Skip to content

Sword of Coming 516

บทที่ 516 ขัดเกลา

เฉินผิงอันเดินออกจากจวนจิงเจ๋อ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าที่เป็นสีเขียวสดปลั่ง ดุจไม้ไผ่ของจริง เดินไปยังป่าไผ่เพียงลำพัง

เขาลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะเรียกเรือยันต์ลำเล็กออกมาแล้วบังคับลมมุ่งหน้าไปยังหน้าผาอวี้อิ๋ง อันที่จริงระหว่างที่อยู่ในสวนน้ำค้างวสันต์แห่งนี้ นอกจากจะยืมเรือยันต์มาใช้ชั่วคราวแล้ว สาวใช้ในจวนก็เคยบอกเขาด้วยรอยยิ้มว่าค่าใช้จ่ายเงินเทพเซียนทั้งหมดช่วงที่เรือยันต์เดินทางไปกลับระหว่างจวนกับถนนเหล่าไหว ทางจวนจิงเจ๋อ ได้มีเงินเทพเซียนถุงหนึ่งเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่เคย เปิดออกดู เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เรื่องของการทำตามกฎเกณฑ์นั้น ตนก็มีกฎของตน ขอแค่ทั้งสองฝ่ายไม่ขัดต่อกัน อยู่ร่วมกันได้อย่างผ่อนคลาย ถ้าเช่นนั้นกรงขังของกฎเกณฑ์ก็สามารถกลายมาเป็นเรือยันต์ที่ช่วยพาคนให้ท่องชมสายน้ำขุนเขาที่งดงาม

เมื่อเฉินผิงอันบังคับเรือยันต์ลัทธิเต๋าที่สายของตำหนักไท่เจินเป็นผู้สร้างขึ้นมาถึงหน้าผาอวี้อิ๋ง ก็เห็นว่าหลิ่วจื้อชิงถอดรองเท้า ม้วนชายแขนเสื้อและชายขากางเกง ยืนอยู่กลางธารน้ำด้านล่างบ่อใส กำลังค้อมเอวก้มหยิบหินไข่ห่าน พอเจอก้อนไหน ที่ถูกตาก็โยนเข้าไปในบ่อริมหน้าผาอย่างแม่นยำโดยไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมอง หลังจากเฉินผิงอันเก็บเรือวิเศษที่พลิ้วกายลงจอดบนพื้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เรียบร้อยแล้ว หลิ่วจื้อชิงก็ยังคงไม่เงยหน้า เขาเดินเปลือยเท้าไปตามธารน้ำช่วงล่างต่อไป พลางพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “หุบปาก ข้าไม่อยากฟังเจ้าพูด”

คงเป็นเพราะบรรพจารย์อาน้อยของตำหนักจินอูผู้นี้ทั้งไม่เชื่อว่าเจ้าคนลุ่มหลงในทรัพย์สินผู้นั้นจะเอาหินไข่ห่านหลายร้อยก้อนกลับมาใส่ไว้ในบ่อใสดังเดิม แต่เหตุผล ที่มากกว่านั้นน่าจะเป็นเพราะตัวหลิ่วจื้อชิงเองที่เมื่อคิดจะทำเรื่องใดขึ้นมาแล้ว จะค่อนข้างเข้มงวดกับตัวเอง จะต้องทำให้ดีทำให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด เดิมที เขาควรจะขี่กระบี่กลับไปยังตำหนักจินอูนานแล้ว

ทว่าพอไปถึงครึ่งทางก็ยังหยุดคิดถึงบ่อใสที่ด้านในว่างเปล่าไม่ได้ มันทำให้เขาหงุดหงิด ดังนั้นก็เลยย้อนกลับมาที่หน้าผาอวี้อิ๋งเสียเลย หลังจากบอกลากับเจ้าคน แซ่เฉินในร้านบนถนนเหล่าไหวแล้วก็ไม่อาจไปบังคับบอกให้เจ้าคนโลภรีบเอา หินไข่ห่านกลับไปวางเร็วๆ ได้ หลิ่วจื้อชิงจึงได้แต่ลงมือด้วยตัวเอง เก็บหินไข่ห่าน ได้มากแค่ไหนก็แค่นั้น

เฉินผิงอันเองก็ถอดรองเท้าเดินเข้าไปในลำธารเช่นกัน เขาเพิ่งจะเก็บหินไข่ห่านใสแวววาวน่ารักน่ามองก้อนหนึ่งขึ้นมาได้ เตรียมจะช่วยโยนไปไว้ในบ่อ

คิดไม่ถึงว่าหลิ่วจื้อชิงจะเอ่ยขึ้น “ก้อนนั้นไม่ได้ สีฉูดฉาดเกินไป”

เฉินผิงอันยังคงโยนไปที่บ่ออยู่ดี ผลกลับถูกหลิ่วจื้อชิงสะบัดชายแขนเสื้อตบให้ หินไข่ห่านก้อนนั้นกลับเข้ามาในธารน้ำ แล้วคำรามอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าคนแซ่เฉิน!”

“ก็ได้ๆๆ ความหวังดีถูกมองเป็นประสงค์ร้าย ต่อจากนี้พวกเราก็ต่างคน ต่างทำงานของตัวเองไปเถอะ”

เฉินผิงอันยื่นมือไปคว้าหินไข่ห่านก้อนนั้นกลับมาไว้ในมือ เอาสองมือถู เช็ดคราบน้ำ ให้สะอาดเอี่ยม เป่าลมใส่หนึ่งครั้งแล้วยิ้มตาหยีเก็บใส่วัตถุจื่อชื่อ “ล้วนเป็นเงิน เป็นทองทั้งนั้น หนักมือ หนักมือจริงๆ”

ต้นกำเนิดของน้ำพุบ่อน้ำด้านล่างหน้าผาอวี้อิ๋งมาจากจุดตัดระหว่างรากภูเขาและเส้นสายน้ำ มีสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยมมาตั้งแต่กำเนิด ปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์ ก้อนหินก้นบ่อจึงมีคุณภาพดีเยี่ยม เพราะอาบย้อมอยู่ในปราณวิญญาณของน้ำพุใส มานานหลายร้อยหลายพันปี ส่วนก้อนหินที่อยู่ในธารน้ำจะมีระดับขั้นเป็นรองกว่าเล็กน้อย แต่หากเอามาแกะสลักเป็นตราประทับ นำมาทำเป็นของถือเล่นที่คล้ายคลึงกับหยกมันแพะ หรือจะเอามาทำเป็นเครื่องประดับเอาไว้ลูบคลึง ทำเป็นของตกแต่งในห้องหนังสือของขุนนางสูงศักดิ์ ก็นับว่าเป็นของดีชั้นยอด

ในห้องหนังสือมีวัตถุประเภทนี้ก็จะสามารถ ‘สยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะ’ ได้ อีกทั้งยังมองแล้วสบายตา แม้ว่าอาจจะทำไม่ได้ถึงขั้นต่ออายุขัยให้ยืนยาว แต่ก็มากพอจะทำให้จิตใจของคนปลอดโปร่งโล่งสบายได้

หลิ่วจื้อชิงเลือกๆ เก็บๆ อย่างพิถีพิถัน ก่อนจะโยนหินหลายสิบก้อนที่เลือกได้ ลงไปในบ่อน้ำใส

ดูเหมือนจะตั้งใจยิ่งกว่ายามสตรีเลือกคู่ครองเสียอีก

เฉินผิงอันเดินเก็บตกของดีตามหลังหลิ่วจื้อชิงไปตลอดทาง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นก้อนหินที่หลิ่วจื้อชิงหยิบขึ้นมาพินิจอยู่ครู่หนึ่งแล้ววางลง ดังนั้นจึงมีหินไข่ห่านอีก สี่สิบห้าสิบก้อนเข้ามาในบัญชี เฉินผิงอันคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่า บนถนนเหล่าไหว มีร้านเก่าแก่อยู่ร้านหนึ่งที่ขายสิ่งของเครื่องใช้ในห้องหนังสือโดยเฉพาะ ช่างที่เป็น เถ้าแก่ร้านนั้นคงไม่ต้องหวัง เพราะไม่มีปัญญาจ้าง อีกทั้งอีกฝ่ายก็อาจจะไม่เห็น หินไข่ห่านเหล่านี้อยู่ในสายตาด้วย เฉินผิงอันแค่ต้องไปหาลูกจ้างในร้านที่เป็นลูกศิษย์ของเขามาสักคนสองคน ต่อให้มีความสามารถได้แค่ครึ่งเดียวของเถ้าแก่ผู้เฒ่า แต่คิดจะจัดการกับหินไข่ห่านพวกนี้ก็มากพอเหลือแหล่ ให้พวกเขาช่วยแกะสลักให้ ทำเป็นตราประทับ เป็นของถือเล่น หรือไม่ก็แท่นฝนหมึกเล็กๆ ถึงเวลานั้นตนจะเอาไปวางไว้ในร้านผีฝู บอกว่าเป็นผลผลิตมาจากหน้าผาอวี้อิ๋ง จากนั้นก็แต่งเรื่องหลอกคน ทำนองว่าเซียนกระบี่หลิ่วแห่งตำหนักจินอูพิศหินบรรลุมรรคากระบี่เข้าไปสัก เรื่องสองเรื่อง ราคาย่อมเพิ่มขึ้นสูงเหมือนเรือที่ลอยขึ้นตามกระแสน้ำอย่างแน่นอน

