บทที่ 517 ภูเขาสายน้ำยาวไกล
บุรุษสวมชุดเขียวคนหนึ่งเดินทางผ่านแคว้นหลันฝาง มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปตลอดทาง
แคว้นหลันฝางมีชื่อเสียงด้านดอกกล้วยไม้ที่ล้ำค่า คนทั้งแคว้นเหมือนเสียสติ ที่ไม่เห็นคุณค่าของทองคำ แต่ละครอบครัวมีรากฐานดีหรือไม่ดีก็แทบจะดูแค่ที่ว่า มีดอกกล้วยไม้ที่มูลค่าสูงเทียมฟ้าอยู่กี่ต้นเท่านั้น
นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรที่พิเศษอีก เพียงแต่ว่าก็มีขนบธรรมเนียมบางอย่างที่ทำให้คนจดจำได้ลึกซึ้ง ยกตัวอย่างเช่นสตรีแต่งงานแล้วจะชอบโยนเงินทองลงในแม่น้ำ เพื่อเสี่ยงทายชะตา ชาวบ้านในแคว้นไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจนก็ล้วนชอบปล่อยสัตว์ เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมทั่วทั้งราชสำนัก เพียงแต่ว่าภาพเหตุการณ์ที่ลำน้ำตอนบนปล่อยสิ่งมีชีวิตกันอย่างจริงใจ ส่วนลำน้ำตอนล่างจับปลาจับตะพาบกันอย่างจริงจัง ก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย และยิ่งมีคนลากจูงเรือที่ไม่ว่าจะเป็นชายฉกรรจ์หรือสตรี โตเต็มวัยก็มักจะเปลือยท่อนบน ปล่อยให้แสงแดดสาดส่องแผ่นหลัง รอยเชือก ที่กดทับลึกเหมือนร่องน้ำในผืนนาแตกระแหง และยังมีสถานที่ต่างๆ ที่หากเจอกับ ภัยแล้งหรือน้ำท่วมก็มักจะชอบแห่ราชามังกรกระดาษวนไปรอบถนน แต่กลับไม่ได้เป็นการขอฝนหรือขอไม่ให้ฝนตกจากราชามังกร แต่จะเอาแส้ฟาดโบยใส่ราชามังกรกระดาษอย่างต่อเนื่อง จนกว่ามันจะฉีกขาดยับเยิน
ทางทิศเหนือของแคว้นหลันฝางคือแคว้นชิงสือ ทั้งจักรพรรดิและขุนนาง คนสำคัญล้วนเลื่อมใสลัทธิเต๋า มีอารามเต๋ามากมายดุจก้อนเมฆ สยบกำราบลัทธิพุทธอย่างไร้ความยำเกรง บางครั้งที่เจอวัดก็มักจะมีควันธูปบางเบา
ขยับขึ้นเหนือไปอีกนิดก็คือแคว้นจินเฟยแคว้นใต้อาณัติทางทิศใต้ของ ราชวงศ์ต้าจ้วน ให้ความสำคัญกับวิชายุทธการต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง ในหมู่ชาวบ้าน ร้านตลาดแทบจะมองเห็นคนต่อยตีกันได้ทุกหนแห่ง อีกทั้งยังจริงจังถึงขั้นเห็นเลือด พวกเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งของตระกูลเศรษฐีก็มักจะชอบพกดาบพกธนู จับกลุ่มกัน ควบม้าออกเดินทางไกล รอบกายห้อมล้อมด้วยหญิงคณิกา
ออกล่าเหยื่อไปทั่วทิศราวกับว่ารอบกายไร้ผู้คน จักรพรรดิของแคว้นจินเฟยนั้น มีชาติกำเนิดมาจากสนามรบ ถือเป็นคนที่ใช้อำนาจยึดครองบัลลังก์แย่งชิงเก้าอี้มังกรมาครอง ให้ความเลื่อมใสบู๊กดบุ๋นให้ต่ำ ในราชสำนักจึงมักจะมีขุนนางบุ๋นชั้นสูงที่ถูกต่อยจนหน้าบวมเขียวช้ำถอยออกจากท้องพระโรงกลับบ้านไปพักรักษาตัว
เรื่องเหลือเชื่อของที่อื่น เมื่ออยู่ในสายตาของชาวบ้านแคว้นจินเฟยแล้วกลับเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เรื่องทำนองว่ามหาบัณฑิตถูกถ่มน้ำลายใส่หน้า เจ้ากรมพิธีการที่ปากเอ่ยแต่หลักการเหตุผลอริยะปราชญ์เถียงชนะหมัดเหล็กของแม่ทัพใหญ่ไม่ได้ ฯลฯ ล้วนเป็นได้แค่เรื่องที่คนจะเอามาพูดคุยกันหลังมื้ออาหารเท่านั้น
ตลอดทางมานี้เจอกับฝนโปรยปรายบนสะพานเลียบหน้าผา ม่านฝนเหมือนผ้าม่าน เสียงฝนประหนึ่งเสียงสายลมแผ่วเบาคลอเคล้าด้วยเสียงระฆัง
มีคนตัดฟืนผู้หนึ่งไปเจอกับดอกกล้วยไม้ต้นหนึ่งในเขาลึกโดยบังเอิญก็เต้นแร้งเต้นการาวกับเสียสติ
กลางดึกเสียงแมลงร้องดังระงม แสงจันทร์ประหนึ่งสายน้ำที่ชำระล้างชุดสีเขียว ด้านข้างกองไฟในภูเขา เปลวไฟส่ายสะบัด
กำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูฝนแล้ว
วันนี้เฉินผิงอันเดินช้าๆ อยู่ในป่าเขาชานเมืองของแคว้นจินเฟย สถานที่แห่งนี้ มีเสือจับกลุ่มกันสร้างหายนะ ดังนั้นลูกหลานชนชั้นสูงที่ชอบผดุงคุณธรรมของ แคว้นจินเฟยจึงมักจะมาล่าสัตว์ที่นี่ ตลอดทางที่เดินผ่านมาเฉินผิงอันเห็นกลุ่มคน พกดาบพกธนูออกมาล่าสัตว์กันหลายกลุ่ม พวกเขาไปมาราวกับสายลม อีกทั้ง ส่วนใหญ่ยังอายุไม่มาก ล้วนเป็นเด็กหนุ่ม ในบรรดานั้นก็มีสตรีอายุน้อยอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ท่วงท่าของพวกนางองอาจ แต่ละคนคุ้นเคยกับการขี่ม้ายิงธนู ส่วนพวกผู้ติดตามจะมีอายุมากสักหน่อย แค่มองก็รู้ว่ามีชาติกำเนิดมาจากทหารบนสนามรบ
เมื่อหลายวันก่อนเฉินผิงอันเพิ่งได้เห็นภาพที่ลูกหลานคนรวยของแคว้นจินเฟย กลุ่มหนึ่งจับกลุ่มกันร่ำสุราอยู่ในศาลเทพภูเขา แล้วทิ้ง ‘ผลงานชิ้นเอก’ ขีดเขียนไว้ บนฝาผนังของศาลอย่างสะเปะสะปะ หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่แบก เทวรูปไม้ลงสีสันรูปหนึ่งขึ้นมาบนบ่า พาเดินออกจากประตูใหญ่ของศาล แล้วทุ่ม เทวรูปออกไป ปากก็ตะโกนบอกว่าจะลองประชันพละกำลังแขนกับท่านเทพภูเขา ดูสักหน่อย เทพภูเขาและเทพแห่งผืนดินที่หลบไปหาความสงบอยู่ไกลๆ เห็นภาพนี้ ก็ได้แต่ทอดถอนใจ
ท่ามกลางแสงสนธยา เฉินผิงอันไม่ได้เดินเข้าไปในตัวเมือง แต่เดินออกห่างจากถนนทางหลวง ข้ามภูเขาแม่น้ำ เลียบเส้นทางสายเล็กคดเคี้ยวในป่าเขาเส้นหนึ่ง บางครั้งก็มองเห็นเงาร่างของผู้คน ส่วนใหญ่ล้วนมีเรือนกายปราดเปรียว น่าจะเป็นพวกผู้ฝึกวรยุทธในยุทธภพ เฉินผิงอันที่สวมชุดสีเขียวเหมือนควันเขียวเส้นหนึ่ง ที่ลอยวูบวาบไปตามต้นไม้ พอถึงช่วงค่ำคืน กลุ่มคนบนทางสายเล็กยังคงไม่จุดไฟ กลางดึกเฉินผิงอันพลันหยุดชะงัก ยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง ทอดสายตามองไปไกลก็เห็นว่าบนยอดเขาขนาดใหญ่ยักษ์ที่รอบด้านล้วนเป็นหน้าผาชัน ซึ่งตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวมีแสงไฟสว่างเรืองรอง หลังคาเรือนของสิ่งปลูกสร้างรวมตัวกันอยู่แน่นขนัด มีเพียงสะพานไม้ขึงเส้นเหล็กที่เชื่อมโยงอยู่กับภูเขาใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันเท่านั้นที่สามารถนำพาไปยัง ‘เมืองเล็ก’ บนยอดเขาแห่งนั้นได้ สายลมภูเขายามราตรีพัดโชยพ่าน สะพานทั้งสายก็แกว่งไกวตามไปด้วยเบาๆ
มองดูคล้ายพรรคในยุทธภพที่มีอำนาจไม่น้อย เพราะปราณวิญญาณบริเวณใกล้เคียงบางเบา เมื่อเทียบกับเส้นชายแดนของแคว้นอิ๋นผิงและแคว้นไหวหวงแล้ว ก็แค่ดีกว่าเล็กน้อย ไม่เหมือนพื้นที่ฮวงจุ้ยพิเศษที่เหมาะให้ผู้ฝึกลมปราณมาใช้ฝึกตนใดๆ
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนกิ่งไม้ กัดกินขนมแป้งย่าง ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บรรจุเหล้าของแคว้นหลันฝางไว้หลายสิบจิน ตลอดทางมานี้เขาดื่มเหล้าไม่บ่อย ตอนนี้จึงยังเหลืออยู่อีกเยอะ
เฉินผิงอันเริ่มหลับตาทำสมาธิ ต่อให้ผ่านการหลอมเล็กมาแล้ว แต่แท่นสังหารมังกร ทั้งสองก้อนก็มีพัฒนาการไปอย่างเชื่องช้า ตลอดทางที่ผ่านมาจึงยังไม่อาจหล่อหลอมได้สำเร็จ
โดยไม่ทันรู้ตัว แสงไฟบนยอดเขาฝั่งตรงข้ามก็เริ่มทยอยกันดับลง สุดท้ายเหลือเพียงแสงเรืองรองคล้ายแสงดาวเท่านั้น
ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันลืมตาขึ้น แปะยันต์แบกศิลาที่เรียนมาจากตู้อวี๋แห่ง ตำหนักขวานผีลงไปบนร่างของตัวเอง แล้วฝึกตนต่ออีกครั้ง
การเดินทางขึ้นเหนือ เดินๆ หยุดๆ ไปตามใจปรารถนา ขอแค่ไปถึงแคว้นลวี่อิง ที่อยู่ทางแถบตะวันออกของอุตรกุรุทวีปได้ก่อนจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงก็พอ แคว้นลวี่อิง ก็คือทางเข้าที่แม่น้ำใหญ่สายนั้นไหลลงสู่มหาสมุทร ภูมิประเทศทางภาคกลางของ อุตรกุรุทวีป ตรงกลางจะเป็นเขาสูงตระหง่าน สองฝั่งอย่างตะวันออกและตะวันตก จะลาดเอียงเข้าหาน้ำทะเลอย่างต่อเนื่อง ทางทิศเหนือจะสูงกว่า มีลำคลองขนาดใหญ่หลายสิบสายที่ไหลลงสู่ท้องน้ำของมหานทีเส้นนี้ ก่อให้เกิดภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ ที่หนึ่งสายน้ำใหญ่ได้ครอบครองทางเข้าสู่มหาสมุทรถึงสองทาง
เฉินผิงอันหลอมเล็กแท่นสังหารมังกรสองก้อนได้พอสมควรแล้วก็จำแลงพวกมันเป็นภาพมายาแล้วใส่ไว้ในช่องโพรงลมปราณสองช่องที่ต่างก็เคยมี ‘ปราณกระบี่ กลุ่มเล็ก’ ล้อมวน กระบี่บินชูอีสืออู่ต่างก็แยกกันอยู่คนละช่องโพรง
ทุกครั้งที่กระบี่บินพุ่งเข้าชนแท่นสังหารมังกร คมกระบี่ที่ถูกลับจะเกิดประกายไฟแลบวูบวาบ หัวใจของเฉินผิงอันก็เหมือนถูกมีดคว้าน นี่ก็คือสาเหตุหลักที่ทำให้เขาเดินทางได้ไม่เร็วนัก ระดับความเร็วในการหลอมเล็กของเฉินผิงอันเทียบเท่าได้กับความเร็วในการ ‘กินอาหาร’ อย่างแท่นสังหารมังกรของชูอีกับสืออู่เท่านั้น รอจน พวกมันกินแท่นสังหารมังกรนี้จนหมดถึงจะเรียกว่าเป็นการรองท้องปูพื้นฐาน หลังจากนี้การหลอมชูอีสืออู่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตต่างหากจึงจะเป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งขั้นตอนนั้นต้องอันตรายและผ่านพ้นไปได้อย่างยากลำบากแน่นอน
ทว่าความรู้สึกที่ราวกับเหมือนได้กลับไปถูกคนป้อนหมัดบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วอีกครั้งเช่นนี้กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกมั่นคงมากเป็นพิเศษ
บนสะพานมีเสียงล้อรถบดพื้นถนนของรถใส่ปุ๋ยหลายคันดังแว่วมา ภูเขาสูงที่อยู่อีกแถบหนึ่งของสะพานนี้ได้ถูกบุกเบิกเป็นไร่พืชผักขนาดใหญ่ จากนั้นก็มีกลุ่มคน ที่มาตักน้ำจากธารน้ำภูเขาห่างไปไกลเดินตามมา มีเด็กเล็กหักกิ่งหลิวเดินตามขบวนมาด้วย พวกเขากระโดดโลดเต้น ในมือถือถังน้ำใบเล็กที่ถือไว้พอเป็นพิธีเท่านั้น จากนั้นในหมู่บ้านขนาดเล็กบนยอดเขาก็มีเสียงตวาดเสียงคำรามจากผู้ฝึกยุทธยามที่ฝึกหมัดฝึกดาบดังขึ้นมา
