Skip to content

Sword of Coming 519

บทที่ 519 เรื่องราวบนโลกเกินจะหยั่งเหมือนดั่งสถานการณ์บนกระดานหมากล้อม

บนเส้นทางชาม้าโบราณ ม้าแต่ละตัวพากันชักหัวหันกลับแล้วควบขี่มาทาง สตรีสวมหมวกผ้ากับบัณฑิตที่สะพายหีบไม้ไผ่ช้าๆ

เฉาฟู่มีสีหน้าตกตะลึง “ท่านลุงสุย จิ่งเฉิงทำอะไรน่ะ?”

รองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยซินอวี่ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าแก่ๆ ของตนไปไว้ที่ไหน ในใจเต็มไปด้วยไฟโทสะ แต่กระนั้นก็ยังพยายามกดน้ำเสียงให้สงบนิ่ง ยิ้มกล่าวว่า “จิ่งเฉิงไม่ชอบออกจากบ้านมาตั้งแต่เด็กแล้ว บางทีวันนี้ได้เห็นเหตุการณ์ที่น่าอกสั่นขวัญผวามากไปก็เลยเสียสติไปเล็กน้อย เฉาฟู่เดี๋ยวเจ้าก็ปลอบใจนางสักหน่อยเถิด”

เฉาฟู่พยักหน้ารับ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ท่านลุงสุยโปรดวางใจ จิ่งเฉิงเสียขวัญแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติ”

สุยเหวินฝ่าประหลาดใจเป็นที่สุด เขาพึมพำกับตัวเองว่า “แม้ว่าอาหญิงจะไม่ค่อยชอบออกจากบ้าน แต่เวลาปกติก็ไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา ในบ้านมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นมากมาย ท่านพ่อท่านแม่ของข้าต่างก็ตื่นตระหนกลนลาน มีเพียงอาหญิงที่สุขุมมีสติมากที่สุด เวลาได้ยินท่านพ่อเล่าถึงปัญหายากๆ ในวงการขุนนางก็ล้วนเป็น ท่านอาที่คอยช่วยวางแผนออกอุบายให้อย่างเป็นระบบระเบียบ มีขั้นมีตอนอย่างยิ่ง”

เฉาฟู่ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจเอ่ยกับผู้ปกป้องมรรคาคนนั้น “มองตื้นลึก ออกหรือไม่?”

เซียวซูเย่มือดาบลังเลเล็กน้อย ก่อนจะใช้เสียงในใจตอบกลับ “ไม่อาจดูแคลน ทางที่ดีที่สุดอย่าผูกปมแค้นเงื่อนตายกับเขาเด็ดขาด ตอนนี้ทุกหนแห่งในราชวงศ์ต้าจ้วนมีแต่คลื่นใต้น้ำ อย่างพวกเราก็ยังต้องออกมาจากอาณาเขตของสำนัก ไม่ใช่หรือ?

สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ามีตะพาบน้อยใหญ่ตัวใดบ้างที่คลานออกมาจากบ่อลึก ยกตัวอย่างเช่นหากเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งของตำหนักเกล็ดทอง นั่นก็จะต้องเดือดร้อนให้อาจารย์ของเจ้าพัวพันมีปัญหากับตำหนักเกล็ดทองไปด้วย”

เฉาฟู่กล่าว “เว้นเสียแต่ว่าเขายืนกรานจะแย่งชิงสุยจิ่งเฉิงไป ไม่อย่างนั้นทุกเรื่องก็ล้วนคุยกันได้”

เซียวซูเย่พยักหน้ารับ “หากเป็นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด ดูจากท่าทางของคนผู้นั้น เขาไม่เหมือนคนที่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องด้านล่างภูเขา ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ก็คง ไม่ออกมาจากศาลาก่อน”

เฉาฟู่ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “กลัวก็แต่ว่าพวกเราเป็นนกขมิ้นที่รออยู่ด้านหลังตั๊กแตน จับจักจั่น ส่วนเขาเป็นคนยิงหนังสติ๊ก แท้จริงแล้วตั้งใจมาหาเรื่องพวกเราตั้งแต่แรก”

เซียวซูเย่ยิ้มกล่าว “หากเป็นเช่นนี้จริงจะยังทำอย่างไรได้อีก ก็ต้องสู้กันสักตั้ง นั่นแหละ สุยจิ่งเฉิงคือคนที่อาจารย์ของเจ้าต้องครอบครองให้จงได้ บนร่างของนาง มีโชควาสนาใหญ่ ในเมื่อเขาค้นพบเบาะแสก่อนพวกเราก็อย่าได้ลังเลอีก บนมหามรรคา เมื่อพลาดโชควาสนาไปครั้งหนึ่ง ชั่วชีวิตนี้ก็อย่าหวังว่าจะไขว่คว้า ไว้ได้อีก สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ก็เป็นเพราะนายท่านหวังดีต่อเจ้า และเจ้า กับสุยจิ่งเฉิงเดิมทีก็มีเส้นใยเชื่อมโยงกันไว้ ยิ่งเป็นเจ้าที่ค้นพบถึงความล้ำค่าของ ชุดคลุมอาคมตัวนั้นบนร่างนางก่อนใคร ดังนั้นโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ ก็ควรได้มาอยู่ในมือของเจ้าครึ่งหนึ่ง”

เซียวซูเย่ชำเลืองตามองบัณฑิตชุดเขียวที่อำพรางตัวตนได้อย่างลึกล้ำคนนั้น “หากเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง ขอแค่ไม่ได้อยู่ระหว่างข้าเซียวซูเย่กับหวังตุ้นแห่งแคว้นอู่หลิง แต่ถ้าลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายตรงอีกแปดคนนั้นก็คงจัดการได้ง่าย หากเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง โดยที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนตำหนักเกล็ดทองที่มีแผนการยิ่งใหญ่อย่างที่ นายท่านเคยเล่าให้ฟังก็จัดการได้ง่ายอีกเหมือนกัน

เมื่อครู่นี้ที่เตือนให้เจ้าระวัง อันที่จริงก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเกินไปนัก ทุกวันนี้ยอดฝีมือส่วนใหญ่ล้วนไปรวมตัวอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นต้าจ้วนกันหมดแล้ว”

เฉาฟู่พยักหน้ารับ “ค่อยๆ ดูกันไปทีละก้าวแล้วกัน ให้แน่ใจในตัวตนของเขาก่อน ยังไม่ต้องรีบร้อนสังหาร ดูเหมือนว่าสุยจิ่งเฉิงจะเกิดคลางแคลงในตัวพวกเราแล้ว น่าแปลกนัก สตรีผู้นี้มองออกได้อย่างไร?”

ซูเซียวเย่ยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งเข้าเรือนของเจ้าคนนี้ก็เป็น ผู้ฝึกตนครึ่งตัวแล้ว จิตใจและลางสังหรณ์ย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบเคียงได้ คราวนี้พวกเราวางแผนไว้ตื้นเขินเกินไปหน่อย เหตุการณ์บังเอิญเกินไป ย่อมทำให้นางเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าก็อาจจะเป็นเพราะนางจงใจหลอกเจ้า เจ้าต้องอดทนข่มกลั้นเอาไว้สักหน่อย ไม่ต้องพูดอะไรแต่ให้รับมืออย่างระมัดระวัง สตรีที่ความคิดความอ่านรอบคอบ อีกทั้งยังยอมละทิ้งศักดิ์ศรีหน้าตาทุ่มเดิมพัน ก้อนใหญ่เช่นนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นตัวอ่อนในการฝึกตน เหมาะสมคู่ควรกับเจ้า อย่างแท้จริง วันหน้าเมื่อกลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันแล้วจะต้องช่วยเหลือเจ้า และสำนักได้มากอย่างแน่นอน ขอข้าพูดมากสักคำ นายท่านแค่ต้องการชุดคลุมอาคมและปิ่นทองของนางเท่านั้น ตัวนาง ถึงอย่างไรก็ยังต้องเป็นของเจ้า”

เฉาฟู่กล่าวอย่างจนใจ “อาจารย์ดีกับข้ายิ่งกว่าบุตรชายแท้ๆ ของตัวเองเสียอีก เรื่องนี้ข้ารู้ดี”

เซียวซูเย่คลี่ยิ้ม คำพูดบางอย่างไม่ได้เอ่ยออกไปเพราะจะทำให้เสียความรู้สึก เหตุใดนายท่านถึงดีกับเจ้าขนาดนี้ เจ้าเฉาฟู่อย่าได้ยึดครองความได้เปรียบแล้ว ยังไม่รู้จักพอ จะดีจะชั่วนายท่านก็เป็นผู้ฝึกตนหญิงโอสถทองคนหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะตอนนี้ตบะของเจ้าเฉาฟู่ยังต่ำต้อย ยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตชมมหาสมุทร และ ยังห่างจากขอบเขตประตูมังกรอีกยาวไกลจนแทบไม่อาจนับวันรอ ไม่อย่างนั้น ป่านนี้พวกเจ้าสองอาจารย์และศิษย์คงกลายเป็นคู่บำเพ็ญตนบนภูเขาไปนานแล้ว ดังนั้นถึงได้บอกว่าหากสุยจิ่งเฉิงผู้นี้กลายเป็นสตรีของเจ้าจริงๆ

พอไปอยู่บนภูเขาก็มีแต่ต้องรับความทุกข์ทน ไม่แน่ว่าพอได้ชุดคลุมอาคม ผ้าโปร่งบางอย่างเสื้อไผ่และปิ่นทองสามชิ้นนั้นไปแล้ว อาจารย์ของเจ้าอาจจะบอก ให้เจ้าบดโครงกระดูกสาวงามกับมือตัวเองก็เป็นได้

เซียวซูเย่เชื่อมั่นว่าหากถึงวันนั้นจริงๆ เฉาฟู่ย่อมเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างไม่มีความลังเล

มหามรรคาไร้ความรู้สึก บนเส้นทางของการเป็นอมตะ นอกจากคู่รักเทพเซียนที่มีพันธะผูกพันกันบนมหามรรคาแล้ว สตรีก็เหมือนพื้นรองเท้าที่ต่อให้จะงามล่มบ้านล่มเมืองปานไหน ก็สามารถถูกเปลี่ยนถูกทิ้งได้ทุกเมื่อ

ม้าแต่ละตัวเดินหน้ามาอย่างเชื่องช้าราวกับกลัวว่าจะทำให้สตรีที่กลับมา สวมหมวกม่านอีกครั้งตกใจ

นางลุกขึ้นยืน ขยับมาอยู่ด้านหลังคนหนุ่มชุดเขียวอีกครั้งแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “คุณชายเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าคือเทพเซียนบนภูเขาที่แท้จริง อีกทั้งยังไม่มีเจตนาร้าย ต่อตระกูลสุยของพวกเราด้วย เพียงแค่ก่อนหน้านี้รู้สึกผิดหวัง คร้านจะถือสาพวกเรา ก็เท่านั้น ทว่าเฉาฟู่ผู้นี้มีจิตใจชั่วช้า เขาจงใจวางแผนขุดหลุมให้ข้าลงไปติดกับ ขอแค่วันนี้เจ้าช่วยข้า ข้าก็ยอมเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้า! ต่อให้ต้องทำหน้าที่เป็นสาวใช้คอยยกน้ำส่งชา แบกหีบหาบของ ข้าสุยจิ่งเฉิงก็ยินยอมพร้อมใจจะเป็น!”

