Skip to content

Sword of Coming 465

บทที่ 465 ออกหมัดไม่มีอะไรแตกต่าง

ชั้นที่หนึ่งของเรือนไม้ไผ่ได้จัดวางชั้นโบราณเรียงไว้ชั้นหนึ่ง สีไม้เรียบง่ายแต่ประณีตงดงาม ช่องว่างเยอะ แต่สมบัติมีน้อย

เฉินผิงอันจึงคิดจะหยิบเอาสิ่งของที่อยู่ในวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อออกมาวางเติมให้ดูมีหน้ามีตาเสียหน่อย ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันต้องอึ้งตะลึง ตามหลักแล้วเฉินผิงอันออกเดินทางไกลมานานหลายปีขนาดนี้ ก็ถือว่าได้เห็นของดีๆ และได้จับผ่านมือมาแล้วไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่านอกจากสิ่งของที่ลู่ไถซื้อจากถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจีแล้วมอบให้กับเขา ของขวัญที่อู๋ยวนจวนจื่อหยางมอบให้ บวกกับภาพสตรีงดงามที่เฉินผิงอันซื้อมาจากถนนวานร่ำไห้ของนครน้ำบ่อ รวมไปถึงของชิ้นเล็กๆ ที่เถ้าแก่ร้านมอบให้เป็นของรางวัล ก็ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วจะเหลือสิ่งของอีกไม่มาก ทรัพย์สมบัติเหลือน้อยกว่าที่เฉินผิงอันคิดไว้ สมบัติแต่ละชิ้นเหมือนจอกแหนแต่ละใบที่หมุนวนอยู่กลางน้ำ นึกจะไปก็ไป นึกจะไม่มีก็ไม่มีเสียอย่างนั้น

อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็หวนนึกไปถึง ‘ด่านหลิวเซี่ย’ ซึ่งเป็นด่านที่ตั้งอยู่ชายแดนระหว่างแคว้นสือหาวกับแคว้นเหมยโย่วขึ้นมา มีชื่อว่าหลิวเซี่ย (รั้งไว้/อยู่ต่อ) แต่แท้จริงแล้วกลับรั้งอะไรไว้ไม่เคยได้เลย

บางอย่างก็ให้คนอื่นยืมไปชั่วคราว ยกตัวอย่างเช่น ‘ซีเยว่’ เสื้อเกราะรับน้ำค้างรุ่นบรรพบุรุษที่อยู่บนร่างของเว่ยเซี่ยน ดาบแคบหยุดหิมะที่พกตรงเอวหลูป๋ายเซี่ยง กระบี่ชือซินที่สะพายอยู่ด้านหลังสุยโย่วเปียน แผ่นหยก ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ ที่อยู่ในมือเว่ยป้อ ตำหนักพญายมราชคุกล่างและหอแก้วจำลองสองชิ้นที่อยู่กับกู้ช่าน เป็นต้น

ที่มากกว่านั้นคือยกให้คนอื่นไปเลย ยกตัวอย่างเช่นตราประทับเสี่ยนโย่วโป๋เทพอภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี ทุกคนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ทุกคนที่อยู่ในสำนักศึกษาซานหยา มีใครบ้างที่ไม่เคยได้ของขวัญจากเฉินผิงอัน? ไม่พูดถึงคนสนิทเหล่านี้ ต่อให้เป็นที่ร้านขายเนื้อหมาของแคว้นสือหาว เฉินผิงอันก็ยังมอบเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญออกไป ตอนอยู่ในผืนป่าริมแม่น้ำชุนฮวาแคว้นเหมยโย่ว เฉินผิงอันก็ทั้งควักเงินทั้งมอบยา ย้อนไปไกลกว่านั้น ตอนอยู่บนเกาะกุ้ยฮวายังโยนหินดีงูกำมือใหญ่ลงไปในน้ำเพื่อเลี้ยงเจียวน้อยวัยเยาว์ตัวนั้น เรียกได้ว่ามากมายนับไม่ถ้วนจริงๆ

เฉินผิงอันเอ่ยเยาะหยันตัวเอง “ตอนมอบให้คนอื่นมีเพียงความห้าวเหิม หลังจบเรื่องคิดขึ้นมาก็ปวดใจ”

คิดแล้วเฉินผิงอันก็นวดคลึงปลายคาง พยักหน้ากับตัวเอง “เป็นกลอนที่ดี!”

คนจิ๋วดอกบัวเดิมทีนั่งพักอยู่บนโต๊ะ พอได้ยินประโยคนี้ของเฉินผิงอันก็ทิ้งตัวนอนหงายลงไปทันที แขนเล็กที่เหลือเพียงข้างเดียวตบท้องตัวเองหัวเราะก๊ากไม่หยุด

เห็นท่าทางน่ารักของเจ้าตัวน้อยที่ร่าเริงนี้ เฉินผิงอันก็รู้สึกมีความสุขมาก

อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วนี้ ขอแค่ไม่ใช่คำพูดประจบเอาใจ เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าไม่ว่าอะไรก็ไพเราะน่าฟังทั้งนั้น

เฉินผิงอันยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาเกาตรงรอยบุ๋มใต้รักแร้เจ้าตัวน้อย เจ้าตัวน้อยพลิกตัวกลิ้งหลบไปทั่วโต๊ะ สุดท้ายก็ยังหนีไม่พ้นการหยอกเย้าของเฉินผิงอัน จึงได้แต่รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงอย่างสำรวม พองแก้ม แขนที่เหลือเพียงข้างเดียวโบกเบาๆ ยื่นนิ้วชี้ไปยังตำราที่กองทับกันอยู่บนโต๊ะหนังสือ ราวกับต้องการบอกอาจารย์น้อยผู้นี้ว่า จะเล่นสนุกบนโต๊ะหนังสือไม่ได้

เฉินผิงอันหัวเราะแล้วหยุดการกระทำลง

เขาหยิบสมบัติที่อยู่ในวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อออกมาวางลงบนโต๊ะทีละชิ้น

ตอนนี้ทรัพย์สินก็แค่น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่เอาเข้าจริงสมบัติของเฉินผิงอันก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ไม่เพียงแต่จะมีภูเขาเข้าบัญชีรายรับ ตอนนี้ยังสะพายกระบี่เซียนเล่มหนึ่งไว้บนหลัง นี่ไม่ใช่เนื้อขายุงที่ตระกูลฝูนครมังกรเฒ่ายื่นโยนมาให้ แต่เป็นสมบัติกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งอย่างแท้จริง

ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ได้มาจากร่างของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดในร่องเจียวหลงตัวนั้น เดิมทีก็เป็นสมบัติตกทอดของเซียนที่ฝึกตนอยู่นอกทะเล เซียนไม่ทราบชื่อที่บินทะยานไม่สำเร็จ ได้แต่ปลิดวิญญาณแล้วไปจุติใหม่ผู้นั้น จินหลี่ไม่ได้แหลกสลายตามร่างและดวงจิตของเขาไปด้วย เดิมทีนี่ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างหนึ่งแล้ว ดังนั้นเมื่อรู้ว่าจินหลี่สามารถอาศัยการกินเหรียญทองแดงแก่นทองแล้วจะกลายเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งได้ เฉินผิงอันจึงไม่ได้ประหลาดใจเท่าใดนัก

สร้อยข้อมือแกนลูกท้อที่ไม่สมบูรณ์เส้นหนึ่ง แกนลูกท้อทุกแกนล้วนเทียบเท่าได้กับการโจมตีถึงแก่ชีวิตของเซียนดินโอสถทองทั่วไป

ชุดคลุมอาคมที่เป็นเสื้อสีเขียวตัวบาง ระดับขั้นไม่ถึงสมบัติอาคม เพียงแต่เฉินผิงอันชอบมาก ด้วยรู้สึกว่าสีขาวผุดผ่องเหนือหิมะของชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้นสะดุดตาเกินไป

ประคำเม็ดลูกท้อและชุดคลุมอาคมสีเขียว ยามที่เดินทางไปยังอุตรกุรุทวีปก็ต้องพกติดตัวไปด้วย

บนโต๊ะมีสิ่งของวางอยู่มากมาย

ตราประทับสองชิ้นวางไว้ตำแหน่งตรงกลางสุด ประหนึ่งดวงเดือนที่ถูกล้อมด้วยหมู่ดาว

เฉินผิงอันเริ่มคิดบัญชีเงียบๆ ติดหนี้แล้วไม่ชำระคืน ย่อมไม่ได้แน่นอน

จูเหลี่ยนเคยเล่าประสบการณ์อย่างหนึ่งให้ฟัง บอกว่าเรื่องของการยืมเงินนั้น คือหินทดสอบทองคำของมิตรภาพที่ดีที่สุด คนหลายคนที่เป็นเพื่อนกัน เมื่อยืมเงินกันไปก็เป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกแล้ว แต่ก็ต้องมีอยู่สักคนสองคนที่ยืมเงินแล้วยอมคืน จูเหลี่ยนยังบอกอีกว่าการคืนเงินแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทหนึ่งคือคืนให้ทันทีที่มีเงิน อีกประเภทหนึ่งคือยังคืนไม่ได้ ซึ่งฝ่ายที่หายากและล้ำค่ามากกว่าก็คือฝ่ายที่ยังคืนเงินไม่ได้ แต่ก็ยังคงไปมาหาสู่ ไม่หลบเลี่ยง รอให้วันใดที่มีเงินใช้จ่ายไม่ฝืดเคืองแล้วจึงจะคืน ระหว่างนี้หากเจ้าไปเร่งรัด ในใจของเขาก็จะรู้สึกผิดและละอายใจ แต่ไม่รู้สึกตำหนิหรือไม่พอใจแม้แต่น้อย

