Skip to content

Sword of Coming 483

บทที่ 483 จูเหลี่ยนอีกคน

อันที่จริงเผยเฉียนยังไม่รู้สึกง่วง เพียงแต่ว่าถูกเฉินผิงอันไล่ให้ไปนอน ตอนที่เฉินผิงอันเดินผ่านเรือนของเฉินยวนจี ในเรือนยังคงมีเสียงออกหมัดจนอาภรณ์สะบัดดังทึบๆ ลอยมาให้ได้ยิน จูเหลี่ยนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูเรือน ยิ้มตาหยีมองมายังเฉินผิงอัน

คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากัน ความสูงของร่างกายแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีบุรุษทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปก็ตัวสูงอยู่แล้ว หนุ่มฉกรรจ์ของต้าหลีก็ยิ่งมีเรือนกายบึกบึนล่ำสัน แสดงให้เห็นถึงความมีพละกำลัง เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งแคว้น เสื้อเกราะและดาบศึกที่ต้าหลีสร้างขึ้นล้วนอิงตาม ‘แบบตระกูลเฉา’ และ ‘แบบตระกูลหยวน’ ต่างก็มีชื่อเสียงในด้านความหนัก หากไม่ใช่พลทหารของถิ่นทางเหนือก็ล้วนไม่อาจสวมใส่หรือพกพาได้

ตอนนี้เรือนกายของเฉินผิงอันสูงเพรียว จูเหลี่ยนก็เคยชินที่จะงอหลังค้อมเอว หากมองแค่ด้านหลังคนหนึ่งก็ราวกับฟ้า อีกคนหนึ่งราวกับดิน

เฉินผิงอันคิดว่าจะให้จูเหลี่ยนไปที่ทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อนำเงินฝนธัญพืชซึ่งใช้ในการจัดงานพิธีการทางศาสนาสองลัทธิไปมอบให้กับพวกกู้ช่านเจิงเย่ จูเหลี่ยนไม่มีความเห็นต่าง ระหว่างนี้ต่งสุ่ยจิ่งก็จะติดตามไปด้วย แต่ต่งสุ่ยจิ่งจะหยุดอยู่แค่ที่นครน้ำบ่อ เพื่อไปพบปะกับกวนอี้หรานหลานชายสายตรงสกุลกวนอันเป็นเสาหลักของแคว้นเป็นการส่วนตัว จูเหลี่ยนก็ดี ต่งสุ่ยจิ่งก็ช่าง ล้วนเป็นคนที่ทำให้เฉินผิงอันวางใจให้ทำเรื่องต่างๆ คนทั้งสองเดินทางพร้อมกัน เฉินผิงอันจึงไม่จำเป็นต้องกำชับสั่งความอะไรเป็นพิเศษ

เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบังแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้ากับจูเหลี่ยน จูเหลี่ยนที่พอรับฟังแล้วก็ไม่ได้พูดจาปลงอนิจจังหรือทอดถอนใจใดๆ เพียงเอ่ยว่าเมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว การกระทำของเขาก็เป็นเพียงแค่การจัดงานพิธีในเปลือกหอยเท่านั้น (เปรียบเปรยถึงการอยู่ในที่แคบๆ คล้ายสำนวนไทยว่ากบในกะลา) ตอนนี้มาอยู่ใต้หล้าไพศาลจึงไม่คิดถึงเรื่องการสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่อะไรอีกแล้ว เขาจูเหลี่ยนคงได้แต่ทำงานยิบย่อยประเภทกวาดหิมะหน้าประตูและน้ำค้างบนกระเบื้องเท่านั้น

พอมาถึงชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ เฉินผิงอันก็บอกให้จูเหลี่ยนนั่งลงก่อน ส่วนตัวเองเริ่มเก็บสัมภาระข้าวของ วันมะรืนก็ต้องไปที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวเพื่อขึ้นเรือข้ามทวีปลำหนึ่งที่เดินทางไปกลับระหว่างนครมังกรเฒ่ากับอุตรกุรุทวีป จุดหมายก็คือ ‘สถานที่ชัยภูมิดี’ ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เพราะมีชื่อเสียงมากจนเฉินผิงอันเคยอ่านเจอจากในตำราเทพเซียนเล่มที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัว อีกทั้งความยาวยังไม่ใช่สั้นๆ ชื่อของสถานที่แห่งนั้นคือชายหาดโครงกระดูก คือซากปรักของสมรภูมิรบโบราณแห่งหนึ่งที่อยู่ทางทิศใต้ของอุตรกุรุทวีป สำนักตระกูลเซียนที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้มีชื่อว่าสำนักพีหมา (สวมผ้าป่าน/ผ้าที่ทอด้วยปอ หมายถึงการใส่ชุดไว้ทุกข์ของคนจีน) คือสำนักเบื้องล่างของสำนักใหญ่แห่งหนึ่งในแผ่นดินกลาง ในสำนักเลี้ยงทหารหยินขุนพลหยินไว้นับแสนตน เพียงแต่ว่าแม้จะเป็นการคบค้าสมาคมกับภูตผีวัตถุหยิน ทว่าชื่อเสียงของสำนักพีหมากลับดีเยี่ยม ยามที่ลูกศิษย์ในสำนักลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ล้วนจะต้องนำวิญญาณอาฆาตชั่วร้ายที่สร้างหายนะให้กับโลกคนเป็นมาเป็นต้นทุน อีกทั้งเจ้าสำนักคนแรกของสำนักพีหมา ในอดีตได้ย้ายจากแผ่นดินกลางมาที่ชายหาดโครงกระดูกพร้อมกับเพื่อนร่วมสำนักอีกสิบหกคน ก่อนที่จะเปิดขุนเขาก็ได้ตั้งกฎเหล็กไว้ข้อหนึ่งว่า ลูกศิษย์ในสำนัก หากลงภูเขาไปกำจัดภูตผี สยบปีศาจ ห้ามรีดไถเอาค่าตอบแทนใดๆ จากคนที่มาขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางชนชั้นสูง หรือชาวบ้านธรรมดาทั่วไปก็ตาม ห้ามรับไว้แม้แต่เงินอีแปะเดียว ผู้ที่ละเมิดกฎจะโดนสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะแล้วถูกขับไล่ออกจากสำนัก

ดังนั้นผู้ฝึกตนสำนักพีหมาของชายหาดโครงกระดูกจึงมีชื่อเรียกที่งดงามอีกอย่างหนึ่งในอุตรกุรุทวีปว่า ‘เซียนซือน้อย’

รัศมีหนึ่งพันลี้โดยรอบสำนักพีหมา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนผีฝ่ายธรรมะที่มาลงหลักปักฐาน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคิดว่าพอไปถึงชายหาดโครงกระดูกจะต้องไปเดินเล่นอยู่สักหลายๆ วัน เพราะถึงอย่างไรเรื่องของการยึดครองเกาะแห่งหนึ่งในทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อสร้างสำนักที่เหมาะสมให้ผู้ฝึกตนผีฝึกตนก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เฉินผิงอันพะวงถึงตลอดเวลา แต่กลับยังไม่อาจทำให้สำเร็จได้

จูเหลี่ยนเห็นว่าเฉินผิงอันหยิบชุดอาคมจินหลี่ที่พับเป็นระเบียบออกมาแล้วก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับคิดจะเก็บมันลงไป ไม่นำไปอุตรกุรุทวีปด้วย

จูเหลี่ยนชำเลืองตามองพัดพับที่เฉินผิงอันวางไว้บนโต๊ะเล่มนั้น เป็นพัดที่ชุยตงซานมอบให้ จูเหลี่ยนใช้ก้นคิดก็ยังรู้ว่าต้องเป็นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เขาจึงยิ้มกล่าวว่า “นายน้อย จินหลี่บวกกับพัดพับ ก็เหมือนโฉมสะคราญงามล่มเมืองในวัยที่เหมาะสมคนหนึ่ง กับกระจกแก้วบานหนึ่งที่ยามส่องก็เผยให้เห็นรูปลักษณ์ชัดเจนทุกซอกทุกมุมซึ่งเหมาะสมเข้าคู่กันอย่างยิ่ง”

เฉินผิงอันนั่งลงด้านหลังโต๊ะหนังสือ คิดคำนวณเงินเทพเซียนอย่างละเอียดพลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ข้าไปฝึกกระบี่ที่อุตรกุรุทวีป ไม่ได้เป็นเที่ยวเล่นตามภูเขาแม่น้ำสักหน่อย อีกอย่างต่างก็พูดกันว่าที่อุตรกุรุทวีปนั้น หากเห็นใครไม่ถูกชะตาก็ต่อยตีฆ่าแกงกันแล้ว หากข้ากล้าไปท่องยุทธภพทั้งแบบนี้จะไม่กลายเป็นว่าเลียนแบบเผยเฉียนที่แปะยันต์ไว้บนหน้าผาก แล้วเขียนคำว่า ‘อยากโดนเตะ’ ไว้บนแผ่นยันต์หรอกหรือ?”

จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “นายน้อย ต่อให้เป็นยุทธภพที่วุ่นวายแค่ไหนก็ไม่มีทางมีแค่การรบราฆ่าฟันกันอย่างเดียวเท่านั้น ต่อให้เป็นที่ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังมีสุนทรียะ มีรสนิยมกันไม่ใช่หรือ? เก็บจินหลี่ไว้กับตัวเถอะ อาจจะต้องได้ใช้ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เปลืองที่สักเท่าไหร่”

แต่แล้วแสงสว่างก็ผุดวาบขึ้นมาในหัวของจูเหลี่ยน จึงยิ้มเอ่ยว่า “ทำไม หรือนายน้อยคิดจะมอบวัตถุชิ้นนี้ให้ใคร ‘ยืม’ ใช้อย่างนั้นหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อยากจะหาโอกาสไหว้วานให้คนนำไปส่งที่สกุลเฉินผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีป มอบให้หลิวเสี้ยนหยาง”

จูเหลี่ยนถาม “ผ่านทางสกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยที่มาสร้างโรงเรียนอยู่ในเมืองเล็กน่ะหรือ?”

เฉินผิงอันคีบเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งขึ้นมาเบาๆ ลักษณะของมันเหมือนเงินหยกเหลือง ทั้งด้านตรงและด้านหลังล้วนมีตัวอักษรสลักเอาไว้ ไม่เหมือนกับตัวอักษร ‘ออกเหมยเข้าร้อนจัด’ และ ‘อสนีกัมปนาทฟาดฟ้า’ ที่สลักไว้บนเงินร้อนน้อยเหรียญที่เหวยเว่ยหนึ่งในผีสาวของสี่พิฆาตเอาออกมาฟาดเคราะห์ แต่ทั้งด้านตรงและด้านหลังสลักคำว่า ‘เก้ามังกรพ่นน้ำ’ ‘แสงเทพแปดส่วน’ เนื้อหาที่สลักลงบนเงินร้อนน้อยมักจะเป็นเช่นนี้ มีมากมายหลากหลาย ไม่มีข้อกำหนดที่แน่นอน ไม่เหมือนเงินเกล็ดหิมะที่ทั่วหล้าใช้เพียงชนิดเดียว แน่นอนว่านี่ก็คือความร้ายกาจของสกุลหลิวเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีป ส่วนที่มาของเงินร้อนน้อยก็กระจัดกระจายไปสี่ด้านแปดทิศ เป็นเหตุให้เวลานำเงินร้อนน้อยทุกชนิดที่ได้รับความนิยมมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินเกล็ดหิมะจึงค่อนข้างจะมีความผันผวน

เฉินผิงอันกล่าว “ปีนั้นสกุลเฉินผู้รอบรู้มาเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู คนที่มาตรวจสอบต้นเจียที่ขึ้นบนหลุมศพมีนามว่าเฉินตุ้ย แม้ว่านางจะอารมณ์ร้าย พูดจากระโชกโฮกฮาก แต่นิสัยกลับไม่เลว และเฉินซงเฟิง บัณฑิตสกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยของราชวงศ์ต้ายงที่มารับรองเฉินตุ้ยในปีนั้นก็สนิทกับเพื่อนคนหนึ่งของข้าที่ชื่อว่าหลิวป้าเฉียวมาก แม้ว่านิสัยของเฉินซงเฟิงจะนุ่มนิ่มไปหน่อย ยามที่เผชิญหน้ากับทายาทสตรีตระกูลสูงศักดิ์ที่มาจากทักษินาตยทวีปก็ไม่มีความมั่นใจมากพอ แต่ความสุภาพอ่อนโยนของเฉินซงเฟิงผู้นี้ไม่ใช่ว่าจะเสแสร้งกันได้ เชื่อว่าคงมาจากตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียงดีงามเป็นพันปีตระกูลหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็มีค่ามากกว่าสมบัติกึ่งเซียนหนึ่งชิ้น”

ไม่ว่าจะให้อีกฝ่ายยืมก็ดีหรือยกให้เลยก็ช่าง จูเหลี่ยนไม่รู้สึกว่าการที่เฉินผิงอันจะส่งชุดคลุมอาคมจินหลี่ชิ้นนี้ไปให้หลิวเสี้ยนหยางมีอะไรไม่เหมาะสม แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ดังนั้นจึงยืนกรานในความคิดของตัวเองกับเฉินผิงอันอย่างหาได้ยาก “นายน้อย แม้จะบอกว่าตอนนี้ท่านคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกแล้ว ขาดอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนี้ก็จะกลายเป็นซี่โครงไก่ หรืออาจถึงขั้นกลายเป็นตัวภาระ แต่คำว่า ‘ขาดอีกแค่ก้าวเดียว’ นี้ จะไม่คิดเล็กคิดน้อยเลยได้อย่างไร? การเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปจะต้องมีทั้งอันตรายและโอกาสที่มาเยือนพร้อมกัน พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย หากเจอกับผู้ฝึกกระบี่ที่แข็งแกร่งเข้าจริงๆ อีกฝ่ายมีพลังพิฆาตรุนแรง ต่อให้นายน้อยสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่เหมือนเสื้อเกราะน้ำค้างหวานของสำนักการทหารที่เอาไว้ต้านรับกระบี่สองสามครั้ง ก็ยังถือเป็นเรื่องดี รอจนคราวหน้าที่นายน้อยกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ไม่ว่าจะสามปีห้าปี หรือต่อให้สิบปีแล้วค่อยส่งไปให้หลิวเสี้ยนหยางก็ยังไม่สายเกินไปอยู่เหมือนเดิม ถึงอย่างไรขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว อย่าว่าแต่เซียนดินโอสถทอง ก่อกำเนิดสองขอบเขตนี้เลย ต่อให้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งก็ไม่กล้าพูดว่าสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนี้แล้วจะเป็นการลดสถานะของตัวเอง”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที แล้วจึงเก็บชุดคลุมอาคมจินหลี่ไว้ในวัตถุฟางชุ่นอย่างกระบี่บินสืออู่

จูเหลี่ยนเอ่ย “ในเมื่อชุยตงซานก็บอกแล้วว่ายังเหลือเวลาอีกครึ่งร้อยปีให้พวกเราได้วางแผนรับมืออย่างมั่นคง นายน้อยเองก็ยอมรับในข้อนี้ เหตุใดพอถึงเวลาเข้าจริงๆ กลับเปลี่ยนความคิดกะทันหันเสียเล่า? นี่ไม่เหมือนนิสัยของนายน้อยเลย”

เฉินผิงอันจ้องนิ่งไปยังไฟของตะเกียงที่วางไว้บนโต๊ะ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะ “จูเหลี่ยน พวกเรามาดื่มเหล้าแล้วพูดคุยกันดีไหม?”

จูเหลี่ยนก้มหัวค้อมเอว ถูมือกล่าวว่า “ย่อมดีอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักกุ้ยฮวาสองกาที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีออกมา ขยับสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะ จูเหลี่ยนนั่งอยู่ตรงข้ามโดยมีโต๊ะตัวหนึ่งกั้นขวาง

เฉินผิงอันจึงเริ่มเล่าถึงด่านในจิตใจและการสูญเสีย การได้มา ความโชคดี ความโชคร้ายระหว่างที่ต้องสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นใหม่ให้จูเหลี่ยนฟัง ไม่แบ่งแยกว่าเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่ถูกทุบแตกยามเยาว์ การชักคะเย่อทางใจกับเจ้าลัทธิลู่เฉิน การมองดูแม่น้ำแห่งกาลเวลาสามร้อยปีร่วมกับนักพรตเฒ่าในพื้นที่มงคลดอกบัว ต่อให้เป็นเรื่อง ‘ช่องโหว่’ ในจิตใจที่ได้มาจากการออกกระบี่สองครั้งของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะและจั่วโย่วที่ร่องเจียวหลงก็ล้วนเล่าให้จูเหลี่ยนฟังหมด รวมไปถึงการใช้หลักการเหตุผลของตัวเองในทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วต้องชนตอหัวร้างข้างแตกอย่างไร เหตุใดถึงต้องทำให้หัวใจบุ๋นร่างทองที่มีแนวโน้มว่าจะมี ‘คุณธรรมประจำกาย’ ดวงนั้นแหลกสลายไปด้วยตัวเอง การเคาะประตูหัวใจเบาๆ เพื่อบอกลา รวมไปถึงสิ่งที่มากกว่าคือเสียงร้องไห้คร่ำครวญของพวกภูตผีที่อยู่นอกประตูหัวใจ…

เดิมทีนี่ก็เป็นรากฐานมหามรรคาของคนคนหนึ่ง เป็นเรื่องต้องห้ามอย่างใหญ่หลวง ควรจะให้ฟ้ารู้ดินรู้และตัวเองรับรู้เท่านั้น จะไม่มีทางนำไปบอกใครง่ายๆ คู่รักเทพเซียนบนภูเขาหลายคู่ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะยินดีเปิดเผยเรื่องนี้กับฝ่ายตรงข้ามด้วยซ้ำ

