Skip to content

Sword of Coming 473

บทที่ 473 เรื่องเล็กๆ เกี่ยวกับฝักกระบี่ไม้ไผ่

เฉินผิงอันมาถึงหน้าประตูใหญ่แล้วก็ปลดงอบลง

ผู้อาวุโสซ่งยังคงสวมชุดยาวสีดำอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้ไม่ได้พกกระบี่อีกต่อไปแล้ว อีกทั้งยังแก่ขึ้นเยอะมาก

อริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ยท่านนี้มีสีหน้าเหลือเชื่อ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก “เจ้าเด็กน้อย?”

เฉินผิงอันจะพยักหน้าก็ไม่ใช่ ส่ายหน้าก็ไม่ใช่ สุดท้ายก็ยังคงพยักหน้ารับ

ซ่งอวี่เซาหัวเราะเสียงดังกังวาน ยื่นฝ่ามือมาตบบ่าเฉินผิงอันหนักๆ “เจ้าตัวดี โตเร็วจริงๆ ข้าเกือบจะจำเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว ทำไมไม่สวมรองเท้าสานสะพายหีบไม้ไผ่แล้วเล่า? ไม่แน่ว่าข้าอาจจะจำเจ้าได้ในทันทีเลยก็ได้”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ไปกินหม้อไฟกันไหม?”

ซ่งอวี่เซาไม่ได้ตอบคำถาม แต่ถามย้อนกลับว่า “ที่เมืองเล็กเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จู่ๆ ปราณกระบี่ของซูหลางก็ขาดสะบั้นไป เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถูกข้าขวางเอาไว้ ต่อยเจ้าซูหลางผู้นั้นกลับเข้าไปในเมืองเล็ก เขาน่าจะไม่มาหาเรื่องท่านผู้อาวุโสอีกแล้ว”

เขาไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาอย่างขอไปที ถึงอย่างไรผู้อาวุโสซ่งก็เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพที่เขาเคารพนับถืออย่างถึงที่สุด ยากที่จะโกหกเขาได้

เพียงแต่เรื่องราวทางโลกมักจะมีความจริงที่เหมือนเท็จ และคำเท็จที่เหมือนจริงอยู่มากมาย

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูไม่เชื่อ หลานชายซ่งอวี่เซาอย่างซ่งเฟิ่งซานและภรรยาของเขาหลิ่วเชี่ยนก็ไม่ค่อยเชื่อเหมือนกัน

มีเพียงซ่งอวี่เซาที่เชื่อ เขาดึงแขนเฉินผิงอันมาหาตัว “ในเมื่อเรื่องราวยุติลงแล้ว งั้นก็ไป ไปนั่งข้างใน กินหม้อไฟมีอะไรให้ต้องรีบร้อนกัน กินหม้อไฟเสร็จ เจ้าใช้หนี้คืนหมดสิ้นแล้วก็คงปัดก้นเดินจากไป ข้าจะกล้ารั้งเจ้าไว้อีกหรือ? อีกอย่างต่อให้รั้งไว้ก็รั้งไม่อยู่”

ซ่งเฟิ่งซานกับหลิ่วเชี่ยนหันมามองหน้ากันเอง

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูก็ยิ่งแอบกลืนน้ำลาย

ตอนที่เฉินผิงอันเดินสวนไหล่กับผู้เฒ่าคนเฝ้าประตู เขาก็หยุดเท้า ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยิ้มกล่าวว่า “เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าสนิทกับหมู่บ้านของพวกเจ้ามาก คราวหน้าห้ามขวางข้าล่ะ ไม่อย่างนั้นข้าจะปีนกำแพงเข้าไปเลย”

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ได้แต่กุมหมัดเอ่ยขออภัย “คุณชายเฉิน ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่ตาถั่ว ล่วงเกินแล้ว”

เฉินผิงอันแหงนหน้ายกมือทำท่ากระดกเหล้า

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูรู้ใจ ยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน

ซ่งอวี่เซาลากเฉินผิงอันเดินไปด้วยกัน

ซ่งเฟิ่งซานไม่ได้ตามไปทันที แต่ถามเบาๆ ว่า “เหล่าฉี เกิดอะไรขึ้น?”

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูจึงเล่าเรื่องตลกก่อนหน้านี้ให้เขาฟังไปรอบหนึ่ง แม้จะเรื่องน่าอายของตัวเอง แต่เขาก็เล่าอย่างเห็นเป็นเรื่องตลกอย่างอารมณ์ดี

ซ่งเฟิ่งซานยื่นนิ้วข้างหนึ่งมานวดคลึงหว่างคิ้วของตัวเอง

หลิ่วเชี่ยนยิ้มกล่าว “นี่ก็ดีมากไม่ใช่หรือ หากแพร่ออกไปย่อมเป็นเรื่องดีงามใหญ่เทียมฟ้าที่คนในยุทธภพจะเล่าลือกัน”

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูหัวเราะกว้างอย่างชอบใจ

ที่ห้องโถงของหมู่บ้าน ทุกคนพากันนั่งลง หลิ่วเชี่ยนรินน้ำชาให้ทุกคนด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันดื่มชาไปหนึ่งอึกก็ถามอย่างใคร่รู้ “ปีนั้นฉู่หาวยังไม่ตายหรือ?”

ซ่งเฟิ่งซานส่ายหน้า “ตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพียงแต่ถูกหานหยวนซ่านเข้ามาสวมรอยตัวตนของเขาแทน หานหยวนซ่านเชี่ยวชาญด้านการแปลงโฉมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง

สี่พิฆาตแห่งแคว้นซูสุ่ยในช่วงแรกเริ่มสุดได้แก่ผีสาววัดโบราณเหวยเว่ย หานหยวนซ่าน บุคคลแห่งลัทธิมารที่ถูกโจวจวี่นักปราชญ์แห่งสำนักศึกษาฆ่าตายอยู่ในหมู่บ้านวารีกระบี่ สุดท้ายอยู่ห่างไกลไปสุดขอบฟ้า อยู่ใกล้แค่เพียงเบื้องหน้า ก็คือภรรยาของซ่งเฟิ่งซาน หลิ่วเชี่ยน

สิ่งที่หลิ่วเชี่ยนทำไปก็เพื่อผลักชื่อเสียงในยุทธภพของสามีอย่างซ่งเฟิ่งซานและหมู่บ้านวารีกระบี่ให้สูงขึ้นไป

ส่วนคุณชายสกุลหานจากภูเขาเสี่ยวฉงอย่างหานหยวนซ่านผู้นั้น กลับมีจิตใจทะเยอทะยาน กลอุบายลึกล้ำ วิธีการที่เลือกใช้ก็ยิ่งไม่เลว เขาคิดจะควบคุมสถานการณ์ของยุทธภพในหนึ่งแคว้น พาตัวเข้าสู่ใจกลางของราชสำนัก จากนั้นหานหยวนซ่านคิดจะทำอะไรอีก ก็เกินกว่าที่ใครจะคาดการณ์ได้

หานหยวนซ่านสามารถทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้สำเร็จโดยการใช้รูปโฉมและตัวตนของฉู่หาว ใช้ฝ่ามือหนึ่งปิดแผ่นฟ้าอยู่ในราชสำนักและยุทธภพของแคว้นซูสุ่ย เฉินผิงอันไม่แปลกใจ แต่ในเมื่อซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยนสองสามีภรรยากุมจุดอ่อนที่ใหญ่ขนาดนี้ของเขาไว้ได้ หานหยวนซ่านไม่ใช่ฉู่หาวตัวจริง แต่เขากลับยังบีบบังคับหมู่บ้านวารีกระบี่ถึงเพียงนี้ เหตุใดหมู่บ้านวารีกระบี่ถึงไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืนเลย? หานหยวนซ่านไม่กลัวสักนิดเลยหรือว่าหมู่บ้านวารีกระบี่จะฉีกหน้า เปิดโปงตัวตนของเขา?

ซ่งเฟิ่งซานคล้ายจะมองทะลุมาเห็นความสงสัยของเฉินผิงอัน จึงอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “ก็แค่แสดงให้คนอื่นดูเท่านั้น เป็นการค้าขายอย่างหนึ่ง ‘ฉู่หาว’ ต้องการอาศัยสิ่งนี้มาปูทางให้แก่หมู่บ้านเหิงเตาที่สวามิภักดิ์ต่อเขา รวบรวมยุทธภพให้เป็นหนึ่ง หานหยวนซ่านรู้ว่าหมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเราไม่มีทางจะไปเป็นสุนัขรับใช้ของราชสำนัก จึงเริ่มทุ่มเทแรงกายไปประคับประคองหวังอี้หรานแห่งหมู่บ้านเหิงเตาขึ้นมาแทน สำหรับเรื่องนี้พวกเราไม่มีความเห็นแตกต่าง ตำแหน่งสำนักใหญ่อันดับหนึ่งของยุทธภพ หวังอี้หรานสนใจ แต่พวกเราไม่สนใจ พวกเราจึงอยากจะขอยืมใช้โอกาสนี้หาสถานที่ที่น้ำใสภูเขาเขียวสักแห่งหนึ่ง ไปใช้ชีวิตอยู่ให้ห่างจากความวุ่นวายในโลกมนุษย์ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน หานหยวนซ่านจะใช้นามของราชสำนักแคว้นซูสุ่ยแบ่งพื้นที่แห่งหนึ่งบนภูเขามาสร้างหมู่บ้านแห่งใหม่ให้กับพวกเรา ที่นั่นคือพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่ท่านปู่หมายตาไว้นานแล้ว หานหยวนซ่านจะพยายามเอาตำแหน่งแม่ย่าลำคลองมาให้ภรรยาของข้าให้ได้ ส่วนข้าจะปฏิเสธงานเลี้ยงรับรองทั้งหมด ไม่ไปมาหาสู่กับคนในยุทธภพ ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี”

หลิ่วเชี่ยนไม่ใช่สตรีทั่วไป สถานะและสติปัญญาของนางล้วนไม่ธรรมดา

ภูเขาเขียวยังอยู่ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีฟืน

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ถอยไปหนึ่งก้าว ฟ้ากว้างใหญ่ มหาสมุทรไพศาล พี่ใหญ่ซ่งสามารถตั้งใจฝึกวิชากระบี่ อาซ้อก็ได้มีอนาคตที่ยืนยาว อีกทั้งพื้นที่กิจการของบรรพบุรุษยังถูกเลือกให้เป็นที่ตั้งศาลเทพภูเขา ก็ถือว่าเป็นการสร้างบุญกุศลที่ไม่เล็ก จะมีร่มเงาบรรพบุรุษคอยปกป้องลูกหลาน แต่มีเรื่องเดียวที่ต้องระวังก็คือผู้อาวุโสกับพี่ใหญ่ซ่ง ในอนาคตพวกท่านต้องคอยมาดูที่นี่บ่อยๆ หากควันธูปของเทพภูเขาคนใหม่ไม่สะอาดก็จะต้องตัดขาดแต่โดยเร็ว แน่นอนว่านั่นคือผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว”