จูเหลี่ยนบอกว่าเพื่อนประเภทสุดท้ายนี้ สามารถคบค้ากันไปได้อย่างยาวนาน เป็นเพื่อนกันชั่วชีวิตก็ยังไม่รู้สึกว่านานเกินไป เพราะว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ สำนึกในบุญคุณผู้อื่น

ตอนนั้นเฉินผิงอันยิ้มถามจูเหลี่ยนว่า นี่คือคิดจะยืมเงินเขาใช่หรือไม่? อีกทั้งยังไม่คิดจะคืนข้าในทันทีด้วย?

จูเหลี่ยนก้มหน้าค้อมเอว ถูมือเข้าด้วยกัน บอกว่านายน้อยช่างเป็นยอดฝีมือความรู้กว้างขวาง ล่วงรู้อนาคตล่วงหน้าจริงๆ

แล้วผู้เฒ่าหลังค่อมก็ทำหน้าหนาขอยืมเงินเกล็ดหิมะส่วนหนึ่งไปจากเฉินผิงอันจริงๆ อันที่จริงก็แค่สิบเหรียญ บอกว่าต้องการจะสร้างหอเก็บตำราส่วนตัวไว้ด้านหลังเรือนที่พักอาศัย

แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมต้องให้ยืม ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง ก็คือบุคคลที่มีความเกี่ยวพันกับโชคชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้นในระดับหนึ่ง มีชีวิตอยู่อย่างอนาถาจนถึงขั้นต้องขอยืมเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญจากคนอื่น แล้วยังต้องพร่ำพูดเกริ่นนำก่อนเสียตั้งมากมาย ขนาดเฉินผิงอันยังรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนจูเหลี่ยน แต่ว่าในเมื่อตกลงกันแล้วว่าแค่เงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญ ก็จะไม่มากไปกว่านั้นแม้แต่เหรียญเดียว

เฉินผิงอันตั้งเงื่อนไขว่าวันหน้าเมื่อจูเหลี่ยนสร้างหอเก็บตำราส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว จำเป็นต้องให้ที่นั่นเป็นพื้นที่ต้องห้ามของภูเขาลั่วพั่ว ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกโดยพลการ

จูเหลี่ยนตกปากรับคำ เฉินผิงอันคาดเดาเอาว่ากิจการร้านขายหนังสือของเขตการปกครองหลงเฉวียนคงต้องรุ่งเรืองกันสักพักหนึ่ง

คนจิ๋วดอกบัวยังคงจัดวางสิ่งของแต่ละชิ้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เฉินผิงอันถึงขั้นไม่รู้แล้วว่านิสัยนี้ของเจ้าตัวน้อยเหมือนใครกันแน่

เฉินผิงอันปล่อยให้มันยุ่งกับงานของตัวเองไป ส่วนตัวเขาก็เริ่มดีดลูกคิดคิดคำนวณบัญชี

คลังลับเกาะชิงเสีย หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไช ล้วนติดเงินพวกเขา

ทว่ารายจ่ายก้อนใหญ่ที่แท้จริง ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นงานพิธีกรรมทางศาสนาสองลัทธิที่ร่วมมือกับกู้ช่านช่วยกันจัด หากจะจัดงานอย่างเต็มที่จริงๆ พวกมันก็อาจกลายเป็นหลุมไร้ก้นสองหลุม ไม่ใช่เรื่องที่เงินฝนธัญพืชแค่ไม่กี่เหรียญจะแก้ไขได้

หากเป็นการจัดงานพิธีกรรมปัดเป่าเสนียดจัญไร งานทำบุญใหญ่ของเศรษฐีหรือกษัตริย์ในแคว้นเล็กๆ ทั่วไป ต่อให้ต้องจ่ายเงินขาวมากถึงห้าแสนตำลึงเงิน หักเป็นเงินเกล็ดหิมะก็เท่ากับห้าเหรียญเงินร้อนน้อย ครึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช ไม่ว่าจะอยู่ในแคว้นเล็กที่เป็นแคว้นใต้อาณัติแห่งใดก็ตามของแจกันสมบัติทวีปก็ล้วนถือว่าเป็นงานพิธียิ่งใหญ่ที่หลายสิบปีถึงจะพานพบได้สักครั้งแล้ว

แต่หากเกี่ยวพันกับผู้ฝึกตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชิญเซียนดินมานั่งพิทักษ์ ก็จำเป็นต้องมีการไปมาหาสู่กับเหล่าเทพเซียนผู้เฒ่าที่อยู่ตามวัดวาอารามที่มีชื่อเสียงต่างๆ ของแต่ละสถานที่ ต่อให้คนเขามีจิตใจเมตตาเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมดุจพระโพธิสัตว์ ยิ้มกล่าวว่า ‘ตามสบาย’ หรือเอ่ยว่า ‘แล้วแต่จะให้’ ถ้าอย่างนั้นตอนที่เฉินผิงอันกับกู้ช่านควักเงินจะกล้า ‘ตามสบาย’ ได้จริงๆ หรือ? อีกอย่างก่อนที่เฉินผิงอันจะออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนก็ได้ปรึกษากับกู้ช่านมาก่อนแล้วว่า งานพิธีของทั้งสองครั้งนี้ เหมาะแก่การจัดให้ใหญ่ไม่ใช่จัดให้เล็ก แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้องแน่ใจว่าจะไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกสร้างชื่อเสียงจอมปลอม หวังจับปลาในน้ำขุ่นด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ใช่แค่ต้องสิ้นเปลืองเงินเทพเซียนอย่างเดียวเท่านั้น ยังจะถ่วงรั้งการสะสมบุญในปรโลกและการไปจุติเกิดใหม่ของพวกภูตผีวัตถุหยินทั้งหลายด้วย

ดังนั้นภายในสองปี กู้ช่านต้องจัดงานพิธีกรรมใหญ่ทางศาสนาติดต่อกันสองครั้ง นั่นเป็นเรื่องที่ต้องสิ้นเปลืองทั้งแรงกายแรงใจ ต้องทดสอบความสามารถในการมองเรื่องราวต่างๆ ให้กระจ่างแจ้ง แล้วก็ค่อนข้างจะต้องใช้ความอดทนมากเป็นพิเศษ

นี่ก็คือการฝึกฝนขัดเกลาอย่างหนึ่งที่เฉินผิงอันมีให้แก่กู้ช่าน ในเมื่อเลือกที่จะแก้ไขความผิด ก็ต้องเดินไปบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อเดินได้ยากอย่างถึงที่สุดเส้นหนึ่ง

ปีนั้นท่ามกลางกลุ่มภูเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ภูตผีปีศาจออกอาละวาด ผู้ฝึกตนนอกรีตเพ่นพ่านไปทั่ว มีแต่มลพิษสกปรกและความชั่วร้าย ทว่าสิ่งที่ยากลำบากยิ่งกว่านี้ก็คือการที่กู้ช่านต้องแบกตำหนักพญายมราชคุกล่างไว้ด้านหลัง รวมไปถึงการส่งภูตผีจิตหยินแต่ละตนให้จากไปครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งระหว่างทางมีอยู่สองครั้งที่กู้ช่านเกือบจะถอดใจ

แก้ไขความผิด ไม่ใช่แค่เอ่ยประโยคว่าข้าสำนึกผิดแล้ว จากนั้นก็ทำตัวสบายๆ แค่เดินทางไปให้ไกลอีกหน่อย ทุ่มเงินเทพเซียนมากหน่อยก็สามารถอยู่อย่างสบายใจ ราวกับว่าตัวเองสร้างวีรกรรม ทำเรื่องดีงามที่ยิ่งใหญ่อะไร

ใต้หล้าไม่มีเรื่องดีแบบนี้!