พักอาศัยอยู่บนภูเขา อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่หลีกเลี่ยงธัญพืชทั้งห้า ถึงอย่างไร ก็ยังเป็นปัญหา เงาร่างที่ก่อนหน้านี้ทยอยกันกลับมาถึงหมู่บ้านขนาดเล็กบนภูเขากลางดึก คนส่วนใหญ่ล้วนมีห่อสัมภาระติดตัวมา และระหว่างนี้ก็ยังมีคนที่จูงลา ซึ่งแบกวัตถุหนักข้ามสะพานกลับมาบ้านด้วย
เฉินผิงอันคิดว่าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองวัน พยายามจะใช้คาถาเซียนที่ถอดมาจากอักขระขอฝนบนศิลาของตำหนักปี้โหยวมาหลอมเล็กให้กับแท่นสังหารมังกรทั้ง สองก้อนอย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นค่อยออกเดินทางต่ออีกครั้ง
หลายสิบแคว้นทางทิศเหนือของสวนน้ำค้างวสันต์ซึ่งรวมถึงแคว้นจินเฟยแห่งนี้เป็นหนึ่งในนั้น ล้วนมีราชวงศ์ต้าจ้วนเป็นผู้นำ โชคชะตาบู๊โชติช่วง ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพเดินอาดกันอย่างผึ่งผาย เกินจริงจนถึงขั้นที่ว่ามีผู้ฝึกยุทธหลายร้อยคนร่วมมือกันไปโจมตีตระกูลเซียนบนภูเขา
สถานที่ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางก็มีเพียงตำหนักเกล็ดทองที่มีก่อกำเนิดคนหนึ่งนั่งบัญชาการณ์เท่านั้นที่พอจะถือว่ารอดพ้นหายนะมาได้ เพียงแต่ว่ายามที่ลูกศิษย์ในสำนักลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ก็ยังต้องระมัดระวังตัวอยู่ดี
ตอนแรกที่เฉินผิงอันได้ยินเรื่องนี้จากสวนน้ำค้างวสันต์ก็รู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ อยู่เหมือนกัน เพียงแต่พอเขาได้ยินว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบสี่ท่านของอุตรกุรุทวีป คนหนึ่งในนั้นก็อยู่ในราชวงศ์ต้าจ้วนแห่งนี้ เขาก็เริ่มเข้าใจได้บ้างแล้ว
ตอนนี้อุตรกุรุทวีปมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางอยู่สี่ท่าน คนที่อายุมากสุด เดิมทีก็คือผู้แข็งแกร่งล่างภูเขาที่มีคุณธรรมมีชื่อเสียงสูงส่ง เป็นสหายสนิทกับเซียนกระบี่ บนภูเขาหลายท่าน ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อหลายปีก่อนถึงได้ธาตุไฟเข้าแทรก ผู้ฝึกตน ห้าขอบเขตบนหลายท่านต้องทุ่มเทพละกำลังอย่างมากกว่าจะจับเขาขังไว้ได้สำเร็จ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจลงมือได้อย่างเต็มที่ หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเอาชีวิตของ ผู้ฝึกยุทธผู้เฒ่าโดยไม่ทันระวัง และด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกยุทธเฒ่ายังทำร้ายเทพเซียนลัทธิเต๋าขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งให้บาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ถูกขังอยู่ในจวนเทียนจวินชั่วคราว รอให้เทียนจวินเซี่ยสือกลับมาจากแจกันสมบัติทวีปแล้วค่อยออกคำสั่งว่าจะจัดการ กับเขาอย่างไร
คนที่อายุน้อยที่สุดเพิ่งจะมีอายุได้ร้อยปี คือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูลเซียน ที่มีอักษรจงในชื่อของทางเหนือ ภรรยาคือเซียนกระบี่หญิงที่เพิ่งเลื่อนเป็น ขอบเขตหยกดิบ อันที่จริงทั้งสองฝ่ายอายุห่างกันค่อนข้างมาก คนทั้งคู่กว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ด้วยกันได้ก็ได้ผ่านเรื่องราวอะไรมากมาย
จากนั้นก็คือยอดฝีมือนอกโลกของราชวงศ์ต้าจ้วนที่เป็นดั่งนกกระเรียนป่าโบยบินอยู่ในหมู่เมฆเพียงลำพัง หลายสิบปีที่ผ่านมาเป็นดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง ผู้คนพากันวิจารณ์ไปหลากหลาย บ้างก็บอกว่าเขาตายไปแล้ว ตายอยู่ท่ามกลาง การต่อสู้กับเซียนกระบี่ใหญ่ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าราชวงศ์ต้าจ้วน ปกปิดไว้ได้ดี แล้วก็มีคนบอกว่าเขาไปอยู่ที่ถ้ำสวรรค์ดอกชาแล้ว พยายามจะกระทำเรื่องที่ผิดต่อหลักทั่วไป ใช้ปราณวิญญาณมาหล่อหลอมเรือนกาย เหมือนตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มแล้วใช้ลูกคลื่นของมหาสมุทรขัดเกลาร่างกาย จากนั้นก็จะเปิดฉากเข่นฆ่ากับเซียนกระบี่ใหญ่แห่งภูเขาวานรคำรามที่เพิ่งจะฝ่าทะลุขอบเขตไปเมื่อหกสิบปีก่อน
คนล่าสุดมีประวัติความเป็นมาแปลกประหลาด จำนวนครั้งที่ลงมือมีน้อยมาก ทุกครั้งที่ลงมือ หมัดของเขาแทบจะไม่เคยปลิดชีพใคร แต่กลับไปรื้อศาลบรรพจารย์บนภูเขามาแล้วสองลูก ว่ากันว่าเป็นจวนตระกูลเซียนที่มีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด เฝ้าพิทักษ์อยู่ด้วย ดังนั้นในรายงานข่าวของอุตรกุรุทวีปถึงได้กล้ายืนยันว่าคนผู้นี้คือ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่ลุกผงาดขึ้นมาใหม่ ว่ากันว่ามีความเกี่ยวข้องกับ ยอดเขาสิงโต และหลี่เอ้อร์ชื่อของเขาก็น่าจะเป็นเพียงนามแฝง
ราชวงศ์ต้าจ้วนยังมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดอยู่อีกหนึ่งคน เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ แล้วนับว่าพบเจอได้ค่อนข้างง่าย คือปรมาจารย์ใหญ่ที่เป็นสตรีท่านหนึ่ง แล้วก็เป็น มือกระบี่ท่านหนึ่ง ตอนนี้รับหน้าที่เป็นองค์รักษ์ประจำตัวของฮ่องเต้สกุลโจวแห่งต้าจ้วน ทว่าเส้นทางอนาคตของคนผู้นี้ไม่ค่อยมีใครเห็นดีด้วยนัก เพราะเลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกลได้ก็นับว่าเป็นม้าตีนปลายแล้ว ชีวิตนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะ ไม่มีหวังได้เลื่อนสู่ขอบเขตยอดเขา
พูดง่ายๆ เลยก็คือ เมื่ออยู่ที่นี่ เสียงของผู้ฝึกยุทธในยุทธภพดังที่สุด และหมัด ก็แข็งที่สุด
ตอนนี้อันที่จริงเฉินผิงอันเองก็ยังเข้าใจผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่อยู่นอกภูเขาลั่วพั่วได้ไม่กระจ่างชัดนัก
ซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวที่ตอนนั้นคิดจะประลองกระบี่กับผู้อาวุโสซ่งคือคนแรก
ผู้ที่ออกหมัดลอบโจมตีตนในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นคือคนที่สอง
ข้ารับใช้แซ่เลี่ยวที่อยู่ข้างกายคุณชายน้อยเว่ยป๋ายแห่งจวนเถี่ยชางบนเรือข้ามฟาก คือคนที่สาม
อันที่จริงเฉินผิงอันอยากจะหาผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งมาประลองฝีมือด้วยอย่างมาก น่าเสียดายที่ร่างจำแลงของเกาเฉิงบนเรือข้ามฟากน่าจะเป็น ผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปด แต่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่พลังอำนาจไม่ธรรมดาซึ่งเอากระบี่ปาดคอตัวเองคนนั้น ก่อนที่ศีรษะจะหล่นลงพื้น เขาได้เอ่ยประโยคว่า ‘ขอบเขตหยกดิบ สามคนของสำนักพีหมาไม่คู่ควรที่จะได้รับเกียรติสังหารเขา’ อันที่จริงก็ถือว่า เป็นถ้อยคำที่ห้าวหาญมากทีเดียว
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนพื้นผิวทะเลสาบแห่งหนึ่งของแคว้นจินเฟย เฉินผิงอัน ได้เช่าเรือลำเล็กออกมาตกปลายามค่ำคืน พลางชมศึกการต่อสู้ที่กลิ่นคาวเลือดอบอวลอยู่ไกลๆ
ดูเหมือนว่าจะเป็นการล้อมโจมตีที่มีการวางแผนล่วงหน้ามาไว้นานแล้ว อันดับแรกคือเกิดความขัดแย้งภายในขึ้นบนเรือหอเรือนลำหนึ่งที่จอดอยู่บนทะเลสาบก่อน คนหลายสิบคนแบ่งเป็นสองกลุ่ม ต่างคนต่างถืออาวุธครบมือ สิบกว่าคนในนั้น น่าจะเป็นคนในยุทธภพที่พอจะถือว่าเป็นยอดฝีมือระดับต้นของแคว้นจินเฟยได้ น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าหรือหก ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนแขนขาดขาปลิวหัวกระเด็น จากนั้นก็มีเรือรบของทางการแคว้นจินเฟยเผยตัวเจ็ดแปดลำ แสงไฟ ส่องสว่างเจิดจ้า สะท้อนให้ผิวน้ำทะเลสาบสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน โอบล้อม เรือหอเรือนลำนั้นไว้อย่างแน่นหนา อันดับแรกก็เป็นการยิงห่าธนูจากคันธนู หลายสิบคัน รอจนผู้ฝึกยุทธทั้งสองฝ่ายที่เข่นฆ่ากันล้มกองกลายเป็นศพหลายสิบศพแล้ว คนที่เหลือก็พากันหลบเข้าไปในตัวเรือ เรือรบของทหารใช้ไม้ตบที่ติดข้างลำเรือโจมตีเรือหอเรือนอย่างแรง ระหว่างนี้ก็มียอดฝีมือในยุทธภพที่บาดเจ็บพยายาม จะฝ่าวงล้อมออกมา ไม่ยอมอยู่นิ่งเฉยให้โดนฆ่าตาย เพียงแต่ว่าเพิ่งจะพุ่งออกจาก ตัวเรือ หากไม่ถูกห่าลูกธนูบีบให้ถอยร่น ก็ถูกขันทีเฒ่าสวมชุดหม่างตัวหนึ่งจู่โจม หรือไม่ก็ถูกมือกระบี่หญิงอายุไม่มากคนหนึ่งใช้ปราณกระบี่ฟาดร่างให้ขาดครึ่งท่อน ยังมีแม่ทัพร่างกำยำสวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ท้องเรือ ในมือ ถือทวนเหล็ก ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยลงมือมาก่อน
ยอดฝีมือในยุทธภพบางคนที่แสร้งทำเป็นว่าได้รับบาดเจ็บจึงร่วงลงสู่ทะเลสาบ จากนั้นก็พยายามจะกลั้นหายใจดำหนีไปใต้น้ำก็ยากที่จะรอดพ้นหายนะไปได้ เพราะในน้ำก็น่าจะมีพวกภูตน้ำแฝงตัวคอยฉวยโอกาสโจมตีรออยู่นานแล้ว เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายถูกบีบให้ต้องลอยพ้นผิวน้ำ จากนั้นก็ถูกแม่ทัพบู๊ร่างกำยำ ดึงคันธนูออกมาแล้วไล่ยิงพวกเขาให้ตายไปทีละคน ทุกคนล้วนถูกลูกธนูยิงทะลุศีรษะโดยไม่มีข้อยกเว้น