คนหนุ่มที่หันตัวกลับไปเผชิญหน้ากับม้าหลายตัวหันหน้ากลับมา โบกพัดเบาๆ พลางกล่าวว่า “เลิกพูดจาเหลวไหลเสียที ชายชาตรีในยุทธภพทำความดีผดุงคุณธรรมไม่เคยหวังสิ่งตอบแทน คำพูดตามมารยาททำนองว่าจะใช้ร่างกายตอบแทน จะเป็นวัวเป็นม้าอะไรนั่น พูดให้น้อยๆ หน่อยเถอะ ระวังว่าจากที่อยากอวดฉลาด สุดท้าย จะกลายเป็นแสดงความโง่เขลา ใช่แล้ว เจ้าคิดว่าหูซินเหวยจอมยุทธใหญ่หูผู้นั้นสมควรตายไหม?”

สตรีสวมหมวกคลุมหน้าครุ่นคิดหาถ้อยคำที่เหมาะๆ อยู่ครู่หนึ่ง บางทีคงคิดว่าเซียนซือหนุ่มผู้นี้กำลังทดสอบสติปัญญาของตนอยู่ นางถึงได้ตอบอย่างระมัดระวัง “เขาแค่ขี้ขลาดไร้ความกล้าหาญ แต่ยังไม่เคยฆ่าใคร ไม่ควรมีโทษถึงตาย”

คนผู้นั้นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “นี่เจ้าเป็นคนพูดเองนะ ไม่เปลี่ยนใจแน่หรือ?”

นางพยักหน้ารับหนักๆ

คนผู้นั้นหุบพัดเข้าด้วยกัน เอามาเคาะไหล่ตัวเองเบาๆ ร่างเอนมาด้านหลังเล็กน้อยพร้อมกับหันหน้ามายิ้มกล่าว “จอมยุทธใหญ่หู เจ้าไสหัวไปได้แล้ว”

หูซินเหวยตื่นตระหนกจนไม่คิดจะเลือกเส้นทางให้ดี ร่างของเขากระโดดผลุงขึ้นสูง กระโจนออกห่างไปจากเส้นทางชาม้าโบราณโดยตรง แล้ววิ่งตะบึงลงจากเขาไป ตลอดทาง มีมาดแห่งความกล้าหาญพร้อมบุกฝ่าขวากหนามอย่างยิ่ง เพียงแค่ไม่กี่ ชั่วกะพริบตา ร่างก็หายไปไม่เหลือร่องรอย

ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันแค่สิบก้าวกว่า สุยซินอวี่ก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “เด็กโง่ อย่าก่อเรื่องเหลวไหล รีบกลับมาเร็วเข้า เฉาฟู่ยังลุ่มหลงในตัวเจ้าไม่มากพออีกหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำแบบนี้เป็นการทำเรื่องโง่ๆ ของคนที่ตอบแทนบุญคุณคนด้วยความแค้น?!”

พูดมาถึงช่วงท้าย รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่มีฝีมือการเล่นหมากล้อมเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นก็แสดงสีหน้าเดือดดาล ตวาดเสียงกร้าว “ขนบธรรมเนียมของตระกูลสุย ถูกต้องเที่ยงตรงมาทุกรุ่นทุกสมัย จะมีการกระทำเช่นนี้ได้อย่างไร! ต่อให้เจ้าไม่ยินดีแต่งงานกับเฉาฟู่อย่างขอไปที ยังไม่อาจยอมรับวาสนาคู่ครองที่มาเยือน อย่างกะทันหันนี้ได้ แต่ว่าพ่อก็ดี หรือเฉาฟู่ที่ตั้งใจเดินทางมาแต่กลับต้องมาเสียใจ ก็ช่าง พวกเราล้วนเป็นคนมีเหตุผล หรือเจ้าจะต้องทำตัวมุทะลุวู่วามแบบนี้เพื่อให้พ่อลำบากใจให้จงได้? จะให้คนสกุลสุยของพวกเราอับอายขายหน้าอย่างนั้นหรือ?!”

เด็กหนุ่มสุยเหวินฝ่าและเด็กสาวสุยซินอี๋ต่างก็ตกใจจนใบหน้าซีดขาว

พวกเขาไม่เคยเห็นท่านปู่มีโทสะเกรี้ยวกราดขนาดนี้มาก่อน

สตรีสวมหมวกคลุมหน้ายิ้มขื่นเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ลูกรู้แค่เรื่องเดียว ผู้ฝึกตน ไร้ความรู้สึกที่สุด วาสนาคู่ครองในโลกโลกีย์ พวกเขามีแต่จะรีบหลบเลี่ยงยังไม่ทัน”

เฉาฟู่เอ่ยเสียงเบาด้วยสายตาอ่อนโยน “แม่นางสุย รอให้เจ้ากลายเป็นผู้ฝึกตน บนภูเขาอย่างแท้จริงเมื่อไหร่ก็จะรู้เองว่าบนภูเขาก็มีคู่บำเพ็ญตนอยู่เหมือนกัน คู่ที่ได้รู้จักกันตั้งแต่ตอนอยู่ล่างภูเขาแล้วสานวาสนากันต่อบนภูเขาก็ยิ่งมีน้อยดุจ ขนหงส์เขากิเลน ข้าเฉาฟู่จะไม่ทะนุถนอมเห็นค่าได้อย่างไร? อาจารย์ของข้าคือ เซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง คือผู้ฝึกตนผู้บรรลุมรรคาบนยอดเขาอย่างแท้จริง ท่านผู้อาวุโสปิดด่านมานานหลายปี ออกจากด่านมาครั้งนี้จึงช่วยทำนายชะตาให้ข้า เห็นว่าดาวหงหลวน (ดาวมงคลที่เหมาะแก่การแต่งงาน การมีบุตร) ขยับเคลื่อน ด้วยเหตุนี้ยังสอบถามอักษรเกิดแปดตัวของเจ้าและข้าสองคน พอทำนายออกมาแล้วก็ได้แค่แปดคำว่า คู่สร้างคู่สม ร้อยปียากจะพานพบ”

สตรีสวมหมวกม่านลังเลอยู่เล็กน้อย นางบอกว่ารอสักครู่ จากนั้นก็หยิบ เหรียญทองแดงกำหนึ่งจากชายแขนเสื้อมากำไว้ในฝ่ามือข้างขวา ครั้นจึงชูแขนขึ้นสูง แล้วโยนลงบนฝ่ามือข้างซ้ายเบาๆ

นางพลิกๆ หยิบๆ สุดท้ายเงยหน้าขึ้น กำเหรียญทองแดงที่อยู่ในฝ่ามือไว้แน่น ยิ้มเศร้าสร้อย “เฉาฟู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดทั้งที่ปีนั้นงานแต่งครั้งแรกของข้า ไม่สำเร็จผล แต่ข้ากลับยังมวยผมทรงสตรีที่แต่งงานแล้ว วางตัวเหมือนหญิงหม้าย? ภายหลังต่อให้ท่านพ่อของข้าตกลงเรื่องงานแต่งกับครอบครัวเจ้าได้สำเร็จแล้ว ข้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนทรงผม นั่นเป็นเพราะข้าอาศัยศาสตร์นี้ทำนายออกมา บัณฑิต ที่ตายไปก่อนวัยอันควรผู้นั้นต่างหากถึงจะเป็นคู่ครองที่ดีของข้าในชาตินี้ หาใช่เจ้า เฉาฟู่ไม่ เมื่อก่อนไม่ใช่ ตอนนี้ก็ยังคงไม่ใช่ ตอนนั้นหากครอบครัวของเจ้าไม่เจอ กับหายนะ ข้าก็คงแต่งงานกับเจ้าตามประสงค์ของครอบครัว เพราะถึงอย่างไร คำสั่งของบิดาก็ยากจะคัดค้าน

แต่ในเมื่อผ่านครั้งนั้นมาแล้ว ข้าก็สาบานกับตัวเองว่าชีวิตนี้จะไม่แต่งงานอีก ดังนั้นต่อให้ท่านพ่อบีบบังคับให้ข้าแต่งงานกับเจ้า ต่อให้ข้าเข้าใจเจ้าผิด ข้าก็ยังคงสาบานว่าจะไม่แต่งงาน!”

นางขว้างเหรียญทองแดงกำนั้นลงบนพื้นอย่างแรง พลันดึงปิ่นทองอันหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วแทงทะลุผ่านผ้าโปร่งบางที่ห้อยลงมาจากหมวกบนศีรษะ ทิ่มเข้าที่ลำคอของตนอย่างรวดเร็ว เลือดสดซึมออกมา นางมองไปยังผู้เฒ่าที่อยู่ บนหลังม้า พูดเสียงสะอื้น “ท่านพ่อ ยอมให้ลูกเอาแต่ใจตัวเองสักครั้งเถิด”

สุยซินอวี่โมโหจนใช้หมัดทุบขาตัวเอง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “เนรคุณ เนรคุณจริงๆ แล้ว เหตุใดข้าถึงให้กำเนิดลูกเวรที่ถูกผีบังตาบังใจอย่างเจ้าได้นะ! เทพนำมามอบให้ในความฝัน คำทำนายของยอดฝีมืออะไรนั่น…”

สุยซินอวี่โกรธเกรี้ยวจนพูดจาสะเปะสะปะ

เฉาฟู่ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ท่านลุงสุย ไม่อย่างนั้นก็ยกเลิกไปดีไหม? ข้าไม่อยากเห็นจิ่งเฉิงต้องลำบากใจเช่นนี้”

บัณฑิตชุดเขียวใช้พัดไม้ไผ่ดันหน้าผาก สีหน้าเหมือนคนปวดหัว “สรุปว่าพวกเจ้าจะเล่นบทไหนกันแน่ คนหนึ่งก็เป็นสตรีที่จะฆ่าตัวตาย คนหนึ่งก็ตาเฒ่าที่จะบีบให้ ลูกสาวแต่งงาน คนหนึ่งคือเซียนซือคนดีที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่น คนหนึ่งคือเด็กหนุ่ม ที่ใฝ่ฝันจินตนาการอยากมีอาเขยกับเขาเร็วๆ คนหนึ่งก็เด็กสาวที่รักแรกผลิบาน จึงยังคิดไม่ตกว่าจะเอาอย่างไร อีกคนก็เป็นปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพที่กำลังลังเลว่าควรจะหาข้ออ้างลงมือดีหรือไม่ นี่มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? ตอนอยู่ที่ศาลา ต่อยตี เข่นฆ่ากันเสร็จไปแล้วหนหนึ่ง แต่นี่มันเรื่องในบ้านของพวกเจ้านะ ไม่ควรรีบกลับบ้านไปปิดประตูปรึกษาวางแผนกันดีๆ หรอกหรือ?”