ซ่งอวี่เซากับซ่งเฟิ่งซานหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน

เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ คิดดูแล้วตนคงจะปากมากเกินไป แล้วก็จริง ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสซ่งก็ดี หรือซ่งเฟิ่งซานก็ช่าง อันที่จริงล้วนคุ้นเคยกับเรื่องบนภูเขาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้อาวุโสที่ยิ่งชอบสะพายกระบี่ท่องเที่ยวไปทั่วทิศ ไม่อย่างนั้นตอนนั้นก็คงไม่สามารถซื้อกระบี่ประจำกายจากท่าเรือตระกูลเซียนภูเขาตี้หลงมาให้ซ่งเฟิ่งซานได้

เฉินผิงอันจึงบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ควรรีบร้อน ยังต้องอยู่ที่หมู่บ้านบนภูเขานี้ไปอีกหลายวัน

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัวของตระกูลซ่งเอง อันที่จริงเฉินผิงอันเพิ่งจะมาถึง จึงไม่อาจพูดหรือถามอะไรได้มากนัก

ในหัวใจของเฉินผิงอัน ไม่ว่าคนอื่นจะเดินท่องอยู่ในยุทธภพอย่างไร แต่ยุทธภพของเขาก็ไม่ควรจะกลายเป็นว่าวันนี้ข้าต่อยหนึ่งหมัดให้ซูหลางถอยไป พรุ่งนี้กินหม้อไฟกับซ่งอวี่เซา วันมะรืนก็ขี่กระบี่กลับทางเหนือ โดยที่ช่วงเวลาระหว่างนี้ไม่คิดใคร่ครวญถึงเรื่องใดทั้งนั้น ราวกับว่าตั้งแต่ต้นจนจบมีเพียงการออกหมัดที่เร็วที่สุด ขี่กระบี่ที่เร็วที่สุด ดื่มสุราได้สาแก่ใจที่สุด กินหม้อไฟอย่างเต็มคราบที่สุด เรียนวิชาหมัดและวิชากระบี่จนพอจะประสบความสำเร็จแล้ว ชีวิตคนก็ควรจะง่ายดายเช่นนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งประหยัดแรงกายประหยัดแรงใจ

ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ บางทีเมื่อไปถึงอุตรกุรุทวีปที่ไม่คุ้นเคย อาจจะแตกต่างออกไป เพราะคงจะไม่ได้คิดพิจารณาอะไรมากขนาดนั้น

ดังนั้นหลังจากพบหน้ากัน จึงได้แต่ถามเรื่องของคนอื่นเพื่อเอามาคิดวิเคราะห์เรื่องบางอย่างของตระกูลซ่งในทางอ้อม

แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่เฉินผิงอันรู้แน่ชัดดี สามารถตัดใจทิ้งกิจการบรรพบุรุษอันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านบนภูเขานี้ไปได้ ความกล้าหาญนี้ไม่ถือว่าน้อย และเรื่องนี้ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสซ่งยังเต็มใจตอบตกลง นี่ก็ยิ่งไม่ง่ายดาย

สำหรับคนในยุทธภพรุ่นผู้อาวุโส ศักดิ์ศรีนั้นใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า ผู้อาวุโสซ่งก็คือคนเก่าแกในยุทธภพ อันที่จริงหวังอี้หรานก็นับว่าใช่เหมือนกัน แต่ซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวของแคว้นซงซีกลับไม่ถือว่าใช่

อย่างอื่นไม่พูดถึง พูดถึงแค่การที่ซูหลางปรากฏตัวครั้งนี้ การที่เขาออกกระบี่ในเมืองเล็กก็ถือว่าไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์อย่างยิ่ง

เพราะตามกฎเกณฑ์เก่าแก่ที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นของยุทธภพ ในเมื่ออริยะกระบี่ซ่งแห่งแคว้นซูสุ่ยปฏิเสธการท้ารบของซูหลางไปอย่างเปิดเผยแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้ใช้ข้ออ้างหรือเหตุผลใดมาปฏิเสธ ยิ่งไม่ได้เหลือที่ว่างให้พูดคุยอย่างการเอ่ยถ้อยคำทำนองว่าขอยืดระยะเวลาไปอีกสองสามปีแล้วค่อยต่อสู้กัน อันที่จริงนี่ก็เท่ากับว่าซ่งอวี่เซาเป็นฝ่ายยกตำแหน่งอันดับหนึ่งแห่งเวทกระบี่ให้กับคนอื่นไปแล้ว นี่ก็คล้ายคลึงกับการเล่นหมากล้อมที่ใครเป็นผู้โยนเม็ดหมากก็เท่ากับว่ายอมแพ้ เพียงแต่ไม่ได้พูดสามคำว่า ‘ข้ายอมแพ้’ ออกมาก็เท่านั้น สำหรับพวกคนเก่าแก่ในยุทธภพอย่างซ่งอวี่เซานี้ สองมือที่ยกประคองส่งไปให้ นอกจากจะเป็นสถานะและยศแล้ว ยังมีชื่อเสียงและหน้าตาที่สั่งสมมาทั้งชีวิตอีกด้วย สามารถพูดว่ายกชีวิตครึ่งหนึ่งออกไปให้อีกฝ่ายแล้ว

ซ่งอวี่เซากลับทำเพียงแค่ยิ้มมองเฉินผิงอัน เจ้าเด็กน้อยในปีนั้น ตอนนี้ใช้ได้แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าคอแข็งบ้างแล้วหรือยัง กินเผ็ดได้มากขึ้นแล้วหรือไม่? ยังเชื่อถ้อยคำที่บอกว่าดื่มเหล้าแก้เผ็ดของเขาอยู่อีกไหม? ผู้เฒ่าสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่า ปีนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันได้พบเจอกับแม่นางที่ตัวเองคิดถึงคำนึงหาทุกเมื่อเชื่อวันแล้ว สรุปว่าเขาทำสำเร็จหรือไม่? หรือว่าเขาจะปากอีกา อีกฝ่ายจึงปฏิเสธเฉินผิงอันมาด้วยประโยคว่า ‘เจ้าเป็นคนดี’ จริงๆ ?

ฟังคำอธิบายที่นับว่ายังพอสมเหตุสมผลของซ่งเฟิ่งซานแล้ว เฉินผิงอันก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาอีก จึงอดถามไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นซูหลางล่ะเป็นมาอย่างไรกันแน่? ข้าดูจากพลังอำนาจที่เขาเตรียมจะออกกระบี่ในเมืองเล็กแล้ว เป็นของจริงแท้แน่นอน เขาคิดจะตัดสินเป็นตายกับผู้อาวุโสแน่ๆ อีกทั้งยังไม่ใช่แค่แบ่งแยกให้รู้ว่าวิชากระบี่ใครสูงต่ำกว่ากันเท่านั้นด้วย”

คราวนี้เป็นซ่งอวี่เซาที่ไขข้อสงสัยให้เฉินผิงอันฟังด้วยตัวเอง “เทพกระบี่แคว้นไฉ่อีที่ข้าเคารพนับถือที่สุดในปีนั้น เกรงว่าก็คงมีขอบเขตเดียวกับซูหลางในทุกวันนี้ ซูหลางมีพรสวรรค์สูง หลังจากฝ่าทะลุขอบเขตแล้วก็อยากจะหาหินลับกระบี่สักก้อนมาช่วยทำให้ขอบเขตของเขามั่นคง เขามองหาไปทั่วหลายสิบแคว้น และข้าซ่งอวี่เซาก็เป็นผู้ใช้กระบี่พอดี ชื่อเสียงก็มากพอ อีกทั้งยังด้อยกว่าเขาซูหลางหนึ่งขอบเขต…ถือว่าครึ่งขอบเขตแล้วกัน แน่นอนว่าข้าย่อมเป็นตัวเลือกหินลับมีดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา”

อันที่จริงซ่งอวี่เซาไม่ได้รู้สึกอยากดื่มชาอะไรนัก เพียงแต่ว่าทุกวันนี้เขาดื่มเหล้าน้อยลงแล้ว มีเพียงช่วงเทศกาลสำคัญเท่านั้นที่จะเป็นข้อยกเว้น หลานชายและหลานสะใภ้คอยควบคุมเขาราวกับป้องกันโจรอย่างไรอย่างนั้น ช่วยไม่ได้ ก็เลยได้แต่ดื่มชาแล้วคิดว่ามันคือสุราที่รสชาติจืดจางที่สุด ก็ยังดีกว่าไม่ได้ดื่มอะไรเลย

ผู้เฒ่าเอ่ยต่อว่า “เพียงแต่ซูหลางก่อเรื่องครั้งนี้ทำให้ข้ารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากรับปากว่าจะต่อสู้กับเขา ไม่ว่าจะแพ้ก็ดีหรือตายก็ช่าง ล้วนไม่สำคัญ แต่กลับจะเป็นการทำลายการค้าระหว่างพวกเรากับหานหยวนซ่าน”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ซ่งอวี่เซาก็ดื่มชาหนึ่งอึก หลิ่วเชี่ยนจึงรีบลุกขึ้นเติมชาให้เขาอีกครั้งทันที

ซ่งอวี่เซาอดบ่นไม่ได้ “ต่อให้ดื่มชาไปสักกี่ตำลึงก็ยังไม่มีรสชาติของสุราอยู่ดี ตอนนี้เฉินผิงอันมาแล้ว ใช้ชารับรองแขก ไม่ค่อยดีกระมัง”

หลิ่วเชี่ยนกำลังจะนั่งลง แต่ในเมื่อท่านปู่เอ่ยถาม นางจึงยืนต่อแล้วยิ้มบางๆ ตอบว่า “ท่านปู่ เรื่องนี้เฟิ่งซานเป็นคนตัดสินใจ”

ซ่งเฟิ่งซานพูดหน้าเคร่ง “เทศกาลไหว้พระจันทร์ของปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเริ่มฤดูหนาวหรือปีใหม่น้อย ท่านปู่ก็ล้วนดื่มเหล้าไปครบจำนวนแล้ว”

ซ่งอวี่เซาถอนหายใจ แล้วก็ไม่ได้ยืนกรานต่อ

เฉินผิงอันรู้สึกดีใจไม่น้อย มองออกว่าตอนนี้ปู่หลานสองคนสนิทสนมกลมเกลียวกันดียิ่ง ไม่ได้ต่างคนต่างมีเงื่อนตายที่เทพเซียนก็ยากจะคลี่คลายอยู่ในใจเหมือนในอดีตอีก