ส่วนหินไข่ห่านที่เก็บไปจากก้นบ่อน้ำใสก่อนหน้านี้ก็ยังต้องเอากลับไปวางไว้ที่เดิมทั้งหมดแต่โดยดี หากคิดจะทำการค้าได้อย่างยาวนาน คำว่าหัวแหลมนั้นมักจะมา หลังคำว่าซื่อสัตย์เสมอ เพราะถึงอย่างไรมาอยู่ในสวนน้ำค้างวสันต์แล้วได้ร้านที่เป็นของตัวเองไปหนึ่งร้าน ก็ถือว่าตนไม่ใช่ร้านผ้าห่อบุญที่แท้จริงแล้ว ส่วนข้อที่ว่า เหตุใดทางศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ถึงต้องมอบร้านนี้ให้เขา เหตุผล ก็ง่ายดายมาก ประโยคหนึ่งของหญิงชราหน้าตาอัปมงคลของจวนเถี่ยชางบน เรือข้ามฟากผู้นั้นได้แพร่งพรายความลับสวรรค์ไว้นานแล้ว

ใน ‘น้ำค้างวสันต์คงเหมันต์’ เล่มเล็กจะต้องเขียนบทที่เกี่ยวข้องกับ ‘เซียนกระบี่เฉิน’ ไว้จริงๆ แต่ตอนที่ซ่งหลานเฉียวพูดถึงเรื่องนี้ได้บอกอย่างชัดเจนว่า ก่อนที่เฉินผิงอันจะออกไปจากสวนน้ำค้างวสันต์ คนเขียนจะต้องนำเนื้อหาในบทความเกี่ยวกับเขาที่จะจัดพิมพ์ลงไปใน ‘น้ำค้างวสันต์คงเหมันต์’ ฉบับใหม่มาให้เขาอ่านก่อน เรื่องไหนเขียนได้เรื่องไหนเขียนไม่ได้ อันที่จริงสวนน้ำค้างวสันต์ก็ใคร่ครวญจนมั่นใจกันมา นานแล้ว ทำการค้าอยู่บนภูเขามานานหลายปีขนาดนี้ สำหรับเรื่องต้องห้ามของตระกูลเซียน พวกเขาย่อมรู้อย่างชัดเจน

เกี่ยวกับคัมภีร์การค้าที่ใช้หาเงินเหล่านี้ เฉินผิงอันย่อมยินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งในนั้น ไม่รู้สึกรำคาญเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นที่คุยกับซ่งหลานเฉียวจึงกระตือรือร้นมาก เป็นพิเศษ เพราะถึงอย่างไรในภายภาคหน้าภูเขาลั่วพั่วก็สามารถนำมาใช้เป็น บทเรียนได้

หลิ่วจื้อชิงเดินขึ้นฝั่ง มุ่งหน้าไปยังหน้าผาอวี้อิ๋ง เห็นเจ้าหมอนั่นยังไม่มีท่าทีว่า จะขึ้นมา ดูจากท่าทางแล้วคงคิดจะกวาดธารน้ำให้ครบถ้วนทั่วหนึ่งรอบเสียก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้ตกหล่นก้อนใดไป

หลิ่วจื้อชิงพูดอย่างฉุนๆ ปนขัน “พี่ชายคนดี ในดวงตาเจ้ามีแต่เงินหรือไง?”

เฉินผิงอันก้มเก็บหินไข่ห่านก้อนหนึ่งที่เนื้อสัมผัสเนียนละเอียดเหมือนหยกสีหมึกแล้วพลิกกลับไปกลับมาเบาๆ ดูว่าจะมีลวดลายธรรมชาติที่ชวนให้คนชื่นชอบอยู่หรือไม่ ปากก็ยิ้มตอบอีกฝ่ายไปว่า “ตอนเด็กยากจนจนหวาดกลัว ช่วยไม่ได้จริงๆ”

การที่หลิ่วจื้อชิงไม่ได้ขี่กระบี่ออกไปจากสวนน้ำค้างวสันต์ แน่นอนว่าเพราะอยากจะเห็นเองกับตาว่าไอ้หมอนั่นนำก้อนหินหลายร้อยก้อนที่เป็นของบ่อน้ำใสกลับคืนตำแหน่งเดิมแล้ว เขาถึงจะวางใจได้

แต่ตอนนี้หลิ่วจื้อชิงถึงกับสงสัยแล้วว่าหากตนจากไปแล้ว ไอ้หมอนี่จะเก็บเอา หินทั้งหมดกลับมาอีกครั้งหรือไม่ เพราะเขามีความรู้สึกว่าเจ้าคนแซ่เฉินผู้นี้สามารถ ทำเรื่องที่เสียสติเช่นนี้ได้จริงๆ

เฉินผิงอันเก็บหินที่เหมือนหยกสีหมึกก้อนนั้นใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ สายตากวาดมองไปไม่หยุดนิ่ง เก็บเงินบนพื้น ถึงอย่างไรก็ง่ายกว่าเอาเงินจากกระเป๋าคนอื่นมาใส่ไว้ ในกระเป๋าตัวเองอยู่มาก นี่หากเขาไม่ก้มเอวยื่นมือไปหยิบมา เฉินผิงอันยังกลัวว่า จะถูกฟ้าผ่าด้วยซ้ำ

เพราะมีสาเหตุมาจากเฉินผิงอัน หลิ่วจื้อชิงที่เดินกลับไปยังหน้าผาอวี้อิ๋งแล้วจึงต้องเสียเวลารออยู่นานถึงครึ่งชั่วยามเต็ม

คนทั้งสองเดินมาที่ศาลามุงแฝกหลังนั้น เฉินผิงอันยืนนิ่งไม่ขยับ หลิ่วจื้อชิง ก็ยืนจ้องเขาอยู่อย่างนั้น

เฉินผิงอันตบศีรษะตัวเอง พึมพำว่าดูความจำของข้านี่สิ จากนั้นก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง หินไข่ห่านหลายร้อยก้อนเหมือนสายฝนที่ร่วงหล่นสู่บ่อน้ำ หลิ่วจื้อชิง เพ่งสมาธิมองก้อนหินเหล่านั้น จำนวนคร่าวๆ นับได้พอๆ กัน ประเด็นสำคัญคือ หินไข่ห่านสิบกว่าก้อนที่เขาชื่นชอบมากที่สุดไม่ขาดหายไปแม้แต่ก้อนเดียว สีหน้าของหลิ่วจื้อชิงถึงได้ดีขึ้น หากขาดไปแม้แต่ก้อนเดียว เขาก็คิดว่าวันหน้าจะไม่มาดื่มชา ที่นี่อีกแล้ว จะลุ่มหลงในทรัพย์สินหรือไม่ก็เป็นเรื่องของคนแซ่เฉินเอง และการที่เขาหาเงินได้จากตน ก็ยิ่งเป็นความสามารถของเขา แต่หากอีกฝ่ายไม่รักษาคำพูด นั่นคือสองเรื่องที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว หน้าผาอวี้อิ๋งตกอยู่ในมือของคนประเภทนี้ หลิ่วจื้อชิงก็จะคิดเสียว่าหน้าผาอวี้อิ๋งพังทลายไปแล้ว จะไม่เหลือความอาลัยอาวรณ์ใดๆ อีก

เฉินผิงอันปัดชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าการเก็บก้อนหินในธารน้ำก็เป็นการฝึกจิตใจอย่างหนึ่งเหมือนกัน? ข้าพอจะรู้นิสัยของเจ้าได้คร่าวๆ แล้วว่า เป็นพวกที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ สภาพจิตใจและนิสัยเช่นนี้อาจเป็นเรื่องดีในการหลอมกระบี่ แต่หากนำมาวางไว้บนเส้นทางของการฝึกตน ใช้จิตใจของคน ในตำหนักจินอูมาชำระล้างกระบี่ มีความเป็นไปได้มากที่เจ้าจะเหน็ดเหนื่อยรำคาญใจ ดังนั้นอันที่จริงตอนนี้ข้าก็เริ่มเสียใจแล้วที่พูดเรื่องเส้นสายเหล่านั้นกับเจ้า”

หลิ่วจื้อชิงส่ายหน้า “ยิ่งเป็นปัญหาเช่นนี้ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าหากข้าชำระล้างกระบี่สำเร็จ ผลเก็บเกี่ยวที่ได้จะมากกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็แค่หาเหตุผลส่งเดชมาเตือนเจ้าไปอย่างนั้นเอง”

หลิ่วจื้อชิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงแล้วเริ่มใช้นิ้ววาดยันต์ เพียงแต่ว่า การกระทำครั้งนี้ของเขาเป็นไปอย่างเชื่องช้า อีกทั้งไม่ได้จงใจปิดบังริ้วกระเพื่อมปราณวิญญาณของตัวเองด้วย เพียงไม่นานก็มีเจียวเพลิงสีแดงสดสองเส้นล้อมวน เขาเงยหน้าขึ้นถามว่า “เรียนเป็นหรือยัง?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “จำวิธีการได้แล้ว วิถีการโคจรของปราณวิญญาณข้าก็พอจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ตอนนี้ข้ายังทำไม่ได้”

หลิ่วจื้อชิงขมวดคิ้ว “หากเจ้ายินดีเอาความคิดจิตใจในการทำการค้ามาใช้กับ การฝึกตนสักครึ่งหนึ่ง จะมีสภาพน่าอเนจอนาถเช่นนี้หรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มขื่นเอ่ยว่า “หลิ่วจื้อชิง เจ้าอย่ามาทำตัวเป็นคนนั่งพูดไม่ปวดเอวอยู่แถวนี้ ข้าคือคนที่สะพานแห่งความเป็นอมตะเคยถูกสะบั้นขาดมาก่อน สามารถ มีสภาพได้อย่างทุกวันนี้ก็ถือว่าไม่อเนจอนาถแล้ว”

การประมือกันสามครั้งก่อนหน้านี้ นิสัยใจคอของหลิ่วจื้อชิงเป็นอย่างไร เฉินผิงอัน รู้แน่ชัดอยู่แก่ใจแล้ว

