บทที่ 468 เสียงนกบินผ่านประหนึ่งเสียงจูงใจ
วันนี้ในเรือนของจูเหลี่ยนคึกคักอย่างที่หาได้ยาก เว่ยป้อไม่ได้ไปจากภูเขาลั่วพั่ว แต่แวะมาเล่นหมากล้อมกับจูเหลี่ยน
บนโต๊ะวางโถเก็บเม็ดหมากงามประณีตไว้สองใบ เป็นของที่ใช้กันในพระราชวังซึ่งเฉินผิงอันควักเงินจ่ายมาระหว่างเดินทางไกล ราคาไม่ถือว่าถูกนัก แต่มองดูแล้วสะดุดตาชวนให้คนชื่นชอบ พอกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วจึงมอบมันให้กับจูเหลี่ยน เว่ยป้อเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ จึงมักจะมาเล่นหมากล้อมกับจูเหลี่ยนเป็นประจำ ปีนั้นจูเหลี่ยนชอบดูสุยโย่วเปียนกับหลูป๋ายเซี่ยงเล่นหมากล้อมกัน แสร้งทำเป็นว่าตัวเองเล่นหมากล้อมไม่เป็นแล้วยังชี้แนะคนอื่นส่งเดช แต่แท้จริงแล้วฝีมือของเขากลับไม่ธรรมดา นี่ไม่ใช่เรื่องที่เก็บซ่อนเป็นความลับอะไร เพราะสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วยังคงเป็นเพราะจูเหลี่ยนไม่เคยเห็นสุยหลูสองคนเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน แต่คิดดูแล้วพวกเขาสองคนเองก็คงจะเห็นจูเหลี่ยนเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ถึงแม้ว่ารากฐานเรือนกายและจิตวิญญาณของเจิ้งต้าเฟิงจะถูกทำร้ายตอนอยู่นครมังกรเฒ่า เส้นทางวิถีวรยุทธขาดสะบั้น แต่สายตาและลางสังหรณ์กลับยังคงมีอยู่ เขาเดาเอาว่านี่น่าจะเป็นความเคลื่อนไหวที่เฉินผิงอันชักนำให้เกิดขึ้น ดังนั้นจึงรีบวิ่งตุปัดตุเป๋มาจากตีนเขา
เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูก็ยืนชมศึกอยู่ด้านข้าง ฝ่ายแรกช่วยวางแผนออกกระบวนท่าให้พ่อครัวเฒ่าส่งเดช จูเหลี่ยนเองก็ไม่มีใจคิดจะเอาชนะสักเท่าไหร่ เด็กชายชุดเขียวบอกให้วางลงตรงไหน เขาก็คีบเม็ดหมากไปวางลงตรงนั้นจริงๆ แน่นอนว่าจากสถานการณ์ที่สูสีจึงกลายเป็นเสียเปรียบ แล้วก็เปลี่ยนจากเสียเปรียบเป็นลางของความพ่ายแพ้ นี่ทำให้เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่รักษากฎวิญญูชนชมหมากล้อมไม่ส่งเสียงร้อนใจขึ้นมาทันควัน นางไม่อนุญาตให้เด็กชายชุดเขียวพูดจาเหลวไหล ในฐานะงูเหลือมไฟที่จำแลงกายมาจากโชคชะตาบุ๋นในหอเก็บหนังสือของสกุลเฉาจือหลัน หลังจากที่เริ่มมีสติปัญญา เวลาหลายร้อยปีที่อยู่ว่างๆ ไม่ทำอะไร นางก็ต้องพลิกตำราอ่านหนังสือแก้เบื่ออยู่ทุกวัน ไม่กล้าพูดว่าตัวเองเก่งกาจเท่าฉีไต้จ้าวหรือนักเล่นระดับประเทศอะไร แต่ทิศทางการดำเนินไปคร่าวๆ ของสถานการณ์บนกระดานหมาก นางยังพอมองออกอย่างกระจ่างชัด
เฉินยวนจีที่มีเวลาว่างหลังจากฝึกท่าหมัดเสร็จก็แวะมาร่วมความคึกคักเช่นกัน สำหรับท่านเว่ยที่เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งองค์เทพผู้นั้น นางมีความรู้สึกที่ดีด้วยอย่างยิ่ง ช่วยไม่ได้ ท่านเว่ยหน้าตาดีมากจริงๆ ความใกล้ชิดสนิทสนมนี้ของเฉินยวนจีไม่ใช่ความรู้สึกรักใคร่ของชายหญิง นางเพียงแค่รู้สึกว่าต่อให้ตัวเองมองเขานานอีกหน่อยก็ยังถือว่าได้กำไร ถือซะว่ากำลังชื่นชมทัศนียภาพอันงดงาม มองดูแล้วสบายตาอย่างไรล่ะ!
เด็กสาวผู้นี้คงไม่รู้เลยว่า บนภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ นอกจากเจ้าภูเขาหนุ่มที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดจนน่าตกใจแล้ว เทพเซียนผู้เฒ่าจูที่นางเชื่อใจมากที่สุดไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกขั้นสูงสุดอะไรเลย แต่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง ส่วนชายฉกรรจ์ที่หลังค่อมยิ่งกว่าเทพเซียนผู้เฒ่าจู หรือพี่น้องต้าเฟิงคนนั้น ในอดีตเคยเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา ส่วนผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่ก็ยิ่งเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ที่นี่มีครบทั้งขอบเขตแปด เก้า และสิบ
ภายใต้การช่วยให้เสียเรื่องของเด็กชายชุดเขียว จูเหลี่ยนจึงแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูบ่นไม่หยุด เด็กชายชุดเขียวชำเลืองตามองสถานการณ์หมากบนกระดานที่ถูกสังหารมังกรใหญ่จนสภาพอเนจอนาถแล้วก็จุ๊ปากพูดว่า “พ่อครัวเฒ่าจู แม้ว่าจะแพ้ แต่ก็แพ้อย่างสมเกียรติ”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ ชูมือขึ้นเอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้จริง คราวหน้าพวกเราสองพี่น้องต้องพยายามให้มากหน่อย พี่น้องร่วมแรงร่วมใจกัน แม้ทองก็ยังฟันให้แตกได้”
เด็กชายชุดเขียวยิ้มหน้าบาน หลังจากจูเหลี่ยนยกมือขึ้นมาเขาก็รีบเข้าไปนวดแขนให้จูเหลี่ยน “พ่อครัวเฒ่า เจ้าอาจจะไม่รู้ มือนี้ของข้ามีไอเซียนด้วยนะ! ใช่ไหม เว่ยป้อ?”
ย้อนนึกถึงเรื่องในอดีต เขาเคยใช้ฝ่ามือตบไหล่ของเจ้าลัทธิลู่เฉินไปสองที หากเรื่องนี้แพร่ไปถึงหอป๋ายอวี้จิง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเซียนหรือเทียนจวินอะไร ใครบ้างที่กล้าไม่ยกนิ้วโป้ง ชมว่าเขาเป็นวีรบุรุษชายชาตรี?!
เว่ยป้อยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คันหนังอีกแล้วใช่ไหม?”
เด็กชายชุดเขียวกลอกตามองบน
สำหรับองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีที่แล้งน้ำใจอย่างเว่ยป้อนี้ เด็กชายชุดเขียวไม่เคยคิดจะปิดบังความไม่พอใจของตัวเองแม้แต่น้อย ปีนั้นเพื่อพี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงแคว้นหวงถิงผู้นั้น เขาเคยทดลองไปขอป้ายสงบสุขปลอดภัยมาจากต้าหลี แต่กลับต้องไปชนตอทุกครั้ง โดยเฉพาะกับเว่ยป้อที่ทำให้เขาผิดหวังอย่างยิ่ง ดังนั้นพอมีการเล่นหมากล้อมกันเมื่อไหร่ เด็กชายชุดเขียวก็จะยืนอยู่ข้างจูเหลี่ยนคอยชูธงร้องให้กำลังใจ ไม่อย่างนั้นก็แข็งขันบีบแขนนวดไหล่ให้จูเหลี่ยน ต้องการให้จูเหลี่ยนนำพละกำลังออกมาสิบสองส่วน นึกอยากจะให้เขาเข่นฆ่าตัวหมากของเว่ยป้อจนต้องโยนหมวกทิ้งเสื้อเกราะ จะได้สอนให้เว่ยป้อรู้จักคุกเข่าร้องขอวิงวอน พ่ายแพ้ยับเยินจนชั่วชีวิตนี้ไม่ยินดีแตะต้องหมากล้อมอีกแล้ว
สรุปก็คือขอแค่มีเขาอยู่ด้วย การประลองฝีมือระหว่างจูเหลี่ยนกับเว่ยป้อก็หาคำว่าสงบสุขไม่ได้เลย
จูเหลี่ยนพลันเอ่ยว่า “พวกเจ้าสองคนตัดสินใจแล้วจริงๆ หรือ?”
เด็กชายชุดเขียวเชิดจมูกขึ้นฟ้า แค่นเสียงหยันในลำคอ “หากยังไม่รีบย่อมต้องตกหลุมพรางอันอำมหิตของเฉินผิงอันอย่างแน่นอน!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูพยักหน้ารับเบาๆ
ที่แท้ตอนนี้พวกเขาก็มีชื่อเป็นของตัวเองกันแล้ว ไม่ใช่ชื่อแห่งชะตาชีวิต แต่เป็นชื่อที่ตั้งโดยอิงตามคำบอกของเฉินผิงอัน ซึ่งวันหน้าอาจจำเป็นต้องบันทึกลงไปบนทำเนียบศาลบรรพจารย์
เด็กชายชุดเขียวตั้งชื่อให้ตัวเองว่าเฉินหลิงจวิน ส่วนเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูตั้งชื่อให้ตัวเองว่าเฉินหรูชู
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยสัพยอก “เฉินหลิงจวิน ชื่ออะไรของเจ้า?! ข้าว่าเรียกเจ้าว่าเสี่ยวชิงชิง (เจ้าเขียวน้อย) นั่นแหละ คล่องปากกว่ากันเยอะ”
เด็กชายชุดเขียวเองก็ไม่คิดจะเกรงใจเจิ้งต้าเฟิง “พี่น้องต้าเฟิง เจ้าจะเข้าใจกะผายลมอะไร”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะร่า “ข้าเข้าใจเจ้า”
เด็กชายชุดเขียวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เลิกพูดมากได้แล้ว แน่จริงพวกเราก็มาแสดงฝีมือให้เห็นกันบนกระดานหมากสิ!”
