับมายังเกาะชิงเสีย นี่ถึงทำให้ข้ารู้ว่าหลิวเหล่าเฉิงไม่ได้ไร้น้ำใจไร้ความผูกพันต่อทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างที่คนภายนอกเล่าลือกัน”
สีหน้าของจางเย่ซีดเซียว เขาหยุดเท้าไม่ก้าวเดินต่อ ทรุดตัวลงนั่งข้างลำคลอง วักน้ำขึ้นล้างหน้า สีหน้าในเวลานี้เลื่อนลอย
สถานการณ์ในตอนนี้เมื่อเทียบกับครั้งที่เขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลิวจื้อเม่าในทะเลสาบ สู้จนสุดชีวิตแล้วแต่เกาะแห่งนั้นก็ยังถูกเซียนดินทำลายให้จมลงสู่ก้นทะเลสาบ ก็ดูเหมือนว่าจะทำใหจางเย่กลุ้มใจและจนใจได้มากกว่า
อายุมากแล้ว ความทดท้อทอดอาลัยจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจางเย่เหลือเวลาอีกแค่หกสิบปี ต่อให้คิดจะมอดม้วยกันไปทั้งสองฝ่าย เขาจางเย่ยอมสละตัว แต่คนเขาจะยอมตอบรับหรือไม่? อีกฝ่ายแค่ขยับนิ้วก็สามารถทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่พอจะมีหน้ามีตาในทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างเขาแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงได้แล้ว
เฉินผิงอันจูงม้า ตรงเอวห้อยดาบและกระบี่สลับกัน เอ่ยเรียบๆ ว่า “คนอย่างหลิวเหล่าเฉิง ขอแค่ตัดสินใจว่าจะย้อนกลับคืนมายังทะเลสาบซูเจี่ยนก็ต้องไม่มีสาเหตุเพียงแค่เพราะตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพอย่างแน่นอน ตอนนั้นที่เขาขึ้นเกาะชิงเสียไปกำราบกู้ช่านและทายาทของมังกรที่แท้จริงตัวนั้นก็เป็นแค่การอำพรางตาที่จะมีหรือไม่มีก็ได้เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะมีการลงมือครั้งนั้นหรือไม่ ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนในทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้าก็ได้แต่รอความตาย รอให้คนมาฆ่าแกงเท่านั้น เพราะนอกจากหลิวเหล่าเฉิงแล้วก็แทบจะไม่มีใครที่มองเห็นสถานการณ์ใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปที่ม้วนหอบมาถึง ยังนึกว่าทะเลสาบซูเจี่ยนสามารถวางตัวอยู่นอกเหนือเรื่องราว ไม่แน่อาจจะยังรู้สึกว่าโลกภายนอกวุ่นวายก็ยิ่งดี จะได้จับปลาในน้ำขุ่นได้สะดวก ก็เหมือนสงครามในแคว้นสือหาวครั้งนี้ มีผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยนมากน้อยเท่าไหร่ที่ฉวยโอกาสแทรกซึมมา เชื่อว่าคนมีคนไม่น้อยที่กินอิ่มจนพุงกาง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะได้เงินก้อนใหญ่มาก็ต้องถูกคนอื่นมาริบเอาไป อุตส่าห์สะสมมาอย่างยากลำบากตลอดร้อยปีหรือหลายร้อยปี สุดท้ายกลับไม่รู้เลยว่าเหนื่อยยากเพื่อใครกันแน่”
จางเย่ที่นั่งยองอยู่ริมลำคลองตลอดเวลากล่าวอย่างจนใจ “จะโทษว่าทะเลสาบซูเจี่ยนสายตาไม่ดีอย่างเดียวก็ไม่ได้ พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย นอกจากเกาะชิงเสียของพวกเราแล้ว ยังมีเกาะชิงจ่ง เกาะเทียนหมู่ที่เป็นปฏิปักษ์กันซึ่งคิดจะกอดขาใหญ่ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเอาไว้ แต่กระนั้นก็ต้องดูว่าคนเขาเต็มใจยื่นขาออกมาให้หรือไม่ แล้วก็ต้องดูด้วยว่าหิ้วหัวหมูมาแล้วจะเข้าประตูศาลไปได้หรือไม่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”
จางเย่ลุกขึ้นยืน พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที “แต่หากฉลาดจริงๆ ก็ต้องกล้าเดิมพันครั้งใหญ่ โดยมาที่แคว้นสือหาวเพื่อติดต่อกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีแต่เนิ่นๆ เป็นฝ่ายสวามิภักดิ์ แค่ไปให้แม่ทัพคนใดคนหนึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาก็พอ จากนั้นขอแค่ถูกสายลับของศาลาคลื่นมรกตต้าหลีบันทึกชื่อไว้ ป่านนี้ก็คงรวยไปนานแล้ว วันหน้าเมื่อทะเลสาบซูเจี่ยนแบ่งขั้วอำนาจกันใหม่ คงได้ผลประโยชน์ไม่น้อย นั่นต่างหากถึงจะกินอิ่มจนพุงกาง ได้กำไรมหาศาลอย่างแท้จริง อันที่จริงเกาะชิงเสียของพวกเราก็ทำดีมากแล้ว จะแพ้ก็ตรงที่ไม่เคยได้ติดต่อไปหาซูเกาซาน เอาแต่หยุดอยู่ที่ถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่ บวกกับที่หลิวเหล่าเฉิงยื่นเท้าเข้าแทรก จึงต้องล้มเหลวในก้าวสุดท้าย”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วครุ่นคิด เขาเงียบไปนานก่อนจะถามอย่างสงสัย “ผู้อาวุโสจางเหล่า ท่านรู้หรือไม่ว่าเกือบสิบปีมานี้ แจกันสมบัติทวีปมีตระกูลเซียนใหญ่ที่มีอักษรคำว่าจงในสำนักแห่งใดอยากจะย้ายที่ตั้งของสำนัก? ต่อให้เป็นแค่คำกล่าวที่เป็นแค่ข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม เคยได้ยินบ้างหรือไม่?”
จางเย่ส่ายหน้าอย่างห่อเหี่ยว “ไม่เคยเลย ยกตัวอย่างเช่นผู้นำบนภูเขาแห่งแจกันสมบัติทวีปของพวกเราอย่างฉีเหล่าเจ้าสำนักโองการเทพที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นเทียนจวิน ยิ่งใหญ่มุ่นคงดุจขุนเขา อีกทั้งสำนักโองการเทพยังเป็นเทพเซียนลัทธิเต๋าที่ตั้งใจฝึกตนอย่างสงบ ไม่เคยมีวี่แววว่าจะขยับขยายอาณาเขต ก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับเจ้าเกาะ ดูเหมือนว่าสำนักโองการเทพจะเพิ่งรับนักพรตทำเนียบวงศ์ตระกูลกลุ่มหนึ่งมาเพิ่ม นี่เป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก เจ้าเกาะถึงขั้นเดาว่าสำนักโองการเทพขุดเจอถ้ำสวรรค์หรือพื้นที่มงคลแห่งใหม่หรือไม่ ถึงต้องส่งคนเข้าไปข้างใน นอกจากนี้ภูเขาเจินอู่กับศาลลมฟ้า สกุลเจียงอวิ๋นหลิน นครมังกรเฒ่า ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีวี่แววของข่าวลือประเภทนี้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
จางเย่จากที่เส้นในจิตใจขมวดขึงตึง มาจนถึงผ่อนคลายอย่างกะทันหัน แล้วก็กลายเป็นเหนื่อยล้าสุดขีด สีหน้าของเขาจึงดูอิดโรย
เพียงแต่พอเห็นใบหน้าของนักบัญชีที่อยู่ข้างกาย จางเย่กลับหัวเราะ ท่านเฉินยังไม่เคยบ่นว่าลำบากเลยแม้แต่น้อย ตนกลับทำท่าอ่อนแอเหมือนสตรี ที่มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีจะไม่เสียเปล่าหรอกหรือ?