ม้าตัวหนึ่งค่อยๆ ควบเคลื่อนผ่านเฉาฟู่และสุยซินอวี่ที่เดิมทีหยุดม้าเคียงบ่ากันมา เอ่ยถามว่า “ข้าน้อยเซียวซูเย่แห่งแคว้นชิงสือ ไม่ทราบว่าสำนักของคุณชายคือ?”

เผชิญหน้ากับคนที่เพียงแค่ยกมือขึ้นง่ายๆ ก็สามารถทำให้เหรียญทองแดงทั้งหลายที่หล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้นลอยค้างขึ้นกลางอากาศ เฉินผิงอันก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้ถวายงานของตำหนักเกล็ดทอง ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองตัวเล็กๆ คนหนึ่ง บังเอิญนัก ข้าเองก็เพิ่งออกจากด่านมาได้ไม่นาน เห็นพวกเจ้าสองคนแล้วไม่ค่อย ถูกชะตานัก กำลังคิดว่าจะเลียนแบบพวกเจ้า ทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามดูสักครั้ง”

จากนั้นคนผู้นั้นก็หันหน้าไปยิ้มเยาะใส่สตรีสวมหมวกคลุมหน้า “มีใครเขา โยนเหรียญทองแดงแล้วทำนายส่งเดชแบบนี้บ้าง เจ้าคิดจะหลอกผีหรือไง?”

นางยังคงยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ใช้ปิ่นทองทิ่มลำคอตัวเองไว้อย่างนั้น

เฉาฟู่พูดด้วยเสียงในหัวใจ “อาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่า ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตำหนักเกล็ดทองเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่งจริงๆ พลังการสังหารรุนแรงมาก!”

เซียวซูเย่มือดาบที่เพิ่งเลื่อนสู่สิบอันดับใหม่ล่าสุดพยักหน้ารับเบาๆ ใช้เสียงในหัวใจตอบกลับ “เรื่องนี้สำคัญมาก ชุดคลุมอาคมและปิ่นทองบนร่างของสุยจิ่งเฉิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาถาบทนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวพันกับโชควาสนา บนมหามรรคาของนายท่าน ดังนั้นเราจะถอยไม่ได้ ต่อจากนี้ข้าจะลงมือหยั่งเชิง คนผู้นั้นดู หากเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของตำหนักเกล็ดทองจริงๆ เจ้ารีบหนีไปทันที ข้าจะช่วยถ่วงเวลาไว้ให้ แต่หากเป็นตัวปลอมก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องห่วงแล้ว”

คนผู้นั้นบิดหมุนข้อมือ โบกพัดพับเบาๆ เหรียญทองแดงทั้งหลายก็ลอยขึ้นลอยลงตามจังหวะการโบกพัด เขาจุ๊ปากเอ่ยว่า “พี่ชายมือดาบท่านนี้ ปราณสังหารบนร่างช่างเข้มข้นยิ่งนัก ไม่ทราบว่าปราณดาบจะมีน้ำหนักสักกี่จิน ไม่รู้ว่าเมื่อเทียบกับ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ของข้าแล้ว จะเป็นดาบแห่งยุทธภพที่เร็ว หรือจะเป็นกระบี่บินบนภูเขาที่เร็วกว่ากันแน่”

ประกายแสงเส้นหนึ่งพลันพุ่งพรวดออกมาจากหว่างคิ้วของบัณฑิตชุดเขียว

กระบี่บินขนาดจิ๋วของเซียนกระบี่เล่มนั้นเพิ่งจะปรากฎตัว ร่างของเซียวซูเย่ ก็ถอยกรูดไปด้านหลัง คว้าจับไหล่ของเฉาฟู่แล้วทะยานตัวขึ้นจากพื้นดิน จากนั้น ก็พลันเปลี่ยนวิถีพลิกตัวกลับ เหยียบลงบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ พุ่งทะยานออกไป

ทว่าคนชุดเขียวกลับมายืนอยู่บนยอดกิ่งไม้ที่เซียวซูเย่เหยียบผ่านไปก่อนหน้านี้แล้ว “หากมีโอกาส ข้าจะไปหาเจ้าเซียวซูเย่และเฉาเซียนซือที่แคว้นชิงสือ”

ระหว่างที่เขาพูด

เซียวซูเย่ผู้นั้นก็พลิกมือขว้างยันต์สีทองแผ่นหนึ่งมาด้านหลัง

เพียงแต่ว่าถูกแสงกระบี่เส้นหนึ่งปักตรึงเข้าไปในแก่นของยันต์ จากนั้นแผ่นยันต์ ก็หมุนคว้างเข้าไปอยู่ในมือของเซียนกระบี่หนุ่ม พอถูกเขากำไว้ในมือก็ระเบิดแตกกลายเป็นผุยผง

เซียวซูเย่ยิ่งทะยานหนีจากไปเร็วมากกว่าเดิม

เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของตำหนักเกล็ดทองผู้นั้นจริงๆ ด้วย!

บัณฑิตชุดเขียวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วก็พลิ้วกายลงบนเส้นทางชาม้าโบราณ ทั้งอย่างนั้น ในมือเขาถือพัด ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โดยทั่วไปแล้ว พวกเจ้าควรจะซาบซึ้งใจจนน้ำหูน้ำตาไหล เอ่ยขอบอกขอบใจจอมยุทธใหญ่ จากนั้นจอมยุทธใหญ่ก็จะพูดว่าไม่เป็นไรๆ แล้วจากไปอย่างสง่างาม ทว่าในความเป็นจริงแล้ว…ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”

มือข้างหนึ่งของเขาคว้าจับความว่างเปล่า ไม้เท้าเดินป่าสีเขียวสดปลั่งที่ก่อนหน้านี้ถูกเขาเสียบไว้บนพื้นข้างทางก็ทะยานขึ้นจากพื้นดิน บินเข้ามาหาเขาด้วยตัวเอง ถูกเขากุมไว้ในกำมือ แล้วก็คล้ายจะนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงชี้ไปยังผู้เฒ่า ที่นั่งอยู่บนหลังม้า “บัณฑิตอย่างพวกเจ้าน่ะ จะว่าเลวก็ไม่เลว จะว่าดีก็ไม่ดี จะว่าฉลาดก็ฉลาดอยู่หรอก แต่จะบอกว่าโง่ก็โง่นัก ช่างทำให้คนโมโหตายได้จริงๆ มิน่าเล่าถึงได้เป็นสหายกับชายชาตรีที่สาบานว่าจะร่วมเป็นร่วมตายอย่าง จอมยุทธใหญ่หูได้ ข้าแนะนำพวกเจ้าว่าวันหน้าอย่าได้ไปด่าเขาเลย ข้าว่าเจ้าคบสหายต่างวัยคนนี้ก็นับว่าไม่เสียเปล่า ใครก็อย่าได้กล่าวโทษใคร”

เขาชี้ไปที่เด็กหนุ่ม “ต่อให้มีนิสัยดีแค่ไหน แต่ถูกกล่อมเกลาอยู่ในครอบครัวเช่นนี้ คาดว่าคงหนีไม่พ้นกลายเป็นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าคนถัดไปที่เล่นหมากล้อมเก่ง แต่ไม่รู้จักวางตัวเป็นคนอยู่ดี”

จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่เด็กสาว “เกิดจิตใจอิจฉาริษยาต่อญาติสนิทของตน ไม่สมควรเลย”

ต่อมาเขาก็หันหน้าไปยิ้มเอ่ยกับสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้า “อันที่จริงก่อนที่เจ้า จะหยุดม้าลากข้าลงน้ำ ความประทับใจที่ข้ามีต่อเจ้านับว่าไม่เลว ครอบครัวใหญ่ ขนาดนี้ ก็มีแต่เจ้าที่คล้ายว่าจะ…เป็นคนดีที่ฉลาดที่สุด แน่นอนว่าเมื่อเจ้าคิดว่าตนเองอยู่บนเส้นแบ่งความเป็นความตาย จึงลองเดิมพันดูสักตั้ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ของมนุษย์ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่เสียเปรียบ หากเดิมพันชนะก็รอดพ้นหายนะไปได้ สามารถหนีออกจากหลุมพรางของคนทั้งสองได้สำเร็จ แต่หากแพ้ ก็หนีไม่พ้น แค่เข้าใจเซียนซือใหญ่ที่มีใจรักหลงในตัวเจ้าไม่แปรเปลี่ยนผิดไป สำหรับเจ้าแล้ว ไม่มีความเสียหายใดๆ ดังนั้นโชคในการเดิมพันของเจ้า…ไม่เลวเลยจริงๆ”

สุดท้ายบัณฑิตชุดเขียวถามว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือพวกเราต่างก็แพ้? แล้วข้าจะต้องตาย ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ศาลา ข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่กลับไม่เคยทำเรื่องให้เดือดร้อนพวกเจ้าทั้งครอบครัว ไม่ได้จงใจจะตีสนิทกับพวกเจ้า ไม่ได้เปิดปากขอยืมเงินหลายสิบตำลึงนั้นจากพวกเจ้า เรื่องดีไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นดียิ่งกว่าเดิม เรื่องเลวร้ายก็ไม่ได้เลวร้ายลงกว่าเดิม ถูกไหม? เจ้าชื่ออะไรแล้วนะ? สุยอะไร? เจ้าลองถามใจตัวเองดูเถิด คนอย่างเจ้าต่อให้ฝึกวิชาตระกูลเซียนได้สำเร็จ กลายเป็นคนบนภูเขาเฉกเช่นเฉาฟู่ เจ้าจะดีกว่าเขาจริงๆ หรือ? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”