แรกเริ่มสุดตกลงกันไว้แล้วว่าผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตโอสถทองอย่างหลิ่วจื้อชิง จะออกแรงแค่ห้าส่วน ส่วนเขาก็เพียงแค่ออกหมัด

เฉินผิงอันวาดวงกลมกินรัศมีสิบจั้งวงหนึ่ง แล้วใช้ตบะตอนที่อยู่ในนครมังกรเฒ่ามารับมือกับกระบี่บินของหลิ่วจื้อชิง

ครั้งแรกที่หลิ่วจื้อชิงบังคับกระบี่บิน เนื่องจากดูถูกระดับความแข็งแกร่งทนทานของเรือนกายเฉินผิงอันเกินไป อีกทั้งยังไม่เคยชินกับวิธีใช้บาดแผลแลกบาดแผล หนึ่งหมัดต่อยล้มก็ไม่มีทางออกหมัดที่สองซ้ำเด็ดขาดของอีกฝ่าย เนื่องจากตกลงกันไว้แล้วว่าแค่แบ่งแพ้ชนะไม่แบ่งเป็นตาย ดังนั้นครั้งแรกที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่มี ชื่อว่า ‘น้ำตก’ เล่มนั้นของหลิ่วจื้อชิงปรากฎกาย แม้ว่าจะรวดเร็วดั่งน้ำตกสวรรค์ที่ ตกพุ่งลงมายังโลกมนุษย์ กระนั้นก็ยังได้แค่ทิ่มแทงตรงจุดที่เหนือหัวใจของเขาไป หนึ่งชุ่น ผลคือคนผู้นั้นปล่อยให้กระบี่บินแทงทะลุไหล่ของตัวเองไป เพียงชั่วพริบตา ก็มาโผล่ตรงหน้าหลิ่วจื้อชิง กระบี่บินที่มีความเร็วสุดขีดหมุนตัววนกลับ แทงเข้าที่ ข้อเท้าของคนผู้นั้น หลิ่วจื้อชิงเพิ่งจะขยับตัวออกห่างมาได้แค่ไม่กี่จั้งกลับยังถูกคน ผู้นั้นตามติดเหมือนเงา ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้เขาลอยพ้นไปจากวงกลมที่วาดไว้ โชคดีที่หลังจากอีกฝ่ายออกหมัด ก่อนที่จะโจมตีโดนเขาก็ได้จงใจกดพละกำลังเอาไว้ แต่หลิ่วจื้อชิงก็ยังกระแทกลงบนพื้นแล้วไถลครูดออกไปหลายจั้ง ทั่วร่างเต็มไปด้วย ฝุ่นดิน

หลิ่วจื้อชิงก็แค่มีสภาพกระเซอะกระเซิงเท่านั้น หลังจากพลิ้วกายลุกขึ้นยืน เขาก็มองเจ้าคนที่ทั้งไหล่และข้อเท้าล้วนถูกกระบี่บินแทงทะลุจริงๆ แล้วถามว่า “ไม่เจ็บ?”

การที่กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่รับมือได้ยาก นอกจากความเร็วแล้ว ยังเป็นเพราะหากแทงทะลุเรือนกายหรือช่องโพรงลมปราณของฝ่ายตรงข้ามก็ยากที่บาดแผล จะประสานตัวหายดีได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีผลลัพธ์ที่น่ากลัวคล้ายคลึงกับ ‘ความขัดแย้งบนมหามรรคา’ สมบัติอาคมชนิดอื่นๆ ที่ใช้โจมตีบนโลกใบนี้ก็สามารถทิ้งบาดแผลไว้ได้อย่างยาวนานเหมือนกัน หรืออาจถึงขั้นทิ้งโรคร้ายไว้เบื้องหลัง นับไม่ถ้วน

แต่ไม่ได้ตอแยพัวพัน เร่งร้อนถี่กระชั้นแต่กลับดุร้ายอำมหิตดั่งทำนบน้ำพังทลายในเสี้ยววินาทีเหมือนกับปราณกระบี่ ก็เหมือนกับว่าในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างมนุษย์ได้มีมังกรข้ามแม่น้ำตัวหนึ่งบุกเข้ามาแล้วพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการโคจรปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณ และการเข่นฆ่ากันระหว่างผู้ฝึกตน ส่วนใหญ่แล้วหากปราณวิญญาณวุ่นวายก็จะเป็นภัยร้ายถึงแก่ชีวิต แล้วนับประสาอะไรกับที่การหล่อหลอมเรือนกายของผู้ฝึกลมปราณทั่วไปไม่อาจเทียบได้กับผู้ฝึกตนสำนักการทหารและผู้ฝึกยุทธเต็มตัว หากได้รับความเจ็บปวดก็ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจอย่างเลี่ยงไม่ได้

หนึ่งกระบี่ยังเป็นเช่นนี้ แล้วหากโดนกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่แทงเข้าหลายๆ ที จะเป็นอย่างไร?

ตอนนั้นคนผู้นั้นยิ้มกล่าวว่า “ไม่กระทบต่อการออกหมัดหรอก”

ต่อมาในการประมือครั้งที่สอง หลิ่วจื้อชิงก็เริ่มระมัดระวังเรื่องระยะห่างของ ทั้งสองฝ่าย

เฉินผิงอันเริ่มใช้ตบะตอนที่อยู่ในชายหาดโครงกระดูกช่วงแรกรับมือกับศัตรู ใช้มันมาหลบเลี่ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลิ่วจื้อชิงที่ผลุบๆ โผล่ๆ อย่างลึกลับ

หลังจากการประมือครั้งนั้นสิ้นสุดลง คนทั้งสองต่างก็นั่งขัดสมาธิอยู่นอกวงกลม ทั่วร่างของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยบาดแผลเล็กๆ นับไม่ถ้วน หลิ่วจื้อชิงเองก็ฝุ่นดินเปรอะเปื้อนเต็มตัว

ตอนนั้นเฉินผิงอันอดไม่ไหวเปิดปากถามไปว่า “ข้าเคยได้สัมผัสกับกระบี่บินของ ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทองคนหนึ่งมาก่อน เหตุใดเจ้าออกแรงแค่เจ็ดส่วน แต่กระบี่บินกลับยังเร็วขนาดนี้?”

ตอนนั้นหลิ่วจื้อชิงอารมณ์ไม่ใคร่จะดีจึงตอบว่า “แค่เจ็ดส่วนจริงๆ เชื่อหรือไม่ ก็เรื่องของเจ้า”

วันที่สาม หลิ่วจื้อชิงมองเจ้าคนที่ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ? วันนี้จะออกกระบี่ด้วยกำลังเก้าส่วนแล้ว แม้ว่าเจ้าและข้า จะตกลงกันแล้วว่าไม่แบ่งเป็นตาย แต่…”

ไม่รอให้หลิ่วจื้อชิงเอ่ยจบ คนผู้นั้นก็ยิ้มกล่าวว่า “เชิญออกกระบี่ได้ตามสบาย”

เฉินผิงอันรับมือกับศัตรูอีกครั้งด้วยตบะที่ใช้ตอนต้านรับทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆ เพียงแต่ว่าไม่ได้ใช้กระบวนท่าหมัดอันเป็นสมบัติก้นกรุของตัวเองก็เท่านั้น สุดท้ายหลิ่วจื้อชิงยืนอยู่นอกวงกลม จำต้องใช้มือนวดซีกแก้มที่บวมฉึ่ง ใช้ปราณวิญญาณสลายอาการบวมไปช้าๆ

เฉินผิงอันยืนอยู่บนเส้นวงกลม ยิ้มกว้างสดใส บนร่างมีรูที่เลือดสดไหลซึมเพิ่มมาหลายรู แต่ก็เพียงแค่นี้ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่บาดแผลที่อันตรายถึงชีวิต แค่ต้องพักรักษาตัวช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

หลิ่วจื้อชิงจำต้องถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้ง “ไม่เจ็บจริงๆ หรือ?”

ตอนนั้นเฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”

หลังจากประมือกันไปสามครั้ง

ก็กลายมาเป็นเพื่อนกัน

ทั้งเฉินผิงอันและหลิ่วจื้อชิงต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่ว่าไม่มีใครยินดีพูดออกมาก็เท่านั้น

ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยชอบเก็บตัวสันโดษของหลิ่วจื้อชิงแล้ว มีหรือจะยินดีไปช่วยเป็นหน้าม้าให้เฉินผิงอันที่ร้านผีฝูบนถนนเหล่าไหว แถมยังฝืนใจ ฝืนนิสัยของตัวเองลากโครงกระดูกขาวโครงหนึ่งเดินไปบนถนนด้วย?

