บทที่ 514 พบเจอข้าชุยตงซาน
จู๋เฉวียนเงียบงันไปนาน จากนั้นก็เปิดปากเอ่ยสัพยอกว่า “ยังขาดอีกหนึ่งขอบเขตไม่ใช่หรือ? คิดว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตทะยานลมจริงๆ หรือไร?”
เฉินผิงอันที่ใต้ฝ่าเท้าไม่มีเจี้ยนเซียนกระทืบเท้าเบาๆ ทะเลเมฆก็มารวมตัวกันคล้ายวัตถุที่จับต้องได้จริง เหมือนแผ่นหินหยกขาว เวทคาถาตระกูลเซียนช่างลี้ลับมหัศจรรย์เสียจริง เขาจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอบคุณ”
จู๋เฉวียนยิ้มกล่าว “ได้พูดออกมาแล้ว รู้สึกสบายใจขึ้นบ้างไหม?”
เฉินผิงอันสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย “ดีขึ้นมากเลยล่ะ”
จู๋เฉวียนส่ายหน้า “พูดออกมาไม่กี่ประโยค พ่นลมปราณขุ่นมัวไม่กี่คำ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป จะกดทับให้ตัวเองทรุดลงได้ จิงชี่เสินของคนคนหนึ่งไม่ใช่ปณิธานหมัด ไม่ใช่การทุบตีหล่อหลอมจนเหลือเล็ก เท่าเมล็ดงา แต่พอปล่อยหมัดออกไปแล้วกลับทำให้ฟ้าถล่มดินทลายได้ แต่จิงชี่เสิน ที่จะดำรงอยู่ได้อย่างยาวนานจำเป็นต้องยิ่งใหญ่สง่าผ่าเผย แต่คำพูดบางอย่าง ข้าที่เป็นคนนอก ต่อให้จะเป็นคำพูดที่ข้ารู้สึกว่าดี แต่อันที่จริงก็ถือว่าเป็นคนยืนพูด ไม่ปวดเอว ก็เหมือนกับการไล่ฆ่าเกาเฉิงครั้งนี้ที่หากเปลี่ยนมาเป็นข้าจู๋เฉวียน สมมติว่าข้ามีตบะและขอบเขตเหมือนกับเจ้า ป่านนี้ก็คงตายไปหลายสิบรอบแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจริงใจ “ดังนั้นข้าถึงได้เคารพเลื่อมใสเจ้าสำนักจู๋ แม้บน มหามรรคาจะยากลำบาก แต่กลับเดินได้อย่างองอาจเสรี”
จะมีผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่บนยอดเขาสักกี่คนที่เมื่ออยู่ภายใต้สถานที่ตัวเองตั้งใจทำเต็มที่อย่างดีที่สุดแล้ว แล้วยังกล้าพูดว่าเป็นความผิดของตน ข้าติดค้างน้ำใจเจ้า ใหญ่เทียมฟ้า
จู๋เฉวียนดึงมือข้างหนึ่งออกมาโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง “พูดประจบให้มันน้อยๆ หน่อย ข้าไม่มีภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็มมาให้เจ้าหรอกนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าขอนอนสักครู่ เจ้าสำนักจู๋อย่าได้รู้สึกว่าข้าไม่ให้ความเคารพ”
จู๋เฉวียนยื่นมือออกมา “ใต้หล้านี้ไม่มีเหล้ากาใดที่สยบจู๋เฉวียนไม่ได้”
เฉินผิงอันกำลังจะหยิบกาเหล้าออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ แต่จู๋เฉวียนกลับถลึงตาเอ่ยว่า “ต้องเป็นสุราดี! เลิกเอาเหล้าหมักข้าวในหมู่ชาวบ้านมาหลอกข้าเสียที ข้าจู๋เฉวียน เกิดและเติบโตมาบนภูเขา ไม่อาจรองรับพวกชาวบ้านร้านตลาดได้ ชีวิตนี้ได้แต่ ผลาญเวลาหมดไปกับพวกโครงกระดูกของหุบเขาผีร้ายที่อยู่หน้าประตูบ้านตัวเอง ยิ่งไม่มีอารมณ์คิดถึงบ้านเกิดใดๆ ทั้งสิ้น!”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เหล้าหมักตระกูลเซียนที่อยู่ในวัตถุจื่อชื่อเหลืออีกไม่มากแล้ว ด้วยนิสัยและลูกไม้ในการหลอกขอสุราของจู๋เฉวียนนี้ คงเผชิญกับ การยื่นมือออกมาของนางได้แค่ไม่กี่ครั้งจริงๆ
แต่กระนั้นเขาก็ยังเอาเหล้าออกมา ไม่เพียงเท่านี้ เฉินผิงอันยังเอาเหล้าหมักตระกูลเซียนที่มีรากฐานไม่เหมือนกันออกมาถึงสามกาโดยตรง มีเหล้าหมักกุ้ยฮวาของนครมังกรเฒ่า มีเหล้าหมักเซียนน้ำบ่อของท่าเรือหางผึ้ง แล้วก็มีเหล้าเหงื่อม้าจื่อหลิวของทะเลสาบซูเจี่ยน เขาโยนให้นางเบาๆ ไปทีละกา แล้วก็จริงดังคาด จู๋เฉวียน เก็บสองกาไปไว้ในฟ้าดินชายแขนเสื้อของตัวเองก่อน แล้วถึงกล่าวด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “ค่อนข้างมากแล้ว เกรงใจจริง”
เฉินผิงอันนอนอยู่บนทะเลเมฆที่เป็นดั่งกระดานหินหยก เหมือนกับปีนั้น ที่นอนอยู่บนระเบียงไผ่เขียวของเรือนชุยตงซานในสำนักศึกษาซานหยา ไม่ใช่บ้านเกิด แต่ก็คล้ายบ้านเกิด
ตลอดทางหลังออกมาจากชายหาดโครงกระดูก เขาเหนื่อยมากจริงๆ
จู๋เฉวียนนั่งอยู่ข้างกาย วางแม่นางน้อยชุดดำไว้ด้านข้างเบาๆ นางโบกสะบัด ชายแขนเสื้อให้พายุลมกรดบนท้องฟ้าอ้อมผ่านแม่นางน้อยไปดั่งน้ำที่เจอเสาหิน นางยังคงนอนหลับฝันหวาน ไร้ทุกข์และไร้กังวล
จู๋เฉวียนดื่มเหล้า พูดอย่างกลัดกลุ้มว่า “อิงตามคำบอกของเจ้าก่อนหน้านี้ ถ้าเกาเฉิงรู้ว่าตัวเองต้องตาย แล้วคิดจะให้พินาศวอดวายกันไปหมดจริง หากเขา คิดจะลากนครจิงกวานและหุบเขาผีร้ายให้ตายตกตามกันไปด้วย ภูเขามู่อีก็ไม่เพียง แต่ต้องโดนทุบทำลายจนเละ ชายหาดโครงกระดูกเองก็คงต้องพังทลายลงไปเหมือนกัน และลำคลองเหยาเย่ก็ต้องเดือดร้อนไปด้วย บวกกับปราณชั่วร้ายในหุบเขาผีร้ายที่จะต้องลามขยายออกไปทางตอนบน คนนับพันนับหมื่นในหลายแคว้นนั้น ไม่รู้ว่าต้องตายกันไปกี่มากน้อย สมกับคำว่า ‘พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน’ อย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ใช่ถ้าหาก แต่เป็นแน่นอน”
จู๋เฉวียนกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “นั่นสิ”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าสำนักจู๋รู้หรือไม่ว่ากระแสผู้คนที่ไปเยือนนครปี้ฮว่าในแต่ละวัน ชาวบ้านที่อยู่ในตลาดด่านไน่เหอ พรรคและสำนักที่ตั้งอยู่ในชายหาด โครงกระดูก มีจำนวนเท่าไร? รู้หรือไม่ว่าจำนวนประชากรที่อยู่ตามแคว้นต่างๆ ทางตอนบนของลำคลองเหยาเย่มีมากแค่ไหน?”
จู๋เฉวียนอึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง “ข้าจะต้องรู้เรื่องพวกนี้ไปทำไม ข้าไม่มีเวลามาสนใจจริงๆ ทั้งต้องฝึกตนเหมือนเต่าคลาน แล้วยังต้องเป็นเจ้าสำนักอย่างยากลำบากนี่ แค่นี้ก็เหนื่อยมากแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ตอนที่ข้าเดินทางผ่านชายหาดโครงกระดูก เคยได้เห็นมาก่อน คำนวณมาก่อน สืบข่าวมาก่อนและพลิกเปิดตำรามาก่อน ดังนั้นข้าถึงได้รู้”
จู๋เฉวียนกล่าวอย่างระอาใจ “เฉินผิงอัน ข้าไม่ได้จะว่าเจ้าหรอกนะ แต่ในหัวของเจ้าวันๆ เอาแต่คิดถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่?”
เฉินผิงอันสอดสองมือรองใต้ท้ายทอยต่างหมอน “หลังออกมาจากภูเขามู่อี ข้ามองใครก็คิดว่าเป็นเกาเฉิงไปเสียหมด พอไปถึงเรือนผีของเมืองสุยเจี้ย ข้ามองใคร ก็ล้วนเป็นเฉินผิงอัน เพราะฉะนั้นข้าเองก็เหนื่อยมากเหมือนกัน”
จู๋เฉวียนกล่าวอย่างกังขา “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าต้องมาที่อุตรกุรุทวีป ที่นี่คือสถานที่ที่ชอบรบราฆ่าฟันกันมากที่สุด เจ้าเป็นคนกลัวตายขนาดนี้ ทำไมไม่รอให้ขอบเขตสูงกว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยมา อีกอย่างวิธีการที่ใช้หลบหนีของเจ้าก็ยัง น้อยเกินไป รากฐานยังเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ดังนั้นอย่างมากที่สุดก็ได้แค่อาศัย อาวุธกึ่งเซียนหนึ่งชิ้นและยันต์ฟางชุ่นดึงระยะห่างในเสี้ยววินาทีเท่านั้น ในขณะที่ ห้าขอบเขตบนอย่างพวกเราและผู้ฝึกลมปราณเซียนดิน มีใครบ้างที่ไม่ใช่ลูกกระต่าย ที่สามารถเผ่นไปไกลได้หลายพันลี้ในรวดเดียว หากเจ้าไม่สามารถเข้าประชิดตัว ตัดสินแพ้ชนะได้อย่างรวดเร็ว ย่อมต้องถูกเผาผลาญพลังจนตาย”
แต่แล้วจู๋เฉวียนก็ตบศีรษะตัวเอง “ช่างเถอะ ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดก็แล้วกัน เจ้ามันคนประหลาดไม่เหมือนใครนี่นะ”
มารดามันเถอะ สวมชุดคลุมอาคมยังสวมตั้งสองตัว ห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ด้านในกลับไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต อีกทั้งยังมีแม่งตั้งสองเล่ม
ในเมื่อสามารถแสร้งเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง แล้วก็สามารถแสร้งเป็น ผู้ฝึกกระบี่ อยู่ดีไม่ว่าดีก็ยังแสร้งเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ขอบเขตห้า ลูกเล่นแพรวพราว มีเวทอำพรางตาไปเสียทุกหนทุกแห่ง หากต้องต่อสู้เอาชีวิตกันจริงๆ ก็คงไม่ต้องใช้หลักการทั่วไปมาวัดอีกแล้ว บวกกับที่ยังมียันต์ฟางชุ่นและกระบี่ให้ใช้ โอสถทองทั่วไปก็คงไม่อาจต้านทานกลเม็ดเด็ดพรายของเฉินผิงอันได้ บวกกับที่เจ้าเด็กนี่ทนมือทนเท้าได้ดีนัก นี่ทำให้จู๋เฉวียนรู้สึกคันไม้คันมือนิดๆ เหตุใดยามที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของราชวงศ์ต้ากวานคนหนึ่งซัดเจ้าหมอนี่กลับเหมือนสตรีที่ใช้เล็บข่วนเสียได้?
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “อันที่จริงข้ายังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง แม้ว่าท่ามกลางทะเลเมฆทัณฑ์สวรรค์ของเมืองสุยเจี้ยจะบาดเจ็บเสียหายไปอย่างสาหัส ยันต์ดีๆ ทั้งหมดของข้าแทบจะถูกใช้เกลี้ยง แต่กลับได้ผลประโยชน์มหาศาลในการหล่อหลอมเรือนกาย ประสิทธิผลของมันเทียบกับเรือนไม้ไผ่ของบ้านเกิดแล้วยังดีกว่าเสียอีก เพราะถึงอย่างไรถูกป้อนหมัดอยู่ในบ้าน ข้าก็ยังแน่ใจได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางฆ่าข้าตายจริงๆ ก็แค่เจ็บมากหน่อยเท่านั้น ไม่เหมือนกับตอนที่จมอยู่ท่ามกลางทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆที่อาจต้องตายได้จริงๆ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังอยู่ห่างจากการฝ่าทะลุ คอขวดของขอบเขตร่างทองในอีกสองความหมาย ความหมายแรกคือยังไม่สามารถสร้างจิตแห่งวีรบุรุษได้สำเร็จ อีกความหมายหนึ่งก็เนื่องจากข้าเรียนหลายอย่าง ปะปนกัน กินเยอะแต่กลับเคี้ยวไม่ละเอียด จึงเป็นเหตุให้กระบวนท่าหมัดเวลาที่ใช้ต่อยตีกับคนอื่นยังไม่สามารถถึงระดับที่ว่าดุจดั่งอสนีบาตในฤดูใบไม้ผลิ หนึ่งหมัดบุกเบิกขุนเขา”
จู๋เฉวียนถามอย่างประหลาดใจ “นี่เจ้ายังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกงั้นหรือ?!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จู๋เฉวียนหัวเราะฉุนๆ “ถ้าอย่างนั้นเหตุใดผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดของอุตรกุรุทวีปพวกเราถึงไม่ไปตายกันให้หมดเลยเล่า?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “จะพูดแบบนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นใต้หล้านอกจากเฉาสือแล้ว ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ต่ำกว่าขอบเขตยอดเขาทุกคนล้วนต้องไปตายทั้งหมดนั่นแหละ”
จู๋เฉวียนกรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึก “คนอย่างเฉาสือผู้นี้ ขนาดข้ายังเคยได้ยินมาก่อน ทำไม เจ้าก็รู้จักเขาด้วยงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง “ข้าเคยแพ้ให้เขาสามครั้งติดตอนอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่”
จู๋เฉวียนเบิกตากว้าง
คราวนี้กลับกลายเป็นเฉินผิงอันที่ต้องรู้สึกลำบากใจบ้างแล้ว “ค่อนข้างจะน่าอายอยู่สักหน่อย”
สายตาของเฉินผิงอันเด็ดเดี่ยว ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ลมบนทะเลเมฆลอยโชยมาปะทะใบหน้า ชายแขนเสื้อสองข้างพลิ้วไสวไปตามสายลม “ไม่เป็นไร บนเส้นทางของการฝึกตน ขอแค่ข้าไม่ถูกเฉาสือทิ้งระยะห่างไปสองขอบเขต ขอแค่ยังต่างกัน แค่ขอบเขตเดียว ชีวิตนี้ข้าก็ยังมีหวังที่จะเอาชนะเขาได้!”