คนผู้นั้นเดินออกไปหนึ่งก้าว มองดูเหมือนเป็นก้าวปกติทั่วไป ทว่ากลับขยับ ห่างไปไกลหลายสิบจั้ง พริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เหลือเงา

เหรียญทองแดงเหล่านั้นร่วงกราวลงบนพื้นนานแล้ว

สตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าเก็บปิ่นทองลงไป ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น ใบหน้าที่อยู่ด้านหลังผ้าโปร่งบางไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ นางค่อยๆ เก็บเหรียญทองแดงมาทีละเหรียญ

นางเก็บเหรียญทองแดงใส่ไว้ในชายแขนเสื้อเสร็จแล้วก็ยังไม่ได้ลุกขึ้นยืน สุดท้ายนางค่อยๆ ยกมือขึ้น ยื่นฝ่ามือผ่านผ้าโปร่งบางเข้าไปเช็ดดวงตา พูดเสียงสะอื้น แผ่วเบา “นี่ต่างหากจึงจะเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง ข้ารู้อยู่แล้ว ไม่ได้ต่างจากเซียนกระบี่ในจินตนาการของข้าเลย เป็นข้าที่พลาดโชควาสนาบนมหามรรคาครั้งนี้ไป…”

ทางฝั่งของตีนเขา

หูซินเหวยหลบอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับหน้าผาหินแห่งหนึ่งด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากหนีไปให้ไกลอีกหน่อย เพียงแต่ว่านอกภูเขาแห่งนี้ไม่มีสิ่งใด ที่จะช่วยปกปิดอำพรางตนได้ หูซินเหวยกลัวว่าตัวเองวิ่งไปวิ่งมาจะไปสะดุดตาใครเข้า แล้วต้องเจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัวอีกครั้ง

ผลคือจู่ๆ ดวงตาของเขาก็พร่าลาย เข่าของหูซินเหวยอ่อนยวบ เกือบจะล้มลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น เขายื่นมือไปจับหินผา พูดเสียงสั่นว่า “หูซินเหวยคารวะเซียนซือ”

บัณฑิตหนุ่มชุดเขียวสวมงอบผู้นั้นยิ้มบางๆ กล่าวว่า “บังเอิญยิ่งนัก พวกเราสองพี่น้องได้กลับมาเจอกันอีกแล้ว หนึ่งเท้าหนึ่งหมัดหนึ่งก้อนหิน ครบสามครั้งพอดี ทำไม จอมยุทธใหญ่หูเห็นว่าฐานกระดูกของข้าไม่เลวก็เลยอยากจะรับข้าเป็นศิษย์อย่างนั้นหรือ?”

หูซินเหวยถอนหายใจ “จะฆ่าจะแกง เซียนซือก็บอกมาได้เลย!”

บัณฑิตหนุ่มมีสีหน้าเลื่อมใส “จอมยุทธใหญ่ท่านนี้ช่างมีความกล้าหาญยิ่งนัก!”

หนึ่งฝ่ามือตบลงบนไหล่ของหูซินเหวยเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าแปลกใจยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในศาลา เจ้ากับหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นรวมเสียงให้เป็นเส้นพูดคุยเรื่องอะไรกัน? การวางแผนใช้อุบายครั้งนี้ของพวกเจ้านี้ แม้จะไม่มีอะไรน่าดูชม แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย ถือเสียว่าช่วยฆ่าเวลาให้ข้าก็แล้วกัน”

ไหล่ของหูซินเหวยเอียงกะเท่เร่ ความเจ็บปวดแล่นปราดเข้าสู่ไขกระดูก แต่เขาไม่กล้าส่งเสียงร้อง ได้แต่ปิดปากตัวเองแน่นสนิท รู้สึกเพียงว่ากระดูกหัวไหล่แหลกละเอียดไปหมดแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ร่างของเขายังค่อยๆ ทรุดตัวลงคุกเข่าช้าๆ อย่างที่ไม่อาจบังคับตัวเองได้ ส่วนคนผู้นั้นกลับเพียงแค่ค้อมเอวน้อยๆ ฝ่ามือยังคงวางอยู่บนหัวไหล่ของหูซินเหวยเบาๆ สุดท้ายหูซินเหวยคุกเข่าอยู่กับพื้น คนผู้นั้นค้อมเอวยื่นมือมาข้างหน้า ยิ้มตาหยีมองจอมยุทธใหญ่หูที่ชะตาชีวิตรันทดผู้นี้

คนผู้นั้นปล่อยมือ เอาหีบไม้ไผ่ที่สะพายอยู่ด้านหลังพิงหน้าผาหิน หยิบกาเหล้า ใบหนึ่งออกมาดื่ม ก่อนจะวางลงตรงหน้าแล้วกดลง ก็ไม่รู้ว่าเขากำลังกดอะไรอยู่ กันแน่ ทว่าเมื่ออยู่ในสายตาของหูซินเหวยที่ถูกเหงื่อเย็นๆ ไหลมาบดบังการมองเห็น แต่กระนั้นก็ยังพยายามเบิกตากว้างกลับรู้สึกถึงเพียงความลี้ลับแปลกประหลาด ที่ทำให้จิตใจของคนหนาวเหน็บ บัณฑิตผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อันที่จริงการช่วย หาเหตุผลให้เจ้าได้มีชีวิตอยู่ต่อเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ตอนอยู่ในศาลา ด้วยสถานการณ์ ที่บีบบังคับ จำต้องดูคอยการเปลี่ยนแปลงเพื่อประเมินสถานการณ์ สังหารพี่ใหญ่สุย ที่สมควรแล้วที่ดวงซวย เก็บสตรีสองคนที่ฝั่งตรงข้ามหมายตาเอาไว้ แล้วมอบให้แก่เจียวแม่น้ำขุ่นผู้นั้นเพื่อสวามิภักดิ์ ให้ตัวเองได้มีชีวิตรอด ภายหลังอยู่ดีๆ ก็มีลูกเขย ที่พลัดพรากจากกันไปหลายปีโผล่มา ทำให้เจ้าสูญเสียความสัมพันธ์ควันธูป กับเจ้ากรมผู้เฒ่าคนหนึ่งไป กลับกลายเป็นว่าต้องกลายมาเป็นศัตรูกันแทน ยากที่จะซ่อมแซมความสัมพันธ์ให้กลับคืนมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก ดังนั้นพอเห็นข้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าเป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่ง ทว่าเพียงเพราะข้าไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง แต่กลับยังมาเดินกระโดดโลดต้นอยู่บนถนนได้

นี่จึงทำให้ไฟโทสะของเจ้าผุดพุ่ง เพียงแต่ว่าไม่ทันกะกำลังของตัวเองให้ดี ลงมือหนักไปสักหน่อย จำนวนครั้งก็มากไปสักหน่อย ถูกต้องไหม?”

หูซินเหวยคุกเข่าอยู่บนพื้น ส่ายหน้ากล่าว “ข้าสมควรตาย”

คนผู้นั้นยกเท้ากระทืบลงบนหลังเท้าของหูซินเหวย กระดูกเท้าของเขาปริแตก หูซินเหวยก็ได้แต่กัดฟันไม่ส่งเสียงร้อง จากนั้นคนผู้นั้นก็เตะเข้าที่หน้าผากของ หูซินเหวย ศีรษะของฝ่ายหลังฝังแน่นอยู่กับหินหน้าผา

บัณฑิตค้อมเอว ใช้ข้อศอกยันหัวเข่า ยิ้มถามว่า “รู้ว่าตัวเองสมควรตายก็ดีแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องช่วยหาเหตุผลให้เจ้า”

หูซินเหวยหน้าไร้สีเลือด พูดเสียงสั่นว่า “ขอร้องท่านเพียงเรื่องเดียว เซียนซือ จะฆ่าข้าก็ได้ แต่ขอร้องเซียนซือโปรดอย่าทำร้ายคนในครอบครัวข้า!”

บัณฑิตผู้นั้นหรี่ตามองหูซินเหวย หูซินเหวยพยายามเปล่งเสียงเปิดปากพูด “ขอเซียนซือโปรดรับปากด้วย!”

จากนั้นหูซินเหวยก็เห็นว่าบัณฑิตหนุ่มผู้นั้นคลี่ยิ้ม “เหตุผลข้อนี้ ข้ารับไว้แล้ว ลุกขึ้นมาเถอะ จะดีจะชั่วก็ยังพอเหลือกระดูกสันหลังอยู่บ้าง อย่าให้ข้าไม่ทันระวัง ทำมันหัก คนคนหนึ่งเมื่อคุกเข่านานเข้าจะติดจนกลายเป็นนิสัยเอาได้”

หูซินเหวยโงนเงนลุกขึ้นยืน แต่เขากลับก้มหน้าลงเช็ดน้ำตา

เวลานี้ไม่ใช่การเสแสร้งทำตัวให้ดูน่าสงสารใดๆ ทั้งสิ้น

นาทีก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าตัวเองต้องตายแน่แล้ว ทำให้ไพล่นึกไปถึงว่า ในครอบครัวมีคนอยู่มากมายขนาดนั้น พวกเขาอาจต้องเจอกับเปลวเพลิงแห่งตระกูลเซียนที่ไม่มีใครหนีรอดมาได้ เลือดอาจนองเป็นสายน้ำภายในค่ำคืนเดียว คนมากมายนึกจะตายก็ตายไปไม่มีเหลือ

คนผู้นั้นดื่มเหล้าหนึ่งอึก “ว่ามาสิ ก่อนหน้านี้เจ้าคุยอะไรกับหยางหยวน?”

หูซินเหวยเอาหลังพิงหินหน้าผา ข่มกลั้นต่อความเจ็บปวดทรมานที่ส่งมาจาก สามจุดในร่างกายอย่างศีรษะ หัวไหล่และหลังเท้า ไม่กล้าปกปิดเรื่องใด แข็งใจ พูดเสียงขาดๆ หายๆ ว่า “ข้าบอกกับหยางหยวนผู้นั้นว่า เรื่องน้อยใหญ่ทั้งในและ นอกตระกูลสุย ข้าล้วนคุ้นเคยดี หลังจบเรื่องสามารถมาถามข้าได้ ตอนนั้นหยางหยวนรับปากแล้ว บอกว่านับว่าข้าฉลาด”

เฉินผิงอันดื่มเหล้า พยักหน้ารับ “อันที่จริงในแต่ละช่วงเวลา ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทุกคนต่างก็เลือกในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว”

จากนั้นหูซินเหวยก็เห็นว่าคนหนุ่มที่จิตใจลึกล้ำเกินจะหยั่งผู้นี้เปลี่ยนสีหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยกเว้นข้า”

บัณฑิตชุดเขียวทอดสายตามองทัศนียภาพที่ห่างไปไกล เอ่ยถามชวนคุยว่า “เคยได้ยินชื่อตำหนักเกล็ดทองที่ตั้งอยู่ในภูเขาลึกชายแดนของต้าจ้วนไหม?”

