Skip to content

Sword of Coming 499

บทที่ 499 ฟ้าดินไร้พันธนาการ

ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักพีหมามีชื่อว่ามู่อี ตัวภูเขาสูงตระหง่าน เพียงแต่ว่าไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่หรูหราใดๆ แค่ผู้ฝึกตนมาสร้างกระท่อมไว้เท่านั้น เนื่องจากสำนักพีหมามีผู้ฝึกตนอยู่น้อย จึงยิ่งดูเงียบสงบเปลี่ยวเหงา มีเพียงจวนกึ่งกลางภูเขาที่แขวนป้ายคำว่า ‘กายธรรม’ ซึ่งใช้รับรองแขกเท่านั้นที่พอจะถือว่าเป็นสถานที่มีชื่อเสียงของตระกูลเซียนได้

เมื่อสามวันก่อนภูเขามู่อีก็เริ่มปิดไม่ต้อนรับแขก

ไม่เพียงเท่านี้ ซุ้มประตูหินทางเข้าหุบเขาผีร้ายก็เริ่มมีการตรวจตราอย่างเข้มงวด ผู้ที่มาฝึกประสบการณ์ ออกได้ แต่เข้าไม่ได้

จากตลาดด่านไน่เหอมาจนถึงนครปี้ฮว่า แล้วก็มาถึงแถบลำคลองเหยาเย่ รวมไปถึงตลอดทั้งชายหาดโครงกระดูกต่างก็ไม่รู้สึกว่านี่มีอะไรไม่สมเหตุสมผล

เพราะเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลยิ่งกว่านี้พวกเขาก็เคยพบเจอกันมาแล้ว

ก่อนหน้านี้ภาพเทพหญิงขุนนางสวรรค์สามภาพในนครปี้ฮว่าล้วนกลายไปเป็นเพียงภาพเค้าโครงขาวดำในวันเดียวกัน

เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงใหญ่เทียมฟ้าที่เกิดขึ้นต่อมาแล้ว นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ ในขณะที่ผู้ฝึกตนหลายคนของชายหาดโครงกระดูกยังจมอยู่กับความผิดหวังที่โชควาสนาทั้งสามมีเจ้าของไปแล้ว ผ่านไปได้ไม่นานเท่าไหร่ แต่ละคนก็ได้เห็นภาพสะเทือนขวัญสั่นวิญญาณกับตาตัวเอง กลางดึกของคืนวันหนึ่ง เหนือผืนดินที่กว้างใหญ่ของชายหาดโครงกระดูกมีโครงกระดูกขาวร่างหนึ่งปรากฎขึ้น สูงใหญ่ดุจขุนเขา มันเผยตัวด้วยท่วงท่าของผู้ที่ไร้ศัตรูทัดทาน น่าจะเป็นกายธรรมของเกาเฉิงเจ้านครจิงกวานในหุบเขาผีร้ายผู้นั้นที่ใช้พละกำลังอันป่าเถื่อนแหวกปราการฟ้าดินออกมา กายธรรมโครงกระดูกขาวที่เดิมทีควรหลบซ่อนตัวอยู่ในดินแดนแห่งความมืดอย่างว่าง่าย เมื่อปรากฏตัวเช่นนี้ก็เกิดความขัดแย้งบนมหามรรคากับโลกแห่งแสงสว่าง การเสียดสีระหว่างโครงกระดูกขาวกับชายหาดโครงกระดูกก่อให้เกิดประกายแสงสีที่ระเบิดพร่างพราวดุจดอกไม้ไฟ ขับดันให้กายธรรมโครงกระดูกขาวตนนั้นยิ่งคล้ายเทพแห่งอัคคียุคบรรพกาลที่เยื้องกรายลงมายังโลกมนุษย์

เห็นได้ชัดว่าโครงกระดูกขาวกำลังไล่ฆ่าแสงสีทองเส้นหนึ่งที่พุ่งไปยังศาลบรรพจารย์บนภูเขามู่อีที่อยู่ทางทิศใต้ด้วยความรวดเร็ว แม้ว่าเกาเฉิงจะถูกหนึ่งดาบและหนึ่งกระบี่ในหุบเขาผีร้ายถ่วงเวลาเอาไว้ และคนออกดาบที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ เมื่อเทียบกับโครงกระดูกพันจั้งที่คุมเชิงด้วยแล้วก็เล็กเท่าแค่เมล็ดข้าวสาร แต่ทว่าทุกครั้งที่ออกดาบล้วนหอบเอาพายุและสายฟ้าที่ปั่นป่วนสะท้านสะเทือนมาด้วย ประกายแสงยิ่งเพิ่มพูน โจมตีอยู่ไกลๆ ก็เหมือนกำลังพาดสะพานยาวสายหนึ่งอยู่กลางอากาศ ดูจากภาพบรรยากาศที่ปรากฏนี้แล้วย่อมเป็นจู๋เฉวียนเจ้าสำนักพีหมาอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ว่ายังคงมีหนึ่งกระบี่ที่พลังอำนาจไม่เป็นรองจู๋เฉวียนที่เป็นขอบเขตหยกดิบแม้แต่น้อย ปราณกระบี่ที่พร่างพราวแต่ละเส้นมีต้นกำเนิดมาจากพื้นดิน แสงกระบี่ดุจสายรุ้งที่พุ่งตรงอย่างว่องไว

ไหล่ของกายธรรมกระดูกขาวเอนเอียงคล้ายว่ายังถูกอะไรบางอย่างในหุบเขาผีร้ายดึงรั้งเอาไว้ แต่กระนั้นก็ยังชูฝ่ามือขึ้นสูงแล้วกดลงแรงๆ ทันใดนั้นทะเลเมฆหนาหนักที่มืดทะมึนก็ถูกหอบขึ้นมา เสียงผีโหยหวนคร่ำครวญ ทะเลเมฆก็คล้ายว่าจะมีผีอาฆาตและวิญญาณร้ายที่ตายไปแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดหลายแสนตนกำลังดิ้นรนอยู่ในห้วงทะเลแห่งทุกข์อย่างทรมาน

ทะเลเมฆกดทับลงไปทางศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของสำนักพีหมาก็ถูกเปิดใช้งาน หุ่นเชิดสวมเกราะพันกว่าตนพุ่งตัวออกมาจากภูเขามู่อี แต่ละตนสูงหลายจั้ง สวมเสื้อเกราะที่ทำจากยันต์ บนร่างมีเส้นแสงสีเงินสีทองไหลวนเวียนไม่หยุด พวกมันพากันพุ่งเข้าหาทะเลเมฆ ทะเลเมฆจึงถูกตัดทอนให้บางเบาลงอย่างต่อเนื่อง แต่กระนั้นก็ยังคงลดระดับลงมาอย่างว่องไว วิญญาณวีรบุรุษสวมเกราะหลายกลุ่มในภูเขามู่อีพากันกรูออกมา สุดท้ายทะเลเมฆก็เปิดฉากเข่นฆ่าสังหารกับหุ่นเชิดวิญญาณวีรบุรุษหลายพันตนที่สำนักพีหมาสร้างขึ้น แล้วก็พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย

เวลาเดียวกันนั้นก็มีแสงเส้นหนึ่งที่ไต่ลงจากศาลบรรพจารย์ภูเขามู่อีลงไปยังด้านล่างภูเขา ประหนึ่งสายฟ้าที่เลื้อยลงไป ไปตัดสลับถักทอกันจนกลายเป็นค่ายกลที่ส่องประกายแสงพร่าตาอยู่ตรงซุ้มประตูหิน จากนั้นทวยเทพร่างทองที่เรือนกายสูงห้าร้อยกว่าจั้งก็ผุดออกมาจากพื้นดิน ในมือถือกระบี่ยักษ์ ปาดกระบี่ฟันในแนวขวางผ่ากลางเอวของกายธรรมโครงกระดูกขาว

กายธรรมกระดูกขาวของเกาเฉิงแห่งนครจิงกวานโจมตีครั้งเดียวไม่สำเร็จ จุดเชื่อมต่อระหว่างหุบเขาผีร้ายและชายหาดโครงกระดูกก็มีองค์เทพร่างทองโผล่ออกมาปล่อยกระบี่เข้าใส่ มือข้างหนึ่งของกระดูกขาวร่างมหึมาคว้าจับที่คมกระบี่ สะเก็ดแสงสีทองระเบิดพร่างเหมือนเม็ดฝนที่พรมลงสู่พื้นดิน พลันนั้นตลอดทั้งชายหาดโครงกระดูกก็เกิดแผ่นดินไหวแผ่นฟ้าโยกคลอน กายธรรมกระดูกขาวเหวี่ยงแขนสะบัดกระบี่ยักษ์ทิ้ง ร่างลดระดับลงมาเบื้องล่าง เพียงชั่วพริบตาก็หายไปท่ามกลางเงามืดของพื้นดิน น่าจะถอยกลับไปยังฟ้าดินขนาดเล็กอย่างหุบเขาผีร้ายแล้ว

ส่วนองค์เทพร่างทองก็ถอยกลับเข้าไปในค่ายกลเช่นเดียวกัน แสงเส้นนั้นย้อนกลับทางเดิมสู่ศาลบรรพจารย์บนภูเขามู่อี แล้วจึงไปรวมตัวกันกลายเป็นไข่มุกวิเศษเม็ดหนึ่งที่ถูกคาบอยู่ในปากของรูปปั้นเจียวหลงทองสัมฤทธิ์ซึ่งตั้งวางไว้ในศาลบูชา

ม่านราตรีของหุบเขาผีร้ายค่อยๆ กลับคืนสู่ความเงียบสงัด

ในจวนตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขา

ผังหลันซีเด็กหนุ่มที่สำนักพีหมาฝากความหวังไว้มากกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินตัวหนึ่ง จ้องมองจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขม็ง ฝ่ายหลังกำลังพลิกเปิดตำราพิชัยยุทธสีเหลืองเก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่งที่ได้มาจากตำหนักหยางฉาง

แม้ว่าผังหลันซีจะอายุน้อย แต่ลำดับศักดิ์สูง คือผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของบรรพจารย์ท่านหนึ่งของสำนักพีหมา ผู้ฝึกตนโอสถทองหลายท่านก็ยังต้องเรียกเขาว่าอาจารย์อาน้อย ส่วนผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางที่มีจำนวนมากกว่านั้นก็ได้แต่เรียกเขาว่าบรรพจารย์อาจารย์อาน้อย สามวันมานี้ในจวนมีมือกระบี่ชุดเขียวตรงหน้าผู้นี้เป็นแขกเพียงคนเดียว ก่อนหน้านี้ผังหลันซีก็เคยมาหาอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง เนื่องด้วยความสงสัยใคร่รู้ อะไรที่ควรคุยก็คุยไปหมดแล้ว อะไรที่ควรถามก็ถามไปหมดแล้วเช่นกัน ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง แล้วก็ไม่ได้จงใจเล่นเอาเถิดเจ้าล่ออุบสิ่งที่เขาอยากรู้ไว้ไม่ยอมบอก แต่หลังจากจบเรื่องผังหลันซีลองคิดพิจารณาดูก็รู้สึกเหมือนว่าเรื่องที่คุยกันจะไม่เข้าประเด็นเลยสักเรื่อง