จู๋เฉวียนรู้ว่าเขาเข้าใจตัวเองผิดไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธหนุ่มบนโลกใบนี้จะมีสักกี่คน ที่สามารถทำให้เฉาสือยอมต่อสู้ด้วยถึงสามครั้ง? ก็เหมือนกับการเล่นหมากล้อม ของคนในใต้หล้า เจ้านครจักรพรรดิขาวยินดีเล่นหมากล้อมกับใครหลายตาบ้าง? มีเพียงชุยฉานที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนผู้นั้นเท่านั้น แน่นอนว่าคนที่ ร้ายกาจยิ่งกว่าเขายังคงเป็นบัณฑิตที่สามารถทำให้เจ้านครจักรพรรดิขาว เป็นฝ่ายออกมาจากนครเพื่อเชื้อเชิญเขาเข้าไปพูดคุยกันด้วยตัวเองอย่าง ฉีจิ้งชุน สายของเหวินเซิ่งมีคนน้อยก็จริง ทว่าล้วนร้ายกาจกันทุกคน ตอนนั้นที่ฉีจิ้งชุนต้านรับทัณฑ์ใหญ่อันน่าตะลึงพรึงเพริดนั้น เนื่องจากชายหาดโครงกระดูกตั้งอยู่ทางใต้สุด ของอุตรกุรุทวีป ส่วนต้าหลีก็อยู่เหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป ตอนนั้นจู๋เฉวียน จึงพอจะมองเห็นเบาะแสบางอย่างจากบนภูเขามู่อี นอกจากนี้ก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่ว่า กันว่ามาฝึกเรียนกระบี่เมื่ออายุมากแล้ว ปราณกระบี่ที่ยาวเหยียดของเขาพิฆาตผู้คนไปนับไม่ถ้วน ว่ากันว่าเขาปลีกตัวไปอยู่นอกมหาสมุทร ห่างไกลจากโลกมนุษย์… ปีนั้นจั่วโย่วเคยมาปรากฏตัวที่ด้านนอกของมหาสมุทรที่อยู่ใกล้กับอาณาเขตของ อุตรกุรุทวีป มีเซียนกระบี่ถึงสี่คนออกไปพบเขา ทว่าสามท่านหลังที่หลังจากประลองกระบี่กับอีกฝ่ายแล้ว แต่ละคนล้วนเงียบงัน มีเพียงเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ คนหนึ่งที่เร่งรุดไปขัดขวางก่อนใคร ในฐานะหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ที่พลังการสังหารโดดเด่นที่สุดของทวีป พอย้อนกลับมาเขากลับโหวกเหวก ป่าวประกาศให้คนทั่วทั้งทวีปทราบว่า ‘ขอบเขตหยกดิบอย่าไปนะ อย่างน้อยต้องเป็นเซียนเหรินเท่านั้น!’
เกี่ยวกับเรื่องราวของลูกศิษย์สายเหวินเซิ่ง อันที่จริงยังมีอีกเยอะมาก เมื่อเทียบกับสายของหย่าเซิ่งที่ลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง สร้างภาพบรรยากาศแห่งความยิ่งใหญ่งดงามแล้ว สายของเหวินเซิ่งที่ควันธูปแทบจะขาดสะบั้นจึงเรียกได้ว่ามีลูกศิษย์น้อย แต่เรื่องราวกลับมากมาย และอุตรกุรุทวีปก็น่าจะเป็นทวีปแห่งหนึ่งในใต้หล้านี้ ที่มีความรู้สึกอันดีต่อสายของเหวินเซิ่งมากที่สุด
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ต่อสู้เก่ง จู๋เฉวียนรู้สึกเลื่อมใสจั่วโย่วผู้นั้นมากเป็นพิเศษ ไม่พูดมาก เจ้าอารมณ์ จุ๊ๆๆ เทียบกับอุตรกุรุทวีปแล้วยังกุรุทวีปยิ่งกว่า ช่างห้าวหาญยิ่งนัก ได้ยินมาว่าหน้าตาก็หล่อเหลา มองดูแล้วสุภาพสง่างาม…ทว่ากลับเป็นคนที่ต่อสู้เก่ง เก่งจนผู้ฝึกกระบี่ในอุตรกุรุทวีปต่างก็รู้สึกว่าบุคคลที่เป็นเช่นนี้ คนที่มีนิสัยแปลกแยก อีกทั้งไม่ชอบโลกมนุษย์ กลับไม่ได้เกิดในกุรุทวีป ก็ช่างน่าเสียดายนัก ไม่อย่างนั้นคงได้ประลองฝีมือกันทุกวัน
จู๋เฉวียนหัวเราะร่า เช็ดปาก หากได้เจอกันสักครั้งคงจะยอดเยี่ยมไปเลย
หากเจ้าเด็กข้างกายผู้นี้จะเข้าใจผิดก็ปล่อยเขาเข้าใจผิดไปเถิด ถ้าเขาจะคิดว่านางหัวเราะเยาะที่เขาพ่ายแพ้สามครั้งติดซึ่งเป็นเรื่องน่าขายหน้า ก็เรื่องของเขาแล้ว
เดี๋ยวนะ!
จู๋เฉวียนหันหน้ากลับมาอย่างแข็งทื่อ พูดด้วยสีหน้าดุดัน “เฉินผิงอัน เจ้าบอกว่าใครเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้านะ?! อาจารย์ฉีคืออาจารย์ฉีคนไหนกันแน่?!”
มารดามันเถอะ ตอนแรกนางถูกพลังอำนาจของเจ้าเด็กนี่สยบเอาไว้ได้ไม่น้อย ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่งติดค้างน้ำใจ ลูกศิษย์คือก่อกำเนิดอะไรนั่น แล้วยังมีอาจารย์ครึ่งตัวอะไรที่ยังเป็นผู้ฝึกยุทธบนยอดเขานั่นอีก แค่นี้ก็ทำให้สมองของนาง คิดตามไม่ทันแล้ว บวกกับที่ตอนนั้นนางเป็นกังวลมากว่าสภาพจิตใจของเจ้าเด็กนี่ จะแหลกสลาย เวลานี้ในที่สุดก็คืนสติกลับมาอย่างสมบูรณ์ จู๋เฉวียนจึงถามอย่าง เดือดดาลว่า “จั่วโย่วเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าได้อย่างไร?!”
บัณฑิตชุดขาวกะพริบตาปริบๆ “เจ้าสำนักจู๋กำลังพูดเรื่องอะไรน่ะ? ดื่มเหล้าจนเมาเสียแล้วหรือ?”
จู๋เฉวียนลุกขึ้นยืน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะมานั่งแปะอยู่ข้างกายของเฉินผิงอัน ถามเบาๆ ว่า “มาปรึกษากันหน่อย วันหน้าเจ้าให้ศิษย์พี่คนนั้นของเจ้า อืม คนที่ใช้กระบี่น่ะ ให้เขามาเป็นแขกที่ภูเขามู่อีข้าได้ไหม? บอกไปว่าคนมีคนอยาก เลี้ยงเหล้าเขา หากเขาไม่ยินดีจะขึ้นฝั่งมาหาข้าที่ภูเขามู่อีก็ไม่เป็นไร ข้าสามารถไปหาเขาบนมหาสมุทรได้ วันหน้าเจ้าเฉินผิงอันช่วยสานสัมพันธ์ นัดหมายสถานที่เหมาะๆ ให้สักแห่ง แล้วเดี๋ยวข้าจะไปเชิญผังซานหลิงให้ไปด้วยกัน ข้าจะยืนอยู่ข้างกายเขา ให้เหล่าผังช่วยวาดภาพคู่ให้พวกเราสองคน โอ้ย แค่คิดก็เขินแล้ว”
เฉินผิงอันนวดคลึงขมับ ไม่รู้จะพูดอะไรดี
จู๋เฉวียนพูดอย่างขุ่นเคือง “เลือกทำเป็นแกล้งโง่ใส่ข้าได้แล้ว! พูดมาคำเดียว ได้หรือว่าไม่ได้?!”
เฉินผิอันใช้สองมือนวดคลึงข้างแก้ม ปวดหัวมากจริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะเอามาล้อเล่นกันได้ เขาจึงบอกไปตามตรงว่า “เขารู้สึกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นศิษย์น้องเล็กของเขาได้ นี่เป็นประโยคที่เขาพูดต่อหน้า ข้าเอง ดังนั้นก่อนหน้านี้ข้าถึงได้บอกว่าต้องไปขอร้องอย่างไรล่ะ แต่ขอร้องแล้วก็ใช่ว่าเขาจะยอมตอบรับนะ”
จู๋เฉวียนฟาดฝ่ามือออกไป เฉินผิงอันเอนตัวหงายไปด้านหลัง รอจนแขนข้างนั้นลอยหวือพ้นเหนือศีรษะไปแล้ว เขาถึงได้ลุกขึ้นนั่งตัวตรง
จู๋เฉวียนหดมือกลับอย่างขุ่นเคือง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าจะเอาเหล้าคืนให้เจ้า ตกลงไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้จริงๆ”
จู๋เฉวียนตบเข่าฉาด “อิดออดร่ำไร มิน่าเล่าจั่วโย่วถึงได้ไม่ยอมรับศิษย์น้องเล็กอย่างเจ้า”
ทว่าจนกระทั่งบัดนี้ ในที่สุดจู๋เฉวียนก็พอจะเข้าใจได้บ้างแล้ว
ว่าเหตุใดคนหนุ่มข้างกายถึงได้พูดกับลูกศิษย์ใหญ่ของเจ้าอารามเช่นนั้น
หากจั่วโย่วมาเยือนอุตรกุรุทวีป เขาก็คงไม่คิดจะมองผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของ อารามเสวียนตูเล็กคนนั้นจริงๆ ไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ
หาใช่แค่ความต่างทางด้านขอบเขตอย่างเดียวไม่ หากเป็นเซียนกระบี่ของ ดินแดนกลางคงบอกได้ยาก แต่สำหรับจั่วโย่วนั้น เขาคงไม่เลือกมองเจ้าเพราะเจ้า เป็นขอบเขตบินทะยาน หรือไม่คิดจะมองเจ้าเพียงเพราะเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา
นี่ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปให้ความเคารพเลื่อมใส จั่วโย่วมากเป็นพิเศษ
ยังคงเป็นเรื่องของจิตใจที่สำคัญ
จู๋เฉวียนมองสีท้องฟ้าแล้วก็พูดอย่างหงุดหงิดว่า “ไม่ได้การ ต้องไปแล้ว ก่อนหน้านี้บอกว่าจะพูดคุยเรื่องส่วนตัวเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะอยู่นานขนาดนี้ ข้าจะยังไม่รู้จักนิสัยของพวกอาจารย์อาอาจารย์ลุงที่ชอบวางมาดภูมิฐานสองคนนั้นของข้าอีกหรือ? หากบุรุษตาบอดสักคนยินดีแต่งงานกับข้า พวกเขาก็คงปรบมือร้องว่าดีด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าอาจจะยังบีบน้ำตา จากนั้นก็ยกบุรุษผู้นั้นขึ้นหิ้งบูชาดุจพระโพธิสัตว์ จบกัน หากข้ากลับไปสาย สายตาที่ตาแก่สองคนนั้นมองข้าจะต้องมั่นใจแน่แล้วว่าข้ากับเจ้าทำอะไรกันอยู่ในทะเลเมฆ มารดามันเถอะ ชื่อเสียงองอาจของเหล่าเหนียง (ในที่นี้คือคำเรียกขานตัวเองของสตรีที่แฝงไว้ด้วยความลำพองใจในตัวเอง คล้ายเวลาที่ผู้ชายเรียกตัวเองว่าข้าผู้อาวุโส) ย่อมต้องถูกทำลายลงในวันนี้ ชื่อเสียงว่าข้าเป็นวัวแก่ กินหญ้าอ่อนคงต้องกระฉ่อนไปทั่วภูเขามู่อีอย่างแน่นอน”
ตัวจู๋เฉวียนเองยังไม่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมสักเท่าไร กลับกลายเป็นว่าคนหนุ่มผู้นั้นตระหนกลนลานยิ่งกว่านาง เขารีบลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปสองก้าว พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ขอร้องเจ้าสำนักจู๋ได้โปรด จำเป็นต้อง ห้ามไม่ให้ต้นตอ ข่าวลือพวกนี้ผุดขึ้นมาได้ อย่างเด็ดขาด! ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ไปเยือนภูเขามู่อีอีกเลย!”
จู๋เฉวียนประหลาดใจนัก เจ้าเด็กนี่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง เวลารับมือกับเกาเฉิง ก็ไม่เคยเห็นว่าเขาจะขมวดคิ้วเลยสักครั้ง แต่ทำไมเวลานี้ถึงได้หน้าซีดขาวเสียได้?