หูซินเหวยพยักหน้ารับ “เคยได้ยินพวกผู้อาวุโสหวังตุ้นพูดถึงจวนตระกูลเซียนแห่งนั้นในงานเลี้ยงหนึ่งที่มีจำนวนคนไปร่วมงานน้อยมาก ตอนนั้นข้าได้แต่นั่งอยู่ตำแหน่งปลายแถว แต่กลับได้ยินอย่างชัดเจน และยังรู้สึกเลื่อมใสต่อสามคำว่า ตำหนักเกล็ดทองที่ผู้อาวุโสหวังตุ้นพูดถึงเป็นอย่างยิ่ง เขาบอกว่าเจ้าตำหนักเป็นเซียนบนภูเขาที่ขอบเขตสูงมากคนหนึ่ง ต่อให้เป็นราชวงศ์ต้าจ้วนก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีแค่ เจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นและเทพีแห่งการต่อสู้เท่านั้นที่พอจะงัดข้อกับเขาได้”

บัณฑิตผู้นั้นหลุดหัวเราะพรืด “ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ไม่ถึงขอบเขตเก้าก็กล้าเรียกตัวเองว่าเทพีแห่งการต่อสู้อย่างนั้นหรือ?”

หูซินเหวยเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ก็แค่คำเรียกขานอย่างให้ความเคารพที่คนในยุทธภพอย่างพวกเรามีต่อปรมาจารย์หญิงท่านนั้น ก็เท่านั้น นางไม่เคยเรียกตัวเองเช่นนี้มาก่อน”

บัณฑิตชุดเขียวดื่มเหล้าหนึ่งอึก “มียาวิเศษประเภทยารักษาบาดแผลก็รีบเอาออกมาทาซะ อย่าปล่อยให้เลือดไหลจนตาย ข้าคนนี้ไม่มีนิสัยแย่ๆ ที่ชอบช่วยเก็บศพให้คนอื่น”

หูซินเหวยถึงได้รู้สึกเหมือนได้รับการอภัยโทษ เขารีบทรุดตัวลงนั่ง ควักขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาแล้วเริ่มกัดฟันทามันลงบนบาดแผล

คนผู้นั้นพลันถามว่า “ยาขวดนี้มีราคาเท่าไร?”

หูซินเหวยรีบเงยหน้าขึ้น ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “เป็นยาสูตรลับของหมู่บ้านเซียนฉ่าวแคว้นอู่หลิงพวกเรา หาได้ยากมากที่สุด แล้วก็แพงที่สุด ต่อให้เป็นคนที่มีพรรคเป็นของตัวเองอย่างข้าที่ยังพอจะถือว่ามีช่องทางหาเงินอยู่บ้าง ปีนั้นซื้อยานี้มาสามขวด ก็ยังเสียดายเงินแทบตาย แต่เพราะอาศัยว่าเคยได้ดื่มเหล้าร่วมกับผู้อาวุโสหวังตุ้น ครั้งนั้น ทางหมู่บ้านเซียนฉ่าวถึงได้ยินดีขายให้ข้าสามขวด”

คนผู้นั้นกล่าว “หาเงินและใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพไม่ง่ายเลยจริงๆ”

เวลานี้หูซินเหวยรู้สึกว่าต่อให้ลมพัดนกร้องตนก็หวาดผวาไปหมด มารดามันเถอะ งานชุมนุมพืชหญ้านี่เป็นคำอัปมงคลเสียจริง วันหน้าข้าผู้อาวุโสจะไม่เหยียบย่างเข้าไปในราชวงศ์ต้าจ้วน ไม่ไปเยือนงานชุมนุมพืชหญ้ากับมารดามันนั่นอีกเลยตลอดชีวิต

คนผู้นั้นพลันก้มหน้ายิ้มถามว่า “เจ้ารู้สึกว่าชื่อเสียงของผู้ถวายงานที่เป็น ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของตำหนักเกล็ดทอง มากพอจะทำให้เฉาเซียนซือกับเซียวซูเย่ ผู้นั้นตกใจกลัวจนหนีไปได้หรือไม่?”

หูซินเหวยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ “น่าจะเพียงพอแล้ว”

แต่แล้วหูซินเหวยก็นั่งแปะลงไปบนพื้น คิดแล้วก็เอ่ยใหม่ว่า “หรืออาจจะไม่แน่เสมอไป?”

บัณฑิตชุดเขียวเองก็ปลดหีบไม้ไผ่ลง แล้วหยิบกระดานหมากและโถใส่เม็ดหมากออกมา เขาเองก็นั่งลงด้วย ก่อนยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าสี่คนในครอบครัวของสุยซินอวี่สมควรตายไหม?”

หูซินเหวยส่ายหน้า ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “มีอะไรให้สมควรตายกัน ชื่อเสียงในวงการขุนนางของสุยซินอวี่ไม่เลวมาโดยตลอด แล้วก็วางตัวได้ดีพอสมควร ก็แค่ค่อนข้าง จะรักในชื่อเสียงของตัวเอง ไม่สนใจผู้อื่น ชอบรักษาตัวรอดหาประโยชน์ใส่ตัว อยู่ในวงการขุนนาง ไม่ได้ทำงานจริงๆ จังๆ สักเท่าไร แต่บัณฑิตที่เป็นขุนนางก็ล้วนเป็นอย่างนี้กันไม่ใช่หรือ? คนที่ไม่รบกวนชาวบ้านไม่ทำร้ายราษฎร ทำความดีบ้าง ไม่มากก็น้อยอย่างสุยซินอวี่นี้ อยู่ในแคว้นอู่หลิงก็ถือว่าดีแล้ว แน่นอนว่าข้าจงใจ ผูกมิตรกับตระกูลสุยก็เพื่อชื่อเสียงของตัวเองในยุทธภพ คนที่ได้รู้จักกับรองเจ้ากรม ผู้เฒ่าคนนี้ ในยุทธภพแคว้นอู่หลิงของพวกเรา อันที่จริงก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน แน่นอนว่า สุยซินอวี่เองก็อยากจะให้ข้าช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ ให้เขาได้รู้จักกับผู้อาวุโสหวังตุ้น แต่ข้าจะมีปัญญาไปแนะนำเขากับผู้อาวุโสหวังตุ้นได้อย่างไร ก็เลยได้แต่หาข้ออ้างปฏิเสธไปเรื่อย ผ่านไปหลายครั้งเข้า สุยซินอวี่ก็ไม่พูดถึงอีก ด้วยรู้ว่าข้าลำบากใจ ตอนแรกก็แค่คุยโว้โอ้อวดยกสถานะของตนไปอย่างนั้น นี่ก็ถือเป็นความมีน้ำใจของสุยซินอวี่”

บัณฑิตชุดเขียวไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น ประกบสองนิ้ว ในมือก็มีกระบี่บินของเซียนในตำนานเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

หูซินเหวยกลืนน้ำลาย

เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูลเซียนตำหนักเกล็ดทองนั่นจริงๆ หรือ? มองดูเหมือนยังหนุ่ม แต่แท้จริงกลับเป็นเซียนกระบี่ที่มีอายุหลายร้อยปีแล้ว?

ทว่าบัณฑิตผู้นั้นกลับทำเพียงแค่ใช้มือข้างหนึ่งคีบเม็ดหมาก มืออีกข้างใช้ กระบี่บินเล่มนั้นแกะสลักลงไป คล้ายว่าจะเขียนชื่อของใครบางคน พอแกะสลักเสร็จก็วางลงบนกระดานหมากเบาๆ

หูซินเหวยครุ่นคิด ดูเหมือนว่าตอนแรกสุดที่เจอกันในศาลา คนตระกูลเซียนตรงหน้าผู้นี้ก็กำลังเล่นหมากล้อมกับตัวเองอยู่เช่นกัน ภายหลังสุยซินอวี่ขอประลองฝีมือด้วย เซียนซือผู้นี้ก็ไม่ได้เอาเม็ดหมากสามสิบกว่าเม็ดที่อยู่บนกระดานใส่กลับ ลงไปในโถ แต่รวบเอามาไว้ข้างกาย มีความเป็นไปได้ว่าหมากบางเม็ดจะสลักชื่อเอาไว้เหมือนอย่างที่เขาทำตอนนี้? ที่ทำอย่างนั้นก็เพราะกลัวว่ายามที่สุยซินอวี่คีบเม็ดหมากขึ้นมาจะสังเกตเห็นร่องรอยเล็กๆ น้อยๆ นี่?

คนผู้นั้นคีบเม็ดหมากขึ้นมาอีกครั้งพลางถามว่า “หากตอนนั้นข้าได้ยินไม่ผิด เจ้าคือเจ้าประมุขพรรคเหิงตู้แห่งแคว้นอู่หลิง?”