ยากที่จะจินตนาการได้ว่าคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือคนซื้อภาพยากจนที่ตอนนั้นทำหน้าหนาหั่นราคาต่อรองกับตน

ตอนนั้นนางที่เติบโตกับเขามาตั้งแต่เยาว์วัยยังให้ตนวิ่งออกจากร้านมาเตือนคนผู้นี้ว่ายามที่ท่องอยู่ในยุทธภพต้องระวังอย่าโอ้อวดสิ่งของมีค่า ที่แท้พวกเขาต่างก็ถูกเจ้าหมอนี่หลอกเอา

บรรพจารย์ของสำนักที่ดูแลเรื่องกฎระเบียบของศาลบรรพจารย์ไม่ยินดีจะเปิดเผยความลับสวรรค์ เพียงแค่บอกว่ารอให้เจ้าสำนักกลับภูเขามู่อีมาเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน แต่ก็ได้พูดอย่างสะท้อนใจประโยคหนึ่งว่า ขอบเขตเพียงแค่นี้แต่กลับสามารถหนีรอดพ้นมาจากเงื้อมมือของเกาเฉิงแห่งหุบเขาผีร้ายได้ ความสามารถนี้ไม่ใช่น้อยๆ เลยจริงๆ

ผังหลันซีจึงยิ่งอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในหุบเขาผีร้ายกันแน่ แล้วคนผู้นี้ไปมีเรื่องกับเจ้านครจิงกวานได้อย่างไร

เฉินผิงอันวางตำราพิชัยยุทธที่แม่ทัพบู๊แคว้นเสินเช่อในอดีตเป็นผู้เขียนลง นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็ยิ้มถามว่า “หลันซี ภาพวาดฝาผนังทั้งแปดในนครปี้ฮว่าต่างก็กลายเป็นเพียงภาพลายเส้นขาวดำแล้ว แล้วกิจการร้านค้าที่อยู่ใต้ภาพของเทพหญิงทั้งสามอย่างฉีลู่ กว้าเยี่ยนและสิงอวี่ล่ะ วันหน้าจะทำอย่างไร?”

ผังหลันซีเองก็หงุดหงิดกับเรื่องนี้ไม่น้อย ทว่าก็ได้แต่กล่าวอย่างจนใจว่า “ยังจะทำอย่างไรได้อีก ซิ่งจื่อนางใกล้จะกลุ้มใจตายอยู่แล้ว บอกว่าวันหน้าต้องไม่มีการค้ามาเยือนอีกแน่ ตอนนี้นครปี้ฮว่าไม่มีโชควาสนาสามส่วนนั่นแล้ว จำนวนของนักท่องเที่ยวต้องลดฮวบลงอย่างแน่นอน ข้าจะทำอะไรได้ ก็ได้แต่ปลอบใจนางด้วยหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ที่ข้าเคยได้ยินมาจากพวกศิษย์พี่ศิษย์หลานทั้งหลาย คิดไม่ถึงว่าซิ่งจื่อไม่เพียงแต่ไม่รับน้ำใจ ซ้ำยังโกรธข้าด้วย แล้วก็ไม่สนใจข้าอีกเลย เฉินผิงอัน ทำไมซิ่งจื่อถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ ทั้งๆ ที่ข้าหวังดี ทำไมนางถึงยังอารมณ์เสียอีก”

เฉินผิงอันยิ้มบางเอ่ยว่า “อยากรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่?”

ผังหลันซีพยักหน้ารับ “แน่นอนสิ”

รอยยิ้มของเฉินผิงอันยิ่งกดลึก “หลันซีเอ๋ย ข้าได้ยินมาว่าในมือของท่านปู่ทวดเจ้ายังมีภาพแบบเติมเต็มต้นฉบับของเทพหญิงแบบครบชุดอยู่อีกหลายกล่อง อีกทั้งยังเป็นผลงานแห่งความภาคภูมิใจที่ท่านปู่ทวดของเจ้าใช้เวลามากที่สุด ตั้งใจมากที่สุดอีกด้วย”

ผังหลันซีอึ้งตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ขอแค่เจ้าช่วยไขข้อข้องใจให้แก่ข้า ข้าจะแอบไปขโมยมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้!”

เฉินผิงอันรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง ยื่นมือออกมาบอกเป็นนัยให้ผังหลันซีที่ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้วรีบนั่งลง “วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของผู้อื่น ข้าเองก็ไม่ได้ละโมบอยากได้ในภาพวาดฉบับเติมเต็มเหล่านั้นของท่านปู่ทวดเจ้า แค่หวังว่าเจ้าจะสามารถพูดเกลี้ยกล่อมให้ท่านปู่ทวดของเจ้าลงมือวาดภาพเติมเต็มลงบนกระดาษไขที่ไม่ด้อยกว่าสักชุดสองชุด ข้าจะจ่ายเงินซื้อ ไม่ใช่ให้เจ้าไปขโมยมา หนึ่งชุดก็ได้ สองชุดยิ่งดี สามชุดคือดีที่สุด”

ผังหลันซียังคงสงสัย “แค่นี้เองหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

แต่กระนั้นผังหลันซีก็ยังลังเล “การขโมยก็มีข้อดีและข้อเสียของการขโมย ข้อเสียก็คือต้องโดนด่าอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะโดนซ้อมหนึ่งรอบด้วย แต่ข้อดีก็คือเหมือนการซื้อขายที่เสร็จสิ้นในคราวเดียว รวดเร็วฉับไว แต่หากจะให้ทำหน้าหนาไปตามตอแยให้ท่านปู่ทวดของข้าจับพู่กันวาดอย่างตั้งใจ กลับไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านปู่ทวดมีนิสัยประหลาด คนทั้งสำนักพีหมาของพวกเราต่างก็เคยสัมผัสกันมาแล้ว เขามักจะพูดว่ายิ่งตั้งใจวาดรูปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งวาดออกมาได้เหมือนทางจิตวิญญาณมากเท่านั้น หากปล่อยให้บุรุษหยาบกระด้างในโลกมนุษย์ซื้อไป ก็จะยิ่งเป็นการล่วงเกินเทพหญิงทั้งแปดท่าน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เมื่อจริงใจก็ย่อมศักดิ์สิทธิ์ หากไม่มีความซื่อสัตย์นี้เป็นพื้นฐาน ท่านปู่ทวดของเจ้าก็อาจจะวาดท่วงทำนองเช่นนั้นออกมาไม่ได้ก็เป็นได้ ไม่อย่างนั้นแค่เป็นจิตรกรฝีมือล้ำเลิศ วาดภาพคัดลอกลายให้สมจริงสมจัง จะไปยากตรงไหน? แต่เหตุใดท่านปู่ทวดของเจ้าถึงได้มีฝีมือที่ยอดเยี่ยมอยู่คนเดียว? นี่ก็เพราะว่าจิตใจของท่านปู่ทวดเจ้าไร้มลทินสิ่งสกปรก ไม่แน่ว่าเทพหญิงทั้งแปดท่านนั้นอาจจะกำลังมองดูอยู่ก็เป็นได้ เมื่อจิตใจเชื่อมโยงถึงกัน แน่นอนว่าย่อมสามารถสร้างผลงานอันสุดวิเศษดุจเทพนิรมิตขึ้นมาได้”

ผังหลันซีกะพริบตาปริบๆ

นี่คือคำพูดจากใจจริงหรือคำประจบสอพลอกันแน่?

……

ด้านนอกจวน ผู้เฒ่าผมขาวร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ตรงเอวห้อยพู่กันและแท่นฝนหมึกหันหน้าไปมองบรรพจารย์สำนักพีหมาที่เป็นเพื่อนสนิทของเขา ฝ่ายหลังกำลังเก็บฝ่ามือ

ผู้เฒ่าผมขาวเอ่ยถาม “ด้วยขอบเขตของเจ้าเด็กนี่ คงไม่ถึงขั้นรู้ว่าพวกเรากำลังแอบฟังอยู่หรอกกระมัง”

บรรพจารย์ยิ้มกล่าว “ช่วยอำพรางลมปราณให้เจ้าแล้ว เขาน่าจะไม่รู้ แต่วิชาคาถาบนโลกนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน ดูแค่จากการที่เขาหนีออกมาจากหุบเขาผีร้ายได้ ก็ไม่ควรใช้หลักการทั่วไปมาประเมินเขาแล้ว”

ผู้เฒ่าผมขาวลูบหนวดยิ้ม “ไม่ว่าจะอย่างไร คำพูดประโยคนี้ก็ถูกใจข้ายิ่งนัก”

บรรพจารย์สำนักพีหมาก็คือคนที่ก่อนหน้านี้ไล่ตามเจียงซ่างเจินเข้าไปในพื้นที่ลับของภาพวาดฝาผนัง “จะตัดใจขายได้จริงๆ หรือ?”

ผังซานหลิ่งท่านปู่ทวดของผังหลันซีผู้นี้ ตอนเป็นหนุ่มเคยมีปณิธานยิ่งใหญ่ เขาสาบานว่าจะต้องวาดภาพขุนเขาตระหง่านทุกแห่งใต้หล้านี้ เพียงแต่ภายหลังไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมาลงหลักปักฐานอยู่ที่สำนักพีหมาแห่งนี้ ผังซานหลิ่งถามเสียงเบา “พวกเรามาลองดูกันอีกหน่อยดีไหม? ข้าอยากฟังว่าเจ้าเด็กต่างถิ่นผู้นี้จะช่วยชี้แนะไขปริศนาให้แก่ผังหลันซีอย่างไร”

บรรพจารย์ขมวดคิ้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “คนเขาคือแขก เพราะก่อนหน้านี้ข้าห้ามเจ้าไม่ได้ถึงได้ร่ายใช้วิชาอภินิหารบางส่วน หากยังแอบฟังอีกย่อมไม่สอดคล้องกับหลักการการรับรองแขกของสำนักพีหมาพวกเรา”

ผังซานหลิ่งถลึงตาใส่ “หลันซีสูญเสียโชควาสนาจากเทพหญิงฉีลู่ไปแล้ว หากต้องมาติดขัดในด่านความรักอีก ข้าก็อยากจะรู้นักว่าอาจารย์ของหลันซีจะด่าเจ้าจนไม่เหลือชิ้นดีหรือไม่!”