เวลานี้เบื้องใต้หน้าผาอวี้อิ๋งกลับคืนสู่ทัศนียภาพที่ก้นบ่อน้ำมีประกาย แสงเรืองรอง สิ่งที่สูญหายไปได้กลับคืนมาที่เดิมอีกครั้ง มองดูแล้วน่าประทับใจ เป็นพิเศษ หลิ่วจื้อชิงจึงอารมณ์ดีไม่น้อย

ส่วนเรื่องที่สะพานแห่งความเป็นอมตะของเฉินผิงอันขาดสะบั้น

แม้หลิ่วจื้อชิงจะตื่นตะลึงอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง แต่เขากลับไม่คิดจะถามให้มากความ

หลิ่วจื้อชิงสลายเจียวเพลิงตัวเล็กเรียวยาวสองเส้นที่เกิดจากการรวมตัวกันของอักขระยันต์บนโต๊ะออกไป ถามว่า “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นอะไร ช่วงเวลาที่อยู่บนถนนเหล่าไหวข้าทั้งหาเงิน และรักษาตัวไปพร้อมๆ กัน”

หลิ่วจื้อชิงถามอีก “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าตำราหมัดที่เป็นพื้นฐานวิชาหมัดของเจ้า มาจากแถบตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีปเรา มีเบาะแสเกี่ยวกับมดแดงย้ายหิน ลงน้ำ ตอนนี้ได้คำตอบบ้างหรือยัง?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้เพื่อประหยัดแรงกายแรงใจเวลาหาเงิน จึงป่าวประกาศไปว่าทางร้านจะไม่มีการลดราคาเด็ดขาด เป็นเหตุให้ข้าเสียโอกาส ที่จะพูดคุยกับคนอื่นไปไม่น้อย ค่อนข้างจะน่าเสียดายอยู่สักหน่อย”

หลิ่วจื้อชิงพยักหน้า “สมควรแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างจนใจ

นอกจากประวัติความเป็นมาของตำราหมัดเขย่าขุนเขาเล่มนั้นแล้ว อันที่จริง ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง

นั่นก็คือโศกนาฎกรรมที่ปีนั้นเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยวดับสูญอยู่ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป แต่ไม่ต้องให้เฉินผิงอันไปถาม เพราะย่อมไม่ได้คำตอบใดๆ ตระกูลเซียนแห่งนั้นปิดภูเขาไปหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้ในรายงานข่าวปึกที่ภูตน้ำน้อยซื้อมาจากบนเรือข้ามฟากก็มีข่าวที่เกี่ยวข้องกับภูเขาต่าเจี้ยวอยู่สองสามข่าว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข่าวลือไร้แก่นสารที่เล่าลือกันไปอย่างส่งเดช อีกทั้งเฉินผิงอันยังเป็นแค่ คนต่างถิ่นคนหนึ่ง อยู่ดีๆ ให้ไปถามเรื่องวงในของภูเขาต่าเจี้ยว ย่อมมีเรื่องไม่คาดฝันอย่างคนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิตเกิดขึ้น เฉินผิงอันย่อมต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคิดว่าจะไปเยือนภาคกลางของอุตรกุรุทวีป ไปท่องแม่น้ำใหญ่เส้นที่ไหลผ่านจากตะวันออกจรดตะวันตกของทวีปแล้วไหลลงสู่มหาสมุทรเส้นนั้น ดูสักหน่อย

จุดที่ต้องหลบเลี่ยงอย่างระมัดระวัง แน่นอนว่าต้องเป็นตำหนักนภากาศ หน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวน

หากไม่พูดถึง ‘บัณฑิต’ ซึ่งเป็นร่างจำแลงจากความคิดอันชั่วร้ายที่ถูกหล่อหลอมให้เล็กเท่าเมล็ดงา อันที่จริงหยางหนิงซิ่งผู้นั้นก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มีภาพปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ล้อมวนอยู่รอบกายคนหนึ่ง

แต่ชื่อเสียงของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวนในอุตรกุรุทวีปกลับมีทั้งดีและร้ายปะปนกัน อีกทั้งเวลาทำอะไรก็มักจะเผด็จการและอารมณ์รุนแรงอยู่เสมอ นี่ก็คือปัญหาใหญ่เทียมฟ้า

ดังนั้นการเดินทางไปเยือนแม่น้ำใหญ่ที่เส้นทางยาวไกล การตรวจสอบภูเขาแม่น้ำ ศาลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนของแต่ละแคว้นจึงเป็นสิ่งที่เฉินผิงอันต้องระมัดระวังรอบคอบอย่างยิ่ง

ไม่ว่าอย่างไร หากไม่พูดถึงเรื่องแผนการของลู่เฉิน ในเมื่อนั่นเป็นโชควาสนาในการพิสูจน์มรรคาของเด็กชายชุดเขียวของบ้านตนในอนาคต อีกทั้งเฉินผิงอันยังเคยอนุมานเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมากับชุยตงซานและเว่ยป้อมาก่อน พวกเขาต่างก็คิดว่า เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว สามารถทำได้ ดังนั้นเฉินผิงอันย่อมทุ่มเททำเรื่องนี้อย่างเต็มที่

เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง ชูอีสืออู่พากัน บินออกมา

หลิ่วจื้อชิงชำเลืองตามองแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ย่ำยีวัตถุสวรรค์”

อันที่จริงเขามองออกตั้งนานแล้วว่ากาเหล้าสีชาดใบนั้นคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบหนึ่ง อาศัยการดูภาพปรากฎการณ์ภายนอกของมันครึ่งหนึ่งและการคาดเดาของตัวเองครึ่งหนึ่ง

ส่วนข้อที่ว่ากระบี่บินสองเล่มซึ่งยังมองไม่ออกว่าระดับขั้นสูงเท่าไรนี้มาตกอยู่ ในมือของเฉินผิงอัน แล้วเขาเอ่ยคำว่าย่ำยีวัตถุสวรรค์นั้น ก็ไม่ถือว่าเป็นการใส่ร้าย ‘พี่ชายคนดี’ ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย

หลิ่วจื้อชิงเอ่ยเนิบช้า “ความเร็วของกระบี่บินทั้งสองเล่มนี้ หากผู้ฝึกกระบี่ หล่อหลอมมันจริงๆ จะต้องเร็วมาก น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด และพวกมันก็ไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของเจ้า ข้าไม่รู้ว่าผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเฒ่า ที่เจ้าพูดถึงคนนั้นพลังสังหารเป็นอย่างไร และยังไม่ต้องพูดถึงพรสวรรค์อัน แปลกประหลาดของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของเขา อย่างน้อยความเร็วของกระบี่บินเขาก็ช้ามากจริงๆ หากเจ้ารู้สึกว่ายกเว้นข้าหลิ่วจื้อชิงแล้ว กระบี่บินของ ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในอุตรกุรุทวีปเราล้วนช้าเป็นเต่าคลานเช่นนั้น หลังจากนี้เจ้าก็ต้องเจอเรื่องลำบากใหญ่หลวงแน่ ยามที่ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินตั้งคำสัตย์ว่าจะเข่นฆ่ากับใครขึ้นมาแล้วล่ะก็ ไม่ได้ออกกระบี่ด้วยแรงสิบส่วนเท่านั้น หลังจากร่ายวิชาอภินิหาร ซึ่งอาจเผาผลาญพลังต้นกำเนิดโดยไม่เสียดายแล้ว สิบสองส่วนก็ยังเป็นไปได้”

เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมา กระบี่บินจิ๋วสองเล่มหนึ่งขาวหิมะหนึ่งเขียวมรกตก็พากันมาลอยอยู่กลางฝ่ามือของเขา สายตาของเขาทอดมองไปยังชูอีที่มีชื่อเดิมว่าเสี่ยวเฟิงตู “ช่วงแรกเริ่มสุด ข้าอยากหลอมมันให้กลายเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตนอกเหนือจาก ห้าธาตุ หากโชคดีทำสำเร็จ ไม่กล้าพูดว่าจะดีเท่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของ ผู้ฝึกกระบี่ แต่เทียบกับสภาพการณ์ในตอนนี้ แน่นอนว่าย่อมแข็งแกร่งกว่ามาก เพราะคนที่มอบมันให้ข้า ข้าไม่ระแวงแคลงใจในตัวเขา เพียงแต่ว่ากระบี่บินเล่มนี้ ไม่ค่อยเต็มใจนัก แค่ยินดีติดตามข้าไป คอยอยู่อาศัยในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เท่านั้น และข้าก็ไม่อยากจะบังคับมัน แล้วนับประสาอะไรกับที่คิดจะบังคับก็ทำไม่ได้ด้วย”

เส้นสายตาของเฉินผิงอันขยับเบี่ยงมามองกระบี่บินสืออู่ “เล่มนี้ ข้าชอบมาก คนที่ทำการค้ากับข้า ข้าเองก็ใช่ว่าไม่เชื่อใจเขา ตามหลักแล้วสามารถพูดได้ว่า ไม่มีความกังขาในตัวเขาเลย แต่ข้าก็กลัว กลัวหนึ่งในหมื่นนั้น ดังนั้นจึงรู้สึกผิดต่อมันมาโดยตลอด”

หลิ่วจื้อชิงเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “การหลอมกระบี่บินที่เซียนกระบี่ทิ้งไว้ ยิ่งระดับขั้นสูงเท่าไรก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น ข้าจะพูดแค่เรื่องเดียว เจ้ามีช่องโพรงลมปราณสำคัญที่เหมาะจะให้พวกมันพักพิง บำรุงความอบอุ่นและเติบโตหรือ? หากเรื่องนี้ ทำไม่ได้ เรื่องอื่นก็ไม่ต้องหวัง นี่ไม่เกี่ยวกับว่าเจ้าหาเงินเทพเซียนมาได้มากน้อยเท่าไร หรือมีวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินมากน้อยเท่าไร เหตุใดผู้ฝึกกระบี่ถึงมีราคาแพงที่สุด ในโลก คำกล่าวนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”

เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “มี แถมยังมีถึงสามแห่งด้วย”

หลิ่วจื้อชิงพลันเอ่ยว่า “คนแซ่เฉิน เจ้าช่วยสอนข้าด่าคนหน่อยสิ!”

เฉินผิงอันโบกมือ “ข้าคนนี้ วิชาหมัดยังถือว่าพอมีน้ำหนักอยู่บ้าง แต่กลับด่าคนตำหนิคนไม่เป็นที่สุด”

หลิ่วจื้อชิงลุกขึ้นยืน “ไม่มีอะไรให้คุยแล้ว ไปล่ะ”

เฉินผิงอันเองก็ลุกตาม เขาหุบรอยยิ้ม ถามว่า “หลิ่วจื้อชิง ก่อนเจ้าจะกลับไปชำระล้างกระบี่ที่ตำหนักจินอู ข้ายังอยากถามเจ้าเรื่องสุดท้าย”

หลิ่วจื้อชิงกล่าว “เชิญพูดมาได้เลย”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “เจ้าอาศัยอะไรถึงจะต้องให้ทุกเรื่องในตำหนักจินอูสมดังใจปรารถนาของเจ้า?”