ซ่งอวี่เซาพูดหัวข้อก่อนหน้านี้ต่ออีกครั้ง สีหน้าเขาค่อนข้างจะเย้ยหยันตัวเอง “ข้าแพ้แล้ว ด้วยสันดานของคนในยุทธภพแคว้นซูสุ่ยทุกวันนี้ย่อมต้องมีคนนับไม่ถ้วนที่พากันซ้ำเติม วันหน้าต่อให้ย้ายบ้านก็คงไม่หยุดกันง่ายๆ ใครก็อยากจะมาเหยียบย่ำพวกเราสักที อย่างน้อยก็ต้องถ่มน้ำลายใส่สักหลายๆ ครั้ง หากข้าตายไป ไม่แน่ว่าหานหยวนซ่านอาจถึงขั้นกลับคำ ปล่อยให้หวังอี้หรานฮุบกลืนหมู่บ้านวารีกระบี่ไปโดยตรงเลยก็เป็นได้ อริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยอะไรกัน ตอนนี้ไม่มีค่าแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง น่าเสียดายก็แต่การฉายประกายคมกริบของซูหลางกลายเป็นความว่างเปล่า จึงคิดอยากจะคว้าอะไรที่จับต้องได้จริง นี่เป็นหลักการทั่วไปของมนุษย์ เพียงแค่ไม่ค่อยสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ในยุทธภพของคนรุ่นเก่าเท่าใดนัก แต่ตอนนี้จะยังมาพูดกฎเกณฑ์เก่าแก่อะไรกันอีกเล่า มีแต่จะเป็นเรื่องชวนให้ขบขันก็เท่านั้น”

ซ่งเฟิ่งซานทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป

ซ่งอวี่เซาโบกมือ ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องคิดมาก คิดเสียว่าแค่บ่นให้เฉินผิงอันฟังไม่กี่คำเท่านั้น ปู่อย่างข้ามีนิสัยอย่างไร เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ? หากยังวางหัวโขนที่ว่างเปล่าพวกนี้ไม่ลงจริงๆ ก็คงไม่มีทางรับปากตกลงทำการค้ากับหานหยวนซ่าน พูดไปพูดมาก็ยังเป็นเพราะฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ ไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดนั้นไปได้ตลอดชีวิต นี่ถึงได้เปิดโอกาสให้แก่ซูหลางที่ตามมาภายหลังพุ่งแซงหน้าไป คนเรียนกระบี่ ใครเล่าจะไม่อยากครอบครองความเป็นหนึ่งเดียว ข้างกายไร้คนยืนเคียงบ่า?”

ซ่งอวี่เซาเป็นฝ่ายเล่าเรื่องบางส่วนเกี่ยวกับซูหลางให้ฟัง แล้วจากนั้นก็เอ่ยถ้อยคำแสดงความเสียดายที่ไร้คนรับฟังให้แก่ยุทธภพที่ตัวเองอยู่ “ยุทธภพของหลายสิบแคว้นในอดีต ผู้อาวุโสเทพกระบี่แคว้นไฉ่อีมีคุณธรรมและชื่อเสียงสูงสุด ต่อให้หลินกูซานแห่งแคว้นกู่อวี๋จะไม่รู้จักทำตัวเป็นคนที่ดี ต่อให้ข้าซ่งอวี่เซาไม่คู่ควรกับตำแหน่ง ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศ ต่อให้ซูหลางจะฉายประกายคมกริบทั่วร่าง มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ยาวไกล ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในยุทธภพก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา ไม่ว่าเรียนรู้จากใครก็ล้วนมีเส้นทางให้เดิน ตอนนี้เทพกระบี่ผู้เฒ่าตายไปแล้ว หลินกูซานก็ตายไปแล้ว ข้าก็เหมือนคนตายไปแล้วครึ่งตัว จึงเหลือแค่ซูหลางเท่านั้น ซูหลางอยากจะขึ้นครองตำแหน่ง ขอแค่วิชากระบี่ของเขาสูงได้ถึงขั้นนั้นก็ไม่มีใครขัดขวางเอาไว้ได้ ข้ากลัวก็แต่ว่าเขาซูหลางจะเป็นตัวริเริ่มสิ่งที่ไม่ดี ในสมองของคนหนุ่มสาวรุ่นหลังที่ฝึกกระบี่อยู่ในยุทธภพจะขาดแรงฮึดเฮือกนั้นไป รู้สึกเพียงวิชากระบี่ของข้าสูงแล้ว กฎเกณฑ์จะนับเป็นผายลมอะไรได้ อยากฆ่าใครก็ฆ่า นี่ก็เหมือน…เจ้าเฉินผิงอัน หรือซ่งเฟิ่งซานที่ตรงเอวรัดเงินหมื่นกว้าน ร่ำรวยเป็นเศรษฐีอยู่ในพื้นที่หนึ่ง ขอแค่ยินดีก็สามารถไปทุ่มเงินก้อนใหญ่ที่หอโคมเขียวได้ ราชินีบุปผาที่ไม่ว่าจะงดงามหรือสูงส่งเท่าไหร่ก็สามารถดึงมาไว้ในอ้อมกอด แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าบนเส้นทางที่พวกเจ้าก้าวเดิน เมื่อพบเจอกับสตรีที่ทำอาชีพสุจริตแล้วเจ้าจะสามารถใช้เงินไปหมิ่นเกียรติ ใช้อำนาจไปรังแกพวกนางได้…”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าไม่เคยไปหอโคมเขียว”

หางตาเหลือบไปเห็นว่าหลิ่วเชี่ยนก้มหน้าดื่มชา มุมปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ซ่งเฟิ่งซานก็รีบพูดคล้อยตามทันที “ข้าเองก็ไม่เคยไป ไม่เคยไปเลยสักครั้ง!”

ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด ผลักคนลงหลุมโดยไม่ปรึกษาหารือกันเลยสักนิด ซ่งอวี่เซาหันหน้ากลับมา ยิ้มตาหยีเอ่ยเตือนหลิ่วเชี่ยนว่า “หากบุรุษคนหนึ่งไม่เคยไปหอโคมเขียวจริงๆ หรือไม่มีความคิดนี้อยู่เลย จะไม่มีทางพูดจาหนักแน่นได้ขนาดนี้ มีแต่จะยิ้มแล้วปล่อยผ่านไป เห็นเป็นเรื่องสบายๆ”

หลิ่วเชี่ยนพยักหน้ารับเบาๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เหมือนจะจริงนะเจ้าคะ”

เรื่องเล็กๆ เกี่ยวกับฝักกระบี่ไม้ไผ่

เฉินผิงอันกับซ่งเฟิ่งซานหันมามองหน้ากัน เพียงแต่ว่าในสายตาของซ่งเฟิ่งซานนอกจากจะมีความเศร้าและเหมือนได้รับความอยุติธรรมแล้ว ยังมีคำบ่นเพิ่มมาด้วย ล้วนเป็นเจ้าเฉินผิงอันที่เปิดประเด็น!

ยังมีหน้ามาโทษข้าอีกหรือ? เจ้าซ่งเฟิ่งซานอยู่ในยุทธภพมาตั้งกี่ปีแล้ว ข้าเฉินผิงอันเพิ่งจะอยู่มากี่ปีเอง? เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ พูดแค่ครึ่งประโยคที่เหลือว่า “เอาเป็นว่าข้าไม่เคยไปจริงๆ ก็แล้วกัน”

ซ่งเฟิ่งซานอึ้งตะลึงอยู่กับที่

ไอ้หมอนี่ช่างร้ายนัก!

หลิ่วเชี่ยนปิดปากหัวเราะคิก

ซ่งอวี่เซาหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ดูท่าหลายปีที่ผ่านมานี้ เด็กน้อยอย่างเจ้าจะอยู่ในยุทธภพมาอย่างไม่เสียเปล่าจริงๆ”

ซ่งเฟิ่งซานส่ายหน้าไม่หยุด หันไปพูดกับภรรยาว่า “เอาสุรามาดีกว่า ไม่อย่างนั้นในใจข้าคงอัดอั้นแย่”

หลิ่วเชี่ยนจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบสุรา

ซ่งอวี่เซาที่ได้โอกาส เวลาพูดเสียงก็ดังขึ้นอีกหลายส่วน

ซ่งเฟิ่งซานดื่มไม่มาก หลิ่วเชี่ยนก็ยิ่งแค่ดื่มจอกเดียวพอเป็นพิธีเท่านั้น

สุราดีสองไหที่ทางหมู่บ้านหมักเองและเก็บไว้ใต้ดินมานานถึงห้าปีกว่าล้วนถูกซ่งอวี่เซากับเฉินผิงอันดื่มกันไปหมด

พอได้ยินว่าเฉินผิงอันจะจากไปวันมะรืน ซ่งอวี่เซาก็โบกมือทันใด “ไปเอามาอีกสองไห ขอแค่เจ้าเด็กน้อยนี่ทำให้ข้าล้มคว่ำได้ อย่าว่าแต่วันมะรืน ข้าจะอนุญาตให้เขาไสหัวไปทันทีที่ดื่มหมดเลยก็ยังได้!”

หลิ่วเชี่ยนลุกขึ้นเดินไปหยิบเหล้ามาอย่างไม่ลังเล

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยไปวันมะเรื่องแล้วกัน ผู้อาวุโสซ่ง ข้ามีธุระจริงๆ จะต้องรีบไปให้ทันเรือข้ามทวีปที่เดินทางไปยังอุตรกุรุทวีป หากพลาดไป อย่างน้อยก็ต้องรออีกเดือนกว่าเลยทีเดียว”

ซ่งอวี่เซาถลึงตาใส่ “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยเล่า? อยู่ต่ออีกแค่วันสองวันไม่ได้เลยหรือไง? เป็นข้าซ่งอวี่เซาที่หน้าเล็กเกินไป หรือเพราะตอนนี้เจ้าเฉินผิงอันหน้าใหญ่เกินไปกันแน่?”

เฉินผิงอันพึมพำ “ต่างก็พูดกันว่าการชักชวนให้ดื่มเหล้าบนโต๊ะสุราทำให้เห็นคุณธรรมในยุทธภพได้มากที่สุด”

ซ่งอวี่เซาตบโต๊ะ “ดื่มเหล้าของเจ้าไปเลย! หยุมหยิมจู้จี้เสียจริง ข้าว่าแม่นางคนนั้น เว้นเสียจากนางจะสายตาไม่ดีแล้ว ก็คงไม่มีทางชอบบุรุษที่แค่ดื่มเหล้ายังอืดอาดอย่างเจ้าได้แน่นอน! ทำไม ไม่มีหวังแล้วล่ะสิ?”