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันพูดอย่างง่ายๆ ผ่อนคลาย จูเหลี่ยนเองก็ไม่มีท่าทีอึดอัดใจใดๆ เพียงแค่ตั้งใจรับฟัง บางครั้งก็ดื่มเหล้าช้าๆ หนึ่งอึก

เฉินผิงอันค้อมตัวหยิบไหใบเล็กใบหนึ่งออกมาจากในลิ้นชักแล้วเทเศษกระเบื้องที่กองกันเป็นพะเนินเล็กๆ ออกมา ไม่ได้เทลงบนโต๊ะโดยตรง แต่วางลงบนฝ่ามือตัวเองก่อน จากนั้นถึงได้ค่อยๆ ถ่ายลงบนโต๊ะด้วยท่าทางอ่อนโยน

“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเศษกระเบื้องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่ปีนั้นท่านพ่อของข้าทุบแตกด้วยมือตัวเอง หลังจากนั้นไม่นาน ท่านแม่ของข้าก็ป่วยและจากโลกนี้ไป ปีนั้นตอนที่ได้พวกมันมา ข้ายังคงมึนงง จึงไม่ได้คิดอะไรมากนักว่าเหตุใดพวกมันถึงถูกส่งมาถึงมือข้าได้ในท้ายที่สุด มัวแต่เสียใจอย่างเดียวเท่านั้น”

เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบชิ้นหนึ่งขึ้นมา สายตาหม่นหมอง พูดเบาๆ ว่า “ก่อนจะออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู ตอนที่ลอบสังหารไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรืองก็อาศัยมันนี่แหละ หากว่าล้มเหลวก็ไม่มีทุกอย่างในวันนี้ เรื่องราวต่างๆ นานาก่อนหน้านั้น เรื่องราวต่างๆ นานาหลังจากนั้น อันที่จริงล้วนกำลังเดิมพันอยู่ไม่ต่างกัน ก่อนจะไปเป็นลูกศิษย์ที่เตาเผามังกร ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร หลังจากเรียนการเผาเครื่องปั้นกับผู้เฒ่าเหยาแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องหิวตาย หนาวตาย ก็เลยเริ่มคิดหาวิธีที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ นึกไม่ถึงว่า สุดท้ายที่ต้องออกไปจากเมืองเล็กจะยังต้องเริ่มใคร่ครวญอีกครั้งว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร หลังออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวของอารามกวานเต๋าแห่งนั้น ก็มาย้อนคิดดูอีกครั้งว่าควรจะมีชีวิตที่ดีอย่างไร จะทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง…”

เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองลวดลายของโต๊ะหนังสือที่อยู่ใต้แสงสะท้อนของแสงไฟ “ชีวิตของข้ามีทางแยกปรากฎขึ้นมากมาย เคยเดินไปบนเส้นทางที่อ้อมไปไกล แต่การไม่รู้ก็มีข้อดีของการไม่รู้”

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น “นั่นก็คือหลังจากที่ในชีวิตของข้าได้พบเจอกับคนที่ข้ารู้สึกเคารพเลื่อมใสจากใจจริง ข้าก็รู้แล้วว่าพวกเขายืนอยู่ตรงไหน ข้าจะรู้สึกสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่า เพราะเหตุใดพวกเขาถึงได้เดินไปที่นั่น จากนั้นก็ง่ายแล้ว เมื่อข้าแน่ใจในทิศทางใหญ่แล้วก็แค่ต้องก้มหน้าก้มตาทำเรื่องของตัวเองไป หมั่นทบทวนถามใจตัวเอง คิดให้มากขึ้นว่าหากพ่อแม่ของตัวเอง อาจารย์ฉี อาเหลียงเจอเรื่องแบบเดียวกันนี้ พวกเขาจะคิดอย่างไร ทำอย่างไร หลังจากนั้นมา อันที่จริงข้าก็กำลังเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ข้าอยากจะนำสิ่งที่ข้าคิดว่าเป็นข้อดีบนตัวของคนอื่นมาทำให้กลายเป็นของตัวข้าเองทั้งหมด ข้าจึงคล้ายหัวขโมยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เพราะว่าข้ากลัวความยากจน กลัวมากเหลือเกิน ข้าต้องการรั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทะนุถนอมและเห็นค่าเอาไว้ เรื่องของเงินทอง ใช่ว่าข้าจะไม่สนใจเลยสักนิดเดียว ไม่ใช่ว่าข้าเฉินผิงอันเกิดมาก็เป็นกุมารแจกทรัพย์ แต่เป็นเพราะสำหรับข้าแล้ว การที่บ้านมีแต่ผนังสี่ด้าน บนกายไร้วัตถุใดๆ การที่ต้องทนกับความยากลำบาก เป็นเรื่องที่ธรรมดาเกินไป ข้าไม่กลัวแม้แต่น้อย ต่อให้วันนี้ข้าไม่มีภูเขาลั่วพั่วแล้ว กลับคืนไปมีสภาพเดิม เหลือแค่บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงหลังเดียว ข้าก็ไม่กลัวอยู่เหมือนเดิม”

“ข้าแพ้ให้กับข้อดีมากมายบนตัวของพวกเจ้า แล้วก็ได้เรียนรู้มามากมายเช่นกัน นอกจากเจ้าจูเหลี่ยนแล้วก็ยกตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสซ่งแห่งหมู่บ้านวารีกระบี่ ฟ่านเอ้อร์แห่งนครมังกรเฒ่า หลิวโยวโจวแห่งจวนหยวนโหรว เฉาสือที่ฝึกหมัดอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลู่ไถ หรือแม้แต่ราชครูจ้งชิวของพื้นที่มงคลดอกบัว โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ วิญญูชนจงขุยแห่งภูเขาไท่ผิง และยังมีหลิวเหล่าเฉิง หลิวจื้อเม่าศัตรูคู่อาฆาต เจิงเย่แห่งทะเลสาบซูเจี่ยน ฯลฯ ข้าล้วนมองดูพวกเจ้าอยู่เงียบๆ ยามเห็นส่วนที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดบนร่างของพวกเจ้าทุกคน ข้าก็อิจฉาอย่างยิ่ง”

จูเหลี่ยนอีกคน

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ดังนั้นผู้อาวุโสชุยจึงมองปมของปัญหาออก ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องดีอย่างการได้เปรียบเพียงอย่างเดียว ไม่แบ่งแยกความดีเลวในการลงมือและวิธีการที่ใช้ ทุกอย่างล้วนมีผลลัพธ์ตามมาทั้งสิ้น”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “การเป็นคนดีไม่เหมือนการฝึกวิชาหมัดที่เพียงแค่มุมานะตั้งใจฝึกฝนปณิธานหมัดก็เข้ามาอยู่บนกาย การเป็นคนที่ดี เอาตรงนี้มานิดหนึ่ง ลูบคลำตรงนั้นหน่อยหนึ่ง ง่ายที่จะเหมือนเพียงรูปลักษณ์ แต่ไม่เหมือนทางจิตวิญญาณ เดิมทีเมื่อเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตแหลกสลาย สภาพจิตใจของข้าก็แตกกระจายตามไปด้วย ผลกลับกลายเป็นว่าทุกวันนี้ตกอยู่ในสภาพเหมือนเมืองที่แบ่งแยกดินแดนตั้งตัวเป็นอิสระ เพราะหากไม่ฝืนแบ่งแยกหลักกับรอง ปัญหาก็มีแต่จะใหญ่มากกว่าเดิม อาจเอาแต่เพ้อฝันเหมือนคนปัญญาอ่อน คิดจะฝึกฝนจนตัวเองกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ อันที่จริงก็ยังนับว่าดี ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เดินขึ้นที่สูงทีละก้าว ไม่พิถีพิถันในเรื่องพวกนี้ แต่หากเลียนแบบผู้ฝึกลมปราณ การเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตกลางคือด่านหนึ่ง สร้างโอสถทองก็ยิ่งเป็นอีกด่านหนึ่ง กลายเป็นก่อกำเนิดแล้วฝ่าทะลุขอบเขตก็ยิ่งเป็นด่านยากด่านใหญ่ นี่ไม่เหมือนคำว่างบปลายปีผ่านยาก แต่ก็ผ่านมาได้ทุกปี (งบปลายปีตามปฏิทินจันทรคติของจีน เพราะคนเป็นหนี้จะรู้สึกคล้ายกับว่าต้องผ่านด่าน) อย่างที่ชาวบ้านชอบพูดกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็สามารถอดทนจนผ่านไปได้ เรื่องของการฝึกตนนั้น หากไม่สมบูรณ์แบบครั้งหนึ่ง ก็มีแต่จะนำพาหายนะมาสู่ตัว”

เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักเสียง “ข้าไม่เคยรู้สึกว่านี่เป็นเพราะข้าคิดมากไปเอง ข้ายังคงเชื่อมั่นในคำว่าแพ้ชนะชั่วคราวขึ้นอยู่กับพละกำลัง แต่การเดินบนเส้นทางขึ้นสู่ที่สูงนี้ แพ้ชนะอย่างยาวนานกลับอยู่ที่หลักการเหตุผล นี่ก็คือรากฐานในการหยัดยืน จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ ใต้หล้าไม่เคยมีเรื่องดีๆ ที่รอให้ข้ามีชีวิตที่ดีก่อนแล้วค่อยใช้เหตุผล คุณความชอบยิ่งใหญ่ที่ทำสำเร็จได้ด้วยการไม่ใช่เหตุผล ในอนาคตก็มีแต่จะยิ่งไร้เหตุผลมากกว่าเดิม ในพื้นที่มงคลดอกบัว เจ้าอารามผู้เฒ่ามีกลอุบายลึกล้ำแยบยล ข้าคอยยืนดูอยู่ข้างๆ เขาเงียบๆ ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้วในใจกลับหวังว่าจะมองเห็นผลลัพธ์ของสามเรื่อง ถึงท้ายที่สุดกลับทำไม่ได้ สองเรื่องคือกระโดดข้ามไป เรื่องสุดท้ายถูกขัดจังหวะ เพราะต้องออกมาจากริมตลิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลา กลับคืนมายังโลกมนุษย์ของพื้นที่มงคลดอกบัวอีกครั้ง เรื่องที่ว่านั้นก็คือบัณฑิตคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแคว้นซงซีฉลาดเฉลียวอย่างยิ่ง มีชาติกำเนิดเป็นจิ้นซื่อ อีกทั้งยังมีปณิธานยิ่งใหญ่ยาวไกล ทว่าเมื่ออยู่ในวงการขุนนางกลับเจอแต่อุปสรรค ยากลำบากอย่างถึงที่สุด ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะปรับเปลี่ยนจิตใจของตัวเองเสียก่อน ลองศึกษากฎของวงการขุนนางดู เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม รอให้วันใดได้เข้าสู่ใจกลางราชสำนักแล้วค่อยกอบกู้โลกและช่วยเหลือปวงประชา ข้าก็เลยอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่า สุดท้ายแล้วบัณฑิตคนนี้ทำได้หรือว่าล้มเลิกไป”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว ในมือหิ้วกาเหล้าที่ไม่ได้ดื่ม เริ่มเดินวนรอบหลังโต๊ะที่มีพื้นที่คับแคบ พลางพูดพึมพำกับตัวเอง “หลักการเหตุผลมากมาย ข้ารู้ว่ามันดีมากๆ ถูกผิดมากมาย ข้าเองก็รู้อย่างชัดเจน ต่อให้ข้าจะได้เห็นแค่ผลลัพธ์ ทุกอย่างที่ข้าทำ ไม่ถือว่าเลวร้าย ทว่าระหว่างนี้ความยากลำบากก็มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รับรู้ เรียกได้ว่าความรู้สึกนับร้อยนับพันประดังประเดเข้าหา วุ่นวายไร้ระเบียบ ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นตอนที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนควรจะฆ่ากู้ช่านหรือไม่ ควรจะเป็นพันธมิตรกับหลิวจื้อเม่าที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตหรือไม่ จะแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามหลิวเหล่าเฉิงเพื่อเอาตัวรอดหรือไม่ หลังจากเรียนรู้จนมีความสามารถติดตัวแล้ว ควรจะคิดบัญชีกับศัตรูอย่างไร จะทำเหมือนการตัดสินใจในปีนั้นที่บุกรุดหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัว ไม่ต้องสนใจสิ่งใดอีกดีไหม? หรือว่าควรจะใคร่ครวญอย่างละเอียด ลองถอยไปหนึ่งก้าวแล้วตั้งสมมติฐานดูว่าควรจะต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนอะไรหรือไม่? การแก้ไขนี้ หากทำให้เรื่องราวถูกต้อง สอดคล้องกับหลักการเหตุผลแล้ว ทว่าส่วนลึกในใจข้าเฉินผิงอันสบายใจแล้วจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันยืนนิ่ง เขาส่ายหน้า สายตาเด็ดเดี่ยว พูดอย่างเฉียบขาดว่า “ข้าไม่สบายใจ”

เงียบไปครู่หนึ่ง

เฉินผิงอันก็แหงนหน้ากระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ ยกมือปาดริมฝีปาก “จะทำอย่างไรดี? แรกเริ่มข้านึกว่าขอแค่ได้ไปเยือนอุตรกุรุทวีปก็จะมีอิสระเสรี แต่คำพูดของผู้อาวุโสชุยกลับเป็นการเปิดโปงเรื่องนี้โดยตรง การกระทำนี้มีประโยชน์ แต่กลับมีประโยชน์ไม่มาก แก้ไขที่ปลายเหตุไม่ใช่ที่ต้นเหตุ นี่ทำให้ข้า…ลังเลอย่างมาก ข้าไม่กลัวหากต้องเสี่ยงอันตราย ต้องลำบาก หรือต้องได้รับความอยุติธรรม แต่ข้ากลับกลัวความรู้สึกที่…มองไปรอบด้านแล้วเห็นแต่ความว่างเปล่ามากที่สุด”

สายตาของเฉินผิงอันหม่นหมอง “ฟ้าดินกว้างใหญ่ โดดเดี่ยวเดียวดาย มองไปไม่เห็นญาติมิตร เหลียวซ้ายแลขวา ทำถูกก็ไม่มีคนชื่นชม ทำผิดก็ไร้คนด่า ความรู้สึกย่ำแย่เช่นนั้นในวัยเด็ก อันที่จริงมันคอยวนเวียนอยู่รอบกายข้าตลอดเวลา ขอแค่ข้านึกถึงมันก็จะต้องรู้สึกสิ้นหวัง ข้ารู้ดีว่าสภาพจิตใจเช่นนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง ตลอดหลายปีมานี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงแก้ไข แต่ก็ยังทำได้ไม่ดีพอ ดังนั้นกับกู้ช่าน กับหลิวเสี้ยนหยาง และกับคนทุกคนที่ข้าเห็นเป็นเพื่อน ข้าล้วนอยากจะยกสองประมือประคองส่งสิ่งของไปให้พวกเขา เป็นเพราะข้ามีจิตใจดุจพระโพธิสัตว์จริงๆ หรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าเพียงแต่เริ่มตั้งสมมติฐานว่าข้ารั้งสิ่งใดไว้ไม่อยู่ แต่ขอแค่พวกเขาถือไว้ในมือ ต่อให้ข้าได้แค่มองแวบหนึ่งและเห็นว่ามันยังอยู่ ก็ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว เงินก็ดี สิ่งของก็ช่าง ล้วนเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนกับชุดคลุมอาคมจินหลี่ชุดนี้ ตัวข้าเองไม่ชอบหรือ? ชอบสิ ชอบมาก ร่วมทุกข์ด้วยกันมานานขนาดนี้ จะไม่มีความผูกพันเลยได้อย่างไร ข้าเฉินผิงอันเป็นใคร? แม้แต่ฉวีหวงม้าผอมๆ ตัวหนึ่งที่อยู่เคียงข้างกันและกันมาสองปีกว่าก็ยังต้องพาออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนกลับภูเขาลั่วพั่วไปด้วยกัน แต่ข้ากลัวว่าหากวันใดจู่ๆ ข้าตายไประหว่างการเดินทาง ทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกคนอื่นแย่งชิงไป แล้วจะให้พวกมันกลายเป็นโชควาสนาตระกูลเซียนที่ ‘เหลือ’ ให้กับคนที่ข้าไม่รู้จักเลยน่ะหรือ? แน่นอนว่าไม่สู้เอาไปมอบให้กับหลิวเสี้ยนหยางเสียแต่เนิ่นๆ ยังดีกว่า”

จูเหลี่ยนวางกาเหล้าลง ไม่ดื่มเหล้าอีก เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ความกังวลใจของนายน้อยไม่ใช่เรื่องในครอบครัวของตัวเอง แต่เป็นปัญหายากพันปีที่ทุกคนใต้หล้ามีร่วมกัน”

จูเหลี่ยนใช้ฝ่ามือสองข้างลูบที่เท้าแขนเก้าอี้เบาๆ “ไม่ใช่แค่นายน้อยคนเดียวเท่านั้นที่มี ข้าจูเหลี่ยนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็มีเหมือนกัน ติงอิงมี บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ก็มี นักปราชญ์ วิญญูชน อริยะ สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาทั้งหมดบนโลกล้วนมีด้วยกันทั้งสิ้น รากเหง้าความรู้ของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนัก อันที่จริงต่างก็กำลังงัดข้ออยู่กับ ‘ใจคน’ การควบคุมอบรมตนให้เป็นไปตามระเบียบพิธีการ วิญญูชนที่สำรวมตนแม้ยามอยู่เพียงลำพังของลัทธิขงจื๊อ การคล้อยตามธรรมชาติ ไม่กลบเกลื่อนความผิดที่ตัวเองกระทำของลัทธิเต๋า การกำราบวานรดื้อม้าพยศในหัวใจของลัทธิพุทธ ความรู้ล้วนเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่และดีงาม แต่ว่าเมื่อต้องนำมาปฏิบัติจริง ธรณีประตูก็ยังคงสูงเกินไป ก็เหมือนกับขี้ไก่ขี้หมาในตรอกหนีผิงที่ยากจะให้ความสนใจ ทฤษฎีคุณความชอบของชุยฉานและชุยตงซาน ความล้ำค่าของมันนั้นอยู่ที่ต่อให้เป็นเรื่องเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งนอกตรอกก็ยังสามารถควบคุมได้ดี ข้อเสียนั้นอยู่ที่ใช้พละกำลังกับเรื่องหยุมหยิมมากเกินไป ต้องชั่งน้ำหนักกับทุกเรื่อง ง่ายที่จิตใจคนจะเดินลงสู่ที่ต่ำ เป็นในทางปฏิบัติมากเกินไป ไม่สนใจเชิงทฤษฎีเลย ก็ยากที่จะแสวงหาสิ่งที่อยู่เหนือกว่าได้อีก”