หลิ่วจื้อชิงเงียบงันไม่ตอบคำถาม

เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนจะชำระล้างกระบี่ เจ้าควรจะคิดให้กระจ่างเสียก่อนจึงจะดี”

หลิ่วจื้อชิงคลี่ยิ้ม “ง่ายมาก ขอแค่ข้าชำระล้างกระบี่สำเร็จ ตำหนักจินอูก็จะมี ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ได้รับความยากลำบากจาก การชำระล้างกระบี่ของข้า ในอนาคตก็จะได้เสวยสุขจากการมีก่อกำเนิดคอยปกป้อง”

เฉินผิงอันเบ้ปาก “ผู้ฝึกกระบี่ทำอะไรตรงไปตรงมาดีจริงๆ”

หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นจะให้เอาอย่างเจ้า วันๆ นั่งอาบแดดอยู่ หน้าประตูร้าน แล้วก็มาเก็บก้อนหินในลำธารอย่างนั้นหรือ?”

เฉินผิงอันโบกมือ “ไสหัวไปเถอะ เห็นเจ้าแล้วก็รำคาญ พอคิดถึงว่าเจ้าอาจจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ยิ่งรำคาญเข้าไปใหญ่ วันหน้าหากได้ประมือกันอีกครั้ง จะยังให้เซียนกระบี่หลิ่วอย่างเจ้ากินดินอีกได้อย่างไร”

หลิ่วจื้อชิงหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าน่ะหรือรำคาญ? หินไข่ห่านในน้ำของ หน้าผาอวี้อิ๋ง เดิมทีเป็นหินที่มีราคาแค่ไม่กี่ร้อยตำลึงเงิน แต่เจ้าก็ขายได้ราคาสูง เทียมฟ้าตั้งหนึ่งหรือสองเงินเกล็ดหิมะไม่ใช่หรือ? ข้าว่าเจ้าเองก็น่าจะคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่า จะยังไม่รีบร้อนขายหินไข่ห่านสี่สิบเก้าก้อนนั้นก่อน เอาเก็บไว้ รอให้ได้ราคา ดีแล้วค่อยขาย ทางที่ดีที่สุดรอให้ข้าเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดแล้วค่อยเอาออกมาขายมากกว่ากระมัง?”

เฉินผิงอันหัวเราะร่าเสียงดัง “เจ้าไม่เรียนรู้การทำการค้าจากข้า ช่างน่าเสียดายจริงๆ เป็นคนที่สั่งสอนได้ เป็นคนที่สั่งสอนได้”

ในขณะที่หลิ่วจื้อชิงเตรียมจะขี่กระบี่เดินทางไกล เฉินผิงอันก็พลันเอ่ยว่า “มีคำแนะนำเล็กๆ ที่ไม่เก็บเงินให้แก่เจ้า ไปถึงตำหนักจินอูแล้วอย่าเพิ่งรีบร้อน ชำระล้างกระบี่ สามารถเป็น…นักบัญชีดูก่อนได้ เอาสำเนาของทำเนียบวงศ์ตระกูลศาลบรรพจารย์มาวางไว้ข้างมือเล่มหนึ่ง จากนั้นก็มองดูตำหนักจินอูผ่านทางยอดเขาของตัวเองเงียบๆ ไปสักปีครึ่งปี มองดูการกระทำและคำพูดของผู้ฝึกตนทุกคนอยู่ไกลๆ ใครพูดอะไร ใครทำอะไรบ้าง ล้วนจดเอาไว้ แล้วเอามาเปรียบเทียบกับ ชาติกำเนิดแรกเริ่มสุดกับขอบเขตปัจจุบันของพวกเขาดู คิดให้มากหน่อยว่าทำไม พวกเขาถึงต้องพูดอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ยิ่งเจ้ามองดูอยู่นานเท่าไรมากเท่าไร ก็จะยิ่งเรียบเรียงความคิดและเส้นสายในหัวใจของคนได้ชัดเจนมากเท่านั้น เหมือนเทพ มองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือ ในอนาคตเมื่อเจ้าลงมือชำระล้างกระบี่ ก็น่าจะยิ่งราบรื่นมากกว่าเดิม”

หลิ่วจื้อชิงพยักหน้ารับ “ตกลง”

เฉินผิงอันโบกมือลา “ขออวยพรล่วงหน้าให้เซียนกระบี่หลิ่วชำระล้างกระบี่ที่ดีเล่มหนึ่งออกมาได้”

หลิ่วจื้อชิงถาม “เจ้าจากไปแล้ว ร้านที่ถนนเหล่าไหวจะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไหว้วานลูกศิษย์คนใดของซ่งหลานเฉียวหรือผู้ฝึกตนคนใดของเรือนเย่ฉ่าวก็ได้แล้ว ส่วนแบ่งเก้าต่อหนึ่ง สมบัติอาคมไม่กี่ชิ้นที่ข้าทิ้งไว้ในร้าน มีมงกุฎทองเล็กใหญ่ที่เป็นคู่อยู่คู่หนึ่ง แล้วก็มีเก้าอี้มังกรของเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นหนึ่งตัว ถึงอย่างไรราคาก็ตายตัวอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นพอกลับมาถึงร้าน ตรวจสอบสินค้าดูก็รู้แล้วว่าควรได้เงินเทพเซียนมากน้อยเท่าไร หากข้าไม่อยู่ร้านแล้วของหายหรือถูกขโมยไป คิดดูแล้วทางสวนน้ำค้างวสันต์ก็น่าจะชดใช้ให้ในราคาเดิม

สรุปก็คือข้าไม่ต้องกลัดกลุ้ม จะน้ำท่วมหรือมีภัยแล้งก็รับประกันว่าต้องได้ผล เก็บเกี่ยวแน่นอน”

ส่วนวัตถุอย่างพวกชุดคลุมอาคมสีม่วงนั้น เฉินผิงอันไม่มีทางขาย

วัตถุตระกูลเซียนประเภทนี้ค่อนข้างจะมีความพิเศษ หาได้ยากอย่างถึงที่สุด คล้ายคลึงกับเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหาร ส่วนใหญ่แล้วราคามักจะเพิ่มขึ้นสูงเรื่อยๆ แต่กระนั้นก็ยังหาซื้อได้ยาก วันหน้าเมื่อมีคนมากขึ้นในภูเขาลูกต่างๆ ซึ่งรวมถึงภูเขาลั่วพั่ว มีแต่จะเจ็บใจว่ามีของประเภทนี้น้อยเกินไป

หลิ่วจื้อชิงพลันมีสีหน้าลังเล

เฉินผิงอันจึงเอ่ย “ถูกใจชิ้นไหน? สหายส่วนสหาย การค้าส่วนการค้า อย่างมากสุด ข้าสามารถแหกกฎลดราคาให้เจ้าได้…แปดส่วน ลดมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”

หลิ่วจื้อชิงยิ้มกล่าว “ภาพเทพหญิงบนกระดาษไขของนครปี้ฮว่าชายหาดโครงกระดูกมีอยู่ตั้งหลายชุด เจ้าขายในร้านด้วยราคาสองเหรียญเงินร้อนน้อย แต่ก็ดูเหมือนว่า จะมีเก็บเอาไว้อีกไม่น้อย เจ้ายกให้ข้าสักชุดหนึ่งเป็นอย่างไร? พูดเรื่องเงินทองทำลายมิตรภาพ ลดแปดส่วนไม่แปดส่วนอะไรกัน ข้าไม่ซื้อ เจ้ายกให้ข้าก็พอ”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปยังทิศทางของถนนเหล่าไหว “อยู่ไกลมากเลยล่ะ”

หลิ่วจื้อชิงหลุดหัวเราะพรืด “ข้าสามารถไปเอาที่ร้านผีฝูด้วยตัวเองได้ คราวหน้าเจ้าก็จำไว้ว่าต้องเปลี่ยนกุญแจลูกใหม่ด้วย”

เฉินผิงอันทอดถอนใจหนึ่งที ก่อนจะหยิบเอาภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็มที่อยู่ในวัตถุจื่อชื่อออกมามอบให้กับหลิ่วจื้อชิงพร้อมกับกล่องบรรจุ

หลิ่วจื้อชิงเก็บไว้ในชายแขนเสื้ออย่างพึงพอใจ

สาวงามทัศนียภาพที่งดงาม สุราดีชารสเลิศ เขาหลิ่วจื้อชิงล้วนชื่นชอบ สาวใช้หลายสิบคนที่อยู่บนยอดเขาหรงจู้ของเขานั้นล้วนมีหน้าตางดงามโดดเด่น แต่ก็ แค่เอาไว้มองให้สบายตาเท่านั้น อีกอย่างหากยอดเขาหรงจู้ไม่รับพวกนางไว้ ด้วยหน้าตาและพรสวรรค์อันดาษดื่นของพวกนาง หากตกไปอยู่ในเงื้อมมือของ ฮูหยินเจ้าของตำหนักที่เป็นศิษย์หลานของเขาคนนั้นก็หนีไม่พ้นได้ไปเพิ่มริ้วคลื่นสายฟ้าให้แก่บ่อสายฟ้าในวันใดวันหนึ่งเท่านั้น

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “อันที่จริงข้ายังมีผลงานที่ผังซานหลิ่งภาคภูมิใจที่สุดอยู่อีกสองชุด เทียบกับภาพฉบับเติมเต็มที่ถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอกแล้วก็ยังมีความต่าง ราวก้อนเมฆกับดินโคลนอยู่ดี”

หลิ่วจื้อชิงส่ายหน้า “เจ้าเก็บไว้เถอะ วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของผู้อื่น”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาสองนิ้วแล้วถูเข้าด้วยกันเบาๆ

หลิ่วจื้อชิงคำรามเดือดดาล “ไม่มีเงิน!”

