บทที่ 476 น้ำที่ถูกกั้นไม่สู้น้ำไหล
หลังจากหยุดเสียงหัวเราะลงแล้ว เฉินผิงอันก็กุมหมัดเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่า เราได้เจอกันอีกแล้ว”
ผู้เฒ่ายังคงกระฉับกระเฉงเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเหมือนในอดีต ผู้ฝึกตน เวลาหลายปีที่ผ่านไปก็เหมือนการดีดนิ้วครั้งหนึ่งเท่านั้น ความเสื่อมโทรมของรูปร่างหน้าตาจึงไม่เด่นชัดนัก
เห็นมือกระบี่ชุดเขียวที่ปลดงอบลงผู้นั้น ผู้เฒ่าแห่งหอชิงฝูที่มีนามว่าหงหยางโปก็ยิ่งไม่เข้าใจ กิจการของหอชิงฝูถือว่าเจริญรุ่งเรืองที่สุดในท่าเรือตระกูลเซียนภูเขาตี้หลง ผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสาย ถือเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้วเงินเทพเซียนจะไปหมุนเวียนอยู่ที่ชั้นหนึ่งเสียมากกว่า ลูกค้าที่จะขึ้นมายังชั้นสองนั้นมีไม่มาก คนที่จะนั่งลงทำการค้ากันก็ยิ่งน้อย หากเป็นแขกผู้มีเกียรติที่เคยผ่านมือผู้เฒ่ามาก่อน ตามหลักแล้วเขาก็น่าจะจำได้ แต่มองคนหนุ่มที่แต่งกายเป็นเหมือนจอมยุทธพเนจรตรงหน้านี้แล้ว เขาไม่คุ้นหน้าเลยจริงๆ แต่เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ทำตัวเป็นกันเองถึงเพียงนี้?
เพียงแต่ทุกคนที่มาเยือนล้วนเป็นแขก อีกทั้งยังเรียกตนว่าท่านอาจารย์ผู้เฒ่า หงหยางโปจึงนั่งกุมหมัดคารวะกลับคืน จากนั้นก็ผายมือบอกเป็นนัยให้อีกฝ่ายนั่งลง ยิ้มถามว่า “ไม่ทราบว่าลูกค้ามาขายหรือว่ามาซื้อ?”
เฉินผิงอันยกเก้าอี้ไม้พุทราแดงที่โบราณเก่าแก่ตัวนั้นมาแล้วนั่งลง เดิมทีนี่ควรเป็นหน้าที่ของสตรีที่เป็นผู้นำทางของหอชิงฝู แน่นอนว่าการที่ให้พวกนางยกน้ำส่งชา ร้อยเข็มสนด้ายล้วนไม่ได้เป็นงานที่ลงแรงเปล่า หลังการค้าสำเร็จผลแล้ว พวกนางย่อมได้ส่วนแบ่งไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ลูกค้ากลับมาเป็นลูกค้าประจำ ทางหอชิงฝูก็จะมีเงินรางวัลเพิ่มเติมให้อีกก้อนหนึ่ง เฉินผิงอันจำได้ว่าปีนั้นสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นชื่อว่าชุ่ยอิ๋ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้เฉินผิงอันไม่คิดจะเอาของมาขายหรือมาซื้อ ไม่อย่างนั้นตอนอยู่ด้านล่างก็คงถามแล้วว่าชุ่ยอิ๋งอยู่หรือไม่ การพบเจอกันล้วนถือเป็นวาสนา แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อย้อนกลับไปนึกดู การค้าในปีนั้น พวกเขาสามคนกับหอชิงฝูแห่งนี้ต่างก็ถือว่าทุกคนปิติชื่นบาน ถือเป็นการเปิดประตูเจอเรื่องมงคล นี่จึงถือเป็นความสัมพันธ์ควันธูปครั้งหนึ่งแล้ว ผู้ฝึกตนล้วนเชื่อในเรื่องเหล่านี้
เฉินผิงอันกำลังจะนั่งลงก็คิดได้ว่าควรจะไปปิดประตู แต่ผู้เฒ่ากลับโบกมือเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องปิดประตู”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังทำตามคำบอกของผู้เฒ่า นั่งลงไปบนเก้าอี้ ยิ้มกล่าวว่า “ข้ามาเยือนท่าเรือภูเขาตี้หลงครั้งนี้ก็เลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมหาท่านอาจารย์ผู้เฒ่าหง ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าอาจจะจำไม่ได้แล้ว ปีนั้นข้ากับชายฉกรรจ์เคราดกคนหนึ่ง และนักพรตหนุ่มอีกคนหนึ่ง พวกเราเอาของสองสามอย่างมาขายในห้องนี้ของท่านอาจารย์ผู้เฒ่า…”
ผู้เฒ่าตบโต๊ะดังป้าบ ยิ้มกล่าว “จำได้แล้ว ตะเกียบคู่นั้นก็คือของที่พวกเจ้าขายให้ข้าผู้อาวุโส! เจ้าหนุ่ม พวกเจ้าถือว่าทำให้ความปรารถนาใหญ่ในอดีตของข้าผู้อาวุโสเป็นจริงแล้ว เวลาปกติอยู่ว่างๆ ก็มักจะหยิบมันมาเล่นในมือ พอลูบตะเกียบคู่นั้นก็เหมือนได้ลูบเส้นผมสีนิลของไห่จู๋ฮูหยินแห่งภูเขาชิงเสิน…”
ผู้เฒ่าไม่ได้พูดต่อ คงเพราะรู้สึกว่าตัวเองทำตัวเป็นกันเองมากเกินไป
ปีนั้นจางซานเฟิงเอาตะเกียบไม้ไผ่จากภูเขาชิงเสินคู่หนึ่งมาขายที่นี่ อาจารย์ผู้เฒ่ารับเข้าไปเก็บเป็นของในกระเป๋าตัวเองด้วยราคาสูง เนื่องจากผู้เฒ่ามีจิตใจดี จึงได้กำไรมาไม่น้อย
ผู้เฒ่าอารมณ์ดีอย่างยิ่ง พอนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็ลุกขึ้นตะโกน “ฉิงฉ่าย รีบยกชาดีๆ มาเร็วเข้า!”