จางเย่จึงเล่าถึงบทสนทนาครั้งสุดท้ายระหว่างเขากับหลิวจื้อเม่าในจวนเหิงโป ไม่ใช่ว่าช่วยพูดแต่คำดีๆ ให้แทนหลิวจื้อเม่า แต่ความจริงเป็นเช่นไรก็พูดเช่นนั้น
ผู้เฒ่าของทะเลสาบซูเจี่ยนจากไปคนแล้วคนเล่า คนใหม่แต่ละคนก็โอหังหยิ่งผยองกันมากขึ้นเรื่อยๆ จางเย่ที่ในอดีตถือว่ามีชาติกำเนิดจากเซียนซือตระกูลเซียนที่แท้จริงจึงหาคนที่สามารถพูดคุยด้วยได้ไม่เจอแล้ว คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดยังจะได้มาพบเจอกับ ‘ผู้ฝึกตน’ คนหนึ่งที่แม้จะลงมือทำเรื่องเหนื่อยยาก แต่ก็ยังไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นเหมือนกันกับตน เมื่อลองได้เปิดปากพูดแล้ว คำพูดจึงพรั่งพรูออกมาค่อนข้างมาก พอสังเกตสีหน้าของคนหนุ่มร่างผอมบาง เห็นว่าเขาไม่มีท่าทางหงุดหงิด จางเย่ถึงวางใจลงได้
เฉินผิงอันตั้งใจฟังอย่างอดทนอยู่ตลอด
และในขณะที่จางเย่ไม่มีอะไรให้พูดแล้ว เฉินผิงอันถึงเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “ทางที่ดีที่สุดผู้อาวุโสจางเหล่าอย่ากลับไปที่ทะเลสาบซูเจี่ยนอีกเลย ถึงอย่างไรก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ไม่สู้รอดูการเปลี่ยนแปลงอยู่ห่างๆ จะดีกว่า”
จางเย่ส่ายหน้า กล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “ข้าจะไปที่ไหนได้อีก? เกาะชิงเสียคือบ้านของข้า หากไม่เกิดเรื่องในครั้งนี้ ข้าก็ไม่ถือสาที่จะหาสถานที่หลบร้อนเหมาะๆ บริเวณใกล้เคียงกับทะเลสาบซูเจี่ยน แล้วใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสงบเหมือนพวกอ๋องในโลกมนุษย์”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสจางเหล่า ข้าขอถามนอกเรื่องหน่อย ในสายตาของผู้ฝึกตนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรอย่างพวกท่าน หรือไม่หลิวจื้อเม่าเคยพูดถึงหรือไม่ว่า ยามที่เดินทางผ่านสถานที่แห่งหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง จะสามารถสัมผัสได้ถึงภาพเหตุการณ์ที่ค่อนข้าง…พร่าเลือน?”
จางเย่ส่ายหน้า “เจ้าเกาะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ และอย่างน้อยข้าก็ไม่มีความสามารถเช่นนี้ เกี่ยวกับการมองเห็นการโคจรของโชคชะตาในพื้นที่หนึ่ง คือความสามารถขององค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำ เชื่อว่าต่อให้เป็นเซียนดินก็ยังมองไม่เห็นอย่างชัดเจน ส่วนผู้ฝึกตนใหญ่ที่ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนอย่างเจ้าเกาะจะทำได้หรือไม่ ก็บอกได้ยาก เพราะถึงอย่างไรการมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือก็มองเห็นแค่วัตถุและทัศนียภาพที่เป็นของจับต้องได้จริงเท่านั้น ไม่เกี่ยวพันไปถึงเรื่องโชคชะตาที่เป็นภาพมายาเลื่อนลอย”
เฉินผิงอันลังเลตัดสินใจไม่ได้ ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
จางเย่พลันหัวเราะเสียงดัง “ทำไมหรือ ท่านเฉิน เป็นคนดีก็ยากอย่างนี้เอง ทั้งๆ ที่คิดทำเพื่อคนอื่น ทว่ากลับยังต้องชั่งน้ำหนักอย่างระมัดระวังยิ่งกว่าเรื่องของตัวเองเสียอีก? ท่านเฉิน มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ยังไม่สนิทกันจึงพูดไม่ได้ ส่วนตอนนี้ พวกเราก็ไม่ถือว่าเป็นสหายกัน เพียงแต่พรุ่งนี้จางเย่จะเป็นหรือตายก็ยังบอกได้ยาก จึงไม่ขอเกรงใจท่านแล้ว จะพูดกับท่านเลยล่ะกัน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสจางเหล่าเชิญพูดมาได้เลย”
จางเย่จ้องมองคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเป็นนานโดยไม่เปิดปากเอ่ยอะไร ก่อนจะส่งเสียงหึหนึ่งทีแล้วเอ่ยว่า “จู่ๆ ก็ไม่มีอะไรให้พูดแล้ว แบบนี้จะทำอย่างไรดี?”