หูซินเหวยยิ้มเฝื่อนเอ่ยว่า “เป็นที่ขบขันของเซียนซือแล้ว”

คนผู้นั้นพลิกหมากเม็ดที่แกะสลักชื่อลงไปเมื่อครู่กลับด้าน แล้วแกะสลักลงไป อีกสามคำว่าพรรคเหิงตู้ แล้วถึงได้วางลงบนกระดานหมาก

แล้วจากนั้นก็แกะสลักเม็ดหมากอีกสิบกว่าเม็ด ก่อนจะทยอยกันวางลง บนกระดาน

แสงกระบี่เส้นนั้นพุ่งวาบหายเข้าไปในหว่างคิ้วของเขา

จากนั้นหูซินเหวยก็สังเกตเห็นว่าเซียนกระบี่ตัวจริงเสียงจริงคนนี้เริ่มเหม่อลอย

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในศาลา เห็นได้ชัดว่าเขาคือคนที่เล่นหมากล้อมได้ห่วยแตกซึ่งแม้แต่เขาหูซินเหวยก็ยังสามารถเอาชนะได้อย่างสบายๆ

แต่นาทีนี้ หูซินเหวยกลับรู้สึกเพียงว่าคนที่ ‘เล่นหมากล้อม’ เพียงลำพังตรงหน้า ผู้นี้ลึกลับเกินจะหยั่ง ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง

เฉินผิงอันวางไม้เท้าเดินป่าอันนั้นพาดไว้บนหัวเข่าแล้วใช้มือถูเบาๆ

สถานการณ์หมากในเมืองเล็กบนยอดเขาเจิงหรงก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะคนหรือเรื่องราวก็ล้วนเหมือนหมากแต่ละเม็ดที่หยั่งรากลงบนจุดเสี่ยง หมากทุกเม็ดล้วน แฝงไว้ด้วยความอันตราย แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา

ต่อให้เซียนกระบี่ใหญ่จีเยว่แห่งภูเขาวานรคำรามผู้นั้นจะไม่ได้ปรากฏตัว ไม่ได้ลงมือสังหารผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของตำหนักเกล็ดทองอย่างง่ายๆ ด้วยการโจมตีเดียว นั่นก็ถือเป็นสถานการณ์หมากดีเยี่ยมที่มีความมหัศจรรย์อยู่ไม่ขาดตอน

น่าเสียดายก็แต่สถานการณ์หมากกระดานนั้น เฉินผิงอันไม่อาจเดินเข้าไปใน เมืองเล็ก ไม่สามารถสืบเสาะเส้นสายทุกเส้นอย่างละเอียดได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าประมุขหลินซู องค์ชายของราชวงศ์ก่อน สายลับของราชสำนักแคว้นจินเฟยที่ถูกจัดตัวให้มาแอบแฝงอยู่ในพรรคเจิงหรง ผู้ฝึกตนเฒ่าแห่งตำหนักเกล็ดทองที่ต่อให้ตาย ก็ต้องปกป้องสถานะขององค์ชายเอาไว้ให้ได้ ฯลฯ พวกเขาเหล่านี้ล้วนจะต้องกลาย มาเป็นหมากอันมหัศจรรย์ที่สามารถสำแดงศักยภาพบนกระดานหมากได้ด้วยตัวเอง คือเม็ดหมากที่อาศัยความสามารถความอดทนของตัวเองอย่างแท้จริง จนกลายมาเป็นดั่งคนที่มีชีวิตอยู่บนกระดานหมาก ไม่ได้เป็นดั่งวัตถุไร้ชีวิตอีกต่อไป

ส่วนสถานการณ์หมากในศาลาของวันนี้ ทุกจุดล้วนน่าสะอิดสะเอียนชวนคลื่นเหียน จิตใจของคนขึ้นลงไม่หยุดนิ่ง ดีเลวพลิกผันแต่กลับไม่มีอะไรทำให้คน รู้สึกประหลาดใจ ไม่อาจทนรับการหยั่งเชิงเลียบเคียงใดๆ ได้ ไร้ซึ่งประโชน์ จะดีก็ไม่ดี แต่จะเลวก็ไม่เลวไปยังไง

รองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยซินอวี่เป็นคนเลว? แน่นอนว่าไม่ใช่ คำพูดคำจาและ การกระทำล้วนสุภาพสง่างาม ฝีมือในการเล่นหมากล้อมก็ยอดเยี่ยม

เพียงแค่ดีแต่รักษาตัวรอด เชี่ยวชาญในการหลบเลี่ยงหายนะก็เท่านั้น ขนาดหูซินเหวยยังรู้สึกว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าไม่สมควรตาย แต่แน่นอนว่า หูซินเหวยไม่มีทางรู้เลยว่า คำตอบนี้ของเขา บวกกับคำขอร้องก่อนตายก่อนหน้านี้ได้ช่วยชีวิตเขาไว้สองครั้ง

ถือว่าเป็นการชดเชยการ ‘หยั่งเชิง’ สองครั้งจากที่ใช้ทั้งหมัดเท้าและก้อนหินสามครั้งของเขาก่อนหน้านี้ แต่ยังมีอีกครั้งหนึ่ง หากตอบผิด เขาหูซินเหวยก็ยังต้องตายอยู่ดี

หูซินเหวยผู้นี้สมกับเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ ก่อนจะมาถึงศาลา เขาเองก็ยินดี จะคุ้มกันสุยซินอวี่เดินทางด้วยระยะทางยาวไกลเพื่อไปเยือนเมืองหลวงต้าจ้วน ขอแค่ไม่มีอันตรายที่ร้ายแรงถึงชีวิต เขาก็ยังคงเป็นจอมยุทธใหญ่หูผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งยุทธภพคนนั้น

มีประโยคหนึ่งที่ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีพูดได้ดี ไม่เจอเป็นตาย ไม่พบวีรบุรุษ แต่หากตายไปแล้วก็ดูเหมือนว่ามันก็มีแค่นั้นเอง

มรสุมที่เกิดขึ้นในศาลา สุยซินอวี่ที่ยังมึนๆ งงๆ หยางหยวนที่มาร่วมแสดงด้วยหนึ่งฉาก เฉาฟู่ที่ตบะสูงที่สุดทว่ากลับมีกลอุบายลึกล้ำที่สุด สามฝ่ายนี้ หากจะพูดถึงชื่อเสียงด้านความชั่วร้าย บางทีอาจจะไม่มีใครเทียบกับหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่น ผู้นั้นได้ แต่ตอนนั้นหยางหยวนกลับยอมปล่อยบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่งที่เพียงแค่เขา ดีดนิ้วก็สามารถบดขยี้อีกฝ่ายให้แหลกลาญได้ไป ถึงขั้นรู้สึกว่า ‘เฉินผิงอัน’ คนนั้นพอจะมีปณิธานมีความกล้าหาญอยู่บ้าง และยังมีเหนือกว่าสุยซินอวี่ที่มีชื่อเสียงอยู่ในสามวงการอย่างวงการขุนนาง วงการนักประพันธ์และวงการหมากล้อม

หูซินเหวยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับยอดฝีมือนอกโลกผู้นี้ บาดแผลนั้นเลือดหยุดไหลแล้ว แต่กลับยังเจ็บปวดอยู่มากจริงๆ

คนผู้นั้นถามชวนคุยโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขา “ผดุงคุณธรรมอยู่ในยุทธภพ หนึ่งหมัดต่อยให้ตัวการชั่วร้ายตาย ส่วนพวกลูกสมุนที่ช่วยคนเลวทำชั่วที่เหลืออยู่ ล้วนไม่มีโทษถึงตาย จอมยุทธใหญ่จึงทำการลงโทษไปรอบหนึ่ง ครั้นจึงจากไป พวกคนที่ได้รับความช่วยเหลือพากันโขกหัวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ เจ้าว่า จอมยุทธใหญ่ผู้นั้นสง่างามมากหรือไม่?”

หูซินเหวยหลุดปากตอบไปว่า “สง่างามกะผีน่ะสิ…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หูซินเหวยก็ตบบ้องหูตัวเองหนึ่งทีแล้วรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “เรียนเซียนซือ ไม่ถือว่าสง่างามอย่างแท้จริง หากเป็นจอมยุทธใหญ่ในหนึ่งเมือง หนึ่งแคว้นจริงๆ เมื่อช่วยเหลือคนในท้องที่แล้วก็ยังนับว่าพูดง่าย พวกคนชั่วร้าย ที่ตายแล้วก็ตายไป คนที่เหลือที่บาดเจ็บก็บาดเจ็บ เมื่อเคยเผชิญกับความยากลำบากมาก่อนก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะไม่กล้าเกิดความคิดชั่วร้ายต่อคนที่ถูกช่วยเหลือ อีกแล้ว แต่หากจอมยุทธใหญ่ผู้นั้นเพียงแค่เดินทางผ่านไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง พอเขาจากไป หนึ่งปีครึ่งปียังดีหน่อย แต่สามปีห้าปี ใครเล่าจะกล้ารับรองว่า พวกคนที่ถูกช่วยเหลือจะไม่มีจุดจบอเนจอนาถมากกว่าเดิม? ไม่แน่ว่าเดิมที เพียงแค่ลักพาตัวหญิงชาวบ้าน ถึงท้ายที่สุดอาจกลายเป็นคนทั้งตระกูลโดนฆ่า ถ้าเช่นนั้นโศกนาฎกรรมครั้งนี้ สุดท้ายแล้วควรจะโทษใคร จอมยุทธใหญ่คนนั้น ได้สร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้หรือไม่? ข้าว่าน่าจะใช่”

คนผู้นั้นพยักหน้ารับ “หากเจ้าเป็นจอมยุทธใหญ่คนนั้น จะทำอย่างไร?”

หูซินเหวยเอ่ยเนิบช้าว่า “ในเมื่อทำดีแล้วก็ทำให้ถึงที่สุด ไม่ต้องรีบร้อนจากไป พยายามใคร่ครวญถึงคนชั่วที่เหลืออยู่ซึ่งไม่อาจต่อยให้ตายได้ด้วยหมัดเดียวเหล่านั้นให้มาก อย่าได้วางมาดเป็นจอมยุทธใหญ่กับทุกเรื่อง คนชั่วจำเป็นต้องให้ คนชั่วเหมือนกันมารับมือ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงไม่รู้จักหลาบจำอย่างแท้จริง ต้องให้พวกเขากลัวเข้าไปถึงกระดูก ทางที่ดีที่สุดคือยามดึกดื่นที่นอนหลับก็ยังฝันร้ายจนต้องสะดุ้งตื่น ราวกับว่าทุกครั้งที่ลืมตาขึ้นมาในวันพรุ่งนี้ จอมยุทธใหญ่คนนั้น ก็จะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะสามารถปกป้องคนที่ถูกช่วยเหลือ ได้อย่างแท้จริง”

คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฟังเจ้าพูดได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ต้อง ใคร่ครวญหาถ้อยคำใดๆ คงจะเคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน แถมยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย?”