เพียงไม่นานก็มีสตรีสวมชุดกระโปรงยาวทำจากผ้าแพรสีสันงดงามคนหนึ่งเดินนวยนาดมาบนพรมปูพื้นที่มาจากแคว้นไฉ่อี นางนำชารสดีที่ไอร้อนลอยกรุ่นมาวางให้คนทั้งสอง จากนั้นสตรีที่เรือนกายอ้อนแอ้นก็เดินออกไปจากห้อง แต่ไม่ได้ไปไหนไกล ไปยืนรออยู่ตรงหน้าประตู
ผู้เฒ่าคือคนเก่าคนแก่ของหอชิงฝู อยู่ที่นี่มาเป็นเวลาห้าสิบปีแล้ว หากเจอกับลูกค้าที่ไม่ถูกชะตาก็มักจะไม่เคยทำหน้าดีๆ ให้เห็น อยากซื้อก็ซื้อ ไม่อยากขายก็ไม่ต้องขาย แต่สำหรับคนที่ตัวเองถูกชะตาแล้วมักจะมีนิสัยใจกว้างและกระตือรือร้นเสมอ ไม่อย่างนั้นปีนั้นก็คงไม่มีทางเดิมพันเล็กๆ กับสวีหย่วนเสียหลังจากพูดคุยกันอย่างถูกคอแล้ว
ผู้เฒ่ายิ้มตาหยีถามว่า “ชายฉกรรจ์เคราดกที่สายตามีเอกลักษณ์เฉพาะคนนั้นล่ะ ทำไมถึงไม่มาด้วยกัน การเดิมพันของปีนั้น เป็นข้าผู้อาวุโสที่แพ้แล้ว คราวนั้นเจ้าซื้อถ้วยห้าขุนเขาของแคว้นกู่อวี๋ใบนั้นไป ทำให้หอชิงฝูขาดทุนไปไม่น้อย แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ การค้าย่อมมีทั้งกำไรและขาดทุนอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกอย่างข้าผู้อาวุโสก็เชี่ยวชาญในด้านการตรวจสอบเครื่องทองสัมฤทธิ์ ตัวอักษรภาพและวัสดุไม้งาม หากเป็นอย่างอื่น บางครั้งจะมองพลาดไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ว่าติดค้างเหล้าชายฉกรรจ์ผู้นั้นไว้หนึ่งมื้อ จะให้ค้างต่อไปแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องกระมัง เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดเล่า? ข้าผู้อาวุโสไม่ชอบติดค้างใครหรอกนะ เพราะจะต้องคอยพะวงคอยนึกถึงอยู่ไม่มากก็น้อย ไม่สู้ให้ข้าผู้อาวุโสหาสถานที่ดีๆ นอกหอชิงฝูเลี้ยงเหล้าเจ้าสักมื้อดีไหม? ถือซะว่าเป็นการชดใช้คืนแล้ว?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “สุรานี้รอให้วันหน้าเพื่อนข้ามาขอกับท่านอาจารย์ผู้เฒ่าหงเองดีกว่า”
ผู้เฒ่ารู้สึกจนใจเล็กน้อย แต่แล้วจู่ๆ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายจ้า “คราวก่อนเจ้ามีแต่ของมาขายที่นี่ อันที่จริงที่ข้าผู้อาวุโสยังมีของขายดี ของพิเศษที่เวลาปกติข้าไม่ชอบเอาออกมาให้คนอื่นดู เจ้าอยากจะลองดูสักหน่อยไหม? ไม่ต้องซื้อเสมอไป ข้าผู้อาวุโสไม่ใช่คนประเภทนั้น ก็แค่ยากนักที่จะได้เจอกับคนคุ้นเคยที่ยินดีคบค้าสมาคมกัน เลยอยากเอาออกมาอวดสักหน่อย จะได้ให้พวกลูกรักได้ออกมาสูดอากาศเสียบ้าง อีกอย่างก็ไม่ใช่สมบัติล้ำค่าอะไรที่เอาออกมาให้คนดูไม่ได้ด้วย”
ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยอะไร ผู้เฒ่าก็ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มพลิกค้นหาสิ่งของ เพียงไม่นานก็นำกล่องผ้าแพรสามกล่องที่มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันออกมาวางบนโต๊ะ
หลังจากผู้เฒ่าเปิดออกอย่างระมัดระวังแล้วก็เห็นว่าใบหนึ่งบรรจุหมึกรมควันไม้สนก้อนหนึ่งที่เชื้อพระวงศ์ใช้กัน เจว็ดรูปสตรีสวมผ้าคลุมหน้าหนึ่งตัว และอักษรภาพที่เขียนแบบหวัดหนึ่งภาพ
ใบหน้าผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความลำพองใจ “ของสามอย่างนี้ ต่อให้อยู่บนชั้นสองของหอชิงฝูก็ยังถือว่าเป็นของหายาก เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณ ไม่พูดถึงเจว็ด ของอีกสองชิ้นที่เหลือยังมีชะตาบุ๋นเข้มข้น อย่าว่าแต่นำไปมอบให้กับขุนนางชนชั้นสูงที่ตามีแววของราชวงศ์ในโลกมนุษย์เลย ต่อให้มอบให้ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษากวานหูก็ยังไม่มีทางรู้สึกว่าของขวัญนี้เบาไป!”
ผู้เฒ่าใช้นิ้วชี้ไปยังหมึกรมควันไม้สน “หมึกรมควันไม้สนที่ทำขึ้นเพื่อให้เชื้อพระวงศ์ของแคว้นเสินสุ่ยใช้ก้อนนี้ ไม่เพียงแต่เอามาจากต้นสนโบราณพันปีต้นหนึ่ง อีกทั้งยังมีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่ ถูกราชสำนักแต่งตั้งให้เป็น ‘ท่านมู่กง’ อีกทั้งต้นสนโบราณต้นนั้นยังมีชื่อว่า ‘สนไม่เมา’ เคยมีเรื่องราวหนึ่งเล่าสืบทอดต่อกันมาบอกว่า มีนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเมามายอยู่ในผืนป่า เจอว่า ‘มีคน’ มาขวางทาง จึงใช้มือผลักแล้วบอกว่าเขายังไม่เมา น่าเสียดายที่หลังจากแคว้นเสินสุ่ยล่มสลาย ต้นสนโบราณก็ถูกโค่นลงไปด้วย เป็นเหตุให้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าหมึกรมควันต้นสนก้อนนี้จะเป็นของเพียงชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ในโลก”
ผู้เฒ่าชี้นิ้วไปที่เจว็ดดินเผา สายตาของเขาฉายประกายเร่าร้อนยิ่งกว่าเดิม “ชิ้นนี้ข้าผู้อาวุโสซื้อมาจากผู้ฝึกตนอิสระตกอับคนหนึ่ง ถือเป็นการเก็บของดีได้ชิ้นใหญ่ ตอนนั้นจ่ายไปแค่สองร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น ผลพอถูกผู้อาวุโสท่านหนึ่งของชั้นสามตรวจสอบถึงเพิ่งรู้ว่าตุ๊กตาดินเหนียวนี่เคยอยู่รวมกันเป็นชุด หนึ่งชุดมีสิบสองตัว มาจากมือของเทพเซียนห้าขอบเขตที่ฝีมือเลิศล้ำคนหนึ่งของนครจักพรรดิขาวแผ่นดินกลาง ถูกคนรุ่นหลังขนานนามว่าเป็นเจว็ดเทพธิดา ‘สิบสองสะคราญ’ ความมหัศจรรย์นั้นอยู่ตรงที่หมวกคลุมหน้าซึ่งเดิมทีก็เป็นสมบัติอาคมชิ้นเล็กกะทัดรัดอย่างหนึ่ง มีเพียงแตะโดนกลไกเท่านั้นถึงจะปรากฎรูปโฉมที่แท้จริง น่าเสียดายก็แต่จนถึงทุกวันนี้ข้าผู้อาวุโสก็ยังคิดหาวิธีทำลายกลไกไม่ได้ จึงไม่อาจพิสูจน์สถานะที่แท้จริงของเจว็ดดินเผาชิ้นนี้ ไม่อย่างนั้นวัตถุชิ้นนี้ก็สามารถกลายมาเป็นสินค้าที่เป็นหน้าเป็นตา เป็นตัวแทนของทั้งหอชิงฝู คือสมบัติพิทักษ์ร้านอย่างสมชื่อได้เลย! ต้องรู้ว่าของสะสมบนโลกใบนี้ยากที่จะเก็บรวบรวมได้ครบถ้วนมากที่สุด นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้คนชื่นชอบที่จะสะสมให้ครบถ้วนมากที่สุด”
สุดท้ายผู้เฒ่าชี้ไปที่อักษรภาพแล้วเอ่ยอย่างเสียดายว่า “เมื่อเทียบกับสองอย่างแรก วัตถุชิ้นนี้ไม่ถือว่ามีค่าอะไร เป็นลายมือของผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นคนหนึ่งของแคว้นสู่โบราณที่เขียนขึ้นก่อนจะเริ่มฝึกตน แม้จะถือว่าเป็นต้นฉบับ แต่น่าเสียดายที่เป็นดั่งจักจั่นลอกคราบ แทบจะไม่เหลือความมหัศจรรย์ที่แท้จริงใดๆ อยู่อีก มีนามว่า ‘ภาพน่าเสียดาย’ เนื่องจากประโยคแรกของอักษรภาพนี้มาจากประโยค ‘น่าเสียดายที่เวทกระบี่ห่างชั้น’ อักษรภาพชิ้นนี้ ลายมือสวยงามอย่างยิ่ง เนื้อหาก็ดีอย่างถึงที่สุด น่าเสียดายที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานจึงไม่อาจคงความสมบูรณ์เอาไว้ได้อีก ปราณวิญญาณไหลหายไปมาก ประหนึ่งวีรบุรุษในวัยแก่ชรา ดุจแสงเทียนริบหรี่ท่ามกลางสายลม สมกับคำกล่าวนี้จริงๆ น่าเสียดายหนอน่าเสียดาย”
สำหรับหมึกไม้สนรมควันที่ใช้ในราชวงศ์ของแคว้นเสินสุ่ยกับเจว็ดรูปสตรีสวมหมวกคลุมหน้า เฉินผิงอันไม่ได้มีความสนใจสักเท่าไหร่ ได้เห็นแล้วก็ปล่อยผ่านไป แต่อักษรภาพแบบหวัดที่เป็นสำเนาต้นฉบับชิ้นสุดท้ายนี้ เขากลับพิศมองอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรหรือวิธีการตวัดพู่กัน เฉินผิงอันล้วนให้ความสนใจมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าตัวอักษรที่เขาเขียนออกมานั้นก็พอๆ กับการเล่นหมากล้อม ล้วนไม่มีชีวิตชีวา อยู่ในกฎในระเบียบ ตายตัวอย่างยิ่ง แต่ถึงแม้จะเขียนตัวอักษรได้ไม่ดี ทว่ายามที่มองตัวอักษรของคนอื่นว่าเขียนออกมาเป็นอย่างไร เฉินผิงอันยังพอจะตามีแววอยู่บ้าง นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับตัวอักษรที่สลักบนตราประทับทั้งสามชิ้นของอาจารย์ฉี อักษรภาพจำนวนมากที่ชุยตงซานเขียนอย่างไม่ใส่ใจ รวมไปถึงตำราตราประทับโบราณเล่มหนึ่งที่ซื้อมาระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว หลังจากนั้นภายในเวลาสามร้อยปีของพื้นที่มงคลดอกบัว เขาก็ได้เห็นผลงานภาพเขียนพู่กันของยอดฝีมือมากมายที่มีตำแหน่งสูงอยู่ในราชสำนัก แม้ว่าทุกครั้งจะเป็นเพียงภาพที่วูบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปรากฏแค่วูบเดียวก็จางหายไป แต่เฉินผิงอันก็ยังคงจดจำความหมายคร่าวๆ ของพวกมันได้อย่างลึกซึ้ง
ดังนั้นเฉินผิงอันที่เดิมทีไม่คิดจะจ่ายเงินในหอชิงฝูจึงเริ่มหวั่นไหว ถึงอย่างไรฟังจากน้ำเสียงของท่านอาจารย์ผู้เฒ่าหงแล้ว หมึกไม้สนรมควันที่ใช้ในราชวงศ์กับเจว็ดรูปสตรีสวมหมวกคลุมหน้าก็ล้วนมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ต้องไม่ใช่ถูกๆ แน่นอน มีเพียงอักษรภาพชิ้นนี้ที่น่าจะไม่แพงเท่าไหร่
เฉินผิงอันจึงถามราคา ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาส่ายเบาๆ
ห้าเหรียญเงินร้อนน้อย
ตอนนั้นตะเกียบไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินคู่นั้นก็ราคาเท่านี้
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ซื้อไม่ไหว”
ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่เป็นเพราะตัดใจจ่ายเงินร้อนน้อยห้าเหรียญนี้ไม่ลง เพราะหากนำไปวางไว้ในตลาดของโลกมนุษย์ก็เท่ากับเงินห้าแสนตำลึงเชียวนะ!