เว่ยป้อเอ่ยเสียดสี “หาเรื่องให้ตัวเองอับอายโดยแท้”
เจิ้งต้าเฟิงถูมืออย่างกระเหี้ยนกระหือรือ “มาลองเดิมพันเล็กๆ หาของรางวัลกันสักหน่อยดีไหม? แต่ว่าความสามารถในการเล่นหมากล้อมของเจ้าสูงเพียงนี้ ให้วางก่อนก็ยังไม่ได้อยู่ดี ต้องต่อเม็ดหมากให้ ต่อให้ข้าสักสองเม็ดแล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่เดิมพันกับเจ้า”
เด็กชายชุดเขียวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ขมวดคิ้วพูดว่า “ต่อให้สองเม็ด? นี่ไม่ใช่ว่าดูแคลนพี่น้องต้าเฟิงอย่างเจ้าหรอกหรือ ต่อให้เม็ดหนึ่งเป็นอย่างไร?”
เว่ยป้อหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
จูเหลี่ยนตบหน้าผากตัวเอง เจิ้งต้าเฟิงขุดหลุมไว้ชัดเจนขนาดนี้ ยังจะกระโดดลงไปเต็มแรงอีก
เจิ้งต้าเฟิงกลั้นยิ้ม ไม่คิดจะรังแกเจ้าตัวน้อยทึ่มทื่อผู้นี้ต่อ จึงโบกมือเอ่ยว่า “ช่างเถิด ไว้ค่อยว่ากันวันหลัง”
ความสามารถในการเล่นหมากล้อมของเจิ้งต้าเฟิงเป็นอย่างไร ง่ายดายมาก ทุกครั้งที่จูเหลี่ยนเล่นหมากล้อมกับเว่ยป้อ เจิ้งต้าเฟิงช่วยใคร คนนั้นก็ชนะ
บางทีอาจพูดไม่ได้ว่าเจิ้งต้าเฟิงคมในฝัก แต่หากจะบอกว่าในบรรดาคนที่ฉลาดที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจูปีนั้น เจิ้งต้าเฟิงต้องมีคุณสมบัติพอที่จะยึดครองตำแหน่งหนึ่งไว้ได้อย่างแน่นอน
เด็กชายชุดเขียวชำเลืองตามองเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู ฝ่ายหลังส่ายหน้าให้เบาๆ
เขาถึงเพิ่งจะกระจ่างแจ้ง มารดามันเถอะ เจ้าเจิ้งต้าเฟิงผู้นี้ก็เจ้าเล่ห์เสียจริง เกือบจะทำลายภาพลักษณ์วีรบุรุษผู้เลื่องชื่อของตนเสียแล้ว
เฉินยวนจีจากไปเงียบๆ กลับไปฝึกหมัดของนางต่ออีกครั้ง
ช่วงเวลากลางวัน นางจะเลือกภูเขาเขียวน้ำใสของบนภูเขาลั่วพั่วฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวเพียงลำพัง
ทว่าเมื่อยามค่ำคืนมาถึง นางจะฝึกอยู่ในเรือน อย่างน้อยที่สุดก็อยู่ให้ใกล้กับที่พักของเทพเซียนผู้เฒ่าจูเสียหน่อย จะได้ไม่ต้องกังวลว่ายามที่ถูกคนล่วงเกินแล้วเรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบรับ
เด็กชายชุดเขียวมองสีท้องฟ้าแล้วก็คิดว่าจะไปเที่ยวเล่นหาเผยเฉียนในเมืองเล็กสักหน่อย เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูก็ประสานมือโค้งคำนับพวกจูเหลี่ยนเพื่อบอกลาตามไปด้วย นางบอกให้เด็กชายชุดเขียวรอนาง เพราะเมล็ดแตงในกระเป๋านางเหลือไม่พอแล้ว
หลังจากที่เฉินยวนจีและเด็กน้อยทั้งสองจากไป เจิ้งต้าเฟิงก็เอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าทะลุขอบเขตครั้งนี้ ก็น่าจะได้ลงจากภูเขาอีกแล้ว คนหนุ่มนี่ดีจริงๆ ไม่ว่ายุ่งวุ่นวายแค่ไหนก็ไม่รู้สึกเหนื่อย”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “พี่น้องต้าเฟิงก็ยังหนุ่มเหมือนกัน อีกทั้งยังหล่อเหลา ขาดแค่ภรรยาอย่างเดียวเท่านั้น”
เจิ้งต้าเฟิงยื่นมือมากดลงกลางอากาศสองที “พี่ใหญ่จู คำพูดที่เป็นความจริงเช่นนี้ อย่าพูดติดปากบ่อยนัก ง่ายที่จะทำให้คนเกลียดแค้น”
“ข้าว่าเฉินผิงอันรีบร้อนอยากออกเดินทางขนาดนี้ พวกเจ้าสองคนมีคุณความชอบไม่น้อยเลย”
เว่ยป้อลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปจัดการเรื่องงานเลี้ยงท่องราตรีนั่นต่อแล้ว ผ่านไปอีกสิบวันก็ต้องยุ่งวุ่นวาย ปัญหามากมายยิ่งนัก”
เรือนเล็กกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
จูเหลี่ยนเริ่มเก็บหมากที่เหลืออยู่ เจิ้งต้าเฟิงนั่งลงตรงตำแหน่งเดิมของเว่ยป้อ ช่วยเก็บเม็ดหมากใส่โถ
จูเหลี่ยนเอ่ย “ลองเดาดูสิว่าหลังจากนายน้อยของข้าฝ่าทะลุขอบเขตแล้วจะไปพูดคุยกับเจ้าหรือไม่? หากพูดคุย จะคุยด้วยเรื่องอะไร?”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะไปหาข้าที่ตีนเขา คงอยากให้ข้าทำใจให้สบาย ไม่อยากให้ข้ารู้สึกลำบากใจ แต่ไม่น่าจะพูดคุยอะไรมาก คงจะแค่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้า อันที่จริงข้ากลับหวังว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่มาหาข้ามากกว่า เจ้าว่าตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วเพิ่งมีคนกี่คนเอง? เขากลับต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจขนาดนี้ วันหน้าหากมีคนมาเพิ่มเยอะเข้าจริงๆ มีสำนักมีพรรคขึ้นมาแล้ว เขาจะยังมีเวลามาดูแลได้หวาดไหวหรือ? ยังจะฝึกตนอยู่อีกไหม? พี่ใหญ่จู เรื่องโน้มน้าวคน เจ้าถนัดที่สุด มีโอกาสก็คุยกับเฉินผิงอันหน่อยเถอะ”
จูเหลี่ยนเก็บกระดานหมากเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ยาก”
อยู่ดีๆ เจิ้งต้าเฟิงก็เอ่ยขึ้นว่า “การเล่นหมากล้อมของเว่ยป้อ กะจังหวะได้อย่างพอดิบพอดี ยามใดที่ควรห่างก็ห่าง ยามใดที่ควรประชิดก็ประชิด”
จูเหลี่ยนอืมรับหนึ่งคำ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “เฉินผิงอันฝ่าทะลุขอบเขตคราวนี้ ศิษย์น้องหญิงที่จิตใจทะเยอทะยานในร้านยาผู้นั้นของข้า คาดว่าคงต้องทุกข์ทรมานไม่น้อย”
จูเหลี่ยนหัวเราะ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเสียดายนิดๆ “เฉินยวนจีก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่”
เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยสีหน้ากวนโอ้ย “ตอนนั้นที่อยู่บนภูเขาพีอวิ๋น หากเฉินผิงอันพูดอย่างนั้นจริงๆ เจ้าเด็กคิ้วยาวตระกูลเซี่ยต่างหากที่ถึงจะเป็นคนที่หงุดหงิดใจที่สุด”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ในพื้นที่มงคลดอกบัว สำนักในยุทธภพที่ใหญ่สักหน่อย มีบุรุษสักกี่คนที่ตอนเป็นหนุ่มไม่เคยเสียใจเพราะศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงมาก่อน ดูท่าแล้วใต้หล้าไพศาลก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ดีๆ เจิ้งต้าเฟิงก็หวนนึกไปถึงช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้าในร้านยาฮุยเฉินนครมังกรเฒ่า ทุกวันไม่มีอะไรทำก็ได้แต่เปิดตำราอ่านหนังสือ นั่งอาบแดด
เขาสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย หวนนึกไปถึงเด็กสาวที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาคนหนึ่ง แล้วก็ให้รู้สึกเหมือนดื่มยาดองไหใหญ่ที่ทั้งขมจนแทบทนไม่ไหว แต่ก็อดใจไม่ดื่มไม่ได้
เพียงแค่สุดท้ายความคิดกลับวนไปถึงสตรีที่มักจะมาเดินเตร็ดเตร่ผ่านหน้าเขาเป็นประจำผู้นั้น ทำเอาเจิ้งต้าเฟิงตกใจตัวสั่น กลืนน้ำลายลงคอ ยกสองมือขึ้นพนมคล้ายกำลังขอโทษใคร พึมพำว่า “แม่นางเป็นคนดี แต่ข้าเจิ้งต้าเฟิงไม่มีวาสนาจะได้เสวยสุขจริงๆ”
จูเหลี่ยนมองไปทางเรือนไม้ไผ่