เหล่าเหนียงหน้าตาอัปลักษณ์ขนาดนั้นเลยหรือ? ก็ได้ ข้ารู้ว่าข้าไม่ได้หน้าตางดงามสักเท่าไร
จู๋เฉวียนยังไม่ทันยื่นมือออกไป เจ้าตะพาบน้อยผู้นั้นก็รีบหยิบเอาเหล้าหมักตระกูลเซียนกาหนึ่งออกมา ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเอ่ยอีกว่า “ตอนนี้ข้าเหลืออีกแค่ ไม่กี่กาแล้วจริงๆ ขอติดไว้ก่อน รอให้การเดินทางในอุตรกุรุทวีปของข้าสิ้นสุดลงเสียก่อน จะต้องนำสุราดีๆ มาเพิ่มให้เจ้าสำนักจู๋แน่นอน”
จู๋เฉวียนโบกมือ รับสุราดีของคนเขามาตั้งสามกาแล้ว กาที่อยู่ในมือนี่ก็ยังดื่ม ไม่หมดเลย
คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะโยนกาเหล้ามาให้แล้ว “เจ้าสำนักจู๋ ส่วนที่เหลือขอติดไว้ก่อน คราวหน้าหากมีโอกาสไปเป็นแขกที่ภูเขามู่อีก็ค่อยว่ากัน หากไม่มีโอกาสได้ไปเยือนสำนักพีหมา ข้าจะฝากคนให้นำไปมอบให้ที่ภูเขามู่อี”
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น เรียกเจี้ยนเซียนกลับมา แล้วก็ขี่กระบี่เผ่นหนีไปด้วย ความรวดเร็ว
จู๋เฉวียนอุ้มแม่นางน้อยชุดดำขึ้นมาเบาๆ กล่าวอย่างสงสัยว่า “ไอ้หมอนี่คงไม่ขาดสตรีมาชื่นชอบหรอกกระมัง อีกทั้งยังมีความคิดเป็นของตัวเองเช่นนี้ อายุยังน้อย ทว่าความสามารถกลับไม่น้อยเลยจริงๆ เหตุใดถึงยังเป็นแบบนี้ได้นะ?”
จู๋เฉวียนส่ายหน้า ไม่คิดให้มากความอีก เกาเฉิงต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ขนาดนี้ หุบเขาผีร้ายย่อมไม่สงบสุขแน่
นางทะยานลมมุ่งหน้าลงใต้
ส่วนคำพูดบางอย่าง ใช่ว่านางไม่อยากพูด เพียงแต่ว่าพูดไม่ได้
ปมในใจมีเพียงตัวเองเท่านั้นถึงจะคลายออกได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยามอยู่ในสังคมมองดูเหมือนว่าจะไม่ชอบทำอะไรดึงดันที่กลับจะกลายเป็นคนดื้อรั้นดึงดันมากที่สุด
แม้แต่เทพเซียนก็ยากจะช่วยได้
ทางฝั่งของเรือข้ามฟาก
บัณฑิตชุดขาวสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง พลิ้วกายลงบนราวระเบียง ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้ง ชายแขนเสื้อสีขาวหิมะกว้างใหญ่โบกสะบัด เขาพุ่งตรงกลับห้องผ่านทางหน้าต่างบานนั้น ครั้นจึงปิดหน้าต่างลง
เส้นเอ็นหัวใจของติงถงที่นั่งนิ่ง ‘ชมทัศนียภาพ’ อยู่ที่เดิมพลันคลายตัวลง ร่างของเขาหงายผลึ่งลงไปกระแทกกับพื้นกระดานเรือ
บนระเบียงชั้นสองไม่มีคนอยู่แล้ว เพราะในความเป็นจริงแล้ว ผู้โดยสารทุกคน บนชั้นสองต่างก็เปิดแน่บถอยกลับเข้าห้องใครห้องมันกันไปหมดนานแล้ว
ทางฝั่งของเรือข้ามฟากก็เป็นกังวลว่าจู่ๆ จะเจอกับหนึ่งกระบี่ฟันผ่าลงมา แล้วเรือลำนี้ก็จะไม่เหลืออยู่แล้ว
ผู้ดูแลที่ตอนนั้นขายรายงานข่าวให้แก่ภูตน้ำน้อยก็ไม่ได้มีสภาพดีกว่าติงถงสักเท่าไร
คู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากนี่นะ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ตบะที่สูงส่งของเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้น
แต่เป็นนิสัยที่ยากจะคาดเดาของเขาต่างหาก
ไม่อย่างนั้นเมื่อหนึ่งกระบี่ผ่านพ้นไป จะเป็นหรือตายก็ล้วนเป็นเรื่องที่รวดเร็วฉับไว ไม่โขกหัวคำนับวิงวอน ก็แค่ต้องชดใช้ด้วยเงินชดใช้ด้วยชีวิต
ทว่าไอ้หมอนั่นที่สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้กลับมองเจ้า ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอบอุ่นประหนึ่งบิดามองบุตร พูดจาปรองดองเหมือนพี่น้องที่ สนิทสนมกัน ทว่ากลับมีวิธีการมากมายไม่สิ้นสุดอย่างที่เจ้าคาดไม่ถึง
เจ้าจะทำอะไรได้? แล้วจะกล้าทำอะไร?
บรรยากาศในห้องของเว่ยป๋ายค่อนข้างจะเคร่งเครียด ตกอยู่ในสภาวะอับจนหนทาง
ตามหลักแล้ว ผู้ถวายงานใหญ่แห่งจวนเถี่ยชางตายไปคนหนึ่ง สำหรับคนทั้ง สกุลเว่ยแล้ว ผู้ฝึกยุทธร่างทองที่มีชาติกำเนิดมาจากสนามรบตายไปคนหนึ่ง จะบอกว่าความเสียหายไม่มากก็คงไม่ใช่ เว่ยป๋ายควรจะชั่งน้ำหนักของทั้งสองฝ่าย ให้ดี ทว่าเมื่อปรึกษากับหญิงชราอยู่ในห้องแล้ว กลับเหมือนว่าจะหากลยุทธดีๆ ที่เหมาะสมไม่ได้เลย ราวกับว่าไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็อาจจะยิ่งเป็นการทำผิดซ้ำซาก ผลลัพธ์ที่ตามมายากจะคาดการณ์ ถึงขั้นที่ว่าอาจไม่สามารถเดินลงจาก เรือข้ามฟากไปโดยที่มีชีวิตอยู่ได้ ไม่มีโอกาสได้ไปคุมสถานการณ์ให้มั่นคงอีกครั้ง ที่สวนน้ำค้างวสันต์ แต่หากไม่ทำอะไรเลยสักอย่างก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังรนหาที่ตายอีกนั่นแหละ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
สีหน้าของหญิงชราไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด
เพราะนางสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายไม่ได้เลย การมาเยือนของอีกฝ่ายเรียกได้ว่าเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง
บางทีทุกคนในห้องอาจจะตบะไม่สูงเท่าเจ้าหมอนั่น แต่ในเมื่อสามารถนั่งอยู่ในห้องนี้ได้ ก็ไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน
ดังนั้นทุกคนจึงรู้ว่าผู้ที่มาเยือนเป็นใคร
ผู้ฝึกตนหญิงที่ชื่อว่าชิงชิงจากเรือนเย่ฉ่าวของสวนน้ำค้างวสันต์คนนั้นทำจิตใจให้สงบ ไม่อยากให้บุรุษที่ตนรักต้องลำบากใจ นางจึงเตรียมจะลุกขึ้นไปเปิดประตู
เว่ยป๋ายถอนหายใจ ลุกขึ้นยืนก่อนแล้ว เขาผายมือบอกเป็นนัยไม่ให้สตรีวู่วาม ส่วนตัวเขาเดินไปเปิดประตูด้วยตัวเอง ประสานมือคารวะเฉกเช่นบัณฑิตคนหนึ่ง “เว่ยป๋ายแห่งจวนเถี่ยชางคารวะเซียนกระบี่”
บัณฑิตชุดขาวถือพัดพับไว้ในมือ ยิ้มพลางเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา “คุณชายเว่ยไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนี้ พวกเราไม่ตีกันก็คงไม่ได้รู้จักกัน”
ประโยคนี้ทำเอาทุกคนในห้องที่ได้ยินหนังตากระตุก ก่อนหน้านี้ตอนที่เว่ยป๋าย ลุกขึ้นไปต้อนรับอีกฝ่าย พวกเขาก็ได้พากันลุกขึ้นยืน อีกทั้งนอกจากหญิงชราของ จวนเถี่ยชางและผู้ฝึกตนหญิงจากสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว คนอื่นๆ ต่างก็พากันถอยห่างจากโต๊ะตัวนั้นหลายก้าวเหมือนตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา แต่ละคนกลั้นหายใจ ทำสมาธิ ตั้งท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
เว่ยป๋ายทำท่าเอื้อมมือจะไปปิดประตู
ทว่าเมื่อบัณฑิตชุดขาวก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ประตูกลับปิดลงด้วยตัวเองแล้ว
เว่ยป๋ายจึงดึงมือกลับ เดินตามคนผู้นั้นไปยังโต๊ะกลางห้อง
มาถึงขั้นนี้ เขากลับโล่งอก เพราะความรู้สึกที่ถูกคนใช้มีดทิ่มไว้ตรงหัวใจ แต่กลับไม่ขยับเขยื้อน นั่นต่างหากถึงจะทนรับได้ยากที่สุด
หลังจากที่บัณฑิตชุดขาวนั่งลงแล้วก็ใช้มือคีบถ้วยชาใบหนึ่งที่วางคว่ำอยู่บนโต๊ะขึ้นมารินชาให้ตัวเอง “น้ำชาอ้อมหมู่บ้านของห้องชั้นสอง รสชาติดีกว่าหน่อย”
เว่ยป๋ายนั่งลงแล้ว หญิงชราก็ขยับไปยืนด้านหลังเขา มีเพียงผู้ฝึกตนหญิงจาก สวนน้ำค้างวสันต์คนนั้นที่นั่งลงพร้อมกับเว่ยป๋าย
บัณฑิตชุดขาวชี้ไปยังคนผู้หนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ “รบกวนไปเรียกคนดูแลเรือมาให้ข้าที”
คนผู้นั้นรีบก้มหน้าค้อมเอวพูดติดต่อกันว่ามิกล้าๆ แล้วจึงรีบออกจากห้องไปเรียกคนทันใด
เมื่อประตูห้องถูกปิดลงเบาๆ
ในห้องก็เงียบสงัดชวนให้คนอึดอัดทรมาน
ครู่หนึ่งต่อมา บัณฑิตชุดขาวก็ยิ้มกล่าวว่า “ข้าไปกลับครั้งนี้ บังเอิญเห็นพอดีว่าหลังจากผู้อาวุโสออกไปจากเรือข้ามฟากแล้วก็ไปเดินอยู่ในป่าบนพื้นดิน”
เว่ยป๋ายกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ แล้วก็โล่งอกได้อีกครั้ง “อาจารย์เลี่ยวได้ประลองฝีมือ กับผู้อาวุโสอย่างเต็มคราบ ไม่แน่ว่าเมื่อกลับไปถึงจวนเถี่ยชาง พักรักษาตัวเล็กน้อย ก็อาจจะฝ่าทะลุคอขวด พัฒนาขยับรุดหน้าไปได้อีกก้าวใหญ่”
บางทีผู้ฝึกตนหญิงจากเรือนเย่ฉ่าวคนนั้นอาจเป็นคนสุดท้ายที่เข้าใจจุดเชื่อมโยงของบทสนทนานี้ ทว่าคนอื่นๆ กลับเข้าใจถึงความยอดเยี่ยมของบทสนทนานี้ได้ ช้ากว่าเว่ยป๋ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และนี่ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกเลื่อมใสเว่ยป๋ายมากกว่าเดิม
ไม่รู้ว่าเหตุใดเซียนกระบี่ผู้นี้ถึงได้ยอมมอบบันไดลงให้กับสกุลเว่ยจวนเถี่ยชาง แต่ขณะเดียวกันกับที่มอบบันไดลงก็ได้วางอำนาจข่มขู่ในแบบที่มองไม่เห็น เป็นการบีบคั้นกดดันผู้อื่นในอีกรูปแบบหนึ่ง
ข้าปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้ผู้ถวายงานที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของเจ้าตาย ข้ายังมาดื่มชาในห้องของเจ้า เจ้าเว่ยป๋ายและจวนเถี่ยชางจะยังคิดบัญชีกับข้าหรือไม่? แต่ขณะเดียวกันหากจวนเถี่ยชางยินดีจะทำให้เรื่องยุติลงเพียงเท่านี้ ก็จะกลายเป็นสภาพการณ์อีกอย่างหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร จวนเถี่ยชางก็ยังเป็นฝ่ายที่ต้องลำบากใจอยู่ดี อย่างน้อยก็ในเวลานี้ ส่วนหลังจากนี้ก็มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้
เว่ยป๋ายเลือกที่จะเดินลงมาตามบันไดนั้น ไม่เพียงแต่โดนต่อยจนฟันร่วงหมดปากแล้วยังต้องกลืนเลือดกลับลงไป ยังยอมรับการได้คืบแล้วจะเอาศอกของอีกฝ่ายมาอย่างเต็มใจด้วย
จากนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเบาๆ
คนผู้นั้นพาผู้ดูแลเรือข้ามฟากเดินเข้ามาในห้อง
หญิงชราเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
เจ้าตัวดี
เซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้คาดการณ์ได้แม่นยำยิ่งนัก
ที่แท้คำพูดประโยคนั้นก็ทั้งพูดให้คุณชายน้อยฟัง แล้วก็พูดให้ทางฝั่งของเรือข้ามฟากฟังด้วย
ขอแค่คุณชายน้อยยินดีเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง ถ้าอย่างนั้นคำพูด ที่ฟังดูระคายหูของเซียนกระบี่หนุ่มก่อนหน้านี้ เวลานี้ก็จะกลายเป็นว่ามีความจริงใจนิดๆ แล้ว
เพราะถึงอย่างไรหากจวนเถี่ยชางไปโหวกเหวกว่าอันที่จริงขอบเขตร่างทองแซ่เลี่ยวของพวกเขาไม่ได้ถูกคนต่อยตาย ก็มีแต่จะกลายเป็นที่ตลกขบขันของผู้อื่น แต่หากทางฝั่งของเรือข้ามฟากช่วยอธิบายให้ด้วยตัวเอง จวนเถี่ยชางก็ยังจะพอรักษาหน้าตาไว้ได้บ้าง
แน่นอนว่าคุณชายน้อยก็สามารถเป็นฝ่ายไปหาผู้ดูแลเรือคนนี้ด้วยตัวเองเพื่อบอกเขาเป็นนัยๆ ได้ อีกฝ่ายย่อมยินดีมอบน้ำใจให้แก่จวนเถี่ยชาง เพียงแต่ว่าทำอย่างนั้น อารมณ์ของคุณชายน้อยจะยิ่งต้องย่ำแย่
แม้จะเป็นเรื่องเล็ก แต่หากคุณชายน้อยสามารถมองเห็นสิ่งใหญ่ในเรื่องที่เล็กๆ เห็นเพียงส่วนน้อยก็สามารถอนุมานไปได้ไกล ถ้าอย่างนั้นก็จะเข้าใจความหมายใน ชั้นที่สาม
ต่อสู้กัน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่บ้านเจ้าเลี้ยงไว้ สำหรับข้าแล้วก็เป็นแค่ เรื่องของหมัดเดียว และลูกไม้ในราชสำนักชุดนี้ของพวกเจ้า ข้าเองก็คุ้นเคยดี ให้หน้าเจ้าแล้ว แต่เจ้าเว่ยป๋ายกลับถือไว้ไม่อยู่ แล้วจะมีคุณสมบัติอะไรมาแตกหัก ฉีกหน้ากับเซียนกระบี่ต่างถิ่นอย่างข้า?