พอได้ยินประโยคนี้ เฉินผิงอันก็อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน ดวงตาเขาเป็นประกายระยิบระยับ เปี่ยมไปด้วยความห้าวเหิมมั่นใจ เพียงแต่ว่าเวลาพูดลิ้นกลับพันกันเล็กน้อย “ดื่มเหล้าก็ดื่มเหล้าสิ ข้าจะกลัวท่านหรือ? เรื่องนี้ ผู้อาวุโสซ่งท่านเล่นงานข้าเสียจนอนาถจริงๆ ปีนั้นเพราะประโยคนั้นของท่าน ทำให้ข้ากลัวแทบตาย แต่ยังดีที่มันไม่เป็นจริงเลยสักนิด…มาๆๆ ดื่มชามนี้หมดก่อนค่อยว่ากัน บอกตามตรง ท่านผู้อาวุโสดื่มเหล้าไม่เก่งเหมือนในอดีตแล้วนะ นี่เพิ่งจะกี่ถ้วยเอง ท่านกลับหน้าแดงเสียแล้ว ราวกับทาชาดมาอย่างไรอย่างนั้น…”

ซ่งอวี่เซาเป่าหนวดถลึงตา “แน่จริงเวลาดื่มเหล้าก็อย่ามือสั่นสิ ถือถ้วยให้มั่นคงหน่อย ถ้ากล้าทำมือสั่นจนเหล้าหกหนึ่งหยด มิตรภาพในยุทธภพก็จะลดน้อยลงไปหนึ่งส่วน!”

ซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยนแอบหัวเราะขำ ยังอ่อนด้อยอยู่มากนัก ความสามารถในการยุให้ดื่มบนโต๊ะเหล้าของคนแก่นั้น มีวิธีการสารพัดรูปแบบ ป้องกันอย่างไรก็ป้องกันไม่อยู่

หนึ่งคนแก่หนึ่งคนหนุ่ม เรียกได้ว่าดื่มกันจนฟ้ามืดดินมัว

สุดท้ายภายใต้สายตาจับจ้องของซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยน คนทั้งสองก็ถอดรองเท้าหุ้มแข้ง ยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้

ยังดีที่มีซ่งเฟิ่งซานคอยคุมอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเอาเหล้ามาเพิ่มให้มากกว่านี้ คนทั้งสองถึงไม่ได้ดื่มกันอย่างเต็มคราบ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าคงจะดื่มกันจนอาเจียน อาเจียนแล้วก็กลับไปดื่มต่ออีกครั้งเป็นแน่

เฉินผิงอันยังคงไปพักอยู่ในเรือนที่เคยมาพักในปีนั้น ค่อนข้างใกล้กับศาลาภูเขาแม่น้ำและน้ำตก

หัวถึงหมอนก็หลับทันที

ซ่งอวี่เซาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เขาเดินโงนเงนกลับไปยังที่พัก เพียงไม่นานก็ส่งเสียงกรนดังสนั่นราวเสียงฟ้าผ่า

เฉินผิงอันเมาจริงๆ ตอนนอนหลับตาอยู่บนเตียงเขาพยายามจะฝืนรักษาสติเสี้ยวหนึ่งเอาไว้

จิตใจของผู้อาวุโสซ่งคล้ายจะเกิดปัญหา

ต่อให้เป็นกังวลกับอนาคตของลูกหลานจนจำต้องตกปากรับคำหานหยวนซ่าน และด้วยสถานการณ์บังคับจึงจำเป็นต้องปฏิเสธการประลองกับซูหลางไปจริงๆ แต่ด้วยนิสัยของอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแคว้นซูสุ่ยตอนที่พบเจอกันเมื่อคราแรกแล้ว ก็ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ และวันนี้ที่เขาได้พบเจอกับเฉินผิงอันก็ยิ่งไม่ควรมีสภาพจิตใจเช่นนี้เด็ดขาด

ไม่ควรจะยอมรับความแก่ชรา ยอมรับชะตากรรมเช่นนั้น

แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้ถามออกไปตรงๆ ต่อให้ดื่มเหล้าไปมากแค่ไหน เขาก็ไม่ได้ถาม

คนเราไม่ใช่ว่าสนิทกันแล้ว พอดื่มเหล้าจนเมามาย แล้วจะสามารถพูดจาหรือกระทำอะไรอย่างไร้ความเกรงใจได้

เพราะถ้อยคำที่ไร้เจตนาของคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมที่สุดจะต้องกลายมาเป็นปมในใจไม่มากก็น้อยไปตลอดชีวิต

ดื่มมาจนถึงช่วงสุดท้าย

จู่ๆ ซ่งอวี่เซาก็ชำเลืองตามองงอบที่วางไว้บนโต๊ะ จากนั้นค่อยมองกระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน ถามว่า “สะพายกระบี่เล่มนี้ ดี?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ดี”

ซ่งอวี่เซายิ้มกล่าว “งั้นก็ดี”

เฉินผิงอันมึนงง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเขาดันเรอขึ้นมาเสียก่อน จึงไม่มีเวลามาสนใจ

ซ่งเฟิ่งซานกับหลิ่วเชี่ยนกลับมีสีหน้าหงอยซึม เพียงแต่ว่าปกปิดได้ดี เพราะเพียงแค่แวบเดียวสีหน้านั้นก็หายไป

เฉินผิงอันดื่มจนปวดหัวมากจริงๆ สุดท้ายก็แค่พึมพำแล้วหลับลึกไป

มีเหล้าดื่มวันนี้ก็เมาวันนี้ เมาจนล้มข้าก็คือเทพเซียน ความกลัดกลุ้มของพรุ่งนี้ก็ค่อยกลุ้มพรุ่งนี้ ต่อให้กลัดกลุ้มเป็นทุกข์เพียงใดก็ยังมีเหล้าให้ดื่ม

……

เช้าตรู่ เฉินผิงอันลืมตาตื่นมาก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็เดินเลียบทางเส้นเล็กที่เงียบสงบไปยังน้ำตก

แน่นอนว่าไม่ได้ไปฝึกหมัด แต่แอบไปดูตัวอักษรที่ปีนั้นเขาแอบสลักไว้บนก้อนหิน

ผลคือพอไปถึงศาลาภูเขาแม่น้ำ กลับได้พบซ่งเฟิ่งซาน ไม่ใช่ซ่งอวี่เซา

เฉินผิงอันก้าวเร็วๆ ตรงไปหา ซ่งเฟิ่งซานลุกขึ้นยืนต้อนรับ

ซ่งเฟิ่งซานยิ้มกล่าว “นานๆ ทีท่านปู่จะได้ดื่มเหล้าอย่างเต็มที่เช่นนี้ เขายังไม่ตื่นเลย”

เฉินผิงอันรู้สึกผิดเล็กน้อย เขาเงียบงันไป กวาดตามองไปรอบด้าน “จะต้องย้ายไปจากที่นี่ ไม่เสียดายจริงๆ หรือ?”

ซ่งเฟิ่งซานอืมรับหนึ่งที “แน่นอนว่าต้องรู้สึกอาลัยอาวรณ์ เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เป็นความคิดของท่านปู่ เขาเป็นคนส่งคนไปหาหานหยวนซ่านด้วยตัวเอง อันที่จริงตอนนั้นข้ากับหลิ่วเชี่ยนไม่ได้อยากจะตอบตกลงสักเท่าไหร่ ความคิดตอนแรกของพวกเราก็คือถอยหนึ่งก้าว อย่างมากสุดก็ให้หวังอี้หรานที่ท่านปู่เองก็ไม่ดูแคลนผู้นั้นชนะในการประลองดาบและกระบี่ไปสักครั้ง จะได้ผลักให้หวังอี้หรานขึ้นเป็นผู้นำแห่งยุทธภพแคว้นซูสุ่ยได้อย่างราบรื่น หมู่บ้านวารีกระบี่จะไม่ย้ายไปไหนเด็ดขาด ถึงอย่างไรหมู่บ้านแห่งนี้ก็เป็นชีวิตและจิตใจทั้งชีวิตของท่านปู่ แต่ท่านปู่ไม่ยอม บอกว่าหมู่บ้านตาย แต่คนมีชีวิตอยู่ จะยังมีอะไรที่วางไม่ลงอีก นิสัยของท่านปู่ เจ้าเองก็รู้ดี ดื้อดึงยิ่งกว่าอะไร”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ผู้อาวุโสเป็นอย่างนี้จริง ไม่อย่างนั้นปีนั้นก็คงไม่มีทางไปขวางกองทัพทหารม้านับพันนับหมื่นของแคว้นซูสุ่ยเพียงลำพัง”

สำหรับเฉินผิงอันแล้ว

ซ่งอวี่เซา สำคัญอย่างยิ่ง

คนบางคนขอแค่เขายังอยู่ในยุทธภพ ทุกเรื่องที่เขาทำก็เหมือนในมือถือกาเหล้าอย่างยุทธภพนี้เอาไว้ เมื่อรินเหล้าให้คนอื่นหนึ่งจอก ในจอกก็จะเต็มไปด้วยความกล้าหาญองอาจ สามารถทำให้คนที่รับเอาถ้วยเหล้าไป แค่ต้องดื่มอย่างสบายใจก็พอ

ซ่งเฟิ่งซานยิ้มกล่าว “ท่านปู่ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ต่อยุทธภพในทุกวันนี้แม้แต่น้อยแล้ว มักจะบอกว่าทุกวันนี้จะหาสหายดื่มเหล้าสักคนยังยาก เขาถึงได้เป็นเช่นนี้”

ราวกับว่าเรื่องที่พูดคุยกันพาให้อารมณ์หนักอึ้งเกินไป เพียงไม่นานซ่งเฟิ่งซานก็เอ่ยสัพยอกว่า “เฉินผิงอัน ไม่ใช่ว่าถูกท่านปู่มอมเหล้าเจ้าครั้งนี้ แล้วคราวหน้าจะไม่กล้ามาดื่มเหล้าที่หมู่บ้านใหม่ของพวกเราอีกเล่า บอกตามตรง ก็ต้องโทษเจ้าด้วย จะพูดว่ารีบจากไปทำไมกัน ท่านปู่ของเราย่อมไม่มีทางถ่วงรั้งธุระสำคัญของเจ้าจริงๆ แต่อยู่บนโต๊ะเหล้านี่นะ คนแก่ก็มักจะเป็นเช่นนี้ แถมยังอยู่ต่อหน้าลูกหลานในบ้านตัวเองด้วย จะยอมลงให้ก็คงไม่ใช่เรื่อง จึงได้แต่ยุให้เจ้าดื่มแก้วแล้วแก้วเล่า”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องนี้ข้าเข้าใจ”