หูซินเหวยทนรับความเจ็บปวดไม่ไหวจริงๆ เขาจึงยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากอีกครั้งแล้วรีบพยักหน้ารับ “ตอนหนุ่มเคยทำเรื่องประเภทนี้มาก่อน ภายหลัง มีครอบครัวมีพรรคเป็นของตัวเองก็ไม่ค่อยได้ทำแล้ว หนึ่งเพราะไม่มีเวลามาสนใจเรื่องน่าหงุดหงิดใจได้มากมายขนาดนั้น นอกจากนี้ยังง่ายที่จะชักนำปัญหาให้มาพัวพันตัวเอง ไม่กล้าพูดว่าทุกที่ในยุทธภพล้วนเป็นน้ำลึก แต่น้ำนั่นกลับขุ่นมากจริงๆ ไม่มีใครกล้าพูดว่าตัวเองจะสมปรารถนาได้ทุกครั้ง คำกล่าวที่ว่ามีแค้นสิบปีค่อยชำระก็ยังไม่สาย ไม่ใช่คำกล่าวของคนดีที่ได้รับความอยุติธรรม มีแค้นล้ำลึกดุจ มหาสมุทรเลือดเท่านั้น ลูกหลานและสหายของคนชั่วคนเลวก็มีความอดทนมีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน”

คนผู้นั้นพยักหน้ารับ “ถือว่าเจ้าเป็นคนในยุทธภพที่เข้าใจการใช้ชีวิต วันหน้ายามใด ที่ต้องสูญเสียผลประโยชน์มหาศาล หรือสภาพจิตใจวุ่นวายสับสน ยังต้องกดกำราบเจียวชั่วร้าย…ความคิดชั่วร้ายในใจเอาไว้ให้ดี ไม่เกี่ยวกับว่าหลังจากเดือดดาลคลั่งแค้นแล้วจะทำอะไร เพราะถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นอย่างประโยคนั้นที่เจ้าเอ่ย น้ำในยุทธภพลึกอีกทั้งยังขุ่น ถึงอย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อนเป็นดี เจ้าได้ก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นจอมยุทธใหญ่ที่มีกิจการบ้านเรือนไม่เล็กอยู่ในยุทธภพแล้ว อย่าได้ทำให้ทุกอย่างที่เหนื่อยยากมาต้องเสียเปล่า เดือดร้อนคนในครอบครัว ทางที่ดีที่สุดคือ อย่าให้ตัวเองจมลงสู่สถานการณ์น่าลำบากใจอันเป็นจุดตัดระหว่างเส้นความดี และความเลว ไม่เกี่ยวข้องกับว่าจิตดั้งเดิมที่แท้จริงนั้นดีหรือเลว แต่นี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ไม่ว่าจะกับทั้งตัวเองหรือกับทั้งผู้อื่น”

หูซินเหวยมีสีหน้าเหลือเชื่อ

ทำไมถึงได้รู้สึกว่าตนจะต้องตายอีกครั้งหนึ่งแล้ว?

คำพูดประโยคนี้ก็คือ ข้าวหัวขาดหรือ? (อาหารมื้อสุดท้ายที่นักโทษได้กินก่อนตาย)

คนผู้นั้นโบกมือด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ไปอีกหรือ? ทำไม รังเกียจที่ตัวเองอายุยืน จะต้องอยู่พูดคุยกับข้าที่นี่ให้ได้? หรือรู้สึกว่าฝีมือเล่นหมากล้อมของข้าห่วยแตก เลยอยากจะลองเลียนแบบรองเจ้ากรมผู้เฒ่า ในเมื่อไม่อาจแข่งด้านหมัดได้ ก็เลยอยากจะลองพิฆาตความองอาจของข้าบนกระดานหมากดู?”

หูซินเหวยยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เฉินเซียนซือ ถ้าอย่างนั้นข้าไปจริงๆ แล้วนะ?”

คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ทำไม หรือยังต้องให้ข้าขอร้องเจ้าก่อน เจ้าถึงจะยอมไป?”

หูซินเหวยพูดติดๆ กันว่ามิกล้า หลังจากดิ้นรนลุกขึ้นยืนได้แล้วก็วิ่งกะเผลกๆ เผ่นหนีไป

คราวนี้กลับไม่กลัวเจ็บแล้ว

ใช้กระจกส่องตัวเอง ทุกที่กลับเห็นเป็นเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันหัวเราะ แล้วหันมาเพ่งมองกระดานหมากต่ออีกครั้ง หมากทุกเม็ด ล้วนเป็นคนแปลกหน้าอย่างพวกหูซินเหวย

เขารู้สึกว่ามีความหมายไม่มากก็เลยโบกชายแขนเสื้อเก็บมันมา เม็ดหมากขาวดำถูกเก็บใส่ไว้ในโถอย่างง่ายๆ ต่อให้สีจะปนกันก็ไม่เป็นไร จากนั้นเขาก็สะบัดชาย แขนเสื้อหนึ่งครั้ง โปรยเม็ดหมากที่ก่อนหน้านี้วางไว้บนกระดานในศาลาลงบนกระดานหมากตรงหน้า

เพ่งตามองหมากเหล่านั้น

เอามือหนึ่งเท้าคาง มือหนึ่งโบกพัด

สถานการณ์ในเมืองเล็กบนยอดเขาที่เป็นถิ่นของพรรคเจิงหรง หากไม่พูดถึง ระดับความสูงของขอบเขตและระดับความลึกล้ำอันซับซ้อน อันที่จริงก็มีส่วนคล้ายคลึงกับเส้นบางเส้นของบ้านเกิดตน

เงียบงันอยู่นาน ก่อนจะเก็บเม็ดหมากและอุปกรณ์การเล่นกลับไปใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ ทั้งงอบ ไม้เท้าเดินป่าและหีบไม้ไผ่ต่างถูกเก็บลงไปทั้งหมด เหน็บพัดไว้เรียบร้อย ก็เอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ตอนนี้ว่างเปล่าไร้กระบี่บินมาผูกไว้ตรงเอว

เฉินผิงอันเอายันต์แบกศิลาแผ่นหนึ่งแปะลงบนร่างตัวเอง เริ่มอำพรางร่องรอยอีกครั้ง

เรื่องบางอย่างจำเป็นต้องพิสูจน์สักหน่อย

และคำพูดบางอย่าง ก่อนหน้านี้เขาก็ลืมพูดไป

แต่อันที่จริงจะพูดหรือไม่พูดก็ไม่ได้สำคัญเท่าไรนัก คนมากมายบนโลกใบนี้ ยามที่ตัวเองต้องเปลี่ยนจากคนชมเรื่องตลกมากลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่นแทน ช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก ก็มีแต่จะโทษและเกลียดแค้นวิถีทางโลก ไม่คิดจะโทษตัวเองและหันกลับมาทบทวนตน นานวันเข้า คนบางคนในกลุ่มคนเหล่านี้ บางส่วนก็กัดฟันผ่านพ้นไปได้ รักษาความดีที่เป็นดั่งเมฆเคลื่อนคล้อย เห็นจันทร์กระจ่างเอาไว้ได้ ส่วนบางคนต่อให้เผชิญกับความทุกข์ยากก็ยังไม่รู้ตัว และหากได้มอบความทุกข์ทนให้กับคนอื่นได้ก็จะยิ่งรู้สึกสาแก่ใจ เรียกตัวเองให้น่าฟังว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง บิดามารดาไม่อบรมสั่งสอน เทพเซียนก็ยากจะดัดนิสัยคนเหล่านี้ได้

บนเส้นทางชาม้าโบราณที่มุ่งลงสู่ตีนเขา ม้าสี่ตัวของครอบครัวตระกูลสุย เคลื่อนลงจากเขาไปช้าๆ ต่างคนต่างจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง

ยังคงเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ทนไม่ไหว เปิดปากเอ่ยถามขึ้นมาก่อน “ท่านอา เฉาฟู่ผู้นั้นคือคนชั่วที่จิตใจอำมหิต กลุ่มของพวกเจียวแม่น้ำขุ่นหยางหยวน ก็เป็นเขาที่จงใจส่งตัวมาแสดงละครให้พวกเราดู ใช่หรือไม่?”

สตรีสวมหมวกคลุมหน้าหัวเราะเสียงเย็น “ถามท่านปู่ของเจ้าดูสิ เขามีฝีมือ เล่นหมากล้อมสูงส่ง ความรู้ก็กว้างขวาง มองคนได้แม่นยำ”

ผู้เฒ่าแค่นเสียงในลำคอหนึ่งที

เด็กสาวคนนั้นก็ยิ่งจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ร่างโยกโยนจนเกือบจะพลัดตก หลังม้าไปหลายครั้ง

ถึงอย่างไรสุยซินอวี่ก็เป็นขุนนางบุ๋นที่เคยเป็นรองเจ้ากรมคนหนึ่งมาก่อน เขาพูดกับเด็กหนุ่มเด็กสาวว่า “เหวินฝ่า เหวินอี๋ พวกเจ้าเดินนำไปก่อน ข้ามีเรื่อง จะปรึกษากับท่านอาของเจ้าสักหน่อย”

เด็กหนุ่มเรียกพี่สาวที่ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่หลายครั้ง แล้วคนทั้งสอง ก็บังคับม้าให้วิ่งเร็วขึ้น เดินนำไปด้านหน้า แต่ไม่กล้าควบม้าจากไปไกลเกินนัก รักษาระยะห่างจากม้าสองตัวด้านหลังไว้ประมาณยี่สิบก้าว

ผู้เฒ่าชะลอฝีเท้าม้า จากนั้นก็ขี่ม้ามาเคียงข้างบุตรสาว ขมวดคิ้วถามอย่าง เป็นกังวลว่า “ตอนนี้เฉาฟู่คือผู้ฝึกตนบนภูเขาคนหนึ่งแล้ว ผู้เฒ่าคนนั้นก็ยิ่งเป็น ยอดฝีมือระดับสูงที่หูซินเหวยสู้ไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพ ที่ศักยภาพพอๆ กับผู้อาวุโสหวังตุ้น วันหน้าจะทำอย่างไรดี? จิ่งเฉิง ข้ารู้ว่าเจ้าโทษที่พ่อแก่แล้วหูตาฝ้าฟาง มองไม่ออกถึงความคิดชั่วร้ายของเฉาฟู่ แต่หลังจากนี้ ตระกูลสุยของพวกเราจะข้ามผ่านด่านยากไปได้อย่างไร นี่ต่างหากจึงจะเป็น เรื่องสำคัญ”

สตรีสวมหมวกคลุมหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ตอนนี้เฉาฟู่ย่อมไม่กล้ามาหาเรื่องพวกเรา แต่ระยะทางกลับบ้านเกิดยาวไกลเกือบพันลี้ นอกเสียจากว่าเซียนกระบี่แซ่เฉินคนนั้นปรากฏตัวอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นก็ยากที่พวกเราจะรอดชีวิตกลับไปถึง บ้านเกิดได้ คาดว่าแม้แต่เมืองหลวงก็ยังไปไม่ถึง”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างเดือดดาล “เจ้าคนที่แสร้งทำตัวเป็นหลานมาตั้งแต่ต้นจนจบผู้นั้น! ตอนอยู่ในศาลาก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีฝีมือ หากเพียงเท่านั้นก็แล้วไปเถิด แต่เหตุใดหลังจากแสดงตัวตนแล้วถึงยังทำอะไรเลอะเลือนแบบนี้อีก ในเมื่อเป็นเซียนกระบี่เหมือนอย่างในนิยาย เหตุใดถึงไม่ฆ่าเฉาฟู่สองคนนั่นไปเสีย ตอนนี้ไม่เท่ากับว่า ปล่อยเสือกลับภูให้กลายมาเป็นหายนะในภายหลังหรอกหรือ?!”