แต่อันที่จริงเฉินผิงอันก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า กู้ช่านไม่ได้เดินจากสุดขั้วหนึ่งไปยังอีกสุดขั้วหนึ่ง จิตใจของกู้ช่านยังคงล่องลอยไม่หยุดนิ่ง เพียงแต่ตอนที่เขาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ได้เจอกับความยากลำบากมาจนเต็มกลืน กินอิ่มเสียจนท้องเกือบแตกตาย ดังนั้นสถานการณ์และสภาพจิตใจของกู้ช่านในตอนนี้จึงคล้ายคลึงกับช่วงแรกเริ่มที่เฉินผิงอันออกมาท่องในยุทธภพ นั่นคือกำลังเลียนแบบคนข้างกายที่อยู่ใกล้ชิดด้วยมากที่สุด เพียงแค่มองดูวิธีการที่คนอื่นใช้ในการอยู่ร่วมสังคม จากนั้นก็นำมาคิดพิจารณา แล้วนำมาปรับใช้กับตัวเอง จิตใจมีการเปลี่ยนแปลงก็จริง แต่ก็ไม่มากนัก

โดยรวมแล้วกู้ช่านก็ยังคงเป็นกู้ช่านคนนั้น

เพียงแต่ว่าเข้าใจน้ำหนักของสองคำว่ากฎเกณฑ์มากขึ้น

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน นำเจี้ยนเซียนเล่มนั้นไปแขวนไว้บนผนัง

เฉินผิงอันเดินออกมายืนอยู่ใต้ชายคานอกห้อง นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กคนละตัวกับคนจิ๋วดอกบัว ไม้ไผ่นี้เป็นไม้ไผ่ธรรมดา เวลาผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ สีเขียวสดปลั่งจึงเริ่มจืดจางหายไป กลายเป็นสีออกเหลืองแทน

เฉินผิงอันเริ่มนั่งงีบหลับอยู่ตรงนั้น อากาศทั้งในและนอกเรือนไม้ไผ่ ยามฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น ฤดูร้อนเย็นสบาย สี่ฤดูในหนึ่งปี ต่อให้เป็นคนธรรมดาที่ร่างกายอ่อนแอได้มานั่งอยู่ที่นี่นานเข้า ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหนาวเป็นไข้หรือร้อนจนไม่สบาย เมื่อเทียบกับเรือนของชุยตงซานที่อยู่ในสำนักศึกษาซานหยาแล้วยังมีกลิ่นอายแห่งเซียนมากกว่าด้วยซ้ำ

พรุ่งนี้จะต้องเริ่มฝึกหมัดอีกแล้ว

ท่ามกลางอาการสะลึมสะลือ ดูเหมือนว่าห่างไปไกลในสถานที่สกปรกแห่งหนึ่งที่จิตใจคนเป็นดั่งมารร้าย พอจะมองเห็นบุปผาดอกหนึ่งผลิบาน ผุดส่ายอย่างมีชีวิตชีวา

เฉินผิงอันไม่ได้ตื่นขึ้นเพราะเหตุนี้ กลับกันยังหลับลึกยิ่งกว่าเดิม

คนจิ๋วดอกบัวนั่งอยู่ริมขอบของเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวที่ตั้งอยู่ข้างกัน มันเงยหน้าขึ้น แกว่งขาสองข้างเบาๆ มองใบหน้าด้านข้างของเฉินผิงอันที่มีรอยยิ้มประดับมุมปาก ราวกับว่ากำลังฝันเห็นเรื่องราวงดงามอะไรในความฝัน

……

พระอาทิตย์ลอยขึ้นสูงทางทิศตะวันออก เพียงไม่นานแสงอรุณรุ่งก็อาบย้อมไปไกลหมื่นลี้

เรือนไม้ไผ่พลันสั่นสะเทือน เฉินผิงอันที่นอนหลับอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่มาตลอดคืนสะดุ้งตื่น

แล้วจึงถอดรองเท้า ม้วนชายแขนเสื้อ ถลกขากางเกง เดินขึ้นไปบนชั้นสองของเรือน

พอมาหยุดอยู่นอกห้องของชั้นสอง เฉินผิงอันก็หยุดชะงักเล็กน้อย หลุบตาลงต่ำ หันหน้ามองไป

ตอนนั้นชุยตงซานน่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ได้เข้าไปในห้อง ในที่สุดก็ได้กลับมาพบกับท่านปู่ของตัวเองอีกครั้งด้วยรูปโฉมและนิสัยของเด็กหนุ่มในอีกร้อยปีให้หลัง

คนทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกัน พูดคุยอะไรกันบ้าง ไม่มีใครรู้ได้

เฉินผิงอันกำลังจะก้าวเดินเข้าไปในห้องก็พลันเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ข้าจะไปคุยกับสือโหรวสักหน่อย ไปแปบเดียวเดี๋ยวมา”

ผู้เฒ่าเปลือยเท้าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขานั่งขัดสมาธิ หลับตาทำสมาธิ

เฉินผิงอันกระโดดลงจากชั้นสอง พุ่งตัววิ่งออกไปโดยที่ไม่ได้สวมรองเท้า ไม่นานก็มาถึงสถานที่ที่มีเรือนหลายหลังปลูกไว้ติดกัน จูเหลี่ยนกับเผยเฉียนยังไม่กลับมา ตอนนี้จึงเหลือแค่สือโหรวที่ชอบเก็บตัวเงียบ และเฉินยวนจีที่เพิ่งจะขึ้นเขามา ยังไม่ทันเจอสือโหรว ก็มาเจอกับเฉินยวนจีก่อน เด็กสาวร่างสูงโปร่งน่าจะเพิ่งกลับมาจากการเดินเล่นชมทิวทัศน์ยามเช้า พอเห็นเฉินผิงอันก็ทำท่าอึกๆ อักๆ จะพูดไม่พูด เฉินผิงอันเพียงแค่ผงกศีรษะทักทาย แล้วไปเคาะประตูใหญ่ของเรือนสือโหรว พอสือโหรวเปิดประตูแล้วก็เอ่ยถาม “คุณชายมีธุระอะไรหรือ?”

ออกหมัดไม่มีอะไรแตกต่าง

เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ยว่า “หลังจากเผยเฉียนกลับมาแล้ว บอกนางว่าข้าให้นางไปดูร้านที่ตรอกฉีหลงกับเจ้า แล้วก็ช่วยเตือนนางแทนข้าสักคำว่า ไม่อนุญาตให้นางจูงฉวีหวงไปที่เมืองเล็ก ด้วยนิสัยขี้หลงขี้ลืมของนาง ลงได้เล่นสนุกอย่างบ้าคลั่งแล้วไม่ว่าอะไรก็จำไม่ได้ ส่วนเรื่องคัดตัวอักษร เจ้าก็ช่วยจับตามองนางสักหน่อย นอกจากนี้ก็คือหากเผยเฉียนอยากจะไปเรียนที่โรงเรียน โรงเรียนที่สกุลเฉินหลงเหว่ยเป็นผู้ก่อตั้งน่ะ หากเผยเฉียนยินดี เจ้าก็บอกให้จูเหลี่ยนไปทักทายที่ว่าการอำเภอสักคำ ดูว่าต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขอะไรหรือไม่ หากไม่ต้องทำอะไรเลยก็ย่อมดีที่สุด”

สือโหรวตอบรับ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “คุณชาย ขอข้าอยู่บนภูเขาได้ไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเจ้าไม่อยากคบค้าสมาคมกับคนนอกจริงๆ ก็ย่อมได้ แต่ข้าแนะนำเจ้าว่าควรจะรีบปรับตัวให้เข้ากับฟ้าดินขนาดเล็กอย่างเขตการปกครองหลงเฉวียนแห่งนี้ในเร็ววัน ไปเดินเล่นแถวศาลบุ๋นศาลบู๊บ่อยๆ ห่างไปไกลกว่านั้นยังมีศาลเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝู อันที่จริงเจ้าก็แวะไปดูได้ ไปให้พวกเขาคุ้นหน้าคุ้นตา ถึงอย่างไรก็ย่อมดีกว่า รากฐานความเป็นมาของเจ้าเป็นดั่งกระดาษที่ห่อไฟไม่อยู่ ต่อให้เว่ยป้อไม่พูด แต่คนมีความสามารถของต้าหลีก็มีมากมาย ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกคนมีใจมองออก ไม่สู้เจ้าเป็นฝ่ายปราฎตัวเองยังดีกว่า แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ความเห็นของข้า สุดท้ายแล้วเจ้าจะทำอย่างไร ข้าก็ไม่บังคับ”

สือโหรวเริ่มยิ้มออก พยักหน้ารับกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นบ่าวก็จะลองทำดู”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “วันหน้าหากอยู่ต่อหน้าคนนอกอย่าเรียกตัวเองว่าบ่าว (คำว่าบ่าวของภาษาจีนในที่นี้คือคำว่า ‘หนูปี้’ ซึ่งเป็นคำที่บ่าวหญิงใช้เรียกตัวเอง) อีกล่ะ สายตาเวลาที่คนอื่นมองเจ้ากับข้ามักไม่ปกติ ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าเรื่องแรกที่ทำให้ภูเขาลั่วพั่วมีชื่อเสียงอาจกลายเป็นเรื่องที่คนเล่าลือกันว่าข้ามีความชอบประหลาดก็เป็นได้ เขตการปกครองหลงเฉวียนจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ สถานที่เพียงแค่นี้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงของพวกเราสองคนก็เสียหายแน่ จะให้ข้าไปไล่อธิบายให้คนบนภูเขาแต่ละลูกฟังก็คงไม่ใช่เรื่อง”