หลังจากที่เรือทหารของทางการแคว้นจินเฟยขยับเข้ามาใกล้ เฉินผิงอันก็ได้บังคับเรือลำน้อยให้ลอยห่างไปไกลอย่างเงียบเชียบแล้ว
ภาพสุดท้ายทำให้เฉินผิงอันจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
คือสตรีที่เป็นมือกระบี่คนนั้นยืนอยู่บนหัวเรือ นางออกกระบี่ไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นศพ ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำหรือคนที่ได้รับบาดเจ็บแล้วตกลงไปในทะเลสาบ ล้วนถูกนางใช้กระบี่ทิ่มแทงเพื่อนำมันมาชดเชยปราณกระบี่แหลมคมที่สูญเสียระหว่างการต่อสู้
คาดว่าสุดท้ายแล้วคนบนเรือที่อยู่ใจกลางทะเลสาบลำนั้นคงมีคนรอดชีวิตแค่ไม่กี่คน
คนที่รอดชีวิตก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นสายให้กับราชสำนัก
สุดท้ายเฉินผิงอันเห็นว่ามีคนสามคนเดินขึ้นไปยังชั้นบนสุดของเรือรบ กุมหมัดคารวะแม่ทัพบู๊ร่างกำยำที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานคนนั้น
เฉินผิงอันหลับตาลง ทำการหลอมเล็กให้กับแท่นสังหารมังกรต่อไป
ในเรื่องของการฝึกตนนั้น เมื่อก้าวเดินลงไปบนเส้นทางอย่างแท้จริงแล้วก็จะ ค้นพบว่าสิ่งที่ไม่มีค่ามากที่สุดและก็ทั้งมีค่ามากที่สุด ก็คือเวลา
ส่วนเหตุการณ์ในยุทธภพครั้งนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันล้วนไม่มีความคิด ที่จะลงมือ
ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ เฉินผิงอันพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกไปเบาๆ ทอดสายตามองไป บนสะพานปรากฏร่างชายหญิงคู่หนึ่ง หญิงสาวคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่พื้นฐานใช้ได้ อยู่ที่ประมาณขอบเขตสาม บุรุษมีรูปโฉมสุภาพคล้ายลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่มีความรู้อยู่เต็มท้อง ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่แท้จริง สตรีเดินมาบน สะพานแขวนที่แกว่งไกวเบาๆ อย่างเนิบช้า ส่วนบุรุษที่อายุไม่มากแต่กลับดูแก่กว่าวัยนั้นมีท่าทางกังวลใจ พอมาถึงหัวสะพาน สตรีก็กระโดดลงไปเบาๆ แล้วจึงถูกบุรุษ กุมมือเอาไว้
คนทั้งสองจูงมือกันเดินเลียบมาบนทางภูเขา พุดคุยกันเบาๆ สารพัดเรื่อง
เดินตรงมายังทิศทางที่เฉินผิงอันอยู่พอดี
เฉินผิงอันจึงได้ยินเรื่องวงในบางอย่างของราชสำนักและยุทธภพแคว้นจินเฟย
ที่แท้หลายปีมานี้ในยุทธภพไม่ค่อยสงบสุขนัก หลังจากที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันยึดครองบัลลังก์มาได้ ตามคำกล่าวของขุนนางที่เขียนเกร็ดประวัติศาสตร์ของ แคว้นจินเฟย เรื่องแรกที่ฮ่องเต้องค์นี้ทำหลังจากได้นั่งบนบัลลังก์มังกร ก็คือวางดาบพาดไว้บนหัวเข่า จากนั้นก็สั่งให้คนไปนำตัวเชื้อพระวงศ์ที่มีคุณูปการซึ่งดูแลเรื่อง สมุดบันทึกเก้าชั่วโคตรและแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์มาที่ท้องพระโรง ครั้นจึง พลิกเปิดบันทึกบนทำเนียบวงศ์ตระกูลไปทีละหน้า นอกจากจักรพรรดิองค์ก่อนที่ รัดคอฆ่าตัวตายไปแล้ว ชื่อใดถูกเรียกออกมา ด้านนอกท้องพระโรงก็มีจะมีศีรษะหนึ่งหลุดออกจากบ่า หลังจากสังหารกากเดนของราชวงศ์ก่อนจนสิ้นซากแล้ว ภายใน ค่ำคืนเดียวเลือดก็นองเป็นสายน้ำอยู่นอกตำหนัก ทว่าสุดท้ายก็ยังคงมีปลาที่หลุดรอดตาข่ายไปได้ คือบุตรชายคนเล็กของฮ่องเต้องค์ก่อนที่ถูกนางกำนัลพาออกไปจาก วังหลวง จากนั้นภายใต้การปกป้องคุ้มครองจากขุนนางที่จงรักภักดีจึงโชคดีหนีรอดออกไปจากเมืองหลวงได้สำเร็จ นับแต่นั้นมาก็หายไปในกระแสน้ำของยุทธภพ แล้วก็ไม่มีข่าวคราวของเขาอีก จนถึงทุกวันนี้ก็ยังหาตัวไม่เจอ ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ ในยุทธภพมักจะมีโศกนาฎกรรมที่คนทั้งตระกูลถูกฆ่าตายอย่างน่า ประหลาดใจเกิดขึ้นเป็นประจำ อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นพรรคใหญ่สำนักใหญ่ด้วย
ต่อให้เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นการตายจากน้ำมือของศัตรูคู่แค้น ทว่าที่ว่าการ ของแต่ละพื้นที่กลับไม่กล้าสืบสาวเอาความผิด ด้วยกลัวว่าหากไม่ระวังจะเป็นการ ข้ามเข้าไปในบ่อสายฟ้า ไปแตะเกล็ดย้อนของท่านที่อยู่ในเมืองหลวงเข้า ฝ่ายของทางการถูกมัดมือมัดเท้าทำอะไรไม่สะดวก และเดิมทีแคว้นจินเฟยก็เลื่อมใสฝ่ายบู๊ แม่ทัพบู๊ของที่ต่างๆ ก็ยิ่งชอบใช้ข้ออ้างว่ากวาดล้างรังโจร ใช้ศีรษะของคน ในยุทธภพกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ามาฝึกปรือฝีมือ พวกชาวยุทธที่มีกิจการบ้านเรือนอย่าง ถูกทำนองคลองธรรม แน่นอนว่าต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างที่ไม่อาจหาคำ มาบรรยายได้
ยุทธภพมักจะมีเหตุการณ์ที่หากปล่อยให้วุ่นวายต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องแบบนี้อยู่เสมอ ดังนั้นผู้มีชื่อเสียงและปรมาจารย์ในยุทธภพหลายสิบท่าน รวมไปถึงเหล่าผู้กล้าแห่งพรรคมารอีกเจ็ดแปดท่านที่เดิมทีเป็นดั่งน้ำกับไฟ ต่างก็พากันวางอคติลงชั่วคราวอย่างที่หาได้ยาก คิดว่าจะมาพบกันเป็นการส่วนตัว จัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าหาใช่เพื่อก่อกบฏไม่ แต่เพราะคิดว่าแทนที่จะให้ฮ่องเต้นอนหลับ อย่างไม่เป็นสุข ทำให้คนทั้งราชสำนักได้ยินเสียงนกก็หวาดกลัวลมพัดก็หวาดผวา กันไปหมด ก็ไม่สู้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยฮ่องเต้ควานหาขุดดินลึกลงไปสามฉื่อ พลิกค้นให้ทั่วยุทธภพที่เดิมทีก็ขุ่นมัวแห่งนี้ พยายามหาตัวองค์ชายของราชวงศ์ก่อนที่สมควรตายมานานแล้วผู้นั้นให้เจอ เมื่อคนผู้นี้ตาย ฮ่องเต้ย่อมปิติยินดี สถานการณ์ ในยุทธภพที่วุ่นวายก็น่าจะดีขึ้นมาได้หลายส่วน แล้วก็จะได้ทำให้เหล่าผู้กล้าใน ยุทธภพหายใจหายคอกันคล่องบ้าง
ชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้พูดถึงภาพเหตุการณ์แสงดาบแสงกระบี่ตัดสลับ เลือดสดซาดกระเซ็นไปสี่ทิศด้วยความรู้สึกเป็นกังวล
เพราะสำนักที่พวกเขาอยู่มีชื่อว่าสำนักเจิงหรง คือกลุ่มอิทธิพลอันดับหนึ่งในยุทธภพของแคว้นจินเฟย หากอิงตามการแบ่งระดับของพวกคนในยุทธจักรด้วยกันเอง พรรคน้อยใหญ่ในยุทธภพเกือบร้อยแห่งที่มีหลักฐานให้ตรวจสอบล้วนมีเส้นแบ่งขอบเขตอยู่เส้นหนึ่ง
โดยใช้การขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นเส้นบรรทัดฐาน ในยุทธภพ มีการแบ่งเก่าและใหม่ พรรคในยุทธภพใหม่ส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกเชื้อพระวงศ์ ที่มีคุณณูปการหรือไม่ก็กองกำลังที่ประจำอยู่ตามหัวเมือง ส่วนยุทธภพเก่ากลับได้ แต่มีชีวิตรอดอยู่ไปวันๆ แน่นอนว่าพรรคเจิงหรงย่อมถือเป็นยุทธภพเก่า บิดาของสตรีก็ยิ่งเป็นหนึ่งในสี่ยอดฝีมือที่แท้จริง
แต่นางได้รับข่าวช้าที่สุด เพิ่งจะรู้ว่าสถานที่ในการจัดงานเลี้ยงได้ถูกกำหนดไว้แล้ว เป็นใจกลางทะเลสาบใหญ่แห่งหนึ่ง ปรมาจารย์ใหญ่ทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม ต่างก็ไม่มีโอกาสจะลงมือได้
ขาวดำสองวิถี แน่นอนว่าไม่มีใครยินดีไปพูดคุยปรึกษาในเขตอิทธิพลของฝ่ายตรงข้าม สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นงานหรือไม่ พวกคนของฝ่ายธรรมะ รู้สึกว่าคนของพรรคมารใช้วิธีการที่อำมหิตโหดร้าย กำเริบเสิบสานไร้ยำเกรง ส่วนผู้กล้าแห่งเส้นทางสายดำมืดก็รู้สึกว่าพวกจอมยุทธผู้มีคุณธรรมกลุ่มนั้นแสร้งทำเป็นวางมาดภูมิฐาน มีแต่พวกวิญญูชนจอมปลอมที่ชายเป็นโจรหญิงเป็นคณิกา ยังเทียบกับพวกเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แต่นอกเหนือจากความน่ากังวลที่ชวนให้คนขมวดคิ้วพรั่นใจซึ่งอยู่ไกลตัวแล้ว ยามนี้คนตรงหน้าที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์ ต่างก็เป็นคนในใจของอีกฝ่าย ฟ้าดิน เงียบสงัด รอบกายไร้ผู้คน แน่นอนว่าย่อมไม่อาจห้ามอารมณ์ได้ไหว จึงมีการกระทำบางอย่างที่คลุมเครือกระหนุงกระหนิง
ก่อนหน้านี้ในมือของสตรีถือกิ่งหลิวอยู่กิ่งหนึ่ง ระหว่างที่เดินก็ใช้มือข้างหนึ่ง ออกหมัด ส่วนมีอีกข้างใช้กิ่งหลิวร่ายกระบวนท่ากระบี่ที่ลูกเล่นแพรวพราว
เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ เจ้าประมุขพรรคเจิงหรงผู้นี้น่าจะเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของยุทธภพสามคนที่รอดชีวิตเหลืออยู่ท้ายที่สุดบนทะเลสาบคราวนั้น วิธีการออกหมัดของคนผู้นั้นคล้ายคลึงกับสตรีที่อยู่ใต้ต้นไม้อยู่หลายส่วน
ตรงเอวของเขารัดพันด้วยกระบี่อ่อนเล่มหนึ่ง หลังจากออกกระบี่ก็ตวัดรัดคอ ปาดศีรษะคน วิชากระบี่อ่อนโยนทว่าแปลกประหลาดยิ่ง
ชายหญิงสองคนแนบชิดอิงแอบกัน มือไม้พัวพันพลิ้วไหว
หากเพียงแค่นี้ก็ยังพอทำเนา อย่างมากเฉินผิงอันก็แค่หลับตาฝึกตนต่อไป ก็เท่านั้น แต่เขากลัวก็แต่ว่าชายหญิงคู่นี้จะเกิดอารมณ์กระสัน ชักนำให้ฟ้าร้องไฟแลบแผ่นดินโยกคลอน
กลัวอะไรก็เจออย่างนั้นจริงๆ หลังจากชายหญิงอ้อมมาถึงด้านหลังต้นไม้ ฝ่ายสตรีก็บอกว่าจะขึ้นไปบนต้นไม้หาจุดที่มีใบดกหนาอำพรางตาได้ดีสักหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ห้ามเขามือไม้พัวพันเป็นปลาหมึกอีก
บุรุษยิ้มตอบรับ หญิงสาวจึงจับไหล่ชายคนรัก หมายจะกระโดดขึ้นไปด้านบน