เฉินผิงอันเก็บมือลงไป ยิ้มกล่าวว่า “ภาพเทพหญิงสองชุดนั้นไม่อาจมอบให้เจ้า ได้จริงๆ แต่วันหน้ารอให้ข้าได้กลับไปที่สำนักพีหมาจะลองคุยกับท่านอาจารย์ผังดู ดูสิว่าจะขอให้ท่านผู้อาวุโสจับพู่กันวาดให้ได้หรือไม่ หากสำเร็จ ข้าจะส่งไปให้ที่ ยอดเขาหรงจู้ตำหนักจินอู หากไม่สำเร็จ เจ้าก็คิดเสียว่าไม่มีเรื่องนี้แล้วกัน”

หลิ่วจื้อชิงขี่กระบี่ไปจากหน้าผาอวี้อิ๋ง

ส่วนเฉินผิงอันก็เรียกเรือยันต์ลำเล็กออกมา ย้อนกลับไปยังทะเลไผ่

ตลอดทั้งคืน ส่วนที่เดินนิ่งก็เดินนิ่ง ส่วนที่ฝึกตนก็ฝึกตน นี่ต่างหากจึงจะเรียกได้ว่าหนึ่งใจใช้สอง ไม่ถ่วงเวลาของทั้งสองเรื่องอย่างแท้จริง

กลางดึก เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่วางลงบนโต๊ะ หยิบเจี้ยนเซียนออกมาจากหีบไม้ไผ่ แล้วก็หยิบวัตถุสิ่งหนึ่งออกมาจากกระบี่บินสืออู่ ก่อนจะใช้ความเร็วประหนึ่งฟ้าผ่าไม่ทันป้องหูชักกระบี่ออกจากฝักแล้วฟันฉับลงไป แบ่งหินลับกระบี่ ทรงยาวก้อนหนึ่งออกเป็นสองท่อน ชูอีกับสืออู่ลอยตัวอยู่ด้านข้าง ท่าทางลิงโลดกระเหี้ยนกระหือรือ แขนข้างที่ถือกระบี่ของเฉินผิงอันชาไปทั้งแถบ สูญเสียความรู้สึกไปชั่วขณะ แต่กระนั้นเขาก็ยังรีบยกกระบี่ขึ้นมา เบิกตากว้าง เพ่งมองคมกระบี่ อย่างละเอียด เห็นว่าไม่มีรอยบิ่นหรือตำหนิใดๆ ถึงได้ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มทำการหลอมเล็กให้กับแท่นสังหารมังกรทั้งสองก้อน คิดว่าจะเก็บพวกมันใส่ไว้ในช่องโพรงลมปราณสองช่อง ให้ชูอีกับสืออู่ออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้วใช้มันลับคมกระบี่ ค่อยๆ กินแท่นสังหารมังกรสองก้อนที่ แยกจากกันนี้ไปทีละนิด

แท่นสังหารมังกรก้อนนี้คือก้อนที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาหินลับกระบี่สามก้อนที่ พี่สาววิญญาณกระบี่มอบให้หลังจากปรากฎตัวที่นครมังกรเฒ่า

ที่ผ่านมาเขาไม่เคยตัดใจให้ชูอีกับสืออู่กินมันได้ลง

ทว่าตอนนี้ในเมื่อเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนอย่างแท้จริงแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังตัดสินใจแล้วว่าจะหลอมทั้งชูอีและสืออู่ให้กลายเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ที่ร่วมเป็นร่วมตายกับตนไปพร้อมกัน จึงไม่จำเป็นต้องมีความลังเลใดๆ อีก

จากการประมือกับหลิ่วจื้อชิงที่เป็นคอขวดโอสถทอง เฉินผิงอันรู้สึกว่าวิชา อันเป็นสมบัติก้นกรุของตนยังขาดบางอย่างไป ยังไม่พอ อยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอ

ทักษะมากไม่กลัวว่าจะทับตัวตาย

แม้แต่การใช้ยันต์ก็ยังสามารถนำมาทำเป็นเวทอำพรางตาชั้นหนึ่งได้

สวมชุดคลุมอาคม ในชายแขนเสื้อซ่อนยันต์ทั่วไปไว้ปึกใหญ่ แสร้งทำตัวเป็นผู้ฝึกตน ที่หวังใช้ยันต์จำนวนมากเอาชนะศัตรู

พอต่อสู้ประชิดตัวก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง

ในช่วงเวลาที่เข่นฆ่ากันก็คอยประเมินสถานการณ์เพื่อรับการเปลี่ยนแปลง แล้วค่อยหาโอกาสเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ บวกกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม ที่ความเร็วถูกเลื่อนระดับให้สูงขึ้น ทำให้อีกฝ่ายหลบพ้นชูอี แต่หนีไม่พ้นสืออู่

สุดท้ายจึงจะเป็นเจี้ยนเซียนเล่มนั้น

ในช่วงเช้าตรู่ เฉินผิงอันก็ไปเยือนที่ถนนเหล่าไหวมารอบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้ เปิดร้านทำการค้า แต่ไปยังร้านเก่าแก่ที่ขายของตกแต่งในห้องหนังสือโดยเฉพาะ แห่งนั้น หาโอกาสไปพูดคุยตีสนิทกับลูกจ้างร้านคนหนึ่ง บอกเรื่องความต้องการในการทำการค้าของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง ลูกจ้างหนุ่มคนนั้นรู้สึกว่าไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร แต่เขายืนกรานอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือจะให้เขาแกะสลักหินไข่ห่านสี่สิบเก้าก้อนที่มาจากหน้าผาอวี้อิ๋งเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่ประณีตงดงามนั้น ย่อมได้ ภายในสามวัน อย่างมากสุดสิบวัน เป็นราคาสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่ไม่สามารถนำไปวางขายไว้ ที่ร้านผีฝู ไม่อย่างนั้นวันหน้าเขาก็อย่าหวังว่าจะทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่บนถนนเหล่าไหวนี่ได้อีก เฉินผิงอันตอบตกลง จากนั้นคนทั้งสองก็นัดหมายกันว่าหลังจากปิดร้านแล้วจะไปคุยกันโดยละเอียดที่ร้านผีฝูอีกครั้ง

จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปเยือนเรือนเย่ฉ่าวที่ค่อนข้างห่างไกลรอบหนึ่ง ได้พบกับ ถังเซียนซือหนึ่งในสองเทพเจ้าแห่งโชคลาภของสวนน้ำค้างวสันต์ คนผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกตนที่มหัศจรรย์คนหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์เช่นกัน แรกเริ่มพรสวรรค์ของเขาไม่โดดเด่นนัก อีกทั้งยังไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสามสายในศาลบรรพจารย์ สุดท้ายเพราะเชี่ยวชาญการทำการค้า อาศัยรายได้จากส่วนแบ่งก้อนใหญ่จึงสามารถฝ่าทะลุขอบเขตครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายจึงกลายเป็นขอบเขตโอสถทอง

อีกทั้งยังไม่มีใครดูแคลนเขา เพราะถึงอย่างไรแต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกตนของ สวนน้ำค้างวสันต์ก็ให้ความสำคัญกับการค้ามาโดยตลอด

แน่นอนว่าถังชิงชิงก็ต้องอยู่ด้วย

แต่เว่ยป๋ายแห่งจวนเถี่ยชางและหญิงชราคนนั้นได้กลับไปยังราชวงศ์ต้ากวานแล้ว

ถังชิงชิงชงชาด้วยตัวเอง ระหว่างที่นั่งพูดคุยอยู่ตรงข้ามกัน ถังเซียนซือผู้นั้น รู้ว่าเซียนกระบี่หนุ่มคิดจะเป็นเถ้าแก่ที่ไม่ดูแลกิจการก็เป็นฝ่ายเสนอให้ผู้ฝึกตนที่ มือเท้าคล่องแคล่วคนหนึ่งไปช่วยงานที่ร้านผีฝู

เฉินผิงอันบอกว่าส่วนแบ่งคือเก้าต่อหนึ่ง ถังเซียนซือจึงยิ้มเอ่ยว่าไม่มีเรื่องดีๆ เช่นนี้หรอก ส่วนแบ่งหนึ่งส่วนนั้นมากเกินไป ก็แค่งานง่ายๆ ที่แค่ไปนั่งรับเงินอยู่ในร้านทุกวันเท่านั้น ไม่สู้ตั้งค่าตอบแทนตายตัวไปเลย เวลาหนึ่งปี ผู้ฝึกตนที่ทางเรือน เย่ฉ่าวส่งไปอยู่ที่ร้านจะรับเงินค่าจ้างแค่สามสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะก็พอ เพียงแต่ เฉินผิงอันคิดว่าอิงตามส่วนแบ่งเก้าต่อหนึ่งค่อนข้างจะสมเหตุสมผลมากกว่า ถังเซียนซือผู้นั้นจึงตอบตกลง แล้วก็เป็นฝ่ายสอบถามอย่างละเอียดว่า หากภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่ทำให้ลูกค้าเสียความรู้สึกและไม่ทำลายชื่อเสียงของร้านบนถนน เหล่าไหว อาศัยฝีปากและความสามารถของตัวเองจนขายของได้ในราคาที่สูงกว่าที่ตั้งเอาไว้ได้ ควรจะคิดอย่างไร เฉินผิงอันจึงบอกว่าให้แบ่งครึ่งจากส่วนของราคาที่ เพิ่มขึ้นมา ถังเซียนซือยิ้มพลางพยักหน้ารับ จากนั้นก็ลองหยั่งเชิงเซียนกระบี่หนุ่มว่าจะอนุญาตให้ลูกจ้างที่ทางเรือนเย่ฉ่าวส่งตัวไปอยู่ร้านผีฝูในอนาคตสามารถเพิ่มราคาจากเดิมไปหนึ่งถึงสองส่วนได้หรือไม่ ลูกค้าจะได้หั่นราคาได้ แต่เส้นบรรทัดฐาน ของราคาที่ถูกหั่นย่อมไม่ต่ำกว่าราคาที่เซียนกระบี่หนุ่มตั้งไว้ตอนนี้ เฉินผิงอันยิ้ม บอกว่าเป็นอย่างนี้ได้ย่อมดีที่สุด เป็นตนที่มีสายตาตื้นเขินในการทำการค้า มอบให้เรือนเย่ฉ่าวเป็นผู้ดูแลก็คือการเลือกที่ดีที่สุดอย่างแท้จริง