เจิ้งต้าเฟิงถาม “เดิมพันกันดีไหมว่าเฉินผิงอันจะเดินออกมาหรือนอนออกมา?”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “นายน้อยของข้ามีวิชายุทธล้ำเลิศ ปราดเปรื่องกล้าหาญ…แน่นอนว่าย่อมนอนออกมา”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างระอาใจ “งั้นจะเดิมพันกันกะผายลมอะไร”
……
แต่สุดท้ายแล้วกลับอยู่เหนือการคาดการณ์ของจูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิง เฉินผิงอันกลับเดินออกมาจากเรือนไม้ไผ่อย่างปลอดภัย
จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปนั่งอยู่ที่โต๊ะหินริมหน้าผาตลอดทั้งคืน จนกระทั่งฟ้าสางถึงได้กลับไปนอนในชั้นหนึ่ง
สองวันต่อมา จูเหลี่ยนก็ไปเสวยสุขที่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ต่อ เฉินผิงอันไปหาเจิ้งต้าเฟิงจริงๆ เพียงแต่ไม่ได้พบเจิ้งต้าเฟิง เขาลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะกลับมาบนภูเขา
จากนั้นทางห้องกระบี่ของท่าเรือข้ามฟากภูเขาหนิวเจี่ยวก็มีกระบี่บินส่งข่าวทยอยนำข่าวมาส่งให้กับเฉินผิงอัน
ฉบับแรกเป็นจดหมายตอบกลับจากหลิวจื้อเม่า บอกว่าหงซูของจวนชุนถิง ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นสาวใช้ของจวนแห่งนั้นแล้ว แต่กลับไปเป็นคนเฝ้าประตูของจวนจูเสียนดังเดิม สำหรับเรื่องนี้หลิวเหล่าเฉิงแค่เอ่ยว่าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เกาะชิงเสียแค่ต้องรับรองว่าชั่วชีวิตนี้นางจะไม่ต้องเจอกับหายนะที่ไม่ทันตั้งตัวอีกก็พอ นอกจากนี้จวนเหิงโปก็เริ่มถูกสร้างขึ้นใหม่ แต่จางเย่เหมือนคนกินยาผิดขนาน ถึงได้ไปจากเกาะชิงเสีย แค่ขอป้ายหยกผู้ถวายงานระดับล่างแผ่นหนึ่ง วิชาลับตระกูลเซียนหนึ่งเล่มกับสมบัติอาคมอีกหนึ่งชิ้นไปจากเขา จากนั้นก็ปิดบังชื่อแซ่ไปทำหน้าที่เป็นเค่อชิงให้กับสำนักเล็กๆ ไร้ชื่อไร้นามของภูเขาหูลั่วแห่งนั้น สุดท้ายหลิวจื้อเม่าให้ทางเลือกสองทางแก่เฉินผิงอัน ตอนนั้นเขารับปากว่าหากผ่านด่านยากนี้ไปได้จะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เฉินผิงอัน ดังนั้นหากเฉินผิงอันไม่รอให้เขาส่งคนนำของขวัญไปเยี่ยมเยียนที่เขตการปกครองหลงเฉวียน ก็ให้ถือซะว่าบัญชีสองก้อนที่เฉินผิงอันติดค้างคลังลับเกาะชิงเสียได้หมดสิ้นกันไปนับแต่นี้
เฉินผิงอันส่งกระบี่บินตอบกลับไปด้วยประโยคที่กระชับเรียบง่าย เพียงแค่สามคำ ให้หายกันไป
ส่วนจุดจบของพวกคนอย่างเถียนหูจวินแห่งเกาะซู่หลินเป็นอย่างไรนั้น เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยถาม
จดหมายฉบับที่สองมาจากหลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไช นางบอกความลับเรื่องหนึ่ง หมัวมัวเซียนดินโอสถทองผู้นั้น เดิมทีโอสถทองก็เสื่อมสภาพ ได้แต่อาศัยลมปราณเฮือกหนึ่งมาประคับประคองชีวิต เส้นหัวใจของนางขึงตึงมานานเกินไป รอจนกระทั่งสถานการณ์ใหญ่ของทะเลสาบซูเจี่ยนมั่นคงดีแล้ว อีกทั้งเกาะจูไชยังไม่ต้องเจอกับหายนะ กลับกันยังได้ผลประโยชน์มหาศาล เส้นเอ็นหัวใจนั้นก็พลันคลายตัวลง หลังจากความกังวลกลัดกลุ้มและความดีใจล้นพ้นผ่านไป นางก็เหมือนตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอดหมดสิ้น ช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ นางจึงได้ลาจากโลกนี้ไป หลิวจ้งรุ่นบอกในจดหมายอย่างตรงไปตรงมาว่า หมัวมัวได้โน้มน้าวนางว่าอย่าได้ถือสาเงินเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นค่ายาลับของตำหนักวารีนั้นอีกเลย ดังนั้นนางจึงหวังว่าจะสามารถทำการค้ากับเฉินผิงอันได้อีกครั้ง เกาะจูไชเองก็จะเลียนแบบสำนักกุยหยกที่สูงส่งเหนือผู้ใดแห่งนั้น โดยการส่งตัวลูกศิษย์ส่วนหนึ่งให้ย้ายมาอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียนของราชวงศ์ต้าหลีที่อยู่ทางเหนือสุดของทวีป อยู่ให้ห่างจากปัญหาวุ่นวาย ตั้งใจฝึกตนให้ดี ดังนั้นไม่ว่าเฉินผิงอันจะให้เช่าพื้นที่ฮวงจุ้ยดีๆ แห่งหนึ่ง หรือจะขายให้แก่เกาะจูไช ก็ขอให้เสนอราคามาได้เลย ต่อให้นางต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ต้องรับปากให้จงได้ แน่นอนว่าจะจ่ายให้เฉินผิงอันโดยไม่ขาดไปแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว
เฉินผิงอันส่งจดหมายตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน บอกว่าตนไม่ขายภูเขา แต่สามารถให้เช่าได้ ทว่าต่อให้หลังจากนางได้รับจดหมายแล้วเดินทางมาต้าหลีทันที ตอนนั้นเขาก็คงออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว นางแค่ต้องมาหาคนที่ชื่อจูเหลี่ยนของภูเขาลั่วพั่วเพื่อปรึกษาเรื่องนี้ก็พอ
กู้ช่านเองก็ส่งจดหมายมาให้
เล่าให้ฟังคร่าวๆ ถึงพัฒนาการในการฝึกตนของเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ในทุกวันนี้ รวมไปถึงเงินเทพเซียนที่จำเป็นต้องใช้สำหรับค่าประเมินการงานพิธีบวงสรวงเทพเจ้าขับไล่เสนียดเคราะห์ภัยใหญ่ของลัทธิเต๋าในครั้งแรก แต่ละขั้นตอนจำเป็นต้องใช้เงินมากน้อยเท่าไหร่ ล้วนเขียนมาไว้อย่างชัดเจน
เฉินผิงอันตอบกลับไปบอกว่า เงินเทพเซียนก้อนแรก เขาจะให้คนนำไปให้ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ให้พวกเขาสามคนเดินทางกันต่ออย่างสบายใจ ส่วนที่เหลือก็อดไม่ไหวเอ่ยเตือนในเรื่องจุกจิกหยุมหยิมบางอย่าง หลังจากเขียนจบแล้วอ่านทวนหนึ่งรอบ ตัวเฉินผิงอันยังรู้สึกว่าตัวเองจู้จี้เกินไปหน่อย สอดคล้องกับมาดของนักบัญชีเกาะชิงเสียในปีนั้นอย่างยิ่ง
—
เสียงนกบินผ่านประหนึ่งเสียงจูงใจ
ก่อนจะไปส่งจดหมายที่ภูเขาหนิวเจี่ยว เฉินผิงอันชำเลืองตามองหีบไม้ไผ่ที่อยู่ตรงมุมห้องแวบหนึ่ง ด้านในนั้นยังเก็บเตาอุ่นมือใบหนึ่งที่นำกลับมาจากทะเลสาบซูเจี่ยน
ต่อมากวนอี้หรานก็ส่งจดหมายตอบกลับมา ลูกหลานสกุลกวนที่มีชาติกำเนิดในตระกูลเศรษฐีระดับชั้นสูงสุดของต้าหลีผู้นี้เขียนมาในจดหมายด้วยถ้อยคำที่แฝงรอยยิ้ม บอกว่าตอนที่ต่งสุ่ยจิ่งจากเขตการปกครองผู้นั้นมาที่นครน้ำบ่อ นอกจากจะต้องนำเหล้าข้าวหมักที่เป็นสูตรเฉพาะของเขาต่งสุ่ยจิ่งเองซึ่งถูกนำไปขายไกลถึงเมืองหลวงต้าหลีมาด้วยแล้ว ยังต้องเอาสุราดีๆ ของเจ้าเฉินผิงอันมากาหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่เปิดประตูต้อนรับแขก
เฉินผิงอันได้รับจดหมายฉบับนี้แล้วก็ไปหาต่งสุ่ยจิ่งที่ภูเขาเฟิงเหลียงมารอบหนึ่ง เขากินเกี๊ยวน้ำถ้วยใหญ่พลางพูดคุยถึงเรื่องนี้ อะไรที่ควรพูด ไม่ว่าจะน่าฟังหรือไม่น่าฟังก็ล้วนอิงตามถ้อยคำที่ตัวเองร่างไว้คร่าวๆ ในหัว พูดให้ต่งสุ่ยจิ่งฟังอย่างชัดเจน ต่งสุ่ยจิ่งตั้งใจฟังอย่างยิ่ง ไม่ให้ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว ตอนที่ฟังถึงจุดที่เขาคิดว่าสำคัญยังย้ำทวนกับเฉินผิงอันเพื่อยืนยันให้แน่ใจอีกรอบ นี่ยิ่งทำให้เฉินผิงอันวางใจได้มากกว่าเดิม จึงคิดว่าควรจะทักทายไปทางตระกูลฟ่าน ตระกูลซุนของนครมังกรเฒ่าสักหน่อยดีหรือไม่ อันที่จริงก็ล้วนสามารถพูดถึงต่งสุ่ยจิ่งกับพวกเขาได้ แต่จะสำเร็จหรือไม่ สุดท้ายแล้วก็ยังต้องดูที่ความสามารถของต่งสุ่ยจิ่งเอง แต่ว่าหลังจากใคร่ครวญดูแล้วก็ยังคิดว่ารอให้ต่งสุ่ยจิ่งได้พบหน้ากวนอี้หรานเสียก่อนค่อยว่ากัน เรื่องร้ายไม่กลัวเกิดขึ้นเร็ว เรื่องดีไม่กลัวเกิดขึ้นช้า