—
ขี่ม้าลงใต้เพียงลำพัง
เฉินผิงอันจนใจ เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าเพื่อให้ตัวเองสดชื่น
ต่อให้จะแค่ได้ฟังเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงบนเกาะชิงเสียก็สิ้นเปลืองแรงใจมากขนาดนี้แล้ว กระตุกผมเส้นเดียวสั่นสะเทือนไปทั้งร่าง การวางแผนมากมายหลังจากนี้ยังต้องเหนื่อยใจอีกมาก
เฉินผิงอันเอ่ย “ทางทิศตะวันออกสุดของภูเขาหูลั่วมีภูเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่คนเพิ่งย้ายกันเข้ามา ข้าเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดบางอย่างของที่นั่น หากผู้อาวุโสจางเหล่าเชื่อใจข้า ไม่สู้ไปพักอยู่ทางแถบนั้นก่อน ถือซะว่ามาผ่อนคลายอารมณ์ ตอนนี้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็แค่หลิวจื้อเม่ากายดับมรรคาสลายอยู่บนเกาะกงหลิ่ว เป็นไก่ที่ถูกเชือดให้ลิงดู ถึงเวลานั้นผู้อาวุโสควรจะทำอย่างไร ไม่ว่าใครก็ขัดขวางไม่ได้ ข้าก็ยิ่งไม่มีทางห้ามปราม แต่อย่างไรก็ดีกว่ากลับไปตอนนี้ เพราะบางทีอาจถูกมองเป็นการท้าทายอย่างหนึ่ง แล้วจะถูกจับขังคุกน้ำบนเกาะกงหลิ่วไปพร้อมกันด้วย บางทีผู้อาวุโสอาจจะไม่กลัวเรื่องนี้ กลับกันยังอาจรู้สึกว่าแค่ได้เห็นหลิวจื้อเม่าสักครั้งก็สบายใจแล้ว ทว่าในเมื่อตอนนี้มีเพียงจวนเหิงโปของเกาะชิงเสียเท่านั้นที่เจอหายนะ ทั้งเกาะไม่ได้ล่มสลายลงมา แม้แต่เกาะใต้อาณัติอย่างเกาะซู่หลินก็ยังไม่ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย นี่หมายความว่าวันหน้าหากเกิดโอกาสพลิกผัน เกาะชิงเสียก็ต้องการให้มีคนที่สามารถหยัดยืนขึ้นมาได้ ข้า คงไม่ได้ แล้วก็ไม่ยินดีจะทำด้วย แต่ผู้เฒ่าบนเกาะชิงเสียอย่างจางเย่ที่หลิวจื้อเม่าไว้วางใจที่สุด ต่อให้ขอบเขตไม่สูงมากพอก็ยังสามารถโน้มน้าวให้ผู้คนสยบยอมได้อยู่ดี”
จางเย่ใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบหนึ่งก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “ข้ามันมีชะตากรรมที่ต้องยุ่งวุ่นวายซะจริง”
แล้วจู่ๆ จางเย่ก็ใช้เสียงในทะเลสาบหัวใจบอกกับเฉินผิงอันว่า “ระวังทางฝ่ายของเกาะกงหลิ่วไว้ให้ดี มีคนกำลังใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อ หากเป็นจริง เหตุใดอีกฝ่ายถึงทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น ไม่เอากู้ช่านและจวนชุนถิงเป็นเหยื่อล่อเสียเลย ข้อนี้ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ คาดว่าในเรื่องครั้งนี้ย่อมต้องมีหลักการเหตุผลที่พลิกเปลี่ยนร้อยรอบพันตลบซ่อนอยู่ แน่นอนว่าท่านเฉินน่าจะคิดได้แล้ว ข้าก็แค่ได้เปรียบแล้วยังทำเรื่องไร้คุณธรรมเพื่อให้ตัวเองสบายใจเท่านั้น ภาระนี้ นาทีที่ข้าออกมาจากเกาะชิงเสียก็ถูกข้านำไปวางไว้บนไหล่ของท่านเฉินแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ “คำพูดเกรงอกเกรงใจบางอย่าง บางครั้งก็ยังต้องควรพูด อย่างน้อยก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นได้เยอะ นี่ก็เป็นหลักการเล็กๆ ข้อหนึ่งที่ข้าเพิ่งรู้มาจากคนหนุ่มแซ่กวนคนหนึ่ง”
จางเย่เอ่ยสัพยอก “ท่านเฉินยังต้องเรียนรู้หลักการเหตุผลมาจากคนอื่นอีกหรือ?”
เฉินผิงอันชี้จางเย่ จากนั้นจึงชี้ไปยังหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่ ก่อนจะโบกมือวาดวงกลมวงหนึ่งโดยหันไปทางหมู่บ้านตีนเขาของภูเขาหูลั่วคล้ายไม่ใส่ใจ “หลักการเหตุผลนอกตำรามีมากมายมหาศาล หากจะพูดถึงเรื่องเล็กเมื่อครู่นี้ ก็อย่างเช่นที่ชาวบ้านในบ้านป่ารู้จักมารยาทในการข้ามสะพาน ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่อยู่สูงส่งเหนือผู้ใดจะมีสักกี่คนที่ยินดีปฏิบัติตามหลักการเหตุผลเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้? ถูกไหม?”
ความกลัดกลุ้มในใจของจางเย่ลดทอนหายไปหลายส่วน “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเยือนภูเขาเล็กๆ ที่ท่านเฉินพูดถึง ลองไปเดินและตามหาหลักการเหตุผลดูสักข้อ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ทำไมจะทำไม่ได้เล่า?”
จางเย่กวาดตามองไปรอบด้าน กี่ปีแล้วที่เขาไม่เคยสงบใจหันมามองทัศนียภาพในโลกมนุษย์ตามตีนเขาเหล่านี้
เฉินผิงอันเอ่ย “ข้าไม่มีทางรีบกลับไปที่ทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อหลิวจื้อเม่า ข้ายังมีธุระของตัวเองให้ต้องทำ ต่อให้กลับไปแล้วก็ได้แต่ทำในเรื่องที่ตัวเองมีความสามารถเท่านั้น”
จางเย่พยักหน้ารับ “หากเพิ่งได้รู้จักกันแล้วได้ยินคำตอบนี้ ข้าต้องร้อนใจราวกับมีไฟลนแน่นอน แต่ตอนนี้ไม่เหลือกะจิตกะใจอะไรแล้ว ทั้งไม่กล้าและไม่ยินดีจะสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่น ท่านเฉินแค่ทำเรื่องตามแผนการของตัวเองไปเถิด”
เฉินผิงอันกับจางเย่พูดขึ้นแทบจะพร้อมกัน “คำพูดเกรงอกเกรงใจบางอย่าง บางครั้งก็ต้องควรพูดบ้าง”
คนทั้งสองหันมายิ้มให้กัน
จางเย่จัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบแล้วจึงจากไป ไม่ได้จำแลงร่างเป็นสายรุ้งทะยานลม แต่แค่เดินช้าๆ ข้ามสะพานเล็กแห่งนั้นไป