จวนเถี่ยชางอาจจะไม่กลัวผู้ฝึกกระบี่ที่ดีแต่จะรบราฆ่าฟันอย่างเดียว
เพราะอยู่ในอุตรกุรุทวีป ขอแค่มีเงินก็สามารถจ้างเซียนกระบี่ขอบเขตโอสถทองให้ลงจากภูเขามา ‘ฝึกกระบี่’ ได้แล้ว แม้แต่เซียนกระบี่ก่อกำเนิดก็ยังเชิญมาได้!
แต่ว่า
เซียนกระบี่หนุ่มที่ชอบสวมชุดคลุมอาคมสองตัวตรงหน้าผู้นี้กลับมีสมองที่ดีเยี่ยม
หญิงชรามีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนวิถีมาร ในสายตาไม่มีการแบ่งแยกดีเลว ใต้หล้านี้ไม่ว่าใครก็ตาม มีเพียงการแบ่งแยกแข็งแกร่งและอ่อนแอเท่านั้น และคนแข็งแกร่งก็ยังแบ่งเป็นอีกสองประเภท ประเภทแรกคือถูกกำหนดมาแล้วว่า ไม่อาจไปมีเรื่องด้วยได้ ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือมีเรื่องด้วยได้ แต่ทางที่ดีที่สุดคือ อย่าไปแหยมกับพวกเขา แน่นอนว่าฝ่ายแรกย่อมแข็งแกร่งกว่า ทว่าฝ่ายหลัง เมื่อเวลาเลยผ่านแล้วกลายไปเป็นอย่างฝ่ายแรก ในบางครั้งก็อาจจะรับมือได้ยากยิ่งกว่า
หากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว จวนเถี่ยชางก็ยังคงเป็นกองกำลังด้านล่างภูเขา ในราชสำนักของโลกมนุษย์ สำหรับกฎเกณฑ์ที่ใช้ในวงการขุนนาง พวกเขาย่อมคุ้นเคยดียิ่งกว่าใคร ยิ่งเป็นเช่นนี้ สำหรับพวกผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ทำอะไรรวดเร็วฉับไว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ตรงไปตรงมาด้วยแล้ว อันที่จริงหากคิดจะรับมือก็ไม่ได้ ยากเลย
แล้วก็เพราะว่าสกุลเว่ยที่เป็นสามตระกูลใหญ่ของราชวงศ์ต้ากวานมีชาติกำเนิดที่ยิ่งใหญ่ จึงกลับกลายเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่มักจะตายไปก่อนวัยอันควร ทว่า ตัวอ่อนแม่ทัพบู๊มีน้อยนักหรือ? ไม่น้อยเลย ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์หลายคน ที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม ตอนเป็นขุนนางในเมืองหลวงก็ยังดีอยู่ แต่พอต้อง ไปเป็นขุนนางประจำแต่ละพื้นที่ เป็นขุนนางผู้ช่วยของเจ้าเมืองหรือเป็นนายอำเภออะไรพวกนั้น ยามที่พวกจิ้งจอกเฒ่าในวงการขุนนางคิดจะเล่นงานพวกเขาก็เรียกได้ว่ามีวิธีสารพัดรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบลึกลับอำพราง หรือแบบที่ทำให้คนสะอิดสะเอียน ปั่นหัวจนพวกเขาหัวหมุน ไม่ต่างจากเอามีดทื่อแร่เนื้อ ดังนั้น ตลอดหลายปีมานี้สกุลเว่ยจึงปกป้องเว่ยป๋ายอย่างสุดกำลังความสามารถ ถึงขั้น ได้ยินเสียงนกร้องเสียงลมพัดยังขวัญผวา เพราะกลัวว่าจู่ๆ วันใดคุณชายน้อย จะตายไปกะทันหัน หลังจบเรื่องแม้แต่ตัวศัตรูที่สังหารเขาก็ยังควานหาไม่เจอ
แต่ในอดีตทุกครั้งที่คุณชายน้อยออกเดินทาง กลับกลายเป็นว่าปลอดภัยมากที่สุด เส้นทางถูกกำหนดไว้แน่นอน มีองค์รักษ์ข้ารับใช้คอยติดตาม มีตระกูลเซียน ให้การรับรองต้อนรับ ด้วยเหตุนี้ยังสามารถล่อกองกำลังฝ่ายตรงข้ามที่อำพรางตัว ได้อย่างลึกล้ำออกมาได้ จากนั้นก็สืบสาวเบาะแสไป ทำให้จวนเถี่ยชางถือโอกาส กวาดล้างภัยร้ายที่ซ่อนอยู่อย่างลับๆ ไปได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นในราชสำนัก บนภูเขาหรือในยุทธภพก็ล้วนมีครบหมด
มีเพียงครั้งนี้ที่เป็นเรื่องไม่คาดฝันใหญ่เทียมฟ้าอย่างแท้จริง
ตอนนี้เรือข้ามฟากยังคงอยู่ในอาณาเขตของแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์ต้ากวาน ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมไว้หน้าจวนเถี่ยชางและสวนน้ำค้างวสันต์แม้แต่น้อย ก่อนจะ ลงมือ มีเสียงผู้คนกระซิบกระซาบวิจารณ์กันมากมาย ต่อให้ก่อนหน้านั้นคนผู้นี้ จะไม่รู้ถึงตัวตนอันสูงศักดิ์ของคุณชายน้อย ก็น่าจะฟังเข้าใจได้บ้างแล้ว
บัณฑิตชุดขาวใช้พัดพับชี้ไปที่โต๊ะ “ผู้ดูแลใหญ่เรือข้ามฟาก พวกเราคือคนที่ เคยทำการค้ากันมาแล้วถึงสองครั้ง จะเกรงใจระมัดระวังตัวเช่นนี้ไปไย นั่งลง ดื่มชาเสียสิ”
บัณฑิตชุดขาวใช้พัดพับกวาดไปบนโต๊ะง่ายๆ ถ้วยชาก็ไถลไปถึงริมขอบโต๊ะด้านหน้าผู้ดูแลเรือ ถ้วยชาอีกครึ่งหนึ่งลอยพ้นขอบโต๊ะออกไป ทำให้ถ้วยชาส่ายไหวน้อยๆ จะตกมิตกแหล่ จากนั้นเขาก็ยกกาน้ำชาขึ้น ผู้ดูแลรีบเดินขึ้นหน้ามาสองก้าว สองมือจับถ้วยชาใบนั้นไว้ ค้อมเอวลง เมื่อยื่นถ้วยชาออกไปแล้ว รอให้เซียนกระบี่ ชุดขาวรินชาให้เรียบร้อย เขาถึงได้นั่งลง ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้เอ่ยคำพูดประจบสอพลอที่เกินความจำเป็นแม้แต่คำเดียว
ตอนนี้ยังไม่เข้าสู่หน้าร้อน เรือข้ามฟากลำนี้ของตนก็มีเรื่องมากมายให้กลัดกลุ้มเสียแล้ว
คำว่าการค้าสองครั้งที่อีกฝ่ายเอ่ย หนึ่งคือเรื่องที่เขาควักเงินจ่ายค่าโดยสารเรือลำนี้ อีกหนึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นรายงานข่าวที่ซื้อไป
บัณฑิตชุดขาวยกถ้วยชาขึ้นจิบเนิบนาบ แล้วจึงวางลงบนโต๊ะเบาๆ เอนหลัง พิงพนักเก้าอี้ คลี่พัดเปิดออก พัดเบาๆ เอาลมเย็นเข้าสู่ตัว
เว่ยป๋ายถึงได้ยกถ้วยขึ้นดื่มชาช้าๆ แล้ววางลงรวดเร็วตามอีกฝ่ายไป ส่วนคนดูแลเรือข้ามฟากกลับยกถ้วยชาช้าๆ และดื่มเร็วๆ ตามหลังเว่ยป๋าย จากนั้นก็วางถ้วยชาประคองถือไว้บนฝ่ามือสองข้าง ไม่วางมันลงกับโต๊ะ
บัณฑิตชุดขาวยิ้มกล่าว “ความเข้าใจผิดบางอย่าง คุยกันอย่างตรงไปตรงมา ก็รู้เรื่องแล้ว ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ควรจะปรองดองกันจึงจะบังเกิดทรัพย์สิน”
เว่ยป๋ายรินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย เมื่อรินเต็มแล้ว มือหนึ่งถือถ้วย อีกมือหนึ่งประคองรองเอาไว้ ยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ได้ออกมาท่องเที่ยวภูเขาแม่น้ำทั้งที คราวนี้เป็นจวนเถี่ยชางของพวกเราที่ล่วงเกินผู้อาวุโสเซียนกระบี่ ผู้น้อยขอใช้น้ำชาต่างสุรา บังอาจดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งถ้วยได้หรือไม่?”
บัณฑิตชุดขาวพยักหน้ารับ
เว่ยป๋ายกระดกดื่มจนหมด
หน้าผากของผู้ดูแลเรือมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมา
ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างเขาถึงขั้นมีความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม
บัณฑิตชุดขาวหันหน้าไปมองผู้ฝึกตนหญิงคนนั้น “เทพธิดาท่านนี้คือ?”
เว่ยป๋ายวางถ้วยชาลงแล้วยิ้มบางๆ ตอบว่า “คือบุตรีโทนของเซียนซือถังแห่งเรือนเย่ฉ่าวสวนน้ำค้างวสันต์ ถังชิงชิง”
บัณฑิตชุดขาวยิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้เทพธิดาถังคือคนแรกในห้องที่คิดจะมา เปิดประตูต้อนรับแขกสินะ สาวงามมีพระคุณยิ่งใหญ่ คุณชายเว่ยอย่าได้ทำผิด ต่อนางเชียว”
เว่ยป๋ายพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แค่รอให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายตอบตกลงเท่านั้น”
บัณฑิตชุดขาวอืมรับหนึ่งที แล้วยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “แต่ข้าคาดว่าทางฝั่งของเรือนเย่ถังอาจยังพูดได้ง่าย เพราะบุตรเขยที่ดีอย่างคุณชายเว่ย ใครบ้างจะไม่ชอบ เพียงแต่ ทางฝั่งของแม่ทัพใหญ่เว่ยนั่นต่างหากที่น่าจะผ่านด่านได้ยาก
เพราะถึงอย่างไรบนภูเขากับล่างภูเขาก็ไม่เหมือนกัน แน่นอนว่ายังต้องดูที่ บุพเพวาสนา ตีคู่ยวนยางให้แยกจากไม่ใช่เรื่องดี แตงที่ฝืนเด็ดก่อนเวลาก็ย่อม ไม่หวาน”
แม่งเอ๊ย ข้าเว่ยป๋ายได้ถอนหายใจโล่งอกอีกคราหนึ่งแล้ว
ส่วนถังชิงชิงก็ถึงขั้นรู้สึกซาบซึ้งใจนิดๆ
ผู้ฝึกตนของแต่ละฝ่ายที่ยืนอยู่ในห้องไม่ว่าจะเป็นของจวนเถี่ยชางหรือสวนน้ำค้างวสันต์ต่างก็มึนงงไม่เข้าใจ นอกจากตอนแรกที่ยังทำให้คนที่มองดูอยู่สัมผัสได้ถึง ปราณสังหารที่ซุ่มซ่อนอยู่ได้เลือนๆ แล้ว เวลานี้ทำไมมองดูแล้วเหมือนคนที่กำลังคุยกันเรื่องสัพเพเหระทั่วไปเลยเล่า?
บัณฑิตชุดขาวพลันเอ่ยว่า “เทพธิดาถังน่าจะรู้จักผู้อาวุโสซ่ง ซ่งหลานเฉียวกระมัง?”
ถังชิงชิงรีบตอบ “ย่อมรู้จัก เจ้าของเรือซ่งคือศิษย์พี่ของบิดาข้า ล้วนเป็นผู้ฝึกตนรุ่นตัวอักษรหลานของสวนน้ำค้างวสันต์”
บัณฑิตชุดขาวยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ก่อนหน้านั้นข้าเคยได้นั่งเรือข้ามฟากของผู้อาวุโสซ่ง พวกเราถูกชะตากันอย่างมาก ถือได้ว่าเป็นสหายต่างวัย ดูท่าเดินทาง ไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์ครั้งนี้คงต้องรบกวนเรือนเย่ฉ่าวเสียแล้ว”
ถังชิงชิงยิ้มหวาน “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่มาเยือนเรือนเย่ฉ่าว นับเป็นเกียรติของพวกเรา”
ต่อให้เป็นเว่ยป๋ายก็ยังรู้สึกอิจฉาความสัมพันธ์ควันธูปครั้งนี้ของถังชิงชิงไม่ได้
บัณฑิตชุดขาวพลันถามว่า “คุณชายเว่ย เซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่ผ่านทางมา ก่อนหน้านี้พูดจาไม่มีต้นไม่มีปลาย แถมยังบอกว่าจะเลี้ยงน้ำชาข้า เขาเป็นใครชื่อแซ่อะไรหรือ?”