หลังออกมาจากภูเขาเฟิงเหลียง เฉินผิงอันก็กลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว แล้วก็ได้เจอกับเฉินยวนจีที่ฝึกเดินนิ่งเลียบมาตามเส้นทางภูเขาไกลๆ พอดี
เฉินผิงอันไม่ได้ทักทายนาง ด้วยกลัวว่าหากยกมือหรือส่งเสียงจะทำให้แม่นางผู้นี้คิดมากอีก
คิดไม่ถึงว่าในขณะที่เฉินผิงอันจงใจเลือกเส้นทางอีกเส้นหนึ่งเพื่อกลับขึ้นเขานั้น เฉินยวนจีที่มองดูเหมือนตาจ้องตรงไปเพียงเบื้องหน้า ทว่าหางตากลับแอบคอยชำเลืองมองเจ้าขุนเขาหนุ่มก็แอบโล่งใจจริงๆ เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ปณิธานหมัดบนร่างที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นก็ขาดสะบั้นไปด้วย
เฉินผิงอันหยุดเดินอย่างอดไม่ได้ หันไปพูดกับนางเบาๆ ว่า “แม่นางเฉิน เรื่องของการฝึกหมัดเลี้ยงปณิธานหมัดนั้น มีข้อต้องห้ามสูงสุดคือห้ามทำให้เส้นสายของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ซึ่งปรากฎอยู่ภายนอกขาดสะบั้น…”
เฉินยวนจียื่นมือข้างหนึ่งมาวางไว้ด้านหลัง พยายามจะบดบังเรือนกายอรชรของตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด แต่คงนึกขึ้นได้ว่าทำท่าทางเช่นนี้ออกจะชัดเจนเกินไป กังวลว่าจะทำให้เจ้าขุนเขาหนุ่มที่ควบคุมสายตาตัวเองไม่ได้ผู้นี้โมโห นางจึงเบี่ยงตัวหันข้างมาช้าๆ เม้มริมฝีปาก ทั้งไม่พูดอะไรแล้วก็ไม่มองเขา
เฉินผิงอันจนใจ ได้แต่หมุนตัวเดินกลับขึ้นไปบนภูเขาเงียบๆ
พอมาถึงนอกเรือนไม้ไผ่ก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว จูเหลี่ยนที่อยู่ในห้องน่าจะกำลังพยายามออกหมัดเต็มแรง ใช้ขอบเขตเดินทางไกลรับมือกับขอบเขตร่างทองของชุยเฉิงอย่างยากลำบาก
บางครั้งเรือนไม้ไผ่ก็สะเทือนโยกคลอน
เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงโต๊ะหิน นึกอยากแทะเมล็ดแตงขึ้นมา
ยามสนธยา เผยเฉียนกับเด็กน้อยสองคนที่ตั้งชื่อให้ตัวเองอย่างเป็นทางการว่า ‘เฉินหลิงจวิน’ กับ ‘เฉินหรูชู’ ก็กลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน
สือโหรวบอกว่านางจะอยู่ช่วยดูร้านให้เอง จึงไม่ได้ตามกลับมาด้วย
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูนั่งลงข้างโต๊ะ ก้มหน้าก้มตา ท่าทางละอายใจเล็กน้อย
เด็กชายชุดเขียวนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอันอย่างผ่าเผย ยิ้มถามว่า “นายท่าน ท่านรู้สึกว่าชื่อใหม่ของข้าเป็นอย่างไร? เท่ห์หรือไม่? เผด็จการหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวเลยจริงๆ”
จากนั้นก็หันหน้าไปพูดกับเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู “ชื่อของเจ้าก็ดีมากเหมือนกัน”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูถึงได้เงยหน้าขึ้น ยิ้มอย่างเขินอาย
การที่นางตั้งชื่อนี้ก็เพราะหวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับนายท่านจะดีแบบนี้ตลอดไป เหมือนครั้งที่พบเจอกันครั้งแรก (หรูชู แปลว่าเหมือนครั้งแรก)
เผยเฉียนกลับไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่เด็กน้อยทั้งสองตัดสินใจกันเองโดยพลการ จึงพูดบ่นว่า “อาจารย์ บ้านมีกฎบ้าน ภูเขามีกฎภูเขา ข้ารู้สึกว่าพวกเขาต้องถูกจัดการสักหน่อย ช่างเถิด เฉินหรูชูคงไม่ว่านางหรอก ซื่อบื้อแบบนี้ก็พอจะให้อภัยได้ แต่เจ้าเฉินหลิงจวินผู้นี้ อาจารย์ท่านไม่รู้อะไร พอไปถึงร้านยาสุ้ยที่เมืองเล็ก เขาแทบอยากจะสลักชื่อตัวเองลงไปบนโต๊ะเลยด้วยซ้ำ”
เด็กชายชุดเขียวยกสองมือกอดอก “ชื่อที่ไพเราะขนาดนี้ หากเจ้าไม่ขวางไว้ ขอแค่ข้าเขียนไว้จนเต็มร้าน รับรองว่ากิจการต้องรุ่งโรจน์ เงินทองไหลมาเทมาแน่นอน!”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “เจ้าอย่าก่อเรื่องให้ข้าอีกเลย”
จู่ๆ เด็กชายชุดเขียวก็พลันหมดอาลัยตายอยาก
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เป็นเพราะองค์เทพภูเขาแม่น้ำบางส่วนของแคว้นหวงถิงจะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งนี้ด้วย?”
เด็กชายชุดเขียวอืมรับหนึ่งคำ กางแขนสองข้างออกกว้างแล้วฟุบตัวนอนคว่ำลงบนโต๊ะ
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็หยิบเมล็ดแตงขึ้นมาแทะเป็นเพื่อนเผยเฉียน
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “เดี๋ยวข้าจะไปบอกเว่ยป้อสักคำว่าให้เจ้าไปที่ภูเขาพีอวิ๋น ให้คอยอยู่ข้างกายเขา เข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย”
เด็กชายชุดเขียวเงยหน้าขึ้น ถามด้วยใบหน้ากังขา “เหตุใดท่านต้องสิ้นเปลืองน้ำใจไปเปล่าๆ เช่นนี้ ต่อให้ข้าแสร้งทำเป็นวีรบุรุษผู้ห้าวหาญได้ครั้งหนึ่ง นั่นก็ไม่ใช่ของจริงสักหน่อย หากถูกคนขอร้องให้ช่วยทำเรื่องอะไรขึ้นมาก็ต้องเผยพิรุธทันที”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “คนบนภูเขาย่อมมีแผนการอันแยบยล สามารถทำให้เจ้ามีหน้ามีตา แล้วยังไม่ต้องหงุดหงิดใจด้วย แค่ร่วมงานเลี้ยงแล้วดื่มเหล้าไปก็พอ”
เด็กชายชุดเขียวไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ “ท่านหลอกข้าหรือ?”
เฉินผิงอันหยิบเมล็ดแตงขึ้นมาหนึ่งกำ “ไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า”
เด็กชายชุดเขียวกระโดดผลุงขึ้นมา เดินอ้อมมาที่ด้านหลังเฉินผิงอัน ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “นายท่าน เมื่อยไหล่หรือไม่?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ไหล่ไม่เมื่อย แต่ปวดกบาล”
เด็กชายชุดเขียวหดมือกลับมาอย่างขลาดๆ ยากนักที่จะรู้สึกลำบากใจเช่นนี้ จึงหาข้ออ้างไปเล่นสนุกกับงูดำตัวนั้นโดยใช้คำพูดสวยหรูว่าจะช่วยนายท่านตรวจตราภูเขาใหญ่ลูกใหม่ๆ สักหน่อย
เผยเฉียนหันหน้าไปมองแผ่นหลังของเด็กชายชุดเขียวแล้วถอนหายใจ “เด็กไม่รู้จักโต”
มุมปากของเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเพิ่งจะยกขึ้นกลับถูกเผยเฉียนถลึงตาใส่ นางตกใจจนรีบขึงหน้าเล็กๆ ให้เคร่งขรึมทันที
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทำไมถึงแซ่เฉินกันทั้งสองคน ใครเป็นคนออกความคิด?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูชี้ไปยังทิศทางที่เด็กชายชุดเขียวหายไป “เขา”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูยิ้มถามว่า “นายท่าน เดิมทีท่านคิดจะตั้งชื่ออะไรให้พวกเรา? บอกได้ไหม?”
เผยเฉียนแย่งพูดทันที “เจ้าชื่อว่าไข่น้อยเลอะเลือน เขาชื่อว่าไข่ใหญ่โง่เง่า แบบนี้แหละ!”