เฉินผิงอันพาหม่าตู่อี๋และเจิงเย่จูงม้าเดินผ่านทางสายเล็กหินสีเขียวของหมู่บ้าน พอขึ้นเขามาแล้วก็ผ่านประตูภูเขาหูลั่ว ประตูแห่งนี้เป็นเพียงแค่ซุ้มหินเล็กๆ ไม่ได้ปฏิเสธผู้มาเยือนให้อยู่ห่างไปไกลเป็นพันลี้ แม้กระทั่งผู้ฝึกตนเฝ้าประตูก็ยังไม่มี ผู้ฝึกตนของภูเขาหูลั่วสืบทอดจากอาจารย์สายเดียว ต่อให้ศาลบรรพจารย์จะไม่ได้มีแค่หนึ่งสาย แต่กระนั้นก็ยังมีคนน้อยจนนับนิ้วได้ หากไม่นับผู้ถวายงานและเค่อเชิง ผู้ฝึกตนที่แท้จริงของภูเขาหูลั่วคาดว่ารวมกันแล้วคงมีไม่ถึงยี่สิบคน แต่บนภูเขาหูลั่วก็ยังมีสถานที่แห่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกับถนนเรียกสวรรค์ของใบถงทวีปหรือไม่ก็ถนนวานรร่ำไห้ของนครน้ำบ่อ ถึงอย่างไรการฝึกตนของผู้ฝึกตนก็ต้องใช้เงินในการบุกเบิกเส้นทาง นี่คือหลักการที่ต่อให้ผ่านไปหมื่นปีก็ไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นภูเขาหูลั่วจึงไม่ถือว่าเงียบสงัดวังเวงเกินไปนัก
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง
ก็มองไม่เห็นเงาร่างของจางเย่แล้ว
หากจะบอกว่าจางเย่ไม่ได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการจากตน หลิวจื้อเม่าตกอับ กลายเป็นนักโทษชั้นต่ำของเกาะกงหลิ่ว และมีความเป็นไปได้อย่างสูงสุดว่ามหามรรคาอาจจะต้องขาดสะบั้นไปนับแต่นี้ จางเย่ไม่ผิดหวังงั้นหรือ? แน่นอนว่าต้องผิดหวังอย่างถึงที่สุด
แต่ว่า
เรื่องของความผิดหวัง เมื่อความรู้สึกผิดหวังผ่านไปแล้วควรจะทำเช่นไรก็ยังจำเป็นต้องทำเช่นนั้น และนี่ยังต้องดูที่สภาพจิตใจและความสามารถของตัวบุคคลเองด้วย
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงรู้สึกเคารพเลื่อมใสคนอย่างจางเย่และกวนอี้หราน รวมไปถึงแม่ทัพผีแคว้นสือหาวที่พบเจอกันโดยบังเอิญในอารามหลิงกวาน และซูซินไจแห่งภูเขาหวงหลีเป็นอย่างยิ่ง
พวกเราไม่มีทางรู้เลยว่า เมื่อพวกเราเดินอยู่บนทางดินเละเฉอะแฉะที่เดินได้ยากลำบากอย่างถึงที่สุด จะพบเจอกับลมมรสุมที่ใหญ่ยิ่งกว่าหรือไม่ จะพบเจอคนดีสักคนสองคนโดยบังเอิญที่เป็นเหมือนเปลวไฟส่ายไหวในตะเกียงดวงแล้วดวงเล่าหรือไม่
เฉินผิงอันเชิญผีที่ตอนมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนนั้นออกมาช่วยพวกหม่าตู่อี๋และเจิงเย่ดูของ หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาถูกหลอก
บนถนนเส้นนั้นของภูเขาหูลั่ว หม่าตู่อี๋เดินเข้าออกร้านน้อยใหญ่จนทั่ว เปรียบเทียบของอย่างน้อยสามร้าน ทั้งสามารถขายวัตถุดิบวิเศษออกไปได้ แล้วก็มีทั้งที่ซื้อมาเพิ่มใหม่ นางกับเจิงเย่ ‘แบ่งอามิส’ กันไปนานแล้ว นางยังช่วยเจิงเย่วางแผนอีกด้วยว่าด้วยขอบเขตในเวลานี้ควรจะซื้อวัตถุวิเศษชิ้นใดถึงจะคุ้มค่ามากที่สุด ไม่ได้หวังจะเอาแต่ของดีหรือระดับขั้นสูงๆ อย่างเดียว แม้ว่าเจิงเย่จะเลือกจนตาลาย แล้วก็มักจะถูกใจอยู่หลายชิ้น แต่ก็ยังคงฟังความเห็นของหม่าตู่อี๋ แล้วก็เป็นเช่นนี้ หนึ่งคนหนึ่งผีจึงกลายมาเป็นสหายกันจริงๆ
เฉินผิงอันเห็นอยู่ในสายตา แล้วก็ยิ้มอยู่ในใจ
เนื่องจากเป็นร้านตระกูลเซียน ของสะสมล้ำค่าในโลกมนุษย์ที่กินฝุ่นมานานหลายสิบปีหรือเป็นร้อยปี หรือเป็นของที่เพิ่งซื้อมาในราคาถูก ส่วนใหญ่มักจะถือว่าเป็นของรางวัลที่ได้เพิ่มเติมมาจากการค้าขายด้วยเงินเทพเซียนก้อนหนึ่ง นี่ก็ไม่ต่างจากตอนที่เฉินผิงอันซื้อภาพวาดสาวงามและเลียนแบบชวีหวงมาจากร้านบนถนนวานรร่ำไห้ แล้วเจ้าของร้านมอบของชิ้นเล็กสามชิ้นให้เฉินผิงอันโดยไม่เก็บเหรียญทองแดงเพิ่มแม้แต่เหรียญเดียว ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ผีผู้เฒ่าก็จะต้องแสดงฝีไม้ลายมือ ผู้ฝึกตนที่ตัดขาดเรื่องทางโลก ต่อให้เป็นการค้าขายกับพวกพ่อค้า แต่ก็ไม่แน่เสมอไปที่จะมองออกว่าของสะสมโบราณเก่าแก่ในราชวงศ์โลกมนุษย์จะดีหรือเลว หรือควรมีมูลค่าเท่าไหร่ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมีอีกอาชีพเป็นการเก็บตกของเก่า
ออกจากภูเขาหูลั่วไปด้วยผลประโยชน์เต็มสองมือ
เฉินผิงอันยังคงอิงตามเส้นทางเดิน นั่นคือเดินเลียบไปบนเส้นเขตชายแดนของแคว้นสือหาว เดินผ่านเมืองหน้าด่านเมืองแล้วเมืองเล่า ช่วยทำตามความปรารถนาทั้งเล็กและใหญ่ให้วัตถุหยินภูตผีเหล่านั้นจนสำเร็จ
ทว่าช่วงเวลาระหว่างนี้เขาก็คอยจับตามองความเคลื่อนไหวของทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าข่าวเกี่ยวกับทะเลสาบซูเจี่ยนที่ซื้อมาในรูปแบบของรายงานเก่าๆ ราคาถูกปึกหนึ่งจากร้านผู้ฝึกตนบนภูเขาหูลั่ว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข่าวเล็กข่าวน้อยที่ไม่เจ็บไม่คัน
ในช่วงเสี่ยวหม่าน (หนึ่งในยี่สิบสี่เทศกาลของจีน เป็นช่วงที่ข้าวเต็มรวง) ที่ ‘รวงข้าวน้อยเอิบอิ่มเต็มที่’ ของเดือนสี่ หากอยู่ในเมืองเล็กบ้านเกิดของถ้ำสวรรค์หลีจู ในผืนนาเวลานี้ ยามที่ต้องแย่งน้ำจำเป็นต้องตั้งใจและระมัดระวังอย่างมาก ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อผลเก็บเกี่ยวของหนึ่งปี
ในช่วงเวลาที่เฉินผิงอันเตรียมจะกลับไปยังทะเลสาบซูเจี่ยนก็ได้รับรายงานข่าวตระกูลเซียนที่ค่อนข้างแพร่หลายในชายแดนเหนือของแคว้นสือหาวมาหนึ่งฉบับ ด้านบนบันทึกข่าวหลายข่าวที่ใหญ่เทียมฟ้า