เว่ยป๋ายกล่าว “หากผู้น้อยมองไม่ผิด น่าจะเป็นบรรพจารย์อาน้อยของตำหนักจินอู นามว่าหลิ่วจื้อชิง เซียนกระบี่หลิ่ว”
ถังชิงชิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เซียนกระบี่หลิ่วแห่งตำหนักจินอูผู้นี้ ทุกๆ ระยะเวลาสองสามปีจะต้องไปยังน้ำพุบนภูเขาแห่งหนึ่งที่เขาซื้อจากสวนน้ำค้างวสันต์ของพวกเรามาได้หลายปี เพื่อเอาน้ำมาต้มชา”
บัณฑิตชุดขาวกล่าวอย่างกระจ่างแจ้ง “ข้าเคยอ่านเจอเนื้อหาส่วนนี้จากในตำรา ‘น้ำค้างวสันต์คงเหมันต์’ ของสวนน้ำค้างวสันต์เล่มนั้น ที่แท้เซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้ ก็คือหลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอูนี่เอง เลื่อมใสในชื่อเสียงของเขามานานแล้ว หากรู้ แต่แรก ก่อนหน้านั้นคงทำหน้าหนาทักทายเซียนกระบี่หลิ่วสักสองสามคำ พอไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์จะได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองได้บ้าง”
เว่ยป๋ายคลี่ยิ้มเป็นปกติ
ทว่ามุมปากของหญิงชรากลับกระตุกอยู่สองที
น้ำชาอ้อมหมู่บ้านในมือที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กล้าดื่มหมดถ้วยนั้นไม่ขม ทว่าในใจของผู้ดูแลเรือข้ามฟากกลับขมขื่นยิ่ง
นายท่านเซียนกระบี่ผู้นี้ เจ้าใช้หนึ่งกระบี่ฟันบ่อสายฟ้าตำหนักจินอูของคนเขา หลิ่วจื้อชิงยังมาเชื้อเชิญเจ้าไปดื่มชาอย่างกระตือรือร้น ท่านผู้อาวุโสยังจะต้องการชื่อเสียงน้อยนิดแค่นี้อีกหรือ? พวกเราช่วยทำตัวเป็นคนตรงไปตรงมากันหน่อยได้ไหม ขอร้องนายท่านเซียนกระบี่โปรดพูดมาตรงๆ เลยเถอะ อย่าได้ทรมานจิตใจคนเช่นนี้ต่อไปจะได้หรือไม่?
บัณฑิตชุดขาวหันหน้ามา “ดูเหมือนท่านยายผู้นี้จะรู้สึกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติพอ ให้ดื่มชาของเซียนกระบี่หลิ่ว?”
หญิงชราพูดด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง “มิกล้า เซียนกระบี่ทั้งสองท่านนั่งดื่มน้ำชา ตรงข้ามกันริมน้ำพุกลางผืนป่า นี่ย่อมกลายเป็นเรื่องเล่าขานที่งดงาม ปีนี้สมุดเล็กๆ ของสวนน้ำค้างวสันต์เล่มนั้นก็สามารถจัดพิมพ์ได้ใหม่แล้ว”
บัณฑิตชุดขาวค้างอยู่ในท่าผินหน้าน้อยๆ นั่น
สีหน้าของหญิงชรายิ่งแข็งทื่อมากขึ้นทุกที
บัณฑิตชุดขาวพลันหรี่ตาลงเอ่ยว่า “ข้าเคยได้ยินมาว่าราชวงศ์ล่างภูเขามีคำกล่าวว่านายถูกหมิ่นเกียรติบ่าวต้องตาย”
หญิงชราหน้าตึง
บัณฑิตชุดขาวเอ่ยอีกว่า “เกี่ยวกับเรื่องเล่าอันงดงามนั้น ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่า ที่ราชวงศ์ต้ากวานก็มีอยู่เรื่องหนึ่ง ปีนั้นคุณชายเว่ยกำลังยืมชมทัศนียภาพอยู่บนทะเลสาบหิมะ เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งข้ามสะพานหินโค้งมา ข้างกาย มีสาวใช้เยาว์วัยหน้าตางดงามที่คลี่ยิ้มอ่อนหวาน คุณชายเว่ยจึงถามนางว่ายินดี ผูกสมัครเป็นคู่รักเทพเซียนกับเด็กหนุ่มหรือไม่ บอกว่าวิญญูชนย่อมทำให้คนอื่น สมปรารถนา สาวใช้ไม่พูดจา ครู่หนึ่งต่อมาก็มีหญิงชราทะยานข้ามทะเลสาบนำ กล่องไม้มามอบให้เด็กหนุ่ม ขอถามท่านยายหน่อยว่า ในกล่องไม้คือวัตถุสิ่งใด? ข้ามาจากสถานที่ยากจน จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้มากเป็นพิเศษ ไม่ทราบว่าเป็นของล้ำค่าชนิดใดถึงได้ทำให้เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีได้ถึงขนาดนั้น”
หญิงชราได้เตรียมใจรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว
ก็แค่สู้ตายสุดชีวิตเท่านั้น ลากคุณชายน้อยแห่งจวนเถี่ยชางและถังชิงชิงแห่ง สวนน้ำค้างวสันต์ให้ตายไปด้วยกัน ถึงเวลานั้นนางก็อยากจะรู้นักว่าเซียนกระบี่หนุ่ม ผู้นี้จะไปดื่มน้ำชาของหลิ่วจื้อชิงได้อย่างไร!
ทว่าบัณฑิตชุดขาวกลับหันหน้ากลับไปแล้ว “มิน่าเล่าควันธูปของวัดแถบนี้ถึงได้โชติช่วงนัก”
ร่างของเว่ยป๋ายเกร็งเครียด เค้นรอยยิ้มเอ่ยว่า “ทำให้ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ได้เห็นเรื่องตลกแล้ว”
บัณฑิตชุดขาวลุกขึ้นยืนช้าๆ สุดท้ายเพียงใช้พัดพับตบไหล่ของผู้ดูแลเรือข้ามฟาก และตอนที่เดินสวนไหล่ไปเขาก็เอ่ยว่า “อย่าให้มีการค้าครั้งที่สามเลย เดินทางตอนกลางคืนบ่อยเกินไป ก็ง่ายที่จะพบเจอคน”
ถังชิงชิงอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง
ไม่ใช่ต้องพูดว่าพบเจอผีได้ง่ายหรอกหรือ?
บัณฑิตชุดขาวเดินตรงไปที่หน้าประตูห้อง ชูแขนขึ้นโบกพัดพับที่หุบเข้าด้วยกันแล้ว “ไม่ต้องไปส่ง”
ประตูห้องยังคงเปิดด้วยตัวเอง และปิดลงด้วยตัวเองอีกครั้ง
เว่ยป๋ายได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
ผีเดินตอนกลางคืนเลยง่ายที่จะเจอคนงั้นหรือ?
หลังจากความเงียบงันอันเนิ่นนานผ่านพ้นไป
เว่ยป๋ายที่พอจะแน่ใจได้แล้วว่าคนผู้นั้นสามารถเดินไปกลับบนเรือข้ามฟาก ได้ครบหนึ่งรอบแล้ว ถึงได้ยิ้มกล่าวกับหญิงชราว่า “อย่าได้ถือสา ยอดฝีมือบนภูเขามักจะไม่หวาดเกรงอะไรเช่นนี้ พวกเราก็ได้แค่อิจฉาเท่านั้น”
หญิงชราพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ทว่าในใจของเว่ยป๋ายกลับแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา
เจ้าจะไม่ถือสาจริงอย่างที่ปากว่าหรือไม่ ข้าไม่สน
เพราะข้าถือสามากๆ!
เมื่อครู่ที่หญิงแก่อย่างเจ้าเผยจิตสังหารบางๆ ออกมาเสี้ยวหนึ่ง แม้ว่าจะเป็น จิตสังหารที่มีต่อเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้น แต่ข้าเว่ยป๋ายไม่ใช่คนโง่!
หมากัดคนก็ดี คนตีหมาก็ช่าง ไหนเลยจะดุร้ายอำมหิตได้เท่าหมากัดหมาที่กะจะกัดกันให้ตายไปข้าง
หลังจากบัณฑิตชุดขาวกลับไปถึงห้องของตัวเองแล้ว
ก็เริ่มเดินนิ่งหกก้าว
เขาพลันหยุดเดิน มายืนตรงริมหน้าต่าง ม่านราตรีเยื้องกรายมาเยือน จึงกระโดดเบาๆ ขึ้นไปบนราวระเบียงเรือ ทอดฝีเท้าเดินเนิบช้า
เดินอยู่อย่างนี้ไปตลอดทั้งคืน
ยามที่พระอาทิตย์ดวงโตลอยพ้นเหนือขอบมหาสมุทร เฉินผิงอันหยุดยืนอยู่ บนราวระเบียงตรงหัวเรือ ทอดสายตามองไปไกล ชุดคลุมอาคมสีขาวอาบย้อมอยู่ท่ามกลางแสงอรุโณทัย ประหนึ่งองค์เทพร่างทองที่เยื้องกรายจากฟ้าลงมาสู่พื้นดิน
ท่ามกลางแสงสนธยา หน้าประตูเรือนหลังหนึ่งของตรอกฉีหลงเขตการปกครองหลงเฉวียน
แม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านคนหนึ่งหิ้วมานั่งตัวเล็กมานั่งหน้าประตู สือโหรวที่อยู่ในร้านเหลือบตามามองความเคลื่อนไหวภายนอกบ้างเป็นบางครั้ง
เผยเฉียนมักจะมานั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ตรงหน้าประตูเป็นประจำ สือโหรวรู้ว่า ที่นางทำอย่างนั้นก็เพราะคิดถึงอาจารย์ของนางแล้ว
หลังจากที่เฉินผิงอันออกจากท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวไปยังอุตรกุรุทวีป แรกเริ่มก็ยังมีจูเหลี่ยนคอยจับตามองนางอยู่ที่โรงเรียน ใช้เวลาประมาณสิบวัน ในที่สุดเผยเฉียน ก็เคยชินกับชีวิตของการเรียน ไม่คิดจะกระโดดกำแพงโดดเรียนออกมาอีก
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้นางก็ยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ มีครั้งหนึ่งจูเหลี่ยนไปสอบถามสถานการณ์ล่าสุดจากอาจารย์ของที่โรงเรียน ผลคือเขาต้องทั้งดีใจและเป็นกังวล ดีใจก็เพราะเผยเฉียนไม่ได้ต่อยตีกับใครในโรงเรียน แม้จะด่าใครก็ยังไม่เคย กังวล ก็เพราะพวกอาจารย์เองก็จนใจกับเผยเฉียนมากเหมือนกัน เพราะแม่นางน้อย แทบไม่เคยมีความเคารพใดๆ ให้กับตำราของอริยะปราชญ์เลย ตอนที่เรียนหนังสือ นางจะนั่งอยู่ตรงตำแหน่งติดหน้าต่างอย่างสำรวมแล้ววาดคนจิ๋วไว้ตรงมุมหนังสือ ทุกหน้า พอเลิกเรียนก็เก็บตำราอย่างว่องไว มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ไม่รู้ว่าไปได้ข่าว มาจากไหนลองไปเปิดตำราทั้งหมดของเผยเฉียนดู ก็เห็นว่านางวาดครบทุกหน้า ไม่มีตกหล่นจริงๆ คนจิ๋วพวกนั้นถูกวาดอย่างหยาบๆ หัวกลมๆ หนึ่งหัวกับกิ่งไม้เล็กๆ ห้ากิ่ง น่าจะเป็นร่างกายและแขนขาทั้งสี่ พอปิดหนังสือลงแล้วลองเลิกมุมหนังสือ ออกดูก็จะเหมือนกำลังมองภาพวาดเทพเซียนอยู่อย่างไรอย่างนั้น หากไม่ใช่คนจิ๋ว ที่ปล่อยหมัดก็ต้องเป็นคนจิ๋วที่มีเส้นมาเพิ่มหนึ่งเส้น น่าจะถือว่ากำลังฝึกกระบี่
ตอนนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกมีโทสะ เขาสอบถามถึงการบ้านของเผยเฉียน ต้องการให้นางท่องบทหนึ่งในตำรา คิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยกลับท่องได้ไม่มีตกหล่นสักคำ อาจารย์ผู้เฒ่าจึงได้แต่ยอมเลิกรา เพียงแต่เตือนนางว่าห้ามวาดยันต์ไล่ผีลงบนตำราของอริยะปราชญ์อีก ภายหลังก็ไม่รู้ว่า แม่นางน้อยไปหาซื้อตำรานอกเหนือจากของในโรงเรียนมาจากที่ไหน การบ้านยังคงทำได้ไม่ดีไม่เลว ส่วนคนจิ๋วก็ยังคงมุมานะวาดอยู่เหมือนเดิม
เวลาเลิกเรียน บางครั้งเผยเฉียนก็จะไปหยิบเอามดตัวหนึ่งมาจากใต้ต้นไม้ แล้วมาวางลงบนกระดาษเซวียนจื่อสีขาวหิมะแผ่นหนึ่ง เอาแขนข้างหนึ่งขวางไว้ด้านหน้าโต๊ะ มือข้างหนึ่งถือพู่กันเดี๋ยวก็ตวัดแนวขวาง เดี๋ยวก็ตวัดแนวนอน ขัดขวางเส้นทาง การหลบหนีของมด
นางสามารถขีดเขียนจนเต็มแผ่นกระดาษ จนกระดาษเหมือนกลายมาเป็นเขาวงกต มดที่น่าสงสารตัวนั้นก็ได้แต่เดินวนเวียนอยู่ในเขาวงกตแล้ว เนื่องจากคุณชายเฉิน จากลำธารหลงเหว่ยเคยกำชับอาจารย์ทุกคนว่า ให้ปฏิบัติต่อเผยเฉียนเหมือนกับ เด็กในเขตการปกครองหลงเฉวียนทั่วไป ดังนั้นเด็กนักเรียนไม่ว่าจะเด็กเล็กหรือเด็กโตจึงรู้แค่ว่าถ่านดำน้อยผู้นี้มีบ้านอยู่ในร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง จะเปิดปากพูดก็ต่อเมื่ออาจารย์ถามเท่านั้น ทุกครั้งเวลาอยู่ในโรงเรียนนางแทบไม่เคยพูดคุยกับใคร ตอนเช้าที่เข้าเรียนและตอนเย็นหลังเลิกเรียนนางจะชอบไปเดินทางขั้นบันไดของตรอกฉีหลง แถมยังชอบเบี่ยงตัวเดินในแนวขวาง สรุปแล้วก็คือเป็นคนผู้หนึ่งที่ประหลาดมาก พวกเพื่อนนักเรียนต่างก็ไม่ค่อยใกล้ชิดสนิทสนมกับนางมากนัก