บรรพจารย์หลุดหัวเราะพรืด “ความสามารถในการด่าคนของเขาร้ายกาจก็จริง แต่ความสามารถในการตีคนของข้ากลับร้ายกาจกว่าเขา มีครั้งไหนบ้างที่เขาไม่ได้ด่าคนอย่างสาแก่ใจแล้วต้องนอนแบ๊บอยู่บนเตียงหนึ่งเดือน”

จู่ๆ ผังซานหลิ่งก็หัวเราะ “วันหน้าจะมอบภาพเทพหญิงบนกระดาษไขให้เจ้าหนึ่งชุด เป็นภาพที่คู่ควรกับคำว่ายอดเยี่ยมดุจเทพนิรมิตจริงๆ”

บรรพจารย์ยกฝ่ามือขึ้นมองแม่น้ำภูเขาผ่านฝ่ามืออีกครั้งพลางยิ้มบางเอ่ยว่า “รอประโยคนี้ของเจ้าอยู่นี่แหละ มัวอืดอาดอยู่ได้ ไม่ทันใจเอาซะเลย”

เพียงแต่ว่าไม่นานบรรพจารย์ท่านนี้ก็เก็บวิชาอภินิหารลงไปอย่างรวดเร็ว ผังซานหลิ่งถามอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ?”

บรรพจารย์ยิ้มเอ่ย “อีกฝ่ายไม่ค่อยจะสบอารมณ์แล้ว พวกเราหยุดเมื่อพอสมควรเถอะ ไม่อย่างนั้นหากเขาเอาข้าไปฟ้องกับเจ้าสำนัก จะกลายเป็นว่าหาเรื่องใส่ตัว เกิดเรื่องครึกโครมขนาดนี้ขึ้นในหุบเขาผีร้าย กว่าจะทำให้เกาเฉิงผู้นั้นเป็นฝ่ายเผยร่างกายธรรมของตัวเอง ออกจากรังมาปรากฎกายที่ชายหาดโครงกระดูกได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าสำนักไม่เพียงแต่เป็นฝ่ายลงมือด้วยตัวเอง พวกเรายังใช้ค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขา แต่นั่นก็เพิ่งจะลดทอนตบะของมันไปได้แค่ร้อยปี เจ้าสำนักกลับมาที่ภูเขาครั้งนี้ต้องอารมณ์ย่ำแย่สุดขีดอย่างแน่นอน”

ผังซานหลิ่งรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย สองวันนี้มาหุบเขาผีร้ายได้ขาดการติดต่อกับโลกภายนอกไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะบอกว่าตะเกียงแห่งชะตาชีวิตในศาลบรรพจารย์ยังส่องแสงสว่างไสว นี่หมายความผู้ฝึกตนสำนักพีหมาที่ปกปักษ์พิทักษ์เมืองชิงหลูและเมืองหลันเซ่อสองแห่งต่างก็ไม่มีใครที่บาดเจ็บล้มตาย แต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเกาเฉิงผู้นั้นจะบันดาลโทสะ ถือโอกาสทำให้ทั้งตัวเองและสำนักพีหมาเป็นดั่งปลาตายตาข่ายขาด สถานการณ์ที่ชายหาดโครงกระดูกคุมเชิงอยู่กับหุบเขาผีร้ายมานานนับพันปีจะถูกทำลายลงในเสี้ยววินาทีหรือไม่ ผังซานหลิ่งกลัวก็แต่ว่าจู่ๆ นาทีใดนาทีหนึ่ง ตะเกียงแห่งชะตาชีวิตแต่ละดวงที่อยู่ในศาลบรรพจารย์จะทยอยกันดับอย่างน่าสังเวช อีกทั้งความเร็วในการมอดดับยังเร็วมากอีกด้วย

ถึงเวลานั้นสุดท้ายแล้วจะเหลือตะเกียงกี่ดวง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ารับประกัน เจ้าสำนักจู๋เฉวียนก็ดี โอสถทองตู้เหวินซือก็ช่าง ล้วนไม่มีข้อยกเว้น หากศึกใหญ่เปิดฉากขึ้นมาจริงๆ ด้วยนิสัยของผู้ฝึกตนสำนักพีหมาแล้ว ไม่แน่ว่าตะเกียงแห่งชะตาชีวิตที่จะมอดดับลงก่อนอาจกลับกลายมาเป็นของพวกผู้ฝึกตนใหญ่เหล่านี้ก็เป็นได้

บรรพจารย์ท่านนั้นคาดเดาความคิดในใจของผังซานหลิ่งได้จึงยิ้มปลอบว่า “ครั้งนี้เกาเฉิงพลังต้นกำเนิดเสียหาย แน่นอนว่าต้องเดือดดาลอย่างหนัก นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่ในหุบเขาผีร้ายยังมีข่าวดีอยู่หลายข่าว คนที่ออกกระบี่ก่อนก็คือผูหรางแห่งนครกรงขาว จากนั้นก็ตามมาด้วยวิญญาณวีรบุรุษก่อกำเนิดที่มีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพบู๊แคว้นเสินเช่อผู้นั้น แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่ถูกกับนครจิงกวานอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ม่านฟ้าแหวกอ้า ข้าเห็นว่าดูเหมือนมันเองก็จะยื่นเท้าเข้าแทรก อย่าลืมล่ะว่า หุบเขาผีร้ายยังมีป่าท้อแห่งนั้น ยอดฝีมือนอกโลกทั้งสองคนที่อยู่ในหนึ่งวัดหนึ่งอารามนั่นไม่มีทางปล่อยให้เกาเฉิงเปิดฉากสังหารอย่างกำเริบเสิบสานแน่นอน”

ผังซานหลิ่งผงกศีรษะรับเบาๆ “ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนี้”

ทางฝั่งของจวน

ผังหลันซีไม่มีเวลามามัวสนใจเรื่องอื่นใดอีก ยังคงเป็นซิ่งจื่อที่เติบโตมาด้วยกันกับเขาตั้งแต่เด็กที่สำคัญมากที่สุด จึงเอ่ยว่า “ก็ได้ เจ้าว่ามา แต่ก็ต้องให้ข้าฟังแล้วรู้สึกว่ามีเหตุผลด้วยนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ไปให้ท่านปู่ทวดด่าเด็ดขาด”

เฉินผิงอันยกสองมือขึ้นมากุมหมัดคารวะก่อน เป็นการบอกให้ยอดฝีมือเซียนซือที่อยู่ด้านนอกอย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก จากนั้นจึงเอามือข้างหนึ่งวางลงบนตำราพิชัยยุทธเล่มนั้นเบาๆ ใช้ฝ่ามือปาดผ่าน หลังจากที่เขาออกมาจากหุบเขาผีร้ายถึงได้ค้นพบว่าตำราที่เซียนใหญ่จัวเยาแห่งตำหนักหยางฉางผู้นั้นเก็บสะสมไว้อย่างตั้งใจล้วนถูกรักษาไว้อย่างเหมาะสม ระดับขั้นไม่ธรรมดา นี่คือตำราฉบับสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังมีอยู่เพียงเล่มเดียวที่ดำรงอยู่บนโลกมานานนับพันปี นี่ทำให้เขาอารณ์ดีอย่างมาก จึงเริ่มไขข้อข้องใจให้กับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยการพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “หลันซี เจ้ารู้สึกว่าการที่ตัวเองเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทอง กลายเป็นเทพเซียนพสุธาในสายตาของมนุษย์ธรรมดา ยากหรือไม่?”

ผังหลันซีตอบตามสัตย์จริง “เฉินผิงอัน ข้าไม่ได้ชมตัวเองหรอกนะ แต่โอสถทองนั้นง่าย ก่อกำเนิดก็ไม่ยาก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เดิมทีคำพูดของผังหลันซีก็เป็นความจริงอยู่แล้ว หลายวันมานี้ที่อยู่ในจวนของสำนักพีหมาอาศัยการคุยเล่นกับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า รวมไปถึงการได้พูดคุยกับผู้สืบทอดของสำนักพีหมาหลายคนซึ่งรวมถึงหยางหลินผู้ฝึกตนโอสถทองของนครปี้ฮว่า ทำให้เขาพอจะรู้ถึงน้ำหนักของผังหลันซีที่อยู่ในสำนักพีหมาได้คร่าวๆ ว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะถูกอบรมปลูกฝังให้กลายเป็นเจ้าสำนักในอนาคต อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเป็นคนที่กุมอำนาจใหญ่ของสำนักพีหมา

อีกทั้งผังหลันซียังมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ความคิดจิตใจก็บริสุทธิ์ ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความดีมีเมตตา ไม่ว่าจะเป็นฐานกระดูกก่อนกำเนิดหรือนิสัยหลังกำเนิดก็ล้วนสอดคล้องกับสำนักพีหมาอย่างถึงที่สุด นี่ก็คือความมหัศจรรย์ของมหามรรคา หากผังหลันซีถือกำเนิดขึ้นในทะเลสาบซูเจี่ยน คนคนเดียวกัน แต่ความสำเร็จบนมหามรรคาอาจจะไม่สูง เพราะทะเลสาบซูเจี่ยนมีแต่จะกัดกินจิตใจดั้งเดิมของผังหลันซีอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุใดถ่วงรั้งตบะและโชควาสนาของเขา แต่เมื่ออยู่ที่ภูเขามู่อีของสำนักพีหมากลับเหมือนปลาได้น้ำ ราวกับเป็นคู่สร้างคู่สม นี่ก็คงจะเป็นดั่งคำกล่าวที่บอกว่าน้ำและดินของพื้นที่หนึ่งหล่อเลี้ยงคนประเภทหนึ่ง บางครั้งที่คนเราโทษฟ้าตำหนิคนอื่น ก็ใช่จะไม่ตระหนักรู้เสียเลยว่า บางคราโชคชะตาก็ไม่เป็นใจจริงๆ

ฟ้าดินไร้พันธนาการ

ผังหลันซีเห็นว่าเฉินผิงอันเริ่มเหม่อลอยก็อดไม่ไหวต้องเอ่ยเตือนว่า “เฉินผิงอัน อย่าทำเลอะเลือนสิ สมุดภาพเติมเต็มสองเล่มกำลังกวักมือเรียกหาเจ้าอยู่นะ เหตุใดเจ้าถึงใจลอยไปไกลเป็นหมื่นลี้ได้เล่า?”

เฉินผิงอันเอ่ยขอโทษหนึ่งคำ จากนั้นก็ถามว่า “เจ้าถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้เป็นเทพเซียนบนภูเขาที่มีอายุขัยยืนยาว แต่แม่นางซิ่งจื่อคนนั้นของเจ้ากลับเป็นแค่คนธรรมดาด้านล่างภูเขา เจ้าเคยคิดถึงข้อนี้ไหม? สตรีทั่วไป อายุสี่สิบก็เริ่มผมหงอกแล้ว อายุหกสิบ บางทีอาจกลายเป็นหญิงชราที่ผมขาวโพลนเต็มศีรษะแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าจะให้แม่นางซิ่งจื่อเผชิญหน้ากับเจ้าผังหลันซีที่อาจจะยังเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา หรือไม่อย่างมากสุดก็มีรูปโฉมของคนอายุแค่ยี่สิบปีได้อย่างไร?”