สือโหรวกลั้นยิ้ม “คุณชายละเอียดรอบคอบ ข้าได้รับการสั่งสอนแล้ว”

เฉินผิงอันยิ่งระอาใจมากกว่าเดิม เขารีบโบกมือเป็นพัลวัน “บนภูเขาลั่วพั่วไม่ขาดคำประจบของเจ้าหรอก”

สือโหรวยกมือปิดปากหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติ

เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ แล้วย้อนกลับไปที่เรือนไม้ไผ่

เนื่องจากเรือนแต่ละหลังห่างกันไม่ไกล เด็กสาวที่มองดูเหมือนกำลังเดินเล่น แต่แท้จริงแล้วคอยแอบลอบมองเหตุการณ์ตรงจุดนี้ตลอดเวลา เวลานี้ขนลุกชันไปทั้งตัวแล้ว เฉินยวนจีค่อยๆ ย่องหนีออกไป ด้วยรู้สึกว่าตนไปเห็นไปได้ยินความจริงบางอย่างที่ร้ายกาจอย่างยิ่ง หลังจากปิดประตูลงเรียบร้อยแล้ว เฉินยวนจีก็ตบหน้าอกตัวเองเบาๆ พึมพำว่า “อย่ากลัวๆ แบบนี้กลับจะยิ่งดี เขาจะได้ไม่คิดชั่วร้ายกับเจ้าอีก”

เด็กสาวเศร้ารันทดอยู่ในใจ เดิมทีนึกว่าย้ายหนีจากเมืองหลวงอันเป็นบ้านเกิดมาแล้วก็ไม่ต้องเจอกับบุรุษมีอำนาจที่น่ากลัวพวกนั้นอีก คิดไม่ถึงว่าจวนตระกูลเซียนที่ตอนเด็กตนเคยวาดฝันจินตนาการไว้อย่างงดงาม สุดท้ายกลับต้องมาเจอกับเจ้าภูเขาที่อายุยังน้อย แต่กลับมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม พอมาถึงภูเขาลั่วพั่ว เทพเซียนผู้เฒ่าจูก็ไม่ค่อยชอบพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเจ้าภูเขาหนุ่มคนนี้เท่าใดนัก ปล่อยให้นางคาดเดาเอาเอง แต่ละคำที่เอ่ยถึงล้วนเป็นคำพูดดีๆ ที่เหมือนมีเมฆหมอกบดบัง นางหรือจะกล้าเห็นเป็นจริงเป็นจัง ส่วนเด็กตัวดำเป็นถ่านที่ชื่อว่าเผยเฉียนผู้นั้นก็ไปมารวดเร็วราวกับสายลม เฉินยวนจีคิดจะพูดกับนางสักประโยคยังเป็นเรื่องยาก

ในเรือนชั้นสอง

เมื่อเฉินผิงอันยืนนิ่งแล้ว ผู้เฒ่าเปลือยเท้าก็ลืมตา ลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงหนักว่า “ก่อนจะฝึกหมัด ขอแนะนำตัวเองก่อน ข้าผู้อาวุโสชื่อว่าชุยเฉิง เคยเป็นอดีตเจ้าประมุขสกุลชุย”

เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้เฒ่าบอกชื่อแซ่ของตัวเอง

ผู้เฒ่าเอ่ยเนิบช้า “วิญญูชนชุยหมิงหวง คนหนุ่มที่ก่อนหน้านี้รับผิดชอบมาทวงหนี้ถ้ำสวรรค์หลีจูแทนสำนักศึกษากวานหู ตามทำเนียบวงศ์ตระกูลแล้ว เจ้าเด็กนี่ควรจะเรียกชุยฉานว่าท่านอาจารย์ลุง สายของเขาเคยเป็นสายรองของสกุลชุย ตอนนี้กลับกลายมาเป็นทายาทสายหลักแล้ว ส่วนสายของข้า ถูกคนมุทะลุวู่วามอย่างข้าทำให้เดือดร้อน จนถูกตัดชื่อออกจากสกุลชุย ลูกหลานทุกคนที่อยู่ในสายถูกลบชื่อออกจากทำเนียบวงศ์ตระกูล มีชีวิตอยู่ไม่ร่วมศาลบรรพชน ตายไปไม่ร่วมสุสาน ความเจ็บปวดแห่งวงศ์ตระกูลก็คงหนีไม่พ้นเรื่องนี้ การที่ต้องตกมาอยู่ในสภาพนี้ เพราะข้าเคยสติไม่สมประดี ซัดเซพเนจรอยู่ในยุทธภพและหมู่ชาวบ้านร้านตลาดมาร้อยกว่าปี บัญชีนี้ หากจะคิดกันจริงๆ จังๆ ขึ้นมา ใช้วิธีการของผู้ฝึกยุทธก็ง่ายดายยิ่ง ไปที่ศาลบรรพชนสกุลชุยก็เป็นแค่เรื่องของหมัดสองหมัดเท่านั้น แต่หากข้าชุยเฉิงกับหลานชายที่ไม่ว่าจะเป็นชุยฉานก็ดี ชุยตงซานก็ช่าง ขอแค่พวกข้ายังคิดว่าตัวเองคือบัณฑิต กลับยากที่จะทำเช่นนั้นแล้ว เพราะหากอิงตามกฎของตระกูล อีกฝ่ายจะไม่มีความผิดเลยแม้แต่น้อย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แสดงให้รู้ว่าเข้าใจ

ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวของพื้นที่มงคลดอกบัว ในประวัติศาสตร์ของแคว้นซงไล่ เคยมีขุนนางชั้นสูงที่กุมอำนาจใหญ่หลายคนที่เนื่องจากมีชาติกำเนิดมาจากสายรอง เป็นทายาทของอนุภรรยา จึงเกิดความขัดแย้งกับตระกูลของตัวเองที่อยู่ในท้องถิ่นด้วยเรื่องของที่ตั้งป้ายวิญญาณและทำเนียบวงศ์ตระกูลของมารดาแท้ๆ ของตัวเอง คิดอยากจะปรึกษากับพี่ชายที่เป็นเจ้าประมุขซึ่งไม่มีตำแหน่งขุนนางติดตัว จึงเขียนจดหมายหลายฉบับกลับบ้านเกิด ใช้ถ้อยคำที่แสดงถึงความจริงใจ แรกเริ่มพี่ชายก็ไม่ให้ความสนใจ ภายหลังคงเป็นเพราะทำให้น้องชายที่เป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงโมโหเข้าแล้ว ในที่สุดก็ส่งจดหมายฉบับหนึ่งกลับมา คัดค้านข้อเสนอแนะของใต้เท้าใหญ่หัวหน้าขุนนางผู้นั้นโดยตรง คำพูดที่เอ่ยในจดหมายไม่เกรงใจกันแม้แต่น้อย ในนั้นมีประโยคหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า ‘เรื่องราวทั้งหลายในใต้หล้า เจ้าอยากจะควบคุมจัดการอย่างไรก็ทำไป แต่เรื่องในตระกูล เจ้าไม่มีคุณสมบัติจะเข้ามายุ่ง’ จนกระทั่งขุนนางชั้นสูงผู้นั้นตายไปก็ยังไม่ได้สมใจปรารถนา และตอนนั้นตลอดทั้งวงการขุนนางและปัญญาชนต่างก็ให้การยอมรับ ‘กฎเล็กๆ ’ ข้อนี้

ถ้าเช่นนั้นเหตุใดชุยเฉิงถึงไม่ได้ไปปรากฏตัวที่ตระกูลแล้วปล่อยหมัดใส่พวกมดตัวน้อยตัวนิดในศาลบรรพชนเหล่านั้น เหตุใดใต้เท้าหัวหน้าสภาขุนนางแห่งพื้นที่มงคลดอกบัวถึงได้ไม่เอาอำนาจส่วนรวมมาใช้ในเรื่องส่วนตัว เขียนรายงานออกกฎเป็นการข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้า?

ทั้งๆ ที่สามารถทำได้ แต่เหตุใดถึงไม่ทำลายกฎเกณฑ์ที่มองดูเหมือนเปราะบางนี้ให้พังลง?