เฉินผิงอันที่บนร่างแปะยันต์แบกศิลากวาดตามองไปรอบด้าน ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ในพุ่มหญ้าใต้ต้นไม้ก็แตกออกเบาๆ
ชายหญิงตกใจสะดุ้งโหยง รีบหันหน้าไปมอง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนแล้วพุ่งตัวออกไป
ก็ได้ๆๆ ยกพื้นที่ให้พวกเจ้าก็ได้
เฉินผิงอันไปอยู่ตรงมุมที่สูงยิ่งกว่าของภูเขาลูกเดียวกันนี้ แล้วหลอมเล็กให้กับแท่นสังหารมังกรต่ออีกครั้ง
แต่ชายหญิงคู่นั้นที่ถูกทำให้ตกใจก็เพียงแค่คลอเคลียแนบชิดกันอีกครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็รีบข้ามสะพานแขวนกลับไป เพราะหลังคาเรือนทุกหลังตลอดทั้ง พรรคเจิงหรงต่างพากันจุดตะเกียงจนเห็นเป็นสีขาวหิมะโพลนทั้งแถบ
จากนั้นผู้คนก็พากันกรูกันไปที่หน้าประตูใหญ่ ราวกับว่าจะรอต้อนรับ แขกผู้มีเกียรติคนใด
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกล บนถนนสายเล็กกลางภูเขาปรากฎมังกรเพลิงเส้นเล็กเส้นหนึ่งที่กำลังเลื้อยคลานมาเบื้องหน้าอย่างเนิบช้า เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของเขาก็แทบไม่ต่างอะไรจากมังกรเพลิงอักขระยันต์ที่หลิ่วจื้อชิงวาดบนโต๊ะ
น่าจะมีคนขบวนใหญ่เดินทางมาเยี่ยมเยือนภูเขาเจิงหรงในคืนนี้
อันที่จริงเมื่อคืนวานเฉินผิงอันก็พอจะพบเบาะแสบางอย่างบ้างแล้ว เขาค้นพบว่าผู้ฝึกยุทธในยุทธภพหลายคนที่ทำหน้าที่คล้ายทหารลาดตระเวนได้มาแอบหลบซ่อน ทำท่าลับๆ ล่อๆ สำรวจภูมิประเทศของพื้นที่แถบนี้
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมทางไกลไปยังริมหน้าผาของภูเขา พยายามอยู่ ให้ห่างจากแสงไฟของประตูภูเขาให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็ถอยหลังไปหลายก้าวแล้ว พุ่งตัวออกไป มือข้างหนึ่งคว้าจับหน้าผาที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวของภูเขาเจิงหรง จากนั้นก็ป่ายปีนขึ้นไปในแนวขวาง สุดท้ายไปหลบอยู่ใกล้กับด้านใต้สะพานอย่าง เงียบเชียบ มือข้างหนึ่งเกร็งนิ้วทั้งห้างอเป็นตะขอปักตรึงไปในหน้าผาหิน ร่างของเขาแกว่งไกวเบาๆ ไปตามสายลม มือหนึ่งปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า
ฝั่งหนึ่งของสะพานแขวน หลินซูเจ้าประมุขของพรรคเจิงหรงสีหน้าซีดขาวน้อยๆ ศึกบนทะเลสาบเขาได้รับบาดเจ็บไม่เบา จนถึงตอนนี้บาดแผลก็ยังไม่หายดี แต่เดิมพันมากก็ชนะมาก ได้ความร่ำรวยอู้ฟู่มาอยู่ในมือ ท่าทางจึงสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
แขกสูงศักดิ์สามท่านที่ผ่านทางมาเยี่ยมเยียนพรรคเจิงหรงในครั้งนี้คือแม่ทัพใหญ่ผู้พิทักษ์แคว้นอย่างตู้อิ๋ง และเขายังเป็นบุตรบุญธรรมที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันประทาน แซ่ให้ นอกจากนี้ยังมีขันทีผู้ควบคุมตรากองม้าที่ฝีมือลึกลับเกินจะหยั่งอีกคนหนึ่ง รวมไปถึงแขกผู้สูงศักดิ์ในผู้สูงศักดิ์ที่มาจากราชวงศ์ต้าจ้วน นามว่าเจิ้งสุ่ยจู วิชากระบี่ของนางเลิศล้ำ อาจารย์ก็คือคนเฝ้าพิทักษ์ประตูวังหลวงของราชวงศ์ต้าจ้วนท่านนั้น
เจิ้งสุ่ยจูก็คือหนึ่งในห้าของลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของเทพีแห่งสงครามของต้าจ้วนท่านนั้น อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย พรสวรรค์ดีเยี่ยมที่สุด ได้รับ ความรักความเอ็นดูมากที่สุด ครั้งนี้นางเข้าร่วมการล้อมโจมตีบนทะเลสาบแคว้น จินเฟยก็แค่เป็นการผ่อนคลายอารมณ์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีภารกิจสำคัญจากสำนักติดตัว ตอนนั้นหลินซูก็คือปรมาจารย์ในยุทธภพคนแรกที่เลือกสวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ หลังจากนั้นก็จำศีลแฝงตัวอยู่ในยุทธภพมาหลายสิบปี ข่าวสารว่องไว เล่าลือกันว่ามีเจียวสีดำดุร้ายตัวหนึ่งยึดครองลำคลองนอกเมืองหลวงต้าจ้วน ตบะสูงอย่างถึงที่สุด ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์อย่างสงบสุขมานานนับพันปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่า เหตุใด ช่วงที่ผ่านมานี้ถึงได้เกิดอุทกภัยขึ้นติดต่อกันหลายครั้งจนมองดูคล้ายว่า น้ำนั้นจะท่วมกลบทับเมืองหลวง ดังนั้นหลินซูจึงพอจะเดาออกว่า การที่เจิ้งสุ่ยจูเดินทางลงใต้ก็อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับดาบเล่มที่ตั้งบูชาอยู่ในศาลบู๊ของเมืองหลวงแคว้นจินเฟย เพราะถึงอย่างไรอาจารย์ของเจิ้งสุ่ยจูที่ถึงแม้จะเป็นปรมาจารย์ใหญ่ ที่สามารถบังคับลมเดินทางไกลได้ อีกทั้งกระบี่ประจำกายก็เป็นศาสตราวุธเทพ ชิ้นหนึ่ง ทว่าเผชิญหน้ากับการสร้างคลื่นลมมรสุมของเจียวน้ำตัวหนึ่งก็เรียกว่า ขาดอาวุธตระกูลเซียนที่สามารถสยบเผ่าพันธ์เจียวหลงได้ชิ้นหนึ่งอยู่พอดีจริงๆ
และดาบวิเศษของแคว้นจินเฟยเล่มนั้นก็ได้กินเลือดสดของลูกหลานมังกรของราชวงศ์ก่อนๆ มาหลายร้อยท่าน ไม่เพียงเท่านี้ ในอดีตที่ห่างไกลยิ่งกว่านั้นมันยังเคยตัดศีรษะของอดีตแม่ทัพใหญ่ผู้พิทักษ์แคว้นมาก่อน และแม่ทัพบู๊ที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ ชื่อเสียงดีงามเลื่องลือไปทั่วราชสำนักผู้นั้นก็คืออุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดในการเดิน สู่บัลลังก์มังกรของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
สามารถพูดได้ว่า เป็นเพราะดาบเล่มนี้ที่สะบั้นโชคชะตาแคว้นเชื้อสายมังกรของราชวงศ์ก่อนไปอย่างสิ้นเชิง
อีกฝั่งหนึ่งของสะพานแขวน ตู้อิ๋งแม่ทัพใหญ่ยังคงสวมเสื้อเกราะสีขาวหิมะของสำนักการทหารตัวนั้นอยู่เหมือนเดิม เขาใช้ดาบปักตรึงไว้บนพื้น ไม่ได้เดินขึ้นไป บนสะพาน
สตรีมือกระบี่อายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปีคนหนึ่งสะพายกระบี่ยาว ‘หลบจันทร์’ กระบี่เล่มนี้เป็นวัตถุที่อาจารย์ของนางรักมาก ผ่านกาลเวลายาวนานอยู่เคียงข้างอาจารย์ของนางมาตั้งแต่ตอนที่นางหลอมเรือนกายและหลอมลมปราณขอบเขตหก จนกระทั่งเลื่อนสู่ขอบเขตหลอมจิต อาจารย์ถึงได้มอบมันให้แก่เจิ้งสุ่ยจูที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย ศิษย์พี่ชายหญิงสี่คนก่อนหน้านี้ต่างก็ไม่เคยได้รับเกียรตินี้ ตอนที่ มอบกระบี่ให้ เจิ้งสุ่ยจูเพิ่งจะอายุหกขวบ มือทั้งสองจับประคองกระบี่ กระบี่ยังสูงกว่าตัวคน พออาจารย์ที่ไม่ชอบยิ้มไม่ชอบพูดเห็นภาพนั้นเข้าก็หัวเราะร่าอย่างเบิกบานใจ แต่เจิ้งสุ่ยจูที่เฉียวฉลาดก่อนวัยกลับสังเกตเห็นว่าสายตาของศิษย์พี่ชายหญิงร่วมสำนักในเวลานั้นแตกต่างกันออกไป
เวลานี้เจิ้งสุ่ยจูกวาดตามองไปรอบด้าน ลมภูเขาพัดโชยมาเป็นระลอก เมืองเล็ก ที่สร้างอยู่บนยอดเขาเดียวดายฝั่งตรงข้ามสว่างไสวไปด้วยแสงจากตะเกียง ท่ามกลางม่านราตรีมันจึงคล้ายโคมไฟดวงใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศดวงหนึ่ง
ส่วนขันทีเฒ่าสวมชุดหม่างผู้ถือตราคุมกองม้าก็ถูมือเบาๆ แม้ว่าเส้นผมจะขาวโพลน แต่ผิวพรรณกลับยังขาวเนียนละเอียด สีหน้าเปล่งปลั่งมีราศี เพราะถึงอย่างไร เขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง ถูกขนานนามให้เป็นเทพท่องราตรี แห่งเมืองหลวงแคว้นจินเฟย
หากว่ากันตามขอบเขตและพลังในการเข่นฆ่า อันที่จริงขันทีเฒ่าล้วนเหนือกว่าเจิ้งสุ่ยจูอยู่ระดับใหญ่ เพียงแต่ว่าตลอดทางที่เดินทางไกลลงใต้กลับเหนือร่วมกันมานี้ ขันทีเฒ่ามีท่าทีเคารพนอบน้อมต่อหญิงสาวตลอดเวลา ตบะและร่างกายของ ขอบเขตห้า แต่กลับสามารถใช้ปราณกระบี่และพลังพิฆาตที่เทียบเท่ากับขอบเขตหกได้ นี่ก็คือข้อดีของการได้รับสืบทอดจากสำนักขั้นสูง คือยันต์คุ้มกันกายในการ ท่องยุทธภพ และชื่อเสียงของอาจารย์นางก็ยิ่งเป็นยันต์คุ้มกันชีวิต รวมไปถึง กระบี่วิเศษที่ใช้ประหารก่อนรายงานทีหลังตามแคว้นใต้อาณัติและเพื่อนบ้านใกล้เคียงของราชวงศ์ต้าจ้วนอย่างกำเริบเสิบสาน การฆ่าคนของเจิ้งสุ่ยจู ขอแค่ไม่ใช่แม่ทัพ อัครเสนาบดีของแคว้นอื่น ก็ไม่มีใครคิดจะถือสานาง
เพียงแต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เจิ้งสุ่ยจูเดินทางออกจากเมืองหลวงต้าจ้วน บวกกับที่มีภารกิจลับติดกาย ดังนั้นชื่อเสียงของนางจึงยังไม่เลื่องลือได้เท่ากับศิษย์พี่ชายหญิง ทั้งสี่คนของนาง
แขกผู้สูงศักดิ์ทั้งสามท่านหยุดเดิน หลินซูจึงได้แต่หยุดนิ่งอยู่ที่เดิม
ตู้อิ๋งพลันเอ่ยว่า “ข้ารับผิดชอบตามหากวาดล้างกากเดนของราชวงศ์ก่อนมา สิบกว่าปี พรรคน้อยใหญ่ในยุทธภพมีร้อยกว่าแห่ง พวกคนที่อายุใกล้เคียงกันล้วนเคยตรวจสอบผ่านตาตัวเองมาแล้วรอบหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นในวงการขุนนาง ยุทธภพ แคว้นเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่กองกำลังตระกูลเซียนบนภูเขาอีกไม่น้อย หาตั้งแต่เด็ก ที่อายุสี่ปี วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า จนกระทั่งทุกวันนี้ต้องคอยตามหาบุรุษอายุยี่สิบ ข้าเป็นนักสู้บนสนามรบคนหนึ่ง อีกทั้งยังมียศเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้พิทักษ์แคว้น แต่กลับต้องมาตกอยู่ในสภาพที่ได้แต่ออกเดินทางไกลในยุทธภพ มีบ้านก็ไม่อาจหวนคืน ลำบากยิ่งนัก ต่อให้พ่อแท้ๆ ตามหาบุตรชายบุตรสาวที่พลัดพรากจากกันไปก็ยัง ไม่ลำบากเท่าข้า เจ้าคิดว่าอย่างไร เจ้าประมุขหลิน?”
หลินซูกุมหมัดกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ตรากตรำสร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่! ครั้งนี้ท่านแม่ทัพใหญ่ก็ยิ่งวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุมจนสามารถกวาดล้างกลุ่มอิทธิพล ในยุทธภพได้อย่างราบคาบ เชื่อว่าเมื่อท่านแม่ทัพใหญ่กลับไปถึงเมืองหลวง…”
ตู้อิ๋งโบกมือตัดบทคำพูดของหลินซู “เพียงแต่ครั้งนี้ได้ร่วมมือกับเจ้าประมุขหลิน ถึงได้ค้นพบอย่างฉับพลันว่า ตนเองเป็นดั่งเงาใต้โคมไฟ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าถึงขนาดไม่เคยค้นหาภูเขาเจิงหรงของเจ้าประมุขหลินเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
หลินซูพลันเหงื่อแตกท่วมศีรษะ
ตู้อิ๋งยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าสายลับของราชสำนักที่จัดวางไว้ข้างกายของเจ้าสำนักหลินได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดมาก่อนนานแล้ว สายลับฝีมือดีทั้งสองคนที่ไม่เคยรู้จักและไม่เคยติดต่อถึงกันต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มี”
หลินซูรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขาชูแขนขึ้นสูง กุมหมัดหันไปทางเมืองหลวง พูดเสียงทุ้มหนัก “แม่ทัพใหญ่ ข้าหลินซูและภูเขาเจิงหรงซื่อสัตย์ภักดีต่อฮ่องเต้ ฟ้าดินเป็นพยานได้!”
ตู้อิ๋งชักดาบออกมาช้าๆ ชี้ไปยังเมืองเล็กบนยอดเขา “ตอนนี้มีวิธีที่มั่นคงที่สุด อยู่วิธีหนึ่ง แค่ต้องดูว่าเจ้าสำนักหลินมีความภักดีและความกล้าหาญมากพอ จะทำหรือไม่ อายุที่บันทึกไว้บนทำเนียบวงศ์ตระกูลของพรรคเจิงหรงและสำมะโนครัวที่บันทึกอยู่ในเอกสารคดีของเมืองประจำท้องที่ล้วนสามารถสร้างหลักฐานเท็จ ขึ้นมาได้ ดังนั้นไม่สู้เอาบุรุษที่อายุประมาณสิบแปดถึงยี่สิบปี รวมไปถึงคนที่มองดูคล้ายอายุยี่สิบปีในบรรดาคนหนึ่งพันสองร้อยกว่าคนของหมู่บ้านออกมาสังหารให้ สิ้นซาก ทุกเรื่องก็จะราบรื่นมั่นคง”
ตู้อิ๋งยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าจะให้คนตายไปเปล่าๆ ไม่ได้ ข้าตู้อิ๋งมิอาจปฏิบัติต่อขุนนางผู้มีคุณูปการอย่างไม่เป็นธรรม ดังนั้นรอให้ข้ากลับไปถึงเมืองหลวง ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท ย่อมต้องขอรางวัลจากฝ่าบาทด้วยตัวเอง หัวทุกหัวที่กลิ้งตกลงบนพื้นของภูเขาเจิงหรงในคืนนี้ หลังจบเรื่องจะชดเชยให้เจ้าหลินซูเป็นเงินขาวพันตำลึง ดีหรือไม่? ทุกๆ สิบหัว ข้าก็จะแบ่งเขตอิทธิพลของพรรคทั้งหลายที่ตายอยู่บนเรือส่วนหนึ่งมามอบให้ภูเขาเจิงหรงจัดการ”
หลินซูยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “หรือว่าในพรรคเจิงหรงมีคนถ่อยก่อกวน นำข่าวเท็จ ไปแจ้งให้แก่แม่ทัพใหญ่? จงใจผลักข้าหลินซูให้กลายเป็นคนไร้คุณธรรม ไร้ความซื่อสัตย์?”
ตู้อิ๋งพยักหน้ารับ “มีคนถ่อยอยู่จริง อีกทั้งยังไม่ใช่แค่คนเดียว คนหนึ่งคือลูกศิษย์ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายของเจ้า เพราะรู้สึกว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ เขาไร้ความหวัง ที่จะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุข อีกทั้งในอดีตก็ยังเกือบจะถูกเจ้าขับไล่ออกจากสำนัก แน่นอนว่าย่อมมีใจเคียดแค้นอย่างห้ามไม่ได้ คิดจะฉวยโอกาสนี้พลิกฟื้นกลับมา ช่วงชิงตำแหน่งเจ้าประมุขมาครอบครอง ปากข้าตอบตกลงเขาไปแล้ว แต่หลังจากนี้เจ้าสำนักหลินก็ไปฆ่าเขาเองแล้วกัน
คนประเภทนี้ อย่าว่าแต่ครึ่งยุทธภพเลย ต่อให้แค่พรรคเจิงหรงแห่งเดียวก็ยัง ดูแลได้ไม่ดี ข้ารับเขามาเป็นลูกน้องแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
ตู้อิ๋งใช้ปลายดาบชี้ไปยังหน้าประตูใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของสะพาน แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ยังมีอีกคนหนึ่ง คือคนหนุ่มที่ใช้ชีวิตพึ่งพากับสายลับคนหนึ่งของราชสำนักมา โดยตลอด ก่อนหน้านี้สายลับผู้นั้นทำหน้าที่เป็นอาจารย์ในโรงเรียนของเมืองเล็ก พวกเจ้า คนหนุ่มยังถือว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตคนหนึ่ง เขากับบุตรสาวโทนของเจ้า มีความสัมพันธ์กัน แต่เจ้าดันรู้สึกว่าเขาไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตน จึงไม่คู่ควร กับบุตรสาวของเจ้า ภายหลังก่อนตายสายลับเฒ่าที่เลี้ยงดูเขามารู้สึกว่าคนหนุ่ม มีพรสวรรค์ในการเป็นขุนนาง ดังนั้นภายใต้การจัดการของสายลับเฒ่า คนหนุ่ม จึงได้รับสืบทอดสถานะของอาจารย์เขา ต่อมาจึงมีการส่งจดหมายลับระหว่างเขา กับราชสำนักเป็นประจำ ในความเป็นจริงแล้วความคิดที่บอกให้สังหารลูกศิษย์ พรรคเจิงหรงที่อายุสอดคล้องใกล้เคียงทั้งหมดก็เป็นเขาที่เป็นผู้เสนอ ข้าเองก็ตอบรับแล้วเช่นกัน ไม่เพียงแต่รับปากว่าจะช่วยเขารักษาความลับนี้ และช่วยให้เขาได้ สาวงามกลับไปครอง ยังจะจัดการให้เขาได้เข้าร่วมสอบเคอจวี่ในวงการขุนนาง และต้องมีชื่อติดอยู่บนกระดานทองคำอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าสิบปียี่สิบปีให้หลัง เขาอาจจะได้เป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาแห่งใดแห่งหนึ่งของแคว้นจินเฟย ก็เป็นได้”
หลินซูโมโหจนใบหน้าเขียวคล้ำ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “เจ้าลูกหมาป่าเนรคุณ ปีนั้นพ่อแม่ของเขาด่วนจากไปเร็ว อีกทั้งยังเป็นคนที่ทำหน้าที่แบกถังอาจมซึ่งต่ำช้าอย่างถึงที่สุด หากไม่เป็นเพราะพรรคเจิงหรงมอบเงินทำขวัญให้เขาทุกเดือน เขาก็คงต้องกินขี้แทนข้าวแล้ว!”
ขันทีเฒ่าผู้ควบคุมตรากองม้าใช้สองนิ้วคีบผมขาวที่รุ่ยหลุดลงมาตรงจอนผม พูดด้วยเสียงแหลมว่า “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย จากรายงานลับของสายลับอีกคนหนึ่ง
พรรคเจิงหรงของพวกเจ้ายังมียอดฝีมือเฝ้าพิทักษ์ ผ่านมาหลายปีมากแล้ว เพียงแต่ว่าเก็บซ่อนตัวตนได้เป็นอย่างดี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เผยพิรุธให้เห็น นี่แหละ ที่ค่อนข้างจะยุ่งยาก”
หลินซูอึ้งตะลึง
เจิ้งสุ่ยจูขมวดคิ้วกล่าว “แม่ทัพตู้ พวกเราจะมัวเสียเวลากันอยู่อย่างนี้น่ะหรือ? กากเดนราชวงศ์ก่อนผู้นั้นอยู่บนภูเขาหรือไม่ ชักดาบออกมาหยั่งเชิงก็รู้แล้ว หากมี ผู้ฝึกลมปราณของตำหนักเกล็ดทองมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่จริง ก็มีความเป็นไปได้ เกินครึ่งว่าจะเป็นผู้พิทักษ์ขององค์ชายผู้นั้น ยิงธนูลูกเดียวได้นกสองตัว ทั้งสังหาร กากเดนราชวงศ์ก่อน แล้วก็สามารถดึงตัวของผู้ฝึกตนตำหนักเกล็ดทองออกมา ได้ด้วย”
ในกลุ่มคนมีชายฉกรรจ์เงียบขรึมคนหนึ่งถือกล่องไม้ยาวไว้ในมือ
ตู้อิ๋งยิ้มกล่าว “หากเทพเซียนตำหนักเกล็ดทองผู้นั้นขอบเขตสูงมาก พวกเรา ที่มีพลทหารสวมเกราะมาแค่ร้อยกว่าคนย่อมไม่อาจต้านรับวิชาตระกูลเซียนของ อีกฝ่ายได้ ต่อให้เขาจะสู้กับพวกเราสามคนที่ร่วมมือกันไม่ได้ แต่หากอีกฝ่าย พาคนทะยานลมจากไป พวกเราสามคนก็ได้แต่มองดูคนเขาจากไปไกลคาตาก็เท่านั้น หรือจะให้กระโดดหน้าผาตามไปล่ะ?”
เจิ้งสุ่ยจูหันหน้าไปมองชายฉกรรจ์ถือกล่องแล้วหลุดหัวเราะพรืด “ลูกศิษย์ใหญ่ของเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นท่านนั้นของพวกเราก็มาด้วย ยังต้องกลัวว่าผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่หลบซ่อนตัวอยู่บนภูเขาเจิงหรงมานานหลายสิบปีอีกหรือ?”
ราชวงศ์ต้าจ้วนก็มีขุนนางผู้ประคับประคองมังกรที่รับผิดชอบพิทักษ์คุ้มกัน ฮ่องเต้เช่นเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสายของเจิ้งสุ่ยจู กับผู้ฝึกตนสายที่มี เหลียงหงอิ่นเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นเป็นผู้นำ ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายย่ำแย่ มาโดยตลอด ต่างฝ่ายต่างชิงชังรังเกียจกัน
มีความขัดแย้งและแข่งขันกันอย่างลับๆ เกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งราชวงศ์ต้าจ้วน ยังมีอาณาเขตกว้างใหญ่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ นอกจากอาณาเขตของตำหนัก เกล็ดทองที่ตั้งอยู่กลางภูเขาลึกแถบชายแดนของทางทิศเหนือแล้ว ยุทธภพและ บนภูเขาของต้าจ้วน ฮ่องเต้ก็ปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายอาศัยความสามารถของตัวเองช่วงชิงกันไปเอง แน่นอนว่าไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรก ศิษย์พี่ชายคนหนึ่งของเจิ้งสุ่ยจูที่เดิมที มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมเคยถูกผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรและขอบเขตประตูมังกรสามคนที่ปิดบังสถานะล้อมโจมตี ทุบขาสองข้างของเขาจนหัก ตอนนี้ก็ได้แต่นั่งอยู่ บนรถเข็น กลายเป็นคนพิการครึ่งตัว ภายหลังลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของ เหลียงหงอิ่นเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นก็หายตัวไปท่ามกลางการฝึกประสบการณ์ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังหาศพไม่พบ
ชายฉกรรจ์ที่บนใบหน้าสวมหน้ากากมีสีหน้าเย็นชา ชำเลืองตามองแผ่นหลังของเจิ้งสุ่ยจูแวบหนึ่ง สตรีผู้นี้เย่อหยิ่งหัวสูงมาโดยตลอด อยู่ในเมืองหลวงก็ไม่ค่อย สงบเสงี่ยมสำรวมตน อาศัยว่าหญิงเฒ่าผู้นั้นรักและเอ็นดู ก่อนหน้านี้ก็ไปลอบมีสัมพันธ์กับองค์ชายท่านหนึ่งของต้าจ้วน คิดว่าตัวเองได้รับแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮา คนถัดไปแล้วหรืออย่างไร?
ตู้อิ๋งถาม “เจ้าประมุขหลิน จะว่าอย่างไร?”