ซ่งเฟิ่งซานกล่าว “บอกตามตรง อยู่ดีๆ เมื่อคืนวานเหวยเว่ยก็ส่งกระบี่บินมาหาหลิ่วเชี่ยน แต่แค่ถามว่าตอนนี้เจ้าได้อยู่ในหมู่บ้านหรือไม่ ดูท่าแล้วหากตอบไปตามตรง นางก็คงจะมาที่นี่ทันที ข้าก็เลยบอกให้หลิ่วเชี่ยนแสร้งทำเป็นไม่ได้รับกระบี่บิน รอให้เจ้าไปจากหมู่บ้านเมื่อไหร่ค่อยตอบกลับไปตามจริงว่าเจ้าแค่มาดื่มเหล้ากับท่านปู่ของข้าเท่านั้น”

เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ยขอบคุณ

เมื่อคืนดื่มเหล้าเยอะเกินไป เฉินผิงอันจึงเล่าเรื่องการกลับมาพบกันอีกครั้งระหว่างเขากับเหวยเว่ยหนึ่งในสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยคร่าวๆ เพียงแต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องเทพภูเขาที่มาเยือนในภายหลัง

นั่นเป็นเรื่องเละเทะที่ต้องให้เขาเฉินผิงอันไปเก็บกวาดด้วยตัวเอง

ยกตัวอย่างเช่นหลังจากไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนภูเขาตี้หลงแล้ว ก็จะต้องหาโอกาสส่งกระบี่บินไปให้เว่ยป้อที่ภูเขาพีอวิ๋น สอบถามถึงระดับความใหญ่เล็กของเรื่องนี้ รวมไปถึงปฏิกิริยาตอบสนองของขุนนางต้าหลีที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในพื้นที่และราชสำนักในท้องถิ่นภายใต้สถานการณ์ที่ปกติทั่วไป

เว่ยป้อคือองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลี แคว้นซูสุ่ยที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปซึ่งอยู่ห่างไกลออกมา แน่นอนว่าไม่ได้อยู่ในเขตการปกครองของขุนเขาเหนือ แล้วก็ด้วยเหตุนี้ เฉินผิงอันถึงได้ออกกระบี่อย่างเฉียบขาดขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องออมมือ เปลี่ยนไปใช้วิธีการที่คลุมเครือกว่านั้นจริงๆ

ซ่งเฟิ่งซานชี้ไปยังทิศทางของเมืองเล็ก “ซูหลางพาสาวใช้ผู้ถือกระบี่คนนั้นจากไปแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานจะต้องมีเรื่องเล่าลือที่น่าตะลึงแพร่ไปทั่วยุทธภพของหลายสิบแคว้น ซูหลางกับเซียนกระบี่บนภูเขาที่แท้จริงคนหนึ่งเปิดศึกตายต่อกัน แม้จะแพ้ แต่ก็แพ้อย่างสมเกียรติ”

เฉินผิงอันไม่ถือสาข่าวลือที่พูดกันไปปากต่อปากจนหาความจริงไม่ได้พวกนี้ เขาเพียงยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมถึงต้องมีบุคคลอย่างข้ารับใช้ถือกระบี่นี่อยู่ด้วย”

เมื่อก่อนเหนียงเนียงในวังก็เป็นเช่นนี้ ซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน

สีหน้าของซ่งเฟิ่งซานกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

เฉินผิงอันถาม “พี่ใหญ่ซ่งก็คิดแบบนี้เหมือนกันหรือ?”

ซ่งเฟิ่งซานพูดเสียงเบา “ก็แค่กล้าคิดอยู่ในใจเท่านั้น”

เฉินผิงอันคลึงปลายคางตัวเอง เดิมทีเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เพียงแต่เมื่อเขาลองมาใคร่ครวญในมุมของคนที่อยู่ในสถานการณ์ก็เข้าใจซ่งเฟิ่งซานขึ้นมาได้ทันที

ถึงอย่างไรเขาเฉินผิงอันก็ไม่มีทางนึกถึงเด็ดขาด

เฉินผิงอันพลันขมวดคิ้ว ซูหลางผู้นี้ตอแยไม่เลิกราจริงๆ

และเวลานี้เอง พ่อบ้านแซ่ฉู่ผู้นั้นก็เดินเร็วๆ เข้ามา หยุดยืนอยู่นอกศาลาหลังเล็ก ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวแอบมาเยือนเงียบๆ เขาอยู่นอกประตูใหญ่ บอกว่าจะขอพบคุณชายเฉิน ด้วยมีเรื่องอยากจะขอรบกวนคุณชายเฉินสักเรื่อง ในอนาคตเขาจะต้องตอบแทนอย่างงาม”

ซ่งเฟิ่งซานใคร่ครวญเพียงนิดก็เข้าใจจุดเชื่อมโยงของเรื่องราวได้ทันที จึงหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ได้คืบจะเอาศอกสองครั้งแล้วนะ”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม โบกมือกล่าวว่า “ไม่เป็นไร แค่มาเยือนก็ได้ดื่มสุราดีๆ ของหมู่บ้านไปตั้งมากมายขนาดนั้น”

ซ่งเฟิ่งซานส่ายหน้า “มันคนละเรื่องกัน!”

เฉินผิงอันเอ่ยหยอกเย้า “พี่ใหญ่ซ่ง ท่านห้ามข้าไม่อยู่หรอก”

ซ่งเฟิ่งซานยิ้มบางๆ “สิบซ่งเฟิ่งซานก็รั้งไม่อยู่ แต่เจ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ซ่งแล้ว…”

ไม่รอให้ซ่งเฟิ่งซานพูดจบ

“ไป!”

เฉินผิงอันกลับประกบสองนิ้วแล้ววาดลงบนฝักกระบี่เบาๆ แล้ว “จำไว้ว่าอย่าทำร้ายคนอื่น แต่เล่นใหญ่หน่อยก็ไม่มีปัญหา”

เจี้ยนเซียนออกจากฝัก

อ้อมออกไปจากศาลาภูเขาแม่น้ำ พุ่งทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ ทิ้งเส้นสีทองลอยแขวนไว้กลางอากาศ

ที่ใดที่ปราณกระบี่พุ่งผ่าน เสียงฟ้าคำรามสั่นสะเทือน ทะเลเมฆที่อยู่เหนือหมู่บ้านภูเขาถูกปราณกระบี่ปั่นป่วนจนแตกแยกเบาบาง

บางครั้งเส้นสีทองเส้นนั้นก็จะพุ่งขยับเข้าใกล้หมู่บ้านบนภูเขาอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ไม่นานก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าต่ออีกครั้ง

ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันก็เงยหน้ายิ้มกล่าว “กลับมาได้แล้ว”

กระบี่ยาวที่เหมือนมังกรพลิกตัวเล่นน้ำฝนบนทะเลเมฆราวกับได้รับคำสั่งจากเซียนจึงพุ่งดิ่งลงเบื้องล่างอย่างว่องไว แล้วสอดตัวกลับเข้าฝักไปอีกครั้ง

ซ่งเฟิ่งซานอึ้งงันพูดไม่ออก

เขารู้ว่าเฉินผิงอันในทุกวันนี้ต้องมีตบะวิถีวรยุทธที่น่าตะลึงมากเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถเล่นงานให้ซูหลางถอยร่นไปได้ แต่เขาซ่งเฟิ่งซานคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตบะของอีกฝ่ายจะทำให้คนตกใจตายได้แบบนี้

เฉินผิงอันพลิกข้อมือ ยื่นเหล้าอีกาครวญกาหนึ่งส่งไปให้ กลั้นยิ้มเอ่ยว่า “ดื่มเหล้าดีของหมู่บ้านไปแล้ว ก็ลองดื่มของข้าบ้าง ข้าไม่ใช่ผู้อาวุโสที่หลอกคนอื่นว่าดื่มเหล้าแก้เผ็ดได้ เหล้านี้สามารถใช้ดื่มดับกระหายได้จริงๆ”

ซ่งเฟิ่งซานเปิดผนึกดินออกดมกลิ่น “เหล้าหมักตระกูลเซียนที่แท้จริง นี่ต่างหากถึงจะเป็นสุราดี”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เหล้าแบบนี้ก็แค่อร่อยเท่านั้น ข้าไม่เคยหวนคำนึงถึง ดื่มได้ก็ดื่ม ไม่มีให้ดื่มก็ไม่อยากดื่ม แต่เหล้าของหมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกพี่ใหญ่ซ่ง ข้าอยากดื่มมานานหลายปีแล้ว”

ซ่งเฟิ่งซานยกกาเหล้าขึ้น เฉินผิงอันก็ยกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ พูดขึ้นพร้อมกันว่า “ดื่ม!”

ซ่งเฟิ่งซานดื่มไปครึ่งกาก็ไม่ดื่มอีก เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนบอกว่าจะไปดูที่น้ำตกสักหน่อย

ซ่งเฟิ่งซานไม่ได้ตามไปด้วย

ออกจากศาลาภูเขาแม่น้ำมาพร้อมกัน ซ่งเฟิ่งซานเดินกลับหมู่บ้าน ในมือมีเหล้าอีกาครวญที่ว่ากันว่ามาจากทะเลสาบซูเจี่ยนเพิ่มมาหนึ่งกา เขายื่นเหล้าส่งให้กับท่านปู่ฉู่พ่อบ้านวัยชราที่จากไปแล้วก็กลับมาอีกครั้ง บอกว่าเฉินผิงอันมอบให้ เดี๋ยวหลังจากนี้เขาจะมาคุยด้วย หากดื่มหมดแล้วเขายังมีให้อีก อย่าเหลือไว้เด็ดขาด พ่อบ้านวัยชราที่สนิทสนมกับเฉินผิงอันมาตั้งแต่ปีนั้นค่อยๆ คลี่ยิ้ม รับกาเหล้ามา ขอแค่เป็นเหล้าที่เด็กหนุ่มมอบให้ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายเขาก็จะรับไว้ ไม่ต้องเกรงใจกัน พ่อบ้านเฒ่าบอกว่าเซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้นกลับไปแล้ว ก่อนที่ซูหลางจะจากไปได้ถือกระบี่ประสานมือคารวะด้วยพิธีการที่ยิ่งใหญ่ต่อหน้าประตูของหมู่บ้าน

หลิ่วเชี่ยนมาเจอกับซ่งเฟิ่งซานและพ่อบ้านเฒ่ากลางทาง นางเรียกท่านปู่ฉู่หนึ่งคำ ชายชราก็ยิ้มรับแล้วเดินแยกออกไป