จูเหลี่ยนลุกขึ้นยืน ยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาค้ำผิวโต๊ะไว้เบาๆ แล้วเคาะ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ต่อจากนี้โปรดอนุญาตให้บ่าวเฒ่าแหกกฎสักครั้ง ไม่ยึดถือเรื่องสถานะ แต่ขอเรียกชื่อนายน้อยออกมาตามตรง”

จูเหลี่ยนเอ่ยต่อว่า “หยุดชะงักไม่เดินหน้าต่อ นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าวิธีการที่เจ้าเฉินผิงอันปฏิบัติต่อโลกใบนี้ กับเจตจำนงเดิมของเจ้ากำลังงัดข้อกันและเข้ากันไม่ได้ อีกทั้งปมในใจที่มองดูเหมือนเล็กเท่าเมล็ดงาเหล่านี้ ยิ่งระดับความสูงในการเรียนวรยุทธและขอบเขตของผู้ฝึกตนสูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ้าเฉินผิงอันเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งหมัดปล่อยออกไป ปีนั้นสามารถต่อยให้หินอิฐและผนังปริแตก วันหน้าต่อยหมัดหนึ่งออกไป แม้แต่กำแพงเมืองวังหลวงของราชวงศ์โลกมนุษย์ก็ยังเละเป็นหน้ากลองได้ ปีนั้นเจ้าส่งหนึ่งกระบี่ออกไปก็สามารถช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นจากอันตราย สะท้านสะเทือนเหล่าศัตรู วันหน้าไม่แน่ว่าแค่ปราณกระบี่พุ่งไปถึง แม่น้ำลำธารก็อาจแหลกสลาย ศาลบรรพจารย์ของตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งหนึ่งอาจถึงขั้นหายวับไปไม่เหลือ แล้วจะไม่มีความผิดเลยได้อย่างไร? หากเจ้าคือหม่าขู่เสียน คนคนหนึ่งที่เจ้ารังเกียจมาก หรือแม้กระทั่งเป็นหลิวเสี้ยนหยาง คนคนหนึ่งซึ่งเป็นสหายที่ดีที่สุดของเจ้า ก็ล้วนไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ แต่ก็เพราะว่าเป็นเช่นนี้ เจ้าเฉินผิงอันถึงได้เป็นเฉินผิงอันในเวลานี้”

จูเหลี่ยนชี้ไปที่เฉินผิงอัน “เจ้าถึงได้เป็นเจ้า”

จูเหลี่ยนวาดวงกลมวงหนึ่งลงบนโต๊ะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ขอแค่เจ้าทำให้ความรู้และหลักการเหตุผลของตัวเองสอดคล้องกับโลกใบนี้ได้ ก็จะทั้งสามารถแก้ไขปัญหา แล้วทั้งสามารถใช้ชีวิตผ่านพ้นไปด้วยดีในแต่ละวัน ขณะเดียวกันก็พอจะสบายใจได้ ไม่ต้องแสวงหาสิ่งนอกกายอีก แต่สถานการณ์ถามใจหลังจากนั้น ต้องการให้เจ้าลองถามตัวเองดูว่า เจ้าเฉินผิงอันเป็นใครกันแน่ ในเมื่อเจ้าเลือกทางเส้นนี้ ถ้าอย่างนั้นถูกก็ดี ผิดก็ช่าง ล้วนจำเป็นต้องรู้ไว้ก่อน รู้อย่างชัดเจน มองให้กระจ่างชัด ความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนผิดให้เป็นถูก แก้ไขให้สมบูรณ์แบบถึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่อย่างนั้นไม่ว่าเรื่องใดก็อย่าได้หวังเลย”

จูเหลี่ยนยื่นนิ้วมาชี้หน้าเฉินผิงอันอีกครั้ง เพียงแต่ว่าคราวนี้ยกนิ้วขึ้นสูงกว่าเดิมเล็กน้อย ชี้ไปที่เหนือหัวของเฉินผิงอัน “ก่อนหน้านี้บอกกับเจ้าแล้วว่า ประโยคนั้นที่เว่ยป้อเอ่ยถึง มีประโยชน์อย่างมาก นั่นก็คือในใจของคนคนหนึ่ง ควรจะต้องมีตะวันจันทรา”

จูเหลี่ยนค่อยๆ ลดระดับนิ้วลงช้าๆ ชี้ไปที่ด้านหลังของเฉินผิงอัน “แล้วเจ้าเองก็เล่าว่าราชครูชุยฉานได้บอกว่า ในใจของคนคนหนึ่งมีแสงสว่างเจิดจ้า ประหนึ่งพืชพรรณที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะต้องหันไปมองเงาด้านหลังตัวเองหน่อยหรือไม่”

จูเหลี่ยนถาม “สองประโยคนี้พูดถึงอะไร?”

จูเหลี่ยนถามเองตอบเอง “หนึ่งคืออนาคต อีกหนึ่งคืออดีต ดังนั้นข้ามีอีกหนึ่งคำถาม ตอนนี้เป็นอย่างไร คิดว่าตัวเองเป็นใคร มีหลักการเหตุผลข้อหนึ่งที่ผู้คนรับรู้กันถ้วนทั่ว แต่กลับเป็นประโยคที่ข้าจูเหลี่ยนให้ความสำคัญมากที่สุด และตอนนี้ก็สามารถหยิบออกมาตาก…แสงตะเกียงและแสงจันทร์ของที่นี่ได้พอดี ‘ผู้ที่เข้าใจคนอื่นคือผู้มีสติปัญญา ผู้ที่เข้าใจตัวเองคือผู้รู้แจ้ง’ แจ้งคืออะไร? คำนี้จะอธิบายว่าอย่างไร? ในเมื่อจิตใจสว่างไสวไร้มลทิน นั่นก็คือมีครบทั้งตะวันจันทราจึงสว่างชัดแจ้ง”

เฉินผิงอันกลับไปนั่งที่เดิม ดื่มเหล้า ทำท่าคล้ายกระจ่างแจ้ง แล้วก็คล้ายได้ยกภูเขาออกจากอก

สุดท้ายจูเหลี่ยนยิ้มกล่าวว่า “เรื่องบางอย่าง คิดแล้วไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องกลัว แค่เดินหน้าต่อไป เดินให้ช้าหน่อย ผิดแล้วก็แก้ไข หากไม่ผิดก็พยายามทำให้ดีขึ้น ทำถูกแล้วก็พยายามทำให้ถูกต้องที่สุด ความสามารถทั้งหลาย ความรู้ทุกอย่าง ก็ล้วนต้องนำมาปฏิบัติจริงไม่ใช่หรือ? ภูเขาห้อยหัวไปมาได้ ใบถงทวีปไปมาได้ พื้นที่มงคลดอกบัวไปมาได้ ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังไปมาได้ อุตรกุรุทวีปที่นับแต่โบราณมาก็มีเหล่าผู้กล้ามากมาย ก็ไม่ควรเป็นสถานที่ที่เฉินผิงอันควรจะไปฝึกกระบี่มากที่สุดหรอกหรือ? เหล้าต้องพกไปหลายๆ กาหน่อย ชุดเขียวสะพายกระบี่ จงไปเยือนอุตรกุรุทวีปท่องเที่ยวทิศเหนืออย่างห้าวเหิม ยามที่กลับคืนมายังทิศใต้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ชื่อเซียนกระบี่มาครองแล้ว ทำให้ยุทธภพของที่แห่งนั้นจดจำชื่อของเจ้าเฉินผิงอันไปหนึ่งร้อยปี หนึ่งพันปี!”

ตอนที่เฉินผิงอันได้ยินประโยคแรกๆ ก็ยังรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่พอฟังมาถึงช่วงท้ายๆ กลับไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่เป็นเรื่องที่ตัวเขาไม่มีทางคิดถึงอย่างแน่นอน

จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ยุทธภพมีสาวงามที่ลุ่มหลงในรักมากมาย นายน้อยก็ต้องระวังไว้สักหน่อย”

เฉินผิงอันจนใจ จูเหลี่ยนที่เอ่ยคำพูดเหล่านี้คล้ายจะเป็นแบบที่เขาคุ้นเคยมากกว่า

จูเหลี่ยนยกกาเหล้าขึ้น “คืนนี้ได้ดื่มและพูดคุยกับนายน้อยอย่างเต็มคราบ บ่าวเฒ่าอย่างข้าก็เหมือนได้เปิดสติปัญญาให้กระจ่างแจ้ง ขอให้นายน้อยดื่มเหล้ากานี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยจากไปได้หรือไม่?”