ใบหน้าของหลินซูบิดเบี้ยว “บุรุษหนุ่มบนภูเขาที่มีอายุสอดคล้องล้วนฆ่าทั้งหมด! แต่ข้าก็มีข้อเสนอสองอย่าง เจ้าลูกศิษย์ที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนผู้นั้นจำเป็นต้องตาย และเจ้าเศษสวะที่เนรคุณคนผู้นั้นก็ยิ่งสมควรตาย! วิธีเลาะเอ็น ที่พรรคเจิงหรงของพวกเราใช้จัดการกับคนทรยศ ไม่กล้าพูดว่ามีเอกลักษณ์เป็น หนึ่งเดียวของแคว้นจินเฟย แต่ทำให้คนอยู่ไม่สู้ตายกลับไม่ยากเลยจริงๆ”
ตู้อิ๋งส่ายหน้า “คนแรกคือเศษสวะ ฆ่าไปก็ไม่เป็นไร แต่ฝ่ายหลังแม้จะมีจิตใจทะเยอทะยาน ทว่ากลับมีสติปัญญาที่ไม่ธรรมดา จดหมายลับที่เขาส่งมอบให้แก่ ราชสำนักตลอดหลายปีมานี้ นอกจากจะวางแผนให้กับยุทธภพแล้วยังมีคำแนะนำให้กับทางราชสำนักอีกไม่น้อย
ข้าอ่านจดหมายทุกฉบับอย่างละเอียดมาก่อน ล้วนมีความคิดที่เฉียบแหลม หากไม่ผิดไปจากที่คาด ฝ่าบาทเองก็น่าจะได้ทอดพระเนตรจดหมายลับพวกนั้นของเขาแล้ว บัณฑิตไม่ออกจากบ้าน แต่รู้เรื่องในใต้หล้า คงจะพูดถึงคนประเภทนี้กระมัง”
หลินซูสะกดกลั้นไฟโทสะ พูดด้วยสีหน้ามืดทะมึนว่า “แม่ทัพใหญ่ คนผู้นี้ปีนี้…อายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้า ก็ถือว่าใกล้เคียงกับยี่สิบเหมือนกัน!”
ตู้อิ๋งหลุดหัวเราะพรืด เงียบงันไปพักหนึ่งก็ยังส่ายหน้าอยู่ดี “การมาเยือนในค่ำคืนนี้ เดิมทีก็เป็นการป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ช่วยเจ้าประมุขหลินจัดการดูแลครัวเรือน ทำความสะอาดเส้นทางในการเดินขึ้นสู่ยอดเขาก็เท่านั้น ข้าไม่คิดจะฆ่าคนบริสุทธิ์ พร่ำเพื่อหรอกนะ”
ขันทีเฒ่าผู้ถือตราบังคับกองม้ายิ้มตาหยี “ลงมือตามโอกาสเหมาะสม ไม่ต้องรีบร้อน ถึงอย่างไรคืนนี้ก็มีงิ้วสนุกๆ ให้ดูอยู่แล้ว”
ตู้อิ๋งมองสะพานแขวนแวบหนึ่ง “ตอนนี้ข้ากลัวก็แต่ว่าจะมีผู้ฝึกตนของ ตำหนักเกล็ดทองรอฉวยโอกาสโจมตีอยู่จริงๆ รอให้พวกเราเดินไปได้ครึ่งทางแล้วสะพานขาดขึ้นมา จะทำอย่างไร?”
ขันทีเฒ่าพยักหน้ารับ “เป็นปัญหาใหญ่จริงๆ”
ชายฉกรรจ์ที่ถือกล่องไม้กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “แม่ทัพตู้โปรดวางใจ ขอแค่อีกฝ่ายกล้าลงมือ สะพานจะไม่มีทางขาดเด็ดขาด แต่คนผู้นั้นกลับต้องตาย อย่างแน่นอน”
ตู้อิ๋งยิ้มกล่าว “เซียนซือแน่ใจหรือ?”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “จวนราชครูของพวกเราไม่มีทางหลอกลวงแม่ทัพตู้แน่”
แม่ทัพใหญ่ผู้พิทักษ์แคว้นระดับหนึ่งชั้นโทคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นบุตรบุญธรรมของฮ่องเต้แคว้นจินเฟย หากตายไป นับว่าค่อนข้างจะยุ่งยาก เพราะถึงอย่างไร การขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิองค์ใหม่ก็เป็นแผนการของจวนราชครูราชวงศ์ ต้าจ้วนอยู่แล้ว และแม่ทัพบู๊ที่ในมือกุมอำนาจทางการทหารทำการก่อกบฏ กับกษัตริย์แคว้นใต้อาณัติที่สามารถสวมเสื้อคลุมมังกรได้อย่างถูกทำนองคลองธรรม สถานะของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฝ่ายแรกจวนราชครูต้าจ้วนสามารถ ยืมมีดฆ่าคนได้ตามใจชอบ จะฆ่าสักกี่คนก็ได้ แต่ฝ่ายหลังกลับไม่อาจแตะต้องได้ แม้แต่คนเดียว
ตู้อิ๋งสอดดาบกลับเข้าฝัก โบกมือเป็นวงกว้าง “ข้ามสะพาน!”
และเวลานี้เอง ในเมืองเล็กที่อยู่บนยอดเขาของภูเขาเจิงหรงก็มีผู้เฒ่าคนหนึ่งคว้าไหล่คนหนุ่มผู้หนึ่งทะยานลมพุ่งตัวจากไป บนร่างของผู้เฒ่ามีประกายแสงไหลเวียนวน ประหนึ่งเกล็ดปลาสีทองที่ส่องแสงระยิบระยับ สะดุดตาเป็นพิเศษในม่านราตรี
ตู้อิ๋งเงยหน้าขึ้น กล่าวว่า “เป็นผู้ฝึกตนของตำหนักเกล็ดทองที่กำจัดไม่หมดสิ้นจริงๆ ดูท่าคงจะนั่งไม่ติดแล้ว”
ชายฉกรรจ์ถือกล่องไม้ที่ยืนอยู่ด้านหลังตู้อิ๋งพุ่งตัวออกไปแล้ว เขากลายร่าง เป็นสายรุ้งเส้นหนึ่ง เขาก็คือผู้ฝึกตนโอสถทองแห่งจวนราชครูที่มีชื่อเสียงด้านการ เข่นฆ่าเป็นที่เลืองลือในราชสำนักต้าจ้วน และยิ่งเป็นลูกศิษย์คนแรกของเจินเหริน ผู้พิทักษ์แคว้น
ผู้ฝึกตนตำหนักเกล็ดทองของฝ่ายตรงข้ามน่าจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรท่านหนึ่ง อีกทั้งยังพาคนคนหนึ่งหลบหนีไปด้วยกัน ส่วนชายฉกรรจ์ที่ถือดาบนั้น เดิมทีก็มีขอบเขตสูงกว่าหนึ่งระดับ ดาบวิเศษในมือก็ยิ่งเป็นอาวุธหนักแห่งแคว้นที่ได้รับควันธูปมาจากชาวประชานับหมื่น เขาเงื้อดาบหนึ่งฟันผ่าไปไกลๆ ผู้ฝึกตนตำหนักเกล็ดทองรีบทำมุทราอย่างรวดเร็ว ชุดคลุมอาคมสีทองที่ส่องประกาย พร่างพราวบนร่างหลุดออกมาด้วยตัวเอง แล้วลอยนิ่งอยู่ที่เดิม
ฉับพลันนั้นก็ขยายใหญ่เหมือนกลายมาเป็นแหตกปลาสีทองหนึ่งปากที่สกัดกั้นแสงดาบเอาไว้ ส่วนผู้เฒ่าก็พาคนหนุ่มหนีออกห่างจากยอดเขาเจิงหรงไปอีกครั้ง
ดาบนั้นของผู้ฝึกตนโอสถทองจวนราชครูต้าจ้วนผ่าให้ชุดคลุมอาคมแบ่งออกเป็นสองส่วน เรือนกายที่ทะยานลมพลันเพิ่มความเร็ว พริบตาเดียวก็มาถึงด้านหลังของ ผู้ฝึกตนเฒ่าตำหนักเกล็ดทองแล้วออกดาบประชิดตัวอีกหนึ่งครั้ง ผู้ฝึกตนเฒ่าพยายามจะเหวี่ยงคนหนุ่มที่อยู่ในมือออกไป บนร่างของฝ่ายหลังมียันต์ของตำหนักเกล็ดทองหลายแผ่นลอยขึ้นมา สามารถทำให้คนธรรมดาคนหนึ่งทะยานลมได้เหมือน ผู้ฝึกลมปราณชั่วคราว เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนเฒ่าเองก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่การดิ้นรน ก่อนตายเท่านั้น ใครเล่าจะคิดได้ว่าแคว้นจินเฟยไม่เพียงแต่ตามหามาถึงภูเขาเจิงหรง ยังถึงขั้นพาผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งของจวนราชครูต้าจ้วนมาด้วย
บิดหมุนข้อมือเล็กน้อย ดาบวิเศษพิทักษ์แคว้นที่เดิมทีตั้งบูชาอยู่ในศาลบู๊มาหลายปีเล่มนั้นก็เปลี่ยนวิถีการโคจรเล็กน้อย หนึ่งดาบฟันออกไป ตัดหัวของผู้ฝึกตนเฒ่าและคนหนุ่มไปพร้อมๆ กัน
ก่อนที่ผู้ฝึกตนเฒ่าจะตายได้ระเบิดปราณวิญญาณทั้งหมดในช่องโพรงลมปราณของตน หมายจะลากผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งให้ตายตกตามกันไปด้วย
ชายฉกรรจ์ถือดาบถอยกรูดออกไปด้านหลัง ลอยตัวอยู่กลางอากาศ พอดีกับที่ หัวที่หลุดออกจากร่างของตาเฒ่าจากตำหนักเกล็ดทองและคนหนุ่มผู้นั้นแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปพร้อมกัน ลมปราณในรัศมีหลายสิบจั้งวุ่นวายสับสน จากนั้นก็ก่อตัวกลายเป็นพายุลมกรดที่พลังอำนาจดุดันลูกหนึ่ง เป็นเหตุให้สะพานแขวนที่ห้อยตัวอยู่ระหว่างหน้าผาซึ่งห่างไปไกลด้านหลังแกว่งไกวอย่างรุนแรง ทหารสวมเสื้อเกราะหลายคนที่อยู่บนสะพานร่วงหล่นไปข้างล่างโดยตรง ตู้อิ๋งกับเจิ้งสุ่ยจูต้องตั้งท่าถ่วง พันชั่ง (กระบวนท่าหนึ่งของวิชายุทธจีน เป็นการรวบรวมลมปราณ ปณิธานและพละกำลังจากในและนอกกายให้รวมเป็นหนึ่งเดียว) ถึงจะพอถ่วงให้สะพานแขวนหยุดนิ่งมั่นคงได้
ชายฉกรรจ์เงียบขรึมก้มหน้าลงจ้องมองคมดาบวิเศษแล้วพยักหน้ากับตัวเอง ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ บังคับลมกลับมาที่สะพาน พลิ้วกายลงบนพื้นเบาๆ
ตู้อิ๋งกดเสียงถามว่า “เป็นอย่างไร? ใช่เจ้ากากเดนผู้นั้นจริงหรือไม่?”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “รอยเลือดไม่ใช่ของปลอม แต่ปราณมังกรกลับไม่มากพอ ราวกับเป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ มันทำลายประสิทธิผลในการสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะของดาบเล่มนี้ไปในระดับหนึ่ง แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เมื่อชะตาแคว้นขาดสะบั้น ต่อให้เจ้าเป็นจักรพรรดิของราชวงศ์ก่อน ปราณมังกรที่ถูกฝากฝังไว้บนร่างก็ยังต้องไหลหายไปทุกๆ ปีอยู่ดี”
ตู้อิ๋งสูดลมหายใจเข้าลึก มือจับเหล็กเส้นหนึ่งของสะพานเอาไว้แน่น พูดอย่าง ฮึกเหิมว่า “ในที่สุดข้าผู้อาวุโสก็สามารถยืดเอวตรง ได้กลับไปเป็นแม่ทัพใหญ่ ผู้พิทักษ์แคว้นอย่างสมชื่อได้เสียที!”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเก็บดาบวิเศษใส่ไว้ในกล่องไม้ทรงยาวอย่างระมัดระวัง ใบหน้า มีรอยยิ้มบางๆ อย่างที่หาได้ยาก เขาเอ่ยว่า “แม่ทัพตู้ไม่เพียงแต่สร้างคุณความชอบใหญ่หลวงให้แก่ฮ่องเต้ของพวกเจ้าได้”
ชายฉกรรจ์โยนกล่องไม้ไปให้เจิ้งสุ่ยจูโดยตรง หุบยิ้มกล่าวว่า “ทางฝ่ายของ จอมยุทธหญิงเจิ้งผู้นี้ก็ได้สร้างความสัมพันธ์ควันธูปขนาดไม่เล็กเอาไว้ด้วย”
เจิ้งสุ่ยจูมีสีหน้ากังขา ขมวดคิ้วกล่าว “เฝิงอี้ เจ้าไม่เอามันกลับไปจวนราชครูหรือ?”