สองสามีภรรยาเพิ่งจะเดินเล่นด้วยกันได้ไม่นาน ซ่งอวี่เซาก็เดินมา

ซ่งอวี่เซาถึงได้ตบไหล่ของหลานชายตัวเองแล้วเดินหน้าต่ออีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังศาลาภูเขาแม่น้ำที่ยังอยู่ห่างจากน้ำตกอีกระยะทางหนึ่ง เขานั่งลงแล้วก็เริ่มหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต คนแก่ที่อายุมากขนาดนี้ก็มักจะเป็นเช่นนี้ นอนดึกตื่นเช้า คนหนุ่มสาวมักจะไม่เข้าใจ อันที่จริงเรื่องที่คนแก่คนหนึ่งคิดไปคิดมาก็หนีไม่พ้นเรื่องในอดีตและคนในอดีต คนหนุ่มสาวมักจะไม่ชอบฟัง คนแก่จึงได้แต่คิดอยู่กับตัวเอง

เฉินผิงอันที่พอไปถึงน้ำตกก็ปล่อยหมัดต่อยให้น้ำตกขาดสะบั้น พอเห็นตัวอักษรเหล่านั้นถึงยิ้มอย่างชอบใจ

ทันใดนั้นเขาก็หันหน้ากลับไป และไม่นานก็ออกมาจากน้ำตก มาหยุดอยู่นอกศาลาเล็กอีกครั้ง

ซ่งอวี่เซาเดินออกจากศาลามาแล้วเช่นกัน “ไป ไปกินหม้อไฟกัน”

เฉินผิงอันตกตะลึงนิดๆ “เช้าตรู่ขนาดนี้ ร้านยังไม่เปิดกระมัง”

ซ่งอวี่เซายิ้มกล่าว “ต่อให้นามของอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยจะไม่มีค่ามากแค่ไหน แต่คิดจะกินหม้อไฟที่บ้านตัวเองสักมื้อก็น่าจะยังได้กระมัง อีกอย่างเด็กน้อยอย่างเจ้าเป็นคนเลี้ยง ใช่ว่าจะไม่จ่ายเงินสักหน่อย หลังจบเรื่องหากเถ้าแก่แอบด่าอยู่ในใจ ก็มีแต่จะด่าเจ้า”

คนทั้งสองไม่ได้พุ่งทะยานไปด้วยความรวดเร็วเหมือนอย่างที่เคยทำในอดีต แต่เดินเล่นกันไปช้าๆ นี่เป็นความคิดของซ่งอวี่เซา

เดินมาได้ครึ่งทาง พ่อบ้านฉู่ก็ตามมาทันคนทั้งสอง เอางอบที่เฉินผิงอันทิ้งไว้ในห้องมามอบให้

เฉินผิงอันถาม “จะไล่คนแล้วหรือ?”

ซ่งอวี่เซายิ้มกล่าว “จากไปเร็วหน่อย คราวหน้าก็จะได้กลับมาเร็วหน่อย หลักการแค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ? นี่เจ้าโง่หรือไง?”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

เรื่องเล็กๆ เกี่ยวกับฝักกระบี่ไม้ไผ่

พอมาถึงเมืองเล็ก ยังไม่มีควันไฟจากการทำอาหารใดๆ มีเพียงเสียงหมาเห่า เสียงไก่ขันดังขึ้นสองสามที ยิ่งขับให้เห็นถึงความเงียบสงัด

ซ่งอวี่เซาเคาะประตูใหญ่ของร้านอาหารอย่างแรง ไม่ใช่เถ้าแก่ผู้เฒ่าคนนั้นที่เฉินผิงอันคุ้นเคยอีกแล้ว แต่เป็นชายฉกรรจ์วัยกลางคนที่ยังสะลึมสะลือเป็นผู้มาเปิดประตู เพียงแต่พอเห็นอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งก็ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าหมู่บ้านผู้เฒ่ามาทำอะไรหรือ?”

ซ่งอวี่เซาชี้ไปยังมือกระบี่ชุดเขียวสวมงอบที่อยู่ด้านหลัง “เจ้าหมอนี่อยากกินหม้อไฟ รบกวนพวกเจ้าช่วยจัดให้สักโต๊ะ”

ทั้งบนสีหน้าและในใจของชายฉกรรจ์ต่างก็ไม่มีคำบ่นแม้แต่น้อย ความผูกพันระหว่างร้านอาหารกับหมู่บ้านล้วนสืบทอดมาจากรุ่นบิดาของเขา แม้จะบอกว่าตอนนี้บิดาเสียชีวิตไปแล้ว และว่ากันว่าอีกไม่นานหมู่บ้านก็จะต้องย้ายไป แต่ชายฉกรรจ์ยังคงเห็นแก่ความดีของหมู่บ้านและเจ้าหมู่บ้านผู้เฒ่า จึงยิ้มเอ่ยว่า “ได้เลย ข้าจะไปเตรียมให้เจ้าหมู่บ้านผู้เฒ่าเดี๋ยวนี้ พอดีเลย ตอนนี้บนชั้นสองเงียบสงบนักล่ะ ไม่มีแขกคนอื่นๆ”

ซ่งอวี่เซาพาเฉินผิงอันไปนั่งตรงข้างหน้าต่างชั้นสองเหมือนเดิม

ร้านอาหารแห่งนี้รู้รสปากของอริยะผู้เฒ่าซ่งอวี่เซาดี ไม่ว่าจะเป็นน้ำแกงหรือผักเครื่องเคียงก็ล้วนจัดเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดมาให้อย่างคุ้นเคย

เพียงไม่นานบนโต๊ะก็จัดเรียงจานชามน้อยใหญ่ไว้จนเต็ม น้ำร้อนในหม้อไฟก็เริ่มเดือดปุดๆ

ซ่งอวี่เซาสั่งเหล้าสองกามาจากทางร้าน เขาดื่มกับเฉินผิงอันคนละกา เอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “วันนี้พวกเราดื่มแค่พอเป็นพิธีก็พอ ดื่มให้น้อย กินอาหารให้เยอะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ซ่งอวี่เซาชำเลืองตามองถ้วยน้ำจิ้มที่เฉินผิงอันปรุงเองซึ่งวางอยู่ตรงข้ามกับเขา แดงฉานน่าดู ลำพังเพียงแค่พริกสับก็มีอยู่ครึ่งถ้วยแล้ว ไม่เลว เจ้าเด็กน้อยนี่ใช้ได้แล้ว

เมื่อเทียบกับเมื่อวาน เฉินผิงอันพูดคุยเรื่องบนภูเขาบางส่วนได้อย่างเปิดเผยเต็มที่มากกว่า

หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องการเดินทางไปเยือนภูเขาเหมิงหลง

วันนี้ซ่งอวี่เซาค่อนข้างจะควบคุมตัวเองในการดื่มเหล้า ส่วนใหญ่เขาจะเพียงจิบเหล้าคำเล็กๆ ฟังเฉินผิงอันเล่าเรื่องตอนฝ่าค่ายกลภูเขาแม่น้ำของภูเขาเหมิงหลงแล้วแล่นไปเล่นงานศาลบรรพจารย์ของที่แห่งนั้นจบ เขาก็คลี่ยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้ารับ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ควันธูปของศาลบรรพจารย์ถึงจะขาดสะบั้นอย่างแท้จริง นับแต่นี้ไปบิดาและบุตรกลับกลายมาเป็นศัตรู ต่อให้จะยังไม่แตกหักกันในทันที ไม่แน่ว่าอาจจะยังระบายทุกข์ให้กันและกันฟัง หลังจบเรื่องใบหน้าเปื้อนยิ้มหัวเราะร่า แสร้งทำเป็นบิดาผู้มีเมตตา บุตรผู้กตัญญูกันต่อไป แต่ลวี่อวิ๋นไต้และลวี่ทิงเจียวกลับรู้กันดีอยู่แก่ใจว่า ยากที่บิดาและบุตรจะร่วมแรงร่วมใจกันได้อีกครั้ง วิธีการนี้ของเจ้าใช้ได้ผลยิ่งกว่าไปรื้อศาลบรรพจารย์ของอีกฝ่ายจริงๆ เสียอีก เจ้าเด็กน้อย ใช้ได้นี่นา ไม่ฆ่าคน แต่พิฆาตใจของเขา เจ้าไปเรียนรู้มาจากใคร?”

เฉินผิงอันเองก็จิบเหล้าคำเล็ก “เรียนรู้มาจากบนภูเขาส่วนหนึ่ง แล้วก็เรียนรู้มาจากยุทธภพส่วนหนึ่ง”

เฉินผิงอันคุยถึงเรื่องอู๋ซั่วเหวินอวี๋เวิงเซียนเซิงและยังมีเด็กหนุ่มจ้าวซู่เซี่ยกับเด็กสาวจ้าวหลวน ยิ้มบอกว่าเคยเล่าเรื่องหมู่บ้านวารีกระบี่ให้พวกเขาฟัง ไม่แน่ว่าวันหน้าพวกเขาอาจจะมาเยี่ยมเยือน หวังว่าทางหมู่บ้านจะไว้หน้าเขาบ้าง ต้องรับรองให้ดี หลีกเลี่ยงไม่ให้อาจารย์และศิษย์สามคนรู้สึกว่าเขาเฉินผิงอันเป็นคนขี้โม้ เป็นสหายข้ามรุ่นกับอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยกะผายลมอะไร แท้จริงแล้วก็แค่รู้จักกันผิวเผินเท่านั้น ชอบแต่งเรื่องคุยโวไปทั่ว คิดจะแปะแผ่นทองบนหน้าตัวเองหรืออย่างไร?

ซ่งอวี่เซาหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ช่วยลวกผ้าขี้ริ้ว (กระเพาะอาหารของวัว) ให้ชิ้นหนึ่งแล้ววางลงในจานของเฉินผิงอัน

เครื่องเคียงหม้อไฟมื้อหนึ่งกินกันจนเกลี้ยง เหล้าหนึ่งกาก็ดื่มหมดแล้ว

ซ่งอวี่เซามาส่งเฉินผิงอันที่นอกเมืองเล็กอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เฉินผิงอันคอแข็งแล้ว และก็กินเผ็ดได้แล้ว ไม่ได้มีสภาพน่าอนาถเหมือนอย่างในปีนั้นอีกต่อไป นี่ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

เฉินผิงอันสวมงอบ ยืนนิ่งแล้วกุมหมัดกล่าว “ผู้อาวุโส ข้าไปแล้วนะ”

ซ่งอวี่เซาพยักหน้ารับ สุดท้ายเอ่ยว่า “หน้าตาก็ไม่หล่อเหลา จะสวมงอบบังอะไรกัน”

เฉินผิงอันประคองงอบ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ประโยคนี้ท่านพูดไม่ถูก บุรุษหน้าตาเป็นอย่างไร ต้องให้สตรีเป็นผู้ตัดสินเอาเอง”

ซ่งอวี่เซาด่าอย่างขันๆ “ตัดสินกะผีอะไรเล่า เจ้าเด็กบ้า!”