เฉินผิงอันดีดเมล็ดแตงเมล็ดหนึ่งไปโดนหน้าผากเผยเฉียน
ขณะที่เผยเฉียนนวดคลึงหน้าผาก เฉินผิงอันก็ยิ้มตาหยีพลางเอ่ยเนิบช้าว่า “เดิมทีคิดจะตั้งชื่อให้เขาว่า ‘จิ่งชิง’ ชิงที่แปลว่าใสกระจ่าง เป็นคำที่อ่านออกเสียงเดียวกับคำว่าชิงที่แปลว่าเขียว ก็เขาชอบสวมชุดสีเขียวนี่นะ อีกทั้งยังใกล้ชิดกับสายน้ำ และสายน้ำที่หากใสกระจ่างก็นับว่าล้ำค่าหายาก ข้าก็เลยเลือกบทกวีมาบทหนึ่งที่บอกว่า ‘ยามสายฝนผ่านพ้น อากาศพลันสดชื่น’ ถึงได้ตั้งชื่อนี้ให้เขา ข้ารู้สึกว่าประโยคนี้ดี เป็นนิมิตหมายที่ดี แล้วก็พอจะถือว่ามีความไพเราะคล้องจอง ส่วนเจ้า ให้ชื่อว่า ‘หน่วนซู่’ มาจากประโยค ‘อากาศอบอุ่นของวสันตฤดูกระตุ้นพืชพรรณให้แตกหน่อ หุบเขาทะมึนแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่น รุ่งอรุณนกขมิ้นบินผ่านแมกไม้ น้ำค้างเปียกชื้นขนสีทองของพวกมัน’ ข้ารู้สึกว่าภาพบรรยากาศเช่นนี้งดงามอย่างถึงที่สุด ชื่อของพวกเจ้าสองคนล้วนดึงมาจากตัวอักษรต้นและท้ายของสองประโยคนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีและจบลงที่ดี”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูน้ำตาคลอเจียนจะหยด
คล้ายรู้สึกว่าชื่อที่นายท่านตั้งให้ ดีกว่า
เฉินผิงอันรีบเอ่ยปลอบใจ “ตอนนี้ชื่อของพวกเจ้าดีกว่าอีกนะ”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูลุกขึ้นยืนไม่พูดไม่จา ประสานมือโค้งคำนับเฉินผิงอัน จากนั้นก็เดินไป แน่นอนว่าคงจะแอบไปหาที่ร้องไห้อยู่กับตัวเองอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันยกมือขึ้น เอ่ยรั้งตัวนางเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถรั้งตัวแม่หนูที่ซื่อสัตย์น่ารักผู้นี้ไว้ได้
เฉินผิงอันถลึงตาใส่เผยเฉียนที่ยังแทะเมล็ดแตงอยู่อย่างไม่สนใจสิ่งใด “ยังไม่ตามไปอีกรึ?!”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที แล้ววิ่งไล่ตามเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่อยากให้ตัวเองชื่อเฉินหน่วนซู่มากกว่าไป
เฉินผิงอันถอนหายใจ
ดูเกิดเรื่องเข้าสิ หากรู้แต่แรกคงไม่โอ้อวดน้ำหมึก (เปรียบเปรยถึงความสามารถในการประพันธ์) อันน้อยนิดจนน่าสงสารในท้องของตัวเองหรอก
เฉินผิงอันปัดมือ ลุกขึ้นยืน เตรียมจะไปที่ภูเขาพีอวิ๋นเพื่อพูดคุยเรื่องของเด็กชายชุดเขียวกับเว่ยป้อสักหน่อย ในเรื่องของการขอร้องให้คนอื่นช่วยเหลือนี้ ถึงอย่างไรก็ควรจะมีความจริงใจกันบ้าง นอกจากนี้เขาก็อยากจะไปเดินเล่นที่สำนักศึกษาหลินลู่ให้ดีๆ สักครั้ง ดูว่าจะสามารถ ‘บังเอิญ’ เจอกับเกาเซวียนได้หรือไม่
แต่ทว่าลมเย็นกลับโชยมาปะทะใบหน้า
ชุดสีขาวชุดหนึ่งมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้ว
แขกที่ไม่ได้รับเชิญท่านนี้ มาถึงก็นั่งแปะลงบนเก้าอี้หิน แล้วเริ่มแทะเมล็ดแตง
นี่คงพอจะถือได้ว่ากาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์กระมัง? (เปรียบเปรยว่าคนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กันมักจะเข้าคู่กันได้ดี)
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อ “ในเมื่อจะต้องหลอมวัตถุชิ้นนั้น อีกทั้งยังต้องยุ่งอยู่กับการจัดงานท่องราตรี แต่ยังวิ่งมาหาข้าทุกวัน เห็นภูเขาลั่วพั่วเป็นบ้านของตัวเองจริงๆ ไปแล้วหรือไง?”
เว่ยป้อโบกมือ “ไม่ทำให้เสียเวลาหรอก ข้าไม่เหมือนกับเจ้า เจ้านั้นยุ่งจนไม่มีเวลาว่าง ส่วนข้ากลับว่างจนไม่มีเวลายุ่ง”
ไม่รอให้เฉินผิงอันเปิดปาก เว่ยป้อก็เอ่ยว่า “เรื่องของเฉินหลิงจวิน ยกให้ข้าจัดการเองเถอะ”
เฉินผิงอันเอ่ย “ขอบคุณมาก”
เว่ยป้อคลี่ยิ้มมีเลศนัย
เฉินผิงอันจึงยิ้มเอ่ย “ก็แค่พูดไปตามมารยาทอย่างนั้นเอง”
เว่ยป้อถาม “จะออกเดินทางเมื่อไหร่?”
เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “ไม่อาจถ่วงเวลาล่าช้าได้อีกแล้ว คงต้องพลาดงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งนี้แล้วล่ะ”
เว่ยป้อกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่เป็นไร เดี๋ยวอีกสิบปีข้าค่อยจัดใหม่อีกครั้ง”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง “อย่านะ! ข้าไม่อาจแบกรับคำประณามเช่นนี้ได้ งานเลี้ยงประเภทนี้ ไม่เพียงแต่ราชสำนักต้าหลีต้องระดมผู้คน ยังต้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขา รวมไปถึงวิญญาณวีรบุรุษของแต่ละฝ่ายควักกระเป๋าเงินตัวเองเพื่อเตรียมของขวัญมาร่วมแสดงความยินดี หากเรื่องนี้แพร่ออกไปแม้แต่นิดเดียว วันหน้าข้าก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนต่ออีกเลย”
เว่ยป้อส่ายหน้า “ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันมองไปทางเว่ยป้อ
เว่ยป้อพยักหน้ารับเบาๆ
เฉินผิงอันจึงไม่พูดอะไรอีก
เพราะนี่หมายความว่าเว่ยป้อสามารถหลอมเศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสชิ้นนั้นได้สำเร็จภายในเวลาสิบปี
เว่ยป้อสามารถอาศัยโอกาสนี้ทำให้ตัวเองมีหวังเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ขอแค่ได้สองคำว่า ‘มีหวัง’ นี้มา ในด้านชื่อเสียงบารมีของเขาก็สามารถสยบกำราบองค์เทพขุนเขาของต้าหลีทั้งห้าท่านในอดีตได้อย่างมั่นคง ถึงเวลานั้นก็จะยิ่งได้ครองตำแหน่งอย่างถูกต้องชอบธรรม ราชสำนักต้าหลีและบนภูเขาย่อมไม่มีใครกล้าคัดค้าน
ทวยเทพแห่งขุนเขาปกครองภูเขาและแม่น้ำในอาณาเขต เดิมทีก็คล้ายคลึงกับการที่อริยะเฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งซึ่งสามารถเลื่อนขอบเขตตัวเองให้สูงขึ้นไปอีกระดับตามธรรมชาติได้อยู่แล้ว
หากเว่ยป้อฝ่าทะลุคอขวด เลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบได้จริงๆ ความหมายนี้จะยิ่งใหญ่ ส่งอิทธิพลยาวไกลลึกล้ำจนมิอาจประมาณการณ์ได้!
เฉินผิงอันรู้สึกว่านอกจากเศษแก้วใสร่างทองที่พันปีก็ยากจะพานพบชิ้นนั้นแล้ว เว่ยป้อสามารถคลายปมในใจปมนั้นไปได้ บางทีการคาดหวังรอคอยสิ่งใหม่ๆ บางอย่างก็สำคัญมากเหมือนกัน
เว่ยป้อลุกขึ้นยืน “เฉินผิงอัน ขอบคุณมาก”
ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดอะไร เว่ยป้อก็ยิ้มตาหยีพูดเสริมมาอีกประโยคว่า “ก็แค่พูดไปตามมารยาทอย่างนั้นเอง”
ร่างของเขาพุ่งวูบหายไป
เฉินผิงอันเงยหน้ามองท้องฟ้า โดยไม่รู้ตัว ดวงจันทร์และดวงดาวก็พากันส่องแสงอย่างเลือนรางแล้ว
หดย่อภูเขาเดินทางไป ยามค่ำคืนพกจันทราดารามาเอง
เว่ยป้อก็คือเทพเซียนที่มีอิสระเสรีถึงเพียงนี้
ช่างน่าอิจฉาจริงๆ
……
หลายวันต่อมา ภูเขาลั่วพั่วก็มีแขกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ามาเยี่ยมเยือนราวกับนัดหมายกันมาอย่างไรอย่างนั้น
ล้วนเป็นผู้ฝึกตนของกลุ่มอิทธิพลบนภูเขาใกล้เคียง บ้างก็เป็นคนที่ฝึกตนอยู่ในจวนตระกูลเซียน บ้างก็อยู่ที่นี่เพื่อสะดวกให้ติดต่อกับสกุลซ่งต้าหลี ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเซียนดินโอสถทอง ต่อให้แย่แค่ไหนก็ยังเป็นนักพรตขอบเขตประตูมังกร
สำหรับในเรื่องการรับรองแขก ทุกวันนี้เฉินผิงอันไม่กล้าพูดว่าทำได้อย่างรัดกุมรอบคอบจนน้ำสักหยดก็ไม่ไหลออก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดใหญ่ๆ ขึ้นเด็ดขาด
แต่ภายหลังมีแขกสองกลุ่มที่ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงมาเยือน เป็นคนคุ้นเคย เรียกได้ว่าเป็นสหาย
ทั้งสองกลุ่มนี้ ฝ่ายหนึ่งมาจากทางเหนือ ฝ่ายหนึ่งมาจากทางใต้
ฝ่ายที่มาจากทางเหนือคืออาจารย์และศิษย์สามคน
พวกเขามาที่ร้านยาสุ้ย สือโหรวอยู่ที่นั่นพอดี ผลกลับกลายเป็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างเกิดระแวดระวังกัน จึงลองหยั่งเชิงกันไปคำรบหนึ่ง ภายหลังสือโหรวจึงกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว นำข่าวมาแจ้งให้กับเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันรีบพาสือโหรวลงจากเขามาทันที มุ่งหน้าไปที่เมืองเล็ก แน่นอนว่าข้างกายยังมีแมลงตามก้นอย่างเผยเฉียนติดตามมาด้วย
พอมาถึงร้านในตรอกฉีหลง อาจารย์และศิษย์กลุ่มนั้นก็เกือบจะจำเฉินผิงอันไม่ได้
แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย นักพรตเฒ่าตาบอดผู้นั้นยังคงอยู่ในสภาพเดิม ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้ท้อที่ฟันออกมาเอง ตรงเอวห้อยกระพรวนสีเงิน ชุดเต๋าเก่าคร่ำคร่า สวมรองเท้าฟางสาน ด้วยสภาพเช่นนี้ แน่นอนว่ายากที่จะมาเยือนด้วยเรื่องของการทำการค้า
ผู้เฒ่ามีฉายาทางลัทธิเต๋าว่าเสวียนกู่จื่อ รู้วิชาอสนีบางส่วน นำพาลูกศิษย์สองคนที่ ‘เก็บได้’ พเนจรไปทั่วทิศ แต่ปีนั้นตอนที่ไปเจอกับผีสาวสวมชุดแต่งงานกลับไม่ได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย ยังเกือบเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่น ถือว่าเป็นสหายร่วมทุกข์ร่วมยากมากับพวกเฉินผิงอัน ก่อนจะจากกัน นักพรตตาบอดยังมอบ ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่สืบทอดมาจากสำนักให้หนึ่งแผ่น ส่วนเฉินผิงอันก็มอบหินดีงูก้อนหนึ่งให้กับเด็กหนุ่มขาเป๋ที่แบกธงผ้าผู้นั้น
แม่นางน้อยหน้ากลมที่มีฉายาว่าจิ่วเอ๋อร์ เลือดสดของนางสามารถนำมาทำเป็น ‘น้ำพุยันต์’ ที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุดของพรรคมหายันต์ ดังนั้นสีหน้าของนางจึงมักจะซีดขาวตลอดเวลา
คราวก่อนตอนที่อยู่สำนักศึกษาซานหยา หลี่เป่าผิงยังพูดถึงจิ่วเอ๋อร์กับเฉินผิงอัน บอกว่าคิดถึงนางมาก ปีนั้นแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงถูกชะตากับแม่นางน้อยจิ่วเอ๋อร์มาก
เจ้าเป๋น้อยและจิ่วเอ๋อร์ต่างก็ไม่กล้าทักทายเฉินผิงอัน
ด้านหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาไม่เจอกันเกือบเจ็ดปี เฉินผิงอันเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานที่ถือมีดผ่าฟืนบุกเบิกเส้นทางมาเป็นคนหนุ่มที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ นอกจากนี้ต่อให้อยู่บนภูเขาลั่วพั่วจะบำรุงตัวเองดีแค่ไหน แต่เฉินผิงอันก็ยังค่อนข้างผอม เพียงแต่ใบหน้าที่ซูบตอบไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนตอนอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นลูกศิษย์สองคนของนักพรตเฒ่าก็คงจะยิ่งจำเฉินผิงอันไม่ได้
ในที่สุดก็แน่ใจว่าอีกฝ่ายคือเฉินผิงอัน
นักพรตตาบอดดีใจอย่างถึงที่สุด เฉินผิงอันจึงยิ้มถามว่าพวกเขากินข้าวกันมาหรือยัง พอได้ยินว่ายังไม่ได้กินจึงพาพวกเขาไปยังร้านอาหารที่ตอนนี้กิจการดีที่สุดในเมืองเล็กทันที
—
เสียงนกบินผ่านประหนึ่งเสียงจูงใจ
บนโต๊ะอาหาร นักพรตเฒ่าจิบเหล้าหนึ่งคำ แล้วจึงลูบหนวดยิ้มกล่าวว่า “คุณชายเฉิน เหตุใดวันนี้คุณหนูหร่วนถึงไม่ได้อยู่ในร้านเล่า?”
ปีนั้นที่จากลากัน เฉินผิงอันบอกพวกเขาว่าหากมาถึงเมืองเล็กสามารถมาหาหร่วนซิ่วที่ร้านในตรอกฉีหลงได้ เพียงแต่ว่าตอนนั้นนักพรตเฒ่าไม่คิดจะลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองเล็ก จึงบอกลาจากไป คิดว่าจะลองไปเสี่ยงดวงดูที่เมืองหลวงต้าหลี หวังว่าจะร่ำรวยกับเขาบ้าง แต่ช่วยไม่ได้ที่เมืองหลวงต้าหลีเป็นดั่งสถานที่มังกรซุ่มพยัคฆ์หมอบ ด้วยตบะน้อยนิดของพวกเขาสามคน อีกทั้งนักพรตเฒ่ายังไม่ยินดีจะเปิดเผยตัวตนของจิ่วเอ๋อร์ผู้เป็นลูกศิษย์ เป็นเหตุให้ไม่อาจสร้างชื่อเสียงใดๆ ให้กับตัวเองได้ อยู่กันมานานหลายปีขนาดนั้นก็ได้แค่เงินขาวทองก้อนมาไม่กี่พันตำลึง หากนำไปวางไว้ในบ้านคนธรรมดาทั่วไปย่อมถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ แต่สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว เงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญจะนับเป็นอะไรได้? นี่ทำให้คนหมดอาลัยตายอยากได้ดีจริงๆ ระหว่างนี้นักพรตเฒ่าก็ได้ยินข่าวคราวของเขตการปกครองหลงเฉวียนมาอย่างไม่ปะติดปะต่อ แน่นอนว่าไม่ได้รู้จากรายงานข่าวเทพเซียนของโรงเตี๊ยมตระกูลเซียน เพราะพวกเขาไม่มีปัญญาจะไปพักอาศัย แล้วก็ซื้อข่าวพวกนี้ไม่ไหว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน
ผลกลับกลายเป็นว่าถูกนักพรตเฒ่านำมาปะติดปะต่อเป็นความจริงที่ทำให้พวกเขาสามอาจารย์และศิษย์ต้องมองหน้ากันเอง หร่วนซิ่วที่ปีนั้นรอต้อนรับอยู่ในร้าน มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจเป็นบุตรสาวคนเดียวของอริยะหร่วนฉง! แรกเริ่มนักพรตเฒ่าไม่มีหน้าจะกลับเมืองเล็ก แล้วก็ไม่กล้าจะกลับไปด้วย เพราะถึงอย่างไรเจ้าเป๋น้อยก็มีที่มาไม่ถูกต้อง จึงเสียเวลาอยู่ในเมืองหลวงอีกนานหลายปี ตอนนี้อยู่ต่อไม่ได้แล้วจริงๆ ถึงได้คิดว่าจะมาเสี่ยงดวงที่เขตการปกครองหลงเฉวียนดู คิดไม่ถึงว่าจะโชคไม่เลว ถึงได้มาเจอกับเจ้าของร้านอย่างเฉินผิงอัน
เพียงแต่จิตใจคนเป็นดั่งผืนน้ำ เดิมทีทั้งสองฝ่ายก็รู้จักกันเพียงผิวเผินซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ นักพรตตาบอดเองก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถอยู่ต่อในเมืองเล็กที่วันนี้ไม่เหมือนวันวานแห่งนี้ได้หรือไม่ ต่อให้ได้อยู่ต่อ แล้วจะมีอนาคตที่ดีงามรออยู่จริงๆ หรือ? เพราะถึงอย่างไรผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ ก็คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่านิสัยของเฉินผิงอันเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างแล้ว ดังนั้นมองดูเหมือนนักพรตตาบอดดื่มสุราอย่างเบิกบานใจ ปากก็ยกเรื่องน่าอนาถในปีนั้นมาเล่าเป็นเรื่องสนุก แต่แท้จริงแล้วในใจกลับเต้นรัว พร่ำท่องไม่หยุดว่า ‘เฉินผิงอันเจ้ารีบเปิดปากรั้งพวกเราไว้สิ ต่อให้เป็นแค่คำพูดที่พูดไปตามมารยาทก็ได้ ข้าผู้เป็นนักพรตจะได้ปีนขึ้นไปบนไม้ที่เจ้ายื่นมาให้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าคนหนุ่มที่สามารถมีความสัมพันธ์กับบุตรสาวคนเดียวของอริยะได้จะขี้เหนียวกับเงินเทพเซียนแค่ไม่กี่เหรียญ จะตัดใจปล่อยให้คุณหนูหร่วนที่ทั้งเจ้าและข้าต่างก็ป่ายปีนไม่ถึงผู้นั้นดูแคลนเจ้าได้จริงหรือ?’
น่าเสียดายที่ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้จะทั้งดื่มเหล้าทั้งพูดคุยเรื่องเก่าในอดีตกันก็จริง แต่สิ่งเดียวที่เฉินผิงอันไม่ได้ทำคือเปิดปากเอ่ยเช่นนั้น ไม่ได้สอบถามนักพรตเฒ่าอาจารย์และศิษย์ว่าอยากอยู่ต่อที่เขตการปกครองหลงเฉวียนหรือไม่
เผยเฉียนนั่งอยู่บนม้านั่งยาวเคียงข้างเฉินผิงอัน นางแทบไม่พูดอะไรเลยสักคำ
ตอนนั้นที่เฉินผิงอันแนะนำนาง บอกว่าเป็นลูกศิษย์ชื่อเผยเฉียน เผยเฉียนแทบจะอดใจไม่ไหวโพล่งไปว่าอาจารย์ท่านลืมสามคำว่า ‘เปิดขุนเขา’ ไปนะ
สือโหรวไม่ได้มาที่ร้านอาหารกับพวกเขา
เนื่องจากเฉินผิงอันไม่เข้าใจเรื่องทางโลก อีกทั้งนักพรตตาบอดก็อยากจะรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองเอาไว้บ้าง หลังจากดื่มเหล้ากินอาหารกันอิ่มก็ได้แค่บอกลาจากไป
ทั้งสองฝ่ายยืนอยู่บนถนนใหญ่นอกร้านอาหาร เฉินผิงอันถึงได้เอ่ยว่า “ตอนนี้ข้าพักอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว ถือว่าเป็นภูเขาของตัวข้าเอง คราวหน้าหากท่านนักพรตผ่านเขตการปกครองมา สามารถขึ้นไปนั่งเล่นบนภูเขาได้ ข้าอาจจะไม่อยู่ที่นั่น แต่ขอแค่บอกชื่อแซ่ก็ย่อมต้องมีคนมาต้อนรับอย่างแน่นอน ใช่แล้ว ตอนนี้แม่นางหร่วนพักอยู่ที่ภูเขาเสินซิ่ว เพราะศาลบรรพจารย์และภูเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียนของนางอยู่ที่นั่น คราวนี้ข้าเพิ่งกลับมาถึงบ้านเกิดหลังจากออกเดินทางไกลมาได้ไม่นานเท่าไหร่ แต่ว่ายามที่พูดคุยกับแม่นางหร่วน นางเองก็เคยพูดถึงท่านนักพรตเช่นกัน ไม่ได้ลืมเลือนท่านไป ดังนั้นหากมีเวลาท่านนักพรตก็สามารถไปเยี่ยมชมหรือไปพูดคุยกับนางที่นั่นได้”
นักพรตตาบอดค่อยๆ คลี่ยิ้มกว้าง บอกว่าแน่นอนๆ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยกับเด็กหนุ่มขาเป๋และเด็กสาวจิ่วเอ๋อร์ที่เขามีความประทับใจที่ดีอย่างยิ่งว่า “รักษาตัวด้วย หวังว่าครั้งหน้าเมื่อพวกเราได้พบกันอีกครั้งจะไม่นานเท่าครั้งนี้”
เด็กหนุ่มขาเป๋ที่แบกธงผ้าพยักหน้ารับ
จิ่วเอ๋อร์ก็ผงกศีรษะรับด้วยรอยยิ้มบางๆ
เผยเฉียนกุมหมัด พูดเหมือนคนแก่ว่า “ภูเขาเขียวไม่เปลี่ยน สายน้ำใสไหลยาว ไว้พบกันใหม่วันหน้า!”