เฉาผิงแม่ทัพหลักของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีอีกกองหนึ่ง รวมไปถึงทหารของเขาที่ใจกล้าอย่างถึงที่สุดยอมเสี่ยงอันตรายแบ่งทหารออกเป็นสามทาง ทิ้งไว้แค่กองบัญชาการกลางให้อยู่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่แห่งเดิมเพื่อคอยคุมเชิงกับทัพใหญ่ชายแดนของราชวงศ์จูอิ๋งเท่านั้น ส่วนกองทัพม้าสองกองที่เหลือก็พากันไปโจมตีแคว้นใต้อาณัติราชวงศ์จูอิ๋งได้ติดต่อกันสองแห่ง แน่นอนว่าไม่ได้คิดจะฮุบกลืน แค่ต้องการทำลายพลังการต่อสู้ของแคว้นใต้อาณัติทั้งสองที่สามารถโยกย้ายกำลังพลได้อย่างอิสระให้สลายไปอย่างสิ้นเชิง ทหารม้าจำนวนมากจึงจำต้องร่นอาณาเขตเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อาศัยเมืองใหญ่กำแพงสูงเป็นฐานที่ตั้งของตัวเอง เฝ้าปกปักษ์พิทักษ์พื้นที่หนึ่ง นี่จึงทำให้กองทัพม้าเหล็กใต้บัญชาการณ์ของเฉาผิงยิ่งมีอิสระมากขึ้น
ชาวบ้านลี้ภัยของสองแคว้นพากันกรูเข้ามายังแถบชายแดนของราชวงศ์จูอิ๋ง ราชสำนักของแคว้นใต้อาณัติคอยส่งทูตไปยังเมืองหลวงราชวงศ์จูอิ๋งอย่างต่อเนื่อง แต่ละคนร้องไห้พร่ำเรียกหาบิดามารดา โขกหัวจนเลือดไหลนองเป็นสาย คร่ำครวญหวนไห้อย่างน่าสงสาร ขอร้องให้กองทัพใหญ่จูอิ๋งช่วยชาวบ้านให้หลุดพ้นจากหลุมเพลิง ตัดสินใจโจมตีเปิดศึกตัดสินแพ้ชนะกับคนเถื่อนต้าหลีนอกกำแพงเมืองอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้แม่ทัพใหญ่ที่เฝ้าพิทักษ์ชายแดนจูอิ๋งซึ่งคอยคุมเชิงอยู่กับเฉาผิงจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถูกด่าประณามว่าขี้ขลาดที่จะสู้รบ เรื่องนี้เล่าลือกันไปทั่วราชวงศ์จูอิ๋ง อีกทั้งยังมีคำกล่าวหาว่าคนผู้นี้แอบสมคบคิดกับต้าหลีที่ถูกนำมาถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนดุเดือด ในราชสำนักของแคว้นจูอิ๋งจึงแบ่งออกเป็นสองฝ่ายใหญ่ บุ๋นบู๊ปะปนกัน บนภูเขาล่างภูเขาก็วุ่นวาย ในท้องพระโรงเหล่าขุนนางทะเลาะกันจนฮ่องเต้จูอิ๋งแสดงอาการกริ้วโกรธอยู่หลายครั้ง ถึงขั้นสะบัดชายแขนเสื้อ บอกให้เลิกประชุมแล้วไว้ค่อยปรึกษากันคราวหน้า
หากจะบอกว่านี่เป็นเพียงเรื่องใหญ่ในโลกมนุษย์
ถ้าเช่นนั้นช่วงนี้ที่พอเข้าหน้าร้อนก็เกิดเรื่องใหญ่บนภูเขาที่น่าตะลึงพรึงเพริดเรื่องหนึ่ง
เว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนศาลลมหิมะไปเจอกับผู้ฝึกตนใหญ่ต่างทวีปที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ในภาคกลางแจกันสมบัติทวีปชั่วคราวอย่างเซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีป
หลังการต่อสู้ครั้งหนึ่งผ่านไป เว่ยจิ้นไปจากแจกันสมบัติทวีป ขี่กระบี่ไปยังภูเขาห้อยหัวเพียงลำพัง
ศึกบนยอดเขาที่มีผู้ชมศึกแค่ไม่กี่คนครั้งนั้น ผลแพ้ชนะไม่มีปรากฏ แต่ในเมื่อเซี่ยสือได้อยู่ต่อในแจกันสมบัติทวีป นี่ก็หมายความว่าเทียนจวินลัทธิเต๋าที่สร้างความโกรธแค้นให้แก่ผู้คนในแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ต้องไม่ได้พ่ายแพ้อย่างแน่นอน
แต่ต่อให้เว่ยจิ้นไม่สามารถเอาชนะเซี่ยสือได้ด้วยกระบี่เดียว ผู้ฝึกตนในแจกันสมบัติทวีปก็ยังไม่มีคำตำหนิต่อเซียนกระบี่พสุธาที่เพิ่งเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนผู้นั้นแม้แต่น้อย มีแต่จะรู้สึกเป็นเกียรติที่เป็นผู้ฝึกตนในทวีปเดียวกันกับเขา โดยพาะอย่างยิ่งพวกผู้ฝึกกระบี่ของแจกันสมบัติทวีปที่ยิ่งภาคภูมิใจอย่างถึงที่สุด
นี่ก็คือเรื่องใหญ่บนภูเขาที่คนทั้งทวีปให้ความสนใจ
และหนึ่งในนั้นยังมีเรื่องบนภูเขาอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นที่จับตามองของคนในภาคกลางแจกันสมบัติทวีป
ผู้ฝึกตนจากภูเขาเจินอู่คนหนึ่งที่ชื่อว่าหม่าขู่เสวียน อายุไม่ถึงยี่สิบปี เพิ่งจะฝึกตนได้แค่ไม่กี่ปีกลับสามารถสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองสองคนจากศึกตัดสินเป็นตายสองครั้งที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน ว่ากันว่านี่ยังเป็นเพราะหม่าขู่เสวียนจงใจเก็บงำความสามารถก้นกรุของตัวเองเอาไว้ด้วย สำหรับเรื่องนี้ราชวงศ์จูอิ๋งเลือกที่จะเงียบงัน เพราะศึกใหญ่สองครั้งนั้นมีทั้งผู้ปกป้องมรรคาบนภูเขาเจินอู่ของหม่าขู่เสวียนคอยดูอยู่ข้างกายเขา แล้วก็มีหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์จูอิ๋งคอยจับตามองเช่นกัน การลงมือของหม่าขู่เสวียนไม่มีปัญหาใดๆ ตรงไปตรงมา เปิดเผยโจ่งแจ้ง
ทันใดนั้นนามของหม่าขู่เสวียนก็เลื่องระบือไปทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีป
หลังช่วงเสี่ยวหม่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเข้าสู่ช่วงเหมยอวี่ (ฝนที่ตกเมื่อต้นเหมยเป็นสีเหลือง หนึ่งในยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาลของจีน ช่วงประมาณเดือนหกเดือนเจ็ด) เมื่อไหร่ อากาศจะอับชื้นเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือคนธรรมดาก็ล้วนต้องระมัดระวัง ต้องบำรุงพลังหยางปราณที่เที่ยงแท้ให้ดีเพื่อจะได้นำมาต้านทานความชื้นซึ่งเป็นที่มาของปราณชั่วร้าย
ตอนที่ม้าสามตัวของเฉินผิงอันเดินทางขึ้นเหนือได้ใช้เส้นทางทางทิศตะวันออกของเมืองหลวงแคว้นสือหาว ตอนที่เดินทางลงใต้กลับเปลี่ยนเส้นทางใหม่
วันนี้ในขณะที่ฝนตกกระหน่ำ เฉินผิงอันสามคนจูงม้าเข้าไปพักในศาลาผุพังแห่งหนึ่ง หัวใจของเฉินผิงอันพลันบีบรัดตัว กล่องไม้ในชายแขนเสื้อร้อนลวกเล็กน้อย
กระบี่บินส่งข่าวเล่มหนึ่งที่ไม่ควรจะปรากฏตัวในเวลานี้ที่สุด กลับถูกส่งมา
ในเมื่อหลิวจื้อเม่าถูกจับขังอยู่ในคุกน้ำก็ไม่ทางมีปัญญาควบคุมเนินกระบี่ขนาดเล็กของตัวเองให้ส่งข่าวกระบี่บินมาให้ตนภายใต้เปลือกตาของหลิวเหล่าเฉิงและผู้ฝึกตนประหลาดกลุ่มนั้นได้
เฉินผิงอันถึงขั้นคิดว่าจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นมัน