ดื่มชาและพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกันเสร็จ ก็พูดคุยกันอย่างมีมารยาทด้วยถ้อยคำทำนองว่าเจ้าบอกว่าข้าดี ข้าบอกว่าเจ้าดียิ่งกว่าอีกครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็ขอตัวลาจากมา

ถังชิงชิงและบิดาของนางยืนอยู่นอกประตูใหญ่ นางถามอย่างคลางแคลง “ท่านพ่อ เรื่องบนเรือข้ามฟาก ข้าเล่าให้ท่านฟังครบถ้วนชัดเจนแล้ว อีกทั้งตอนนี้ สวนน้ำค้างวสันต์ก็ให้ความสำคัญกับเขาขนาดนั้น แถมเขายังเป็นยอดฝีมือที่สามารถทำให้เซียนกระบี่หลิ่วออกจากหน้าผาอวี้อิ๋งไปเชิญให้เขาดื่มชาถึงที่จวนจิงเจ๋อ วันนี้เขามาหาพวกเราถึงที่ ดื่มน้ำชาของพวกเรา นี่ถือเป็นเกียรติยิ่งใหญ่เพียงใด เหตุใดท่านพ่อถึงยังต้องคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้? หากผูกมิตรกับเขาได้ อีกทั้งบ้านเราก็ ไม่ขาดแคลนเงินเทพเซียน ก็แค่เหมาของในร้านมาทั้งหมดโดยตรงก็สิ้นเรื่องแล้ว ไม่ใช่หรือ เขาได้เงินก้อนใหญ่ พวกเราแค่เสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่ถือว่า เป็นการค้าที่ขาดทุนอะไร แบบนั้นจะไม่ยิ่งดีกว่าหรอกหรือ?”

บุรุษส่ายหน้า “ใต้หล้านี้ไม่มีใครทำการค้าเช่นนี้ หากเซียนกระบี่หนุ่มตั้งท่าว่า จะมาเอาเงินถึงบ้านพวกเรา พ่อย่อมให้เขา แถมยังจะให้เป็นเงินก้อนใหญ่ด้วย จะไม่ขมวดคิ้วแม้สักครั้ง ถือเสียว่าจ่ายเงินฟาดเคราะห์ไป แต่ในเมื่อเขามาทำการค้ากับเรือนเย่ฉ่าวของพวกเรา ถ้าอย่างนั้นก็ควรต้องทำตามกฎของแต่ละฝ่าย ทำแบบนี้จึงจะยืนยาวได้อย่างแท้จริง ไม่มีทางเปลี่ยนเรื่องดีให้กลายเป็นเรื่องร้าย”

บุรุษเห็นว่าบุตรสาวของตนยังไม่เข้าใจอย่างกระจ่าง ก็ยิ้มกล่าวว่า “นอกจากสถานการณ์ที่ร่ำรวยเป็นเศรษฐีภายในค่ำคืนเดียวที่จะไม่พูดถึงแล้ว การค้าขาย ที่ยาวนานทุกอย่างบนโลกใบนี้ คนทำการค้าหลากหลายรูปแบบ วิธีการหาเงิน สารพัดรูปแบบ ล้วนมีจุดหนึ่งที่เชื่อมโยงถึงกัน”

บุรุษหยิบเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งที่ธรรมดาที่สุดในราชวงศ์ล่างภูเขาออกมาจากชายแขนเสื้อ เขาเก็บรักษามันไว้อย่างดีมานานหลายปี บุรุษวางมันไว้บนฝ่ามือ “นั่นคือให้ความเคารพวัตถุสิ่งนี้อย่างมาก”

จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปเยี่ยมเยือนหญิงชราคนหนึ่ง นางคืออาจารย์ผู้มีพระคุณของซ่งหลานเฉียวโอสถทองบนเรือข้ามฟาก หญิงชราก็เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองเช่นเดียวกัน แต่ว่ายังมีที่ว่างให้นางในศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ ทว่าซ่งหลานเฉียว กลับไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ พูดง่ายๆ ก็คือยามที่ศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์คิดจะปรึกษาเรื่องสำคัญกัน หญิงชราและคนอีกแปดคนซึ่งรวมถึง บรรพจารย์ถานหลิงจะมีเก้าอี้ให้นั่ง บิดาของถังชิงชิงก็มีที่นั่งเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าค่อนไปทางด้านหลัง แต่ซ่งหลานเฉียวกลับได้แต่ยืนเท่านั้น

หญิงชราเห็นเซียนกระบี่หนุ่มมาเยือน รอยยิ้มก็ค่อยๆ ผลิกว้าง รั้งตัวเฉินผิงอันไว้พูดคุยนานเกินครึ่งชั่วยาม เฉินผิงอันเองก็ไม่รีบไม่ร้อน จนกระทั่งหญิงชราเปิดปากด้วยตัวเองว่าไม่รบกวนเวลาการฝึกตนของเซียนกระบี่เฉินแล้ว เฉินผิงอันถึงได้ลุกขึ้นบอกลา

ของขวัญที่นำมาเยี่ยมเยือนหญิงชราคือวัตถุวิเศษชิ้นหนึ่งที่ไม่มีวางขายในร้านผีฝู ไม่ดาษดื่น แต่ก็ไม่มีราคามากนัก ทว่ามองดูแล้วกลับชวนให้คนชื่นชอบอยู่มาก

หญิงชราอยากจะมอบของขวัญกลับคืนให้ แต่ถูกเฉินผิงอันปฏิเสธอย่างละมุนละมอม บอกว่าหากผู้อาวุโสทำเช่นนี้ คราวหน้าก็คงไม่กล้ามาเยือนมือเปล่าแล้ว หญิงชราหัวเราะอย่างเบิกบานใจ แล้วถึงได้ยอมล้มเลิกความคิด

รอจนเฉินผิงอันกลับมาถึงถนนเหล่าไหวก็เลยเที่ยงวันมาแล้ว เขาจึงเปิดประตูใหญ่ ทำการค้า ยังคงนั่งอาบแดดอยู่บนม้านั่งตัวเล็กเช่นเดิม

การค้าค่อนข้างจะซบเซา

คนแวะเวียนไปมา มองดูเหมือนคึกคัก ทว่าหนึ่งชั่วยามถึงจะมีการค้าเกิดขึ้นหนึ่งครั้ง เงินเข้าบัญชีหกเหรียญเกล็ดหิมะ คือผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่มาซื้อของในห้องสตรีของเผ่าพันธุ์ตำหนักจันทราตัวนั้นไปหนึ่งชิ้น นางโยนเงินเทพเซียนไว้บนโต๊ะคิดเงินแล้ว พอออกจากประตูไปก็รีบสาวเท้าเดินอย่างเร่งร้อน

ทำเอาเฉินผิงอันไม่กล้าพูดว่าคราวหน้ามาเยือนใหม่

เฉินผิงอันเริ่มรู้สึกเสียใจแล้วที่ไม่ได้ลากหลิ่วจื้อชิงมาทำหน้าที่เป็นลูกจ้างร้าน

เซียนกระบี่ใหญ่หลิ่วยังกล้าขอภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็มชุดหนึ่งไปเปล่าๆ แล้วทำไมเขาถึงได้ไม่กล้าขอให้เขามาช่วยหาเงินเข้าร้านบ้างล่ะ?

นี่เป็นการช่วยเจ้าหลิ่วจื้อชิงฝึกฝนจิตใจหรอกนะ

ยามสนธยามาเยือน ลูกศิษย์ของร้านเก่าแก่คนนั้นสาวเท้าเร็วๆ ก้าวตรงมา เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นไปแขวนป้ายปิดร้าน หยิบหินไข่ห่านสี่สิบเก้าก้อนออกมาจาก ห่อสัมภาระใบหนึ่ง วางกองไว้จนเต็มโต๊ะคิดเงิน

คนหนุ่มผู้นั้นกลืนน้ำลาย ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “เป็นของจากหน้าผาอวี้อิ๋งจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ ไม่ใช่ของร้อนลวกมือหรอก ส่วนข้อที่ว่า ได้มาอย่างไร เจ้าก็อย่ารู้เลย เจ้ารู้แค่ว่า ข้าเป็นคนที่มีร้านไร้ขาอยู่บนถนนเหล่าไหวแห่งนี้หนึ่งร้าน อีกทั้งยังมีของล้ำค่ามากมายขนาดนี้วางอยู่ในร้าน เจ้าคิดว่าเพื่อเงินเทพเซียนเล็กน้อยแค่นี้ ข้าจะกล้าไปหยั่งเชิงว่ากระบี่บินของเซียนกระบี่ใหญ่หลิ่ว เร็วหรือไม่เร็วอย่างนั้นหรือ?”