ปีนั้นที่เขาซื้ออักษรภาพปึกใหญ่มาจากเสี้ยนเหว่ยขี้เมาสติเลอะเลือนของที่ว่าการอำเภอแคว้นเหมยโย่วก็จ่ายด้วยเหล้าหมักตระกูลเซียนแค่ห้ากาเท่านั้น ลองคำนวณราคาเต็มๆ ก็ไม่ถึงหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยด้วยซ้ำ
เรื่องของการซื้อขายย่อมกลัวการนำสิ่งของมาเปรียบเทียบกับเสมอ!
หากไม่มีประสบการณ์ใช้เงินซื้อภาพจากเสี้ยนเหว่ยขี้เมาครั้งนั้น ไม่แน่ว่าเฉินผิงอันอาจจะทำเหมือนตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าได้เห็นตะเกียบไม้ไผ่ กัดฟันซื้อมันเอาไว้
ผู้เฒ่าเองก็ไม่บังคับ รู้ดีว่าอีกฝ่ายติดขัดในเรื่องราคา ไม่ว่าจะอย่างไร การที่จอมยุทธพเนจรสะพายกระบี่ผู้นี้สามารถชื่นชอบอักษรภาพแบบลายมือหวัดนี้ได้ ก็ถือว่าไม่เสียแรงเปล่าที่ตนเอาออกมาให้ดูแล้ว
และเวลานี้เอง สตรีที่สวมชุดสีสันสดใสซึ่งยืนอยู่นอกประตูผู้นั้นก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าหง ทำไมไม่เอาสิ่งของที่เป็นสมบัติก้นกรุที่สุดของห้องนี้ออกมาเล่า?”
ผู้เฒ่าหัวเราะอย่างฉุนๆ “ฉิงฉ่าย เจ้าไม่ได้เป็นคนพาลูกค้ามาสักหน่อย ต่อให้ข้าขายของออกไปจากห้องนี้ได้ เจ้าก็ไม่มีทางได้เงินเหรียญทองแดงแม้แต่ครึ่งเหรียญ จะมาหลอกล่ออะไรส่งเดช!”
เห็นได้ชัดว่าสตรีสนิทกับผู้เฒ่าไม่น้อย นางเอ่ยหยอกเย้าว่า “อาศัยบารมีของลูกค้า ได้มองสมบัติหลายทีหน่อยก็เป็นเรื่องดีเหมือนกันนี่นา”
นางยิ้มกล่าวกับเฉินผิงอันว่า “คุณชายท่านนี้ มาที่ห้องนี้แล้วจะต้องดูของที่ดีที่สุดของท่านอาจารย์ผู้เฒ่าหงให้ได้ หากไม่ดูก็จะถือว่ามาเสียเที่ยว”
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้มีความต้องการเช่นนั้น แต่หงหยางโปกลับคลี่ยิ้มแล้วยื่นนิ้วชี้หน้านาง “เข้าข้างคนอื่นมากกว่าหรือ รีบหาบุรุษสักคนแต่งงานด้วยเถอะ เวลาอยู่ว่างๆ จะได้ไม่ต้องคอยหลอกต้มคนแก่อย่างพวกเรา เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็ได้ดูของดีสามชิ้นไปแล้ว เอาของที่ดีที่สุดออกมาอีกสักชิ้นจะเป็นไรไป”
ในที่สุดผู้เฒ่าก็หยิบกล่องผ้าแพรสี่เหลี่ยมปักด้ายทองชิ้นหนึ่งออกมา พอเปิดออก ทันใดนั้นไอเย็นก็โชยมาปะทะใบหน้า ไม่ได้ให้ความรู้สึกอึมครึมน่าสะพรึงกลัว แต่เป็นความรู้สึกเปิดเผยตรงไปตรงมาเหมือนวันที่หิมะตกหนักในเหมันตฤดู
—
น้ำที่ถูกกั้นไม่สู้น้ำไหล
เฉินผิงอันเพ่งสายตามองไป ด้านในนั้นวางเหรียญเงินฮวาเฉียน (เหรียญเงินประเภทหนึ่งในสมัยโบราณซึ่งชาวบ้านใช้ในการละเล่น ลักษณะเหมือนเหรียญเงินของจริง แต่เนื่องจากไม่ได้เป็นที่นิยม วัสดุที่ใช้จึงค่อนข้างหยาบ) เทียนซือกำราบภูตผีกลับหลังลักษณะเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนไว้สี่เหรียญ
ผู้เฒ่าทยอยพลิกเหรียญฮวาเฉียนทั้งสี่กลับมา พลางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แบ่งออกเป็นเจ้าพ่อสายฟ้า (เหลยกง) เจ้าแม่ฟ้าแลบ (เตี้ยนหมู่/เตียนบ๊อ) พระพิรุณ (อวี่ซือ) พระอัคคี (ฮว่อจวิน) ต่างคนต่างจับปีศาจกำราบมาร นี่คือสมบัติอาคมหายากที่เป็นเหรียญฮวาเฉียนสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะชุดหนึ่ง สวยงาม แล้วก็ใช้ได้จริง เคยมีเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์จูอิ๋งคนหนึ่งคิดจะซื้อไป เพียงแต่ว่าราคาที่เขาให้ต่ำกว่าที่ข้าผู้อาวุโสประมาณการณ์ไว้ เดิมทีก็ใช่ว่าจะขายออกไปไม่ได้ เพียงแต่ว่าไอ้หมอนั่นวางอำนาจบาตรใหญ่ข่มคนอื่นมากเกินไป เห็นของชั้นเยี่ยมของข้าผู้อาวุโสแล้ว ต่อให้ในใจจะชื่นชอบ แต่ก็ยังแสร้งวางสีหน้าสุขุม ข้าผู้อาวุโสเห็นแล้วก็หงุดหงิด ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้หากเอาไปใช้ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็แล้วไปเถิด มาแสดงอยู่ตรงหน้าข้าผู้อาวุโสก็ช่างทำให้ราชวงศ์จูอิ๋งขายหน้าเสียจริง ข้าก็เลยหาข้ออ้างไม่ขายให้เขาซะเลย”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ต่อให้ไม่ซื้อ ก็สามารถหยิบดูได้ มันไม่ใช่เครื่องกระเบื้องทั่วไปเสียหน่อย ไม่แตกง่ายๆ หรอก”
เฉินผิงอันจึงคีบเหรียญฮวาเฉียนหนึ่งในนั้นขึ้นมา พลิกกลับดูทั้งหน้าและหลังอย่างละเอียด หลังจากดึงสายตากลับแล้วก็ถามว่า “ขายอย่างไร?”