ทั้งสองฝ่ายจึงจากลากันไปเช่นนี้ นักพรตเฒ่าพาลูกศิษย์สองคนออกไปจากเมืองเล็ก มุ่งหน้าไปยังเมืองหงจู๋ช้าๆ
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม
เผยเฉียนเอ่ยเรียกเบาๆ “อาจารย์?”
เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง เอ่ยวา “ในใจอาจารย์ย่อมอยากรั้งให้พวกเขาสามคนอยู่ต่อ เพียงแต่ว่าการทำงานหาเลี้ยงชีพนั้นไม่ง่าย หากมีขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากสวรรค์ คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยเห็นคุณค่า หากแม้แต่ศักดิ์ศรีเล็กน้อยแค่นี้ยังวางลงไม่ได้ นั่นก็หมายความว่าไม่ได้มีความจำเป็นต้องหาเลี้ยงชีพอยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนจริงๆ อีกทั้งหากอยู่ต่อ นั่นก็หมายความว่าจะเป็นเรื่องที่ยาวนานอย่างยิ่ง อยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็ยิ่งไม่อาจแยกแยะจุดเริ่มต้นได้ชัดเจน ไม่สู้ให้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันดีอยู่แก่ใจมาตั้งแต่ต้นจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นถึงท้ายที่สุดแล้วข้ารู้สึกว่าหวังดี แต่อีกฝ่ายกลับรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องดี ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นยามที่ต้องตัดความสัมพันธ์กันจะยังรักษาความเป็นสุภาพชนที่ไม่พูดจาทำลายน้ำใจกันได้อย่างไร?”
เผยเฉียนพยักหน้า ฟังเข้าใจหรือไม่ ไม่สำคัญ ถึงอย่างไรทุกสิ่งที่อาจารย์พูดมาล้วนถูกต้อง แต่นางก็อดสงสัยขึ้นมาอีกได้ จึงถามว่า “อาจารย์จงใจพูดถึงพี่หญิงซิ่วซิ่วกับพวกเขา เพราะเหตุใดกัน?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ก็อาจารย์หวังว่าพวกเขาจะได้อยู่ต่อนี่นา”
เผยเฉียนมึนงงไปหมด พยายามคิดเรื่องที่เปลืองสมองนี้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจเข้าใจความวกวนอ้อมค้อมของมันได้ จึงได้แต่ทอดถอนใจ ไม่คิดแล้ว วันนี้นางเปิดปฏิทินเหลืองดูแล้ว ไม่เหมาะแก่การใช้สมอง
เผยเฉียนพลันกดเสียงเบาเอ่ยว่า “ดวงตาคู่นั้นของนักพรตเฒ่าเหมือนจะถูกแสงสายฟ้าที่หมุนติ้วๆ อุตลุดในท้องเขาระเบิดใส่จนตาบอด”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “วิชาอสนีถูกขนานนามให้เป็นผู้นำแห่งหมื่นอาคม เพียงแต่ในแจกันสมบัติทวีปของพวกเรา นอกจากสำนักโองการเทพและตระกูลเซียนขนาดใหญ่ไม่กี่แห่งแล้ว คำว่าวิชาห้าอสนีที่เรียกขานกันนั้นล้วนเป็นการสืบทอดจากสำนักนอกรีต อีกทั้งยังกระจัดกระจายไปหลายสาขา ดังนั้นการฝึกวิชานี้จึงมักจะแว้งกลับมาโจมตีผู้ฝึกบ่อยๆ นานวันเข้า หากพลังชีวิตไม่แห้งขอด มหามรรคาพังทลาย ก็ต้องใช้วิธีเสี่ยงอันตรายอย่างการใช้ช่องโพรงแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นสถานที่ฟาดเคราะห์ ยกตัวอย่างเช่นดวงตามองไม่เห็น แล้วก็มีบางคนที่ยอมให้ท้องไส้เละเทะ บ้างก็ให้กัดกินวัตถุแห่งชะตาชีวิตบางชิ้น ฯลฯ คนที่ฝึกวิชาอสนีนอกรีตส่วนใหญ่จึงมักจะไม่ได้มีจุดจบที่ดี”
เผยเฉียนเดาะลิ้น
เฉินผิงอันเอ่ย “เรื่องของการฝึกตน ไม่ใช่ว่าจะเป็นการเสวยสุขไปเสียทั้งหมด”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “ดังนั้นข้าถึงไม่ฝึกตน แค่ฝึกวรยุทธอย่างเดียว!”
เฉินผิงอันดึงหูของนาง
เผยเฉียนร้องโอดครวญ “อาจารย์ ข้าจะต้องขยันฝึกเดินนิ่งให้มากกว่านี้! ยอมทนกับความยากลำบากมากกว่านี้!”
จากนั้นเฉินผิงอันก็พาเผยเฉียนไปที่โรงเรียนเก่า
เฉินผิงอันยืนอยู่นอกหน้าต่าง เผยเฉียนเขย่งปลายเท้าเอาหัว ‘วางพาด’ อยู่บนขอบหน้าต่าง มองเข้าไปข้างใน
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “คิดไปถึงไหนแล้ว อยากจะไปเรียนที่โรงเรียนของสกุลเฉินหลงเหว่ยหรือไม่?”
เผยเฉียนยืนนิ่งไม่ขยับ กล่าวอย่างอัดอั้นว่า “หากอาจารย์อยากให้ข้าไป ข้าก็จะไป ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางถูกใครรวมกลุ่มกันมารังแก ไม่มีทางถูกใครด่าว่าข้าเป็นถ่านดำ รังเกียจที่ข้าตัวเตี้ย…”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “หากเจ้าไม่อยากไปจริงๆ วันหน้าก็เรียนหนังสืออยู่บนภูเขากับจูเหลี่ยน และเจิ้งต้าเฟิงก็ได้ อันที่จริงความรู้ของเจิ้งต้าเฟิงสูงมาก แต่ข้าแนะนำว่าไม่ว่าตอนนี้เจ้าจะชอบหรือไม่ชอบก็ควรไปลองเรียนที่โรงเรียนดูสักพักหนึ่ง ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นกระชากลากถูเจ้า เจ้าอาจจะไม่ยอมกลับเลยก็ได้ แต่หากถึงเวลานั้นยังรู้สึกว่าปรับตัวไม่ได้ ค่อยกลับภูเขาลั่วพั่วก็แล้วกัน”
เผยเฉียนถาม “ข้าสามารถห้อยเตาเจี้ยนฉว่อไปที่โรงเรียนด้วยได้ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้ เรียนหนังสือก็ควรจะมีลักษณะของคนที่เรียนหนังสือ”
เรื่องนี้ไม่มีที่ว่างให้ปรึกษากัน
เขาที่เป็นอาจารย์ ต่อให้จะรักและเอ็นดูเผยเฉียนแค่ไหน กฎระเบียบที่ควรจะมีก็ไม่ควรขาดเด็ดขาด
เด็กคนหนึ่งบริสุทธิ์ไร้เดียงสา มีจิตใจรักสนุกของเด็ก คนที่เป็นผู้อาวุโส ต่อให้ในใจจะชื่นชอบแค่ไหนก็ไม่ควรปลอยให้เด็กเป็นดั่งม้าที่ถูกปลดบังเหียน ไร้พันธนาการในช่วงเวลาที่ควรต้องตั้งกฎเกณฑ์มากที่สุด
เผยเฉียนไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันจึงพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ไม่รีบร้อน คิดให้ดีก่อนอาจารย์จะลงจากภูเขาก็พอ”
เผยเฉียนยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ “หากข้ายอมไปโรงเรียน อาจารย์ไม่จากไปแล้วได้ไหม?”