หัวใจของผังหลันซีหดรัดตัว พึมพำว่า “ข้าสามารถปล่อยให้เป็นไปตามฟ้าอำนวยคนสามัคคี ไม่จงใจหยุดรูปโฉมเอาไว้ ให้ตัวเองกลายเป็นผู้เฒ่าที่ผมขาวเหมือนกับนาง”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าผิดแล้วผิดอีก”

ผังหลันซีเงยหน้าขึ้น สีหน้าเลื่อนลอย

เฉินผิงอันเอ่ย “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเวลานั้นเนื้อหนังมังสาที่เป็นชายชราของเจ้าผังหลันซียังคงสามารถเก็บงำประกายราศีไว้ภายใน ยังคงมีจิตวิญญาณที่แจ่มใสดุจหนุ่มน้อย ยังไม่ต้องไปพูดถึงมัน”

เฉินผิงอันหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถามเบาๆ ว่า “เจ้าเคยลองเอาตัวไปคิดในมุมของแม่นางซิ่งจื่อที่เจ้าคิดถึงอยู่ทุกขณะจิตดีๆ บ้างไหม? เรื่องบางเรื่อง เจ้าคิดอย่างไร คิดได้ดีแค่ไหน ไม่ว่าความตั้งใจเดิมจะดีเท่าไหร่ แต่นั่นจะต้องดีเสมอไปจริงๆ หรือ? จะต้องถูกต้องเสมอไปหรือ? เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ความหวังดีที่แท้จริงที่มอบให้ฝ่ายตรงข้าม แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยใช่เรื่องที่ตัวเราเองยินดีอยู่เพียงฝ่ายเดียว?”

ผังหลันซีทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “ตอนอยู่ที่นครปี้ฮว่า ยามนั้นข้าเป็นแค่คนผ่านทางมาที่รู้จักพวกเจ้าแค่ผิวเผิน ในเมื่อนางบอกให้เจ้าออกจากร้านมาเตือนให้ข้าระวังตัวให้มากๆ ได้ จิตใจที่ดีงามเช่นนี้ แสดงว่านางต้องเป็นแม่นางที่ดีที่มีค่าพอให้เจ้าชื่นชอบอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ข้าเคยสังเกตพวกเจ้าสองคนตอนอยู่ในร้าน ในฐานะคนนอกคนหนึ่ง ข้าพอจะมองออกได้คร่าวๆ ว่าแม่นางซิ่งจื่อเป็นคนจิตใจละเอียดอ่อน แต่ขณะเดียวกันก็ใจกว้างมาก นี่ถือว่าหาได้ยากยิ่ง นี่จึงเป็นเหตุให้ยามที่อยู่ร่วมกับเจ้าซึ่งถือว่าเป็นคนในกลุ่มเทพเซียนบนภูเขาพีหมาซึ่งกินแสงเรืองรองดื่มน้ำค้าง ส่วนนางยังเป็นแค่แม่ค้าล่างภูเขาที่คบค้าสมาคมกับเงินอยู่ตลอดทั้งปี ไม่ทำให้นางรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ นางไม่เคยคิดเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสภาพจิตใจเช่นนี้หาได้ยากแค่ไหน ดีมากแค่ไหน?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าไม่รู้เลย”

ผังหลันซีเหม่อลอยไร้คำพูด ริมฝีปากขยับเบาๆ

เฉินผิงอันเอ่ยต่อ “ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ อันที่จริงนางล้วนคอยใส่ใจสภาพจิตใจของเจ้า หวังว่าเจ้าจะฝึกตนได้อย่างสบายใจ ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนภูเขาสูงทีละก้าว หากข้าเดาไม่ผิด ทุกครั้งที่เจ้าได้ลงเขาไปช่วยนางที่ร้าน ยามที่พวกเจ้าต้องแยกจากกัน นางไม่มีทางเผยความอาลัยอาวรณ์ออกมาต่อหน้าเจ้ามากนัก กลายเป็นเจ้าที่รู้สึกอัดอั้น กังวลว่านางอาจจะไม่ชอบเจ้าอย่างที่เจ้าชอบนาง ใช่หรือไม่?”

กรอบตาของผังหลันซีแสบร้อนเล็กน้อย เขาเม้มปากแน่น

เฉินผิงอันถอนหายใจ หยิบเหล้ากาหนึ่งออกมา ไม่ใช่เหล้าหมักตระกูลเซียนอะไร แต่เป็นเหล้าข้าวหมักของบ้านเกิดเขตการปกครองหลงเฉวียนที่ส่งไปขายไกลถึงเมืองหลวงต้าหลี เฉินผิงอันดื่มเบาๆ หนึ่งอึก “เจ้าไม่เคยคิดถึงความคิดที่แท้จริงของนางมาก่อน แต่กลับเอาแต่คิดว่าตัวข้าเองควรจะทำอย่างไร แบบนี้ ดีแล้วหรือ?”

ผังหลันซีส่ายหน้า “ไม่ดี ไม่ดีมากๆ”

“ดังนั้นถึงได้บอกว่า ครั้งนี้นครปี้ฮว่าไม่เหลือโชควาสนาจากภาพเทพหญิงอีกแล้ว ร้านก็อาจจะเปิดต่อไปไม่ได้ เจ้ารู้สึกแค่ว่านี่เป็นเรื่องเล็ก เพราะสำหรับเจ้าผังหลันซีแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องเล็ก ร้านแห่งหนึ่งในหมู่ชาวบ้าน ปีๆ หนึ่งจะหาเงินร้อนน้อยได้สักกี่เหรียญ? แล้วปีๆ หนึ่งที่ข้าผังหลันซีใช้เงินเทพเซียนของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมาไปล่ะ มีมากเท่าไหร่? แต่ว่า เจ้าไม่เคยรู้เลยว่า ร้านแห่งหนึ่งที่สามารถเปิดอยู่ด้านล่างตีนเขาของสำนักพีหมาได้พอดี สำหรับเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่งแล้วเป็นเรื่องที่ใหญ่แค่ไหน หากไม่มีอาชีพนี้ ต่อให้แค่ย้ายไปอยู่ด่านไน่เหออะไรนั่น แต่สำหรับนางแล้วนี่จะไม่ใช่เรื่องใหญ่เหมือนฟ้าดินถล่มดินทลายได้อย่างไร?”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าอีกหนึ่งอึก น้ำเสียงเบาแต่ทุ้มนุ่มลึก ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยก็ยิ่งเหมือนสุราที่ดื่ม เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “คงเป็นเพราะความคิดของเด็กสาวยาวไกลกว่าเด็กหนุ่มในวัยเดียวกันกระมัง จะบอกว่าอย่างไรดีล่ะ ความต่างของสองอย่างนี้ก็เหมือนกับว่า ความคิดของเด็กหนุ่มคือการเดินอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง แค่มองไปยังจุดสูงอย่างเดียว ส่วนความคิดของเด็กสาวกลับเหมือนธารน้ำสายเล็กที่เลื้อยลดคดเคี้ยวไหลไปยังทิศไกล”

ผังหลันซียู่หน้าตัวเองแรงๆ ไม่รู้ว่านึกถึงภาพเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เสียใจขึ้นมาได้ เพราะเพียงแค่คิดถึงเรื่องนั้นก็ทำให้เด็กหนุ่มที่เดิมทีไร้ทุกข์ไร้กังวลกลัดกลุ้มใจจนน้ำตาเริ่มมาคลอในกรอบดวงตา

เฉินผิงอันมองเขาแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ

หลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วที่จิตแห่งมรรคาแข็งแกร่ง มองดูเหมือนใจแข็งเป็นหินก็ยังเคยสะดุดล้มหัวทิ่มบนคำว่ารักเหมือนกันไม่ใช่หรือ

เฉินผิงอันพลันหัวเราะออกมา “จะกลัวอะไรเล่า? ในเมื่อวันนี้รู้มากขึ้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเจ้าก็จะทำได้ดีขึ้น คิดทำเพื่อนางได้มากขึ้น หากไม่ได้จริงๆ รู้สึกว่าตัวเองไม่เชี่ยวชาญด้านการคิดวิเคราะห์จิตใจของสตรี ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะสอนวิธีที่โง่เง่าที่สุดให้แก่เจ้า พูดความในใจกับนางไปโดยไม่ต้องรู้สึกเขินอายหรือลำบากใจ หน้าตาศักดิ์ศรีของบุรุษ ยามอยู่ด้านนอกก็พยายามอย่าให้ปลิวหายไป แต่เมื่ออยู่กับสตรีที่ตัวเองรัก ก็ไม่จำเป็นจะต้องอวดเก่งเอาชนะไปเสียทุกเรื่องทุกเวลา”

ผังหลันซีพยักหน้ารับ ยกมือเช็ดหน้า ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงรู้เยอะขนาดนี้?”

ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตน หลังจากชี้แนะไปเพียงเล็กน้อยก็เหมือนหยิบใบไม้ที่บังตาออก สภาพจิตใจของผังหลันซีกลับมาใสกระจ่างอีกครั้ง

เฉินผิงอันชูกาเหล้าในมือขึ้นแกว่งส่ายเบาๆ “ข้าท่องอยู่ในยุทธภพ ข้าดื่มเหล้าอย่างไรล่ะ”

ผังหลันซีถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “เหล้าอร่อยขนาดนั้นจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันไม่พูดอะไร เพียงแค่ดื่มเหล้า

ยังคงรอคอยข่าวจากทางหุบเขาผีร้ายอย่างอดทน

อันที่จริงมีเรื่องบางอย่างที่เฉินผิงอันสามารถพูดบอกกับเด็กหนุ่มได้ชัดเจนมากกว่านี้ เพียงแต่ว่าหากแผ่เส้นสายนั้นออกมาก็มีความเป็นได้ว่าจะเกี่ยวพันกับมหามรรคา นี่คือข้อห้ามใหญ่หลวงของผู้ฝึกตนบนภูเขา เฉินผิงอันไม่มีทางข้ามผ่านบ่อสายฟ้านี้ไปเด็ดขาด

นอกจากนี้ความรักความผูกพันระหว่างเด็กหนุ่มเด็กสาว สับสนมึนงงสักหน่อยกลับจะกลายเป็นความงดงามอย่างหนึ่ง เหตุใดต้องพูดให้ละเอียดเกินไปด้วยเล่า

ผังหลันซีขอตัวลากลับไป บอกว่าอย่างน้อยภาพเทพหญิงกระดาษไขสองชุดก็ไม่หนีไปไหนแล้ว ให้เขารอฟังข่าวดีก็พอ

ตอนที่ผังหลันซีกำลังจะก้าวออกไปจากประตูเรือน เฉินผิงอันก็พลันเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มเอาไว้ ยิ้มกล่าวว่า “ใช่แล้ว เจ้าต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า คำพูดพวกนี้ที่ข้าพูดกับเจ้า หากรู้สึกว่ามันมีเหตุผลจริงๆ ตอนที่ทำมัน เจ้าก็ยังต้องคิดตริตรองให้มากหน่อย ไม่แน่เสมอไปว่าเหตุผลที่เจ้าฟังแล้วรู้สึกว่าไม่เลวจะต้องเหมาะสมกับเจ้า”

ผังหลันซีโบกมือ ยิ้มกล่าว “ข้าไม่ได้โง่เขลาไร้ปัญญาจริงๆ เสียหน่อย วางใจเถอะ ข้าจะใคร่ครวญด้วยตัวเอง!”

เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะหิน ฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าว

ท่ามกลางม่านสีสนธยาของวันนี้ เฉินผิงอันหยุดท่าหมัด หันหน้ามองไป

ทิศทางที่ก่อนหน้านี้มีกายธรรมโครงกระดูกขาวและทวยเทยเกราะทองปรากฏบนชายชายหาดโครงกระดูก มีเงาร่างหนึ่งทะยานลมตรงมา เวลาที่เซียนดินคนหนึ่งไม่จงใจเก็บพลังอำนาจ ทะยานลมเดินทางไกล มักจะต้องมีเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น สร้างความอึกทึกครึกโครมอย่างรุนแรงเสมอ เพียงแต่ว่าเมื่อเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ‘ผสานมรรคา’ กับฟ้าดินได้แล้ว กลับจะสามารถทำให้เงียบเชียบไร้สำเนียง ถึงขั้นแม้แต่คลื่นลมปราณก็ยังแทบจะไม่มีเลย เงาร่างที่ตรงดิ่งมายังภูเขามู่อีสายนั้นน่าจะเป็นเจ้าสำนักจู๋เฉวียน ขอบเขตหยกดิบ แต่กลับยังสร้างความเคลื่อนไหวได้รุนแรงถึงเพียงนี้ หากไม่ได้จงใจสำแดงบารมี สยบพวกกองกำลังที่ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือซุ่มอยู่โดยรอบชายหาดโครงกระดูก ก็คงจะเป็นเพราะตอนอยู่ในหุบเขาผีร้าย เจ้าสำนักพีหมาท่านนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเป็นเหตุให้ขอบเขตไม่มั่นคง

หลังจากที่เงาร่างนั้นพุ่งเข้ามาในภูเขามู่อีแล้วก็พลันหยุดชะงักกะทันหัน จากนั้นก็เหมือนลูกธนูที่สาดยิงเข้าใส่จวนที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขา

ในเรือนหลังเล็ก ลมพายุปั่นป่วนพัดให้ชายแขนเสื้อสองข้างของเฉินผิงอันส่งเสียงดังพึ่บพั่บ

ก็คือจู๋เฉวียนที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ในเมืองชิงหลู

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ “ขอบคุณเจ้าสำนักจู๋”

จู๋เฉวียนโบกมือ นั่งลงข้างโต๊ะหิน มองเห็นกาเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะก็รีบกวักมือเอ่ยว่า “หากมีความจริงใจจริงๆ ก็รีบเชิญข้าดื่มเหล้าดับกระหายเสีย”

เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงหยิบเหล้าข้าวออกมาหนึ่งกา “เป็นแค่เหล้าข้าวของบ้านเกิดเท่านั้น ไม่ใช่เหล้าหมักตระกูลเซียนบนภูเขา”

จู๋เฉวียนเปิดผนึกดิน แหงนหน้ากระดกดื่มอึกใหญ่ หลังจากเช็ดปากแล้วก็เอ่ยว่า “จืดชืดไปหน่อย แต่จะดีจะชั่วก็ยังเป็นเหล้าไม่ใช่น้ำ”

นางชำเลืองตามองคนหนุ่มที่นั่งอย่างสงบอยู่ฝั่งตรงข้าม ถามว่า “เจ้าสนิทกับโครงกระดูกผูหรือ? ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เจ้าฝึกประสบการณ์อยู่ในหุบเขาผีร้าย ต่อให้จะเกิดปะทะกับหยางหนิงซิ่งโดยตรง ข้าก็ไม่เคยคิดจะแอบดู จึงไม่รู้ว่าเจ้ามีความสามารถมากน้อยแค่ไหน ถึงสามารถทำให้ผูหรางออกกระบี่ช่วยเจ้าได้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่สนิท หรือจะพูดให้ถูกก็คือเคยผิดใจกันเล็กน้อย ตอนที่อยู่สันเขาอีกา ข้าเคยต่อสู้กับผีสาวของนครฟูนี่ เป็นผูหรางที่มาขัดขวางไม่ให้ข้าไล่ฆ่าฟ่านอวิ๋นหลัว ภายหลังผูหรางยังเป็นฝ่ายมาหาข้าด้วยตัวเองหนึ่งครั้ง ข้าเห็นเขาสวมชุดเขียวสะพายกระบี่เลยถามเขาว่าเหตุใดถึงไม่ละโมบอยากได้กระบี่ยาวที่ข้าสะพายอยู่ด้านหลัง”

แม้จู๋เฉวียนจะบอกว่าเหล้าข้าวนี้รสชาติจืดจาง แต่กลับดื่มไม่หยุด เพียงไม่นานก็หมด นางตบกาเหล้าลงกับโต๊ะแรงๆ ถามว่า “แล้วผูหรางผู้นั้นตอบว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันเพียงยิ้ม ไม่ตอบคำถาม

จู๋เฉวียนร้องโอ้โหหนึ่งที เจ้าสองคนนี่เป็นคนจำพวกเดียวกันจริงๆ เลยนะ?

ทำไม สวมชุดเขียว ต่างก็ใช้กระบี่ ก็เลยร้ายกาจอย่างนั้นรึ?

แต่พอจู๋เฉวียนชำเลืองตามองกาเหล้าก็คิดว่า ช่างเถิด ดื่มเหล้าของคนอื่นเขาไปแล้ว จะอย่างไรก็ควรมีมารยาทสักหน่อย อีกอย่าง ในเมื่อมีเจียงซ่างเจินที่เป็นดั่งขี้หมากองอยู่ข้างหน้า ในสายตาของจู๋เฉวียน ไม่ว่าจะเป็นบุรุษต่างถิ่นคนใดก็ล้วนเป็นชายที่ดีประดุจบุปผา แล้วนับประสาอะไรกับที่ก่อนหน้านั้นคนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ได้ใช้ถ้อยคำว่า ‘เฉินผิงอันแห่งภูเขาพีอวิ๋นต้าหลี’ เป็นการแนะนำตัวเองอย่างตรงไปตรงมา การค้าขายครั้งนั้นค่อนข้างจะถูกใจจู๋เฉวียน และแน่นอนว่านางต้องเคยได้ยินชื่อภูเขาพีอวิ๋นมาก่อน แม้กระทั่งเว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีก็ยังเคยได้ยินชื่อมาหลายครั้ง ช่วยไม่ได้ เส้นทางการทำเงินของสำนักพีหมาในทวีปอื่นก็ได้แต่พึ่งเรือข้ามทวีปลำนั้นแล้ว อีกทั้งประโยคที่สองที่คนซึ่งเรียกตัวเองว่าเฉินผิงอันผู้นี้เอ่ย นางก็เชื่อเหมือนกัน คนหนุ่มบอกว่าเขาได้ครอบครองท่าเรือข้ามฟากบนภูเขาหนิวเจี่ยวครึ่งหนึ่ง ดังนั้นห้าร้อยปีต่อจากนี้ ทุกครั้งที่เรือข้ามฟากของสำนักพีหมาไปจอดเทียบท่าล้วนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญนั่น จู๋เฉวียนรู้สึกว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการค้ายาวนานที่ข้าผู้อาวุโสไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว ต้องตอบรับอย่างแน่นอน! หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ใครจะกล้าพูดว่าเจ้าสำนักอย่างนางคือสตรีล้างผลาญ?

แต่จู๋เฉวียนก็ยังมีโทสะอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะเจ้าคนตรงหน้าผู้นี้เหมือนโครงกระดูกผูที่เป็นศัตรูคู่แค้นกับตนเกินไป จึงยิ้มเอ่ยว่า “อันที่จริงเจ้าทำสิ่งที่เกินความจำเป็นไปแล้ว ก่อนหน้านี้ที่เจ้ามาหาข้า ไม่จำเป็นต้องยื่นข้อเสนอใดๆ เลย เพราะขอแค่เป็นการเล่นงานทางเหนือ อย่าว่าแต่นครจิงกวานเลย ไม่ว่าจะเป็นโครงกระดูกใดๆ ก็ตามที่ข้าเกลียดขี้หน้า ข้าก็พร้อมจะลงมือขัดขวางทั้งนั้น คราวนี้เจ้าเสียดายแล้วหรือไม่? ใจสั่นระรัวเลยหรือเปล่า?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าสำนักจู๋มีคุณธรรมและความห้าวหาญ นี่คือมาดของสำนักใหญ่ที่สำนักพีหมามีอยู่ แต่ข้าเป็นแขกคนหนึ่ง เป็นเด็กรุ่นหลังคนหนึ่ง จะไม่รู้จักวางตัวเข้าสังคมไม่ได้ มารยาทที่ควรมี ถึงอย่างไรก็ยังต้องมี”

จู๋เฉวียนนวดคลึงปลายคาง “เป็นคำพูดที่ไพเราะก็จริง แต่เหตุใดถึงได้ระคายหูข้านักล่ะ”

เฉินผิงอันหยิบกาเหล้าออกมาอีกหนึ่งกา

จู๋เฉวียนพยักหน้ายิ้มเอ่ย “แม้ว่าคำพูดจะระคายหู แต่มองเจ้าแล้วกลับถูกชะตามากขึ้น”

ส่วนเฉินผิงอันก็หยิบเหล้าข้าวกาที่ก่อนหน้านี้ยังดื่มไม่หมดขึ้นมาดื่มช้าๆ

จู๋เฉวียนชำเลืองตามองวิธีการดื่มสุราที่เนิบนาบของคนหนุ่มตรงหน้าแล้วก็ส่ายหน้า ขัดหูขัดตาขึ้นมาอีกแล้วแหะ

“ไม่ต้องเอาเหล้าออกมาอีกแล้ว”

จู๋เฉวียนดื่มเหล้ากาที่สองหมดก็เอากาเปล่าวางบนโต๊ะ “คราวนี้โครงกระดูกผูทำให้นครจิงกวานโมโหจริงๆ แล้ว หลังจากนี้คงอยู่ไม่เป็นสุขนัก เพียงแต่ว่าเจ้าหมอนี่ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ เกาเฉิงเองก็รำคาญเขา หากจะสู้กัน ไม่ลงแรงเต็มกำลังก็ไม่ได้ แต่หากสู้กันถึงเป็นถึงตาย เขาสามารถสังหารโครงกระดูกผูได้ก็จริง เพียงแต่ว่านครจิงกวานเองก็ต้องสูญเสียพลังต้นกำเนิดไปส่วนหนึ่ง แต่ถ้าไม่ตีกันก็ไม่ได้อีก เพราะถึงอย่างไรคราวนี้เกาเฉิงขายหน้ามาก อย่างแรกคือฆ่าเจ้าไม่สำเร็จ แล้วยังถูกแหผุๆ ของเจ้าชาติหมาเจียงรัดพันไว้เป็นพักใหญ่ รอจนเกาเฉิงถอยกลับไปยังหุบเขาผีร้ายแล้ว เจ้าลองเดาดูสิว่าเป็นอย่างไร เขาดันตัดใจฉีกกระชากให้แหที่ล้วนมีแต่เงินเกล็ดหิมะปากนั้นย่อยยับไม่ลง จึงได้แต่ฝืนใจเก็บมันเอาไว้ ฮ่าๆ บางทีก่อนหน้าที่เกาเฉิงจะมีชื่อเสียงอยู่ในชายหาดโครงกระดูกก็คงเคยชินกับนิสัยมัธยัสถ์อดออมเช่นนี้มาก่อน พอมีชื่อเสียง คิดไม่ถึงว่าจะยังมีวันนี้อีก! นึกไม่ถึงเลยว่าชีวิตนี้เจ้าคนบ้าตัณหาจิตใจดำมืดดุจอสรพิษอย่างเจียงซ่างเจินจะทำเรื่องดีๆ กับเขาเป็นด้วย”