เฉินผิงอันหัวเราะพลางหมุนตัวเดินจากไป

ซ่งอวี่เซารอให้เฉินผิงอันเดินจากไปไกลมากแล้วถึงได้หมุนตัวกลับ เดินไปตามถนนที่เงียบสงบแห่งนั้น กลับไปยังหมู่บ้าน

ผู้เฒ่าเดินผ่านซุ้มประตูหินที่ก่อนหน้านี้ซูหลางพุ่งทะยานผ่าน คิดจะไปประชันกระบี่กับตนเพียงลำพัง

คำพูดบางอย่าง เฉินผิงอันอยากถามแต่ไม่สะดวกให้ถาม เจ้าเด็กนั่นพูดอ้อมไปอ้อมมาตอนอยู่บนโต๊ะกินข้าว พูดเรื่องที่ฟังดูคล้ายไม่เกี่ยวข้องกันเลย ยกตัวอย่างเช่นมาดและบารมีของเขาตอนอยู่บนภูเขาเหมิงหลง

เขาซ่งอวี่เซาวิชากระบี่ไม่สูงส่ง แต่หลายปีที่อยู่ในยุทธภพมาล้วนเสียเวลาเปล่าอย่างนั้นหรือ? จะไม่รู้จักนิสัยของเฉินผิงอันหรือไร? จะไม่รู้เลยหรือว่าถ้อยคำที่แสดงถึงความสงสัยไม่มากก็น้อยพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่เฉินผิงอันอยากจะพูดในเวลานั้น? เพราะอะไร หากไม่ใช่เพราะอยากให้ตาแก่อย่างเขาปล่อยใจให้กว้าง บอกกับเขาซ่งอวี่เซาว่าหากเกิดเรื่องจริงๆ ขอแค่เขาเฉินผิงอันเปิดปากถามก็ขอให้พูดมาได้เต็มที่ อย่าเก็บกลั้นไว้ในใจเด็ดขาด ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ซ่งอวี่เซาได้ใช้ทุกคำพูดทุกการกระทำแสดงให้รู้อย่างชัดเจน เท่ากับเป็นการบอกเฉินผิงอันว่า ตนไม่มีเรื่องอะไรในใจ ทุกเรื่องล้วนดีหมด เป็นเด็กน้อยอย่างเจ้าที่คิดมากไปเอง

ซ่งอวี่เซาเอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองท้องฟ้า

ดวงอาทิตย์ส่องแสงเรืองรองหมื่นลี้ ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้ก้อนเมฆ วันนี้เป็นวันที่อากาศดี

หวังว่าบนเส้นทางที่เจ้าเด็กนั่นเดินอยู่ในยุทธภพวันหน้า ทุกวันจะเป็นวันที่อากาศดีเช่นนี้

……

เที่ยงวันของวันนี้ เป็นวันที่สามที่เฉินผิงอันไปจากหมู่บ้านบนภูเขา

หมู่บ้านวารีกระบี่ก็ได้ต้อนรับเด็กสาวดวงตารูปผลซิ่ง สวมรองเท้าปักลายบุปผาคนหนึ่งที่มาเยือนอย่างรีบร้อน

พบหลิ่วเชี่ยนกับซ่งเฟิ่งซาน พอได้ยินว่าเฉินผิงอันจากไปแล้ว นางก็พลันโอดครวญไม่หยุด บอกว่าพวกเขาสองสามีภรรยาไม่มีคุณธรรม ไม่รู้จักรั้งเขาให้อยู่ต่อสักหลายๆ วัน

หลิ่วเชี่ยนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ถามนางว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ภูเขาใช่หรือไม่ ก็เลยอยากจะขอให้เฉินผิงอันช่วยเหลือ? จากนั้นหลิ่วเชี่ยนก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้ากับเทพภูเขา ขอแค่เจ้าเหวยเว่ยเปิดปาก หมู่บ้านวารีกระบี่ของเราสามารถออกแรงช่วยเหลือ แต่ทางหมู่บ้านจะไม่ยอมให้เฉินผิงอันเป็นผู้ลงมือเด็ดขาด”

เหวยเว่ยมีสีหน้าประหลาด “เซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้ไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดร้างให้พวกเจ้าฟังหรอกหรือ?”

หลิ่วเชี่ยนกล่าวอย่างสงสัย “เล่าสิ เล่าว่าเจ้ายังกล้ากลับมาทำอาชีพเดิม ปีนั้นเจอกับความยากลำบากด้วยน้ำมือท่านปู่ของพวกเรายังไม่รู้จักหลาบจำ ยังจะไปหลอกเอาพลังหยางจากบุรุษที่วัดร้างอีก ทำไม หรือว่าหลังจากพวกเจ้าเจอกันแล้วยังมีเรื่องอะไรที่ปิดบังไว้อีก?”

เหวยเว่ยหัวเราะหึหึ “ไม่มีเรื่องปิดบังอะไรทั้งนั้น ก็แค่เขาถูกใจข้า แต่ไม่กล้าจะพูดออกมา อันที่จริงข้าเองก็หวั่นไหวอยู่บ้าง เลยอยากจะขอให้ท่านผู้เฒ่าซ่งช่วยเป็นพ่อสื่อให้…”

ซ่งเฟิ่งซานกระตุกยิ้มมุมปาก พูดจาเหลวไหลอะไร คิดจะหลอกผีจริงๆ หรือไง เจ้าเหวยเว่ยชอบทำอะไรกันแน่ ข้าจะไม่รู้เลยหรือ อีกอย่างด้วยนิสัยและตบะของเฉินผิงอันในทุกวันนี้ ตอนนั้นไม่ได้ใช้หนึ่งกระบี่กำจัดปีศาจปราบมารก็ถือว่าเจ้าเหวยเว่ยดวงแข็งแล้ว

หลิ่วเชี่ยนก็ยิ่งหัวเราะพลางพูดเปิดโปงเหวยเว่ยโดยตรง “พอเถอะน่า คำพูดล้อเล่นที่รังเกียจว่าตัวเองดวงแข็งเช่นนี้พูดให้น้อยหน่อยจะดีกว่า หากท่านปู่ของพวกเราหรือเฉินผิงอันได้ยินเข้าจริงๆ เจ้านั่นแหละที่จะเดือดร้อน!”

เหวยเว่ยชำเลืองตามองสองสามีภรรยาที่มีสีหน้าผ่อนคลายแล้วขมวดคิ้วถาม “ซูหลางคงจะไม่ได้เดินไม่ระวังแล้วสะดุดล้มระหว่างทางหรอกกระมัง เหตุใดเขาถึงไม่มาหาเรื่องหมู่บ้านของพวกเจ้าแล้วเล่า? ไม่อย่างนั้นทำไมพวกเจ้าถึงยังยิ้มออก? คงไม่ใช่ว่าใช้น้ำตาอาบหน้าทุกวันกระมัง? เจ้าหลิ่วเชี่ยนเช็ดน้ำตาให้ซ่งเฟิ่งซาน ส่วนซ่งเฟิ่งซานก็ร้องว่าเมียจ๋า อย่าร้องไห้ๆ แล้วก็หันกลับมาเป็นคนเช็ดน้ำตาให้เจ้าบ้าง…”

ซ่งเฟิ่งซานทนรับคำหยอกล้อของผีสาวแคว้นซูสุ่ยผู้นี้ไม่ได้ จึงหาข้ออ้างลุกขึ้นจากไปก่อน

หลิ่วเชี่ยนจึงเล่าเรื่องที่ซูหลางถูกเล่นงานให้ถอยร่น และภายหลังยังมาเยือนที่หมู่บ้านอีกครั้งให้เหวยเว่ยฟังคร่าวๆ

ในความเป็นจริงแล้ว ตลอดหลายปีมานี้ล้วนเป็นนางที่มานะขันแข็งจัดการกิจธุระต่างๆ ในหมู่บ้านวารีกระบี่ อะไรที่ควรพูด อะไรที่ไม่ควรพูด นางล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ

ไม่อย่างนั้นสองปู่หลานก็คงไม่มีทางวางใจปล่อยให้นางจัดการบ้านเรือนเช่นนี้

เหวยเว่ยร้องอ้อหนึ่งที แต่กลับไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย พอเห็นสายตาครุ่นคิดของหลิ่วเชี่ยน เหวยเว่ยถึงได้ร้องโอ้ยหนึ่งที แล้วยกมือขึ้นกุมหัวใจ “ที่แท้คุณชายเฉินก็มีวิชากระบี่เลิศล้ำเกินเทพเจ้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ สมกับคำว่าไม่พบกันสามวันต้องมองเสียใหม่จริงๆ (เปรียบเปรยว่าคนอื่นมีพัฒนาการ ไม่อาจใช้สายตาหรือความคิดเดิมๆ ไปมองเขาได้อีก) ข้าตกใจจะตายอยู่แล้ว หากข้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก ตอนอยู่ที่วัดร้างก็ควรเสนอตัวนอนเคียงหมอน ต่อให้ไม่ชอบบุรุษ แต่หลับหูหลับตาก็พอจะผ่านไปได้อยู่เหมือนกัน”

หลิ่วเชี่ยนขว้างเมล็ดแตงกำหนึ่งใส่นาง “เลิกพูดจาชั้นต่ำไม่รู้จักละอายแบบนี้เสียที!”