ผู้เฒ่ากล่าว “หนึ่งชุดสี่เหรียญ ไม่ขายแยก”
ผู้เฒ่ายังคงยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาแกว่งส่าย
แน่นอนว่าไม่ใช่ห้าเหรียญเงินร้อนน้อยแล้ว แต่เป็นเงินฝนธัญพืช
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ต่อรองราคาไม่ได้แล้วหรือ?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ลดไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะผิดต่อเหรียญฮวาเฉียนล้ำค่าที่สืบทอดมาจากธวัลทวีปชุดนี้”
เฉินผิงอันถาม “เชื้อพระวงศ์ราชวงศ์จูอิ๋งของปีนั้นกดราคาให้เหลือสี่เหรียญเงินฝนธัญพืชใช่หรือไม่?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เฉินผิงอันหน้ามุ่ย “ถ้าอย่างนั้นดูเหมือนว่าข้าจะไม่ต่างจากเขาสักเท่าไหร่”
เขาเองก็อยากหั่นราคาให้เหลือสี่เหรียญเงินฝนธัญพืช เพราะเขาก็ชื่นชอบมันมากเหมือนกัน อยากจะซื้อเก็บไว้เป็นของในกระเป๋ารวดเดียว
เงินเป็นสิ่งไม่มีชีวิต แต่คนนั้นมีชีวิต
หลังจากเฉินผิงอันมอบวัตถุจื่อชื่อใบถงให้กับเว่ยป้อแล้ว ก่อนจะลงมาจากภูเขา เว่ยป้อก็เอาเงินฝนธัญพืชออกมาให้สองก้อน ก้อนแรกคือเงินห้าเหรียญ เฉินผิงอันพกติดตัวมาด้วย คิดว่าเมื่อลงจากภูเขามาท่องเที่ยว จะอย่างไรเงินฝนธัญพืชห้าเหรียญก็คงพอจะรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้บ้าง ส่วนอีกก้อนหนึ่งนั้นเขาส่งไปที่ทะเลสาบซูเจี่ยน มอบให้กู้ช่านไว้ใช้จัดงานพิธีกรรมทางศาสนาของสองลัทธิ
หากเจอกับสิ่งของอย่างเตาตู้ทองห้าสีที่อยู่ในมือของลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวซึ่งต้องใช้เงินถึงห้าสิบเหรียญฝนธัญพืชเข้าจริงๆ ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคา เฉินผิงอันก็จะถือซะว่ามันไม่มีวาสนากับตน
เพราะถึงอย่างไรบัญชีรายรับรายจ่ายในตอนนี้ นอกจากร้านทั้งสองในตรอกฉีหลงที่แต่ละเดือนสามารถทำเงินได้หลายสิบตำลึงเงินแล้ว ภูเขาทั้งหมดซึ่งรวมถึงภูเขาลั่วพั่วเป็นหนึ่งในนั้นก็ยังไม่อาจหาเงินเทพเซียนเข้าบัญชีได้แม้แต่เหรียญเดียว
ตอนนี้จึงไม่เหมาะกับการใช้เงินอย่างเดียวโดยที่ไม่มีรายได้อีกแล้ว
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงก้องกังวาน “ยังมีส่วนที่ไม่เหมือนกันอยู่บ้าง ข้าผู้อาวุโสถูกชะตากับเจ้ามากกว่า เชิญเจ้าหั่นราคาได้ตามสบาย ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็ไม่ยอมตกลงอยู่แล้ว”
ทันใดนั้นเฉินผิงอันบังเกิดแรงบันดาลใจ จึงถามหยั่งเชิงไปว่า “ไม่ทราบว่าเงินเดือนของท่านอาจารย์ผู้เฒ่าหงที่อยู่ในหอชิงฝูแห่งนี้มากน้อยเท่าไหร่หรือ?”
ร้านผ้าห่อบุญของภูเขาหนิวเจี่ยวเขตการปกครองหลงเฉวียน คนจากไปแล้ว ทว่าสิ่งปลูกสร้างและหน้าร้านที่ทุ่มทรัพยากรไปมหาศาลนั้นยังคงอยู่ อีกทั้งในฐานะที่ภูเขาหนิวเจี่ยวมีท่าเรือตระกูลเซียนอยู่แห่งหนึ่ง การมีร้านอยู่ที่นั่นก็เหมาะแก่การทำการค้าอย่างแท้จริง
สตรีที่ยืนอยู่หน้าห้องปิดปากหัวเราะคิก แต่กระนั้นเสียงหัวเราะก็ยังคงเล็ดรอดออกมา เห็นได้ชัดว่าคำถามนี้ของเฉินผิงอันน่าขันเพียงใด
หากซื้อเหรียญฮวาเฉวียนสังหารภูตผีที่มีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคมสี่เหรียญนี้ไปได้ก็แล้วไปเถิด แต่หากซื้อไม่ไหว ยังจะกล้ามาพูดแซะหอชิงฝูแห่งภูเขาตี้หลงอีกหรือ? รู้หรือไม่ว่าในฐานะงูเจ้าถิ่นที่อยู่ตรงท่าเรือตระกูลเซียนภูเขาตี้หลง หอชิงฝูสืบทอดต่อกันมาหลายสิบชั่วคนแล้ว ขนาดพวกร้านขายของเก่ายังต้องมาชนตออยู่ที่นี่ สุดท้ายก็ไม่ได้เลือกที่นี่เป็นที่เปิดร้าน
หงหยางโปถูกหยอกจนขบขัน เขาโบกมือกล่าวว่า “อย่าหวังว่าข้าจะตอบเลย”
ผู้เฒ่าเตรียมจะเก็บกล่องผ้าแพรวัตถุวิเศษที่มีดิ้นทองรัดพันเพื่อปกปิดไอเย็นของเหรียญฮวาเฉียนลงไป คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะพลิกหมุนข้อมือ เงินฝนธัญพืชห้าเหรียญก็มาวางอยู่บนโต๊ะแล้ว “อาจารย์ผู้เฒ่าหง ข้าซื้อแล้ว”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างประหลาดใจ “จะซื้อจริงๆ หรือ? ไม่เสียใจทีหลังแน่นะ? ออกไปจากหอชิงฝูเมื่อไหร่ก็เท่ากับว่าเงินมาของไป ไม่ให้เอากลับมาคืนอีกแล้วนะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา นิ้วแต่ละข้างสัมผัสกับเงินฝนธัญพืชทั้งห้าเหรียญพอดี แต่แค่สัมผัสเขาก็ปล่อยออกทันที เพราะแน่ใจแล้วว่าเป็นเงินฝนธัญพืชบนภูเขาของจริง ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น การไหลเวียนของปราณวิญญาณเป็นระเบียบขั้นตอน ไม่ใช่ของปลอมแน่
ผู้เฒ่าถามอีกครั้ง “แน่ใจนะ?”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองกล่องที่เหลืออีกสามใบที่ยังไม่ได้เก็บลงไป ยิ้มถามว่า “มีของรางวัลเพิ่มให้บ้างได้หรือไม่?”