เห็นได้ชัดว่านางกังวลว่าผู้ฝึกตนโอสถทองผู้นี้จะเอาดาบวิเศษไปขอความดีความชอบจากฮ่องเต้ต้าจ้วน
ชายฉกรรจ์คร้านจะเปลืองน้ำลายพูดกับสตรีผู้นี้
เจียวสีดำที่รับมือได้ยากอย่างถึงที่สุดตัวนั้นพยายามจะทำให้น้ำท่วม เมืองหลวงต้าจ้วน เพื่อให้เมืองหลวงทั้งแห่งกลายมาเป็นวังมังกรใต้บาดาลของตน ส่วนอาจารย์ตนก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่เชี่ยวชาญวิชาน้ำเท่านั้น จะทัดเทียมกับเจียวน้ำที่เกิดมาก็ใกล้ชิดกับน้ำซึ่งมีตบะสูงส่งตัวหนึ่งได้อย่างไร? ถึงท้ายที่สุดแล้ว ก็ยังต้องให้อาจารย์ของสตรีผู้นี้ใช้ดาบวิเศษของแคว้นจินเฟย ถึงจะมีหวังว่าจะสังหารมันให้ตายด้วยการโจมตีครั้งเดียว สังหารเจียวชั่วร้ายได้อย่างราบรื่น ผู้ฝึกตนมากมายในจวนราชครู ในช่วงที่ทั้งสองฝ่ายเปิดศึกใหญ่กันอย่างมากสุดก็ได้แค่พยายามรักษาเมืองหลวงไม่ให้ถูกน้ำท่วมกลบทับเท่านั้น เรื่องใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ หากไม่ระวัง ย่อมต้องแพ้ทั้งกระดาน โชคชะตาราชวงศ์สกุลโจวของต้าจวนจะต้องเดือดร้อน ติดร่างแหไปด้วย จวนราชครูยังจะคิดแย่งคุณความชอบกับแม่นางน้อยอย่างเจ้า ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้อีกหรือไร? อีกอย่างหลังจากศึกใหญ่เปิดฉากขึ้น คนที่ออกแรงอย่างแท้จริง คุณความชอบในการช่วยเหลือบ้านเมืองเกินครึ่งย่อมต้องตกอยู่กับตัวของอาจารย์เจิ้งสุ่ยจูอย่างแน่นอน ต่อให้เขาเฝิงอี้จะเป็นลูกศิษย์คนแรกของเจินเหริน ผู้พิทักษ์แคว้น แต่เขาควรจะแย่งดาบวิเศษจากมือแม่นางน้อยคนนี้ แล้วค่อยวิ่งไปประคองสองมือส่งดาบวิเศษให้กับหญิงชราผู้นั้น คลี่ยิ้มประจบขอให้นางรับดาบวิเศษไปแล้วออกจากเมืองไปตั้งใจสังหารเจียวชั่วอย่างนั้นหรือ?
หลินซูแข้งขาอ่อน ต้องเอามือข้างหนึ่งจับสะพานเหล็กเอาไว้
กากเดนราชวงศ์ก่อนผู้นั้นอยู่ใต้เปลือกตาของตนจริงๆ ด้วย!
ตู้อิ๋งยิ้มกล่าว “เอาล่ะ เจ้าหลินซูอุทิศตนถวายชีวิต ตั้งใจทำงานอย่างระมัดระวังรอบคอบเพื่อฮ่องเต้มานานหลายปีขนาดนี้ คอยส่งรายงานลับไปยังเมืองหลวงอยู่ เป็นประจำ อีกทั้งคราวนี้ยังช่วยข้ากำจัดยอดฝีมือสองคนของทั้งฝ่ายธรรมะและ ฝ่ายอธรรมบนทะเลสาบ แล้วคืนนี้ก็ยังได้คลายปมแค้นเก่าแก่ในอดีตอีกด้วย”
หลินซูยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ได้ยินถ้อยคำใจกว้างนี้ของตู้อิ๋งก็ทั้งโล่งใจ แต่ก็ทั้งไม่กล้าวางใจอย่างแท้จริง กลัวก็เพียงแต่ว่าราชสำนักจะคิดบัญชีย้อนหลัง
ตู้อิ๋งไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความอีก ปล่อยให้หลินซูอกสั่นขวัญผวาไป กลุ่มอิทธิพลในยุทธภพอย่างหลินซูและภูเขาเจิงหรงนี้ก็คือพวกกุ้งหอยปูปลาใน บ่อโคลนเละเทะ แต่กลับจำเป็นต้องมี หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นที่ทำงานแทน ราชสำนัก เรื่องของการทุ่มเทนั้นย่อมต้องทุ่มเท แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะใช้งานได้ดีอย่างหลินซู แล้วนับประสาอะไรกับที่อีกฝ่ายมีจุดอ่อนใหญ่ขนาดนี้ถูกกุมอยู่ในมือของเขาตู้อิ๋งและราชสำนัก วันหน้าภูเขาเจิงหรงก็มีแต่จะยิ่งนอบน้อมเชื่อฟัง เวลาทำงานอะไรก็มีแต่จะยิ่งไม่เลือกวิธีการ คนในยุทธภพฆ่าคนในยุทธภพ ราชสำนักก็แค่ต้อง ทำตัวเป็นชาวประมงที่เก็บเกี่ยวผลกำไร อีกทั้งคาวเลือดยังไม่ต้องแปดเปื้อนติดกาย
ตู้อิ๋งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “คืนนี้พักค้างแรมที่ภูเขาเจิงหรงนี่แหละ”
หลินซูถามเสียงเบา “แล้วพวกคนหนุ่มที่อายุเข้าเกณฑ์?”
ตู้อิ๋งลังเลตัดสินใจไม่ได้
ชายฉกรรจ์โอสถทองของจวนราชครูต้าจ้วนกระตุกมุมปาก พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ระมัดระวังขับเรือได้นานหมื่นปี เจ้าประมุขหลินตัดสินใจเอาเองเถิด”
สายตาของหลินซูฉายแววอำมหิตในฉับพลัน
คนทั้งกลุ่มเดินข้ามสะพานกันไป เข้าไปยังเมืองเล็กที่แสงไฟสว่างโชติช่วง
ตรงหน้าผา เฉินผิงอันห้อยตัวนิ่งไม่กระดุกกระดิก
ในเมืองเล็กบนยอดเขาของภูเขาเจินหรง ในห้องโถงใหญ่ของพรรคเจิงหรง บนพื้นนองไปด้วยเลือดสด
หลินซูนั่งสีหน้าไร้อารมณ์อยู่บนตำแหน่งประธาน
ชายฉกรรจ์นิสัยเงียบขรึมที่มาจากจวนราชครูของราชวงศ์ต้าจ้วน เจิ้งสุ่ยจู ตู้อิ๋งแม่ทัพใหญ่ผู้พิทักษ์แคว้นจินเฟย ขันทีเฒ่าผู้ถือตราควบคุมกองม้า นั่งเรียงกันตามลำดับ
ฝั่งตรงข้ามคือผู้อาวุโสสกุลหลินหลายท่านของพรรคเจิงหรง จากนั้นก็เป็นบุตรสาวโทนของหลินซู และลูกศิษย์ผู้สืบทอดทุกคนของเขา พวกเขาทุกคนต่างก็ ไม่กล้ามองไปฝั่งตรงข้าม
เพราะก่อนหน้านี้ให้ตายอย่างไรเจ้าประมุขหลินซูก็ไม่ยอมนั่งบนตำแหน่งประธาน แล้วก็เป็นเพราะมือกระบี่หญิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ บอกให้หลินซู รีบนั่ง หลินซูถึงได้นั่งลงอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ในห้องโถงใหญ่ บุรุษที่อายุประมาณยี่สิบปีล้วนตายกันไปแล้วเกินครึ่ง
ใบหน้าของเจิ้งสุ่ยจูเหมือนถูกผนึกด้วยน้ำค้างแข็ง นางหันหน้ามาเอ่ย “ฆ่าเศษสวะพวกนี้สนุกนักหรือไง?!”
เฝิงอี้แห่งจวนราชครูยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่แน่ว่าอาจตกปลาใหญ่จากตำหนักเกล็ดทองได้ตัวหนึ่ง”
ในสถานที่ที่ห่างจากห้องโถงใหญ่ของพรรคเจิงหรงมาอีกช่วงระยะทางหนึ่ง
บุรุษหนุ่มที่รับหน้าที่เป็นอาจารย์ของโรงเรียนต่อจากอาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะ เสียงหยันไม่หยุด เขาลุกขึ้นยืน กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง กระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็เด้งออกมาจากใต้ดิน เขาถือกระบี่เดินข้ามประตูใหญ่ของโรงเรียน เดินไปบนถนนเส้นใหญ่ ตรงดิ่งไปยังสถานที่ที่อันตรายแห่งนั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างตำหนักเกล็ดทองและราชวงศ์ต้าจ้วนเลวร้าย ทั้งสองฝ่ายขาดก็แค่ยังไม่ได้ฉีกหน้าแตกหักกันโดยตรงก็เท่านั้น
ในเมื่อเรื่องนี้ยุติลงแล้ว เขาก็ไม่ถือสาหากจะถือโอกาสสังหารผู้ฝึกลมปราณโอสถทองคนหนึ่งของต้าจ้วน หากเขามองไม่ผิด มือกระบี่หญิงที่อายุยังน้อยคนนั้นเป็นลูกศิษย์ ที่หญิงชราขอบเขตแปดผู้นั้นรักใคร่มากที่สุด หากสองคนนี้ตายไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสูญเสียดาบวิเศษที่สามารถสยบเจียวน้ำได้ไปด้วย กลับมีเพียงตู้อิ๋งเท่านั้นที่ไม่ตาย แค่นี้ก็มากพอจะทำให้ฮ่องเต้แคว้นจินเฟยร้อนใจหัวหูไหม้ ถูกกำหนดมาแล้วว่า จะไม่สามารถให้คำอธิบายแก่ฮ่องเต้สกุลโจวต้าจ้วนได้
ทางฝั่งของหน้าผา เฉินผิงอันปล่อยมือ ปล่อยให้ร่างร่วงดิ่งลงมาเบื้องล่าง อย่างรวดเร็ว
พอขยับเข้าใกล้ด้านล่างสุดของหน้าผา ถึงได้ยื่นมือไปคว้าหน้าผาเอาไว้ ชะลอความเร็วในการร่วงลง พอพลิ้วกายลงบนพื้นก็เดินช้าๆ จากไปไกล มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นการล่าเหยื่อที่แผนการถูกจัดวางไว้อย่างลึกล้ำยาวไกล
แม้จะบอกว่าทุกคนต่างก็มีสิ่งที่ตัวเองต้องการ
แต่หากเผยกายอย่างแท้จริง เดินเข้าไปในสถานการณ์นั้น ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไร ก็ไม่แน่ว่าอาจยิ่งตายเร็วเท่านั้น
เฉินผิงอันไม่คิดจะไปมีส่วนร่วม
กากเดนราชวงศ์ก่อนที่หนีออกจากเมืองหลวงมาได้ ฮ่องเต้แคว้นจินเฟยที่ ยึดครองราชย์บัลลังก์ ตู้อิ๋งบุตรบุญธรรมที่สร้างความวุ่นวายให้แก่ยุทธภพ หลินซูพรรคเจิงหรงที่สวามิภักดิ์ต่อราชสำนัก ผู้ฝึกตนตำหนักเกล็ดทองที่ให้การปกป้องคุ้มครององค์ชายอย่างลับๆ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดของต้าจ้วน ผู้ฝึกตนโอสถทอง จวนราชครู เจียวน้ำที่จะทำให้น้ำท่วมกลบทับเมืองหลวงต้าจ้วน
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบบางท่านของราชวงศ์ต้าจ้วน กับเซียนกระบี่ใหญ่ที่ผูก ปมแค้นต่อกัน
เฉินผิงอันจากไปไกลทั้งอย่างนี้
ส่วนเมืองเล็กบนยอดเขาที่อยู่ด้านหลังก็จะต้องมีเรื่องราวที่สลับซับซ้อนเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ความสุขความทุกข์ การพบพรากจากลาของแต่ละคน บางคนอาจตายไปโดยที่ยังไม่รู้สาเหตุเลยด้วยซ้ำ
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตำหนักเกล็ดทองซึ่งคิดว่าคืนนี้ มิอาจมีใครต่อกรกับเขาได้ พลันมีรูเล็กๆ โผล่มาตรงหว่างคิ้ว ก่อนที่เส้นแสงหนึ่ง จะเปล่งวาบ ตามมาด้วยโอสถทองในร่างที่ถูกปั่นคว้านจนเละ
ก่อนจะตาย ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำเบิกตากว้าง พึมพำว่า “เซียนกระบี่จีเยว่…”
เพียงไม่นานศพของเขาก็หลอมละลายกลายเป็นกองเลือดกองหนึ่ง
บนภูเขาฝั่งตรงข้าม ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งเอาสองมือไพล่หลัง “โอสถทองตัวเล็กๆ ก็กล้ามาทำลายเรื่องดีๆ ของข้าอย่างนั้นหรือ? ชีวิตหน้าหากยังมีโอกาสไปเกิดใหม่ต้องหัดเรียนรู้เอาจากคนหนุ่มผู้นั้นที่สามารถหนีพ้นหายนะมาได้ถึงสองครั้งเสียบ้าง”
เพียงชั่วพริบตา