เหวยเว่ยพลันเอ่ยว่า “เดิมทีข้าควรมาถึงตั้งแต่เมื่อวาน เฮ้อ ภูตผีอย่างพวกเราฝืนบังคับลมเดินทางไกล ไม่อาจเทียบกับความเร็วราวสายฟ้าแลบเวลาเซียนกระบี่ขี่กระบี่ได้จริงๆ ช่างเถิด ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ข้าผู้อาวุโสฝึกตนอย่างยากลำบากมาหลายร้อยปี ยังสู้บุรุษคนหนึ่งที่เดินทางท่องเที่ยวไปตามภูเขาแม่น้ำไม่ถึงสิบปีไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ช่างน่าเศร้านัก เชี่ยนเอ๋อร์ การที่ข้ามาหาเจ้าคืนนี้ก็เพราะไปเยือนที่เมืองมาแล้วรอบหนึ่ง คิดจะวางแผนทำเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาเรื่องหนึ่ง รายละเอียดคงไม่เล่าให้เจ้าฟังแล้ว ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องได้รู้ แต่ท่ามกลางขั้นตอนนี้ ข้าค้นพบเงาร่างของหมู่บ้านเหิงเตา นังเด็กน้อยหวังซานหูผู้นั้น ตอนนี้ช่างจองหองนัก อยู่ห่างไปไกลหลายลี้ ข้ายังได้กลิ่นเครื่องประทินโฉมจากตัวนางเลย”

“คงเป็นเพราะซูหลางมาเสียเปรียบอยู่ที่นี่ สายลับที่หานหยวนซ่านทิ้งไว้ในเมืองเล็กจึงส่งกระบี่บินส่งข่าวไปให้ ดังนั้นหมู่บ้านเหิงเตาถึงทำท่าจะลงมือในทันที”

เหวยเว่ยใช้ฝ่ามือนวดคลึงหัวใจ แสร้งทำสีหน้าเศร้ารันทด “เจ้าต้องเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ หากเฉินผิงอันคนรักของข้ายังอยู่ในหมู่บ้านย่อมไม่มีปัญหาอะไร แต่ตอนนี้เจ้า…คนใจร้ายผู้นี้หนีไปซะแล้ว หากหานหยวนซ่านไล่ตามมาถึงที่นี่ ถึงเวลานั้นข้าจะไม่มีทางเข้าข้างพวกเจ้าเด็ดขาด อย่างมากก็แค่ไม่ช่วยทั้งสองฝ่าย ความสัมพันธ์ฉันท์สหายก็ส่วนความสัมพันธ์ฉันท์สหาย หากหานหยวนซ่านคิดจะจัดการกับพวกเจ้าจริงๆ ข้าก็คงได้แต่แอบไปหลั่งน้ำตาแล้ว”

อันที่จริงเหวยเว่ยประหลาดใจอย่างมากว่าเหตุใดหานหยวนซ่านถึงได้ไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ ไม่สนใจส่วนรวม ยืนกรานจะมีเรื่องกับหมู่บ้านวารีกระบี่ให้จงได้ขนาดนี้ บีบให้ซ่งอวี่เซาต้องย้ายหมู่บ้านไปอยู่ที่อื่น แล้วจะสร้างศาลเทพภูเขาขึ้นที่นี่แทน ภูตภูเขาที่ถูกเฉินผิงอันสังหารด้วยหนึ่งกระบี่ฝันหวานมาตลอดว่าวันใดวันหนึ่งจะสามารถเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว ย้ายไปอยู่ตำแหน่งนั้น กลายมาเป็นเทพภูเขาคนใหม่ซึ่งมีศาลตั้งอยู่ที่หมู่บ้านวารีกระบี่แหงนี้ ส่วนเรื่องใหญ่ที่นางไม่ได้พูดถึงนั้น แน่นอนว่าก็เพื่อวางแผนให้ตัวเองได้ขึ้นไปนั่งบัลลังก์เทพภูเขาแทนเจ้าสัตว์เดรัจฉานผู้นั้น นางเหวยเว่ยแอบงัดข้อกับหลิ่วเชี่ยนมาตลอดเวลา พี่สาวน้องสาวในโลกใบนี้ ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ส่วนที่ดีต่อกันก็คือดีต่อกัน แต่เรื่องที่ว่าใครมีชีวิตได้ดีกว่ากันก็ต้องแข่งขันกันสักหน่อย ไม่มีเลอะเลือนแม้แต่น้อย เหวยเว่ยและหลิ่วเชี่ยนต่างก็เคยเป็นหนึ่งในสี่พิฆาตแห่งแคว้นซูสุ่ย ในฐานะภูตภูเขา เจ้าหลิ่วเชี่ยนยังได้เป็นถึงฮูหยินน้อยของหมู่บ้านวารีกระบี่ แล้วเหตุใดข้าเหวยเว่ยจะเป็นเทพภูเขา พลิกกลับมาเป็นฝ่ายอยู่เหนือเจ้าหนึ่งระดับบ้างไม่ได้?

เกี่ยวกับการค้าระหว่างหมู่บ้านวารีกระบี่กับหานหยวนซ่านเป็นความลับใหญ่ แน่นอนว่าหลิ่วเชี่ยนย่อมไม่พูดอะไรกับเหวยเว่ย

คำพูดที่ควักใจกันออกมา นอกจากจะพูดน้อยได้ก็ควรพูดให้น้อยแล้ว ยังต้องดูด้วยว่าพูดกับใคร

ไม่อย่างนั้นควักใจกันออกมาแล้ว ก็ไม่สามารถเอากลับไปเก็บที่เดิมได้อีก

หลิ่วเชี่ยนใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยเนิบช้าโดยเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง “คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร อย่างมากก็เป็นการลงมือของเฉินผิงอันที่ทำให้หานหยวนซ่านเกิดความกริ่งเกรง ด้วยความรอบคอบของเขา คงไม่น่าจะเดินทางมาด้วยตัวเอง มีแต่จะให้หวังอี้หรานที่เป็นหุ่นเชิดของเขามาป้วนเปี้ยนแถวหมู่บ้าน คงไม่ปล่อยให้ความสัมพันธ์ของสามฝ่ายถึงขั้นชะงักงันเกินไปนัก”

เหวยเว่ยคิดตามแล้วก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นเช่นนี้จริง

……

บนสนามรบที่ปีนั้นเคยมีหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มเผชิญหน้ากับกองทัพม้านับพันนับหมื่น

มีมือกระบี่ชุดเขียวสวมงอบคนหนึ่งเดินออกจากเมืองเล็ก แต่ไม่ได้ตรงไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนภูเขาตี้หลงทันที ทว่าถามเทพภูเขาในบริเวณใกล้เคียงท่านหนึ่งที่กำลังจะได้ ‘เลื่อนขั้น’ ในที่สุดก็เข้าใจเรื่องราวที่ซ่งอวี่เซา ซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยนต่างก็ไม่ยินดีจะพูดถึง

เหตุใดปราณเฮือกนั้นของผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์และปรมาจารย์กระบี่ของซ่งอวี่เซาถึงได้ร่วงดิ่งลง

นี่คือความลับที่มีแค่คนไม่กี่คนในหมู่บ้านวารีกระบี่รับรู้

เพียงแต่ว่าเทพภูเขาที่ถูกราชสำนักแคว้นซูสุ่ยฝากความหวังไว้มากท่านนี้ เนื่องจากได้ปกครองโชคชะตาของในหนึ่งพื้นที่ อีกทั้งตอนนั้นยังใช้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตพอดี ถึงได้รู้เรื่องนี้เข้า

เรื่องราวจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ เพราะไม่มีใครตาย

แต่จะว่าเล็ก? ก็จะเล็กแล้วหรือ?

ไม่เล็ก

เคยมีผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งที่เดินทางไกลจากแผ่นดินกลาง มาถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ แล้วเอาฝักกระบี่ไม้ไผ่ฝักหนึ่งไปจากซ่งอวี่เซา

แรกเริ่มบอกว่าจะซื้อ ใช้เงินเทพเซียนก้อนใหญ่

ซ่งอวี่เซาไม่ยอมขาย

เหตุผลนั้นง่ายดายมาก เพราะเขาจะมอบฝักกระบี่นั้นให้สหายคนหนึ่ง จึงไม่ขาย

จากนั้นคนต่างถิ่นที่ขอบเขตวรยุทธสูงส่งจนมิอาจจินตนาการได้ผู้นั้นบอกว่าให้เวลาซ่งอวี่เซาคิดสามวัน สามวันให้หลัง จะไม่ใช่การซื้อแล้ว

ตอนที่จากไป บุรุษผู้นั้นชำเลืองตามองซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยนด้วยรอยยิ้มหยันประหนึ่งคนภูเขาที่เหยียดตามองมดตัวเล็กตัวน้อย เขาเปลี่ยนคำพูดที่พูดกับซ่งอวี่เซาเสียใหม่ บอกว่าสองชีวิตก็ยังถือว่าเป็นการซื้อเหมือนกัน

ซ่งอวี่เซาเงียบงันไปสามวัน

ซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยนต่างก็ตัดสินใจได้แล้ว พวกเขาถึงขั้นเกลี้ยกล่อมท่านปู่ตัวเองบอกว่า ไม่ขายก็คือไม่ขาย!

แต่วันสุดท้าย ซ่งอวี่เซากลับมอบฝักกระบี่ไม้ไผ่ไปให้ แล้วก็ไม่ได้รับเงินเทพเซียนก้อนนั้นเอาไว้

หลังจากนั้นมา

ผู้เฒ่าก็แก่ชราจริงๆ

ทว่าผู้เฒ่ากลับเป็นฝ่ายไปหาหลานชายและหลานสะใภ้แล้วชวนพวกเขาทั้งสองดื่มเหล้า ถึงขั้นยังดื่มสุราคารวะกลับคืนแก่หลานสะใภ้อย่างหลิ่วเชี่ยนด้วย บอกว่าชีวิตนี้หลานชายของตนหาภรรยาอย่างเจ้าได้ ถือเป็นบุญที่บรรพบุรุษของตระกูลซ่งเราสะสมมา เมื่อก่อนเป็นปู่อย่างเขาที่ผิดต่อนาง ดูแคลนนางมากเกินไป หลิ่วเชี่ยนดื่มสุราจอกนั้นทั้งน้ำตา สุดท้ายผู้เฒ่าเอ่ยปลอบใจเด็กรุ่นหลังทั้งสองว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ บอกพวกเขาว่าไม่ต้องเก็บไปใส่ใจ ก็แค่ฝักกระบี่ไม้ไผ่ฝักเดียวไม่ใช่หรือ ถึงอย่างไรก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเจ้าเด็กน้อยเฉินผิงอันผู้นั้นอยู่แล้ว แค่ทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็พอ

เวลานี้เอง

มีขบวนรถม้าที่ยิ่งใหญ่ขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้าหามือกระบี่ชุดเขียวช้าๆ

เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหมดลงไป ตอนนั้นหลังจากได้พบกับเทพภูเขาประจำท้องถิ่นผู้นั้นแล้ว เขาก็บอกกับเทพภูเขาว่าไม่ต้องไปบอกให้ทางหมู่บ้านภูเขารู้ว่าพวกเขาสองฝ่ายเคยพบกันมาก่อน

เทพภูเขาย่อมไม่กล้าอยู่แล้ว แต่การที่ได้มานั่งดื่มเหล้าร่วมกับเซียนกระบี่หนุ่มอยู่บนยอดเขา เทพภูเขาแห่งแคว้นซูสุ่ยผู้นี้ก็ยังอดรู้สึกเป็นเกียรติไม่ได้

การที่เฉินผิงอันไม่ได้จากไปทันที แล้วก็ไม่ได้ย้อนกลับไปที่หมู่บ้านวารีกระบี่ เพราะรู้สึกว่าในใจอัดอั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะดี

เขาจึงเดินเตร็ดเตร่อยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ อยู่คนเดียวเงียบๆ

ภายหลังจึงได้มาเจอกับคนคุ้นเคยอีกคน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!