สตรีที่อยู่หน้าประตูหลุดหัวเราะพรืดอย่างอดไม่ไหว แล้วรีบหันหน้าหนีทันที
ผู้เฒ่าพูดทีเล่นทีจริง “หากช่วยให้ข้าใช้คืนเหล้ามื้อนั้นก็ย่อมได้ ตกลงไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แบบนี้ไม่ได้ ซื้อขายก็ส่วนซื้อขาย”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด ซื้อขายก็คือซื้อขาย ราคายุติธรรม ไม่มีของรางวัลเพิ่มแล้ว”
“ได้ ไม่มีของรางวัลก็ไม่มี น้ำเส้นเล็กไหลยาว วันหน้าค่อยว่ากัน”
เฉินผิงอันขยับตัวเล็กน้อย ใช้แผ่นหลังบังการมองเห็นจากตรงหน้าประตู แล้วเก็บกล่องผ้าแพรใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ
สุดท้ายผู้เฒ่าเดินพาเฉินผิงอันมาส่งที่หน้าประตูห้อง ใช่ว่าจะไปส่งถึงประตูใหญ่ที่ชั้นหนึ่งของหอชิงฝูไม่ได้ เพียงแต่จะผิดกฎ ง่ายที่จะทำให้คนเกิดการคาดเดาและสืบเสาะโดยที่ไม่จำเป็น
ผู้เฒ่าพลันถามว่า “หากก่อนหน้านี้เจ้ายอมตกลงว่าจะดื่มเหล้า เจ้าคิดจะเลือกของชิ้นไหนเป็นรางวัล? ‘ภาพน่าเสียดาย’?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เป็นเจว็ดรูปสตรีสวมหมวกคลุมหน้า”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “สายตาไม่เลว แต่ก็ไม่ถือว่าดีที่สุด ชิ้นที่มีค่ามากที่สุด แท้จริงแล้วคือหมึกรมควันไม้สนของเชื้อพระวงศ์แคว้นเสินสุ่ยชิ้นนั้น ราคาในตลาดคือเก้าเหรียญเงินร้อนน้อย หากคิดอย่างนี้ เดิมทีขอแค่เจ้าตกลงว่าจะดื่มเหล้า อันที่จริงก็จะเท่ากับว่าเจ้าหั่นราคาเหรียญฮวาเชียนสมบัติอาคมชุดนั้นที่เจ้าซื้อไปได้เหลือสี่เหรียญเงินฝนธัญพืช อย่างมากสุดข้าก็ได้กำไรแค่ครึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น ส่วนตอนนี้น่ะหรือ ก็คือหนึ่งเหรียญครึ่งแล้ว ต่อให้หักส่วนแบ่งของหอชิงฝูไป ชั่วชีวิตนี้ข้าก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะไม่มีเหล้าดื่มแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นหากคราวหน้าสหายของข้ามาที่หอชิงฝู ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าหงก็ช่วยเลี้ยงสุราดีๆ เขาด้วย เอาแบบที่แพงที่สุดเลยนะ”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ย่อมต้องเป็นเช่นนี้”
เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูมาแล้วก็บอกกับสตรีผู้นั้นว่าไม่ต้องไปส่ง จากนั้นจึงกุมหมัดบอกลา “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าหง ไว้พบกันใหม่วันหน้า”
ผู้เฒ่าผงกศีรษะตอบรับ “โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปส่งไกลกว่านี้ หวังว่าพวกเราจะได้ทำการค้าร่วมกันบ่อยๆ ดุจน้ำเส้นเล็กไหลยาว”
เฉินผิงอันจึงเดินลงจากหอ จูงม้าเดินไปบนถนนใหญ่นอกหอชิงฝู
การที่เขาซื้อเหรียญฮวาเฉียนชุดนั้นมาก็เพราะคิดว่าจะมอบพวกมันให้แก่จงขุยแห่งภูเขาไท่ผิง
เรื่องของการหาเงินนั้น จะรีบร้อนไม่ได้ แล้วก็จะโทษเขาเฉินผิงอันไม่ได้
เพียงแต่ว่าไม่นานเฉินผิงอันก็หันขวับกลับไป พบว่าสตรีสวมชุดกระโปรงหลากสีผู้นั้นเดินเร็วๆ มาหา ในอ้อมอกถือกล่องผ้าแพรไว้ใบหนึ่ง
เฉินผิงอันหยุดเดินแล้ว สตรีที่มีนามว่าฉิงฉ่ายก็ยื่นกล่องผ้าแพรส่งให้เขา ยิ้มกล่าวว่า “สุดท้ายแล้วท่านอาจารย์ผู้เฒ่าหงก็รู้สึกผิด ยอมตัดใจมอบของรักอย่างเจว็ดชิ้นนี้ให้แก่คุณชาย คุณชายคงไม่รู้หรอกว่าตอนที่ข้ารับเอากล่องมา ต้องดึงอยู่นานถึงจะดึงออกจากมือของอาจารย์ผู้เฒ่าได้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่าช่างน่าเกรงใจยิ่งนัก เพียงแต่ว่ามือไม้ของเขากลับไม่ช้าเลยแม้แต่น้อย ผลกลับกลายเป็นว่าสตรีก็ไม่ได้ปล่อยมือในทันที เฉินผิงอันต้องกระชากเบาๆ นางถึงจะยอมปล่อย
สตรีมองแผ่นหลังนั้นแล้วยกสองมือขึ้น ฝ่ามือทั้งสองว่างเปล่า
นางยิ้มพลางโคลงศีรษะ ย้อนกลับไปที่หอชิงฝู สตรีหลายคนในชั้นหนึ่งพอเห็นนางแล้วก็พากันก้มหน้าลง
มาถึงนอกห้องหงหยางโปที่ชั้นสอง ผู้เฒ่ายืนอยู่หน้าประตูอย่างนอบน้อม ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “เถ้าแก่ ก่อนหน้านี้เห็นท่ายกชามาให้ด้วยตัวเอง ทำเอาข้าตกใจแทบแย่”
สตรีคลี่ยิ้มอย่างไม่ยินดียินร้าย กล่าวว่า “ภายหลังที่ลูกค้าคนนั้นคิดจะขุดหลุมหลอกเจ้า เจ้าคงตกใจยิ่งกว่ากระมัง?”
ผู้เฒ่าหัวเราะจืดเจื่อน
สตรีเดินเข้ามาในห้อง ค้อมเอวยื่นนิ้วข้างหนึ่งไปหยอกคนจิ๋วชุดเขียวที่นั่งอยู่บนกิ่งต้นป่ายโบราณเล่น หงหยางโปยืนอยู่ด้านข้าง เอ่ยอย่างสงสัย “ไม่ทราบว่าเหตุใดเถ้าแก่ถึงบอกให้ข้านำเจว็ดสตรีสวมหมวกคลุมหน้าชิ้นนั้นไปมอบให้เขา?”
สตรีหยอกคนจิ๋วชุดเขียวน่ารักพวกนั้นเล่นพลางตอบว่า “มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคนผู้นี้ก็คือเซียนกระบี่หนุ่มที่ปรากฏตัวในหมู่บ้านวารีกระบี่”
ผู้เฒ่าทำสีหน้าเหลือเชื่อ “ไม่จริงกระมัง? ต่อให้สามารถควักเงินฝนธัญพืชออกมาได้ทีเดียวถึงห้าเหรียญ ซื้อเหรียญฮวาเชียนกำราบภูตผีที่กินฝุ่นมาร้อยปีชุดนั้นไปได้ แต่ปีนั้นข้าเคยพบเจอคนผู้นี้มาก่อน ตอนนั้นอย่างมากสุดเขาก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตสามเท่านั้น…”
สตรีเอ่ยเรียบๆ “แจกันสมบัติทวีปกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ จะมีหม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่ได้แค่คนเดียวจริงๆ หรือ?”
ผู้เฒ่ายังคงกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย ไม่คิดว่าคนหนุ่มผู้นั้นจะเป็นเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ทำให้ซูหลางแห่งแคว้นซงซีต้องกลับมาพร้อมความล้มเหลว
สตรีพลันเอ่ยว่า “อย่าลืมล่ะว่า ข้าก็คือมือกระบี่คนหนึ่ง”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เถ้าแก่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยม วัยเยาว์ก็ได้รับคำทำนายว่าจะได้เป็น ‘ผู้ฝึกกระบี่เซียนดิน’ วิชาการค้าก็เป็นแค่วิถีทางเล็กๆ ของท่านเท่านั้น”
สตรียืดตัวขึ้นตรง ปัดมือ “เมื่อครู่ตอนที่คนผู้นี้เดินขึ้นมาบนชั้นสองของหอชิงฝู ข้ากำลังเช็ดกระบี่โบราณอยู่ในห้อง ‘ปราณเย็น’ ชั้นสามพอดี จิตแห่งกระบี่ของข้าเกิดความไม่มั่นคงขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง แม้ว่าเพียงแวบเดียวก็จางหายไป แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงแท้แน่นอน”
จากนั้นสตรีก็เปิดกล่องผ้าแพรกล่องหนึ่งบนโต๊ะ หยิบอักษรภาพลายมือแบบหวัดชิ้นนั้นออกมา ไล่นิ้วมือไปตามลายหมึกพลางเอ่ยเนิบช้า “ข้าเดาเอาว่าอันที่จริงคนผู้นั้นมองออกแต่แรกแล้วว่าข้าไม่ใช่สาวใช้หอชิงฝูอะไรทั้งนั้น ดังนั้นเขาถึงได้คร้านจะปกปิดความจริงที่ว่าตัวเองมีวัตถุฟางชุ่นหรือวัตถุจื่อชื่อ ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อครู่ตอนที่จะจากลากันบนถนนใหญ่ ข้าจงใจมองไปที่กระบี่ยาวด้านหลังของเขา ตอนนั้นเขา…”
สตรีเงยหน้าขึ้น เอาสองมือไพล่หลัง “จะพูดว่าอย่างไรดีล่ะ เขาในตอนนั้นนิ่งสงบเหมือนพระโพธิสัตว์ดินเผาบนแท่นบูชา คนแบบนี้ หอชิงฝูมอบเจว็ดรูปสตรีที่มีค่าไม่กี่เหรียญเงินร้อนน้อยให้ไป จะนับเป็นอะไรได้? คนเขายินดียอมรับเอาไว้ แสดงว่ายอมรับน้ำใจนี้ของข้า หอชิงฝูก็ควรจะจุดธูปกราบไหว้บรรพบุรุษแล้ว”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีก็ยื่นนิ้วข้างหนึ่งวาดจากบนลงล่างหนึ่งขีด ใคร่ครวญท่าทีที่คนผู้นั้นมีต่อนาง มีต่อหงหยางโปแล้วก็เรียกได้ว่าแตกต่างราวกับเป็นคนละคนเลยทีเดียว
ผู้เฒ่าเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ตอนนั้นตนเกือบพลาดโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าไปแล้วใช่หรือไม่? ถึงได้ทำให้คนเขาลำบากใจ ต้องให้เขายอมตกลงดื่มเหล้าด้วยกันให้ได้ถึงจะยอมมอบของรางวัลเพิ่มเติมไปให้
สตรีพลันถามว่า “เจ้าว่าที่คนผู้นั้นไม่ตกลงดื่มเหล้ากับเจ้า เป็นเพราะเขาคือเซียนกระบี่บนยอดเขา จึงดูแคลนที่จะดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับเจ้าหงหยางโป หรือเป็นเพราะหวังให้สหายของเขาได้มาดื่มเหล้ากับเจ้าด้วยตัวเองจริงๆ ?”