เมื่ออยู่ในโรงเรียนนานวันเข้าก็เริ่มมีข่าวบางอย่างแพร่ออกมา บอกว่าถ่านดำน้อย คือพวกหลงใหลในทรัพย์ ทุกวันยามอยู่ในร้านยาสุ้ยจะต้องทำการค้ากับคนอื่น ช่วยทางร้านหาเงิน น่าจะไม่มีพ่อแม่ ถึงได้มาอยู่กับตาเฒ่าสกปรกที่เป็นเถ้าแก่ร้าน คนนั้น
นอกจากนี้ก็มีเด็กนักเรียนบางส่วนพูดจาอย่างน่าเชื่อถือว่าเมื่อก่อนเคยเห็นกับตาว่าเจ้าถ่านดำน้อยชอบไปทะเลาะกับห่านสีขาวตัวใหญ่ในตรอก แล้วก็มีเด็กนักเรียน ที่เป็นเพื่อนบ้านในตรอกฉีหลงบอกว่าทุกวันตอนเช้าตรู่ที่ต้องไปโรงเรียน เผยเฉียนจะต้องจงใจเลียนแบบไก่ขัน หนวกหูมาก ร้ายจริงๆ นอกจากนี้ยังมี คนบอกว่าหลังจากที่เผยเฉียนรังแกห่านใหญ่สีขาวไปแล้วก็ยังจะไปทะเลาะกับไก่ตัวผู้ตัวใหญ่ที่อยู่ทางเหนือสุดของเมืองเล็กด้วย แถมยังพูดเสียงดังว่าจงมากินเท้าลมหมุนของข้าอะไรสักอย่างนี่แหละ หรือไม่บางครั้งก็นั่งลงออกหมัดใส่ไก่ตัวใหญ่ นางบ้า ไปแล้วหรือไร
หลังจากครั้งหนึ่งที่จูเหลี่ยนไปโรงเรียน พอกลับร้านมาก็ได้มาพูดคุยกับเผยเฉียน ในที่สุดเผยเฉียนก็ไม่วาดคนจิ๋วลงในหนังสือ แล้วก็ไม่สร้างบ้านให้มดบนกระดาษ เซวียนจื่ออีก
แต่หลังเลิกเรียนนางจะไปนั่งอยู่ในมุมเงียบๆ แห่งหนึ่ง เอาดินผสมน้ำปั้นคนจิ๋ว จากนั้นก็จัดขบวนทัพ บัญชาการณ์ให้ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเอง นางปั้นคนจิ๋ว ได้ถึงสามสิบสี่สิบตัว ทุกครั้งที่ต่อสู้กันเสร็จ นางก็จะส่งสัญญาณถอนทัพ เอาคนจิ๋วเหล่านั้นไปซ่อนไว้บริเวณใกล้เคียงอย่างมิดชิด
สือโหรวเห็นแล้วก็ไปพูดคุยกับจูเหลี่ยนเป็นการส่วนตัว จูเหลี่ยนบอกแค่ว่าเรื่องนี้ปล่อยนางไป ไม่ต้องไปยุ่ง
แต่สองเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง เรื่องแรก คือมีวันหนึ่งเผยเฉียนคัดตัวอักษรเสร็จแล้วก็วิ่งไปทำหน้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการณ์กองทัพบนสนามรบอย่างฮึกเหิม ทว่าเพียงไม่นานก็กลับมา
สือโหรวถาม เผยเฉียนก็ทำท่าอัดอั้น ยืนอยู่บนม้านั่งด้านหลังโต๊ะคิดเงิน เอาศีรษะวางพาดไว้บนโต๊ะ บอกว่าหลายวันก่อนหน้านี้มีฝนตกหนัก เหล่าทหาร ของสองกองทัพจึงล้มตายกันหมดแล้ว
นี่ทำให้สือโหรวรู้สึกกลัดกลุ้มกังวลใจเล็กน้อย ด้วยความฉลาดของเผยเฉียน ไหนเลยจะยอมให้สมบัติของตัวเองเปียกน้ำฝนจนเสียหายได้ แต่ภายหลังจูเหลี่ยน ก็ยังคงพูดว่าให้ปล่อยนางไป
ทว่าเรื่องที่สอง แม้แต่จูเหลี่ยนเองก็ยังต้องขมวดคิ้ว พอได้ข่าวจากสือโหรว ก็เดินทางออกจากภูเขาลั่วพั่วมาที่ตรอกฉีหลงทันที
สือโหรวบอกกับเขาว่ามีวันหนึ่งหลังเลิกเรียน เผยเฉียนแบกห่านขาวตัวใหญ่ ที่ตายไปแล้วกลับมายังตรอกฉีหลงด้วย จากนั้นก็ไม่รู้ว่านางเอาห่านขาวตัวนั้นไปฝังไว้ที่ไหน
ตอนนั้นเผยเฉียนนั่งคัดตัวอักษรอยู่ในห้องเพียงลำพัง
จูเหลี่ยนยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของร้าน สือโหรวบอกว่าเผยเฉียนไม่ยอมเล่าอะไรเลย เป็นนางที่ไปสืบข่าวมาด้วยตัวเอง
ระหว่างทางที่เผยเฉียนกลับร้านหลังเลิกเรียนได้ถูกสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งขวางทางเอาไว้ บอกว่าต้องเป็นเผยเฉียนที่ทุบห่านขาวของนางจนตายอย่างแน่นอน นางด่าเผยเฉียนด้วยถ้อยคำหยาบคายเสียงดัง ตอนแรกเผยเฉียนบอกว่านางไม่ได้ เป็นคนทำ สตรีผู้นั้นก็ยังลงไม้ลงมือเอากับนาง เผยเฉียนหลบมาได้ก็พูดแค่ว่า ไม่ใช่ฝีมือของนาง ถึงท้ายที่สุดเผยเฉียนจึงเอาเงินเก็บของตัวเองออกมา เป็นเศษเงินสองเม็ดกับเงินเหรียญทองแดงทั้งหมดที่อดออมสะสมมาอย่างยากลำบากถุงหนึ่ง นางยกให้กับสตรีผู้นั้นไปทั้งหมด บอกว่านางสามารถซื้อห่านขาวตัวใหญ่ที่ตายนั่น มาได้ แต่นางไม่ได้เป็นคนตีมันตาย
สือโหรวกลัดกลุ้มยิ่งนัก ถามจูเหลี่ยนว่าควรจะทำอย่างไรดี ควรจะพูดคุยกับ เผยเฉียนหรือไม่
ตอนนั้นจูเหลี่ยนยืนหันหลังให้โต๊ะคิดเงิน หันหน้าไปมองยังถนนของตรอกฉีหลง บอกว่าใช่ว่าจะคุยกันไม่ได้ แต่คงไม่มีประโยชน์ เผยเฉียนมีนิสัยอย่างไร นางเชื่อฟัง แค่ใคร ใช่ว่าเจ้าสือโหรวจะไม่รู้เสียหน่อย
สือโหรวจึงเสนอความเห็นบอกว่าตนจะไปพูดคุยกับสตรีคนนั้นด้วยตัวเอง แล้วค่อยใช้วิธีการเล็กๆ น้อยๆ หาตัวเด็กเกเรของโรงเรียนคนนั้นมา ให้ทั้งสองฝ่าย มาขอโทษเผยเฉียน
ผลคือจูเหลี่ยนที่แต่ไหนแต่ไรมามักจะยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอกลับสบถด่า บอกว่าจะมีประโยชน์กับผายลมอะไร นี่มันใช่วิธีแก้ปัญหาหรือ?
ทำเอาสือโหรวตกใจจนหน้าซีดเผือด
แต่สุดท้ายจูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูร้านเป็นนานก็ทำเพียงแค่กลับไปยังภูเขาลั่วพั่วเงียบๆ ไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง
หลังจากนั้นมาเผยเฉียนก็ไม่มีจุดใดที่ทำให้คนอื่นไม่วางใจอีก นางไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนอย่างว่าง่าย ออกเช้ากลับเย็น ตรงเวลาตรงสถานที่เสมอ พอมีเวลาว่าง ก็จะมาช่วยทำงานที่ร้าน คัดหนังสือ เดินนิ่ง ฝึกวิชากระบี่มารคลั่งของนาง แต่ความวางใจเช่นนี้กลับยิ่งทำให้สือโหรวไม่วางใจ
สือโหรวอยากให้เผยเฉียนตบสตรีคนนั้นให้ล้มคว่ำ หรือไม่ก็ทะเลาะกับอาจารย์บางคนในโรงเรียนยังดีเสียกว่า
แต่เผยเฉียนกลับไม่ทำอะไรสักอย่าง
นาทีนั้นสือโหรวถึงได้ตระหนักว่า ที่แท้ไม่เพียงภูเขาลั่วพั่วที่มีหรือไม่มีเฉินผิงอัน จะกลายเป็นภูเขาลั่วพั่วสองแห่งเท่านั้น
แต่มีหรือไม่มีเขาอยู่ข้างกายเผยเฉียน ก็ยิ่งกลายเป็นเผยเฉียนสองคน
ยังดีที่เผยเฉียนยังคงทำเหมือนวันนี้ นางยังคงยกม้านั่งไปนั่งตรงหน้าประตู แทะเมล็ดแตงอยู่เพียงลำพัง พึมพำพูดอะไรบางอย่างกับตัวเอง บางครั้งก็เงยหน้า มองไปยังสุดตรอกของถนน
เผยเฉียนในเวลานี้ สือโหรวมองแล้วค่อนข้างคุ้นเคย
วันนี้เผยเฉียนเพิ่งจะยกม้านั่งเดินกลับมาที่เรือนด้านหลัง กะว่าจะฝึกวิชา กระบี่มารคลั่งที่ใกล้จะสมบูรณ์แบบเต็มทีเสียหน่อย ผลคือได้ยินเสียงพ่อครัวเฒ่าตะโกนอยู่หน้าร้านว่า “เจ้าตัวขาดทุน! เจ้าตัวขาดทุนรีบออกมาเร็วเข้า!”
เผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าวิ่งออกไปอย่างเดือดดาล “พ่อครัวเฒ่า เจ้าอยาก โดนตีใช่ไหม?!”
รอจนเผยเฉียนเดินไปถึงหน้าประตูร้าน เห็นว่าข้างกายของพ่อครัวเฒ่ามีเด็กน้อยคนหนึ่งที่ยืนกอดอกอยู่บนธรณีประตู ใบหน้าขึงตึง จ้องเผยเฉียนตาเขม็ง
เผยเฉียนอึ้งตะลึง ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นี่ใครกัน? ลูกสาวนอกสมรสที่พ่อครัวเฒ่าอย่างเจ้าไปไข่ทิ้งไว้ข้างนอกหรือ? ในที่สุดเจ้าก็ตามตัวเจอแล้วพากลับมา?”
จูเหลี่ยนด่าคำหนึ่งว่าลูกสาวกับผีเจ้าสิ ก่อนจะตบศีรษะของแม่นางน้อยที่ยืนอยู่บนธรณีประตูเบาๆ “นางชื่อโจวหมี่ลี่ อาจารย์ของเจ้าส่งมาจากอุตรกุรุทวีป”
เผยเฉียนใช้หมัดทุบฝ่ามือ สายตาเป็นประกายระยิบระยับ “อาจารย์ร้ายกาจจริงๆ ทุกวันนี้ไม่เพียงแต่เก็บเงินได้ แม้แต่เด็กก็ยังเก็บมาได้ด้วย!”
แม่นางน้อยชุดดำยู่หน้าและคิ้วบางๆ ของตัวเอง เอียงศีรษะ เพ่งสายตามองไปยังถ่านดำน้อยที่ตัวไม่สูงสักเท่าไร
เผยเฉียนเบิกตากว้าง จากนั้นก็ยิ้มตาหยี “ตอนกลางคืนข้าจะเลี้ยงปลานึ่งเจ้าเอง ดีไหมล่ะ?”
พูดจบแล้วเผยเฉียนก็ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งต่างมีด ใช้ฝ่ามืออีกข้างแทนเขียง แล้วยกมือ ที่ทำเป็นมีดนั้นสับลงไปรัวๆ จนคนมองตาลาย ปากยังส่งเสียงป๊อกๆๆ ตามเสียงสับ พอทำเสร็จก็ทำท่ากดลมปราณไว้ตรงจุดตันเถียน พูดเสียงหนักว่า “วิชามีดของข้านับเป็นอันดับสองของโลก เป็นรองแค่อาจารย์นิดเดียวเท่านั้น!”
จากนั้นนางก็กางสองมือออก “เจ้าเคยกินปลาตัวใหญ่ขนาดนี้ไหม? เคยกินปู ตัวใหญ่ขนาดนี้ไหม?”
โจวหมี่ลี่ไม่กล้ายกสองแขนกอดอกอีกต่อไป นางยู่หน้า ใบหน้าเต็มไปด้วย เม็ดเหงื่อ ดวงตากลอกเร็วจี๋
สือโหรวหัวเราะ ไม่เสียแรงที่เป็นภูตน้ำน้อยตัวหนึ่ง
โจวหมี่ลี่พลันบังเกิดความคิดดีๆ จึงพูดด้วยภาษาทางการของต้าหลีที่ค่อนข้างติดขัดว่า “อาจารย์ของเจ้าฝากให้ข้านำความมาบอก บอกว่าเขาคิดถึงเจ้ามาก”
ดวงตาทั้งคู่ของเผยเฉียนพลันส่องประกายจ้า แม่นางน้อยชุดดำรีบกระโดดลงจากธรณีประตูทันที นางรู้สึกกลัวเล็กน้อย
เผยเฉียนหยิบไม้เท้าเดินป่าที่วางเอียงๆ พิงไหล่เอาไว้ขึ้นมาอีกครั้ง เดินอาดๆ ขยับเข้าไปใกล้ธรณีประตู สายตาที่มองแม่นางน้อยชุดดำเรียกได้ว่า…มีเมตตา นางยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กๆ ของอีกฝ่าย ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ตัวไม่สูงเท่าไรนะ เป็นฟักแคระที่โตมาหลายร้อยปีอย่างเสียเปล่า ไม่เป็นไรๆ ข้าไม่มีทางดูแคลนเจ้า ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของอาจารย์ ข้าย่อมไม่ใช่คนที่ตัดสินคนเพียง เปลือกนอก!”
โจวหมี่ลี่เรียนภาษาทางการต้าหลีมาตลอดทาง แม้ว่ายังพูดได้ไม่คล่องปาก แต่ก็ฟังรู้เรื่อง
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าวว่า “วันหน้าก็ยกโจวหมี่ลี่ให้เจ้าดูแลแล้ว นี่คือความต้องการของคุณชาย เจ้าล่ะคิดอย่างไร? หากไม่เต็มใจ ข้าก็จะพาโจวหมี่ลี่กลับไปที่ ภูเขาลั่วพั่ว”
เผยเฉียนกระตุกมุมปาก ใช้หางตาเหล่มองพ่อครัวเฒ่า “ฟ้าใหญ่ดินใหญ่ แน่นอนว่าต้องเป็นอาจารย์ข้าที่ใหญ่ที่สุด วันหน้าก็มอบเจ้าฟักแคระตัวเล็กนี่ให้ข้าดูแลแล้วกัน ข้าจะพานางไปกิน…”
โจวหมี่ลี่รีบตะโกนทันที “ขอแค่ไม่กินปลา ไม่ว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น!”