เฉินผิงอันทำท่าครุ่นคิด

นี่ก็คงจะเป็นหนึ่งในเส้นสายอันเป็นรากฐานที่ทำให้ทั้งชุยเฉิงสามารถมีขอบเขตไร้ผู้ใดอยู่เบื้องหน้าได้อย่างทุกวันนี้ และหัวหน้าสภาขุนนางผู้นั้นก็สามารถขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงของราชสำนักได้

หากเฉินผิงอันตัดสินใจว่าจะก่อพรรคตั้งสำนักขึ้นมาบนภูเขาลั่วพั่วจริงๆ เมื่อไหร่ จะบอกว่าซับซ้อนก็ซับซ้อนเกินจะกล่าว จะบอกว่าง่ายดายก็ค่อนข้างจะง่ายดาย นี่ก็หนีไม่พ้นการลงมือปฏิบัติจริง ดั่งนกนางแอ่นที่คาบดินโคลนมาทำรัง สะสมทีละน้อยไปจนมาก และตามทฤษฎีหลักการเหตุผลแล้ว ช้าแต่ไร้ความผิดพลาดก็จะยิ่งยืนหยัดได้มั่นคง เดินก้าวขึ้นบนได้อย่างมั่นใจ

ล้วนจำเป็นต้องให้เฉินผิงอันคิดให้มาก เรียนรู้ให้มาก ทำให้มาก

ชุยเฉิงพลันเอ่ยว่า “เจ้าเด็กชุยหมิงหวงผู้นี้ไม่ธรรมดา เจ้าอย่าได้ดูแคลนเขาเด็ดขาด”

เฉินผิงอันไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร

เขาจะมีคุณสมบัติอะไรไป ‘ดูแคลน’ วิญญูชนท่านหนึ่งของสำนักศึกษากันเล่า?

ความร้ายกาจของโจวจวี่นักปราชญ์แห่งสำนักศึกษากวานหูผู้นั้น เฉินผิงอันเคยสัมผัสกับตัวเองมาแล้วที่หมู่บ้านภูเขาแคว้นซูสุ่ย

ส่วนจงขุยแห่งใบถงทวีป ในอดีตก็เคยเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาเช่นกัน

ชุยหมิงหวงถูกขนานนามว่า ‘เสี่ยวจวินแห่งกวานหู’

คือหนึ่งในวิญญูชนสองท่านที่โดดเด่นที่สุดของสำนักศึกษาแจกันสมบัติทวีป

เดิมทีตามข้อตกลงระหว่างเขากับราชครูต้าหลี หรือก็คืออาจารย์ลุงของเขา ชุยหมิงหวงจะต้องออกจากสำนักศึกษากวานหู ใช้สถานะของวิญญูชนสำนักศึกษามารับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ต้าหลีอย่างเปิดเผย ส่วนเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาบนภูเขาพีอวิ๋น เดิมทีควรเป็นเจียวเฒ่าที่ปรากฏตัวด้วยสถานะของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าแคว้นหวงถิงผู้นั้น บวกกับผู้รอบรู้ในท้องถิ่นของต้าหลีอีกคนหนึ่ง หนึ่งหลักสองรอง เจ้าขุนเขาทั้งสามท่านล้วนจะต้องมีการเปลี่ยนถ่ายตำแหน่ง รอให้สำนักศึกษาหลินลู่ได้รับตำแหน่งหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาเมื่อไหร่ เฉิงสุ่ยตงก็จะลาออกจากตำแหน่งเจ้าขุนเขา ส่วนผู้รอบรู้ผู้เฒ่าของต้าหลีท่านนั้นก็ยิ่งไร้แรงและไร้ใจจะช่วงชิงสิ่งใด

ชุยหมิงหวงก็จะเป็นเรือที่ลอยขึ้นสูงตามกระแสน้ำ กลายเป็นเจ้าขุนเขาคนถัดไป

เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักศึกษากวานหูก็ย่อมมีหน้ามีตา แต่ผลประโยชน์ที่แท้จริง แน่นอนว่าย่อมตกอยู่ในมือของชุยฉานเสียเกินครึ่ง ชุยหมิงหวงหมากที่วางแผนลับนี้ร่วมกันมานาน หลังจากได้รับตำแหน่งเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาที่ปรารถนาแม้ในยามหลับฝันไปแล้วก็ย่อมพึงพอใจ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็คือเกียรติยศที่ใหญ่เทียมฟ้า แทบจะเป็นจุดสูงสุดของบัณฑิตคนหนึ่งแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ขอแค่ชุยหมิงหวงอยู่ในหลงเฉวียนต้าหลี ด้วยความสามารถในการวางแผนของชุยฉาน ไม่ว่าเจ้าชุยหมิงหวงจะมี ‘ปณิธานสูงส่งยาวไกล’ อีกมากแค่ไหน แต่ก็ได้แค่ยอมเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่อบรมสั่งสอนให้ความรู้ผู้อื่นอยู่ภายใต้เปลือกตาของชุยฉานแต่โดยดีเท่านั้น

เพียงแต่สถานการณ์ในภายหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจนเกินจะคาดเดา ทิศทางการดำเนินไปของเหตุการณ์หลายๆ อย่างอยู่นอกเหนือไปจากการคาดการณ์ของราชครูชุยฉาน

ยกตัวอย่างเช่นป๋ายอวี้จิงจำลองของต้าหลีแห่งนั้นที่เกือบจะกลายเป็นเรื่องขำขันในใต้หล้าซึ่งปรากฏเพียงวูบเดียวแล้วก็จางหายไป ซ่งเจิ้งชุนอดีตฮ่องเต้ก็ยิ่งบาดเจ็บสาหัส ภายใต้เงื่อนไขที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ แผนการมากมายของชุยฉานที่อยู่ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปก็เริ่มเปิดฉากขึ้น สำนักกวานหูตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ ส่งวิญญูชนและนักปราชญ์หลายคน บ้างก็ให้ไปเยือนวังหลวงของแคว้นต่างๆ ตำหนิสั่งสอนกษัตริย์ในโลกมนุษย์ บ้างก็ไปปราบจลาจลความวุ่นวายในแต่ละแคว้นพร้อมกันในคราวเดียว

โดยเฉพาะการที่เรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยวร่วงตกลงในอาณาเขตของราชวงศ์จูอิ๋ง เซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีปปรากฎตัว ข่มกำราบสำนักศึกษากวานหูที่อยู่เบื้องหลังจูอิ๋ง ไม่เพียงแต่สร้างความเดือดดาลให้แก่เหล่าผู้ฝึกตนในทวีป เมื่อเป็นเช่นนี้สำนักกวานหูจึงถือว่าแตกหักกับสกุลซ่งต้าหลีอย่างสิ้นเชิงแล้ว ชุยหมิงหวงจึงได้แต่อยู่ต่อในสำนักศึกษา ไม่อาจออกมารับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ได้ ว่ากันว่าตลอดหลายปีมานี้วิญญูชนท่านนี้ตั้งใจศึกษาหาความรู้อยู่ในห้องหนังสือ ไม่ปล่อยทิ้งเวลาให้เสียเปล่าเลยแม้แต่น้อย จึงได้รับคำชื่นชมเยินยอจากคนตลอดทั้งสำนักศึกษา

เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

การฝึกหมัดคราวนี้ ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสจะไม่รีบร้อน ‘สอนให้เขาเป็นคน’ เลยสักนิด

ในอดีตล้วนตรงไปตรงมา แต่ละหมัดปะทะเนื้อ ราวกับว่าการที่ได้เห็นเฉินผิงอันอยู่ไม่สู้ตายก็คือความบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดของผู้เฒ่า

แต่วันนี้กลับเริ่มต้นด้วยการพูดคุย อีกทั้งยังไม่ได้คุยกันน้อยๆ ด้วย

ชุยเฉิงไม่ใช่คนที่มีนิสัยชอบจู้จี้จุกจิก แม้ว่านี่จะไม่สอดคล้องกับนิสัยของเขา แต่ก็ยังเป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องการฝึกยุทธของเผยเฉียนเป็นครั้งที่สอง เขาถามว่า “อยากจะให้เผยเฉียนมีช่วงเวลาที่ไร้ทุกข์ไร้กังวลขนาดนี้จริงๆ หรือ?”