จูเหลี่ยนที่เป็นแบบนี้ก็ยิ่งไม่แปลกหน้าสำหรับเขา

เฉินผิงอันยิ้มพลางยกกาเหล้าขึ้น ต่างคนต่างดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาในกาของตัวเองจนหมด

หลังจากจูเหลี่ยนหิ้วกาเหล้าที่ว่างเปล่า ปิดประตูเดินจากไป เฉินผิงอันก็เริ่มหันมาเก็บสัมภาระใหม่อีกครั้ง

เงินเทพเซียนล้วนเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อแผ่นหยกที่ปีนั้นเจิ้งต้าเฟิงเคยมอบให้ตอนอยู่นครมังกรเฒ่า เขาขอเงินฝนธัญพืชจากเว่ยป้อที่ช่วย ‘ดูแลเงิน’ ให้มาสามสิบเหรียญ ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป จะไม่มีทางนำมาใช้เด็ดขาด มีเพียงเกี่ยวข้องกับโชควาสนาในการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสามชิ้นที่นอกเหนือจากดินและน้ำ เขาถึงจะใช้เงินก้อนนี้ ซื้อสมบัติอาคมที่พบเจอโดยบังเอิญซึ่งตรงกับใจ อีกทั้งยังเหมาะแก่การฝึกตนของเขา

นอกจากนี้ยังพกเงินร้อนน้อยไปอีกสิบเหรียญ รวมไปถึงเงินเกล็ดหิมะหนึ่งพันเหรียญ

เจี้ยนเซียน น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แน่นอนว่าย่อมพกติดตัวไปด้วย

สวมชุดคลุมอาคมสีเขียวที่มีชื่อว่าชุนฉ่าวตัวนั้น แล้วก็ยังเอาชุดคลุมจินหลี่ไปด้วยเพื่อไว้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่จำเป็นตามคำแนะนำของจูเหลี่ยน

กำไลข้อมือแกนลูกท้อที่หลิวจื้อเม่าแห่งทะเลสาบซูเจียนมอบให้ ทุกแกนล้วนเทียบเท่ากับการโจมตีหนึ่งครั้งของเซียนดิน นี่ก็คือสมบัติอาคมในการจู่โจมที่เหมาะสมกับตนมากที่สุด

ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนั้นถูกทำร้ายถึงรากฐานไปแล้ว ได้ยินมาว่าทุกวันนี้พี่ใหญ่ของหลี่เป่าผิงไปศึกษาหาความรู้อยู่ที่อุตรกุรุทวีป ต้องลองดูว่าจะซ่อมแซมได้หรือไม่ หลังจากนั้นตระกูลหลี่จะเก็บยันต์แผ่นนี้กลับคืน หรือเฉินผิงอันจะเก็บเอาไว้เองก็ต้องดูที่การตัดสินใจของหลี่ซีเซิ่ง แม้ว่าชุยตงซานจะบอกเตือนตนเป็นนัยๆ แล้วว่าให้ขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับสกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ซึ่งไม่นับรวมหลี่เป่าผิงอย่างชัดเจน แต่กับหลี่ซีเซิ่ง เฉินผิงอันก็ยังยินดีที่จะใกล้ชิดสนิทสนมด้วย

และยังมีหน้ากากที่จูเหลี่ยนตั้งใจสร้างขึ้นอีกสามแผ่น แบ่งออกเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่ม ชายฉกรรจ์และผู้เฒ่า แม้ว่าจะไม่สามารถปิดบังผู้ฝึกตนเซียนดินได้ แต่ท่องอยู่ในยุทธภพก็เหลือเฟือแล้ว

จูเหลี่ยนอีกคน

สองสามีภรรยาหลี่เอ้อร์และยังมีหลี่หลิ่วพี่สาวของหลี่ไหว สตรีที่ทั้งหลินโส่วอีและต่งสุ่ยจิ่งต่างก็ชื่นชอบ ตอนนี้นางน่าจะฝึกตนอยู่บนยอดเขาสิงโตของอุตรกุรุทวีป และเขาก็ควรไปเยี่ยมครอบครัวสามคนนี้สักหน่อย

นอกจากนี้ก็ต้องไปตรวจตราเส้นทางแม่น้ำใหญ่ไหลลงสู่ทะเลเส้นนั้นด้วยตัวเอง นี่คือการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งระหว่างเขากับเจ้าลัทธิเต๋าลู่เฉินในปีนั้น แน่นอนว่าลู่เฉินไม่ได้คิดจะปรึกษากับเฉินผิงอันเลย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นี่ก็เป็นแผนการที่โจ่งแจ้ง เฉินผิงอันไม่มีทางที่จะปฏิเสธ วันหน้าโชควาสนาในการพิสูจน์มรรคาของเด็กชายชุดเขียวเฉินหลิงจวินก็อยู่ที่ว่าจะสามารถเดินไปบนเส้นทางสายนี้ได้อย่างราบรื่นหรือไม่

เผ่าพันธุ์เจียวหลงอย่างพวกงูเหลือม งูหลาม ภูตปลาทั้งหลาย ในเรื่องของการลงน้ำนั้นไม่เคยเป็นเรื่องง่าย ปีศาจปลาไหลลำคลองของใบถงทวีปตัวนั้นก็เพราะถูกเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอสกัดกั้นทางไป ถึงไม่อาจเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทองได้เสียที

แน่นอนว่ามีเรื่องราวและคนที่อยากพบเจอ แต่ก็มีเรื่องราวและบุคคลที่ไม่อยากพบเจอเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นเฮ้อเสี่ยวเหลียงอดีตเทพธิดาแห่งสำนักโองการเทพ

พอนึกถึงนักพรตหญิงลัทธิเต๋าที่เคยมีโชควาสนาดีเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ ก็ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกปวดหัวได้ยิ่งกว่าเอาเหยาจิ้นจือแห่งใบถงทวีป เซียวหลวนเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ และหลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชมารวมกันเสียอีก

ขออย่าให้ได้พบนางเลย

เฉินผิงอันเก็บสัมภาระที่ใช้ในการเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ได้คร่าวๆ แล้วก็พ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด

อยู่ดีๆ ก็นึกถึงจูเหลี่ยนที่มีท่าทางจริงจังขึ้นมา

เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งความสง่างาม

ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า จูเหลี่ยนตอนที่เป็นหนุ่มจะเป็นเจ๋อเซียนที่โดดเด่นถึงเพียงใดในพื้นที่มงคลดอกบัว

จูเหลี่ยนเดินเตร็ดเตร่ไปทางเรือนของตัวเอง พบว่าเด็กโง่อย่างเฉินยวนจียังคงฝึกหมัด เพียงแต่ปณิธานหมัดไม่มั่นคง ถือเป็นการฝืนดึงลมปราณเฮือกหนึ่งเอาไว้แล้วทุ่มเทฝึกตนอย่างโง่งม ไม่น่าพอใจนัก

เขาจึงดีดปลายเท้าหนึ่งทีทะยานตัวข้ามผ่านหัวกำแพง พลิ้วกายลงกลางลานแล้วก็เอ่ยว่า “อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี การฝึกหมัดของเจ้ามีแต่ปล่อย ไม่มีการเก็บไว้ นี่จะลำบากอย่างมาก ฝึกหมัดก็เหมือนฝึกฝนจิตใจ ทนรับกับความยากลำบากได้เป็นเรื่องดี แต่หากไม่รู้จักกะกำลังไฟให้ดี ยิ่งฝึกวิชาหมัดก็ยิ่งตาย แล้วก็จะฝึกจนคนกลายเป็นคนโง่ เมื่อเป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ทันระวังอาจจะทำลายไปถึงรากฐานร่างกายและจิตวิญญาณ จะประสบผลสำเร็จสูงได้อย่างไร?”