เฉินผิงอันยื่นมือไปกดศีรษะของเผยเฉียน มองเข้าไปในโรงเรียน เขาเองก็เงียบงันไปเช่นกัน
ความกลัดกลุ้มเสียใจเล็กๆ ของเด็กมักจะเหมือนสายลมและน้ำค้างเสมอ
รอจนกระทั่งเฉินผิงอันซื้อถังหูลู่ให้เผยเฉียนหนึ่งไม้ จากนั้นคนทั้งสองกลับภูเขาลั่วพั่วไปด้วยกัน เผยเฉียนก็พูดคุยกลั้วเสียงหัวเราะ ถามนู่นถามนี่อย่างมีความสุขไปตลอดทางแล้ว
นักพรตตาบอดอารมณ์ดีอย่างมาก เขาพูดกับเจ้าเป๋น้อยและจิ่วเอ๋อร์เป็นการส่วนตัวว่า พวกเราแค่ต้องเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกสักปีครึ่งปีก็สามารถกลับมาลืมตาอ้าปากที่เขตการปกครองหลงเฉวียนได้แล้ว
หลังจากที่อาจารย์และศิษย์สามคนไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนได้ไม่นานเท่าไหร่ ก็มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินทางมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว
บางทีพวกเขาอาจเดินเท้าผ่านภูเขาใหญ่มามากมาย หรือโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียน ใช้เวลาห้าหกปี ในที่สุดพวกเขาก็สามารถเดินทางจากแคว้นชิงหลวนทางตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปมาถึงราชวงศ์ต้าหลีที่อยู่ทางเหนือสุดของทวีปได้แล้ว
บุรุษคือคนจากสวนสิงโตแคว้นชิงหลวน บัณฑิตหลิ่วชิงซาน
สตรีคือนักพรตหญิงจากเรือนซือเตาภูเขาห้อยหัว หลิ่วป๋อฉี
พกมีดอาคมเล่มหนึ่งติดตัว มีชื่อว่าเทพเจ้าจิ้ง อยู่ในอันดับที่สิบเจ็ดของเรือนซือเตาภูเขาห้อยหัว วัตถุแห่งชะตาชีวิตก็ยังคงเป็นมีด ชื่อว่าเจี่ยจั้ว
เฉินผิงอันกับหลิ่วป๋อฉีนั้นถือว่าหากไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน แน่นอนว่าความสัมพันธ์ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ ไม่ถือว่าเป็นสหาย
แต่พอได้เจอกับหลิ่วชิงซาน แน่นอนว่าย่อมพูดคุยกันอย่างชื่นบาน
เมื่อเทียบกับความกำเริบเสิบสานที่หลิ่วป๋อฉีแสดงออกในสวนสิงโตแล้ว ยามอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว นับว่าหลิ่วป๋อฉีสำรวมขึ้นเยอะมาก
หนึ่งเพราะตอนนี้มองดูแล้วเฉินผิงอันยิ่งแปลกประหลาดมากกว่าเดิม สองเพราะเขามีบ่าวเฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งชื่อว่าจูเหลี่ยนที่น่าจะรับมือด้วยยาก ข้อสามก็คือข้อที่สำคัญที่สุด เรือนไม้ไผ่หลังนั้นไม่เพียงแต่มีกลิ่นอายเซียนอบอวล โดดเด่นสะดุดตาอย่างถึงที่สุด บนชั้นสองของเรือนยังมีพลังอำนาจที่น่าตกตะลึงขุมหนึ่งซ่อนอยู่
หลิ่วป๋อฉีมีดีอยู่อย่างหนึ่งคือ นางเป็นคนตรงไปตรงมา ยามที่ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า ข้าก็จะไม่เกรงใจเจ้าแม้แต่น้อย แต่หากยามใดลมหมุนเปลี่ยนทิศ นางกลับไม่มีความไม่พอใจใดๆ ล้วนยอมรับสถานการณ์ได้ทั้งหมด
เฉินผิงอันพาคนทั้งสองเดินเล่นอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว แล้วก็ขึ้นไปบนยังศาลที่อยู่บนยอดเขา
หลิ่วชิงซานบอกว่าพวกเขาเดินทางมาครั้งนี้ นอกจากจะมาเยี่ยมเฉินผิงอันแล้ว ยังอยากเป็นคนที่อยู่บนศาลาใกล้น้ำได้ยลจันทร์ก่อน อยากจะมาร่วมงานเลี้ยงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่องราตรีที่ยิ่งใหญ่อลังการนั่นสักครั้ง แน่นอนว่าก็ต้องไปที่สำนักศึกษาหลินลู่ด้วย
แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมตกปากรับคำ บอกว่าเมื่อถึงเวลานั้นเขาสามารถจัดหาตำแหน่งชมทัศนียภาพที่เหมาะๆ ให้แก่พวกเขาสองคนในสำนักหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นได้
เมื่อเทียบกับยามอยู่ในห้องหนังสือของสวนสิงโตปีนั้นแล้ว นอกจากหลิ่วชิงซานจะมีมาดแห่งปัญญาชน ยังมีความองอาจของชายชาตรีเพิ่มเข้ามาอีกหลายส่วน นี่ถือเป็นเรื่องดี
วีรบุรุษผู้องอาจอาจจะไม่ได้เป็นอริยะปราชญ์เสมอไป แต่มีอริยะปราชญ์คนใดบ้างที่ไม่ใช่วีรบุรุษผู้องอาจที่แท้จริง?
หนึ่งวันผ่านไป เฉินผิงอันก็พบเรื่องผิดปกติเรื่องหนึ่ง หลังจากที่หลิ่วป๋อฉีได้พบกับจูเหลี่ยนแล้ว นางกลับเรียกจูเหลี่ยนว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจูทุกคำ อีกทั้งยังจริงใจอย่างมาก
หลังจากเปิดปากขอร้องเจียวเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิงโดยที่ไม่ได้ผ่านความช่วยเหลือจากเว่ยป้อ จนสามารถจัดหาตำแหน่งที่ทางให้หลิ่วชิงซานในสำนักศึกษาหลินลู่ได้แล้ว เฉินผิงอันก็กลับภูเขาลั่วพั่วกับจูเหลี่ยนมาก่อน ระหว่างทางจึงเอ่ยถามเรื่องนี้
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “บ่าวเฒ่าก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยประโยคหนึ่ง เป็นประโยคที่ดึงมาจากในตำรา หลิ่วป๋อฉีกลับรับน้ำใจเสียได้”
เฉินผิงอันยิ่งสงสัยใคร่รู้มากกว่าเดิม “พูดว่าอย่างไร?”
จูเหลี่ยนชี้ไปยังภูเขาเขียวขจีลูกหนึ่งส่งเดช “ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม คาดว่าภูเขาเขียวคงมองข้าเช่นนี้ดุจเดียวกัน” (ภูเขาเขียวภาษาจีนคือชิงซาน ตรงกับชื่อของหลิ่วชิงซาน)
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง ก่อนจะรู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
สตรีอย่างหลิ่วป๋อฉีตกหลุมพรางด้วยมุกแบบนี้เองหรือ?
เฉินผิงอันตบไหล่จูเหลี่ยน “สมกับเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ!”
จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่ไหนกันๆ เสียงของลูกหงส์ย่อมไพเราะกังวานกว่าเสียงของหงส์แก่”
เฉินผิงอันพลันรู้สึกสะท้อนใจ เมื่อลงจากเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องไปอุตรกุรุทวีป คงจะไม่ได้ยินถ้อยคำประจบเอาใจของบนภูเขาลั่วพั่วอีกนานหลายปี
……
กลางดึกคืนหนึ่ง เฉินผิงอันก็แอบไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนบนภูเขาหนิวเจี่ยว
อันที่จริงเผยเฉียนก็รู้เรื่อง เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ อีกทั้งเมื่อเทียบกับอาการใจหายเมื่อครั้งที่ต้องจากลากันเนิ่นนานในคราแรกแล้ว เผยเฉียนในเวลานี้กลับถือว่ายังดีอยู่ เพียงแต่อาจารย์จากไปเช่นนี้ ทำให้ในใจของนางว่างเปล่าวูบโหวงนัก
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเปิดปฏิทินเหลืองดูจริงๆ พบว่าวันที่อาจารย์ออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว เหมาะแก่การเดินทางไกล
หลิ่วชิงซานและหลิ่วป๋อฉีพักอาศัยอยู่ที่สำนักศึกษาหลินลู่ชั่วคราว
งานเลี้ยงท่องราตรีกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ส่วนทางเมืองหงจู๋ก็มีการกลับมาพบเจอกันอีกครั้งเกิดขึ้น
แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงกับแม่นางน้อยจิ่วเอ๋อร์ในปีนั้น ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
ที่แท้สำนักศึกษาซานหยาต้าสุยก็จัดให้เด็กนักเรียนได้ออกไปทัศนศึกษา ซึ่งก็คือมาเข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีของขุนเขาเหนือต้าหลีครั้งนี้ ผู้นำคือเหมาเสี่ยวตง หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย ล้วนมากันครบ
นักพรตตาบอดยังคงไม่กล้าผลักเรือตามกระแสน้ำ อาศัยใบบุญของลูกศิษย์จิ่วเอ๋อร์ติดตามทุกคนของสำนักศึกษากลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน
เพราะถึงอย่างไรตัวตนของอริยะเหมาเสี่ยวตงแห่งสำนักศึกษาก็น่าตกใจเกินไป
บนยอดเขาของภูเขาฉีตุน
เด็กสาวชุดแดงที่เรือนกายสูงเพรียวคนหนึ่งกำลังเหม่อลอย
นางไม่ใช่แม่นางน้อยอีกแล้ว
หลายปีที่ผ่านมานี้ บุคลิกลักษณะของนางเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง จากเป่าผิงน้อยชุดแดงที่ดุจกองไฟดุจสายลมของสำนักศึกษา พลันเปลี่ยนมาเป็นเด็กสาวที่สงบเสงี่ยมขึ้นเยอะมาก ยิ่งนานความรู้ก็ยิ่งเพิ่มพูน คำพูดคำจาน้อยลงเรื่อยๆ แน่นอนว่า รูปร่างหน้าตาก็งดงามมากขึ้นทุกที
เหนือศีรษะมีเสียงนกบินผ่าน นางแหงนหน้าขึ้นมอง
ในตำรากล่าวว่าอย่างไรแล้วนะ?
เสียงนกบินผ่านประหนึ่งเสียงจูงใจ เซียนชักชวนให้ข้าไปท่องเที่ยวกลางเมฆา
……
ลมพัดพาสายฝนเม็ดเล็กสาดเอียง
แคว้นไฉ่อีที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ในหุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเมืองแยนจือ มีบุรุษสวมชุดเขียวคนหนึ่งที่ศีรษะสวมงอบ ด้านหลังสะพายกระบี่ กำลังเดินทางลงใต้