นี่เป็นเพราะพรสวรรค์ของเผยเฉียนดีเกินไป หากย่ำยีพรสวรรค์นี้ก็ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย “คำพูดที่ไม่ตั้งใจของผู้ใหญ่ ตัวเองพูดไปแล้วก็ลืม แต่ไม่แน่ว่าเด็กอาจจะเก็บไว้ในใจตลอดเวลา แล้วนับประสาอะไรกับที่นี่ยังเป็นคำพูดที่เกิดจากความตั้งใจของผู้อาวุโสด้วย”

ชุยเฉิงขมวดคิ้ว

พูดจาแฝงความนัย

แน่นอนว่ากำลังตำหนิประโยคก่อนหน้านี้ที่เขาจงใจพูดเสียดสีเผยเฉียน นี่ยังไม่นับว่าเป็นอะไร แต่ท่าทีของเฉินผิงอันกลับควรค่าให้คนขบคิดยิ่งนัก

ดูเหมือนเฉินผิงอันจะจงใจหลบเลี่ยงการฝึกวรยุทธของเผยเฉียน หากพูดประโยคที่น่าฟังสักหน่อยก็คือปล่อยไปตามธรรมชาติ แต่หากพูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อยก็เหมือนกำลังกังวลว่าศิษย์จะเก่งเกินอาจารย์ แน่นอนว่าชุยเฉิงรู้จักนิสัยของเฉินผิงอันดี เขาย่อมไม่มีทางกลัวว่าเผยเฉียนจะไล่ตามอาจารย์ที่ก็ยังมีความสามารถครึ่งๆ กลางๆ อย่างเขาทันแน่นอน แต่กลับเหมือนกำลังกังวลอะไรบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นกังวลว่าเรื่องดีจะกลายเป็นเรื่องร้าย

ชุยเฉิงจึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”

เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด

ชุยเฉิงหัวเราะหึหึ “จะไม่พูดตอนนี้ก็ได้ ข้าย่อมมีวิธีต่อยให้เจ้ายอมเป็นฝ่ายเปิดปากเอง”

เฉินผิงอันเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อ “จะต่อยอย่างไร? หากผู้อาวุโสไม่สนใจความต่างของขอบเขต ข้าสามารถพูดตอนนี้ได้เลย แต่หากผู้อาวุโสเต็มใจประมือกันด้วยขอบเขตที่เท่าเทียม ก็รอให้ข้าแพ้ก่อนค่อยพูด”

ชุยเฉิงเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็พูดตั้งแต่ตอนนี้ได้เลย พอข้าเห็นท่าทางกวนโอ้ยของเจ้าตอนนี้แล้วก็คันไม้คันมือนัก คาดว่าคงกะกำลังหมัดไม่อยู่เป็นแน่”

เฉินผิงอันสบถด่ามารดาอีกฝ่ายอยู่ในใจไม่หยุด

กลับบ้านเกิดคราวนี้ เผชิญหน้ากับเรื่องของการ ‘ป้อนหมัด’ ส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันมีที่พึ่งเพียงอย่างเดียว ก็คือสี่คำว่าประมือกันด้วยขอบเขตเท่าเทียม หวังว่าจะสามารถระบายความอัดอั้นตันใจออกมา จะดีจะชั่วก็ต้องทุบต่อยลงบนร่างตาเฒ่าหนักๆ สักหลายๆ หมัดให้ได้ ส่วนหลังจากนั้นจะถูกซ้อมจนมีสภาพอนาถกว่าเดิมหรือไม่ เขาก็ไม่สนใจแล้ว นับตั้งแต่ขอบเขตสามถึงขอบเขตห้า ฝึกหมัดมาครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงอย่างไรก็ไม่ควรทำไม่ได้แม้แต่แตะชายเสื้อของผู้เฒ่า

เฉินผิงอันถอนหายใจ แล้วจึงเล่าฝันประหลาดนั้นให้ผู้เฒ่าฟัง

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง

ผู้เฒ่าเงียบงันไม่เอ่ยคำใด

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสช่วยไขความฝันนี้ให้ข้าได้หรือไม่? หรือจะเป็นอย่างคำกล่าวโบร่ำโบราณของบ้านเกิดที่บอกว่าความฝันมักจะตรงข้ามกับความจริง?”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ดีนักนะ มีปมในใจปมใหญ่ที่ร้ายกาจอีกปมหนึ่งแล้ว หนึ่งคือกลัวตาย อีกหนึ่งคือกลัวว่าความสามารถของตัวเองจะไม่มากพอ ทำไม เฉินผิงอัน ยิ่งได้เดินทางไกล ความกล้าหาญก็ยิ่งลดน้อยลงเรื่อยๆ แล้วรึ?”

ออกหมัดไม่มีอะไรแตกต่าง

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ก็เพราะว่าได้เห็นโลกกว้างมามาก ถึงได้รู้ว่าฟ้าดินด้านนอกมียอดฝีมืออยู่มากมาย ภูเขาลูกหนึ่งมักจะมีภูเขาอีกลูกที่สูงกว่าเสมอ หาใช่ข้าดูแคลนตัวเองไม่ แต่ถึงอย่างไรคนเราก็ไม่ควรประมาทหลงทระนงตน คิดว่าตัวเองฝึกหมัดฝึกกระบี่อย่างตั้งใจแล้วก็จะสามารถเอาชนะในทุกศึกได้ คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่กำลังหมดลงเสมอ…”

ผู้เฒ่าหัวเราะหยันด้วยสีหน้าดูแคลน “โง่เง่ายิ่งนัก!”

เฉินผิงอันขอร้องอย่างจริงใจ “ขอท่านผู้อาวุโสโปรดอธิบายด้วย”

ผู้เฒ่าพลันลุกพรวดขึ้นยืน ในใจเฉินผิงอันสัมผัสได้ แต่มือเท้ากลับยังคงเชื่องช้า เหมือนการขึ้นรูปเครื่องปั้นในปีนั้นที่พอมือกับใจไม่ไปพร้อมกัน ก็มีแต่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นบ่อยๆ

แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เพราะเฉินผิงอัน ‘ช้า’ เกินไป แต่เป็นเพราะผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบขั้นสูงสุดคนหนึ่งเร็วเกินไปต่างหาก

เฉินผิงอันจึงได้แต่ยกสองแขนขึ้นสกัดกั้นอยู่เบื้องหน้าตนเอง แต่กระนั้นก็ยังถูกชุยเฉิงตีเข่าเข้าที่หน้าผาก ร่างทั้งร่างกระเด็นหวือขึ้นสูงไปกระแทกกับกำแพง พอร่วงลงมาก็ถูกผู้เฒ่าเตะเข้าที่หน้าท้อง ร่างกระเด้งขึ้นไปกระแทกฟ้าเพดาน ก่อนจะร่วงลงมาอย่างแรง สุดท้ายถูกเท้าหนึ่งของผู้เฒ่ากระทืบเข้าที่หน้าผาก ร่างของเฉินผิงอันกลิ้งไถลออกไปในชั่วพริบตา กระแทกเข้ากับมุมกำแพง กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ไม่มีเรี่ยวแรงให้เอาคืนแม้แต่น้อย

ช่างเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นซะจริงๆ

ใช้เข่าลอบโจมตี คือวิธีการที่เฉินผิงอันใช้ก่อนหน้านี้

ชุยเฉิงยกสองมือกอดอก ยืนอยู่กลางห้อง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ถ้อยคำที่ล้ำค่าดุจทองคำดุจหยกของข้า หากเจ้าไม่จ่ายค่าตอบแทนเสียเลย ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่า แล้วจะจำไม่ได้”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ถ่มเลือดทิ้งหนึ่งคำ

ชุยเฉิงถาม “ต่อให้จะมีตัวแปรที่มองไม่เห็นถูกกำหนดไว้แล้ว แต่การที่เผยเฉียนเกียจคร้านไม่ยอมฝึกยุทธก็จะหลบพ้นไปได้อย่างนั้นหรือ? มีเพียงผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นถึงจะงัดข้อกับสวรรค์ได้! เจ้าอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวมานานขนาดนั้น บอกว่าตัวเองได้ดูแม่น้ำแห่งกาลเวลาสามร้อยปีไหลผ่านไปรอบหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วได้เรียนรู้หลักการเหตุผลกะผายลมสุนัขอะไรมาบ้าง? แค่นี้ก็ไม่เข้าใจงั้นรึ?!”

เฉินผิงอันไม่ต้องใช้สายตาไปจับจ้องเรือนกายของผู้เฒ่าแม้แต่น้อย พริบตานั้นจิตวิญญาณของเขาก็จมจ่อม ดิ่งลงสู่ขอบเขตลี้ลับมหัศจรรย์ที่ ‘เบื้องหน้าไร้คน สนใจแค่ตัวเอง’ กระทืบเท้ากับพื้นหนักๆ ปล่อยหมัดส่งออกไปยังจุดที่ไร้คน

ทว่าหมัดนี้กลับถูกชุยเฉิงปัดทิ้งอย่างง่ายดาย หน้าอกเหมือนถูกค้อนทุบลงมาอย่างแรง หลังของเฉินผิงอันแนบติดกับผนัง ใช้ข้อศอกยันเอาไว้ บวกกับท่าหมัดที่หละหลวมพลันระเบิดพลังจึงเหมือนสายคันธนูที่ถูกง้าวจนสุดแล้วปล่อยผลึงออกไป ใช้เรือนกายที่มีความเร็วยิ่งกว่าการถอยร่นเมื่อครู่นี้พุ่งเข้าหาผู้เฒ่า คิดไม่ถึงว่าตนจะเหมือนชนเข้ากับปากกระบอกปืน ถูกผู้เฒ่าใช้แขนเหวี่ยงเข้าที่ลำคอ เฉินผิงอันจึงล้มกระแทกลงกับพื้น แรงมหาศาลนั้นทำให้ร่างของเฉินผิงอันกระเด้งกระดอนอยู่หลายที จนกระทั่งถูกผู้เฒ่าเหยียบเข้าที่หน้าผาก

ผู้เฒ่าก้มหน้าลงมองเฉินผิงอันที่เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด “น่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่กำลังน้อยเกินไป ออกหมัดช้าเกินไป ปณิธานตื้นเขินเกินไป มีปัญหาไปเสียทุกจุด ทุกหมัดล้วนมีช่องโหว่ ยังกล้าจะปะทะกับข้าซึ่งๆ หน้าอีกงั้นหรือ? สตรีควงทวนยาว ช่างไม่กลัวว่าจะทำให้เอวตัวเองหักจริงๆ !”