ดูเหมือนว่าสุยจิ่งเฉิงจะรู้สึกอัดอั้นหายใจไม่สะดวก นางจึงปลดหมวกม่านลง เผยให้เห็นดวงหน้างามล้ำ สายตาของนางมองตรงไปด้านหน้า ยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงเลียนแบบรองเจ้ากรมผู้เฒ่าราวกับว่าตัวเองเป็นคนนอกไม่ข้องเกี่ยวกับสถานการณ์ “ตอนอยู่ที่ศาลา พวกเราเห็นคนจะตายแล้วไม่ยอมช่วยเหลือ หากเพียงเท่านั้น ก็แล้วไปเถิด ภายหลังไม่ว่าจะอย่างไร คนเขาก็ถือว่าได้ช่วยพวกเราไว้หนึ่งครั้ง ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าหันมาโทษที่เขายังทำเรื่องดีได้ไม่ดีพอ แบบนี้ไม่เท่ากับว่ามโนธรรมในใจของลูกหลานตระกูลสุยที่ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลเที่ยงตรงมาโดยตลอด ถูกสุนัขคาบไปกินหมดแล้วหรอกหรือ?”

ผู้เฒ่าโมโหจนเกือบจะยกแส้โบยม้าฟาดออกไป นังลูกอกตัญญูปากไม่มีหูรูด!

เขากดเสียงลงต่ำ “เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือพวกเราควรจะทำอย่างไรถึงจะ หนีพ้นหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัวนี่ได้!”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็โมโหจนขบฟันกรอดๆ “แล้วตัวเจ้าเองเล่าดีสักแค่ไหน ยังจะมีหน้ามาตำหนิข้าอีกหรือ? หากไม่เป็นเพราะเจ้า ตระกูลสุยของพวกเราจะเจอกับหายนะครั้งนี้ไหม? ยังมีหน้ามาพูดจาเหน็บแนมเสียดสีพ่ออยู่อีกหรือไร?!”

นึกไม่ถึงว่าสตรีสวมหมวกจะพยักหน้ารับ “ท่านพ่อสั่งสอนได้ถูกต้อง พูดได้ มีเหตุผลอย่างยิ่ง”

ผู้เฒ่าอดทนข่มกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ยกแส้ฟาดลงบนร่างของบุตรสาวใจทมิฬอย่างแรง

เด็กหนุ่มเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้าเห็นภาพนี้เข้าก็รีบหันหน้ากลับไปทันที เด็กสาวยิ่งยกมือขึ้นปิดปาก หลั่งน้ำตาเงียบๆ อยู่กับตัวเอง เด็กหนุ่มเองก็รู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย ไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไรต่อไป

สุยจิ่งเฉิงกลับไม่สะทกสะท้าน เพียงแค่ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้ายังถือว่าพอจะมี วิชาคาถาปลายแถวอยู่บ้าง หากตีข้าจนบาดเจ็บ บางทีสภาพการณ์ที่ตายเก้ารอดหนึ่งก็อาจเปลี่ยนเป็นสถานการณ์ตายที่ไม่มีทางรอดเหลืออยู่เลย ท่านพ่อ ท่านคือนักเล่นระดับแคว้นที่ยึดครองพื้นที่ในวงการหมากล้อมมาหลายสิบปี หลักการตื้นเขิน เพียงเท่านี้ก็น่าจะพอเข้าใจอยู่บ้างกระมัง?”

ผู้เฒ่ายกมือขึ้นอีกครั้ง เกือบจะใช้แส้ฟาดไปบนใบหน้าของนาง เพียงแต่ว่าลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็เอามือลงอย่างห่อเหี่ยว “ช่างเถิด พากันรอความตายไปเถอะ”

สตรีใช้ความคิดจึงเงียบงันไปครู่หนึ่ง นางกวาดตามองรอบด้าน จากนั้นก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ตั้งสมมติฐานถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือเฉาฟู่สองคนยังไม่ยอมถอดใจ ติดตามพวกเรามาห่างๆ ตอนนี้โอกาสรอดเพียงหนึ่งเดียวของพวกเราก็มีเพียงแค่ เดิมพันถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งเท่านั้น นั่นคือเซียนกระบี่แซ่เฉินผู้นั้นก็เดินทางไปยังแถบเมืองหลวงแคว้นอู่หลิงเหมือนกับพวกเรา ก่อนหน้านี้ดูจากเส้นทางการเดินของเขาแล้วก็มีความเป็นไปได้นี้อยู่ แต่ท่านพ่อก็อย่าได้ดีใจเร็วเกินไปนัก ข้ารู้สึกว่า ขอแค่เฉาฟู่สองคนไม่ไปปรากฎตัวให้เซียนกระบี่ผู้นั้นเห็น เพียงแค่เล่นงานพวกเราอย่างระมัดระวัง เซียนกระบี่แซ่เฉินก็ไม่มีทางสนใจความเป็นความตายของพวกเรา ช่วยไม่ได้ ในเรื่องนี้ ท่านพ่อมีความผิด ข้าเองก็ไม่ต่างกัน”

นางพูดเยาะเย้ยตัวเองว่า “ไม่เสียทีที่เป็นพ่อลูกกัน บวกกับหลานสาวเด็กดีที่อยู่เบื้องหน้าผู้นั้นก็สมกับคำว่าไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูบานเดียวกันเสียจริง”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างเดือดดาล “เลิกพูดจาเสียดสีกันสักที! พูดไปพูดมาก็หนีไม่พ้นเหยียบย่ำตัวเองอยู่ดีไม่ใช่หรือ!”

สุยจิ่งเฉิงถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็หาโอกาส ทำอย่างไรก็ได้ให้แสร้งดูเหมือนว่าเซียนกระบี่แซ่เฉินติดตามพวกเรามาอย่างลับๆ อีกทั้งยังทำให้พวกเฉาฟู่สองคน เห็นเข้าพอดี จนพวกเขาเกิดคลางแคลงสงสัย ไม่กล้าเดิมพันชีวิตกับพวกเรา”

บนใบหน้าของผู้เฒ่าเริ่มมีรอยยิ้ม “แผนการนี้นับว่ายอดเยี่ยม จิ่งเฉิง พวกเรา มาวางแผนกันดีๆ พยายามทำให้ได้รอบคอบรัดกุม เป็นธรรมชาติมากที่สุด”

ทว่าสตรีกลับมีสีหน้าหม่นหมอง “ทว่าต่อให้เฉาฟู่ถูกพวกเราปั่นหัว แต่หากเขาคิดจะคลี่คลายสถานการณ์นี้ อันที่จริงก็ง่ายดายมาก ขนาดข้ายังคิดได้ ข้าก็เชื่อว่า ไม่ช้าก็เร็วเฉาฟู่ก็ต้องคิดได้เช่นกัน”

ผู้เฒ่าตกตะลึงระคนหวาดหวั่น ถามอย่างกังขา “หมายความว่าอย่างไร?”

นางยิ้มขื่นเอ่ยว่า “ก็ให้หยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นมาฆ่าพวกเราอีกครั้ง แค่นี้ ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”

ใบหน้าผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความเศร้าสลด “ข้าช่างมีชะตาชีวิตรันทดนัก!”

อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลอาบหน้าของนาง หยิบหมวกขึ้นมาสวมอีกครั้ง แล้วหันหน้ามาเอ่ยว่า “อันที่จริงท่านพ่อพูดไม่ผิด ความผิดทั้งหลายล้วนเป็นความผิดของลูก หากไม่เป็นเพราะข้าก็คงไม่มีหายนะมากมายขนาดนี้ บางทีหากในอดีตข้าแต่งงาน ไปกับบัณฑิตสักคน ป่านนี้ก็คงออกเรือนอยู่ไกลจากบ้านเกิด ช่วยเหลือสามีอบรมบุตร ท่านพ่อเองก็สามารถเดินทางไปเยือนเมืองหลวงต้าจ้วนกับหูซินเหวยได้ต่อ บางทีอาจจะยังคงไม่ได้ของตกแต่งเลื่อมร้อยอัญมณีมาครอบครอง แต่ก็จะได้ประลอง หมากล้อมกับคนอื่น ถึงเวลานั้นจะได้ซื้อตำราหมากล้อมเล่มใหม่ที่จัดพิมพ์ อย่างประณีตกลับมาบ้าน แล้วก็ยังจะส่งไปให้ลูกสาวลูกเขยเล่มสองเล่ม…”

นางสะอึกสะอื้นจนพูดไม่เป็นคำ

ผู้เฒ่าเงียบงันไปนาน มีเพียงเสียงถอนหายใจ สุดท้ายก็คลี่ยิ้มเศร้าสร้อย “ช่างเถิด ลูกสาวคนโง่ จะโทษเจ้าไม่ได้ และพ่อก็จะไม่ตำหนิกล่าวโทษอะไรเจ้าอีกแล้ว”

สองพ่อลูกขี่ม้าเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า

บนกิ่งไม้ของต้นไม้ต้นหนึ่งที่ห่างจากเส้นทางชาม้าโบราณไปไกล มีบัณฑิตชุดเขียว คนหนึ่งยืนพิงลำต้น โบกพัดเบาๆ เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า ใบหน้าประดับยิ้มน้อยๆ พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “เหตุใดถึงได้มีสตรีที่ฉลาดขนาดนี้นะ อีกทั้งโชคในการเดิมพันก็ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด เทียบกับเหยาจิ้นจือแห่งใบถงทวีปแล้วยังมีอุบายลึกล้ำยิ่งกว่า หากได้ขึ้นเขาไปฝึกตนอยู่กับชุยตงซานสักช่วงเวลาหนึ่ง พอลงจากภูเขามา สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางจะปั่นหัวผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนเล่นอยู่ในกำมือหรือไม่? น่าสนใจจริงๆ พอจะถือว่าเป็นหมากสถานการณ์ใหม่ได้อยู่บ้าง”

เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็ค่อยๆ เก็บรอยยิ้ม พึมพำกับตัวเองว่า “กระดานหมากเป็นกระดานใหม่ แต่ใจคนเล่า?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!