ผู้เฒ่าตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอนว่าย่อมเป็นอย่างแรก”
สตรีหัวเราะทันใด “ส่วนแบ่งของเหรียญฮวาเชียนกำจัดภูตผีชุดนั้น วันนี้หอชิงฝูไม่หักไว้แล้ว หงหยางโป คราวหน้าเมื่อเลี้ยงเหล้าคนอื่น ก็เลี้ยงที่แพงๆ หน่อย อืม ‘เอาแบบที่แพงที่สุดเลยน่ะ’”
ผู้เฒ่าค่อยๆ คลี่ยิ้ม “ย่อมได้อยู่แล้ว!”
—
น้ำที่ถูกกั้นไม่สู้น้ำไหล
เฉินผิงอันจูงม้าเดินไปเบื้องหน้า หลังจากจ่ายค่าเดินทางแล้วก็ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม เขาจึงอดทนรอคอยให้เรือข้ามฟากออกเดินทางอยู่ที่ท่าเรือ เมื่อเงยหน้ามองไปก็เห็นว่าเรือข้ามฟากแต่ละลำบ้างก็ลอยตัวขึ้นสูง บ้างก็ลดระดับลงต่ำ การสัญจรดูแน่นขนัดวุ่นวายผิดปกติ
ดูเหมือนว่าเงินทองจะไหลมาเทมาเข้าสู่ท่าเรือแห่งนี้ยิ่งกว่าในอดีตเสียอีก หากในอนาคตภูเขาหนิวเจี่ยวยุ่งได้เท่าครึ่งหนึ่งของที่นี่ คิดดูแล้ววันๆ คงมีเงินทองเป็นกอบเป็นกำ
เงินทองใต้หล้าก็ดี เงินเทพเซียนก็ช่าง ล้วนกลัวการไม่ถูกขยับเขยื้อนทั้งสิ้น นับแต่อดีตมา สิ่งของอย่างทรัพย์สินเงินทองนั้นก็ล้วนชื่นชอบการขยับ ไม่ชอบการอยู่นิ่ง
นี่ก็คือถ้อยคำที่เอ่ยโดยไม่ได้ตั้งใจของชุยตงซานในปีนั้น ตอนที่ได้ยินไม่ได้รู้สึกอะไร ทว่าตอนนี้เฉินผิงอันก็เพิ่งจะขบคิดใคร่ครวญความหมายที่ซ่อนแฝงอยู่ได้
ชุยตงซานทิ้งจดหมายฉบับนั้นไว้ หลังจากได้พบกับชุยเฉิงท่านปู่ของเขาและออกไปจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว อีกฝ่ายก็เงียบหายไร้ข่าวคราว ราวกับวัวปั้นดินที่จมหายไปในมหาสมุทร
ในจดหมายนอกจากถ้อยคำประจบเอาใจที่สามารถมองข้ามไปได้แล้ว ยังพูดถึงเรื่องใหญ่สามเรื่อง เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ใหญ่ในแจกันสมบัติทวีป ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันไปถึงการนำดินห้าสีของขุนเขาใหม่มาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต
เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับหลี่ซีเซิ่งและสกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ ชุยตงซานหวังว่าอาจารย์อย่างเฉินผิงอันที่นอกจากจะยังคงรักและห่วงใยเป่าผิงน้อยอยู่เหมือนเดิมแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าตัวเองติดค้างตระกูลหลี่มากเกินไปนัก ทางที่ดีที่สุดคือรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายไว้บนความผิวเผิน ไม่จำเป็นต้องเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพรอีก
เรื่องสุดท้ายกลับเป็นเรื่องที่พูดขึ้นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ บอกแค่ว่าให้อาจารย์รออีกสักหน่อย คิดจะทำการใหญ่ ต้องอย่ารีบร้อน
แต่เฉินผิงอันกลับรู้ว่าชุยตงซานกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
เรื่องของเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเขา
ความคิดของเฉินผิงอันล่องลอยไปไกล ช่วงนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ลมเย็นพัดโชยผ่านยอดไม้ ฟ้าดินคล้ายจะสงัดเงียบวังเวง
ทันใดนั้นก็มีคนเดินเร็วๆ มาจากทางด้านหลังจนเกือบจะชนเข้ากับเฉินผิงอัน แต่เฉินผิงอันขยับเท้าเบี่ยงหลบไปได้อย่างไม่เป็นที่จับสังเกต ฝ่ายตรงข้ามคล้ายจะตั้งตัวไม่ทัน จึงหยุดกะทันหัน แล้วเดินเร็วๆ ต่อไปข้างหน้า ไม่หันกลับมาอีก
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ตามไปสืบเสาะ ต้องเป็นเพราะหลังจากออกจากหอชิงฝูมาแล้ว มีผู้คนมากมายมองเห็นว่าสตรีผู้นั้นมอบกล่องผ้าแพรใบหนึ่งให้กับเขา จึงมีคนเกิดใจปรารถนาอยากแย่งชิง
ผู้ฝึกตนที่คิดครอบครองทรัพย์สินเงินทองมักไม่ยึดหลักคุณธรรมใดๆ ในยุทธภพอยู่แล้ว
ผู้ฝึกตนอิสระและผู้ฝึกตนนอกรีตห้าขอบเขตกลางที่เฉินผิงอันสังหารไปตอนอยู่ในกลุ่มเทือกเขาทางใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ยกสองมือขึ้นนับก็ยังไม่พอ สุดท้ายยังแลกอาการบาดเจ็บกับผู้ฝึกตนอิสระโอสถทองคนหนึ่งที่ไม่ถือว่าผูกปมแค้นอะไรกัน หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็ปลอดภัยกันดี เฉินผิงอันทั้งไม่ได้ไปแก้แค้นถึงที่ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตามตอแยไม่เลิกรา อาศัยความได้เปรียบด้านชัยภูมิมาทำการล้อมสังหารอะไร
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง มีเด็กชายเด็กหญิงเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ใบหน้าเหลืองแห้งตอบ ตัวเตี้ยสองคนกำลังยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลด้วยท่าทางขลาดกลัว พวกเขากำลังเงยหน้ามองมายังเฉินผิงอันที่จูงม้า ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ในมือของเด็กทั้งสองต่างถือกล่องไม้ที่เปิดอ้าคนละใบ ด้านในบรรจุของเล็กๆ บนภูเขาประเภทขวดกระเบื้อง กระจกทองแดงบานเล็กและภาพวาด ไม่ถือว่ามีปราณวิญญาณอะไร และในความเป็นจริงแล้วหากคนมีเงินนำไปเป็นของประดับตกแต่งในห้องหนังสือก็ถือว่าไม่เลว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสิ่งของที่มีค่าประมาณหนึ่งถึงสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่เมื่อเทียบกับราคาที่วางขายในตลาดของชาวบ้านทั่วไปแล้วก็ถือว่าแพงมาก นี่คงพอจะถือว่าเป็นร้านผ้าห่อบุญขนาดเล็กที่สุดในใต้หล้าได้กระมัง เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเบื้องหลังเด็กๆ มักจะแฝงไว้ด้วยกลุ่มผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น พวกเด็กๆ ก็แค่หวังให้ตัวเองได้กินอิ่มนอนอุ่นเท่านั้น