เฉินผิงอันใช้สองมือตบพื้น พลิกตัวหมุนกลับ สองขาชี้ฟ้า ไถลหัวออกจากใต้ฝ่าเท้าของผู้เฒ่า ใช้มือยันพื้น หมุนตัวว่องไวหลบเท้าที่ฟาดมาอย่างสบายๆ ของผู้เฒ่าได้อย่างหวุดหวิด

คาดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าแค่ยกชายแขนเสื้อขึ้นเบาๆ พายุหมัดลูกหนึ่งก็ ‘พัด’ ใส่ร่างของเฉินผิงอันที่ตั้งรับศัตรูด้วยท่าฟ้าดิน จึงเป็นเหมือนลูกหิมะที่กลิ้งอยู่กลางอากาศ ลอยหวือไปกระแทกลงบนหน้าต่างที่อยู่ทางทิศเหนือของเรือนไม้ไผ่

ผู้เฒ่าไม่ได้ไล่ตามมาโจมตีต่อ เขาถามเหมือนชวนคุยว่า “เรื่องการเลือกห้าขุนเขาใหม่ของต้าหลี ได้เล่าให้เว่ยป้อฟังหรือยัง?”

เฉินผิงอันดิ้นรนลุกขึ้นยืน แล้วจึงส่ายหน้า “อยากจะเล่าอยู่เหมือนกัน เพียงแต่หลังจากพิจารณาแล้วก็คิดว่าช่างเถิด เรื่องสำคัญที่เป็นความลับระดับต้นๆ ของต้าหลีเช่นนี้ ข้าไม่กล้าเอาไปแพร่งพรายตามใจชอบ เป็นสหายกับเว่ยป้อก็จริง แต่ก็ไม่ควรขายลูกศิษย์ตัวเองเพื่อแลกกับน้ำใจให้ผู้อื่น แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้เว่ยป้อเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่เรียกลม ลูกธนูที่พุ่งมาจากมุมมืดยากจะป้องกัน ระวังตัวไว้ก่อนย่อมเป็นการดี”

ชุยเฉิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม พยักหน้ากล่าวว่า “เรื่องของครอบครัวตัวเอง ในเรื่องที่ต้องคิดว่าทำได้หรือไม่ได้ ก็สามารถลองทำดูได้ พูดถึงสิ่งที่ถูกสิ่งที่ผิด ตอนที่สมควรพูดหรือไม่สมควรพูด ทางที่ดีที่สุดก็อย่าพูดจะดีกว่า”

เฉินผิงอันจดจำสองประโยคนี้ของผู้เฒ่าไว้ในใจเงียบๆ บ้านใดมีคนแก่ก็เหมือนมีสมบัติล้ำค่า ทองพันชั่งก็ไม่อาจแลกหามาได้

จู่ๆ ชุยเฉิงก็ตวาดกร้าว “เวลาประลองหมัดก็ยังกล้าวอกแวกอย่างนั้นหรือ?!”

มองดูเหมือนเฉินผิงอันใจลอย แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากำลังนำวิชาลับปราณกระบี่สิบแปดหยุดมาปรับใช้กับการผลัดเปลี่ยนปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ จนดึงเอาปราณที่แท้จริงออกมาได้ถึงครึ่งคำ หลังจากเจอหนึ่งหมัดของผู้เฒ่า เขาจึงสามารถข่มกลั้นต่อความเจ็บปวดทรมานทั่วทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ จากนั้นก็กัดฟันแน่น ปล่อยหมัดออกไป ก่อนที่จะเปลี่ยนหมัดเป็นสองนิ้ว ขาดอีกแค่ชุ่นเดียวก็สามารถจิ้มเข้าที่หว่างคิ้วของผู้เฒ่าได้แล้ว

ผู้เฒ่ายื่นมือมากำนิ้วทั้งสองของเฉินผิงอัน สะบัดมือทิ้งก่อนยกขาถีบ ร่างของเฉินผิงอันถึงกับลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเขาก็ขยับออกไปสองสามก้าว เปลี่ยนตำแหน่งใหม่ แล้วตั้งท่าตุ้นหม่าปู้ (ท่าที่กางขาสองข้างออกกว้างแล้วย่อเข่าลงหรือท่าสควอช) จากนั้นจึงเอียงไหล่กระแทกใส่เฉินผิงอันที่กำลังร่วงลงสู่พื้น เสียงปังดังสนั่น เฉินผิงอันมีเรื่องกับผนังเรือนไม้ไผ่อีกครั้ง สุดท้ายก็ได้แต่นอนพังพาบพิงผนัง ลุกขึ้นไม่ไหวจริงๆ แล้ว ลมปราณแท้จริงครึ่งเฮือกนั้น เดิมทีก็เป็นวิธีสังหารศัตรูหนึ่งพันตัวเองเสียหายแปดร้อยอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อนำมาใช้กับผู้เฒ่าก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ต้องเสียหายแปดร้อย

ผู้เฒ่านวดคลึงปลายคาง ยิ้มกล่าวว่า “พูดกันตามตรง เจ้าในตอนนี้ก็ไม่ถือว่าไม่มีอะไรเลย ปีนั้นตอนที่สร้างพื้นฐานขอบเขตสาม การออกหมัดของเจ้าได้แต่ใช้สองคำว่าทึ่มทื่อมาบรรยาย ไม่ได้มีสมองเหมือนอย่างในตอนนี้ ดูท่าเจอหมัดบ่อยเข้า สมองก็เลยเปลี่ยนมาแล่นเร็วขึ้นด้วย”

เฉินผิงอันเช็ดหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ บนฝ่ามือเต็มไปด้วยเลือดสด เมื่อเทียบกับความทรมานที่ต้องเจ็บปวดร้าวระบมทั้งร่างกายและจิตวิญญาณในอดีตแล้ว อาการบาดเจ็บเล็กน้อยแค่นี้แค่ทำให้เขาคันๆ เท่านั้น แม่งก็แค่เรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งจริงๆ

เฉินผิงอันพิงผนัง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “เอาอีก”

ผู้เฒ่ายิ้มถาม “จะถามเจ้าเป็นคำถามสุดท้าย เจ้ากลัวตายขนาดนี้ เป็นเพราะมีเงินแล้วจึงเสียดายชีวิต ไม่อยากตาย หรือเพราะรู้สึกว่าตัวเองจะตายไม่ได้?”

เฉินผิงอันฉวยโอกาสนี้รีบเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์โดยไว ย้อนถามว่า “แตกต่างกันหรือ?”

หมัดของผู้เฒ่าพุ่งมาถึง “ไม่แตกต่าง ล้วนต้องเจอหมัด”

……

หลังจากที่เผยเฉียนกับจูเหลี่ยนไปส่งจดหมายบนภูเขาหนิวเจี่ยวเสร็จแล้ว นางก็เริ่มสนิทสนมกับฉวีหวงพอดี จึงปรึกษากับมันแล้วว่าวันหน้าทั้งสองฝ่ายจะเป็นสหายกัน ในอนาคตตอนกลางวันออกท่องยุทธภพ ตอนกลางคืนกลับบ้านมากินข้าวได้หรือไม่นั้น ก็ยังต้องดูว่าฝีเท้าของมันได้เรื่องหรือไม่ ยิ่งฝีเท้าของมันดีเท่าไหร่ ยุทธภพของนางก็ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะไปกลับภูเขาลั่วพั่วกับเมืองเล็กได้รอบหนึ่ง ส่วนคำว่าปรึกษานี้ก็แค่เผยเฉียนจูงม้าเดินแล้วพร่ำพูดอยู่คนเดียวก็เท่านั้น และทุกครั้งที่ถาม นางก็จะเอ่ยประโยคว่า ‘ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าก็จะถือว่าเจ้าตกลงแล้วนะ’ หรืออย่างมากก็แค่ชูนิ้วโป้งเอ่ยชมเชยสำทับไปอีกประโยค “ไม่เสียแรงที่เป็นสหายของข้าเผยเฉียน ขออะไรก็ทำให้หมด ไม่เคยปฏิเสธ ต้องรักษานิสัยดีๆ นี้เอาไว้นะ”

ทำเอาจูเหลี่ยนที่มองดูอยู่ทำสีหน้าเหมือนคีบแมลงวันออกจากถ้วยข้าว

ผลคือพอกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว สือโหรวก็ย้ำประโยคที่เฉินผิงอันกำชับไว้ให้นางฟังหนึ่งรอบ