คำกล่าวนี้พูดอย่างไม่เกรงใจกันเท่าใดนัก อีกทั้งยังเป็นความจริงที่เฉินผิงอันพ่นออกมาหลังจากเมามายในตอนนั้น ไม่ต่างจากคำกล่าวที่เขาบอกว่า เฉินยวนจี ‘หมัดของเจ้าไม่ได้เรื่อง’ สักเท่าไหร่

เวลาอยู่กับเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นั้น เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เวลาอยู่กับเทพเซียนผู้เฒ่าจู สำหรับเฉินยวนจีแล้วกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นางไม่เพียงแต่ยอมศิโรราบทั้งกายและใจ ยังยอมรับผิดแล้วเริ่มทบทวนตัวเองในทันที

จูเหลี่ยนผงกศีรษะ “จะว่าไปแล้ว การที่เจ้าสามารถทนรับกับความยากลำบากได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เพียงแต่ในเมื่อเจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ก็จำเป็นต้องมองตัวเองให้สูงสักหน่อย ไม่สู้ลองไปฝึกหมัดที่ยอดเขาของภูเขาลั่วพั่วบ่อยๆ มองทัศนียภาพอันกว้างใหญ่ไพศาลรอบด้านให้มาก แล้วก็บอกกับตัวเองอย่างต่อเนื่องว่า ใครกันที่บอกว่าจิตใจของสตรีไม่อาจรองรับแผ่นดินที่งดงามเอาไว้ได้? ใครกันที่บอกว่าสตรีไม่อาจฝึกวรยุทธเดินขึ้นสู่ที่สูง หลุบตาต่ำลงมองวีรบุรุษในยุทธภพได้?”

จิตวิญญาณของเฉินยวนจีแกว่งไกว ถึงขั้นน้ำตาคลอเบ้า ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็กสาวที่คิดถึงบ้าน มาอยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็โทษไม่ได้ที่นางจะเคารพเทพเซียนผู้เฒ่าจูมากที่สุด เขาไม่เพียงแต่ช่วยนางออกมาจากอันตราย ยังมอบอนาคตบนเส้นทางวิถีวรยุทธให้นางเปล่าๆ หลังจากนั้นก็ยิ่งปฏิบัติต่อนางอย่างมีเมตตาดุจผู้อาวุโสปฏิบัติต่อเด็กรุ่นหลัง เฉินยวนจีจะไม่ซาบซึ้งใจได้อย่างไร? นางเช็ดน้ำตา พูดเสียงสั่น “ทุกคำที่ผู้อาวุโสเอื้อนเอ่ย ข้าจะจดจำไว้ให้ขึ้นใจ”

จูเหลี่ยนแนะนำอีกสองสามคำก็เตรียมจะจากไป เฉินยวนจีลังเล็กน้อย แต่ก็ยังอดไม่ไหวถามขึ้นว่า “เหตุใดท่านผู้อาวุโสต้องทนรับความอัปยศอยู่บนภูเขาลั่วพั่วด้วย?”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ข้าทนรับความอัปยศอย่างไร?”

เฉินยวนจีอึกๆ อักๆ รู้สึกไม่ดีที่จะเอ่ยความในใจเหล่านั้นออกมา ไม่ใช่ว่านางกริ่งเกรงเจ้าภูเขาหนุ่มคนนั้น แต่เป็นเพราะกลัวว่าถ้อยคำที่ไม่รู้จักหนักเบาของตนจะทำให้เทพผู้เฒ่าจูเสียหน้า

จูเหลี่ยนยื่นนิ้วมาชี้หน้าเฉินยวนจี “คนโง่มีโชคของคนโง่ แบบนี้แหละดีมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง อืม ทางที่ดีที่สุดก็อย่าเปลี่ยนเลยดีกว่า รักษามันเอาไว้ ยิ่งนานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ภูเขาลั่วพั่วของเราก็ควรจะมีคนอย่างเจ้าอยู่สักคน”

เฉินยวนจียิ้มบางๆ

อย่าว่าแต่เทพเซียนผู้เฒ่าจูตำหนินางสักคำสองคำเลย ต่อให้ตีหรือด่า นั่นก็เป็นเพราะเขาหวังดีต่อนาง

เฉินยวนจีถาม “ผู้อาวุโสอยู่ที่นี่จนชินแล้วหรือ?”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “คนป่าชอบไปอยู่ในภูเขา ข้าเป็นพวกขี้เกียจ เคยชินนักล่ะ ไม่อาจสุขสบายมีความสุขไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว”

เฉินยวนจีเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “ผู้อาวุโสสมกับเป็นกระเรียนป่าโบยบินบนฟ้ากว้าง คือยอดฝีมือนอกโลกอย่างแท้จริง!”

จูเหลี่ยนลูบคลำปลายคาง “น้ำและลมของภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ค่อนข้างจะแปลกแหะ”

คราวนี้จูเหลี่ยนไม่ได้ทะยานตัวออกไปนอกกำแพงเรือน แต่เปิดประตูเดินออกไป

เฉินยวนจีลงดาลเรียบร้อยก็กำหมัดเบาๆ พูดพึมพำว่า “เฉินยวนจี เจ้าห้ามทำให้เทพผู้เฒ่าจูผิดหวังเด็ดขาด! ทนความลำบากในการฝึกหมัด แล้วยังต้องตั้งใจฝึกฝน ต้องให้มีชีวิตชีวามากกว่านี้!”

จูเหลี่ยนไม่ได้ตรงกลับไปที่เรือนพัก แต่ไปที่ยอดเขาภูเขาลั่วพั่ว นั่งอยู่บนขั้นบนสุดของบันได แกว่งกาเหล้าที่ว่างเปล่าทีหนึ่งถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าไม่มีเหล้าแล้ว ไม่เป็นไร รอให้ตะวันขึ้นทั้งอย่างนี้ก็แล้วกัน

จูเหลี่ยนพลันหันหน้าไปมอง ก็เห็นคนคนหนึ่งที่เขาไม่คาดฝัน

นั่นก็คือผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ออกมาจากเรือนไม้ไผ่อย่างหาได้ยาก ชุยเฉิง

จูเหลี่ยนลุกขึ้นยืน คลี่ยิ้มต้อนรับ

ชุยเฉิงเดินขึ้นที่สูงมาอย่างช้าๆ ผายมือบอกเป็นนัยให้จูเหลี่ยนนั่งลง

จูเหลี่ยนก็เลยนั่งแปะลงไป

ชุยเฉิงนั่งเคียงไหล่อยู่กับจูเหลี่ยน นึกไม่ถึงว่าเขาจะพกเหล้ามาด้วยสองกา โยนให้จูเหลี่ยนหนึ่งกา

จูเหลี่ยนเปิดผนึกดินออก ดื่มอย่างสำราญใจไปหนึ่งอึกแล้วยิ้มเอ่ยว่า “หากนายน้อยรู้ว่าผู้อาวุโสแอบขุดเหล้าสองกาออกมา คงไม่กล้าตำหนิผู้อาวุโส แต่ต้องบ่นข้า หาว่าข้าเป็นคนเฝ้าเองแล้วขโมยเองแน่นอน”

ชุยเฉิงพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หากเฉินผิงอันไม่ชอบใคร เขาไม่มีทางพูดอะไร คำเดียวก็ยังรังเกียจว่ามากไป”

จูเหลี่ยนอืมรับหนึ่งที “ก็จริงนะ”

ชุยเฉิงทอดสายตามองไปไกล พลางถามชวนคุย “จูเหลี่ยน ในเมื่อไม่มีคอขวดวิถีสวรรค์ของพื้นที่มงคลดอกบัวอยู่อีกแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังจงใจเดินให้ช้าขนาดนี้?”

จูเหลี่ยนวางกาเหล้าทั้งสองใบลง หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ทิ้งตัวไปด้านหลัง ใช้ศอกสองข้างยันพื้น พูดอย่างเกียจคร้านว่า “ชีวิตแบบนี้สุขสบายที่สุดแล้วนี่นา”

ชุยเฉิงถามอีก “แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่เลว แต่มีค่าพอให้เจ้าจูเหลี่ยนปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้หรือ?”

เผชิญหน้ากับคำถามของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบขั้นสูงสุดคนหนึ่ง จูเหลี่ยนยังคงมีท่าทีไม่แยแสอยู่เหมือนเดิม “ข้ายินดี ข้าพอใจ”

ชุยเฉิงกลับไม่โกรธ วันหน้าเวลาป้อนหมัดบนเรือนไม้ไผ่ก็ค่อยป้อนหมัดอีกฝ่ายเยอะๆ หน่อยแล้วกัน

ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “เจ้าปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่นด้วยรูปโฉมเช่นนี้มาตลอดหรือ? แม้แต่นายน้อยของเจ้าก็ยังถูกปิดบัง?”

จูเหลี่ยนหัวเราะร่า “ตอนอยู่บ้านเกิด ข้าจูเหลี่ยนอาศัยหน้าตาหากิน กินมาจนอิ่มแล้ว ตอนนี้ก็พอเถิด อายุปูนนี้แล้ว ต้องยอมรับความแก่ จะปล่อยให้แม่นางน้อยแต่ละคนต้องมาลุ่มหลงระทมทุกข์ ไม่ใช่เรื่องเลย”

ชุยเฉิงส่ายหน้าแล้วก็เดินจากมา

คุยกับไอ้หมอนี่ได้ไม่กี่คำจริงๆ

หากไม่เป็นเพราะคำพูดประโยคนั้นที่จูเหลี่ยนเอ่ยตอนอยู่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ ชุยเฉิงก็ไม่มีทางเดินมามอบเหล้ากาหนึ่งให้อีกฝ่ายเช่นนี้

หลังจากชุยเฉิงจากไป

จูเหลี่ยนก็ถือโอกาสทิ้งตัวลงนอนหงาย ใช้สองมือต่างหมอน หลับตาพักผ่อน

ในชั่วเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น จูเหลี่ยนก็ลุกขึ้นนั่งช้าๆ รอบกายไร้ผู้นั้น เขายื่นนิ้วสองข้างมากดไว้ตรงจอนผม แล้วเลิกหน้ากากออกเบาๆ เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง

เว่ยป้อมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายอย่างเงียบเชียบโดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น เขาก้มหน้าชำเลืองตามองจูเหลี่ยนแล้วกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ข้าละอายใจที่สู้ไม่ได้จริงๆ”

จูเหลี่ยนยกมือปิดหน้า แสร้งทำท่าเขินอายเหมือนเด็กสาว พูดเลียนแบบน้ำเสียงเผยเฉียนว่า “ลำบากใจจังเลย”

เว่ยป้ออดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็จากไปเหมือนกัน เพียงแต่ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “น่าขนลุก!”