เผยเฉียนยิ้มตาหยีพลางลูบศีรษะของแม่นางน้อยชุดดำ “เป็นเด็กดีจริงๆ”
จูเหลี่ยนจากไปแล้ว
สือโหรวนอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงินด้วยอารมณ์เบิกบาน
หลังจากนั้นมาที่ร้านในตรอกฉีหลงก็มีแม่นางน้อยชุดดำเพิ่มมาอีกคน
จากนั้นหมาตัวนั้นก็มักจะวิ่งมาบ่อยๆ ทุกวันเวลาประมาณโรงเรียนเลิก โจวหมี่ลี่ก็จะไปนั่งอยู่หน้าประตูใหญ่พร้อมกับมันเพื่อรอรับเผยเฉียนกลับตรอกฉีหลง
วันนี้เผยเฉียนวิ่งตะบึงออกมา พอมองเห็นโจวหมี่ลี่ที่กอดไม้เท้าเดินป่าไว้ใน อ้อมอกกับหมาพื้นบ้านที่นอนหมอบอยู่กับพื้น เผยเฉียนก็ทรุดตัวลงนั่งยอง เอื้อมมือไปจับปากของหมาตัวนั้นแล้วบิด “บอกมา วันนี้มีคนรังแกฟักน้อยหรือไม่?”
หมาตัวนั้นที่ตอนนี้กลายเป็นภูตแล้วมีใจนึกอยากตายขึ้นมาตะหงิดๆ
ข้าผู้อาวุโสจะพูดได้อย่างไรเล่า
เผยเฉียนสะบัดข้อมือบิดหัวของหมาไปอีกทาง “ไม่พูด?! คิดจะก่อกบฏอย่างนั้นหรือ?!”
โจวหมี่ลี่กล่าวอย่างขลาดๆ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ไม่มีใครรังแกข้าหรอก”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ ปล่อยมือออกแล้วตบหัวสุนัขหนึ่งที “เจ้าทำหน้าที่เป็น ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงประสาอะไร หากเจ้ายังไม่รู้จักพัฒนาฝีมือตัวเอง ไม่มีประโยชน์กับผายลมอะไรอยู่แบบนี้ ตรอกฉีหลงก็คงต้องมีแต่ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาอย่างเดียวแล้ว!”
โจวหมี่ลี่รีบลุกขึ้นยืนตัวตรง เขย่งปลายเท้า สองมือจับไม้เท้าเดินป่าไว้แน่น
พวกเขาวิ่งผ่านตรอกซอกซอยกลับตรอกฉีหลงไปด้วยกัน ทว่าขณะที่วิ่งตะบึง ลงไปตามขั้นบันไดกลับมีชุดขาวร่วงลงมาจากท้องฟ้า ชายแขนเสื้อใหญ่พลิกสะบัด ส่งเสียงดังฟึ่บฟั่บ ก่อนจะพลิ้วกายลงบนพื้นด้วยท่าไก่ทองยืนขาเดียว แขนข้างหนึ่งวางขวางไว้เบื้องหน้า มืออีกข้างหนึ่งประกบสองนิ้วชี้ฟ้า “คิดจะผ่านทางสายนี้ไป ก็จงจ่ายค่าผ่านทางมาก่อน!”
สุนัขพื้นบ้านตัวนั้นหางลู่ หันหัวกลับได้ก็เผ่นหนีทันที
โจวหมี่ลี่ตื่นเต้นเล็กน้อย นางกระตุกชายแขนเสื้อของเผยเฉียน “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ใครกัน? ดุร้ายมากเลย”
นางกลับไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นคนเลวที่ชั่วร้ายอะไร เพียงแค่มองแล้วรู้สึกว่าสมองน่าจะมีปัญหา แถมตัวยังสูงขนาดนี้ หากอีกฝ่ายอาศัยว่ามีแรงมากกว่า มาทำร้ายนางกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ แบบนั้นก็คงคุยกันด้วยเหตุผลดีๆ ไม่ได้แล้ว
แต่นางกลับเห็นว่าเผยเฉียนมีสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเอ่ยเนิบช้าว่า “เป็นมารร้ายที่ชื่อเสียงความอำมหิตเลื่องลือไปทั่วยุทธภพ รับมือได้ยากยิ่ง ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือใน ยุทธภพมากน้อยเท่าไรที่ต้องพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือเขา ขนาดข้าจัดการกับเขายังค่อนข้างเหน็ดเหนื่อย เจ้าเองก็ยืนอยู่ข้างหลังข้าไว้แล้วกัน วางใจเถอะ ตรอกฉีหลงแห่งนี้ เป็นถิ่นของข้า จะไม่ยอมให้คนนอกมาวางอำนาจเด็ดขาด! คอยดูข้าตัดหัวสุนัข ของเขาทิ้งเถอะ!”
โจวหมี่ลี่พยักหน้ารับแรงๆ ปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว
จากนั้นโจวหมี่ลี่ก็เห็นว่าเผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือกระโดดตัวขึ้น ไปพลิ้วกายอยู่ข้างคนชุดขาวผู้นั้นพอดี แล้วนางก็วาดไม้เท้าออกไปในแนวขวาง
โจวหมี่ลี่เบิกตากว้าง นี่มันเรื่องอะไรกัน ไม้นี่กวาดออกไปค่อนข้างจะช้าอยู่นะ ช้าจนถึงขั้นที่ว่ายามมดย้ายรังยังเร็วกว่าเสียอีก
ส่วนคนชุดขาวผู้นั้นก็เอนตัวไปด้านหลังอย่างเชื่องช้า ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะทั้งสองข้างค่อยๆ ตวัดขึ้นเหมือนกระดาษเซวียนจื่อสองแผ่นที่ถูกคลี่ออกช้าๆ
หลบพ้นไม้เท้าเดินป่าที่ฟาดเข้าใส่ได้พอดี
ต่อมาก็เป็นเจ้าส่งมาข้าปล่อยกลับ ยังคงช้าจนชวนให้คนตกใจตาย เจ้าฟาดไม้ใส่ ข้ายกขาขึ้นต้าน โจวหมี่ลี่รู้สึกว่าป่านนี้ตนน่าจะวิ่งไปกลับตรอกฉีหลงได้รอบหนึ่งแล้ว
เวลานี้สองคิ้วของโจวหมี่ลี่ขมวดจนแทบจะเป็นก้อนเดียวกัน นางมองแล้ว ก็ไม่เข้าใจจริงๆ นะ
สุดท้ายเผยเฉียนกับคนชุดขาวที่หน้าตาหล่อเหลามากๆ แต่สมองก็มีปัญหามากๆ ผู้นั้นก็หยุดมือแทบจะเวลาเดียวกัน ต่างคนต่างทำท่ากดลมปราณไว้ตรงจุดตันเถียน
เผยเฉียนอืมหนึ่งที “ยอดฝีมือ! สามารถต้านรับหกกระบวนท่าของวิชากระบี่มารคลั่งชุดนี้ของข้าไว้ได้ คิดจะเล่นงานคนทั้งยุทธภพในหนึ่งแคว้นได้อย่างไร้ศัตรูทัดเทียม ก็เพียงพอเหลือแหล่!”
คนชุดขาวผู้นั้นก็พยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”
โจวหมี่ลี่รู้สึกมึนงงเล็กน้อย ยืนเกาหัวอยู่กับตัวเอง
จากนั้นคนชุดขาวก็ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เจ้าคือโจวหมี่ลี่กระมัง ข้าชื่อชุยตงซาน เจ้าสามารถเรียกข้าว่าศิษย์พี่เล็กได้”
โจวหมี่ลี่รีบลุกขึ้นยืน วิ่งลงมาจากบันได ยืดคอยื่นยาวไปมองคนที่แนะนำตัวเองบอกว่าชื่อชุยตงซานผู้นั้น “เฉินผิงอันบอกว่าเจ้าอาจจะรังแกคนอื่น แต่ข้ามองดูแล้วไม่เห็นเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นเลย”
คนผู้นั้นโบกชายแขนเสื้อข้างหนึ่ง ตั้งมือจีบนิ้วเป็นท่าดรรชนีกล้วยไม้ อีกมือหนึ่งยกขึ้นปิดหน้า พูดอย่าง ‘เขินอาย’ ว่า “อาจารย์ของข้าชอบล้อเล่นที่สุดแล้ว”
มุมปากโจวหมี่ลี่กระตุก หันหน้าไปมองเผยเฉียน
เผยเฉียนเตะน่องเล็กของชุยตงซานไปหนึ่งที “เป็นการเป็นงานหน่อย อย่าให้อาจารย์ข้าต้องขายหน้า”
ชุยตงซานกระแอมสองที ก่อนจะย่อตัวลงนั่งยอง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แค่ยืนเฉยๆ ก็พอ”
โจวหมี่ลี่กะพริบตาปริบๆ
คนผู้นั้นยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาดันไว้ที่หว่างคิ้วของนางเบาๆ
โจวหมี่ลี่รู้สึกสะลืมสะลือ เหมือนว่าจะง่วงอยู่หน่อยๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร อาการปวดแสบก็แล่นปลาบขึ้นตรงหว่างคิ้วของโจวหมี่ลี่ จากนั้นก็ไม่มีอะไรผิดปกติอีก
คนผู้นั้นลุกขึ้นยืนแล้ว เอามือข้างหนึ่งตบศีรษะของโจวหมี่ลี่เบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว ไปเถอะ กลับร้านกัน”
เผยเฉียนขมวดคิ้ว “ต้องระวังให้มากๆ หน่อยนะ นี่เป็นงานที่อาจารย์ข้ามอบหมายให้เจ้าเชียวนะ!”
ชุยตงซานเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง สองข้างกายมีแม่นางน้อยสองคนเดินขนาบ พูดด้วยสีหน้าระอาใจว่า “รู้แล้วน่า ไปกันเถอะๆ”
ด้านหน้าตรอกฉีหลิง แม่นางน้อยสองคนเดินอาดๆ เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
นี่เรียกว่าเดินอย่างกำเริบเสิบสาน ปีศาจมารล้วนพรั่นผวา
เผยเฉียนดีกับโจวหมี่ลี่มากจริงๆ นางยังเอายันต์แผ่นหนึ่งที่ตัวเองเก็บไว้เป็นอย่างดีออกมาแตะน้ำลาย แล้วแปะลงบนหน้าผากของโจวหมี่ลี่
ชุยตงซานเดินเนิบช้าตามมาด้านหลังของแม่นางน้อยทั้งสอง เขามองพวกนางแล้วก็คลี่ยิ้ม
รัศมีแห่งตะวันจันทรา
แสงแห่งเมล็ดข้าว
จากนั้นชุยตงซานก็ยกมือข้างที่ไพล่ไว้ด้านหลังขึ้นมาเบาๆ ระหว่างสองนิ้วคีบเศษซากจิตวิญญาณที่ดำสนิทเหมือนกับหมึกเม็ดหนึ่งเอาไว้
ชุยตงซานกระตุกมุมปาก “ขอโทษทีนะ มาพบเจอกับข้าชุยตงซาน ก็ถือว่า เป็นความซวยแปดชาติของเจ้าแล้ว”
……
ท่าเรือของสวนน้ำค้างวสันต์
หลังจากที่ทางศาลบรรพจารย์ได้รับกระบี่บินส่งข่าวจากถังชิงชิง บรรพจารย์ก่อกำเนิดและคนของศาลบรรพจารย์ปรึกษากันแล้วก็ตัดสินใจว่าให้ซ่งหลานเฉียวผู้ดูแลเรือข้ามฟากของสำนักหยุดดูแลเรือข้ามฟากชั่วคราว ระยะเวลาช่วงนี้ก็ให้อยู่ที่สวนน้ำค้างวสันต์ ให้เขาซ่งหลานเฉียวเป็นผู้รับรองเซียนกระบี่หนุ่มต่างถิ่นที่มาจากชายหาดโครงกระดูกผู้นั้นด้วยตัวเองจนกว่างานเลี้ยงอำลาวสันต์จะสิ้นสุด ถึงเวลานั้นหากเซียนกระบี่หนุ่มแซ่เฉินยังเต็มใจจะอยู่พักผ่อนต่อในสวนน้ำค้างวสันต์ แน่นอนว่ายิ่งดี
ซ่งหลานเฉียวมารออยู่ที่ท่าเรือเกือบจะหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ยังอารมณ์ดีอยู่มาก ยามทักทายกับคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีก็มีรอยยิ้มจริงใจเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
ผู้ดูแลเรือข้ามฟากของใต้หล้านี้ล้วนเป็นคนที่น่าสงสารบนเส้นทางของการฝึกตน ทางสำนักไม่ทอดทิ้งก็เหมือนทอดทิ้ง ซ่งหลานเฉียวเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นอกจากอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาแล้ว ผู้อาวุโสหลายท่านและเค่อชิงผู้ถวายงานคนอื่นๆ ในศาลบรรพจารย์ ต่อให้คนส่วนใหญ่จะมีขอบเขตพอๆ กับเขาซ่งหลานเฉียว มีเพียงแค่ส่วนน้อยที่อาวุโสมากกว่าเขาหนึ่งรุ่น แค่ชื่อเปลี่ยนจากตัวอักษรหลานเป็นตัวอักษรจู๋เท่านั้น แต่พวกเขาก็ยังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา หนึ่งเพราะอยู่กัน คนละสายในสำนัก
สองเพราะรายได้ของเรือข้ามฟากตลอดทั้งปีที่ได้มาจากพืชพรรณประหลาดและวัตถุอันดีเยี่ยมที่เป็นผลผลิตของเทือกเขาเจียมู่นั้น อันที่จริงเงินเทพเซียนไม่เคย ผ่านมือเขา บนเรือข้ามฟากจะมีคนสนิทที่เป็นผู้สืบทอดสายตรงของศาลบรรพจารย์คอยรับผิดชอบทำหน้าที่สานสัมพันธ์กับกลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนอื่นๆ โดยเฉพาะ เขาก็แค่อาศัยสถานะของเจ้าของเรือมาช่วงชิงส่วนแบ่งที่เป็นดั่งเศษซากน้ำแกงเหลือๆ ถ้วยหนึ่งเท่านั้น หากได้ส่วนพิเศษเกินมา ทางศาลบรรพจารย์ยังซักไซร้เอาผิดว่าได้มากเกินไป อาจไม่ถึงขั้นยากลำบากเกินบรรยาย แต่ถึงอย่างไรชีวิตที่สุขสบายก็มีได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น