เพียงแต่ว่าหลังจากชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้ว เขาก็ยังรับเอากระบี่บินส่งข่าวที่เป็นของหลิวจื้อเม่าจริงๆ เล่มนั้นมาอย่างระมัดระวังแล้วเปิดตราผนึกออก
ในจดหมายลับมีแค่สามประโยค
‘เดินทางกลับทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนี้ เจ้าต้องระวังแล้ว’
‘คำเตือนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเฉินผิงอัน แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้เรียบร้อยแล้วของพวกเรา แต่เป็นเพราะทนเห็นสีหน้าคนบางคนไม่ได้ เพื่อแสดงความจริงใจจึงยืมใช้กระบี่บินของหลิวจื้อเม่า”
‘เก็บกระบี่บินไว้ ไม่ต้องตอบกลับ’
—
ขี่ม้าลงใต้เพียงลำพัง
หลังจากเก็บกล่องไม้ลงไปแล้ว เฉินผิงอันก็จมสู่ภวังค์การครุ่นคิด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือฝีมือของหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว แต่เหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้ นี่คู่ควรแก่การขบคิดอย่างจริงจังแล้ว
‘คำเตือน’ ที่หลิวเหล่าเฉิงบอกอย่างตรงไปตรงมานี้ต้องไม่ด้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างที่มองเห็นภายนอกแน่นอน นี่ไม่จำเป็นต้องให้หลิวเหล่าเฉิงมาบอกเฉินผิงอันเลยสักนิด เฉินผิงอันไม่ได้หูหนวกตาบอด อีกทั้งยังมีจางเย่มาส่งข่าวให้เขาด้วยตัวเอง ด้วยความละเอียดรอบคอบและจิตใจที่ทะเยอทะยานของหลิวเหล่าเฉิงแล้ว เขาไม่มีทางทำเรื่องที่เกินความจำเป็นหรือต้องเปลืองน้ำลายโดยใช่เหตุเช่นนี้แน่ ถ้าอย่างนั้นคำว่าคำเตือนและคำว่าระวังของหลิวเหล่าเฉิงก็จะต้องเป็นจุดที่ละเอียดอ่อนยิ่งกว่านั้น มีความเป็นไปได้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับเขาเฉินผิงอันโดยตรง
เฉินผิงอันยืนอยู่ริมขอบของศาลาหลังเล็กที่มีน้ำรั่วลงมาอย่างต่อเนื่อง มองไปยังม่านฝนหนาหนักมืดทะมึนด้านนอก ตอนนี้มีผลลัพธ์อีกอย่างหนึ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่ารอเขาอยู่
การที่จางเย่อาศัยช่องทางลับของเกาะชิงเสียที่เป็นดั่งกระต่ายเจ้าเล่ห์มีโพรงสามโพรงหลบหนีออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยน ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่ในการคาดการณ์และแผนการของคนเบื้องหลังบางคนอยู่แล้ว
แล้วทำไมถึงไม่ได้ลงมือกับกู้ช่านและจวนชุนถิงโดยตรง ไม่เลือกวิธีการที่ง่ายดายและประหยัดเวลามากกว่า อีกทั้งยังเห็นผลทันตาเพื่อบีบให้ตนต้องรีบร้อนกลับไปยังทะเลสาบซูเจี่ยน แล้วสังหารตนทิ้งก็สิ้นเรื่อง
เฉินผิงอันถอนหายใจ พึมพำเบาๆ ว่า “เป็นการช่วงชิงบนมหามรรคาอีกแล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ฝีมือของสำนักที่มีอักษรคำว่าจงในชื่อของแจกันสมบัติทวีปแล้ว สำนักใบถงของตู้เม่า? หรือว่า ภูเขาไท่ผิง? ไม่ใช่แน่นอน สำนักใหญ่แห่งแรกที่ต้องผ่านทางหากไปเยือนใบถงทวีปอย่างสำนักฝูจี? แต่ตอนนั้นข้ากับลู่ไถก็แค่เดินทางผ่านเท่านั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องพัวพันอะไรกับพวกเขาแม้แต่น้อย การช่วงชิงบนมหามรรคาก็มีการแบ่งสูงต่ำ แคบกว้าง สามารถไล่ตามมาถึงแจกันสมบัติทวีปอย่างไม่ยอมเลิกรา อีกฝ่ายต้องเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนหนึ่งแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะเป็นสำนักฝูจีจึงมีไม่มาก”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วแน่น “แต่หากจะบอกว่าเป็นเจ้าอารามผู้เฒ่าที่มีวิชาอภินิหารสูงส่งผู้นั้นก็ไม่เหมือนอีกเหมือนกัน เมื่ออยู่กับเขา มหามรรคาก็ไม่ควรจะเล็กขนาดนี้”
เฉินผิงอันพลันหันหน้าไปมองด้านหลัง “เจิงเย่ หม่าตู่อี๋ พวกเจ้าไม่ต้องกลับทะเลสาบซูเจี่ยนไปพร้อมกับข้า แต่ไปยังชายแดนที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างแคว้นสือหาวกับแคว้นเหมยโย่ว รอข้าที่ด่านหลิวเซี่ยของที่นั่น”
เจิงเย่ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกหม่าตู่อี๋กระตุกชายแขนเสื้อห้ามไว้
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมองม่านฝนต่อ
พวกเขาจากลากันที่ศาลาริมทาง
แล้วเฉินผิงอันก็ขี่ม้าลงใต้ไปเพียงลำพัง
เปลี่ยนจากชุดผ้าฝ้ายสีเขียวหนาหนักมาเป็นชุดสีเขียวบางๆ พอดีตัว
เฉินผิงอันมาถึงเมืองลวี่ถงซึ่งอยู่ในอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยนได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
ถึงอย่างไรเมืองลวี่ถงก็เป็นกองกำลังริมชายแดนของทะเลสาบซูเจี่ยน คลื่นใต้น้ำ คลื่นมรสุมที่เกิดขึ้นในทะเลสาบซูเจี่ยน รวมไปถึงคำพูดและการกระทำที่สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้แก่ผู้คนของซูเกาซาน สำหรับชาวบ้านในพื้นที่ของเมืองลวี่ถงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่อาจครอบครองเกาะบุกเบิกก่อตั้งสำนักเป็นของตัวเอง หรือพวกชาวบ้านที่ทำงานหาเลี้ยงชีพไปวันๆ หลายครั้งที่เหตุการณ์ยิ่งใหญ่โตเท่าไหร่ พวกเขากลับอยู่กันอย่างสงบสุขมากเทานั้น เพราะภายใต้สถานการณ์ใหญ่ หากไม่ยอมรับชะตากรรม แล้วยังจะทำอย่างไรได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนธรรมดาที่เกิดและเติบโตมาในท้องถิ่น โลกภายนอกวุ่นวายขนาดนั้น ต่อให้มีสมบัติสะสมไว้เล็กน้อย แต่จะย้ายไปอยู่ที่ไหนได้ กล้าหรือ?