เฉินผิงอันตั้งใจเลือกสิ่งของกระจุกกระจิกมาสองสามชิ้น ต่อรองราคาอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ใช้เงินเกล็ดหิมะสิบสองเหรียญซื้อของเล็กๆ มาสามชิ้น หนึ่งคือแท่นฝนหมึกสลักคำว่า ‘โชคดีตลอดไป’ หนึ่งคือตราประทับหินหวงต้งเก่าแก่คู่หนึ่ง สีสันของมันแดงสด มองดูแล้วน่ารักชวนให้คนชื่นชอบ และชามตื้นทำจากวัสดุสีแดงเนื้อลื่นวาวใบหนึ่ง เขาคิดว่าเมื่อกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วจะมอบให้แก่เผยเฉียน ถึงอย่างไรแม่หนูนั่นก็ไม่ค่อยสนใจราคาของวัตถุอยู่แล้ว คิดแค่ว่ามีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
เฉินผิงอันหยิบเงินเกล็ดหิมะซื้อออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วเอาของสามชิ้นใส่ไปไว้ในชายแขนเสื้อ
เด็กสองคนเอ่ยขอบคุณแล้วก็หมุนตัววิ่งปรู๊ดจากไป คงกลัวว่าคนหลอกง่ายผู้นี้จะเปลี่ยนใจกระมัง
พวกเขาก้าวเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาว่องไว ท่าทางอารมณ์ดีอย่างยิ่ง พอห่างไปไกลแล้วถึงชะลอฝีเท้าลง หันไปกระซิบกระซาบกันเอง
มองใบหน้าอ่อนเยาว์ด้านข้างของเด็กทั้งสองไกลๆ ก็เห็นว่าเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ
ปีนั้นตอนที่อยู่ถ้ำสวรรค์หลีจู ทุกครั้งที่วิ่งเอาจดหมายฉบับหนึ่งไปส่งก็จะได้เงินเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญมาจากเจิ้งต้าเฟิง คิดดูแล้วฝีเท้าของตนเองที่วิ่งอยู่บนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ในเวลานั้นมีแต่จะเร่งร้อนยิ่งกว่าเด็กสองคนนี้
มองสีท้องฟ้าแล้ว เฉินผิงอันก็ไปซื้อเหล้าเอ็นมังกรกาหนึ่งมาจากร้านเหล้าใกล้ท่าเรือ ไม่ได้เข้าไปนั่งในร้าน แต่มานั่งอยู่ข้างทาง เมื่อเทียบกับเหล้าหมักกุ้ยฮวาของนครมังกรเฒ่าและเหล้าอีกาครวญของทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วก็ด้อยกว่ามาก แน่นอนว่าราคาก็ต่ำกว่าด้วย ว่ากันว่าน้ำที่นำมาหมักเป็นเหล้ามาจากน้ำพุมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งที่อยู่กลางภูเขาตี้หลง อีกทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของปราณวิญญาณทั้งหมดในภูเขาตี้หลงอีกด้วย ว่ากันว่าปีนั้นหลังจากที่มังกรแท้จริงตัวนั้นแหวกดินผุดจากเส้นทางมังกรเดินมาเผยกาย ก็ได้ถูกเซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งเลาะเอ็นมังกรออกมาช่วงหนึ่ง พอผสานรวมเข้ากับเส้นสายเทือกเขาแล้วจึงทำให้ปราณวิญญาณของภูเขาแม่น้ำประหนึ่งสายน้ำพุไหลริน
เฉินผิงอันดื่มเหล้าคำแล้วคำเล่า หาได้ยากนักที่จะมีเวลาผ่อนคลายสบายอารมณ์เช่นนี้ การเดินทางลงใต้กลับมาเยือนสถานที่ที่เคยผ่านอีกครั้งในคราวนี้ อันที่จริงล้วนเร่งเดินทางอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังต้องคอยนับนิ้วคำนวณวันกลับ น้อยครั้งนักที่จะมีช่วงเวลาที่จิตใจผ่อนคลายเช่นนี้
ม้าตัวนั้นต่อให้ไม่ถูกเชือกพันธนาการเอาไว้ มันก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างว่าง่าย บางครั้งก็ยกกีบเท้าขึ้นเตะพื้นหินเบาๆ
อันที่จริงเฉินผิงอันคอยมองมันอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้โอกาสมันได้ก่อเรื่องใดๆ
ตอนที่พาไปอยู่ภูเขาลั่วพั่วจะได้ให้มันเป็นเพื่อนกับม้าที่ตนตั้งชื่อว่าฉวีหวงตัวนั้น
คนเดินเท้าที่อยู่ตรงแถบท่าเรือนี้ นอกจากจะเป็นผู้ฝึกตนแล้ว ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคนรวย หรือไม่ก็ชนชั้นสูง เฉินผิงอันดื่มเหล้า มองการกระทำและคำพูดของพวกเขาไปเงียบๆ ทว่ามองเพียงไม่นานก็ละสายตาออกอย่างรวดเร็ว
เวลาล่วงผ่านไปอย่างเนิบช้า
เฉินผิงอันวางถ้วยเหล้าลง จูงม้าเดินไปที่ท่าเรือ
พอขึ้นเรือมาแล้ว ผูกม้าไว้เรียบร้อย เฉินผิงอันก็เริ่มฝึกเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในห้องของตัวเอง จะปล่อยให้ตัวเองแพ้จ้าวซู่เซี่ยที่ตนถ่ายทอดวิชาหมัดให้คงไม่ดีเท่าไหร่
ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่นั่งโดยสารเรือ เขาจะต้องฝึกหมัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เสมอ
กลางดึกที่เงียบสงัดของวันหนึ่ง เฉินผิงอันเดินมาที่หัวเรือ นั่งลงบนราวรั้ว ดวงจันทร์กลมโตลอยอยู่กลางนภา ในตำราบอกไว้ว่าดวงจันทร์คือแสงแห่งมาตุภูมิ เพียงแต่ว่าดูเหมือนตำราในใต้หล้าไพศาลจะไม่เคยกล่าวไว้ว่า ในใต้หล้าอีกแห่งหนึ่ง บนหัวกำแพงเมือง เมื่อทอดสายตามองออกไปจะเห็นทัศนียภาพแปลกตาที่มีดวงจันทร์ลอยกลางนภาถึงสามดวง ขอแค่คนต่างถิ่นได้เห็นเพียงครั้งก็จะต้องจดจำไปชั่วชีวิต
ห่างออกไปไม่ไกลมีคู่ชายหนุ่มหญิงสาวที่สวมอาภรณ์ผ้าแพรกำลังเกี้ยวพากันกระหนุงกระหนิง
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก การดื่มเหล้าในทุกวันนี้ไม่มีความรู้สึกเหมือนช่วงแรกเริ่มที่ดื่มอีกแล้ว กลุ้มก็ดื่ม ไม่กลุ้มก็ดื่ม แต่ไม่ได้ติดอะไร ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เหมือนการดื่มน้ำตอนเยาว์วัย
คู่รักหนุ่มสาวหน้าบาง คาดไม่ถึงว่าดึกดื่นเช่นนี้จะยังมีโคมไฟดวงใหญ่ขนาดนั้นแขวนไว้บนราวรั้ว จึงได้แต่เดินอ้อมออกห่างไปไกลยิ่งกว่าเดิม พวกเขาพร่ำพูดความในใจแก่กัน ทว่ามือของบุรุษกลับไม่อยู่นิ่ง สตรีเขินอาย ใบหน้าแดงก่ำ บางครั้งก็คอยชำเลืองตามามองโคมไฟที่เกะกะตาดวงนั้น เห็นว่าดูเหมือนคนผู้นั้นจะไม่ทันสังเกตเห็น ถึงได้โล่งใจ ปล่อยให้คนรักลูบไล้ไปทั่วกาย ถึงอย่างไรการลงเขามาท่องเที่ยวของสำนักในครั้งนี้ ส่วนใหญ่ล้วนให้คนสองคนอยู่ห้องเดียวกัน ยากนักที่จะมีโอกาสได้อยู่กันตามลำพัง พวกเขาจึงนัดหมายเวลาเพื่อลอบออกจากห้องมาพบกันไว้นานแล้ว
เฉินผิงอันถือโอกาสทิ้งตัวลงนอนหงาย ยกเท้านอนไขว่ห้าง สองมือกอดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
หางตาของเฉินผิงอันชำเลืองไปยังจุดที่ห่างไปไกล ตรงนั้นมีคนหนุ่มสีหน้าเฉยชา รูปโฉมธรรมดาสู้บุรุษที่กำลังกระซิบกระซาบอยู่ริมหูของสตรีไม่ได้คนหนึ่งยืนอยู่
แล้วเฉินผิงอันก็ไม่เหลือบมองอีก
หลังจากที่คนผู้นั้นจากไปด้วยความผิดหวัง เพียงไม่นานก็มีหญิงชราท่าทางขุ่นเคืองผู้หนึ่งเดินมาทางนี้ คู่รักทั้งสองจึงผละจากกันทันที