เรือข้ามฟากลำหนึ่งค่อยๆ จอดเทียบท่าช้าๆ จากนั้นท่าเรือฝูสุ่ยของสวนน้ำค้างวสันต์ที่เจริญรุ่งเรืองผิดจากที่อื่น รวมไปถึงเรือข้ามฟากน้อยใหญ่ที่มาจากสถานที่ต่างๆ ของอุตรกุรุทวีปก็สังเกตเห็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง
ผู้โดยสารบนเรือลำนั้นกลับไม่มีใครสักคนที่ทะยานลมลงมา แล้วก็ไม่มีใครกระโดดลงมา ทุกคนต่างพากันเดินมาตามทางเดินลงเรือสองด้านแต่โดยดีอย่าง ไม่มีข้อยกเว้น ไม่เพียงเท่านี้ พอลงเรือมาแล้วแต่ละคนกลับทำหน้าเหมือนคน ที่เพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้
เฉินผิงอันเดินลงจากเรือ เว่ยป๋ายแห่งจวนเถี่ยชางและคนกลุ่มของถังชิงชิง เดินตามหลังมา แต่ว่าอยู่ห่างไปหลายสิบก้าว
ได้เห็นซ่งหลานเฉียวที่มีท่าทีกระตือรือร้นยิ่งกว่าที่เคย เฉินผิงอันก็คลี่ยิ้มรับ แล้วก็ถูกโอสถทองแห่งสวนน้ำค้างวสันต์ผู้นี้พาตัวไปยังสถานที่ที่มีชื่อเสียงของเทือกเขาเจียมู่ ที่นั่นมีจวนที่ใช้รับรองแขกสูงศักดิ์โดยเฉพาะ เป็นเรือนโบราณที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลไผ่
คนทั้งสองนั่งเรือแจวลำเล็กจากแผ่นยันต์ มุ่งหน้าไปยังที่พักอาศัย ระหว่างทาง ป่าไผ่ทอดยาวเป็นสาย สีเขียวชอุ่มสดปลั่ง เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณ ทำให้ จิตใจคนปลอดโปร่งโล่งสบาย
‘คนถ่อเรือ’ ของเรือลำเล็กคือดรุณีน้อยคนหนึ่ง บนเรือลำเล็กมีอุปกรณ์การชงชาครบครัน นางนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหนึ่งของเรือ ชงชาอย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย
ซ่งหลานเฉียวดื่มชาพลางชมทัศนียภาพไปพร้อมกับเฉินผิงอัน ขณะเดียวกัน ก็ช่วยแนะนำสิ่งปลูกสร้าง ร้านค้า ถ้ำสถิตบนยอดเขาและจุดชมทัศนียภาพที่มีชื่อเสียงระหว่างทางให้เฉินผิงอันฟังไปด้วย
อาณาเขตของเทือกเขาเจียมู่กว้างใหญ่ เรือยันต์ลำเล็กล่องอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม ถึงจะเข้ามายังอาณาเขตของทะเลไผ่ที่ปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์มากกว่าที่อื่นๆ แล้วก็ผ่านไปอีกประมาณหนึ่งเค่อถึงได้มาจอดอยู่ข้างศาลาลมที่ตั้งอยู่กลางทะเลไผ่ บนยอดเขา
เฉินผิงอันปรากฏตัวครั้งนี้ไม่ได้สวมงอบสะพายหีบไม้ไผ่ แล้วก็ไม่ได้ถือไม้เท้า เดินป่าไว้ในมือ แม้แต่เจี้ยนเซียนก็ถูกเขาเก็บไปด้วย เพียงแค่ผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ไว้ตรงเอว มือข้างหนึ่งถือพัดพับหยก สวมชุดขาวพลิ้วปลิวไสว สง่างามน่ามอง
สตรีคนถ่อเรือของสวนน้ำค้างวสันต์ที่มีพรสวรรค์ในด้านการฝึกตน แต่พรสวรรค์กลับไม่สูงมากผู้นั้นยืนอยู่ข้างเรือลำเล็ก ใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนหวาน ทว่า ตลอดทางที่ผ่านมานี้นอกจากเอ่ยถ้อยคำระหว่างที่ยื่นส่งชาหรือเติมน้ำชาแล้ว นางก็ไม่ได้เอ่ยคำใดอีก
เฉินผิงอันเดินเข้าไปใกล้นาง สองนิ้วคีบเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญ ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นคล้ายจะประหลาดใจเล็กน้อย นางลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่จากนั้นก็รีบยื่นมือออกมา เฉินผิงอันปล่อยนิ้วออก เงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นก็หล่นลงบนฝ่ามือของนางเบาๆ แล้วเขาก็เอ่ยขอบคุณนางหนึ่งคำ
ซ่งหลานเฉียวเห็นท่าทางกระวนกระวายของสตรีก็ยิ้มกล่าวว่า “รับไว้เถอะ กฎเกณฑ์ตายตัวของที่อื่นใช้ไม่ได้ในทะเลไผ่แห่งนี้”
ตอนที่เฉินผิงอันเดินไปทางเรือนหลังนั้นพร้อมกับซ่งหลานเฉียว เขาถามอย่างสงสัยว่า “ผู้อาวุโสซ่ง ข้าได้ทำลายกฎของสวนน้ำค้างวสันต์หรือไม่?”
ซ่งหลานเฉียวส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “จวนแห่งอื่นที่ใช้รับรองแขกของภูเขาเจียมู่ มีกฎเกณฑ์พันธนาการอยู่จริง ไม่อนุญาตให้คนเรือรับเงินรางวัลจากแขก แต่พอมาถึงทะเลไผ่แห่งนี้กลับไม่ตายตัวแล้ว หากคุณชายเฉินตัดใจได้ลง คิดจะมอบเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญก็ยังได้ อีกทั้งเงินทั้งหมดจะเป็นเงินส่วนตัวของคนเรือ ทางสวนน้ำค้างวสันต์จะไม่มีทางดึงส่วนแบ่งออกมาเด็ดขาด”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องที่ตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วนเช่นนี้ ข้าทำไม่ลงหรอก”
งานเลี้ยงอำลาวสันต์จะจัดขึ้นในอีกสามวันให้หลัง
เป็นช่วงก่อนครีษมายันพอดี
อีกทั้งซ่งหลานเฉียวยังบอกว่าเมื่อเข้าสู่หน้าร้อนแล้วจะยังมีงานเลี้ยงเขากวางอีก เพียงแต่ว่าขนาดเทียบกับการชุมนุมก่อนหน้านี้ไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้เรือข้ามฟาก จึงมักจะจากไปมากกว่ามาเยือน เพราะถึงอย่างไรสวนน้ำค้างวสันต์ก็ยึดคำว่า วสันต์เป็นหลัก
คนทั้งสองเดินช้าๆ อยู่บนทางสายเล็กกลางป่าไผ่
จากนั้นก็มาถึงจวนที่เงียบสงบแห่งหนึ่งซึ่งแขวนป้ายคำว่า ‘จิงเจ๋อ’ (ช่วงที่แมลงตื่นจากการจำศีลในหน้าหนาว) เป็นเรือนสามชั้น
สวนน้ำค้างวสันต์มีจวนอยู่หกหลังที่ตั้งชื่อตามช่วงสภาพอากาศหกช่วงของ ฤดูใบไม้ผลิ เป็นสถานที่ที่เงียบสงบและสูงศักดิ์มากที่สุด มีจวนสามแห่งตั้งอยู่ใน ทะเลไผ่แห่งนี้ ทว่าจวนหนึ่งในนั้นที่ชื่อว่า ‘ชิงหมิง’ (เทศกาลเชงเม้ง/ชิงหมิง) โดยทั่วไปแล้วพวกแขกจะไม่ค่อยยินดีไปเข้าพักเท่าใดนัก เพราะถึงอย่างไรชื่อของจวนก็ไม่ค่อยเป็นมงคลสักเท่าไร ทว่ายอดฝีมือลัทธิเต๋าที่มาเยี่ยมเยือนสวนน้ำค้างวสันต์กลับชอบจะเลือกเข้าพักจวนหลังนี้มากที่สุด อันที่จริงช่วงก่อนและหลังงานเลี้ยงอำลาวสันต์ของทุกครั้ง เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าใครจะได้เป็นผู้เข้าพักจวนทั้งหกหลังนี้ก็ล้วนเป็นเรื่องที่ทำให้ศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากันมา โดยตลอด จะให้ใครจะไม่ให้ใคร หากไม่ระวังก็อาจกลายเป็นเรื่องร้ายที่ถูกคน ผูกอาฆาต
อันที่จริงยังมีเรือนอีกหลังหนึ่งที่สูงส่งและมีเกียรติที่สุด นั่นคือจวน ‘ลี่ชุน’ (วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ) สองวันมานี้แขกสูงศักดิ์คนหนึ่งที่เป็นก่อกำเนิดเพิ่งจะจากไป ตอนนี้จึงยังว่างอยู่ แม้ว่าออกจะฉุกละหุกไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเอาออกมาให้เซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นเข้าพักได้ ทว่าหลังจากที่ศาลบรรพจารย์ปรึกษากันแล้วก็รู้สึกว่าจวนหลังนั้นอยู่ใกล้กับหน้าผาอวี้อิ๋งมากเกินไป และบรรพจารย์อาน้อยของตำหนัก จินอูผู้นั้นก็ต้มชาอยู่ที่นั่น ถึงอย่างไรก็ไม่เหมาะสม เพราะหากทั้งสองฝ่ายตีกันขึ้นมาจริงๆ เรื่องดีจะกลายเป็นหายนะเอาได้
ในขณะที่ปรึกษากันเรื่องนี้ เหล่าผู้อาวุโสและผู้ถวายงานกลุ่มใหญ่ที่เดิมทีเย่อหยิ่งจมูกเชิดขึ้นฟ้าต่างก็พากันหันมาสอบถามความเห็นของซ่งหลานเฉียวอย่างจริงจัง
นี่ทำให้ซ่งหลานเฉียวรู้สึกเหมือนตัวเองได้ลืมตาอ้าปากเสียที แต่ถึงอย่างไร เขาก็เป็นโอสถทองผู้เฒ่าคนหนึ่ง จึงไม่เปิดเผยสีหน้าลำพองใจออกมาแม้แต่น้อย กลับกันยังยิ่งมีท่าทีนอบน้อมถ่อมตน รับมือได้อย่างรอบคอบรัดกุม
เรื่องราวบนภูเขานั้นพิถีพิถันในคำว่าน้ำเส้นเล็กไหลยาวมากที่สุด
วันนี้ลำพองใจ พรุ่งนี้อาจต้องผิดหวัง มีให้เห็นมากมายนัก
ซ่งหลานเฉียวเข้ามาในจวนจิงเจ๋อแห่งนั้นแล้วก็ไม่ได้อยู่รับรองนานนัก เพราะเพียงครู่เดียวเขาก็ขอตัวจากมา
ด้านในเรือนมีผู้ฝึกตนหญิงหน้าตาโดดเด่นอยู่สองคน คนหนึ่งในนั้นยังเป็น ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์
พวกนางรับผิดชอบผลัดเวรมาเป็นสาวให้การรับรองแขกที่เข้าพักในจวนนี้ชั่วคราว
นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกอึดอัดไม่น้อย ในขณะที่เดินไปส่งซ่งหลานเฉียวที่หน้าประตู จึงถามไปตามตรงว่าจะขอคืนตัวสตรีทั้งสองไปได้หรือไม่
ซ่งหลานเฉียวหัวเราะร่า “คุณชายเฉิน ท่านคือแขกผู้มีเกียรติอันดับหนึ่งของ สวนน้ำค้างวสันต์เรา แน่นอนว่าย่อมได้ เพียงแต่ว่าแม่นางสองคนนี้กลับไปคงต้องโดนตำหนิไม่น้อย”
เฉินผิงอันถอนหายใจ เขาโบกพัดพับ ไม่เอ่ยอะไรอีก
ซ่งหลานเฉียวกล่าวเบาๆ ว่า “เดิมทีบรรพจารย์ของพวกเราอยากจะมารับรองคุณชายเฉินด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าเรื่องการจัดงานเลี้ยงอำลาวสันต์ได้เกิดปัญหาบางอย่างขึ้น จำเป็นต้องให้นางออกหน้าควบคุมด้วยตัวเอง อีกทั้งบรรพจารย์ของเรายังเป็นคนมีนิสัยละเอียดอ่อนรอบคอบ ไม่อาจปลีกตัวมาได้จริงๆ ได้แต่บอกให้ข้า ขออภัยคุณชายเฉินแทนนาง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “บรรพจารย์ถานเกรงใจกันเกินไปแล้ว”
ซ่งหลานเฉียวจากไปแล้ว รอจนเงาร่างของเขาหายวับไปตรงสุดปลายทางของทางเดินเส้นเล็กกลางป่าไผ่ เฉินผิงอันก็ไม่ได้กลับเรือนทันที แต่ออกไปเดินเล่นอยู่ ด้านนอก
รอจนเฉินผิงอันกลับมาที่จวนอีกครั้งก็เห็นว่าหลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอูที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มปักปิ่นทอง เรือนกายสะโอดสะองราวต้นไม้หยกได้มายืนอยู่หน้าประตู
ผู้ฝึกตนหญิงสองคนยืนรับรองอยู่ด้านข้าง สีหน้าของพวกนางอ่อนโยน ไม่เพียงแต่เป็นสีหน้าเลื่อมใสที่ผู้ฝึกตนหญิงมีต่อเซียนกระบี่เท่านั้น ยังเป็นสีหน้า หวามไหวที่สตรีมีต่อบุรุษรูปงามด้วย
เฉินผิงอันหัวเราะ
คนเปรียบกับคน ทำให้คนโมโหตายได้จริงๆ
หากลูกศิษย์ผู้นั้นของตนมายืนอยู่ที่นี่ คาดว่าสตรีของสวนน้ำค้างวสันต์สองคนนี้ ก็คงไม่มีเซียนกระบี่หลิ่วอยู่ในสายตาแล้วกระมัง