คนหนุ่มพรูลมหายใจโล่งอก

เขาหยิบหินไข่ห่านก้อนหนึ่งมาลองชั่งน้ำหนัก พินิจพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นก้อนหินในน้ำพุวิเศษของหน้าผาอวี้อิ๋ง เนื้อหินแวววาวใสกระจ่างผิดจากที่อื่น อีกทั้งยังชุ่มชื้นอบอุ่น ไม่มีกลิ่นอายเปลวเพลิงที่ยากจะกำจัดให้เกลี้ยงเหมือนหินหยกบนภูเขาทั่วไป เป็นของดีทุกก้อนเลยจริงๆ หากอยู่ในสายตาของช่างล่างภูเขา เกรงว่าคงต้องเอ่ยประโยคหนึ่งว่าหินงามมิอาจแกะสลัก อย่างแน่นอน

เถ้าแก่ การค้าครั้งนี้ข้ารับทำแล้ว หลายปีมานี้กว่าจะเล่าเรียนจนได้วิชาดีๆ มาจากอาจารย์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแต่ว่าของดีบนภูเขานั้นหาได้ยาก อีกทั้งร้าน ของพวกเราก็สายตาสูง อาจารย์ไม่ยินดีจะย่ำยีของดี ดังนั้นจึงชอบลงมือด้วยตัวเอง แค่ให้พวกเราคอยสังเกตลูบคลำดูอยู่ด้านข้างเท่านั้น ลูกศิษย์อย่างพวกเราก็อับจนหนทาง คราวนี้สามารถนำมาฝึกซ้อมมือได้พอดี…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ คนหนุ่มก็มีท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร ความจริงที่ต่อให้จะไม่น่าฟังแค่ไหนก็ยังเป็นความจริง หวังเพียงว่าเจ้าเอาไปซ้อมมือแล้วจะทุ่มเทและตั้งใจให้มากหน่อย เพราะถึงอย่างไรก้อนหินในบ่อเก่าแก่ของหน้าผาอวี้อิ๋งก็มีเพียงเท่านี้แล้ว หากเจ้าแกะเสียหนึ่งก้อน ก็น้อยลงไปหนึ่งก้อน”

คนหนุ่มใช้สองนิ้วประกบกัน บิดข้อมือหนึ่งครั้ง สีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วย ความมั่นใจ เขาตบอกพูดรับรองกับเถ้าแก่หนุ่มว่า “นี่คือผลงานชิ้นแรกๆ นับตั้งแต่ ข้าเข้ามาในวงการนี้ รับรองว่าจะไม่ทำเป็นเล่นแน่นอน”

เฉินผิงอันฟุบตัวลงบนโต๊ะคิดเงิน ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะยกหินไข่ห่านก้อนแรกให้เจ้า ถือว่าเป็นการอวยพรให้กับช่างน้อยสวี่ที่ได้แสดงฝีมือเป็นครั้งแรก”

คนหนุ่มกล่าวอย่างเขินอาย “แบบนี้คงไม่ค่อยดีเท่าไร”

เฉินผิงอันชี้ไปยังหินไข่ห่านคู่นั้น แล้วยิ้มกล่าวว่า “เลือกไปสักก้อนหนึ่ง แต่ต้องรับปากกับข้าว่า หลังจากแกะสลักหินไข่ห่านก้อนแรกที่จะเป็นของเจ้าเสร็จแล้ว ก้อนที่เหลือ การลงมีดหลังจากนั้นก็ต้องระวังและตั้งใจด้วย”

คนหนุ่มหน้าแดงก่ำ “เถ้าแก่วางใจได้เลย! รับรองว่าข้าจะตั้งใจอย่างเต็มที่ทุกก้อน และจะต้องทำสำเร็จทุกก้อน! ไม่แน่ว่าอาจจะมีก้อนสองก้อนที่เหมือนฝีมือของเทพเจ้า สรุปก็คือจะไม่ทำให้เถ้าแก่ร้านผีฝูรู้สึกว่าไหว้วานผิดคนเด็ดขาด”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

การแกะสลักก้อนหินก็เหมือนการขึ้นรูปเครื่องปั้น

พิถีพิถันในเรื่องของฝีมือที่คล่องแคล่วคุ้นเคยเช่นเดียวกัน ทุกเรื่องล้วนยาก ที่การเริ่มต้น

หินไข่ห่านก้อนแรกที่เป็นของคนหนุ่มเอง ขอแค่เขาตั้งใจจริงลงมือทำอย่างเต็มที่ ถ้าอย่างนั้นการลงมีดบนหินไข่ห่านก้อนต่อๆ ไปก็จะมีความหมายเหมือนน้ำมา คลองสำเร็จ ต่อให้จะวอกแวกไปบ้าง แต่เมื่อเทียบกับการแกะสลักที่ทำเพื่อการค้าอย่างเดียวก่อนหน้านี้แล้ว โดยภาพรวมรูปลักษณ์ของก้อนหินทั้งหมดก็ยังดีมากกว่า แน่นอนว่าร้านผีฝูก็จะขายได้ในราคาที่สูงกว่าเดิม สามารถชดเชยความเสียหายจากหินไข่ห่านก้อนแรกของหน้าผาอวี้อิ๋งได้อย่างสบายๆ หากไม่ผิดจากที่คาด ร้านผีฝูก็มีแต่จะได้กำไรมากกว่าเดิม

เรื่องราวบนโลกใบนี้ไม่เคยง่าย แค่ต้องดูที่ว่าจะยินดีขัดเกลาหรือไม่

ส่วนการที่มารับงานส่วนตัวจากร้านผีฝูแห่งนี้จะเป็นการทำลายอนาคตของลูกจ้างหนุ่มที่อยู่กับอาจารย์ของเขาหรือไม่

คนของสวนน้ำค้างวสันต์ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นคนฉลาดที่คิดคำนวณเก่งทั้งสิ้น

เฉินผิงอันบอกให้ลูกจ้างหนุ่มหอบเอาหินไข่ห่านพร้อมทั้งห่อผ้ากลับไปด้วยกัน ทุกครั้งที่แกะสลักของตกแต่งในห้องหนังสือมาได้หนึ่งชิ้น ขอแค่ตัวเขาเองหรือให้เพื่อนของเขานำมาส่งที่ร้านผีฝูก็พอ ให้บอกว่าตัวเองเป็นเพื่อนของเถ้าแก่ ถึงเวลานั้นเถ้าแก่คนใหม่จะไม่มีทางทำให้เขาลำบากใจอย่างแน่นอน หรือจะแกะสลักให้เสร็จก่อนหนึ่งชิ้นแล้วค่อยมารับไปต่ออีกหนึ่งชิ้นก็ได้ คนหนุ่มชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียดูแล้วก็รู้สึกว่าอย่างหลังมั่นคงกว่า จึงบอกให้เถ้าแก่หนุ่มที่พูดง่ายผู้นี้วางใจ หากหินไข่ห่านก้อนใดสูญหายไป เขาจะควักเงินตัวเองชดใช้ก้อนละหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ

คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่หนุ่มจะพูดอีกว่า หากทำหายไปแล้วชดใช้ไม่ไหวก็ไม่เป็นไร ขอแค่ฝีมือยังอยู่ ก็สามารถมาพูดคุยปรึกษากับร้านผีฝูได้

คนหนุ่มยิ้มแล้วบอกลาจากไป

เฉินผิงอันยืนอยู่หน้าประตูร้าน มองส่งคนผู้นั้นจากไป

คล้ายจะมองเห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานคนหนึ่งที่วิ่งส่งจดหมายได้รางๆ

จากนั้นวันต่อมา ร้านผีฝูที่แขวนป้ายปิดร้านมาถึงสองวันเต็มก็เปิดประตูร้าน อีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับเปลี่ยนเถ้าแก่คนใหม่แล้ว คนที่สายตาดีหน่อยก็จะรู้ว่าคนผู้นี้มาจากเรือนเย่ฉ่าวของถังเซียนซือ ใบหน้าประดับยิ้มอย่างกระตือรือร้น ต้อนรับขับสู้ลูกค้าอย่างเต็มใจ รอบคอบรัดกุมในทุกๆ เรื่อง อีกทั้งในที่สุดก็สามารถต่อรอง ราคาสินค้าในร้านได้แล้ว

วันนี้เฉินผิงอันที่ยังคงสวมชุดสีเขียวธรรมดาสะพายหีบไม้ไผ่ขึ้นหลัง สวมงอบบนศีรษะ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า บอกกับสาวใช้สองคนของจวนว่าวันนี้เขาจะออกไปจาก สวนน้ำค้างวสันต์แล้ว

ผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของผู้ฝึกตนโอสถทองบอกว่า บรรพจารย์ถาน ให้นำความมาบอกต่อแก่ทางจวนว่า ขอมอบเรือยันต์ลำนั้นให้แก่เซียนกระบี่เฉิน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ

เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณแล้วก็ไม่เกรงใจจริงๆ

เขาเรียกเรือยันต์ออกมา ไปเยือนถนนเหล่าไหวมารอบหนึ่ง ตรงสุดปลาย ของถนนมีต้นไหวโบราณเก่าแก่ที่พุ่มใบหนาดกกินอาณาบริเวณหลายไร่อยู่ต้นหนึ่ง

คนหนุ่มชุดเขียวยืนอยู่ใต้ต้นไหว เขาแหงนหน้ายืนมองมันอยู่นาน

เรื่องราวและผู้คนมากมายในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว สามารถคิดถึง ระลึกถึง อาวรณ์ถึง แต่ไม่อาจย้อนกลับคืนมาได้อีก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!