บุรุษที่ก่อนหน้านี้ขวัญกล้าเทียมฟ้าถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก้มหน้าลง ส่วนสตรีที่อับอายกลับเดินหน้ามาหนึ่งก้าว ประสานสายตากับผู้อาวุโสในสำนักโดยตรง
หญิงชราตำหนิสั่งสอนอย่างรุนแรงไปคำรบหนึ่ง แล้วจึงสะบัดชายแขนเสื้อเดินจากไป
สตรีปิดหน้าร่ำไห้ บุรุษจึงพูดจาปลอบโยนนาง
จากคำพูดที่ไม่ประติดประต่อของหญิงชรา เฉินผิงอันถึงได้รู้ว่าผู้ฝึกตนตระกูลเซียนแคว้นซงซีกลุ่มนี้จะเดินทางไปร่วมงานพิธีที่ภูเขาเมฆาเรือง ที่นั่นเพิ่งจะมีคนเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองได้สำเร็จ ในฐานะผู้อาวุโสในศาลบรรพจารย์ของสำนัก หญิงชราที่กำลังโมโหจึงไม่อนุญาตให้สตรีผู้นั้นขึ้นเขา ให้นางรอคอยอยู่ที่ตีนเขาของภูเขาเมฆาเรืองเท่านั้น ฟังจากคำพูดของนาง หญิงชราค่อนข้างจะลำเอียงไปทางบุรุษ หากไม่เป็นเพราะมีคนนอกอยู่ด้วย เชื่อว่าหญิงชราคงไม่ได้ด่าแค่คำว่า ‘นังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์’ แล้วยอมหยุดแต่โดยดีเป็นแน่
พอหญิงชราจากไป บุรุษผู้นั้นเป็นคนรู้จักพูด เพียงไม่นานสตรีก็หัวเราะทั้งน้ำตา ใบหน้าเปื้อนยิ้มของสตรีที่เหมือนดอกสาลี่พร่างพิรุณประหนึ่งท้องฟ้าสดใสหลังฝนผ่านพ้น มองดูแล้วน่าหลงใหลเป็นที่สุด
เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้เคลื่อนสายตาไปมอง เพียงจ้องม่านฟ้าที่แสงจันทร์กระจ่าง ดวงดาวบางตาเท่านั้น
หลังจากชายหญิงต่างกลับเข้าห้องของตัวเองกันไปแล้วก็มีคนอีกคนหนึ่งมายืนอยู่ใกล้ๆ กับราวรั้ว ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก หลังจากที่เขาแอบไปฟ้องผู้อาวุโสในสำนักแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะละอายใจหรือรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ ถึงได้มาฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว เหม่อมองท้องฟ้ายามราตรี
คนผู้นั้นพลันหันขวับกลับมา “แนะนำเจ้าว่าอย่าปากมากดีกว่า”
แม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวไหลรินไม่หยุดนิ่ง ในชีวิตคนคนหนึ่งย่อมมีคนมากมายผ่านทางมา
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจคำขู่ของเซียนซือหนุ่มคนนั้นแม้แต่น้อย
คนผู้นั้นพลันเดือดดาลอย่างหนัก “เจ้าหูหนวกหรือไร?!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ “ใช่ ข้าหูหนวก”
คนผู้นั้นอึ้งตะลึง แล้วจึงตวาดกร้าว “เจ้าอยากตายรึ?!”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “เจ้าคุยกับคนหูหนวก โง่หรือไง?”
คนผู้นั้นโกรธจนลมออกจากทวารทั้งเจ็ด ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า เพียงแต่ว่าเดินมาได้ครึ่งทางกลับชะงักกึก พอนึกถึงคำสั่งสอนของเหล่าอาจารย์และข่าวลือในยุทธภพบางอย่าง คนหนุ่มผู้นี้ก็ล้มเลิกความคิดที่จะทำอะไรโดยใช้อารมณ์
เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะแสดงให้เห็นว่าตนแข็งนอกอ่อนใน ผู้ฝึกตนหนุ่มจึงลังเลตัดสินใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดท้าทายต่อไป หรือว่าจะจากไปดี เมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องหงุดหงิดใจ
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “หากเจ้าแยกยวนยางคู่นั้นได้สำเร็จจริงๆ เจ้ารู้สึกว่าตัวเองจะได้ใจสาวงามงั้นหรือ? หรือรู้สึกว่าต่อให้ถอยไปก้าวหนึ่ง ได้แค่กอดสาวงามกลับไปก็พอแล้ว?”
ผู้ฝึกตนหนุ่มเงียบงันไม่ตอบคำถาม
เฉินผิงอันลุกขึ้นนั่ง หันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “นางคือศิษย์พี่หญิงของเจ้ากระมัง? ถ้าอย่างนั้นบุรุษที่ศิษย์พี่หญิงของเจ้าชอบ กับบุรุษที่ชอบนาง ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนดีสักคน เจ้าว่าสตรีแบบนี้น่าเวทนาหรือไม่? หรือจะบอกว่าเจ้าสามารถรอได้ รอวันใดที่ศิษย์พี่หญิงของนางถูกทรยศ เสียใจอย่างสุดซึ้งแล้ว เจ้าก็จะได้ฉวยโอกาสเข้าหานาง? หลังจากได้นางมาครอบครองค่อยทอดทิ้ง ถือเป็นการแก้แค้นของเจ้า?”
มือสองข้างของผู้ฝึกตนหนุ่มกำเป็นหมัดจนเส้นเอ็นปูดโปน
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เมื่อพินิศมองจิตใจคนอย่างละเอียดก็ช่างน่าเบื่อจริงๆ มิน่าเล่าผู้ฝึกตนบนภูเขาอย่างพวกเจ้าถึงต้องคอยทบทวนสอบถามจิตใจตัวเองเป็นประจำ ในผืนนาของหัวใจ หากไม่มีพืชพรรณเติบโตก็เป็นวัชพืชรก”
สายตาของผู้ฝึกตนหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ฟังจากถ้อยคำนี้ คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ฝึกตน?
ถ้าอย่างนั้นก็เป็นแค่มือกระบี่ในยุทธภพคนหนึ่ง?
ทว่าเมื่อคนผู้นั้นชำเลืองตามามองเขา พริบตานั้นเขากลับรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นราดหัว เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด
ผู้ฝึกตนหนุ่มจากไปอย่างลนลาน ไม่มีเวลามามัวสนใจศักดิ์ศรีหน้าตาอะไรอีกแล้ว ถึงอย่างไรจากลากันครานี้ก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาพบเจอกันอีกแล้ว
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลังจากไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน วิธีแก้ปัญหาที่ตนคิดขึ้นมาได้ยังคงไม่มีประโยชน์มากนัก ตอนนั้นประโยคเดียวของชุยเฉิงก็เป็นดั่งการเปิดโปงเจตนารมณ์สวรรค์ มารในใจของคนไม่มีแบ่งแยกดีเลว นั่นต่างหากจึงจะเป็นจุดที่น่ากลัวที่สุด และจุดที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น หากเอ่ยตามคำพูดของชุยเฉิงก็คือ เขาเฉินผิงอันความจำดีเกินไป เคยชินกับการขบคิดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากเกินไป ก่อนหน้านั้นได้เปรียบมามากเท่าไหร่ หลังจากนี้ก็ต้องเจอกับความยากลำบากมากเท่านั้น
น้ำที่ถูกอุดกั้นไม่สู้น้ำไหล
ตนควรต้องไปเยือนอุตรกุรุทวีปในเร็ววันแล้วจริงๆ