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยก็มาหยุดอยู่ข้างกายคนชุดเขียว เดินเคียงบ่าไปด้วยกัน พลางยิ้มเอ่ยว่า “คนต่างถิ่น เจ้าสัมผัสถึงความผิดปกติได้อย่างไร? ลองเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม? หรือว่าตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าเพียงแค่คิดจะชมเรื่องสนุกเท่านั้น? มองดูแล้วเจ้ายังอายุ ไม่มาก แต่กลับทำอะไรรอบคอบไม่น้อย”
เฉินผิงอันถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ เท้ายังคงก้าวเดินไม่หยุดนิ่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าเชิญใช้เหยื่อตัวใหญ่ตกปลาตัวใหญ่ได้ตามสบาย ผู้น้อยไม่กล้าเข้าไปเหยียบในน้ำขุ่นบ่อนี้”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยลูบคลำศีรษะ “เจ้าคิดว่ากากเดนราชวงศ์ก่อนผู้นั้นตายไปแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันตอบ “น่าจะเป็นวิธีขโมยคานเปลี่ยนเสาของตระกูลเซียน มีเลือดมังกรไหลเวียนอยู่ในร่าง แต่กลับไม่ใช่เมล็ดพันธ์มังกรที่แท้จริง หลินซูคือบุรุษผู้แข็งแกร่ง ที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้องค์ก่อนอย่างแท้จริง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปกป้องเมล็ดพันธ์บัณฑิตผู้นั้นให้ได้ พวกตู้อิ๋งถูกเขาตบตาเสียแล้ว ผู้ฝึกตนเฒ่าตำหนักเกล็ดทองผู้นั้น ก็เป็นคนเด็ดขาดมากพอ ช่วยเขาปิดฟ้าข้ามมหาสมุทร ส่วนคนหนุ่มผู้นั้นก็ยิ่งมี จิตใจละเอียดรอบคอบ ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่หลินซูคนเดียวคงยากที่จะทำได้ ถึงขั้นนี้ แต่สำหรับท่านอาจารย์ผู้เฒ่าแล้ว การต่อยตีกันเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขา ล้วนเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น ถึงอย่างไรหากเมล็ดพันธ์มังกรของราชวงศ์ก่อนแห่งแคว้นจินเฟยไม่ตายก็ย่อมดีกว่า ดาบวิเศษที่สามารถสยบเผ่าพันธุ์เจียวหลงเล่มนั้นขาดแรงไฟไปอีกนิด ซึ่งนั่นกลับยิ่งเป็นการดี ดังนั้นเดิมทีหากยอดฝีมือที่เก็บตัวสันโดษอย่างแท้จริงอยู่ในพรรคเจิงหรงยอมอยู่เฉยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องตายภายใต้กระบี่บินของท่านอาจารย์ผู้เฒ่า”
“ยอมทำตามอย่างว่าง่าย อะไรที่รู้ก็พูดหมดไม่หมกเม็ด ผ่านพ้นหายนะไปได้ อีกรอบแล้ว”
หลังจากผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยพูดจบก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจุ๊ปากชื่นชม “น่าสนใจๆ แต่น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ”
คนหนุ่มชุดเขียวที่สวมงอบผู้นั้นหยุดฝีเท้า ยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าอย่าได้ข่มขู่ข้าเลย ข้าเป็นคนขี้ขลาด หากยังปล่อยปราณสังหารอบอวลเช่นนี้ และถ้าต่อสู้กันขึ้นมาข้าต้องสู้อาจารย์ผู้เฒ่าไม่ได้แน่ ต่อให้สู้สุดชีวิตก็ยังไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องได้แต่ยกอาจารย์และศิษย์พี่ของตัวเองมาพูดถึงแล้ว เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ”
ผู้เฒ่าร่างเล็กตัวแผดเสียงหัวเราะดังลั่น มองคนหนุ่มแล้วพยักหน้ารับ “ฉลาดไม่เบา สมควรแล้วที่มีชีวิตอยู่รอด หล่อเหลาและเจ้าเล่ห์พอๆ กับข้าตอนที่ยังเป็นหนุ่ม ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันครึ่งตัว หากสุดท้ายข้าสามารถสังหารตาเฒ่านั่นได้จริงๆ เจ้าก็มาหาข้าที่ภูเขาวานรคำราม หากมีคนขัดขวางก็บอกไปว่าเจ้ารู้จักผู้เฒ่าแซ่จี คนหนึ่ง ใช่แล้ว เจ้าฉลาดขนาดนี้ อย่าได้คิดจะส่งข่าวไปแจ้งฮ่องเต้สกุลโจวของต้าจ้วนเด็ดขาดเชียว จะได้ไม่คุ้มเสียเอา”
เฉินผิงอันถอนหายใจ
เป็นจีเยว่ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินแห่งภูเขาวานรคำรามในตำนานคนนั้นจริงๆ เสียด้วย
เฉินผิงอันหันไปมองเมืองเล็กสว่างไสวที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเดียวดาย พลันถามว่า “อาจารย์ผู้เฒ่า ได้ยินมาว่าเซียนกระบี่ใหญ่สามารถออกกระบี่ได้รวดเร็วจนถึงขั้น ตัดสะบั้นผลกรรมบางอย่างได้เลย?”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยคิดแล้วก็ตอบว่า “ข้ายังทำไม่ได้”
แล้วคนทั้งสองก็เงียบกันไป
ผู้เฒ่าพลันส่ายหน้ากล่าวว่า “เด็กเช่นเจ้าโชคร้ายไปสักหน่อย ได้มาเจอกับข้า สองครั้งแล้ว แล้วก็เกือบจะตายไปสามครั้ง ยิ่งมองเจ้าก็ยิ่งอดนึกถึงเรื่องราวในอดีตไม่ได้จริงๆ”
เฉินผิงอันหัวเราะ “แค่ชินกับมันก็ดีเอง”
ผู้เฒ่าโบกมือ “ไปเถอะ คนฝึกกระบี่ อย่าได้ยอมรับชะตากรรมเกินไปนัก แบบนี้สิถึงจะถูก”
และจอมยุทธพเนจรชุดเขียวก็ก้าวยาวๆ จากไปจริงๆ
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยลูบคลำศีรษะ มองปิ่นหยกที่อยู่บนมวยผมของคนหนุ่มด้วยสายตาซับซ้อน แล้วจึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง ก่อนหน้านี้ที่เขาบอกว่าน่าเสียดายจริงๆ นั่นคือพูดถึงบัณฑิตที่กล้ากระทำการขัดต่อเจตนารมณ์สวรรค์อย่างแท้จริงผู้นั้น
สุดท้ายเขาก็อดไม่ไหว โบกชายแขนเสื้อสร้างฟ้าดินขนาดเล็กขึ้นมา จากนั้นถามว่า “เจ้าเป็นลูกศิษย์ของคนผู้นั้นแห่งแจกันสมบัติทวีปงั้นหรือ?”
คนผู้นั้นหันหน้ากลับมาแต่ไม่ได้เอ่ยคำใด
จีเยว่มีสีหน้าเฉยเมย เอาสองมือไพล่หลัง พูดเสียงทุ้มหนัก “อย่าทำให้อาจารย์ของตัวเองต้องขายหน้า”
คนผู้นั้นทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็ทำเพียงแค่พยักหน้ารับ
จีเยว่ยังคงไม่ถอนตราพันธนาการออก เขาพลันยิ้มเอ่ยว่า “ถ้ามีโอกาสก็บอกกับอาจารย์อาจั่วคนนั้นของเจ้าสักคำว่า อันที่จริงวิชากระบี่ของเขา…ไม่ได้สูงส่งขนาดนั้น ปีนั้นเป็นเพราะข้าประมาทเกินไป ขอบเขตก็ไม่สูงพอ ถึงได้ต้านรับกระบี่ของเขาไม่ได้”
คนหนุ่มมีสีหน้าปั้นยาก
จีเยว่โบกมือ “เตือนเจ้าสักคำ ทางที่ดีที่สุดควรเก็บปิ่นหยกชิ้นนี้ไปซะ เก็บซ่อนเอาไว้ให้ดี แม้จะบอกว่าปีนั้นข้าเป็นดั่งศาลาใกล้น้ำจึงได้ยลจันทร์ก่อน พอจะมองเห็นเบาะแสของอุบัติการณ์ทางทิศใต้อยู่บ้าง ถึงได้รู้สึกคุ้นตาเล็กน้อย ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ไม่เคยขยับเข้าไปพิศดูใกล้ๆ อย่างละเอียด แม้แต่ข้าก็ยังสัมผัสไม่ถึงความผิดปกติ แต่หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันหนึ่งในหมื่นขึ้นมาล่ะ? ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่ไม่ชอบรังแกเด็กรุ่นหลังอย่างข้าหรอกนะ ทุกวันนี้พวกเซียนกระบี่ผายลมสุนัขที่ยังอยู่ใน อุตรกุรุทวีป ขอแค่พวกเขามองตัวตนของเจ้าออก ก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่า จะอดใจไม่ไหวอยากปล่อยกระบี่ใส่เจ้า ส่วนข้อที่ว่าสังหารเจ้าแล้วจะทำให้ อาจารย์อาจั่วของเจ้าโมโหจนต้องขึ้นฝั่งมาเยือนอุตรกุรุทวีปหรือไม่นั้น
สำหรับพวกลูกกระต่ายขอบเขตก่อกำเนิด ขอบเขตหยกดิบที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเหล่านี้ นั่นมีแต่จะเป็นความสุขในชีวิต ไม่กลัวตายเลยสักนิดจริงๆ นี่ก็คือกระแส ความนิยมในอุตรกุรุทวีปของพวกเรา ดี แล้วก็ไม่ดี”
คนหนุ่มหันกลับมาเอ่ยถาม “ปีนั้นผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปที่ออกทะเลไปออกกระบี่ก่อนใคร ก็คืออาจารย์ผู้เฒ่า? เหตุใดข้าเปิดรายงานข่าวภูเขาแม่น้ำมากมาย ถึงได้มีเพียงแค่การคาดเดา ไม่มีบันทึกที่ระบุไว้อย่างแน่ชัด?”
จีเยว่พูดอย่างฉุนปนขัน “เจ้าพวกคนรายงานข่าวที่เหมือนหนูขุดรูอยู่ใต้ดินเหล่านั้น ต่อให้รู้ว่าเป็นข้าจีเยว่ แต่พวกเขาจะกล้าระบุชื่อแซ่ของข้าหรือ? เจ้าลองดูเซียนกระบี่อีกสามคนที่ตามหลังมา มีใครบ้างที่รู้? อีกอย่างวันหน้าเวลาลงจากเขามาฝึกประสบการณ์ก็ควรต้องระวังตัวสักหน่อย ต้องระวังตัวเหมือนอย่างในคืนนี้ เจ้าไม่มีทางรู้เลยว่าคนชักใยดึงเชือกอยู่เบื้องหลังหุ่นเชิดอย่างพวกมดตัวน้อยตัวนิดเหล่านั้น แท้จริงแล้วเป็นเทพเจ้าจากฝ่ายใดกันแน่ พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย พวกคนอย่างตู้อิ๋งมองหลินซู เจ้ามองตู้อิ๋ง ข้ามองเจ้า แล้วใครเล่าจะรู้ว่ามีหรือไม่มีคนที่กำลังมองข้าจีเยว่อยู่หรือไม่? ผู้ฝึกตนบนภูเขากี่มากน้อยที่ตายไปแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ล่างภูเขาเลย โรคที่รักษายากแค่ไหนก็ยังรักษาได้ มีเพียง คำว่าโง่คำเดียวเท่านั้นที่ไร้ยารักษา”
คนหนุ่มกุมหมัดกล่าวว่า “คำสั่งสอนของท่านอาจารย์ผู้เฒ่า ผู้น้อยจดจำไว้แล้ว”
จีเยว่โบกมือ แล้วร่างของเขาก็หายวับไป
เฉินผิงอันเดินออกห่างมาจากยอดเขาเจิงหรง ออกเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์เพียงลำพังต่อไป
ยุทธภพก็เป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องเจอคลื่นลมมรสุมอะไรบ้าง
เข้าสู่ช่วงหน้าฝน
เฉินผิงอันจึงเลือกเดินอ้อมราชวงศ์ต้าจ้วนมุ่งหน้าไปยังแคว้นใต้อาณัติที่อยู่ ติดทะเลแห่งหนึ่งโดยตรง
บนสะพานเลียบหน้าผา ฝนเม็ดใหญ่ตกกระหน่ำ เฉินผิงอันก่อกองไฟขึ้นกองหนึ่ง เหม่อมองไปยังม่านฝนด้านนอก พอฝนตก ไอร้อนที่อบอวลอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ก็ลดหายไปมาก
สายฝนกระหน่ำ พรำเสียงเนิบ ต้นหลิ่วลู่เรียง ใบบัวเกลี้ยงกลม ขุนเขาเขียวขจี หนทางยาวไกล ความคิดล่องไป ความคิดถึงล่องลอย