เมืองลวี่ถงมีอาหารอร่อยมากมาย
เฉินผิงอันจึงแวะร้านขายซาลาเปาร้านหนึ่ง มีเรื่องน่ายินดีเล็กๆ เกิดขึ้น เขาซื้อซาลาเปามาสองลูก กินแล้วอร่อยก็เลยซื้อมาอีกสองลูก นานมากแล้วที่เฉินผิงอันไม่เคยกินอิ่มถึงเก้าส่วนเช่นนี้
ร้านนี้เป็นร้านเปิดใหม่ เถ้าแก่ยังหนุ่มอยู่มาก เป็นคนหนุ่มที่เพิ่งจะพ้นวัยเด็กหนุ่มมา
กิจการก็นับว่าไม่เลว
ระหว่างทางที่เฉินผิงอันอ้อมจากนครลวี่ถงไปยังนครน้ำบ่อของทะเลสาบซูเจี่ยนก็ได้ยินข่าวบางอย่างมาเพิ่ม เมื่อเทียบกับตอนอยู่ในแคว้นสือหาวที่เกิดสงครามวุ่นวายไม่หยุดหย่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่าข่าวเล็กๆ ของที่นี่ขยับเข้าใกล้ความจริงมากกว่า
ตรงท่าเรือที่คุ้นเคยของนครน้ำบ่อ เวลาผ่านไปเกินครึ่งปีแล้ว แต่เรือข้ามฝากลำนั้นก็ยังถูกผูกอยู่ริมฝั่งอย่างสงบ
ต่อให้หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสียจะสูญเสียอำนาจไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ทว่าสถานะผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสียก็ยังถือว่าพอมีน้ำหนักอยู่บ้าง
ระหว่างที่เดินทางมา เฉินผิงอันได้ทิ้งม้าตัวนั้นไว้ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง และยังทิ้งเงินก้อนหนึ่งให้ทางโรงเตี๊ยมช่วยเลี้ยงม้าแทนให้
ยามที่กลุ่มดาวกระบวยใหญ่เรียงตัวเป็นรูปคล้ายหูกาเหล้า นั่นก็คือช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด ตลอดทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนมีแต่ไอร้อนลอยระอุ ราวกับกลายมาเป็นเตานึ่งขนาดใหญ่
ยากที่จะจินตนาการได้ว่าตอนที่ออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน สถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นดั่งม้วนภาพวาดขุนเขาและสายน้ำที่มองไปทางใดก็เห็นแต่หิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา
เฉินผิงอันถ่อเรือกลับไปยังเกาะชิงเสียเพียงลำพัง
หลังจากจอดเรือริมฝั่งแล้วก็เดินข้ามประตูภูเขา ผู้ฝึกตนเฒ่าที่อยู่ตรงเรือนหน้าประตูยังคงไม่มีชีวิตกะจิตกะใจเช่นเดิม พอเห็นนักบัญชีที่ย้อนกลับมายังเกาะชิงเสีย ใบหน้าก็ยังคงมีรอยยิ้ม
ราวกับว่าการหายไปของหลิวจื้อเม่าและจวนเหิงโปที่กลายเป็นซากปรักหักพังแห่งนั้น รวมไปถึงทะเลสาบซูเจี่ยนที่แม่ทัพหลักแคว้นต้าหลีวางอำนาจบารมีเข้าข่ม ล้วนไม่สามารถส่งผลกระทบใดๆ ต่อชีวิตอันเรื่อยเปื่อยผ่อนคลายของผู้ฝึกตนเฒ่าคนนี้ได้
เฉินผิงอันทักทายผู้ฝึกตนเฒ่าคนเฝ้าประตู คุยเล่นกันอยู่สองสามคำก็เดินไปเปิดประตูเรือน ไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเดิม ก็แค่มีฝุ่นเกาะเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย เพราะก่อนที่เขาจะออกไปจากชิงเสียได้เคยบอกไว้ว่าไม่ต้องให้คนมาทำความสะอาดที่นี่
เฉินผิงอันไปเยือนจวนเหิงโปที่เหลือแต่ซากจนถึงขั้นไม่มีความเป็นไปได้ที่จะสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เขายืนอยู่ริมขอบซากรกร้าง เงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้หมุนตัวเดินไปยังจวนชุนถิงที่ยังคงความโอ่อ่าหรูหราดังเดิม
ตอนนี้เกาะชิงเสียเป็นฝูงมังกรที่ไร้หัว จางเย่ที่พอจะประคับประคองสถานการณ์ได้กลับหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ทว่าเถียนหูจวินลูกศิษย์ใหญ่ของหลิวจื้อเม่าบนเกาะซู่หลินที่เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองในพื้นที่คนหนึ่งกลับเลือกจะปิดด่านในช่วงเวลานี้ บวกกับที่กู้ช่านสูญเสียหนีชิวน้อยตัวนั้นไป พวกผู้ถวายงานใหญ่บนเกาะใต้อาณัติอย่างอวี๋กุยก็ได้แอบไปมาหาสู่กันอย่างลับๆ ระหว่างบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลิวจื้อเม่า รวมไปถึงระหว่างผู้ถวายงานที่อยู่บนเกาะใต้อาณัติด้วยกัน ต่างคนต่างก็มีแผนการเป็นของตัวเอง
เชื่อว่าเมื่อไม่มีจวนเหิงโปและหลิวจื้อเม่าที่คอยกดหัวอยู่อีกแล้ว แม้ภายนอกช่วงที่ผ่านมานี้มองดูเหมือนจวนชุนถิง จะมีหน้ามีตา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับต้องทุกข์ทรมานอยู่มาก
ฟ้าถล่มลงมาแล้ว คนที่มีหมวกสูงก็ต้องต้านรับไว้ ตอนนี้หลิวจื้อเม่าเป็นแบบนี้ไปแล้ว อันดับต่อไปจะเป็นคราวของใคร?