จู๋เฉวียนอารมณ์ดีสุดขีดจึงหัวเราะเสียงดังไม่หยุด แล้วก็ยื่นมือออกมาอีกครั้งอย่างเป็นธรรมชาติ

เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ หยิบเหล้าหมักข้าวกาที่สามมาวางลงบนโต๊ะ

จู๋เฉวียนเริ่มดื่มเหล้ากาที่สาม คงจะรู้สึกว่าหากยังรีดไถเอาสุราจากคนอื่นมาดื่มอีกคงไม่เหมาะสมนัก จึงเริ่มจิบเหล้าคำเล็กๆ ดื่มอย่างประหยัดเช่นกัน

เป็นเจ้านครจิงกวานผู้นั้นอย่างที่คาดจริงๆ ด้วย

คือวิญญาณวีรบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหุบเขาผีร้าย

ก่อนหน้านี้ขณะที่เฉินผิงอันตัดสินใจว่าจะออกไปจากหุบเขาผีร้ายก็เคยคาดเดาไว้อย่างหนึ่ง เขาคัดกรองผีก่อกำเนิดทางทิศเหนือที่มีบันทึกไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ทั้งหมดอย่างละเอียดหนึ่งรอบ เกาเฉิงแห่งนครจิงกวาน แน่นอนว่าเขาก็คิดถึงเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าความเป็นไปได้มีไม่มาก เพราะก็เหมือนกับผูหรางแห่งนครกรงขาว หรือไม่ก็ยอดฝีมือสองท่านแห่งวัดหยวนเยว่ใหญ่และอารามเสวียนตูเล็กในป่าท้อที่เขาเดินผ่านแต่ไม่ได้แวะเข้าไป ที่ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไหร่ โลกทัศน์ก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น ประโยคที่เฉินผิงอันเอ่ยริมตลิ่งลำคลองเฮยเหอว่า ‘สามารถบรรลุผลเช่นนี้ ก็ควรจะมีใจเช่นนี้’ อันที่จริงขอบเขตในการนำไปใช้นับว่าไม่แคบ แน่นอนว่านอกจากผู้ฝึกตนอิสระแล้ว บนโลกนี้ก็ยังมีเรื่องไม่คาดคิดอีกมากมาย ไม่มีเรื่องอะไรที่ตายตัวเสมอไป ดังนั้นต่อให้เฉินผิงอันจะรู้สึกว่าคำกล่าวของหยางหนิงซิ่งที่บอกว่ามีคนลอบมองมาจากทางเหนือ ความเป็นไปได้ที่จะเป็นเกาเฉิงแห่งนครจิงกวานจะมีน้อยที่สุด แต่เฉินผิงอันกลับเป็นคนที่เคยชินกับการคิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด จึงมองเกาเฉิงเป็นศัตรูที่ถูกสมมติขึ้นทันที!

ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันที่ไปอยู่ในเมืองชิงหลูแล้ว และสถานที่ฝึกตนของเจ้าสำนักจู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมาก็อยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าว ยังจำเป็นต้องสิ้นเปลืองยันต์ย่อพื้นที่สองแผ่นแหวกม่านฟ้าหนีออกมาจากหุบเขาผีร้ายอีกหรือ? อีกทั้งก่อนหน้านั้นเขาก็เริ่มแน่ใจแล้วว่าในเมืองชิงหลูมีหูตาของนครจิงกวานซ่อนตัวอยู่ จึงจงใจไปเยือนนครถงโช่วซ้ำอีกรอบ สถานการณ์ที่ต้องช่วยเหลือตัวเองนี้ได้เริ่มโคจรเงียบๆ อย่างแท้จริงนับตั้งแต่ที่โยนเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นไปให้ผีผู้บัญชาการณ์คนเฝ้าประตูเมืองนครถงโช่วแล้ว

ฟ้าดินไร้พันธนาการ

อันที่จริงส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันก็พอจะมองหาเส้นสายหนึ่งที่หลบซ่อนอยู่เจอ

บนเส้นเส้นนี้จะมีจุดเชื่อมต่อที่สำคัญอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่นตรงสะพานเหล็กแขวนระหว่างหน้าผา การรับสัมผัสของตัวหยางหนิงซิ่งที่เขาเอ่ยบอก

ริมลำคลองเฮยเหอ ภิกษุเฒ่าหันหน้าเข้าหาฝั่งตรงข้ามแล้วท่องประโยคพระธรรมที่คล้ายจะเป็นคำพูดซึ่งเอ่ยลอยๆ ว่า ‘กลับใจคือฝั่ง’

หลังจากเข้าไปในเมืองชิงหลูที่ตามหลักแล้วคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดของหุบเขาผีร้าย แต่กลับไม่สามารถจรดพู่กันเขียนยันต์ได้ จิตใจที่ไม่สงบสุขซึ่งแม้แต่การยืนนิ่งเจี้ยนหลูก็ยังไม่ช่วยให้ดีขึ้นเช่นนั้น เป็นความรู้สึกที่หาได้ยากยิ่ง

หากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ก็คือโชควาสนาจากภาพเทพหญิงขุนนางสวรรค์แห่งนครปี้ฮว่า เทพหญิงฉีลู่เดินออกมาจากภาพวาด มุ่งหน้าไปที่ท่าเรือข้ามฟากของลำคลองเหยาเย่ จำแลงกายเป็นหญิงชราเพื่อมาหยั่งเชิงตน

นครปี้ฮว่า สามารถเรียกได้ว่าเป็นสถานที่แรกที่เฉินผิงอันเหยียบย่างเข้ามาในอุตรกุรุทวีป!

ความคิดชั่วร้ายอันบริสุทธิ์ที่หยางหนิงซิ่งหล่อหลอมให้เล็กเท่าเม็ดงา ตอนอยู่ในศาลเทพวารีริมน้ำ บัณฑิตได้เอ่ยถ้อยคำหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ บอกว่าเขาไม่เคยชนะเฉินผิงอันได้เลยสักครั้ง

เรื่องราวบนโลกใบนี้ โชคดีมักจะมาพร้อมกับโชคร้ายเสมอ

เฉินผิงอันมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง

หากเขาเอาแต่จมจ่อมอยู่กับโชคดีและความสุขอันยาวนาน ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร?

เวลานี้ต่อให้เฉินผิงอันออกห่างจากหุบเขาผีร้ายมาไกลมากแล้ว พาตัวมาอยู่บนภูเขามู่อีของสำนักพีหมา เขาก็ยังคงหวาดผวาไม่คลาย

ลองจินตนาการดู หากเป็นร้านผ้าห่อบุญอยู่ในนครถงโช่วได้อย่างราบรื่น ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป แน่นอนว่าเขาย่อมเดินทางขึ้นเหนือต่อ เพราะก่อนหน้านี้มีมรสุมคลื่นลมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็จริง แต่กลับแค่น่าตกใจทว่าไร้อันตราย ตรงกันข้ามยังสามารถเก็บตกของดีได้อยู่หลายครั้ง ไม่มีเรื่องดีๆ ที่ใหญ่เทียมฟ้า แต่กลับมีโชคเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอดเวลา ได้กำไรตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย อีกทั้งสุดท้ายแล้วเทพหญิงฉีลู่ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน บ่อสายฟ้าภูเขาจีเซียวไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน โชควาสนาบนภูเขากระจกวิเศษก็ยังคงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน ดูเหมือนว่าเขาเฉินผิงอันแค่อาศัยความระมัดระวังของตัวเองบวกกับ ‘โชคดีเล็กๆ น้อยๆ ’ ซึ่งดูเหมือนว่านี่จะเป็นสภาพการณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าผ่อนคลายที่สุด ไร้อันตรายมากที่สุด

เฉินผิงอันหรี่ตาลง ดื่มเหล้าข้าวในกาจนหมด

จู๋เฉวียนชำเลืองตามองกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอันแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้าเบาๆ คิดว่าคงไม่ใช่วัตถุชิ้นนี้ แม้ว่าเกาเฉิงแห่งนครกรงขาวจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตของคนตลอดทั้งสำนักพีหมา แต่เจ้าสำนักแต่ละยุคแต่ละสมัยล้วนยอมรับว่าวิญญาณวีรบุรุษผู้ที่ร่วมปกครองหุบเขาผีร้ายคนนี้ ไม่ว่าจะตบะหรือนิสัยใจคอก็ล้วนไม่เลว สามารถเรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษในกลุ่มผี ดังนั้นต่อให้คนหนุ่มจะสะพายอาวุธกึ่งเซียนอยู่จริงๆ แต่เกาเฉิงก็คงไม่ถึงขั้นอยากได้จนน้ำลายสอเช่นนี้ และยิ่งไม่มีทางเป็นเดือดเป็นแค้นขนาดนี้ จู๋เฉวียนใคร่ครวญหาถ้อยคำที่เหมาะสมอยู่ในใจก่อนอย่างที่หาได้ยาก หลังจากเตรียมคำพูดที่จะเอ่ยได้คร่าวๆ แล้วก็กล่าวว่า “ข้าจะไม่ถามว่าเหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นปฏิปักษ์กับเกาเฉิง และเจ้าก็ไม่ต้องเล่าให้ข้าฟังด้วย นี่คือบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง แน่นอนว่าการเปิดฉากเข่นฆ่ากับเกาเฉิงและนครจิงกวานก็คืองานในหน้าที่ของผู้ฝึกตนสำนักพีหมาเราอยู่แล้ว ต่อให้ตายก็ไม่เสียดาย เจ้าเองที่หนีรอดมาได้ และมาหลบภัยอยู่ในภูเขามู่อีของเราในครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าเพื่อชดใช้น้ำใจที่ติดค้างไว้ จึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ด้วย ไม่จำเป็นเลย ทั้งเจ้าและข้าต่างก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนั้น”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”

จู๋เฉวียนยิ้มกล่าว “เจ้าตัวดี ไม่เกรงใจกันจริงๆ ด้วย”

……

ป่าท้อของหุบเขาผีร้าย ในอารามเสวียนตูเล็ก

นักพรตผู้เฒ่าเจ้าอารามยืนอยู่ใต้ต้นท้อสูงเสียดฟ้าต้นนั้น ตรงฝ่าเท้าอบอวลไปด้วยไอน้ำ จากนั้นก็เหมือนมีภาพวาดแห่งภูเขาแม่น้ำที่ใหญ่ยักษ์ม้วนหนึ่งค่อยๆ ถูกคลี่ออก

เมื่อบนม้วนภาพปรากฎร่างของบัณฑิตคนหนึ่งที่เดินเข้าไปในนครถงโช่วเพื่อเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ที่เหมือนการละเล่นของเด็ก

สวีส่ง ‘นักพรตน้อย’ ที่ถือแส้ปัดฝุ่นไว้ในมือก็ขนลุกขนชัน เอ่ยเสียงสั่นว่า “อาจารย์ นี่ก็คือภาพม้าวิ่งบนสายน้ำแห่งกาลเวลาในตำนานหรือ?”

นักพรตผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เจ้าลัทธิของตำหนักนภากาศหน่วยฉงเฉวียนราชวงศ์ต้าหยวนเขียนจดหมายฉบับหนึ่งด้วยลายมือตัวเองแล้วส่งมาที่อารามเสวียนตูเล็กของพวกเรา ต้องการให้อาจารย์ช่วยปกป้องหยางหนิงซิ่งระหว่างที่เดินทาง ในเมื่อทำเรื่องดีแล้วก็ควรทำให้ถึงที่สุด อาจารย์จึงวาดภาพนี้ขึ้นมา แต่เจ้าก็วางใจเถอะ นี่เป็นแค่ฉบับสำเนาของภาพม้าวิ่งที่แท้จริงเท่านั้น ค่าตอบแทนมีไม่มาก คนนอกได้แค่มองดูสามครั้ง การที่ให้เจ้าดูหนึ่งครั้งก็เพราะต้องการให้เจ้าลองพิศมรรคา เอาหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยกงามให้ตัวเอง ดังนั้นเจ้าจงพิศดูให้ถี่ถ้วน”

สวีส่งกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “ถึงอย่างไรเทียนจวินน้อยของหน่วยฉงเสวียนผู้นั้นก็มีพี่ชายมาช่วยเอาสมบัติให้ที่ภูเขากระจกวิเศษ ตัวหยางหนิงซิ่งที่มาเยือนหุบเขาผีร้ายก็เหมือนแค่มาเที่ยวเล่นเท่านั้น จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยหรือ?”

นักพรตเฒ่ายิ้มกล่าว “แรกเริ่มอาจารย์ก็สงสัยเหมือนกัน ได้แต่เดาว่านี่น่าจะเกี่ยวข้องกับการช่วงชิงบนมหามรรคา รอให้เจ้าดูภาพวาดม้วนนี้จบ ความจริงก็จะปรากฏให้เห็นแล้ว”

สวีส่งเบิกตากว้าง ไม่ยอมพลาดรายละเอียดแม้แต่นิดเดียว

เพียงแต่ว่าทุกการกระทำของหยางหนิงซิ่งในนครถงโช่วช่างเกกมะเหรกหาดีไม่ได้ หากม้วนภาพนี้ไม่ใช่ภาพม้าวิ่ง สวีส่งก็คงรู้สึกว่าอาจารย์ของตนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ส่วนเจ้าลัทธิตำหนักนภากาศก็ยิ่งเป็นกังวลเกินจริงไปเอง

แต่เมื่อสวีส่งมองเห็นว่าปี้สู่เหนียงเนียงแห่งภูเขาโปลั่วถูก ‘บัณฑิต’ เสกให้กลายเป็นควันดำแล้วเขมือบกลืนลงท้อง ส่วนบนหัวกำแพงก็มีมือดาบหนุ่มคนนั้นนั่งยองอยู่

สีหน้าของสวีส่งก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม

เหตุการณ์ต่างๆ ต่อจากนั้น

ทำเอาสวีส่งที่มองดูอยู่อกสั่นขวัญผวา หัวใจกระเด้งกระดอนไม่หยุด

เมื่อภาพภูเขาแม่น้ำข้างฝ่าเท้าดำเนินมาถึงฉากสุดท้ายก็กลายมาเป็นแกนภาพม้วนหนึ่งที่ถูกอาจารย์กุมไว้ในฝ่ามือเบาๆ

นักพรตเฒ่ายิ้มกล่าว “รู้สึกอย่างไร?”

สวีส่งกล่าวอย่างเขินอาย “หากศิษย์เป็น…พี่ชายคนดีผู้นั้น ก็ไม่รู้ว่าต้องตายด้วยน้ำมือของหยางหนิงซิ่งไปกี่รอบแล้ว”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “หากเจ้าเป็นคนผู้นี้ ก็ยิ่งไม่มีทางหนีออกไปจากหุบเขาผีร้ายได้”

สวีส่งนึกถึงความเคลื่อนไหวทางเมืองชิงหลูก่อนหน้านี้ รวมไปถึงการเข่นฆ่าระหว่างเทพเซียนที่แท้จริงซึ่งเกิดขึ้นหลังจากนั้น นักพรตน้อยท่านนี้ก็ให้รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก

นักพรตเฒ่ามองลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตนแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำไม รู้สึกว่าตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้อย่างนั้นหรือ? หากอาจารย์บอกเจ้าว่าอายุที่แท้จริงของจอมยุทธพเนจรต่างถิ่นผู้นี้แค่ยี่สิบต้นๆ เจ้าจะเอาหัวโหม่งต้นท้อตายหรือไม่?”

หน้าผากของสวีส่งมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมา

นักพรตเฒ่าส่ายหน้าถอนหายใจ “เด็กโง่ อยู่บนเส้นด้ายแห่งชีวิตที่มีทั้งโชคและเคราะห์อยู่ร่วมกัน ต้องคอยเดิมพันกับหนึ่งในหมื่นครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเรื่องดีจริงๆ หรือ? จมลึกอยู่ในฝุ่นผงแห่งโลกีย์ เวรกรรมตามติดรัดพันตัว สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว จะน่ากลัวปานใด ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ต่อให้ตอนนี้เจ้าจะสู้คนผู้นี้ไม่ได้จริงๆ แล้วเจ้าก็จะไม่อาจฝึกตนไม่อาจบรรลุมรรคาได้แล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเป็นอาจารย์ พอคิดถึงว่าจุดที่อยู่สูงขึ้นไปมีมรรคาจารย์เต๋าผู้นั้นอยู่ ตนก็ต้องต่ำต้อยกว่า มีเจ้าลัทธิสามสายนั่นอยู่ ก็ต้องต่ำลงอีกหน่อย และยิ่งมีเซียนบินทะยานอยู่ในหอป๋ายอวี้จิง ก็ต้องหมดอาลัยตายอยาก บอกกับตัวเองว่าช่างมันเถิดอย่างนั้นหรือ?”

สวีส่งเงยหน้าขึ้น สีหน้าเลื่อนลอย

นักพรตเฒ่าใช้นิ้วดีดหน้าผากสวีส่งเบาๆ “นักพรตอย่างพวกเรา ฝึกวิชาของตัวเองเป็นเรื่องในบ้านของตัวเอง ศัตรูมีเพียงกรงขังแห่งกฎเกณฑ์ที่ต้นไม้เติบโตแล้วก็ต้องแห้งเหี่ยว มนุษย์ทุกคนล้วนต้องตายเท่านั้น หาใช่อยู่ที่คนอื่นไม่ ความรุ่งโรจน์มีเกียรติ ความตกต่ำอับจนของคนอื่น เกี่ยวข้องอะไรกับเราด้วย? ในสายตาของอาจารย์ บางทีมหามรรคาที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องช่วงชิงด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่า…ช่างเถิด พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์”

สวีส่งถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก้มลงกราบคำนับ “อาจารย์ ศิษย์พอจะเข้าใจบ้างแล้ว”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับอย่างปลาบปลื้ม “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”

……

ในพื้นที่ลับตระกูลเซียนที่เดิมทีภาพฝาผนังทุกภาพล้วนเป็นประตูบานหนึ่งที่เปิดเข้ามาได้

เมื่อภาพวาดฝาผนังทั้งแปดล้วนกลายเป็นภาพโครงร่างขาวดำ ปราณวิญญาณในจวนตระกูลเซียนแห่งนี้ก็สูญหายไปเกินครึ่ง กลายมาเป็นพื้นที่ลับทั่วไปที่ไม่เพียงพอจะเป็นถ้ำสวรรค์ แต่กลับเหลือเฟือที่จะเป็นถ้ำมงคล ยังคงเป็นพื้นที่วิเศษแห่งหนึ่ง เพียงแค่ไม่เหลือความรู้สึกน่าตื่นตาตื่นใจใดๆ อีกต่อไป

เจียงซ่างเจินที่เข้ามาเดินในนี้อีกครั้งรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง

หลังจากที่เขาใช้ใบหลิววัตถุแห่งชะตาชีวิตผ่าม่านฟ้าย้อนกลับมาที่ชายหาดโครงกระดูกก็ไม่ได้ไปจากอุตรกุรุทวีปในทันที แต่แอบมาเยือนพื้นที่ลับแห่งนี้

เรื่องบางอย่าง หากไม่คิดให้กระจ่าง ในใจก็จะยังคันคะเยออยู่อย่างนั้น

อีกทั้งเมื่อมาหลบอยู่ที่นี่ก็ถือว่ายิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว หนึ่งคือที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยยิ่งกว่าหลบอยู่ในภูเขามู่อี สองก็เพราะกังวลว่าหลังจากผิดใจกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงผู้นั้นแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาจะค่อนข้างน่ากลัว อีกฝ่ายคือสตรีอำมหิตที่มีโชควาสนาลึกล้ำจนน่าตกใจ หากนางเกลียดตนขึ้นมาก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า ขอแค่เขาเจียงซ่างเจินอยู่ในอาณาเขตทั่วไปของอุตรกุรุทวีป ก็อาจจะต้องเจอกับภัยพิบัติโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว อาจไม่ถึงขั้นหายนะใหญ่ แต่จะต้องทำให้คนสะอิดสะเอียนได้มากแน่ๆ ยกตัวอย่างเช่นเจียงซ่างเจินเป็นกังวลอย่างยิ่งว่าหากตอนนี้ตนไปโผล่หน้าที่ชายหาดโครงกระดูกหรือไม่ก็ภูเขามู่อี จะได้เจอกับหญิงแก่บางคนที่เดินทางท่องเที่ยวลงใต้ จากนั้นนางก็จะมาร้องไห้คร่ำครวญน้ำหูน้ำตานองหน้าใส่ตน เจียงซ่างเจินไม่อาจทนรับการพบกันอีกครั้งแบบนี้ได้มากที่สุด

เพียงแต่ว่าเจียงซ่างเจินไปนอนคิดอยู่ในพุ่มดอกไม้ของพื้นที่ลับ นั่งคิดอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าแพรถักลาย นอนฟุบตัวครุ่นคิดอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งที่กลิ่นหอมยังคงอยู่ นั่งคิดอยู่บนราวระเบียงหอสูงที่เหล่าพี่สาวเทพธิดาต้องเคยฟุบตัวนอนคว่ำมาก่อนอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงคิดเรื่องบางเรื่องได้ไม่กระจ่าง เวลาเพียงแค่ชั่วพริบตากลับเหมือนผ่านไปแล้วสามวัน

หากคิดไม่ออก ก็ต้องถามสิ

เจียงซ่างเจินจึงบังคับวัตถุแห่งชะตาชีวิตให้ไปเคาะตรงประตูบานหนึ่งรัวๆ

เพียงไม่นานบรรพจารย์สำนักพีหมาที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีคนหนึ่งก็เดินออกมา พอเห็นคนผู้นี้ก็ไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน เขาคำรามอย่างเดือดดาลว่า “เจียงซ่างเจิน เจ้ายังไม่ไสหัวไปอีกรึ?! สำนักพีหมาของพวกเราไม่มีขี้หมาให้เจ้ากินหรอกนะ!”