เผยเฉียนจึงได้แต่บอกลากับฉวีหวงอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วจึงลงเขาไปยังเมืองเล็กกับสือโหรว

ที่ร้านยาสุ้ยของตรอกฉีหลง ตอนนี้นอกจากพ่อครัวทำขนมที่ไม่ได้เปลี่ยนคนซึ่งต้องเพิ่มเงินกว่าจะรั้งตัวคนไว้ได้แล้ว ลูกจ้างในร้านก็เปลี่ยนไปแล้วชุดหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งออกเรือนแล้ว ส่วนเด็กสาวอีกคนก็หางานที่ดีกว่าเดิมได้ ไปเป็นสาวใช้ในตระกูลใหญ่ของตรอกเถาเย่ งานสบายอย่างมาก จึงมักจะมานั่งที่ร้าน แล้วเล่าถึงความดีของคนครอบครัวนั้น บ้านหลังนั้นตั้งอยู่ตรงหัวมุมของตรอกเถาเย่ ปฏิบัติกับบ่าวรับใช้เหมือนเด็กรุ่นหลังในตระกูลตัวเอง ไปเป็นสาวใช้อยู่ที่นั่นก็ช่างโชคดีจริงๆ

และยังมีสตรีแต่งงานแล้วอีกคนหนึ่งที่เจอสมบัติตกทอดของตระกูลสองชิ้นซึ่งคนแต่ละรุ่นในครอบครัวล้วนไม่เคยเห็นความสำคัญ กลายเป็นเศรษฐีร่ำรวยภายในค่ำคืนเดียว จึงย้ายไปอยู่ที่เขตการปกครองแห่งใหม่ นางยังเคยกลับมาที่ร้านสองครั้ง อันที่จริงก็แค่มาเพื่อโอ้อวดใส่แม่นางหร่วนที่ ‘ไม่ใช่เจ้าของร้านตัวจริง’ ผู้นั้น อยู่ด้วยกันนานวันเข้า บุตรสาวคนเดียวของช่างหร่วน สำนักกระบี่หลงเฉวียนที่ไกลเกินเอื้อมอะไรพวกนั้น สตรีแต่งงานแล้วสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งเท่าไหร่ แค่รู้สึกว่าแม่นางผู้นั้นเย็นชาใส่ทุกคน ไม่น่าเข้าใกล้แม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของนางคราวนั้นที่ถูกหร่วนซิ่วจับได้ ทำให้นางกระอักกระอ่วนเป็นอย่างยิ่ง สตรีแต่งงานแล้วนินทาในใจไม่หยุด เจ้าเป็นคุณหนูคนหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเถ้าแก่เฉินด้วย ไม่มีตำแหน่งหน้าที่อะไรทั้งนั้น วันๆ เอาแต่มานั่งอยู่ในร้าน คิดจะแสร้งทำตัวว่าเป็นเถ้าแก่เนี้ยะหรืออะไรกันแน่?

เมื่อเทียบกับร้านยาสุ้ยที่กลิ่นหอมอบอวลแล้ว เผยเฉียนชอบร้านฉ่าวโถวที่อยู่ใกล้กันมากกว่า ที่นั่นมีชั้นเก็บสมบัติขนาดสูงใหญ่วางเรียงราย ใส่ของกระจุกกระจิกโบราณเก่าแก่ที่ปีนั้นตระกูลซุนขายต่อให้ไว้จนเต็ม

เพียงแต่ว่าปีนั้นตอนที่พี่หญิงหร่วนซิ่วเป็นคนดูแลร้าน หลังจากขายของที่ผู้ฝึกตนบนภูเขาเรียกว่าเป็นวัตถุวิเศษไปได้ในราคาสูงแล้ว ภายหลังก็เหมือนจะขายอะไรไม่ได้อีก ประเด็นสำคัญคือยังมีของหลายชิ้นที่ถูกพี่หญิงหร่วนซิ่วแอบเก็บเอาไว้ มีครั้งหนึ่งนางพาเผยเฉียนไป ‘เปิดหูเปิดตา’ ที่ห้องด้านหลัง อธิบายว่าสิ่งของเหล่านั้นล้วนเป็นของชั้นเยี่ยม เป็นสมบัติพิทักษ์ร้าน ขอแค่ในอนาคตเจอกับคนมือเติบ หรือพวกคนหลอกง่ายถึงจะเอาออกไปไว้ข้างนอกได้ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับว่ารังเกียจเงิน

ตอนนั้นเผยเฉียนรู้สึกชอบใจทันที นี่คือเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน นางพลันหัวเราะปากกว้าง พี่หญิงหร่วนซิ่วเห็นท่าทางของนางตอนนั้นคงคิดว่าตลก ก็เลยยกขนมให้เผยเฉียน นั่นยังเป็นครั้งแรกที่หร่วนซิ่วแบ่งขนมให้นาง หลังจากนั้นขอแค่เผยเฉียนเปิดปากขอ และหร่วนซิ่วมี นางก็ไม่มีทางปฏิเสธ

วันนี้เผยเฉียนยกม้านั่งตัวเล็กมาวางไว้ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน นางยืนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้ศีรษะของนาง ‘โผล่พ้นผิวน้ำ’ ออกมาได้พอดี ราวกับว่า…บนโต๊ะคิดเงินวางหัวคนไว้หัวหนึ่ง

ส่วนเผยเฉียนกลับรู้สึกว่าตัวเองเหมือนราชันแห่งขุนเขาที่กำลังลาดตระเวนตรวจสอบอาณาเขตเล็กๆ ของตัวเองมากกว่า

สือโหรวยืนอยู่ข้างเผยเฉียน โต๊ะคิดเงินนี้ค่อนข้างสูงจริงๆ นางก็ได้แต่เหยียบอยู่บนม้านั่งถึงจะดีกว่าเผยเฉียนเล็กน้อย

สือโหรวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทั้งๆ ที่เผยเฉียนติดอาจารย์ของตัวเองมาก แต่ก็ยังยอมลงจากภูเขา ยอมมาอยู่ที่นี่อย่างว่าง่าย

นางจึงอดใจไม่ไหวถามว่า “เผยเฉียน ไม่ห่วงว่าอาจารย์ของเจ้าที่ฝึกหมัดจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดหรือ?”

เผยเฉียนยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ดวงตากลับกลอกไปมา คล้ายกำลังเล่นใครเป็นหุ่นไม้ (การละเล่นชนิดหนึ่งที่ผู้เล่นต้องหยุดยืนนิ่ง ใครขยับเท่ากับแพ้) นางเพียงแค่ขยับปากเล็กน้อย “เป็นห่วงสิ เพียงแต่ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ได้แต่แสร้งทำเป็นว่าไม่เป็นห่วง อาจารย์จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าข้าเป็นห่วงอย่างไรล่ะ”

สือโหรวยื่นนิ้วออกมานวดคลึงหว่างคิ้ว หากพูดตามคำพูดติดปากของเจิ้งต้าเฟิงก็คือ ปวดกบาล

เผยเฉียนถอนหายใจ แต่สายตายังคงจ้องเป๋งไปเบื้องหน้า “พี่หญิงสือโหรว ท่านรู้สึกว่าคนคนหนึ่งไปอยู่บ้านคนอื่น อีกทั้งคนผู้นั้นยังไม่ใช่เพื่อนของท่าน ถ้าอย่างนั้นท่านสมควรต้องให้เงินเขาไหม?”

พูดฟังยาก ฟังแล้วก็ยิ่งวกวน

สือโหรวกล่าวอย่างสงสัย “เจ้าพูดอะไรน่ะ?”

เผยเฉียนถอนหายใจ “พี่หญิงสือโหรว วันหน้าท่านมาคัดตัวอักษรกับข้าเถอะ พวกเราสองคนจะได้เป็นเพื่อนกัน”

สือโหรวไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ทำไมข้าต้องคัดตัวอักษรด้วย”

เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “คัดตัวอักษรทำให้คนฉลาดไงล่ะ”

สือโหรวที่ความรู้สึกช้า ในที่สุดก็เข้าใจว่า คำว่า ‘อยู่บ้านคนอื่น’ ของเผยเฉียนก็คือการเหน็บแนมที่ตนมาพักพิงอยู่ในคราบร่างเซียนที่อาจารย์ของนางมอบให้

สือโหรวยื่นนิ้วออกมา หมายจะดีดหน้าผากแม่หนูน้อยเลียนแบบเฉินผิงอัน

เผยเฉียนที่แกล้งทำเป็นหุ่นไม้มองตรงไปเบื้องหน้าเบี่ยงหลบว่องไว จากนั้นก็กลับมาอยู่ท่าเดิม ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้นางยังไม่ได้ชำเลืองมองสือโหรวแม้แต่แวบเดียว แล้วเผยเฉียนก็บ่นว่า “อย่ากวนสิ ข้ากำลังตั้งใจคิดถึงอาจารย์อยู่นะ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!