ต่อให้คนตลอดทั้งจวนชุนถิงจะไม่เข้าใจสถานการณ์ใหญ่แค่ไหน ในเวลานี้ก็ต้องรู้กระจ่างชัดกันดีอยู่แก่ใจแล้ว
มารดาของกู้ช่านได้พาสาวใช้ผู้รู้ใจสองคนที่อายุน้อยและหน้าตางดงามออกมายืนรอที่หน้าประตูใหญ่แล้ว
การรายงานข่าวเล็กน้อยแค่นี้ จวนชุนถิงยังพอมีความสามารถอยู่บ้าง
สตรีแต่งงานแล้วเดินเร็วๆ เข้าหาเฉินผิงอัน เอ่ยเสียงเบาว่า “ผิงอัน เหตุใดยิ่งนานวันเจ้าก็ยิ่งผ่ายผอมลงเรื่อยๆ แล้ว”
เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ แต่ก็ยังยิ้มกล่าวว่า “เตร็ดเตร่ไปทั่วแคว้นสือหาวอยู่ตลอดเวลา มักจะต้องนอนกลางดินกินกลางทรายบ่อยๆ แต่ก็ชินแล้ว อันที่จริงก็ยังสบายดีอยู่ กู้ช่านล่ะ?”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มเอ่ย “หลังจากเจ้าไปจากเกาะชิงเสีย เขาก็ชอบไปเดินเล่นบนเกาะชิงเสียเพียงลำพัง เวลานี้ไม่รู้ไปเที่ยวเล่นอยู่ที่ไหนแล้ว สุนัขไม่เปลี่ยนสันดานกินอาจม เขานิสัยอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่ถึงเวลากินข้าวก็ต้องให้ข้าไปตะโกนเรียกที่หน้าประตูเขาถึงจะกลับมา แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่แล้ว ต่อให้ตะโกนเสียงดังแค่ไหน ช่านช่านออกจากบ้านไปไกลหน่อยก็ไม่ได้ยินแล้ว ตอนแรกอาก็ยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอเขาอยู่ตรงนี้ หลังจากคุยธุระจบแล้ว ข้าจะต้องออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนทันที”
สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง “รีบร้อนขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
สตรีแต่งงานแล้วจึงยืนคุยเล่นเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน ส่วนใหญ่ล้วนคุยกันเรื่องสัพเพเหระในตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาของบ้านเกิด เฉินผิงอันเองก็เล่าเรื่องของหม่าขู่เสวียนที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้ให้นางฟัง
สตรีแต่งงานแล้วทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง บอกว่าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าเด็กโง่ที่ปีนั้นถูกคนรังแกอย่างน่าสังเวช ทุกวันนี้จะได้ดิบได้ดีถึงเพียงนี้ น่าเสียดายก็แต่ยายหม่าที่ปากคอเราะร้ายที่สุดคนนั้น ไม่ทันได้เห็นความเจริญของหลานชายตัวเอง ไม่มีชะตาได้เสพสุข กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วก็คล้ายจะสะเทือนใจตามไปด้วย จึงหันหน้าไปใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหัวตาของตัวเอง
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา กู้ช่านก็เดินเอื่อยเฉื่อยกลับมาถึงจวนชุนถิง
พอเห็นมารดาและเฉินผิงอันที่รออยู่หน้าประตู กู้ช่านที่ตัวสูงสมกับเป็นเด็กหนุ่มของทางเหนือ มารร้ายแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่ง่ายจะทำให้คนหลงลืมอายุที่แท้จริงก็ยังคงไม่ได้เพิ่มความเร็วฝีเท้าให้มากขึ้น
พอเดินมาถึงหน้าประตู กู้ช่านก็เอ่ยทักทายสตรีแต่งงานแล้ว จากนั้นจึงหันมาจ้องมองเฉินผิงอัน ถามเบาๆ ว่า “กลับมาแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะชิงเสียแห่งนี้ ข้ารู้แล้ว จึงมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดกับเจ้า”
สตรีแต่งงานแล้วจึงจากไปอย่างรู้กาลเทศะ
เฉินผิงอันพากู้ช่านเดินไปยังซากปรักของจวนเหิงโปพลางเอ่ยเนิบช้าว่า “ยิ่งเหตุการณ์วุ่นวาย ยิ่งไม่ควรร้อนใจ ความผิดพลาดที่เกิดจากความยุ่งวุ่นวาย เป็นสิ่งที่ไม่ควรมีมากที่สุด”
กู้ช่านพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันถามว่า “หยวนหยวนแห่งเกาะหวงหลีเลือกสวามิภักดิ์ต่อต้าหลีแล้ว รู้หรือไม่?”
กู้ช่านยังคงพยักหน้า “ได้ยินมาบ้างแล้ว ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงใดที่ลมไม่ลอดผ่าน คราวก่อนหลังจากได้พบกับเจ้า ลวี่ไช่ซางก็ไม่เคยมาแม้แต่ครั้งเดียว กลับเป็นหันจิ้งหลิงกับหวงเฮ้อที่พอซูเกาซานปรากฏตัวและเกิดเรื่องกับหลิวจื้อเม่าแล้วได้มาเยือนเกาะชิงเสียโดยเฉพาะ หวงเฮ้อยังคิดจะเข้าไปดูในห้องของเจ้า แต่ข้าปฏิเสธ ตอนนั้นสีหน้าของเขาดูไม่ดีเท่าไหร่”
เฉินผิงอันหันมามองกู้ช่าน
กู้ช่านยิ้มกล่าว “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าตัวเองไม่ฉลาด แต่ก็คงไม่ได้โง่จนเกินไปกระมัง?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ไม่ต้องรู้สึกผิดหวังต่อคนอย่างหันจิ้งหลิงและหวงเฮ้อ เพราะนั่นแหละที่จะเรียกว่าโง่ ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องผิดหวังต่อลวี่ไช่ซางมากเกินไปนัก เพราะนั่นไม่ฉลาดมากพอ พวกเจ้าคือเพื่อนกันที่แท้จริง ในเมื่อเป็นเพื่อนกันก็ต้องลองเอาตัวไปอยู่ในมุมของเขา พิจารณาถึงสภาพการณ์ที่อีกฝ่ายต้องเผชิญให้มาก ลวี่ไช่ซางเองก็มีสำนักและหน้าที่รับผิดชอบของตน สหายที่แท้จริงต้องรู้จักให้อภัยกันและกัน เรื่องราวทางโลกซับซ้อน อย่าคาดหวังถึงความสมบูรณ์แบบและดีงามมากเกินไป หากมีย่อมดีที่สุด แต่หากไม่มีก็เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ ไม่แน่ว่าวันใดในอนาคตอาจจะได้เจอกับมิตรภาพจากสหายที่ดีที่สุดได้จริงๆ ถึงเวลานั้นก็ค่อยดื่มมันเหมือนเหล้าหมักกาหนึ่งให้เต็มคราบก็ยังไม่สาย”
กู้ช่านเงียบงันไปนาน ก่อนจะพูดว่า “เฉินผิงอัน ตอนนี้ข้ารับฟังหลักการและเหตุผลของเจ้าเข้าหูแล้ว แต่มันสายไปแล้วใช่ไหม”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่สาย”
กู้ช่านกล่าว “แต่ข้าก็ยังคงเป็นกู้ช่านคนนั้น จะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “ดีขึ้นมาหน่อยก็คือดีขึ้น หลักการเหตุผลมากขึ้นหน่อยก็คือมากขึ้น”
คนทั้งสองไม่เอ่ยอะไรกันอีก เพียงเดินต่อไปจนกระทั่งไปถึงที่ตั้งเก่าของจวนเหิงโปซึ่งตอนนี้กำแพงแตกพังเรือนถล่มล่มสลาย
เฉินผิงอันถาม “เจ้าอยากไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนพร้อมกับข้าหรือไม่ สุดท้ายยังต้องกลับมาอยู่ดี ก็เหมือนข้าคราวนี้”
กู้ช่านถามกลับ “แล้วท่านแม่ข้าจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบ
เขาแค่ให้ทางเลือกเท่านั้น
กู้ช่านจึงส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีต่อข้า แต่ข้าไม่ไป หากข้าไปแล้วก็คงไม่วางใจ ต่อให้ข้าอยู่ที่นี่แล้วจะไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย แต่หากข้าจากไปทั้งอย่างนี้ ข้าคงรู้สึกผิด ทำผิดต่อเจ้าไปแล้ว ยังทำผิดต่อหนีชิวน้อย ข้าไม่อาจทำผิดต่อท่านแม่ข้าได้อีก ข้ายังคงไม่เสียใจภายหลัง เฉินผิงอัน เจ้าอยากด่าข้าก็ด่าเถอะ”
เฉินผิงอันไม่ได้ยืนกรานในความคิดของตัวเอง ยิ่งไม่ได้ด่ากู้ช่าน
กู้ช่านรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันสอดสองมือประสานกันไว้ในชายแขนเสื้อ มองกู้ช่านที่มีใบหน้ากังขาแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เฉินผิงอันเคยด่าเจ้าเด็กขี้มูกยืดของตรอกหนีผิงหรือ?”
กู้ช่านยิ้มได้ทันใด
แล้วก็ร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ที่แท้หลักการเหตุผลของเฉินผิงอันก็เรียบง่ายเพียงเท่านี้เอง