เจียงซ่างเจินนั่งอยู่บนราวระเบียงแห่งหนึ่ง หลุบตาลงต่ำมองตาแก่เจ้าอารมณ์ผู้นั้นแล้วยิ้มหน้าเป็นพูดว่า “ไม่เอาน่า มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆ สิ ตอนนี้ข้าเป็นถึงพันธมิตรของสำนักพีหมาพวกเจ้าเชียวนะ…”

บรรพจารย์สำนักพีหมาผู้นั้นไม่พูดจาไร้สาระให้เสียเวลา เตรียมจะลงมือตีคนทันที

เจียงซ่างเจินรีบชูมือสองข้างขึ้น พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับจู๋เฉวียนเจ้าสำนักของพวกเจ้า แน่นอนว่ายังรวมไปถึงแขกที่มาพักอยู่บนภูเขาของพวกเจ้าคนนั้นด้วย ทางที่ดีที่สุดคือให้พวกเขามาคุยกับข้าที่นี่”

บรรพจารย์ควบคุมวัตถุแห่งชะตาชีวิตออกมาแล้ว ดูจากท่าทางไม่เหมือนว่าจะแค่ยืดเส้นยืดสายเล่นเท่านั้น

เจียงซ่างเจินใช้สองมือตีราวระเบียงเบาๆ พูดอย่างระอาใจว่า “ที่นี่คือกิจการอันล้ำค่าของสำนักพีหมาพวกเจ้าเชียวนะ ตีกันไปตีกันมา ก็เป็นพวกเจ้าที่ต้องเสียหายไม่ใช่หรือ?”

บรรพจารย์หัวเราะเสียงเย็นไม่หยุด เมื่อป้ายไม้ที่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตแผ่นนั้นปรากฏขึ้น รอบกายของเขาก็มีเทวรูปทวยเทพราชาสวรรค์สี่องค์ยืนอยู่ แขนขาทั้งสี่ของพวกเขาค่อยๆ ขยับ แสงสีทองไปรวมตัวกันอยู่ในดวงตาอย่างต่อเนื่อง

เจียงซ่างเจินกลัวผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปเล่นไม้นี้มากที่สุด ตีๆ กันให้เสร็จไปก่อนแล้วแม่งค่อยมาคุยกันทีหลัง

หากเป็นในอดีต เจียงซ่างเจินอาจจะยังตกหลุมพราง ตอนนั้นเจียงซ่างเจินยังเป็นแค่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งเท่านั้น แต่กลับกล้าบอกว่าตัวเองมีความสามารถในการหาเรื่องใส่ตัวเป็นอันดับหนึ่ง ทักษะในการตีคนด่าคนก็เป็นอันดับหนึ่ง ฝีมือในการเห็นท่าไม่ดีแล้วเผ่นหนีก็คือที่หนึ่ง ยกยอว่าตัวเองคือผู้นำในสามด้าน แต่การเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปในครั้งนี้ เจียงซ่างเจินไม่คิดจะหวนคืนสู่ยุทธภพอีกจริงๆ

เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองจุดสูงแล้วถอนหายใจโล่งอก

ท่ามกลางทะเลเมฆแห่งหนึ่งที่อยู่สูงขึ้นไปเหนือพื้นที่ลับปรากฏเป็นรองเท้าปักลายบุปผาของเจ้าสำนักจู๋เฉวียนอีกครั้ง แรกเริ่มก็ใหญ่เหมือนขุนเขา บดบังผืนฟ้า เพียงแต่ว่าชั่วพริบตาที่พลิ้วกายลงสู่พื้นดินก็กลับคืนมามีเรือนกายปกติธรรมดา

ข้างกายจู๋เฉวียนยังมีเฉินผิงอันติดตามมาด้วย

คนทั้งสองปรากฏตัวอยู่กลางระเบียงชั้นบนของหอสูงตระหง่านแห่งนี้

จู๋เฉวียนบอกให้บรรพจารย์ผู้นั้นกลับไปยังภูเขามู่อี

บรรพจารย์สบถด่าพลางเก็บวัตถุแห่งชะตาชีวิตและเทวรูปราชาสวรรค์ทั้งสี่ลงไป

เจียงซ่างเจินหัวเราะร่า กระโดดลงมาจากราวระเบียง “เฉวียนเอ๋อร์น้อย ต่างก็บอกกันว่าไม่เจอหนึ่งวันเหมือนห่างกันสามสารทฤดู พวกเราไม่พบหน้ากันมาสิบปีแล้ว คิดถึงข้าหรือไม่? ข้ารู้ว่าเจ้าต้องไม่คิดถึงแม้แต่น้อย ใช่ไหม?”

จู๋เฉวียนคร้านจะเหลือบแลเขาให้เต็มตา เพียงหันมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “วางใจเถอะ หากมีปัญหา ข้าจะรีบมาทันที สังหารเจ้าคนบ้าตัณหาผู้นี้ ข้าเต็มใจเสียยิ่งกว่าเหยียบนครจิงกวานให้พังราบเป็นหน้ากลองเสียอีก”

เจียงซ่างเจินไม่ถือสา เอนตัวพิงราวระเบียง ใช้มือต่างพัดพัดเอาลมเข้าหาตัวเบาๆ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เฉวียนเอ๋อร์น้อยไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ ยังคงน่ารักร่าเริงอยู่ดังเดิม”

ร่างของจู๋เฉวียนพุ่งวาบหนึ่งครั้งก็ย้อนกลับไปยังภูเขามู่อีผ่านทางทะเลเมฆแห่งนั้น

รอจนกระทั่งบรรพจารย์สำนักพีหมาและเจ้าสำนักอย่างจู๋เฉวียนต่างก็จากไปแล้ว เจียงซ่างเจินก็สะบัดชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง สมบัติอาคมแปลกประหลาดชิ้นแล้วชิ้นเล่าผุดออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วพุ่งตรงไปปิดผนึกประตูบานใหญ่ของทะเลเมฆที่เชื่อมตรงสู่ภูเขามู่อีและประตูเล็กบนผนังภาพวาดทั้งแปดที่เหลือ

จากนั้นก็มีน้ำเสียงพร่าเลือนของจู๋เฉวียนดังมาจากทะเลเมฆ “เจียงซ่างเจิน เจ้าอยากโดนฟันตายหรือไร” ตามมาด้วยทะเลเมฆที่สั่นสะเทือนไม่หยุด คาดว่าจู๋เฉวียนคงเริ่มทุบประตูที่ภูเขามู่อีแล้ว

เจียงซ่างเจินจึงโบกชายแขนเสื้ออีกครั้ง สมบัติอาคมที่สีสันเจิดจ้าพร่าตาชิ้นแล้วชิ้นเล่าบินออกมาจากชายแขนเสื้ออีกรอบ ปิดตายประตูใหญ่ทะเลเมฆนั่นไปโดยตรง ก่อนที่เขาจะสาบานเสียงดังก้องว่า “หากข้ากระทำการอำมหิตอยู่ในนี้ ออกจากประตูไปจะให้เจ้าจู๋เฉวียนฆ่าตายทันที ตกลงไหม?”

เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เขาหิ้วกาเหล้าออกมาหนึ่งกา โยนไปให้เจียงซ่างเจิน เอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”

เจียงซ่างเจินไม่เหลือสีหน้าหยอกล้ออีก ทอดถอนใจพูดว่า “ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่า เจ้าเดาออกแล้วหรือว่าเป็นใครที่ลงมือกับเจ้า?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็ไม่ใช่เกาเฉิงหรอกหรือ?”

เจียงซ่างเจินไม่ได้เอ่ยสัพยอกอย่างที่หาได้ยาก เพียงจ้องนิ่งมองเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันกระโดดเบาๆ ขึ้นไปนั่งบนราวระเบียง เจียงซ่างเจินก็ตามมานั่งด้านข้าง ต่างคนต่างดื่มเหล้าของตัวเองไป

เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าถามแบบนี้ ข้าก็แน่ใจจริงๆ แล้ว”

เจียงซ่างเจินเอ่ยอย่างกังขา “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยิ่งไม่เข้าใจแล้ว ข้าใช้ช่องทางต่างๆ ตรวจสอบอดีตของเจ้า ตามหลักแล้ว เจ้าก็ไม่น่าจะผูกปมแค้นลึกล้ำกับนางเช่นนี้ถึงจะถูก”

เฉินผิงอันเอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับหัวข้อที่พูดคุยกันก่อน “ก่อนหน้านี้เจ้าสำนักจู๋บอกว่า หลังจากที่ผูหรางออกกระบี่ใส่เกาเฉิงก็ตอบนางกลับไปหนึ่งประโยคว่า ‘มือกระบี่จะทำการใด ฟ้าดินไร้พันธนาการ’ เขาพูดได้ดีมากจริงๆ”

เจียงซ่างเจินดื่มเหล้าอึกใหญ่ แก้มพองออกน้อยๆ ทำเสียงเหมือนคนบ้วนปาก จากนั้นก็แหงนหน้ากลืนลงคอไป

แล้วเจียงซ่างเจินก็กรอกเหล้าใส่ปากอีกครั้ง ยังคงไม่รีบร้อนกลืนลงท้องอยู่ดังเดิม

ก็แค่ทิ้งตาข่ายขาดๆ ที่มีมูลค่าเจ็ดสิบแปดสิบเหรียญฝนธัญพืชไว้ในหุบเขาผีร้ายเท่านั้น แต่ได้ดูเรื่องสนุกขนาดนี้มาตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ขาดทุนเลยสักนิด

มาพูดเรื่องเงินทองกับข้าเจียงซ่างเจิน ไม่ใช่ว่าหมิ่นเกียรติข้าหรอกหรือ?

“การที่ข้ามีความเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง”

เฉินผิงอันพูดช้าๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เป็นเพราะเจ้าตะพาบลู่เฉินผู้นั้นเล่นงานข้า”

เจียงซ่างเจินพ่นเหล้าพรวดออกจากปาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!