จูเหลี่ยนหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ลุกขึ้นยืน เดินยืดเอวตรง เอาสองมือไพล่ไว้ด้านหลัง

พระอาทิตย์ดวงใหญ่โผล่พ้นทะเลเมฆทางทิศตะวันออก สาดสะท้อนให้จูเหลี่ยนยิ่งดูมีชีวิตชีวา ประกายแสงไหลเวียนวนอาบไล้ไปทั่วร่าง ประหนึ่งเทพเซียนในเทพเซียน

เพียงไม่นานจูเหลี่ยนก็แปะหน้ากากกลับลงบนใบหน้าปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงอีกครั้ง หลังจากจัดระเบียบตัวเองอย่างตั้งใจแล้วก็หิ้วเหล้าสองกาเดินลงจากภูเขาไป เฉินยวนจีกำลังฝึกหมัดพลางเดินขึ้นเขามาพอดี

เห็นผู้อาวุโสที่เรือนกายงองุ้ม นางก็เกือบจะสะบั้นปณิธานหมัดเพื่อหยุดทักทายอีกฝ่าย เพียงแต่พอนึกถึงบทสนทนาเปิดใจเมื่อคืน เฉินยวนจีก็ฝืนดึงลมปราณเฮือกหนึ่งขึ้นมารักษาปณิธานหมัดไม่ให้จมดิ่ง ไม่ให้ขาดสะบั้นแล้วออกหมัดต่อไป

จูเหลี่ยนพยักหน้า เดินสวนไหล่กับนางไป

จนกระทั่งมาถึงยอดเขา เฉินยวนจีจึงเก็บท่าหมัด หันหน้าไปมอง ยังคงมองเห็นแผ่นหลังผอมบางเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารได้อย่างเลือนราง เด็กสาวคิดในใจว่า บุรุษอย่างเทพเซียนผู้เฒ่าจูนี้ ตอนที่เป็นหนุ่ม ต่อให้หน้าตาจะไม่หล่อเหลา แต่ก็ต้องมีสตรีมากมายชื่นชอบเขากระมัง?

จูเหลี่ยนมาถึงเรือนของเผยเฉียนกับเฉินหรูชู เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเริ่มลุกขึ้นมาทำงานง่วนแล้ว

เผยเฉียนยังต้องนอนขี้เกียจอยู่บนเตียงอย่างแน่นอน หากพูดโดยใช้คำพูดของนางก็คือ สหายที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้ก็คือผ้าห่มในยามค่ำคืน ศัตรูที่เอาชนะได้ยากที่สุดในโลกนี้ ก็คือผ้าห่มในยามเช้าตรู่ ยังดีที่นางเป็นคนแยกแยะบุญคุณความแค้นอย่างชัดเจน

หลังจากยิ้มทักทายเฉินหรูชูแล้ว จูเหลี่ยนก็เคาะประตูอย่างแรง เผยเฉียนตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ถามว่า “ใครกัน?”

จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีเอ่ย “นายน้อยไปจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว”

หัวใจเผยเฉียนบีบตัวแน่น พลันเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “พ่อครัวผู้เฒ่าจู อาจารย์นั่งเรือข้ามทวีปของวันพรุ่งนี้ เจ้าคิดจะหลอกใครน่ะ?”

จูเหลี่ยนร้องอ้อหนึ่งที “งั้นเจ้าก็นอนต่อเถอะ”

เผยเฉียนนั่งอึ้งอยู่บนเตียง จากนั้นก็เริ่มด่าเสียงดัง “พ่อครัวผู้เฒ่าจู เจ้าอย่าหนีนะ แน่จริงเจ้าก็ให้ข้าใช้สองมือสองเท้า ไม่กะพริบตาสักครั้ง รอกินวิชากระบี่มารคลั่งทั้งชุดของข้าได้เลย!”

“ไม่แน่จริง” จูเหลี่ยนกล่าวจบก็ทะยานจากไปไกล

เผยเฉียนจะนอนก็ไม่ใช่ ไม่นอนก็ไม่ใช่ จึงได้แต่กลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียง ตบตีผ้าห่มสุดแรง

วันนี้เฉินผิงอันออกจากภูเขาลั่วพั่วตอนเที่ยงวัน ตลอดทางมีเผยเฉียนคอยติดตามอยู่ข้างกาย พูดคุยกับเจิ้งต้าเฟิงที่หน้าประตูภูเขาอยู่ครู่หนึ่ง ผลกลับกลายเป็นว่าเจิ้งต้าเฟิงรำคาญจนต้องไล่อาจารย์และศิษย์คู่นี้ไป ตอนนี้การก่อสร้างตรงประตูภูเขาอยู่ในช่วงท้ายแล้ว เจิ้งต้าเฟิงยุ่งมาก ทำเอาเผยเฉียนโมโหไม่น้อย

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็พาเผยเฉียนไปที่เมืองเล็กมารอบหนึ่ง ไปเยือนหลุมศพของพ่อแม่เขาก่อน แล้วคืนนั้นก็อยู่ที่บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงคล้ายการเฝ้าคืน

พอฟ้าสาง เขาก็ไม่ได้บอกให้เผยเฉียนตามไป แต่ตรงไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนภูเขาหนิวเจี่ยวโดยตรง มีเว่ยป้อติดตามไปด้วย พวกเขาขึ้นเรือข้ามทวีปของชายหาดโครงกระดูกลำนั้นไปด้วยกัน เว่ยป้อใช้เสียงในทะเลสาบหัวใจบอกเฉินผิงอัน “ระหว่างทางอาจมีคนไปพบเจ้า อยู่ในต้าหลีของพวกเราก็นับว่ามีสถานะสูงศักดิ์ยิ่ง”

เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ แต่ก็ยังมีความไม่แน่ใจอยู่เล็กน้อย จึงมองไปยังเว่ยป้อ เว่ยป้อพยักหน้าให้เบาๆ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ ข้ารับมือได้”

เว่ยป้อเอ่ย “ข้าย่อมวางใจอยู่แล้ว อาณาเขตขุนเขาเหนือนี่นะ”

หลังจากที่ร่างของเว่ยป้อหายไป เฉินผิงอันก็ไม่สนใจสายตาซับซ้อนของผู้คนที่อยู่รอบด้าน เพียงมุ่งตรงไปยังห้องพักที่อยู่ชั้นบนสุด

พอมาถึงห้อง เฉินผิงอันก็มายืนตรงราวระเบียงชมทัศนียภาพ เรือข้ามฟากลอยขึ้นกลางอากาศช้าๆ เฉินผิงอันสวมชุดสีเขียว สะพายเจี้ยนเซียนไว้ด้านหลัง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าหยก ก้มหน้าลงมองแผ่นดินอันเป็นอาณาเขตของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต ภูเขาและยอดเขา แม่น้ำและลำคลอง ล้วนปรากฏอยู่ในสายตาทั้งหมด

จะต้องจากบ้านเกิดไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้อีกแล้ว

……

บนหน้าผาแห่งหนึ่งที่มีเมฆหมอกโอบล้อม ตั้งแต่ด้านบนลงมาเบื้องล่างสลักตัวอักษรสี่คำใหญ่ว่า ‘สวรรค์สร้างเซินสิ่ว’

สตรีชุดเขียวมัดผมหางม้าคนหนึ่งกับถ่านดำน้อยคนหนึ่งนั่งเคียงบ่ากันอยู่บนขีดขวางขีดแรกของตัวอักษร ‘สวรรค์’ (หรือตัวอักษรเทียน 天)

เผยเฉียนแกว่งขาสองข้างที่ห้อยพ้นไปนอกหน้าผาอย่างลิงโลด พลางยิ้มตาหยีพูดทวงความดีความชอบไปด้วย “พี่หญิงซิ่วซิ่ว ขนมหมาฮวาสองถุงนี้อร่อยใช่ไหมล่ะ ทั้งหอมทั้งกรอบ อาจารย์ซื้อมาจากสถานที่แห่งหนึ่งที่ไกลมากๆ”

หร่วนซิ่วเองก็ยิ้มจนตาหยี พยักหน้ารับ “อร่อย”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!